Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๘๖] ๖. ทธิวาหนชาตกวณฺณนา

    [186] 6. Dadhivāhanajātakavaṇṇanā

    วณฺณคนฺธรสูเปโตติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต วิปกฺขเสวิํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ เหฎฺฐา กถิตเมวฯ สตฺถา ปน ‘‘ภิกฺขเว, อสาธุสนฺนิวาโส นาม ปาโป อนตฺถกโร, ตตฺถ มนุสฺสภูตานํ ตาว ปาปสนฺนิวาสสฺส อนตฺถกรตาย กิํ วตฺตพฺพํ, ปุเพฺพ ปน อสาเตน อมธุเรน นิมฺพรุเกฺขน สทฺธิํ สนฺนิวาสมาคมฺม มธุรรโส ทิพฺพรสปฎิภาโค อเจตโน อมฺพรุโกฺขปิ อมธุโร ติตฺตโก ชาโต’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Vaṇṇagandharasūpetoti idaṃ satthā veḷuvane viharanto vipakkhaseviṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Vatthu heṭṭhā kathitameva. Satthā pana ‘‘bhikkhave, asādhusannivāso nāma pāpo anatthakaro, tattha manussabhūtānaṃ tāva pāpasannivāsassa anatthakaratāya kiṃ vattabbaṃ, pubbe pana asātena amadhurena nimbarukkhena saddhiṃ sannivāsamāgamma madhuraraso dibbarasapaṭibhāgo acetano ambarukkhopi amadhuro tittako jāto’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต กาสิรเฎฺฐ จตฺตาโร ภาตโร พฺราหฺมณา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา หิมวนฺตปเทเส ปฎิปาฎิยา ปณฺณสาลา กตฺวา วาสํ กเปฺปสุํฯ เตสํ เชฎฺฐกภาตา กาลํ กตฺวา สกฺกตฺตํ ปาปุณิฯ โส ตํ การณํ ญตฺวา อนฺตรนฺตรา สตฺตฎฺฐทิวสจฺจเยน เตสํ อุปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต เอกทิวสํ เชฎฺฐกตาปสํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา – ‘‘ภเนฺต, เกน เต อโตฺถ’’ติ ปุจฺฉิฯ ปณฺฑุโรโค ตาปโส ‘‘อคฺคินา เม อโตฺถ’’ติ อาหฯ โส ตํ สุตฺวา ตสฺส วาสิผรสุกํ อทาสิฯ วาสิผรสุโก นาม ทเณฺฑ ปเวสนวเสน วาสิปิ โหติ ผรสุปิฯ ตาปโส ‘‘โก เม อิมํ อาทาย ทารูนิ อาหริสฺสตี’’ติ อาหฯ อถ นํ สโกฺก เอวมาห – ‘‘ยทา เต, ภเนฺต, ทารูหิ อโตฺถ, อิมํ ผรสุํ หเตฺถน ปหริตฺวา ‘ทารูนิ เม อาหริตฺวา อคฺคิํ กโรหี’ติ วเทยฺยาสิ, ทารูนิ อาหริตฺวา อคฺคิํ กตฺวา ทสฺสตี’’ติฯ ตสฺส วาสิผรสุกํ ทตฺวา ทุติยมฺปิ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, เกน เต อโตฺถ’’ติ ปุจฺฉิฯ ตสฺส ปณฺณสาลาย หตฺถิมโคฺค โหติ, โส หตฺถีหิ อุปทฺทุโต ‘‘หตฺถีนํ เม วเสน ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ, เต ปลาเปหี’’ติ อาหฯ สโกฺก ตสฺส เอกํ เภริํ อุปนาเมตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิมสฺมิํ ตเล ปหเฎ ตุมฺหากํ ปจฺจามิตฺตา ปลายิสฺสนฺติ, อิมสฺมิํ ตเล ปหเฎ เมตฺตจิตฺตา หุตฺวา จตุรงฺคินิยา เสนาย ปริวาเรสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา ตํ เภริํ ทตฺวา กนิฎฺฐสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, เกน เต อโตฺถ’’ติ ปุจฺฉิฯ โสปิ ปณฺฑุโรคธาตุโกว, ตสฺมา ‘‘ทธินา เม อโตฺถ’’ติ อาหฯ สโกฺก ตสฺส เอกํ ทธิฆฎํ ทตฺวา ‘‘สเจ ตุเมฺห อิจฺฉมานา อิมํ อาสิเญฺจยฺยาถ, มหานที หุตฺวา มโหฆํ ปวเตฺตตฺวา ตุมฺหากํ รชฺชํ คเหตฺวา ทาตุํ สมโตฺถปิ ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ ตโต ปฎฺฐาย วาสิผรสุโก เชฎฺฐภาติกสฺส อคฺคิํ กโรติ, อิตเรน เภริตเล ปหเฎ หตฺถี ปลายนฺติ, กนิโฎฺฐ ทธิํ ปริภุญฺชติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente kāsiraṭṭhe cattāro bhātaro brāhmaṇā isipabbajjaṃ pabbajitvā himavantapadese paṭipāṭiyā paṇṇasālā katvā vāsaṃ kappesuṃ. Tesaṃ jeṭṭhakabhātā kālaṃ katvā sakkattaṃ pāpuṇi. So taṃ kāraṇaṃ ñatvā antarantarā sattaṭṭhadivasaccayena tesaṃ upaṭṭhānaṃ gacchanto ekadivasaṃ jeṭṭhakatāpasaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīditvā – ‘‘bhante, kena te attho’’ti pucchi. Paṇḍurogo tāpaso ‘‘agginā me attho’’ti āha. So taṃ sutvā tassa vāsipharasukaṃ adāsi. Vāsipharasuko nāma daṇḍe pavesanavasena vāsipi hoti pharasupi. Tāpaso ‘‘ko me imaṃ ādāya dārūni āharissatī’’ti āha. Atha naṃ sakko evamāha – ‘‘yadā te, bhante, dārūhi attho, imaṃ pharasuṃ hatthena paharitvā ‘dārūni me āharitvā aggiṃ karohī’ti vadeyyāsi, dārūni āharitvā aggiṃ katvā dassatī’’ti. Tassa vāsipharasukaṃ datvā dutiyampi upasaṅkamitvā ‘‘bhante, kena te attho’’ti pucchi. Tassa paṇṇasālāya hatthimaggo hoti, so hatthīhi upadduto ‘‘hatthīnaṃ me vasena dukkhaṃ uppajjati, te palāpehī’’ti āha. Sakko tassa ekaṃ bheriṃ upanāmetvā ‘‘bhante, imasmiṃ tale pahaṭe tumhākaṃ paccāmittā palāyissanti, imasmiṃ tale pahaṭe mettacittā hutvā caturaṅginiyā senāya parivāressantī’’ti vatvā taṃ bheriṃ datvā kaniṭṭhassa santikaṃ gantvā ‘‘bhante, kena te attho’’ti pucchi. Sopi paṇḍurogadhātukova, tasmā ‘‘dadhinā me attho’’ti āha. Sakko tassa ekaṃ dadhighaṭaṃ datvā ‘‘sace tumhe icchamānā imaṃ āsiñceyyātha, mahānadī hutvā mahoghaṃ pavattetvā tumhākaṃ rajjaṃ gahetvā dātuṃ samatthopi bhavissatī’’ti vatvā pakkāmi. Tato paṭṭhāya vāsipharasuko jeṭṭhabhātikassa aggiṃ karoti, itarena bheritale pahaṭe hatthī palāyanti, kaniṭṭho dadhiṃ paribhuñjati.

    ตสฺมิํ กาเล เอโก สูกโร เอกสฺมิํ ปุราณคามฎฺฐาเน จรโนฺต อานุภาวสมฺปนฺนํ เอกํ มณิกฺขนฺธํ อทฺทสฯ โส ตํ มณิกฺขนฺธํ มุเขน ฑํสิตฺวา ตสฺสานุภาเวน อากาเส อุปฺปติตฺวา สมุทฺทสฺส มเชฺฌ เอกํ ทีปกํ คนฺตฺวา ‘‘เอตฺถ ทานิ มยา วสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ โอตริตฺวา ผาสุกฎฺฐาเน เอกสฺส อุทุมฺพรรุกฺขสฺส เหฎฺฐา วาสํ กเปฺปสิฯ โส เอกทิวสํ ตสฺมิํ รุกฺขมูเล มณิกฺขนฺธํ ปุรโต ฐเปตฺวา นิทฺทํ โอกฺกมิฯ อเถโก กาสิรฎฺฐวาสี มนุโสฺส ‘‘นิรุปกาโร เอส อมฺหาก’’นฺติ มาตาปิตูหิ เคหา นิกฺกฑฺฒิโต เอกํ ปฎฺฎนคามํ คนฺตฺวา นาวิกานํ กมฺมกาโร หุตฺวา นาวํ อารุยฺห สมุทฺทมเชฺฌ ภินฺนาย นาวาย ผลเก นิปโนฺน ตํ ทีปกํ ปตฺวา ผลาผลานิ ปริเยสโนฺต ตํ สูกรํ นิทฺทายนฺตํ ทิสฺวา สณิกํ คนฺตฺวา มณิกฺขนฺธํ คณฺหิตฺวา ตสฺส อานุภาเวน อากาเส อุปฺปติตฺวา อุทุมฺพรรุเกฺข นิสีทิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ สูกโร อิมสฺส มณิกฺขนฺธสฺส อานุภาเวน อากาสจาริโก หุตฺวา อิธ วสติ มเญฺญ, มยา ปฐมเมว อิมํ สูกรํ มาเรตฺวา มํสํ ขาทิตฺวา ปจฺฉา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส เอกํ ทณฺฑกํ ภญฺชิตฺวา ตสฺส สีเส ปาเตติฯ สูกโร ปพุชฺฌิตฺวา มณิํ อปสฺสโนฺต อิโต จิโต จ กมฺปมาโน วิธาวติ, รุเกฺข นิสินฺนปุริโส หสิฯ สูกโร โอโลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา ตํ รุกฺขํ สีเสน ปหริตฺวา ตเตฺถว มโตฯ

    Tasmiṃ kāle eko sūkaro ekasmiṃ purāṇagāmaṭṭhāne caranto ānubhāvasampannaṃ ekaṃ maṇikkhandhaṃ addasa. So taṃ maṇikkhandhaṃ mukhena ḍaṃsitvā tassānubhāvena ākāse uppatitvā samuddassa majjhe ekaṃ dīpakaṃ gantvā ‘‘ettha dāni mayā vasituṃ vaṭṭatī’’ti otaritvā phāsukaṭṭhāne ekassa udumbararukkhassa heṭṭhā vāsaṃ kappesi. So ekadivasaṃ tasmiṃ rukkhamūle maṇikkhandhaṃ purato ṭhapetvā niddaṃ okkami. Atheko kāsiraṭṭhavāsī manusso ‘‘nirupakāro esa amhāka’’nti mātāpitūhi gehā nikkaḍḍhito ekaṃ paṭṭanagāmaṃ gantvā nāvikānaṃ kammakāro hutvā nāvaṃ āruyha samuddamajjhe bhinnāya nāvāya phalake nipanno taṃ dīpakaṃ patvā phalāphalāni pariyesanto taṃ sūkaraṃ niddāyantaṃ disvā saṇikaṃ gantvā maṇikkhandhaṃ gaṇhitvā tassa ānubhāvena ākāse uppatitvā udumbararukkhe nisīditvā cintesi – ‘‘ayaṃ sūkaro imassa maṇikkhandhassa ānubhāvena ākāsacāriko hutvā idha vasati maññe, mayā paṭhamameva imaṃ sūkaraṃ māretvā maṃsaṃ khāditvā pacchā gantuṃ vaṭṭatī’’ti. So ekaṃ daṇḍakaṃ bhañjitvā tassa sīse pāteti. Sūkaro pabujjhitvā maṇiṃ apassanto ito cito ca kampamāno vidhāvati, rukkhe nisinnapuriso hasi. Sūkaro olokento taṃ disvā taṃ rukkhaṃ sīsena paharitvā tattheva mato.

    โส ปุริโส โอตริตฺวา อคฺคิํ กตฺวา ตสฺส มํสํ ปจิตฺวา ขาทิตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา หิมวนฺตมตฺถเกน คจฺฉโนฺต อสฺสมปทํ ทิสฺวา เชฎฺฐภาติกสฺส ตาปสสฺส อสฺสเม โอตริตฺวา ทฺวีหตีหํ วสิตฺวา ตาปสสฺส วตฺตปฎิวตฺตํ อกาสิ, วาสิผรสุกสฺส อานุภาวญฺจ ปสฺสิฯ โส ‘‘อิมํ มยา คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ มณิกฺขนฺธสฺส อานุภาวํ ตาปสสฺส ทเสฺสตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิมํ มณิํ คเหตฺวา วาสิผรสุกํ เทถา’’ติ อาหฯ ตาปโส อากาเสน จริตุกาโม ตํ คเหตฺวา วาสิผรสุกํ อทาสิฯ โส ตํ คเหตฺวา โถกํ คนฺตฺวา วาสิผรสุกํ ปหริตฺวา ‘‘วาสิผรสุก ตาปสสฺส สีสํ ฉินฺทิตฺวา มณิกฺขนฺธํ เม อาหรา’’ติ อาหฯ โส คนฺตฺวา ตาปสสฺส สีสํ ฉินฺทิตฺวา มณิกฺขนฺธํ อาหริฯ โส วาสิผรสุกํ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน ฐเปตฺวา มชฺฌิมตาปสสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา กติปาหํ วสิตฺวา เภริยา อานุภาวํ ทิสฺวา มณิกฺขนฺธํ ทตฺวา เภริํ คณฺหิตฺวา ปุริมนเยเนว ตสฺสปิ สีสํ ฉินฺทาเปตฺวา กนิฎฺฐํ อุปสงฺกมิตฺวา ทธิฆฎสฺส อานุภาวํ ทิสฺวา มณิกฺขนฺธํ ทตฺวา ทธิฆฎํ คเหตฺวา ปุริมนเยเนว ตสฺส สีสํ ฉินฺทาเปตฺวา มณิกฺขนฺธญฺจ วาสิผรสุกญฺจ เภริญฺจ ทธิฆฎญฺจ คเหตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา พาราณสิยา อวิทูเร ฐตฺวา พาราณสิรโญฺญ ‘‘ยุทฺธํ วา เม เทตุ รชฺชํ วา’’ติ เอกสฺส ปุริสสฺส หเตฺถ ปณฺณํ ปาเหสิฯ

    So puriso otaritvā aggiṃ katvā tassa maṃsaṃ pacitvā khāditvā ākāse uppatitvā himavantamatthakena gacchanto assamapadaṃ disvā jeṭṭhabhātikassa tāpasassa assame otaritvā dvīhatīhaṃ vasitvā tāpasassa vattapaṭivattaṃ akāsi, vāsipharasukassa ānubhāvañca passi. So ‘‘imaṃ mayā gahetuṃ vaṭṭatī’’ti maṇikkhandhassa ānubhāvaṃ tāpasassa dassetvā ‘‘bhante, imaṃ maṇiṃ gahetvā vāsipharasukaṃ dethā’’ti āha. Tāpaso ākāsena caritukāmo taṃ gahetvā vāsipharasukaṃ adāsi. So taṃ gahetvā thokaṃ gantvā vāsipharasukaṃ paharitvā ‘‘vāsipharasuka tāpasassa sīsaṃ chinditvā maṇikkhandhaṃ me āharā’’ti āha. So gantvā tāpasassa sīsaṃ chinditvā maṇikkhandhaṃ āhari. So vāsipharasukaṃ paṭicchannaṭṭhāne ṭhapetvā majjhimatāpasassa santikaṃ gantvā katipāhaṃ vasitvā bheriyā ānubhāvaṃ disvā maṇikkhandhaṃ datvā bheriṃ gaṇhitvā purimanayeneva tassapi sīsaṃ chindāpetvā kaniṭṭhaṃ upasaṅkamitvā dadhighaṭassa ānubhāvaṃ disvā maṇikkhandhaṃ datvā dadhighaṭaṃ gahetvā purimanayeneva tassa sīsaṃ chindāpetvā maṇikkhandhañca vāsipharasukañca bheriñca dadhighaṭañca gahetvā ākāse uppatitvā bārāṇasiyā avidūre ṭhatvā bārāṇasirañño ‘‘yuddhaṃ vā me detu rajjaṃ vā’’ti ekassa purisassa hatthe paṇṇaṃ pāhesi.

    ราชา สาสนํ สุตฺวาว ‘‘โจรํ คณฺหิสฺสามี’’ติ นิกฺขมิฯ โส เอกํ เภริตลํ ปหริ, จตุรงฺคินี เสนา ปริวาเรสิฯ รโญฺญ อวตฺถรณภาวํ ญตฺวา ทธิฆฎํ วิสฺสเชฺชสิ, มหานที ปวตฺติฯ มหาชโน ทธิมฺหิ โอสีทิตฺวา นิกฺขมิตุํ นาสกฺขิฯ วาสิผรสุกํ ปหริตฺวา ‘‘รโญฺญ สีสํ อาหรา’’ติ อาห, วาสิผรสุโก คนฺตฺวา รโญฺญ สีสํ อาหริตฺวา ปาทมูเล นิกฺขิปิฯ เอโกปิ อาวุธํ อุกฺขิปิตุํ นาสกฺขิฯ โส มหเนฺตน พเลน ปริวุโต นครํ ปวิสิตฺวา อภิเสกํ กาเรตฺวา ทธิวาหโน นาม ราชา หุตฺวา ธเมฺมน สเมน รชฺชํ กาเรสิฯ

    Rājā sāsanaṃ sutvāva ‘‘coraṃ gaṇhissāmī’’ti nikkhami. So ekaṃ bheritalaṃ pahari, caturaṅginī senā parivāresi. Rañño avattharaṇabhāvaṃ ñatvā dadhighaṭaṃ vissajjesi, mahānadī pavatti. Mahājano dadhimhi osīditvā nikkhamituṃ nāsakkhi. Vāsipharasukaṃ paharitvā ‘‘rañño sīsaṃ āharā’’ti āha, vāsipharasuko gantvā rañño sīsaṃ āharitvā pādamūle nikkhipi. Ekopi āvudhaṃ ukkhipituṃ nāsakkhi. So mahantena balena parivuto nagaraṃ pavisitvā abhisekaṃ kāretvā dadhivāhano nāma rājā hutvā dhammena samena rajjaṃ kāresi.

    ตเสฺสกทิวสํ มหานทิยํ ชาลกรณฺฑเก กีฬนฺตสฺส กณฺณมุณฺฑทหโต เทวปริโภคํ เอกํ อมฺพปกฺกํ อาคนฺตฺวา ชาเล ลคฺคิ, ชาลํ อุกฺขิปนฺตา ตํ ทิสฺวา รโญฺญ อทํสุฯ ตํ มหนฺตํ ฆฎปฺปมาณํ ปริมณฺฑลํ สุวณฺณวณฺณํ อโหสิฯ ราชา ‘‘กิสฺส ผลํ นาเมต’’นฺติ วนจรเก ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อมฺพผล’’นฺติ สุตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา ตสฺส อฎฺฐิํ อตฺตโน อุยฺยาเน โรปาเปตฺวา ขีโรทเกน สิญฺจาเปสิฯ รุโกฺข นิพฺพตฺติตฺวา ตติเย สํวจฺฉเร ผลํ อทาสิฯ อมฺพสฺส สกฺกาโร มหา อโหสิ, ขีโรทเกน สิญฺจนฺติ, คนฺธปญฺจงฺคุลิกํ เทนฺติ, มาลาทามานิ ปริกฺขิปนฺติ, คนฺธเตเลน ทีปํ ชาเลนฺติ, ปริเกฺขโป ปนสฺส ปฎสาณิยา อโหสิฯ ผลานิ มธุรานิ สุวณฺณวณฺณานิ อเหสุํฯ ทธิวาหนราชา อเญฺญสํ ราชูนํ อมฺพผลํ เปเสโนฺต อฎฺฐิโต รุกฺขนิพฺพตฺตนภเยน องฺกุรนิพฺพตฺตนฎฺฐานํ มณฺฑูกกณฺฎเกน วิชฺฌิตฺวา เปเสสิฯ เตสํ อมฺพํ ขาทิตฺวา อฎฺฐิ โรปิตํ น สมฺปชฺชติฯ เต ‘‘กิํ นุ โข เอตฺถ การณ’’นฺติ ปุจฺฉนฺตา ตํ การณํ ชานิํสุฯ

    Tassekadivasaṃ mahānadiyaṃ jālakaraṇḍake kīḷantassa kaṇṇamuṇḍadahato devaparibhogaṃ ekaṃ ambapakkaṃ āgantvā jāle laggi, jālaṃ ukkhipantā taṃ disvā rañño adaṃsu. Taṃ mahantaṃ ghaṭappamāṇaṃ parimaṇḍalaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ ahosi. Rājā ‘‘kissa phalaṃ nāmeta’’nti vanacarake pucchitvā ‘‘ambaphala’’nti sutvā paribhuñjitvā tassa aṭṭhiṃ attano uyyāne ropāpetvā khīrodakena siñcāpesi. Rukkho nibbattitvā tatiye saṃvacchare phalaṃ adāsi. Ambassa sakkāro mahā ahosi, khīrodakena siñcanti, gandhapañcaṅgulikaṃ denti, mālādāmāni parikkhipanti, gandhatelena dīpaṃ jālenti, parikkhepo panassa paṭasāṇiyā ahosi. Phalāni madhurāni suvaṇṇavaṇṇāni ahesuṃ. Dadhivāhanarājā aññesaṃ rājūnaṃ ambaphalaṃ pesento aṭṭhito rukkhanibbattanabhayena aṅkuranibbattanaṭṭhānaṃ maṇḍūkakaṇṭakena vijjhitvā pesesi. Tesaṃ ambaṃ khāditvā aṭṭhi ropitaṃ na sampajjati. Te ‘‘kiṃ nu kho ettha kāraṇa’’nti pucchantā taṃ kāraṇaṃ jāniṃsu.

    อเถโก ราชา อุยฺยานปาลํ ปโกฺกสิตฺวา ‘‘ทธิวาหนสฺส อมฺพผลานํ รสํ นาเสตฺวา ติตฺตกภาวํ กาตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ คจฺฉาหี’’ติ สหสฺสํ ทตฺวา เปเสสิฯ โส พาราณสิํ คนฺตฺวา ‘‘เอโก อุยฺยานปาโล อาคโต’’ติ รโญฺญ อาโรจาเปตฺวา เตน ปโกฺกสาปิโต ปวิสิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา ‘‘ตฺวํ อุยฺยานปาโล’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘อาม, เทวา’’ติ วตฺวา อตฺตโน อานุภาวํ วเณฺณสิฯ ราชา ‘‘คจฺฉ อมฺหากํ อุยฺยานปาลสฺส สนฺติเก โหหี’’ติ อาหฯ เต ตโต ปฎฺฐาย เทฺว ชนา อุยฺยานํ ปฎิชคฺคนฺติฯ อธุนาคโต อุยฺยานปาโล อกาลปุปฺผานิ สุฎฺฐุ ปุปฺผาเปโนฺต อกาลผลานิ คณฺหาเปโนฺต อุยฺยานํ รมณียํ อกาสิฯ ราชา ตสฺส ปสีทิตฺวา โปราณกอุยฺยานปาลํ นีหริตฺวา ตเสฺสว อุยฺยานํ อทาสิฯ โส อุยฺยานสฺส อตฺตโน หตฺถคตภาวํ ญตฺวา อมฺพรุกฺขํ ปริวาเรตฺวา นิเมฺพ จ ผคฺคววลฺลิโย จ โรเปสิ, อนุปุเพฺพน นิมฺพา วฑฺฒิํสุ, มูเลหิ มูลานิ, สาขาหิ จ สาขา สํสฎฺฐา โอนทฺธวินทฺธา อเหสุํฯ เตน อสาตอมธุรสํสเคฺคน ตาวมธุรผโล อโมฺพ ติตฺตโก ชาโต นิมฺพปณฺณสทิสรโส, อมฺพผลานํ ติตฺตกภาวํ ญตฺวา อุยฺยานปาโล ปลายิฯ

    Atheko rājā uyyānapālaṃ pakkositvā ‘‘dadhivāhanassa ambaphalānaṃ rasaṃ nāsetvā tittakabhāvaṃ kātuṃ sakkhissasī’’ti pucchitvā ‘‘āma, devā’’ti vutte ‘‘tena hi gacchāhī’’ti sahassaṃ datvā pesesi. So bārāṇasiṃ gantvā ‘‘eko uyyānapālo āgato’’ti rañño ārocāpetvā tena pakkosāpito pavisitvā rājānaṃ vanditvā ‘‘tvaṃ uyyānapālo’’ti puṭṭho ‘‘āma, devā’’ti vatvā attano ānubhāvaṃ vaṇṇesi. Rājā ‘‘gaccha amhākaṃ uyyānapālassa santike hohī’’ti āha. Te tato paṭṭhāya dve janā uyyānaṃ paṭijagganti. Adhunāgato uyyānapālo akālapupphāni suṭṭhu pupphāpento akālaphalāni gaṇhāpento uyyānaṃ ramaṇīyaṃ akāsi. Rājā tassa pasīditvā porāṇakauyyānapālaṃ nīharitvā tasseva uyyānaṃ adāsi. So uyyānassa attano hatthagatabhāvaṃ ñatvā ambarukkhaṃ parivāretvā nimbe ca phaggavavalliyo ca ropesi, anupubbena nimbā vaḍḍhiṃsu, mūlehi mūlāni, sākhāhi ca sākhā saṃsaṭṭhā onaddhavinaddhā ahesuṃ. Tena asātaamadhurasaṃsaggena tāvamadhuraphalo ambo tittako jāto nimbapaṇṇasadisaraso, ambaphalānaṃ tittakabhāvaṃ ñatvā uyyānapālo palāyi.

    ทธิวาหโน อุยฺยานํ คนฺตฺวา อมฺพผลํ ขาทโนฺต มุเข ปวิฎฺฐํ อมฺพรสํ นิมฺพกสฎํ วิย อโชฺฌหริตุํ อสโกฺกโนฺต กกฺกาเรตฺวา นิฎฺฐุภิฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺส อตฺถธมฺมานุสาสโก อมโจฺจ อโหสิฯ ราชา โพธิสตฺตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ปณฺฑิต, อิมสฺส รุกฺขสฺส โปราณกปริหารโต ปริหีนํ นตฺถิ, เอวํ สเนฺตปิสฺส ผลํ ติตฺตกํ ชาตํ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Dadhivāhano uyyānaṃ gantvā ambaphalaṃ khādanto mukhe paviṭṭhaṃ ambarasaṃ nimbakasaṭaṃ viya ajjhoharituṃ asakkonto kakkāretvā niṭṭhubhi. Tadā bodhisatto tassa atthadhammānusāsako amacco ahosi. Rājā bodhisattaṃ āmantetvā ‘‘paṇḍita, imassa rukkhassa porāṇakaparihārato parihīnaṃ natthi, evaṃ santepissa phalaṃ tittakaṃ jātaṃ, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๗๑.

    71.

    ‘‘วณฺณคนฺธรสูเปโต , อโมฺพยํ อหุวา ปุเร;

    ‘‘Vaṇṇagandharasūpeto , amboyaṃ ahuvā pure;

    ตเมว ปูชํ ลภมาโน, เกนโมฺพ กฎุกปฺผโล’’ติฯ

    Tameva pūjaṃ labhamāno, kenambo kaṭukapphalo’’ti.

    อถสฺส การณํ อาจิกฺขโนฺต โพธิสโตฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Athassa kāraṇaṃ ācikkhanto bodhisatto dutiyaṃ gāthamāha –

    ๗๒.

    72.

    ‘‘ปุจิมนฺทปริวาโร, อโมฺพ เต ทธิวาหน;

    ‘‘Pucimandaparivāro, ambo te dadhivāhana;

    มูลํ มูเลน สํสฎฺฐํ, สาขา สาขา นิเสวเร;

    Mūlaṃ mūlena saṃsaṭṭhaṃ, sākhā sākhā nisevare;

    อสาตสนฺนิวาเสน, เตนโมฺพ กฎุกปฺผโล’’ติฯ

    Asātasannivāsena, tenambo kaṭukapphalo’’ti.

    ตตฺถ ปุจิมนฺทปริวาโรติ นิมฺพรุกฺขปริวาโรฯ สาขา สาขา นิเสวเรติ ปุจิมนฺทสฺส สาขาโย อมฺพรุกฺขสฺส สาขาโย นิเสวนฺติฯ อสาตสนฺนิวาเสนาติ อมธุเรหิ ปุจิมเนฺทหิ สทฺธิํ สนฺนิวาเสนฯ เตนาติ เตน การเณน อยํ อโมฺพ กฎุกปฺผโล อสาตผโล ติตฺตกผโล ชาโตติฯ

    Tattha pucimandaparivāroti nimbarukkhaparivāro. Sākhā sākhā nisevareti pucimandassa sākhāyo ambarukkhassa sākhāyo nisevanti. Asātasannivāsenāti amadhurehi pucimandehi saddhiṃ sannivāsena. Tenāti tena kāraṇena ayaṃ ambo kaṭukapphalo asātaphalo tittakaphalo jātoti.

    ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา สเพฺพปิ ปุจิมเนฺท จ ผคฺคววลฺลิโย จ ฉินฺทาเปตฺวา มูลานิ อุทฺธราเปตฺวา สมนฺตา อมธุรปํสุํ หราเปตฺวา มธุรปํสุํ ปกฺขิปาเปตฺวา ขีโรทกสกฺขโรทกคโนฺธทเกหิ อมฺพํ ปฎิชคฺคาเปสิฯ โส มธุรสํสเคฺคน ปุน มธุโรว อโหสิฯ ราชา ปกติอุยฺยานปาลเสฺสว อุยฺยานํ นิยฺยาเทตฺวา ยาวตายุกํ ฐตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ

    Rājā tassa vacanaṃ sutvā sabbepi pucimande ca phaggavavalliyo ca chindāpetvā mūlāni uddharāpetvā samantā amadhurapaṃsuṃ harāpetvā madhurapaṃsuṃ pakkhipāpetvā khīrodakasakkharodakagandhodakehi ambaṃ paṭijaggāpesi. So madhurasaṃsaggena puna madhurova ahosi. Rājā pakatiuyyānapālasseva uyyānaṃ niyyādetvā yāvatāyukaṃ ṭhatvā yathākammaṃ gato.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อหเมว ปณฺฑิตามโจฺจ อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā ahameva paṇḍitāmacco ahosi’’nti.

    ทธิวาหนชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ

    Dadhivāhanajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๘๖. ทธิวาหนชาตกํ • 186. Dadhivāhanajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact