Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๐๐] ๕. ทพฺภปุปฺผชาตกวณฺณนา
[400] 5. Dabbhapupphajātakavaṇṇanā
อนุตีรจารี ภทฺทเนฺตติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุปนนฺทํ สกฺยปุตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ โส หิ สาสเน ปพฺพชิตฺวา อปฺปิจฺฉตาทิคุเณ ปหาย มหาตโณฺห อโหสิฯ วสฺสูปนายิกาย เทฺว ตโย วิหาเร ปริคฺคเหตฺวา เอกสฺมิํ ฉตฺตํ วา อุปาหนํ วา เอกสฺมิํ กตฺตรยฎฺฐิํ วา อุทกตุมฺพํ วา ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ สยํ วสติฯ โส เอกสฺมิํ ชนปทวิหาเร วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ‘‘ภิกฺขูหิ นาม อปฺปิเจฺฉหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ อากาเส จนฺทํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย ภิกฺขูนํ ปจฺจยสโนฺตสทีปกํ อริยวํสปฎิปทํ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา ภิกฺขู มนาปานิ ปตฺตจีวรานิ ฉเฑฺฑตฺวา มตฺติกาปตฺตานิ เจว ปํสุกูลจีวรานิ จ คณฺหิํสุฯ โส ตานิ อตฺตโน วสนฎฺฐาเน ฐเปตฺวา วุตฺถวโสฺส ปวาเรตฺวา ยานกํ ปูเรตฺวา เชตวนํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค เอกสฺส อรญฺญวิหารสฺส ปิฎฺฐิภาเค ปาเท วลฺลิยา ปลิพุโทฺธ ‘‘อทฺธา เอตฺถ กิญฺจิ ลทฺธพฺพํ ภวิสฺสตี’’ติ ตํ วิหารํ ปาวิสิฯ ตตฺถ ปน เทฺว มหลฺลกา ภิกฺขู วสฺสํ อุปคจฺฉิํสุฯ เต เทฺว จ ถูลสาฎเก เอกญฺจ สุขุมกมฺพลํ ลภิตฺวา ภาเชตุํ อสโกฺกนฺตา ตํ ทิสฺวา ‘‘เถโร โน ภาเชตฺวา ทสฺสตี’’ติ ตุฎฺฐจิตฺตา ‘‘มยํ, ภเนฺต, อิมํ วสฺสาวาสิกํ ภาเชตุํ น สโกฺกม, อิมํ โน นิสฺสาย วิวาโท โหติ, อิทํ อมฺหากํ ภาเชตฺวา เทถา’’ติ อาหํสุฯ โส ‘‘สาธุ ภาเชสฺสามี’’ติ เทฺว ถูลสาฎเก ทฺวินฺนมฺปิ ภาเชตฺวา ‘‘อยํ อมฺหากํ วินยธรานํ ปาปุณาตี’’ติ กมฺพลํ คเหตฺวา ปกฺกามิฯ
Anutīracārī bhaddanteti idaṃ satthā jetavane viharanto upanandaṃ sakyaputtaṃ ārabbha kathesi. So hi sāsane pabbajitvā appicchatādiguṇe pahāya mahātaṇho ahosi. Vassūpanāyikāya dve tayo vihāre pariggahetvā ekasmiṃ chattaṃ vā upāhanaṃ vā ekasmiṃ kattarayaṭṭhiṃ vā udakatumbaṃ vā ṭhapetvā ekasmiṃ sayaṃ vasati. So ekasmiṃ janapadavihāre vassaṃ upagantvā ‘‘bhikkhūhi nāma appicchehi bhavitabba’’nti ākāse candaṃ uṭṭhāpento viya bhikkhūnaṃ paccayasantosadīpakaṃ ariyavaṃsapaṭipadaṃ kathesi. Taṃ sutvā bhikkhū manāpāni pattacīvarāni chaḍḍetvā mattikāpattāni ceva paṃsukūlacīvarāni ca gaṇhiṃsu. So tāni attano vasanaṭṭhāne ṭhapetvā vutthavasso pavāretvā yānakaṃ pūretvā jetavanaṃ gacchanto antarāmagge ekassa araññavihārassa piṭṭhibhāge pāde valliyā palibuddho ‘‘addhā ettha kiñci laddhabbaṃ bhavissatī’’ti taṃ vihāraṃ pāvisi. Tattha pana dve mahallakā bhikkhū vassaṃ upagacchiṃsu. Te dve ca thūlasāṭake ekañca sukhumakambalaṃ labhitvā bhājetuṃ asakkontā taṃ disvā ‘‘thero no bhājetvā dassatī’’ti tuṭṭhacittā ‘‘mayaṃ, bhante, imaṃ vassāvāsikaṃ bhājetuṃ na sakkoma, imaṃ no nissāya vivādo hoti, idaṃ amhākaṃ bhājetvā dethā’’ti āhaṃsu. So ‘‘sādhu bhājessāmī’’ti dve thūlasāṭake dvinnampi bhājetvā ‘‘ayaṃ amhākaṃ vinayadharānaṃ pāpuṇātī’’ti kambalaṃ gahetvā pakkāmi.
เตปิ เถรา กมฺพเล สาลยา เตเนว สทฺธิํ เชตวนํ คนฺตฺวา วินยธรานํ ภิกฺขูนํ ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ลพฺภติ นุ โข, ภเนฺต, วินยธรานํ เอวํ วิโลปํ ขาทิตุ’’นฺติ อาหํสุฯ ภิกฺขู อุปนนฺทเตฺถเรน อาภตํ ปตฺตจีวรราสิํ ทิสฺวา ‘‘มหาปุโญฺญสิ ตฺวํ อาวุโส, พหุํ เต ปตฺตจีวรํ ลทฺธ’’นฺติ วทิํสุฯ โส ‘‘กุโต เม อาวุโส, ปุญฺญํ, อิมินา เม อุปาเยน อิทํ ลทฺธ’’นฺติ สพฺพํ กเถสิฯ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต มหาตโณฺห มหาโลโภ’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อุปนเนฺทน ปฎิปทาย อนุจฺฉวิกํ กตํ, ปรสฺส ปฎิปทํ กเถเนฺตน นาม ภิกฺขุนา ปฐมํ อตฺตโน อนุจฺฉวิกํ กตฺวา ปจฺฉา ปโร โอวทิตโพฺพ’’ติฯ
Tepi therā kambale sālayā teneva saddhiṃ jetavanaṃ gantvā vinayadharānaṃ bhikkhūnaṃ tamatthaṃ ārocetvā ‘‘labbhati nu kho, bhante, vinayadharānaṃ evaṃ vilopaṃ khāditu’’nti āhaṃsu. Bhikkhū upanandattherena ābhataṃ pattacīvararāsiṃ disvā ‘‘mahāpuññosi tvaṃ āvuso, bahuṃ te pattacīvaraṃ laddha’’nti vadiṃsu. So ‘‘kuto me āvuso, puññaṃ, iminā me upāyena idaṃ laddha’’nti sabbaṃ kathesi. Bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, upanando sakyaputto mahātaṇho mahālobho’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, upanandena paṭipadāya anucchavikaṃ kataṃ, parassa paṭipadaṃ kathentena nāma bhikkhunā paṭhamaṃ attano anucchavikaṃ katvā pacchā paro ovaditabbo’’ti.
‘‘อตฺตานเมว ปฐมํ, ปติรูเป นิเวสเย;
‘‘Attānameva paṭhamaṃ, patirūpe nivesaye;
อถญฺญมนุสาเสยฺย, น กิลิเสฺสยฺย ปณฺฑิโต’’ติฯ (ธ. ป. ๑๕๘) –
Athaññamanusāseyya, na kilisseyya paṇḍito’’ti. (dha. pa. 158) –
อิมาย ธมฺมปเท คาถาย ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อุปนโนฺท อิทาเนว, ปุเพฺพเปส มหาตโณฺห มหาโลโภว, น จ ปน อิทาเนว, ปุเพฺพเปส อิเมสํ สนฺตกํ วิลุมฺปิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Imāya dhammapade gāthāya dhammaṃ desetvā ‘‘na, bhikkhave, upanando idāneva, pubbepesa mahātaṇho mahālobhova, na ca pana idāneva, pubbepesa imesaṃ santakaṃ vilumpiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต นทีตีเร รุกฺขเทวตา อโหสิฯ ตทา เอโก สิงฺคาโล มายาวิํ นาม ภริยํ คเหตฺวา นทีตีเร เอกสฺมิํ ฐาเน วสิฯ อเถกทิวสํ สิงฺคาลี สิงฺคาลํ อาห ‘‘โทหโฬ เม สามิ, อุปฺปโนฺน, อลฺลโรหิตมจฺฉํ ขาทิตุํ อิจฺฉามี’’ติฯ สิงฺคาโล ‘‘อโปฺปสฺสุกฺกา โหหิ, อาหริสฺสามิ เต’’ติ นทีตีเร จรโนฺต วลฺลิยา ปาเท ปลิพุชฺฌิตฺวา อนุตีรเมว อคมาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ คมฺภีรจารี จ อนุตีรจารี จาติ เทฺว อุทฺทา มเจฺฉ ปริเยสนฺตา ตีเร อฎฺฐํสุฯ เตสุ คมฺภีรจารี มหนฺตํ โรหิตมจฺฉํ ทิสฺวา เวเคน อุทเก ปวิสิตฺวา ตํ นงฺคุเฎฺฐ คณฺหิฯ พลวา มโจฺฉ ปริกฑฺฒโนฺต ยาสิฯ โส คมฺภีรจารี อุโทฺท ‘‘มหามโจฺฉ อุภินฺนมฺปิ โน ปโหสฺสติ, เอหิ เม สหาโย โหหี’’ติ อิตเรน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto nadītīre rukkhadevatā ahosi. Tadā eko siṅgālo māyāviṃ nāma bhariyaṃ gahetvā nadītīre ekasmiṃ ṭhāne vasi. Athekadivasaṃ siṅgālī siṅgālaṃ āha ‘‘dohaḷo me sāmi, uppanno, allarohitamacchaṃ khādituṃ icchāmī’’ti. Siṅgālo ‘‘appossukkā hohi, āharissāmi te’’ti nadītīre caranto valliyā pāde palibujjhitvā anutīrameva agamāsi. Tasmiṃ khaṇe gambhīracārī ca anutīracārī cāti dve uddā macche pariyesantā tīre aṭṭhaṃsu. Tesu gambhīracārī mahantaṃ rohitamacchaṃ disvā vegena udake pavisitvā taṃ naṅguṭṭhe gaṇhi. Balavā maccho parikaḍḍhanto yāsi. So gambhīracārī uddo ‘‘mahāmaccho ubhinnampi no pahossati, ehi me sahāyo hohī’’ti itarena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๒๙.
29.
‘‘อนุตีรจารี ภทฺทเนฺต, สหายมนุธาว มํ;
‘‘Anutīracārī bhaddante, sahāyamanudhāva maṃ;
มหา เม คหิโต มโจฺฉ, โส มํ หรติ เวคสา’’ติฯ
Mahā me gahito maccho, so maṃ harati vegasā’’ti.
ตตฺถ สหายมนุธาว มนฺติ สหาย อนุธาว มํ, สนฺธิวเสน ม-กาโร วุโตฺตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถาหํ อิมินา มเจฺฉน น สํหีรามิ, เอวํ มํ นงฺคุฎฺฐขเณฺฑ คเหตฺวา ตฺวํ อนุธาวาติฯ
Tattha sahāyamanudhāva manti sahāya anudhāva maṃ, sandhivasena ma-kāro vutto. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathāhaṃ iminā macchena na saṃhīrāmi, evaṃ maṃ naṅguṭṭhakhaṇḍe gahetvā tvaṃ anudhāvāti.
ตํ สุตฺวา อิตโร ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā itaro dutiyaṃ gāthamāha –
๓๐.
30.
‘‘คมฺภีรจารี ภทฺทเนฺต, ทฬฺหํ คณฺหาหิ ถามสา;
‘‘Gambhīracārī bhaddante, daḷhaṃ gaṇhāhi thāmasā;
อหํ ตํ อุทฺธริสฺสามิ, สุปโณฺณ อุรคามิวา’’ติฯ
Ahaṃ taṃ uddharissāmi, supaṇṇo uragāmivā’’ti.
ตตฺถ ถามสาติ ถาเมนฯ อุทฺธริสฺสามีติ นีหริสฺสามิฯ สุปโณฺณ อุรคามิวาติ ครุโฬ สปฺปํ วิยฯ
Tattha thāmasāti thāmena. Uddharissāmīti nīharissāmi. Supaṇṇo uragāmivāti garuḷo sappaṃ viya.
อถ เทฺวปิ เต เอกโต หุตฺวา โรหิตมจฺฉํ นีหริตฺวา ถเล ฐเปตฺวา มาเรตฺวา ‘‘ตฺวํ ภาเชหิ, ตฺวํ ภาเชหี’’ติ กลหํ กตฺวา ภาเชตุํ อสโกฺกนฺตา ฐเปตฺวา นิสีทิํสุฯ ตสฺมิํ กาเล สิงฺคาโล ตํ ฐานํ อนุปฺปโตฺตฯ เต ตํ ทิสฺวา อุโภปิ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ‘‘อยํ, สมฺม, ทพฺภปุปฺผมโจฺฉ อเมฺหหิ เอกโต หุตฺวา คหิโต, ตํ โน ภาเชตุํ อสโกฺกนฺตานํ วิวาโท อุปฺปโนฺน, สมภาคํ โน ภาเชตฺวา เทหี’’ติ ตติยํ คาถมาหํสุ –
Atha dvepi te ekato hutvā rohitamacchaṃ nīharitvā thale ṭhapetvā māretvā ‘‘tvaṃ bhājehi, tvaṃ bhājehī’’ti kalahaṃ katvā bhājetuṃ asakkontā ṭhapetvā nisīdiṃsu. Tasmiṃ kāle siṅgālo taṃ ṭhānaṃ anuppatto. Te taṃ disvā ubhopi paccuggamanaṃ katvā ‘‘ayaṃ, samma, dabbhapupphamaccho amhehi ekato hutvā gahito, taṃ no bhājetuṃ asakkontānaṃ vivādo uppanno, samabhāgaṃ no bhājetvā dehī’’ti tatiyaṃ gāthamāhaṃsu –
๓๑.
31.
‘‘วิวาโท โน สมุปฺปโนฺน, ทพฺภปุปฺผ สุโณหิ เม;
‘‘Vivādo no samuppanno, dabbhapuppha suṇohi me;
สเมหิ เมธคํ สมฺมา, วิวาโท วูปสมฺมต’’นฺติฯ
Samehi medhagaṃ sammā, vivādo vūpasammata’’nti.
ตตฺถ ทพฺภปุปฺผาติ ทพฺภปุปฺผสมานวณฺณตาย ตํ อาลปนฺติฯ เมธคนฺติ กลหํฯ
Tattha dabbhapupphāti dabbhapupphasamānavaṇṇatāya taṃ ālapanti. Medhaganti kalahaṃ.
เตสํ วจนํ สุตฺวา สิงฺคาโล อตฺตโน พลํ ทีเปโนฺต –
Tesaṃ vacanaṃ sutvā siṅgālo attano balaṃ dīpento –
๓๒.
32.
‘‘ธมฺมโฎฺฐหํ ปุเร อาสิํ, พหู อฑฺฑา เม ตีริตา;
‘‘Dhammaṭṭhohaṃ pure āsiṃ, bahū aḍḍā me tīritā;
สเมมิ เมธคํ สมฺมา, วิวาโท วูปสมฺมต’’นฺติฯ –
Samemi medhagaṃ sammā, vivādo vūpasammata’’nti. –
อิทํ คาถํ วตฺวา ภาเชโนฺต –
Idaṃ gāthaṃ vatvā bhājento –
๓๓.
33.
‘‘อนุตีรจาริ นงฺคุฎฺฐํ, สีสํ คมฺภีรจาริโน;
‘‘Anutīracāri naṅguṭṭhaṃ, sīsaṃ gambhīracārino;
อจฺจายํ มชฺฌิโม ขโณฺฑ, ธมฺมฎฺฐสฺส ภวิสฺสตี’’ติฯ –
Accāyaṃ majjhimo khaṇḍo, dhammaṭṭhassa bhavissatī’’ti. –
อิมํ คาถมาห –
Imaṃ gāthamāha –
ตตฺถ ปฐมคาถาย อยมโตฺถ – อหํ ปุเพฺพ ราชูนํ วินิจฺฉยามโจฺจ อาสิํ, เตน มยา วินิจฺฉเย นิสีทิตฺวา พหู อฑฺฑา ตีริตา, เตสํ เตสํ พฺราหฺมณคหปติกาทีนํ พหู อฑฺฑา ตีริตา วินิจฺฉิตา, สฺวาหํ ตุมฺหาทิสานํ สมชาติกานํ จตุปฺปทานํ อฑฺฑํ ตีเรตุํ กิํ น สกฺขิสฺสามิ, อหํ โว สเมมิ เมธคํ, สมฺมา มํ นิสฺสาย ตุมฺหากํ วิวาโท วูปสมฺมตูติ ฯ
Tattha paṭhamagāthāya ayamattho – ahaṃ pubbe rājūnaṃ vinicchayāmacco āsiṃ, tena mayā vinicchaye nisīditvā bahū aḍḍā tīritā, tesaṃ tesaṃ brāhmaṇagahapatikādīnaṃ bahū aḍḍā tīritā vinicchitā, svāhaṃ tumhādisānaṃ samajātikānaṃ catuppadānaṃ aḍḍaṃ tīretuṃ kiṃ na sakkhissāmi, ahaṃ vo samemi medhagaṃ, sammā maṃ nissāya tumhākaṃ vivādo vūpasammatūti .
เอวญฺจ ปน วตฺวา มจฺฉํ ตโย โกฎฺฐาเส กตฺวา อนุตีรจาริ ตฺวํ นงฺคุฎฺฐํ คณฺห, สีสํ คมฺภีรจาริโน โหตุฯ อจฺจายํ มชฺฌิโม ขโณฺฑติ อปิจ อยํ มชฺฌิโม โกฎฺฐาโสฯ อถ วา อจฺจาติ อติจฺจ, อิเม เทฺว โกฎฺฐาเส อติกฺกมิตฺวา ฐิโต อยํ มชฺฌิโม ขโณฺฑ ธมฺมฎฺฐสฺส วินิจฺฉยสามิกสฺส มยฺหํ ภวิสฺสตีติฯ
Evañca pana vatvā macchaṃ tayo koṭṭhāse katvā anutīracāri tvaṃ naṅguṭṭhaṃ gaṇha, sīsaṃ gambhīracārino hotu. Accāyaṃ majjhimo khaṇḍoti apica ayaṃ majjhimo koṭṭhāso. Atha vā accāti aticca, ime dve koṭṭhāse atikkamitvā ṭhito ayaṃ majjhimo khaṇḍo dhammaṭṭhassa vinicchayasāmikassa mayhaṃ bhavissatīti.
เอวํ ตํ มจฺฉํ วิภชิตฺวา ‘‘ตุเมฺห กลหํ อกตฺวา นงฺคุฎฺฐญฺจ สีสญฺจ ขาทถา’’ติ วตฺวา มชฺฌิมขณฺฑํ มุเขน ฑํสิตฺวา เตสํ ปสฺสนฺตานํเยว ปลายิฯ เต สหสฺสํ ปราชิตา วิย ทุมฺมุขา นิสีทิตฺวา คาถมาหํสุ –
Evaṃ taṃ macchaṃ vibhajitvā ‘‘tumhe kalahaṃ akatvā naṅguṭṭhañca sīsañca khādathā’’ti vatvā majjhimakhaṇḍaṃ mukhena ḍaṃsitvā tesaṃ passantānaṃyeva palāyi. Te sahassaṃ parājitā viya dummukhā nisīditvā gāthamāhaṃsu –
๓๔.
34.
‘‘จิรมฺปิ ภโกฺข อภวิสฺส, สเจ น วิวเทมเส;
‘‘Cirampi bhakkho abhavissa, sace na vivademase;
อสีสกํ อนงฺคุฎฺฐํ, สิงฺคาโล หรติ โรหิต’’นฺติฯ
Asīsakaṃ anaṅguṭṭhaṃ, siṅgālo harati rohita’’nti.
ตตฺถ จิรมฺปีติ เทฺว ตโย ทิวเส สนฺธาย วุตฺตํฯ
Tattha cirampīti dve tayo divase sandhāya vuttaṃ.
สิงฺคาโลปิ ‘‘อชฺช ภริยํ โรหิตมจฺฉํ ขาทาเปสฺสามี’’ติ ตุฎฺฐจิโตฺต ตสฺสา สนฺติกํ อคมาสิฯ สา ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อภินนฺทมานา –
Siṅgālopi ‘‘ajja bhariyaṃ rohitamacchaṃ khādāpessāmī’’ti tuṭṭhacitto tassā santikaṃ agamāsi. Sā taṃ āgacchantaṃ disvā abhinandamānā –
๓๕.
35.
‘‘ยถาปิ ราชา นเนฺทยฺย, รชฺชํ ลทฺธาน ขตฺติโย;
‘‘Yathāpi rājā nandeyya, rajjaṃ laddhāna khattiyo;
เอวาหมชฺช นนฺทามิ, ทิสฺวา ปุณฺณมุขํ ปติ’’นฺติฯ –
Evāhamajja nandāmi, disvā puṇṇamukhaṃ pati’’nti. –
อิมํ คาถํ วตฺวา อธิคมูปายํ ปุจฺฉนฺตี –
Imaṃ gāthaṃ vatvā adhigamūpāyaṃ pucchantī –
๓๖.
36.
‘‘กถํ นุ ถลโช สโนฺต, อุทเก มจฺฉํ ปรามสิ;
‘‘Kathaṃ nu thalajo santo, udake macchaṃ parāmasi;
ปุโฎฺฐ เม สมฺม อกฺขาหิ, กถํ อธิคตํ ตยา’’ติฯ –
Puṭṭho me samma akkhāhi, kathaṃ adhigataṃ tayā’’ti. –
อิมํ คาถมาห –
Imaṃ gāthamāha –
ตตฺถ กถํ นูติ ‘‘ขาท, ภเทฺท’’ติ มจฺฉขเณฺฑ ปุรโต ฐปิเต ‘‘กถํ นุ ตฺวํ ถลโช สมาโน อุทเก มจฺฉํ คณฺหี’’ติ ปุจฺฉิฯ
Tattha kathaṃ nūti ‘‘khāda, bhadde’’ti macchakhaṇḍe purato ṭhapite ‘‘kathaṃ nu tvaṃ thalajo samāno udake macchaṃ gaṇhī’’ti pucchi.
สิงฺคาโล ตสฺสา อธิคมูปายํ อาจิกฺขโนฺต อนนฺตรคาถมาห –
Siṅgālo tassā adhigamūpāyaṃ ācikkhanto anantaragāthamāha –
๓๗.
37.
‘‘วิวาเทน กิสา โหนฺติ, วิวาเทน ธนกฺขยา;
‘‘Vivādena kisā honti, vivādena dhanakkhayā;
ชีนา อุทฺทา วิวาเทน, ภุญฺช มายาวิ โรหิต’’นฺติฯ
Jīnā uddā vivādena, bhuñja māyāvi rohita’’nti.
ตตฺถ วิวาเทน กิสา โหนฺตีติ ภเทฺท, อิเม สตฺตา วิวาทํ กโรนฺตา วิวาทํ นิสฺสาย กิสา อปฺปมํสโลหิตา โหนฺติฯ วิวาเทน ธนกฺขยาติ หิรญฺญสุวณฺณาทีนํ ธนานํ ขยา วิวาเทเนว โหนฺติฯ ทฺวีสุปิ วิวทเนฺตสุ เอโก ปราชิโต ปราชิตตฺตา ธนกฺขยํ ปาปุณาติ, อิตโร ชยภาคทาเนนฯ ชีนา อุทฺทาติ เทฺว อุทฺทาปิ วิวาเทเนว อิมํ มจฺฉํ ชีนา, ตสฺมา ตฺวํ มยา อาภตสฺส อุปฺปตฺติํ มา ปุจฺฉ, เกวลํ อิมํ ภุญฺช มายาวิ โรหิตนฺติฯ
Tattha vivādena kisā hontīti bhadde, ime sattā vivādaṃ karontā vivādaṃ nissāya kisā appamaṃsalohitā honti. Vivādena dhanakkhayāti hiraññasuvaṇṇādīnaṃ dhanānaṃ khayā vivādeneva honti. Dvīsupi vivadantesu eko parājito parājitattā dhanakkhayaṃ pāpuṇāti, itaro jayabhāgadānena. Jīnā uddāti dve uddāpi vivādeneva imaṃ macchaṃ jīnā, tasmā tvaṃ mayā ābhatassa uppattiṃ mā puccha, kevalaṃ imaṃ bhuñja māyāvi rohitanti.
อิตรา อภิสมฺพุทฺธคาถา –
Itarā abhisambuddhagāthā –
๓๘.
38.
‘‘เอวเมว มนุเสฺสสุ, วิวาโท ยตฺถ ชายติ;
‘‘Evameva manussesu, vivādo yattha jāyati;
ธมฺมฎฺฐํ ปฎิธาวติ, โส หิ เนสํ วินายโก;
Dhammaṭṭhaṃ paṭidhāvati, so hi nesaṃ vināyako;
ธนาปิ ตตฺถ ชียนฺติ, ราชโกโส ปวฑฺฒตี’’ติฯ
Dhanāpi tattha jīyanti, rājakoso pavaḍḍhatī’’ti.
ตตฺถ เอวเมวาติ ภิกฺขเว, ยถา เอเต อุทฺทา ชีนา, เอวเมว มนุเสฺสสุปิ ยสฺมิํ ฐาเน วิวาโท ชายติ, ตตฺถ เต มนุสฺสา ธมฺมฎฺฐํ ปติธาวนฺติ, วินิจฺฉยสามิกํ อุปสงฺกมนฺติฯ กิํการณา? โส หิ เนสํ วินายโก, โส เตสํ วิวาทาปนฺนานํ วิวาทวูปสมโกติ อโตฺถฯ ธนาปิ ตตฺถาติ ตตฺถ เต วิวาทาปนฺนา ธนโตปิ ชียนฺติ, อตฺตโน สนฺตกา ปริหายนฺติ, ทเณฺฑน เจว ชยภาคคฺคหเณน จ ราชโกโส ปวฑฺฒตีติฯ
Tattha evamevāti bhikkhave, yathā ete uddā jīnā, evameva manussesupi yasmiṃ ṭhāne vivādo jāyati, tattha te manussā dhammaṭṭhaṃ patidhāvanti, vinicchayasāmikaṃ upasaṅkamanti. Kiṃkāraṇā? So hi nesaṃ vināyako, so tesaṃ vivādāpannānaṃ vivādavūpasamakoti attho. Dhanāpitatthāti tattha te vivādāpannā dhanatopi jīyanti, attano santakā parihāyanti, daṇḍena ceva jayabhāgaggahaṇena ca rājakoso pavaḍḍhatīti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สิงฺคาโล อุปนโนฺท อโหสิ, อุทฺทา เทฺว มหลฺลกา, ตสฺส การณสฺส ปจฺจกฺขการิกา รุกฺขเทวตา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā siṅgālo upanando ahosi, uddā dve mahallakā, tassa kāraṇassa paccakkhakārikā rukkhadevatā pana ahameva ahosi’’nti.
ทพฺภปุปฺผชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ
Dabbhapupphajātakavaṇṇanā pañcamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๐๐. ทพฺภปุปฺผชาตกํ • 400. Dabbhapupphajātakaṃ