Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมานวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Vimānavatthu-aṭṭhakathā |
๖. ททฺทลฺลวิมานวณฺณนา
6. Daddallavimānavaṇṇanā
ททฺทลฺลมานา วเณฺณนาติ ททฺทลฺลวิมานํฯ ตสฺส กา อุปฺปตฺติ? ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเนฯ เตน จ สมเยน นาลกคามเก อายสฺมโต เรวตเตฺถรสฺส อุปฎฺฐากสฺส อญฺญตรสฺส กุฎุมฺพิกสฺส เทฺว ธีตโร อเหสุํ, เอกา ภทฺทา นาม, อิตรา สุภทฺทา นามฯ ตาสุ ภทฺทา ปติกุลํ คตา สทฺธา ปสนฺนา พุทฺธิสมฺปนฺนา วญฺฌา จ อโหสิฯ สา สามิกํ อาห ‘‘มม กนิฎฺฐา สุภทฺทา นาม อตฺถิ, ตํ อาเนหิ, สจสฺสา ปุโตฺต ภเวยฺย, โส มมปิ ปุโตฺต สิยา, อยญฺจ กุลวํโส น นเสฺสยฺยา’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา อกาสิฯ
Daddallamānāvaṇṇenāti daddallavimānaṃ. Tassa kā uppatti? Bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane. Tena ca samayena nālakagāmake āyasmato revatattherassa upaṭṭhākassa aññatarassa kuṭumbikassa dve dhītaro ahesuṃ, ekā bhaddā nāma, itarā subhaddā nāma. Tāsu bhaddā patikulaṃ gatā saddhā pasannā buddhisampannā vañjhā ca ahosi. Sā sāmikaṃ āha ‘‘mama kaniṭṭhā subhaddā nāma atthi, taṃ ānehi, sacassā putto bhaveyya, so mamapi putto siyā, ayañca kulavaṃso na nasseyyā’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tathā akāsi.
อถ ภทฺทา สุภทฺทํ โอวทิ ‘‘สุภเทฺท, ทานสํวิภาครตา ธมฺมจริยาย อปฺปมตฺตา โหหิ, เอวํ เต ทิฎฺฐธมฺมิโก สมฺปรายิโก จ อโตฺถ หตฺถคโต เอว โหตี’’ติฯ สา ตสฺสา โอวาเท ฐตฺวา วุตฺตนเยน ปฎิปชฺชมานา เอกทิวสํ อายสฺมนฺตํ เรวตเตฺถรํ อตฺตฎฺฐมํ นิมเนฺตสิฯ เถโร สุภทฺทาย ปุญฺญูปจยํ อากงฺขโนฺต สงฺฆุเทฺทสวเสน สตฺต ภิกฺขู คเหตฺวา ตสฺสา เคหํ อคมาสิฯ สา ปสนฺนจิตฺตา อายสฺมนฺตํ เรวตเตฺถรํ เต จ ภิกฺขู ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปสิ, เถโร อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ สา อปรภาเค กาลํ กตฺวา นิมฺมานรตีนํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชิฯ ภทฺทา ปน ปุคฺคเลสุ ทานานิ ทตฺวา สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปริจาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ
Atha bhaddā subhaddaṃ ovadi ‘‘subhadde, dānasaṃvibhāgaratā dhammacariyāya appamattā hohi, evaṃ te diṭṭhadhammiko samparāyiko ca attho hatthagato eva hotī’’ti. Sā tassā ovāde ṭhatvā vuttanayena paṭipajjamānā ekadivasaṃ āyasmantaṃ revatattheraṃ attaṭṭhamaṃ nimantesi. Thero subhaddāya puññūpacayaṃ ākaṅkhanto saṅghuddesavasena satta bhikkhū gahetvā tassā gehaṃ agamāsi. Sā pasannacittā āyasmantaṃ revatattheraṃ te ca bhikkhū paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappesi, thero anumodanaṃ katvā pakkāmi. Sā aparabhāge kālaṃ katvā nimmānaratīnaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajji. Bhaddā pana puggalesu dānāni datvā sakkassa devānamindassa paricārikā hutvā nibbatti.
อถ สุภทฺทา อตฺตโน สมฺปตฺติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ‘‘เกน นุ โข อหํ ปุเญฺญน อิธูปปนฺนา’’ติ อาวเชฺชนฺตี ‘‘ภทฺทาย โอวาเท ฐตฺวา สงฺฆคตาย ทกฺขิณาย อิมํ สมฺปตฺติํ สมฺปตฺตา, ภทฺทา นุ โข กหํ นิพฺพตฺตา’’ติ โอโลเกนฺตี ตํ สกฺกสฺส ปริจาริกาภาเวน นิพฺพตฺตํ ทิสฺวา อนุกมฺปมานา ตสฺสา วิมานํ ปาวิสิฯ อถ นํ ภทฺทา –
Atha subhaddā attano sampattiṃ paccavekkhitvā ‘‘kena nu kho ahaṃ puññena idhūpapannā’’ti āvajjentī ‘‘bhaddāya ovāde ṭhatvā saṅghagatāya dakkhiṇāya imaṃ sampattiṃ sampattā, bhaddā nu kho kahaṃ nibbattā’’ti olokentī taṃ sakkassa paricārikābhāvena nibbattaṃ disvā anukampamānā tassā vimānaṃ pāvisi. Atha naṃ bhaddā –
๖๑๙.
619.
‘‘ททฺทลฺลมานา วเณฺณน, ยสสา จ ยสสฺสินี;
‘‘Daddallamānā vaṇṇena, yasasā ca yasassinī;
สเพฺพ เทเว ตาวติํเส, วเณฺณน อติโรจสิฯ
Sabbe deve tāvatiṃse, vaṇṇena atirocasi.
๖๒๐.
620.
‘‘ทสฺสนํ นาภิชานามิ, อิทํ ปฐมทสฺสนํ;
‘‘Dassanaṃ nābhijānāmi, idaṃ paṭhamadassanaṃ;
กสฺมา กายา นุ อาคมฺม, นาเมน ภาสเส มม’’นฺติฯ –
Kasmā kāyā nu āgamma, nāmena bhāsase mama’’nti. –
ทฺวีหิ คาถาหิ ปุจฺฉิฯ สาปิ ตสฺสา –
Dvīhi gāthāhi pucchi. Sāpi tassā –
๖๒๑.
621.
‘‘อหํ ภเทฺท สุภทฺทาสิํ, ปุเพฺพ มานุสเก ภเว;
‘‘Ahaṃ bhadde subhaddāsiṃ, pubbe mānusake bhave;
สหภริยา จ เต อาสิํ, ภคินี จ กนิฎฺฐิกาฯ
Sahabhariyā ca te āsiṃ, bhaginī ca kaniṭṭhikā.
๖๒๒.
622.
‘‘สา อหํ กายสฺส เภทา, วิปฺปมุตฺตา ตโต จุตา;
‘‘Sā ahaṃ kāyassa bhedā, vippamuttā tato cutā;
นิมฺมานรตีนํ เทวานํ, อุปปนฺนา สหพฺยต’’นฺติฯ – ทฺวีหิ คาถาหิ พฺยากาสิ;
Nimmānaratīnaṃ devānaṃ, upapannā sahabyata’’nti. – dvīhi gāthāhi byākāsi;
๖๑๙-๒๐. ตตฺถ วเณฺณนาติ วณฺณาทิสมฺปตฺติยาฯ ทสฺสนํ นาภิชานามีติ อิโต ปุเพฺพ ตว ทสฺสนํ นาภิชานามิ, ตฺวํ มยา น ทิฎฺฐปุพฺพาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘อิทํ ปฐมทสฺสน’’นฺติฯ กสฺมา กายา นุ อาคมฺม, นาเมน ภาสเส มมนฺติ กตรเทวนิกายโต อาคนฺตฺวา ‘‘ภเทฺท’’ติ นาเมน มํ อาลปสิฯ
619-20. Tattha vaṇṇenāti vaṇṇādisampattiyā. Dassanaṃ nābhijānāmīti ito pubbe tava dassanaṃ nābhijānāmi, tvaṃ mayā na diṭṭhapubbāti attho. Tenāha ‘‘idaṃ paṭhamadassana’’nti. Kasmā kāyā nu āgamma, nāmena bhāsase mamanti kataradevanikāyato āgantvā ‘‘bhadde’’ti nāmena maṃ ālapasi.
๖๒๑. อหํ ภเทฺทติ เอตฺถ ภเทฺทติ อาลปนํฯ สุภทฺทาสินฺติ อหํ สุภทฺทา นาม ตว ภคินี กนิฎฺฐิกา อาสิํ อโหสิํ, ตตฺถ ปุเพฺพ มานุสเก ภเว สหภริยา สมานภริยา เต ตยา เอกเสฺสว ภริยา, ตว ปติโน เอว ภริยา, อาสินฺติ อโตฺถฯ ปุน ภทฺทา –
621.Ahaṃbhaddeti ettha bhaddeti ālapanaṃ. Subhaddāsinti ahaṃ subhaddā nāma tava bhaginī kaniṭṭhikā āsiṃ ahosiṃ, tattha pubbe mānusake bhave sahabhariyā samānabhariyā te tayā ekasseva bhariyā, tava patino eva bhariyā, āsinti attho. Puna bhaddā –
๖๒๓.
623.
‘‘ปหูตกตกลฺยาณา, เต เทเว ยนฺติ ปาณิโน;
‘‘Pahūtakatakalyāṇā, te deve yanti pāṇino;
เยสํ ตฺวํ กิตฺตยิสฺสสิ, สุภเทฺท ชาติมตฺตโนฯ
Yesaṃ tvaṃ kittayissasi, subhadde jātimattano.
๖๒๔.
624.
‘‘อถ ตฺวํ เกน วเณฺณน, เกน วา อนุสาสิตา;
‘‘Atha tvaṃ kena vaṇṇena, kena vā anusāsitā;
กีทิเสเนว ทาเนน, สุพฺพเตน ยสสฺสินีฯ
Kīdiseneva dānena, subbatena yasassinī.
๖๒๕.
625.
‘‘ยสํ เอตาทิสํ ปตฺตา, วิเสสํ วิปุลมชฺฌคา;
‘‘Yasaṃ etādisaṃ pattā, visesaṃ vipulamajjhagā;
เทวเต ปุจฺฉิตาจิกฺข, กิสฺส กมฺมสฺสิทํ ผล’’นฺติฯ –
Devate pucchitācikkha, kissa kammassidaṃ phala’’nti. –
ตีหิ คาถาหิ ปุจฺฉิฯ ปุน สุภทฺทา –
Tīhi gāthāhi pucchi. Puna subhaddā –
๖๒๖.
626.
‘‘อเฎฺฐว ปิณฺฑปาตานิ, ยํ ทานํ อททํ ปุเร;
‘‘Aṭṭheva piṇḍapātāni, yaṃ dānaṃ adadaṃ pure;
ทกฺขิเณยฺยสฺส สงฺฆสฺส, ปสนฺนา เสหิ ปาณิภิฯ
Dakkhiṇeyyassa saṅghassa, pasannā sehi pāṇibhi.
๖๒๗.
627.
‘‘เตน เมตาทิโส วโณฺณ…เป.…
‘‘Tena metādiso vaṇṇo…pe…
วโณฺณ จ เม สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ –
Vaṇṇo ca me sabbadisā pabhāsatī’’ti. –
พฺยากาสิฯ
Byākāsi.
๖๒๓. ตตฺถ ปหูตกตกลฺยาณา เต เทเว ยนฺตีติ ปหูตกตกลฺยาณา มหาปุญฺญา เต นิมฺมานรติโน เทเว ยนฺติ อุปฺปชฺชนวเสน คจฺฉนฺติ ปาณิโน สตฺตา, เยสํ นิมฺมานรตีนํ เทวานํ อนฺตเร ตฺวํ อตฺตโน ชาติํ กิตฺตยิสฺสสิ กเถสีติ โยชนาฯ
623. Tattha pahūtakatakalyāṇā te deve yantīti pahūtakatakalyāṇā mahāpuññā te nimmānaratino deve yanti uppajjanavasena gacchanti pāṇino sattā, yesaṃ nimmānaratīnaṃ devānaṃ antare tvaṃ attano jātiṃ kittayissasi kathesīti yojanā.
๖๒๔. เกน วเณฺณนาติ เกน การเณนฯ กีทิเสเนวาติ เอวสโทฺท สมุจฺจยโตฺถ, กีทิเสน จาติ อโตฺถ, อยเมว วา ปาโฐฯ สุพฺพเตนาติ สุนฺทเรน วเตน, สุวิสุเทฺธน สีเลนาติ อโตฺถฯ
624.Kena vaṇṇenāti kena kāraṇena. Kīdisenevāti evasaddo samuccayattho, kīdisena cāti attho, ayameva vā pāṭho. Subbatenāti sundarena vatena, suvisuddhena sīlenāti attho.
๖๒๖. อเฎฺฐว ปิณฺฑปาตานีติ อฎฺฐนฺนํ ภิกฺขูนํ ทินฺนปิณฺฑปาเต สนฺธาย วทติฯ อททนฺติ อทาสิํฯ
626.Aṭṭhevapiṇḍapātānīti aṭṭhannaṃ bhikkhūnaṃ dinnapiṇḍapāte sandhāya vadati. Adadanti adāsiṃ.
เอวํ สุภทฺทาย กถิเต ปุน ภทฺทา –
Evaṃ subhaddāya kathite puna bhaddā –
๖๒๙.
629.
‘‘อหํ ตยา พหุตเร ภิกฺขู, สญฺญเต พฺรหฺมจารโย;
‘‘Ahaṃ tayā bahutare bhikkhū, saññate brahmacārayo;
ตเปฺปสิํ อนฺนปาเนน, ปสนฺนา เสหิ ปาณิภิฯ
Tappesiṃ annapānena, pasannā sehi pāṇibhi.
๖๓๐.
630.
‘‘ตยา พหุตรํ ทตฺวา, หีนกายูปคา อหํ;
‘‘Tayā bahutaraṃ datvā, hīnakāyūpagā ahaṃ;
กถํ ตฺวํ อปฺปตรํ ทตฺวา, วิเสสํ วิปุลมชฺฌคา;
Kathaṃ tvaṃ appataraṃ datvā, visesaṃ vipulamajjhagā;
เทวเต ปุจฺฉิตาจิกฺข, กิสฺส กมฺมสฺสิทํ ผล’’นฺติฯ –
Devate pucchitācikkha, kissa kammassidaṃ phala’’nti. –
ปุจฺฉิฯ ตตฺถ ตยาติ นิสฺสเกฺก กรณวจนํฯ ปุน สุภทฺทา –
Pucchi. Tattha tayāti nissakke karaṇavacanaṃ. Puna subhaddā –
๖๓๑.
631.
‘‘มโนภาวนีโย ภิกฺขุ, สนฺทิโฎฺฐ เม ปุเร อหุ;
‘‘Manobhāvanīyo bhikkhu, sandiṭṭho me pure ahu;
ตาหํ ภเตฺตน นิมเนฺตสิํ, เรวตํ อตฺตนฎฺฐมํฯ
Tāhaṃ bhattena nimantesiṃ, revataṃ attanaṭṭhamaṃ.
๖๓๒.
632.
‘‘โส เม อตฺถปุเรกฺขาโร, อนุกมฺปาย เรวโต;
‘‘So me atthapurekkhāro, anukampāya revato;
สเงฺฆ เทหีติ มํโวจ, ตสฺสาหํ วจนํ กริํฯ
Saṅghe dehīti maṃvoca, tassāhaṃ vacanaṃ kariṃ.
๖๓๓.
633.
‘‘สา ทกฺขิณา สงฺฆคตา, อปฺปเมเยฺย ปติฎฺฐิตา;
‘‘Sā dakkhiṇā saṅghagatā, appameyye patiṭṭhitā;
ปุคฺคเลสุ ตยา ทินฺนํ, น ตํ ตว มหปฺผล’’นฺติฯ –
Puggalesu tayā dinnaṃ, na taṃ tava mahapphala’’nti. –
อตฺตนา กตกมฺมํ กเถสิฯ
Attanā katakammaṃ kathesi.
๖๓๑. ตตฺถ มโนภาวนีโยติ มนวฑฺฒนโก อุฬารคุณตาย สมฺภาวนีโยฯ สนฺทิโฎฺฐติ นิมนฺตนวเสน โพธิโต กถิโตฯ เตนาห ‘‘ตาหํ ภเตฺตน นิมเนฺตสิํ, เรวตํ อตฺตนฎฺฐม’’นฺติ, ตํ มโนภาวนียํ อยฺยํ เรวตํ อตฺตนฎฺฐมํ ภเตฺตน อหํ นิมเนฺตสิํฯ
631. Tattha manobhāvanīyoti manavaḍḍhanako uḷāraguṇatāya sambhāvanīyo. Sandiṭṭhoti nimantanavasena bodhito kathito. Tenāha ‘‘tāhaṃ bhattena nimantesiṃ, revataṃ attanaṭṭhama’’nti, taṃ manobhāvanīyaṃ ayyaṃ revataṃ attanaṭṭhamaṃ bhattena ahaṃ nimantesiṃ.
๖๓๒-๓. โส เม อตฺถปุเรกฺขาโรติ โส อโยฺย เรวโต ทานสฺส มหปฺผลภาวกรเณน มม อตฺถปุเรกฺขาโร หิเตสีฯ สเงฺฆ เทหีติ มํโวจาติ ‘‘ยทิ ตฺวํ สุภเทฺท อฎฺฐนฺนํ ภิกฺขูนํ ทาตุกามา, ยสฺมา ปุคฺคลคตาย ทกฺขิณาย สงฺฆคตา เอว ทกฺขิณา มหปฺผลตรา, ตสฺมา สเงฺฆ เทหิ, สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ทานํ เทหี’’ติ มํ อภาสิฯ ตนฺติ ตํ ทานํฯ
632-3.So me atthapurekkhāroti so ayyo revato dānassa mahapphalabhāvakaraṇena mama atthapurekkhāro hitesī. Saṅghe dehīti maṃvocāti ‘‘yadi tvaṃ subhadde aṭṭhannaṃ bhikkhūnaṃ dātukāmā, yasmā puggalagatāya dakkhiṇāya saṅghagatā eva dakkhiṇā mahapphalatarā, tasmā saṅghe dehi, saṅghaṃ uddissa dānaṃ dehī’’ti maṃ abhāsi. Tanti taṃ dānaṃ.
เอวํ สุภทฺทาย วุเตฺต ภทฺทา ตมตฺถํ สมฺปฎิจฺฉนฺตี อุตฺตริ จ ตถา ปฎิปชฺชิตุกามา –
Evaṃ subhaddāya vutte bhaddā tamatthaṃ sampaṭicchantī uttari ca tathā paṭipajjitukāmā –
๖๓๔.
634.
‘‘อิทาเนวาหํ ชานามิ, สเงฺฆ ทินฺนํ มหปฺผลํ;
‘‘Idānevāhaṃ jānāmi, saṅghe dinnaṃ mahapphalaṃ;
สาหํ คนฺตฺวา มนุสฺสตฺตํ, วทญฺญู วีตมจฺฉรา;
Sāhaṃ gantvā manussattaṃ, vadaññū vītamaccharā;
สเงฺฆ ทานานิ ทสฺสามิ, อปฺปมตฺตา ปุนปฺปุน’’นฺติฯ –
Saṅghe dānāni dassāmi, appamattā punappuna’’nti. –
คาถมาหฯ สุภทฺทา ปน อตฺตโน เทวโลกเมว คตาฯ อถ สโกฺก เทวานมิโนฺท สเพฺพ เทเว ตาวติํเส อตฺตโน สรีโรภาเสน อภิภุยฺย วิโรจมานํ สุภทฺทํ เทวธีตรํ ทิสฺวา ตญฺจ ตาสํ กถาสลฺลาปํ สุตฺวา ตาวเทว จ สุภทฺทาย อนฺตรหิตาย ตํ ‘‘อยํ นามา’’ติ อชานโนฺต –
Gāthamāha. Subhaddā pana attano devalokameva gatā. Atha sakko devānamindo sabbe deve tāvatiṃse attano sarīrobhāsena abhibhuyya virocamānaṃ subhaddaṃ devadhītaraṃ disvā tañca tāsaṃ kathāsallāpaṃ sutvā tāvadeva ca subhaddāya antarahitāya taṃ ‘‘ayaṃ nāmā’’ti ajānanto –
๖๓๕.
635.
‘‘กา เอสา เทวตา ภเทฺท, ตยา มนฺตยเต สห;
‘‘Kā esā devatā bhadde, tayā mantayate saha;
สเพฺพ เทเว ตาวติํเส, วเณฺณน อติโรจตี’’ติฯ –
Sabbe deve tāvatiṃse, vaṇṇena atirocatī’’ti. –
ภทฺทํ ปุจฺฉิฯ สาปิสฺส –
Bhaddaṃ pucchi. Sāpissa –
๖๓๖.
636.
‘‘มนุสฺสภูตา เทวินฺท, ปุเพฺพ มานุสเก ภเว;
‘‘Manussabhūtā devinda, pubbe mānusake bhave;
สหภริยา จ เม อาสิ, ภคินี จ กนิฎฺฐิกา,
Sahabhariyā ca me āsi, bhaginī ca kaniṭṭhikā,
สเงฺฆ ทานานิ ทตฺวาน, กตปุญฺญา วิโรจตี’’ติฯ –
Saṅghe dānāni datvāna, katapuññā virocatī’’ti. –
กเถสิฯ อถ สโกฺก ตสฺสา สงฺฆคตาย ทกฺขิณาย มหปฺผลภาวํ ทเสฺสโนฺต ธมฺมํ กเถสิฯ เตน วุตฺตํ –
Kathesi. Atha sakko tassā saṅghagatāya dakkhiṇāya mahapphalabhāvaṃ dassento dhammaṃ kathesi. Tena vuttaṃ –
๖๓๗.
637.
‘‘ธเมฺมน ปุเพฺพ ภคินี, ตยา ภเทฺท วิโรจติ;
‘‘Dhammena pubbe bhaginī, tayā bhadde virocati;
ยํ สงฺฆมฺหิ อปฺปเมเยฺย, ปติฎฺฐาเปสิ ทกฺขิณํฯ
Yaṃ saṅghamhi appameyye, patiṭṭhāpesi dakkhiṇaṃ.
๖๓๘.
638.
‘‘ปุจฺฉิโต หิ มยา พุโทฺธ, คิชฺฌกูฎมฺหิ ปพฺพเต;
‘‘Pucchito hi mayā buddho, gijjhakūṭamhi pabbate;
วิปากํ สํวิภาคสฺส, ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํฯ
Vipākaṃ saṃvibhāgassa, yattha dinnaṃ mahapphalaṃ.
๖๓๙.
639.
‘‘ยชมานานํ มนุสฺสานํ, ปุญฺญเปกฺขาน ปาณินํ;
‘‘Yajamānānaṃ manussānaṃ, puññapekkhāna pāṇinaṃ;
กโรตํ โอปธิกํ ปุญฺญํ, ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํฯ
Karotaṃ opadhikaṃ puññaṃ, yattha dinnaṃ mahapphalaṃ.
๖๔๐.
640.
‘‘ตํ เม พุโทฺธ วิยากาสิ, ชานํ กมฺมผลํ สกํ;
‘‘Taṃ me buddho viyākāsi, jānaṃ kammaphalaṃ sakaṃ;
วิปากํ สํวิภาคสฺส, ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํฯ
Vipākaṃ saṃvibhāgassa, yattha dinnaṃ mahapphalaṃ.
๖๔๑.
641.
‘‘จตฺตาโร จ ปฎิปนฺนา, จตฺตาโร จ ผเล ฐิตา;
‘‘Cattāro ca paṭipannā, cattāro ca phale ṭhitā;
เอส สโงฺฆ อุชุภูโต, ปญฺญาสีลสมาหิโตฯ
Esa saṅgho ujubhūto, paññāsīlasamāhito.
๖๔๒.
642.
‘‘ยชมานานํ มนุสฺสานํ, ปุญฺญเปกฺขาน ปาณินํ;
‘‘Yajamānānaṃ manussānaṃ, puññapekkhāna pāṇinaṃ;
กโรตํ โอปธิกํ ปุญฺญํ, สเงฺฆ ทินฺนํ มหปฺผลํฯ
Karotaṃ opadhikaṃ puññaṃ, saṅghe dinnaṃ mahapphalaṃ.
๖๔๓.
643.
‘‘เอโส หิ สโงฺฆ วิปุโล มหคฺคโต, เอสปฺปเมโยฺย อุทธีว สาคโร;
‘‘Eso hi saṅgho vipulo mahaggato, esappameyyo udadhīva sāgaro;
เอเต หิ เสฎฺฐา นรวีรสาวกา, ปภงฺกรา ธมฺมมุทีรยนฺติฯ
Ete hi seṭṭhā naravīrasāvakā, pabhaṅkarā dhammamudīrayanti.
๖๔๔.
644.
‘‘เตสํ สุทินฺนํ สุหุตํ สุยิฎฺฐํ, เย สงฺฆมุทฺทิสฺส ททนฺติ ทานํ;
‘‘Tesaṃ sudinnaṃ suhutaṃ suyiṭṭhaṃ, ye saṅghamuddissa dadanti dānaṃ;
สา ทกฺขิณา สงฺฆคตา ปติฎฺฐิตา, มหปฺผลา โลกวิทูน วณฺณิตาฯ
Sā dakkhiṇā saṅghagatā patiṭṭhitā, mahapphalā lokavidūna vaṇṇitā.
๖๔๕.
645.
‘‘เอตาทิสํ ยญฺญมนุสฺสรนฺตา, เย เวทชาตา วิจรนฺติ โลเก;
‘‘Etādisaṃ yaññamanussarantā, ye vedajātā vicaranti loke;
วิเนยฺย มเจฺฉรมลํ สมูลํ, อนินฺทิตา สคฺคมุเปนฺติ ฐาน’’นฺติฯ
Vineyya maccheramalaṃ samūlaṃ, aninditā saggamupenti ṭhāna’’nti.
๖๓๗. ตตฺถ ธเมฺมนาติ การเณน ญาเยน วาฯ ตยาติ นิสฺสเกฺก กรณวจนํฯ อิทานิ ตํ ‘‘ธเมฺมนา’’ติ วุตฺตการณํ ทเสฺสตุํ ยํ สงฺฆมฺหิ อปฺปเมเยฺย, ปติฎฺฐาเปสิ ทกฺขิณ’’นฺติ วุตฺตํฯ อปฺปเมเยฺยติ คุณานุภาวสฺส อตฺตนิ กตานํ การานํ ผลวิเสสสฺส จ วเสน ปมินิตุํ อสกฺกุเณเยฺยฯ
637. Tattha dhammenāti kāraṇena ñāyena vā. Tayāti nissakke karaṇavacanaṃ. Idāni taṃ ‘‘dhammenā’’ti vuttakāraṇaṃ dassetuṃ yaṃ saṅghamhi appameyye, patiṭṭhāpesi dakkhiṇa’’nti vuttaṃ. Appameyyeti guṇānubhāvassa attani katānaṃ kārānaṃ phalavisesassa ca vasena paminituṃ asakkuṇeyye.
๖๓๘-๙. อยญฺจ อโตฺถ ภควโต สมฺมุขา จ สุโต, สมฺมุขา จ ปฎิคฺคหิโตติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปุจฺฉิโต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยชมานานนฺติ ททนฺตานํฯ ปุญฺญเปกฺขาน ปาณินนฺติ อนุนาสิกโลปํ กตฺวา นิเทฺทโส, ปุญฺญผลํ อากงฺขนฺตานํ สตฺตานํฯ โอปธิกนฺติ อุปธิ นาม ขนฺธา, อุปธิสฺส กรณสีลํ, อุปธิปโยชนนฺติ วา โอปธิกํ, อตฺตภาวชนกํ ปฎิสนฺธิปวตฺติวิปากทายกํฯ
638-9. Ayañca attho bhagavato sammukhā ca suto, sammukhā ca paṭiggahitoti dassento ‘‘pucchito’’tiādimāha. Tattha yajamānānanti dadantānaṃ. Puññapekkhāna pāṇinanti anunāsikalopaṃ katvā niddeso, puññaphalaṃ ākaṅkhantānaṃ sattānaṃ. Opadhikanti upadhi nāma khandhā, upadhissa karaṇasīlaṃ, upadhipayojananti vā opadhikaṃ, attabhāvajanakaṃ paṭisandhipavattivipākadāyakaṃ.
๖๔๐. ชานํ กมฺมผลํ สกนฺติ สตฺตานํ สกํ สกํ ยถาสกํ ปุญฺญํ ปุญฺญผลญฺจ หตฺถตเล อามลกํ วิย ชานโนฺตฯ สกนฺติ วา ยการสฺส กการํ กตฺวา วุตฺตํ, สยํ อตฺตนาติ อโตฺถฯ
640.Jānaṃ kammaphalaṃ sakanti sattānaṃ sakaṃ sakaṃ yathāsakaṃ puññaṃ puññaphalañca hatthatale āmalakaṃ viya jānanto. Sakanti vā yakārassa kakāraṃ katvā vuttaṃ, sayaṃ attanāti attho.
๖๔๑. ปฎิปนฺนาติ ปฎิปชฺชมานา, มคฺคฎฺฐาติ อโตฺถฯ อุชุภูโตติ อุชุปฎิปตฺติยา อุชุภาวํ ปโตฺต ทกฺขิเณโยฺย ชาโตฯ ปญฺญาสีลสมาหิโตติ ปญฺญาย สีเลน จ สมาหิโต, ทิฎฺฐิสีลสมฺปโนฺน อริยาย ทิฎฺฐิยา อริเยน สีเลน จ สมนฺนาคโตฯ เตนาปิสฺส ปรมตฺถสงฺฆภาวเมว วิภาเวติฯ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สงฺฆฎิตตฺตา หิ สโงฺฆ ฯ อถ วา สมาหิตํ สมาธิ, ปญฺญา สีลํ สมาหิตญฺจ อสฺส อตฺถีติ ปญฺญาสีลสมาหิโตฯ เตนสฺส สีลาทิธมฺมกฺขนฺธตฺตยสมฺปนฺนตาย อคฺคทกฺขิเณยฺยภาวํ วิภาเวติฯ
641.Paṭipannāti paṭipajjamānā, maggaṭṭhāti attho. Ujubhūtoti ujupaṭipattiyā ujubhāvaṃ patto dakkhiṇeyyo jāto. Paññāsīlasamāhitoti paññāya sīlena ca samāhito, diṭṭhisīlasampanno ariyāya diṭṭhiyā ariyena sīlena ca samannāgato. Tenāpissa paramatthasaṅghabhāvameva vibhāveti. Diṭṭhisīlasāmaññena saṅghaṭitattā hi saṅgho . Atha vā samāhitaṃ samādhi, paññā sīlaṃ samāhitañca assa atthīti paññāsīlasamāhito. Tenassa sīlādidhammakkhandhattayasampannatāya aggadakkhiṇeyyabhāvaṃ vibhāveti.
๖๔๓. วิปุโล มหคฺคโตติ คุเณหิ มหตฺตํ คโตติ มหคฺคโต, ตโต เอว อตฺตนิ กตานํ การานํ ผลเวปุลฺลเหตุตาย วิปุโลฯ อุทธีว สาคโรติ ยถา อุทกํ เอตฺถ ธียตีติ ‘‘อุทธี’’ติ ลทฺธนาโม สาคโร, ‘‘เอตฺตกานิ อุทกาฬฺหกานี’’ติอาทินา อุทกโต อปฺปเมโยฺย, เอวเมส คุณโตติ อโตฺถฯ เอเต หีติ หิ-สโทฺท อวธารเณ นิปาโต, เอเต เอว เสฎฺฐาติ อโตฺถฯ วุตฺตเญฺหตํ –
643.Vipulo mahaggatoti guṇehi mahattaṃ gatoti mahaggato, tato eva attani katānaṃ kārānaṃ phalavepullahetutāya vipulo. Udadhīva sāgaroti yathā udakaṃ ettha dhīyatīti ‘‘udadhī’’ti laddhanāmo sāgaro, ‘‘ettakāni udakāḷhakānī’’tiādinā udakato appameyyo, evamesa guṇatoti attho. Ete hīti hi-saddo avadhāraṇe nipāto, ete eva seṭṭhāti attho. Vuttañhetaṃ –
‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สงฺฆา วา คณา วา, ตถาคตสาวกสโงฺฆ เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (อิติวุ. ๙๐; อ. นิ. ๔.๓๔; ๕.๓๒)ฯ
‘‘Yāvatā, bhikkhave, saṅghā vā gaṇā vā, tathāgatasāvakasaṅgho tesaṃ aggamakkhāyatī’’ti (itivu. 90; a. ni. 4.34; 5.32).
นรวีรสาวกาติ นเรสุ วีริยสมฺปนฺนสฺส นรสฺส สาวกาฯ ปภงฺกราติ โลกสฺส ญาณาโลกกราฯ ธมฺมมุทีรยนฺตีติ ธมฺมํ อุทฺทิสนฺติฯ กถํ? ธมฺมสามินา หิ ธมฺมปโชฺชโต อริยสเงฺฆ ฐปิโตฯ
Naravīrasāvakāti naresu vīriyasampannassa narassa sāvakā. Pabhaṅkarāti lokassa ñāṇālokakarā. Dhammamudīrayantīti dhammaṃ uddisanti. Kathaṃ? Dhammasāminā hi dhammapajjoto ariyasaṅghe ṭhapito.
๖๔๔. เย สงฺฆมุทฺทิสฺส ททนฺติ ทานนฺติ เย สตฺตา อริยสงฺฆํ อุทฺทิสฺส สมฺมุติสเงฺฆ อนฺตมโส โคตฺรภุปุคฺคเลสุปิ ทานํ ททนฺติ, ตํ ทานํ สํวิภาควเสน ทินฺนมฺปิ สุทินฺนํ, อาหุนปาหุนวเสน หุตมฺปิ สุหุตํ, มหายาควเสน ยิฎฺฐมฺปิ สุยิฎฺฐเมว โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา สา ทกฺขิณา สงฺฆคตา ปติฎฺฐิตา มหปฺผลา โลกวิทูน วณฺณิตาติ, โลกวิทูหิ สมฺมาสมฺพุเทฺธหิ ‘‘น เตฺววาหํ, อานนฺท, เกนจิ ปริยาเยน สงฺฆคตาย ทกฺขิณาย ปาฎิปุคฺคลิกํ ทกฺขิณํ มหปฺผลตรํ วทามิ (ม. นิ. ๓.๓๘๐)ฯ ปุญฺญํ อากงฺขมานานํ, สโงฺฆ เว ยชตํ มุขํ (ม. นิ. ๒.๔๐๐; สุ. นิ. ๕๗๔; มหาว. ๓๐๐)ฯ อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺสา’’ติ (ม. นิ. ๑.๗๔; สํ. นิ. ๕.๙๙๗) จ อาทินา มหปฺผลตา วณฺณิตา ปสตฺถา โถมิตาติ อโตฺถฯ
644.Ye saṅghamuddissa dadanti dānanti ye sattā ariyasaṅghaṃ uddissa sammutisaṅghe antamaso gotrabhupuggalesupi dānaṃ dadanti, taṃ dānaṃ saṃvibhāgavasena dinnampi sudinnaṃ, āhunapāhunavasena hutampi suhutaṃ, mahāyāgavasena yiṭṭhampi suyiṭṭhameva hoti. Kasmā? Yasmā sā dakkhiṇā saṅghagatā patiṭṭhitā mahapphalā lokavidūna vaṇṇitāti, lokavidūhi sammāsambuddhehi ‘‘na tvevāhaṃ, ānanda, kenaci pariyāyena saṅghagatāya dakkhiṇāya pāṭipuggalikaṃ dakkhiṇaṃ mahapphalataraṃ vadāmi (ma. ni. 3.380). Puññaṃ ākaṅkhamānānaṃ, saṅgho ve yajataṃ mukhaṃ (ma. ni. 2.400; su. ni. 574; mahāva. 300). Anuttaraṃ puññakkhettaṃ lokassā’’ti (ma. ni. 1.74; saṃ. ni. 5.997) ca ādinā mahapphalatā vaṇṇitā pasatthā thomitāti attho.
๖๔๕. อีทิสํ ยญฺญมนุสฺสรนฺตาติ เอตาทิสํ สงฺฆํ อุทฺทิสฺส อตฺตนา กตํ ทานํ อนุสฺสรนฺตาฯ เวทชาตาติ ชาตโสมนสฺสาฯ วิเนยฺย มเจฺฉรมลํ สมูลนฺติ มเจฺฉรเมว จิตฺตสฺส มลินภาวกรณโต มเจฺฉรมลํ, อถ วา มเจฺฉรญฺจ อญฺญํ อิสฺสาโลภโทสาทิมลญฺจาติ มเจฺฉรมลํฯ ตญฺจ อวิชฺชาวิจิกิจฺฉาวิปลฺลาสาทีหิ สห มูเลหีติ สมูลํ วิเนยฺย วินยิตฺวา วิกฺขเมฺภตฺวา อนินฺทิตฺวา สคฺคมุเปนฺติ ฐานนฺติ โยชนาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
645.Īdisaṃ yaññamanussarantāti etādisaṃ saṅghaṃ uddissa attanā kataṃ dānaṃ anussarantā. Vedajātāti jātasomanassā. Vineyya maccheramalaṃsamūlanti maccherameva cittassa malinabhāvakaraṇato maccheramalaṃ, atha vā maccherañca aññaṃ issālobhadosādimalañcāti maccheramalaṃ. Tañca avijjāvicikicchāvipallāsādīhi saha mūlehīti samūlaṃ vineyya vinayitvā vikkhambhetvā aninditvā saggamupenti ṭhānanti yojanā. Sesaṃ vuttanayameva.
อิมํ ปน สพฺพํ ปวตฺติํ สโกฺก เทวานมิโนฺท ‘‘ททฺทลฺลมานา วเณฺณนา’’ติอาทินา อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส อาจิกฺขิ, อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภควโต อาโรเจสิ, ภควา ตมตฺถํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ สา เทสนา มหาชนสฺส สาตฺถิกา อโหสิฯ
Imaṃ pana sabbaṃ pavattiṃ sakko devānamindo ‘‘daddallamānā vaṇṇenā’’tiādinā āyasmato mahāmoggallānassa ācikkhi, āyasmā mahāmoggallāno bhagavato ārocesi, bhagavā tamatthaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā sampattaparisāya dhammaṃ desesi. Sā desanā mahājanassa sātthikā ahosi.
ททฺทลฺลวิมานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Daddallavimānavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / วิมานวตฺถุปาฬิ • Vimānavatthupāḷi / ๖. ททฺทลฺลวิมานวตฺถุ • 6. Daddallavimānavatthu