Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๑๒. ทกฺขิณาวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา
12. Dakkhiṇāvibhaṅgasuttavaṇṇanā
๓๗๖. เอวํ เม สุตนฺติ ทกฺขิณาวิภงฺคสุตฺตํฯ ตตฺถ มหาปชาปติ โคตมีติ โคตมีติ โคตฺตํฯ นามกรณทิวเส ปนสฺสา ลทฺธสกฺการา พฺราหฺมณา ลกฺขณสมฺปตฺติํ ทิสฺวา – ‘‘สเจ อยํ ธีตรํ ลภิสฺสติ, จกฺกวตฺติรโญฺญ อคฺคมเหสี ภวิสฺสติฯ สเจ ปุตฺตํ ลภิสฺสติ, จกฺกวตฺติราชา ภวิสฺสตีติ อุภยถาปิ มหตีเยวสฺสา ปชา ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากริํสุฯ อถสฺสา มหาปชาปตีติ นามํ อกํสุฯ อิธ ปน โคเตฺตน สทฺธิํ สํสนฺทิตฺวา มหาปชาปติโคตมีติ วุตฺตํฯ นวนฺติ อหตํฯ สามํ วายิตนฺติ น สหเตฺถเนว วายิตํ, เอกทิวสํ ปน ธาติคณปริวุตา สิปฺปิกานํ วายนฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา เวมโกฎิํ คเหตฺวา วายนาการํ อกาสิฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ
376.Evaṃme sutanti dakkhiṇāvibhaṅgasuttaṃ. Tattha mahāpajāpati gotamīti gotamīti gottaṃ. Nāmakaraṇadivase panassā laddhasakkārā brāhmaṇā lakkhaṇasampattiṃ disvā – ‘‘sace ayaṃ dhītaraṃ labhissati, cakkavattirañño aggamahesī bhavissati. Sace puttaṃ labhissati, cakkavattirājā bhavissatīti ubhayathāpi mahatīyevassā pajā bhavissatī’’ti byākariṃsu. Athassā mahāpajāpatīti nāmaṃ akaṃsu. Idha pana gottena saddhiṃ saṃsanditvā mahāpajāpatigotamīti vuttaṃ. Navanti ahataṃ. Sāmaṃ vāyitanti na sahattheneva vāyitaṃ, ekadivasaṃ pana dhātigaṇaparivutā sippikānaṃ vāyanaṭṭhānaṃ āgantvā vemakoṭiṃ gahetvā vāyanākāraṃ akāsi. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.
กทา ปน โคตมิยา ภควโต ทุสฺสยุคํ ทาตุํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนนฺติฯ อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปฐมคมเนน กปิลปุรํ อาคตกาเลฯ ตทา หิ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐํ สตฺถารํ คเหตฺวา สุโทฺธทนมหาราชา สกํ นิเวสนํ ปเวเสสิ, อถ ภควโต รูปโสภคฺคํ ทิสฺวา มหาปชาปติโคตมี จิเนฺตสิ – ‘‘โสภติ วต เม ปุตฺตสฺส อตฺตภาโว’’ติฯ อถสฺสา พลวโสมนสฺสํ อุปฺปชฺชิฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘มม ปุตฺตสฺส เอกูนติํส วสฺสานิ อคารมเชฺฌ วสนฺตสฺส อนฺตมโส โมจผลมตฺตมฺปิ มยา ทินฺนกเมว อโหสิ, อิทานิปิสฺส จีวรสาฎกํ ทสฺสามี’’ติฯ ‘‘อิมสฺมิํ โข ปน ราชเคเห พหูนิ มหคฺฆานิ วตฺถานิ อตฺถิ, ตานิ มํ น โตเสนฺติ, สหตฺถา กตเมว มํ โตเสติ, สหตฺถา กตฺวา ทสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ
Kadā pana gotamiyā bhagavato dussayugaṃ dātuṃ cittaṃ uppannanti. Abhisambodhiṃ patvā paṭhamagamanena kapilapuraṃ āgatakāle. Tadā hi piṇḍāya paviṭṭhaṃ satthāraṃ gahetvā suddhodanamahārājā sakaṃ nivesanaṃ pavesesi, atha bhagavato rūpasobhaggaṃ disvā mahāpajāpatigotamī cintesi – ‘‘sobhati vata me puttassa attabhāvo’’ti. Athassā balavasomanassaṃ uppajji. Tato cintesi – ‘‘mama puttassa ekūnatiṃsa vassāni agāramajjhe vasantassa antamaso mocaphalamattampi mayā dinnakameva ahosi, idānipissa cīvarasāṭakaṃ dassāmī’’ti. ‘‘Imasmiṃ kho pana rājagehe bahūni mahagghāni vatthāni atthi, tāni maṃ na tosenti, sahatthā katameva maṃ toseti, sahatthā katvā dassāmī’’ti cittaṃ uppādesi.
อถนฺตราปณา กปฺปาสํ อาหราเปตฺวา สหเตฺถเนว ปิสิตฺวา โปเถตฺวา สุขุมสุตฺตํ กนฺติตฺวา อโนฺตวตฺถุสฺมิํเยว สาลํ การาเปตฺวา สิปฺปิเก ปโกฺกสาเปตฺวา สิปฺปิกานํ อตฺตโน ปริโภคขาทนียโภชนียเมว ทตฺวา วายาเปสิ, กาลานุกาลญฺจ ธาติคณปริวุตา คนฺตฺวา เวมโกฎิํ อคฺคเหสิฯ นิฎฺฐิตกาเล สิปฺปิกานํ มหาสกฺการํ กตฺวา ทุสฺสยุคํ คนฺธสมุเคฺค ปกฺขิปิตฺวา วาสํ คาหาเปตฺวา – ‘‘มยฺหํ ปุตฺตสฺส จีวรสาฎกํ คเหตฺวา คมิสฺสามี’’ติ รโญฺญ อาโรเจสิ ฯ ราชา มคฺคํ ปฎิยาทาเปสิ, วีถิโย สมฺมชฺชิตฺวา ปุณฺณฆเฎ ฐเปตฺวา ธชปฎากา อุสฺสาเปตฺวา ราชฆรทฺวารโต ปฎฺฐาย ยาว นิโคฺรธารามา มคฺคํ ปฎิยาทาเปตฺวา ปุปฺผาภิกิณฺณํ อกํสุฯ มหาปชาปติปิ สพฺพาลงฺการํ อลงฺกริตฺวา ธาติคณปริวุตา สมุคฺคํ สีเส ฐเปตฺวา ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา อิทํ เม, ภเนฺต, นวํ ทุสฺสยุคนฺติอาทิมาหฯ
Athantarāpaṇā kappāsaṃ āharāpetvā sahattheneva pisitvā pothetvā sukhumasuttaṃ kantitvā antovatthusmiṃyeva sālaṃ kārāpetvā sippike pakkosāpetvā sippikānaṃ attano paribhogakhādanīyabhojanīyameva datvā vāyāpesi, kālānukālañca dhātigaṇaparivutā gantvā vemakoṭiṃ aggahesi. Niṭṭhitakāle sippikānaṃ mahāsakkāraṃ katvā dussayugaṃ gandhasamugge pakkhipitvā vāsaṃ gāhāpetvā – ‘‘mayhaṃ puttassa cīvarasāṭakaṃ gahetvā gamissāmī’’ti rañño ārocesi . Rājā maggaṃ paṭiyādāpesi, vīthiyo sammajjitvā puṇṇaghaṭe ṭhapetvā dhajapaṭākā ussāpetvā rājagharadvārato paṭṭhāya yāva nigrodhārāmā maggaṃ paṭiyādāpetvā pupphābhikiṇṇaṃ akaṃsu. Mahāpajāpatipi sabbālaṅkāraṃ alaṅkaritvā dhātigaṇaparivutā samuggaṃ sīse ṭhapetvā bhagavato santikaṃ gantvā idaṃ me, bhante, navaṃ dussayugantiādimāha.
ทุติยมฺปิ โขติ ‘‘สเงฺฆ โคตมิ เทหี’’ติ วุเตฺต – ‘‘ปโหมหํ, ภเนฺต, ทุสฺสโกฎฺฐาคารโต ภิกฺขุสตสฺสาปิ ภิกฺขุสหสฺสสฺสาปิ ภิกฺขุสตสหสฺสสฺสาปิ จีวรทุสฺสานิ ทาตุํ, อิทํ ปน เม ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส สามํ กนฺตํ สามํ วายิตํ, ตํ เม, ภเนฺต, ภควา ปฎิคฺคณฺหาตู’’ติ นิมนฺตยมานา อาหฯ เอวํ ยาวตติยํ ยาจิ, ภควาปิ ปฎิกฺขิปิเยวฯ
Dutiyampi khoti ‘‘saṅghe gotami dehī’’ti vutte – ‘‘pahomahaṃ, bhante, dussakoṭṭhāgārato bhikkhusatassāpi bhikkhusahassassāpi bhikkhusatasahassassāpi cīvaradussāni dātuṃ, idaṃ pana me bhagavantaṃ uddissa sāmaṃ kantaṃ sāmaṃ vāyitaṃ, taṃ me, bhante, bhagavā paṭiggaṇhātū’’ti nimantayamānā āha. Evaṃ yāvatatiyaṃ yāci, bhagavāpi paṭikkhipiyeva.
กสฺมา ปน ภควา อตฺตโน ทิยฺยมานํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทาเปตีติ? มาตริ อนุกมฺปายฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อิมิสฺสา มํ อารพฺภ ปุพฺพเจตนา มุญฺจเจตนา ปรเจตนาติ ติโสฺส เจตนา อุปฺปนฺนา, ภิกฺขุสงฺฆมฺปิสฺสา อารพฺภ อุปฺปชฺชนฺตุ, เอวมสฺสา ฉ เจตนา เอกโต หุตฺวา ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ปวตฺติสฺสนฺตี’’ติฯ วิตณฺฑวาที ปนาห – ‘‘สเงฺฆ ทินฺนํ มหปฺผลนฺติ ตสฺมา เอวํ วุตฺต’’นฺติฯ โส วตฺตโพฺพ – ‘‘กิํ ตฺวํ สตฺถุ ทินฺนโต สเงฺฆ ทินฺนํ มหปฺผลตรํ วทสี’’ติ อาม วทามีติฯ สุตฺตํ อาหราติฯ สเงฺฆ โคตมิ เทหิ, สเงฺฆ เต ทิเนฺน อหเญฺจว ปูชิโต ภวิสฺสามิ สโงฺฆ จาติฯ กิํ ปนสฺส สุตฺตสฺส อยเมว อโตฺถติ ? อาม อยเมวาติฯ ยทิ เอวํ ‘‘เตน หานนฺท, วิฆาสาทานํ ปูวํ เทหี’’ติ จ (ปาจิ. ๒๖๙) ‘‘เตน หิ ตฺว, กจฺจาน, วิฆาสาทานํ คุฬํ เทหี’’ติ (มหาว. ๒๘๔) จ วจนโต วิฆาสาทานํ ทินฺนํ มหปฺผลตรญฺจ ภเวยฺยฯ เอวมฺปิ หิ ‘‘สตฺถา อตฺตโน ทิยฺยมานํ ทาเปตี’’ติฯ ราชราชมหามตฺตาทโยปิ อตฺตโน อาคตํ ปณฺณาการํ หตฺถิโคปกาทีนํ ทาเปนฺติ, เต ราชาทีหิ มหนฺตตรา ภเวยฺยุํฯ ตสฺมา มา เอวํ คณฺห –
Kasmā pana bhagavā attano diyyamānaṃ bhikkhusaṅghassa dāpetīti? Mātari anukampāya. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘imissā maṃ ārabbha pubbacetanā muñcacetanā paracetanāti tisso cetanā uppannā, bhikkhusaṅghampissā ārabbha uppajjantu, evamassā cha cetanā ekato hutvā dīgharattaṃ hitāya sukhāya pavattissantī’’ti. Vitaṇḍavādī panāha – ‘‘saṅghe dinnaṃ mahapphalanti tasmā evaṃ vutta’’nti. So vattabbo – ‘‘kiṃ tvaṃ satthu dinnato saṅghe dinnaṃ mahapphalataraṃ vadasī’’ti āma vadāmīti. Suttaṃ āharāti. Saṅghe gotami dehi, saṅghe te dinne ahañceva pūjito bhavissāmi saṅgho cāti. Kiṃ panassa suttassa ayameva atthoti ? Āma ayamevāti. Yadi evaṃ ‘‘tena hānanda, vighāsādānaṃ pūvaṃ dehī’’ti ca (pāci. 269) ‘‘tena hi tva, kaccāna, vighāsādānaṃ guḷaṃ dehī’’ti (mahāva. 284) ca vacanato vighāsādānaṃ dinnaṃ mahapphalatarañca bhaveyya. Evampi hi ‘‘satthā attano diyyamānaṃ dāpetī’’ti. Rājarājamahāmattādayopi attano āgataṃ paṇṇākāraṃ hatthigopakādīnaṃ dāpenti, te rājādīhi mahantatarā bhaveyyuṃ. Tasmā mā evaṃ gaṇha –
‘‘นยิมสฺมิํ โลเก ปรสฺมิํ วา ปน,
‘‘Nayimasmiṃ loke parasmiṃ vā pana,
พุเทฺธน เสโฎฺฐ สทิโส วา วิชฺชติ;
Buddhena seṭṭho sadiso vā vijjati;
ยมาหุเนยฺยานมคฺคตํ คโต,
Yamāhuneyyānamaggataṃ gato,
ปุญฺญตฺถิกานํ วิปุลผเลสิน’’นฺติฯ –
Puññatthikānaṃ vipulaphalesina’’nti. –
วจนโต หิ สตฺถารา อุตฺตริตโร ทกฺขิเณโยฺย นาม นตฺถิฯ เอวมสฺสา ฉ เจตนา เอกโต หุตฺวา ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสนฺตีติ สนฺธาย ยาวตติยํ ปฎิพาหิตฺวา สงฺฆสฺส ทาเปสิฯ
Vacanato hi satthārā uttaritaro dakkhiṇeyyo nāma natthi. Evamassā cha cetanā ekato hutvā dīgharattaṃ hitāya sukhāya bhavissantīti sandhāya yāvatatiyaṃ paṭibāhitvā saṅghassa dāpesi.
ปจฺฉิมาย ชนตาย สเงฺฆ จิตฺตีการชนนตฺถํ จาปิ เอวมาหฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อหํ น จิรฎฺฐิติโก, มยฺหํ ปน สาสนํ ภิกฺขุสเงฺฆ ปติฎฺฐหิสฺสติ, ปจฺฉิมา ชนตา สเงฺฆ จิตฺตีการํ ชเนตู’’ติ ยาวตติยํ ปฎิพาหิตฺวา สงฺฆสฺส ทาเปสิฯ เอวญฺหิ สติ – ‘‘สตฺถา อตฺตโน ทิยฺยมานมฺปิ สงฺฆสฺส ทาเปสิ, สโงฺฆ นาม ทกฺขิเณโยฺย’’ติ ปจฺฉิมา ชนตา สเงฺฆ จิตฺตีการํ อุปฺปาเทตฺวา จตฺตาโร ปจฺจเย ทาตเพฺพ มญฺญิสฺสติ, สโงฺฆ จตูหิ ปจฺจเยหิ อกิลมโนฺต พุทฺธวจนํ อุคฺคเหตฺวา สมณธมฺมํ กริสฺสติฯ เอวํ มม สาสนํ ปญฺจ วสฺสสหสฺสานิ ฐสฺสตีติฯ ‘‘ปฎิคฺคณฺหาตุ, ภเนฺต, ภควา’’ติ วจนโตปิ เจตํ เวทิตพฺพํ ‘‘สตฺถารา อุตฺตริตโร ทกฺขิเณโยฺย นาม นตฺถี’’ติฯ น หิ อานนฺทเตฺถรสฺส มหาปชาปติยา อาฆาโต วา เวรํ วา อตฺถิฯ น เถโร – ‘‘ตสฺสา ทกฺขิณา มา มหปฺผลา อโหสี’’ติ อิจฺฉติฯ ปณฺฑิโต หิ เถโร พหุสฺสุโต เสกฺขปฎิสมฺภิทาปโตฺต , โส สตฺถุ ทินฺนสฺส มหปฺผลภาเว สมฺปสฺสมาโนว ปฎิคฺคณฺหาตุ, ภเนฺต, ภควาติ คหณตฺถํ ยาจิฯ
Pacchimāya janatāya saṅghe cittīkārajananatthaṃ cāpi evamāha. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ahaṃ na ciraṭṭhitiko, mayhaṃ pana sāsanaṃ bhikkhusaṅghe patiṭṭhahissati, pacchimā janatā saṅghe cittīkāraṃ janetū’’ti yāvatatiyaṃ paṭibāhitvā saṅghassa dāpesi. Evañhi sati – ‘‘satthā attano diyyamānampi saṅghassa dāpesi, saṅgho nāma dakkhiṇeyyo’’ti pacchimā janatā saṅghe cittīkāraṃ uppādetvā cattāro paccaye dātabbe maññissati, saṅgho catūhi paccayehi akilamanto buddhavacanaṃ uggahetvā samaṇadhammaṃ karissati. Evaṃ mama sāsanaṃ pañca vassasahassāni ṭhassatīti. ‘‘Paṭiggaṇhātu, bhante, bhagavā’’ti vacanatopi cetaṃ veditabbaṃ ‘‘satthārā uttaritaro dakkhiṇeyyo nāma natthī’’ti. Na hi ānandattherassa mahāpajāpatiyā āghāto vā veraṃ vā atthi. Na thero – ‘‘tassā dakkhiṇā mā mahapphalā ahosī’’ti icchati. Paṇḍito hi thero bahussuto sekkhapaṭisambhidāpatto , so satthu dinnassa mahapphalabhāve sampassamānova paṭiggaṇhātu, bhante, bhagavāti gahaṇatthaṃ yāci.
ปุน วิตณฺฑวาที อาห – ‘‘สเงฺฆ เต ทิเนฺน อหเญฺจว ปูชิโต ภวิสฺสามิ สโงฺฆ จา’’ติ วจนโต สตฺถา สงฺฆปริยาปโนฺน วาติฯ โส วตฺตโพฺพ – ‘‘ชานาสิ ปน ตฺวํ กติ สรณานิ, กติ อเวจฺจปฺปสาทา’’ติ ชานโนฺต ตีณีติ วกฺขติ, ตโต วตฺตโพฺพ – ตว ลทฺธิยา สตฺถุ สงฺฆปริยาปนฺนตฺตา เทฺวเยว โหนฺติฯ เอวํ สเนฺต จ – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อิเมหิ ตีหิ สรณคมเนหิ ปพฺพชฺชํ อุปสมฺปท’’นฺติ (มหาว. ๓๔) เอวํ อนุญฺญาตา ปพฺพชฺชาปิ อุปสมฺปทาปิ น รุหติฯ ตโต ตฺวํ เนว ปพฺพชิโต อสิ, น คิหิฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธ จ คนฺธกุฎิยํ นิสิเนฺน ภิกฺขู อุโปสถมฺปิ ปวารณมฺปิ สงฺฆกมฺมานิปิ กโรนฺติ, ตานิ สตฺถุ สงฺฆปริยาปนฺนตฺตา กุปฺปานิ ภเวยฺยุํ, น จ โหนฺติฯ ตสฺมา น วตฺตพฺพเมตํ ‘‘สตฺถา สงฺฆปริยาปโนฺน’’ติฯ
Puna vitaṇḍavādī āha – ‘‘saṅghe te dinne ahañceva pūjito bhavissāmi saṅgho cā’’ti vacanato satthā saṅghapariyāpanno vāti. So vattabbo – ‘‘jānāsi pana tvaṃ kati saraṇāni, kati aveccappasādā’’ti jānanto tīṇīti vakkhati, tato vattabbo – tava laddhiyā satthu saṅghapariyāpannattā dveyeva honti. Evaṃ sante ca – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, imehi tīhi saraṇagamanehi pabbajjaṃ upasampada’’nti (mahāva. 34) evaṃ anuññātā pabbajjāpi upasampadāpi na ruhati. Tato tvaṃ neva pabbajito asi, na gihi. Sammāsambuddhe ca gandhakuṭiyaṃ nisinne bhikkhū uposathampi pavāraṇampi saṅghakammānipi karonti, tāni satthu saṅghapariyāpannattā kuppāni bhaveyyuṃ, na ca honti. Tasmā na vattabbametaṃ ‘‘satthā saṅghapariyāpanno’’ti.
๓๗๗. อาปาทิกาติ สํวฑฺฒิกา, ตุมฺหากํ หตฺถปาเทสุ หตฺถปาทกิจฺจํ อสาเธเนฺตสุ หเตฺถ จ ปาเท จ วเฑฺฒตฺวา ปฎิชคฺคิกาติ อโตฺถฯ โปสิกาติ ทิวสสฺส เทฺว ตโย วาเร นฺหาเปตฺวา โภเชตฺวา ปาเยตฺวา ตุเมฺห โปเสสิฯ ถญฺญํ ปาเยสีติ นนฺทกุมาโร กิร โพธิสตฺตโต กติปาเหเนว ทหโร, ตสฺมิํ ชาเต มหาปชาปติ อตฺตโน ปุตฺตํ ธาตีนํ ทตฺวา สยํ โพธิสตฺตสฺส ธาติกิจฺจํ สาธยมานา อตฺตโน ถญฺญํ ปาเยสิฯ ตํ สนฺธาย เถโร เอวมาหฯ อิติ มหาปชาปติยา พหูปการตํ กเถตฺวา อิทานิ ตถาคตสฺส พหูปการตํ ทเสฺสโนฺต ภควาปิ, ภเนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ภควนฺตํ, ภเนฺต, อาคมฺมาติ ภควนฺตํ ปฎิจฺจ นิสฺสาย สนฺธายฯ
377.Āpādikāti saṃvaḍḍhikā, tumhākaṃ hatthapādesu hatthapādakiccaṃ asādhentesu hatthe ca pāde ca vaḍḍhetvā paṭijaggikāti attho. Posikāti divasassa dve tayo vāre nhāpetvā bhojetvā pāyetvā tumhe posesi. Thaññaṃ pāyesīti nandakumāro kira bodhisattato katipāheneva daharo, tasmiṃ jāte mahāpajāpati attano puttaṃ dhātīnaṃ datvā sayaṃ bodhisattassa dhātikiccaṃ sādhayamānā attano thaññaṃ pāyesi. Taṃ sandhāya thero evamāha. Iti mahāpajāpatiyā bahūpakārataṃ kathetvā idāni tathāgatassa bahūpakārataṃ dassento bhagavāpi, bhantetiādimāha. Tattha bhagavantaṃ, bhante, āgammāti bhagavantaṃ paṭicca nissāya sandhāya.
๓๗๘. อถ ภควา ทฺวีสุ อุปกาเรสุ อติเรกตรํ อนุโมทโนฺต เอวเมตนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยํ หานนฺท, ปุคฺคโล ปุคฺคลํ อาคมฺมาติ ยํ อาจริยปุคฺคลํ อเนฺตวาสิกปุคฺคโล อาคมฺมฯ อิมสฺสานนฺท, ปุคฺคลสฺส อิมินา ปุคฺคเลนาติ อิมสฺส อาจริยปุคฺคลสฺส อิมินา อเนฺตวาสิกปุคฺคเลนฯ น สุปฺปฎิการํ วทามีติ ปจฺจูปการํ น สุกรํ วทามิ, อภิวาทนาทีสุ อาจริยํ ทิสฺวา อภิวาทนกรณํ อภิวาทนํ นามฯ ยสฺมิํ วา ทิสาภาเค อาจริโย วสติ, อิริยาปเถ วา กเปฺปโนฺต ตทภิมุโข วนฺทิตฺวา คจฺฉติ, วนฺทิตฺวา นิสีทติ, วนฺทิตฺวา นิปชฺชติ, อาจริยํ ปน ทูรโตว ทิสฺวา ปจฺจุฎฺฐาย ปจฺจุคฺคมนกรณํ ปจฺจุฎฺฐานํ นามฯ อาจริยํ ปน ทิสฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห สีเส ฐเปตฺวา อาจริยํ นมสฺสติ, ยสฺมิํ วา ทิสาภาเค โส วสติ, ตทภิมุโขปิ ตเถว นมสฺสติ, คจฺฉโนฺตปิ ฐิโตปิ นิสิโนฺนปิ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห นมสฺสติเยวาติ อิทํ อญฺชลิกมฺมํ นามฯ อนุจฺฉวิกกมฺมสฺส ปน กรณํ สามีจิกมฺมํ นามฯ จีวราทีสุ จีวรํ เทโนฺต น ยํ วา ตํ วา เทติ, มหคฺฆํ สตมูลิกมฺปิ ปญฺจสตมูลิกมฺปิ สหสฺสมูลิกมฺปิ เทติเยว ฯ ปิณฺฑปาตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ กิํ พหุนา, จตูหิ ปณีตปจฺจเยหิ จกฺกวาฬนฺตรํ ปูเรตฺวา สิเนรุปพฺพเตน กูฎํ คเหตฺวา เทโนฺตปิ อาจริยสฺส อนุจฺฉวิกํ กิริยํ กาตุํ น สโกฺกติเยวฯ
378. Atha bhagavā dvīsu upakāresu atirekataraṃ anumodanto evametantiādimāha. Tattha yaṃ hānanda, puggalo puggalaṃ āgammāti yaṃ ācariyapuggalaṃ antevāsikapuggalo āgamma. Imassānanda, puggalassa iminā puggalenāti imassa ācariyapuggalassa iminā antevāsikapuggalena. Na suppaṭikāraṃ vadāmīti paccūpakāraṃ na sukaraṃ vadāmi, abhivādanādīsu ācariyaṃ disvā abhivādanakaraṇaṃ abhivādanaṃ nāma. Yasmiṃ vā disābhāge ācariyo vasati, iriyāpathe vā kappento tadabhimukho vanditvā gacchati, vanditvā nisīdati, vanditvā nipajjati, ācariyaṃ pana dūratova disvā paccuṭṭhāya paccuggamanakaraṇaṃ paccuṭṭhānaṃ nāma. Ācariyaṃ pana disvā añjaliṃ paggayha sīse ṭhapetvā ācariyaṃ namassati, yasmiṃ vā disābhāge so vasati, tadabhimukhopi tatheva namassati, gacchantopi ṭhitopi nisinnopi añjaliṃ paggayha namassatiyevāti idaṃ añjalikammaṃ nāma. Anucchavikakammassa pana karaṇaṃ sāmīcikammaṃ nāma. Cīvarādīsu cīvaraṃ dento na yaṃ vā taṃ vā deti, mahagghaṃ satamūlikampi pañcasatamūlikampi sahassamūlikampi detiyeva . Piṇḍapātādīsupi eseva nayo. Kiṃ bahunā, catūhi paṇītapaccayehi cakkavāḷantaraṃ pūretvā sinerupabbatena kūṭaṃ gahetvā dentopi ācariyassa anucchavikaṃ kiriyaṃ kātuṃ na sakkotiyeva.
๓๗๙. จุทฺทส โข ปนิมาติ กสฺมา อารภิ? อิทํ สุตฺตํ ปาฎิปุคฺคลิกํ ทกฺขิณํ อารพฺภ สมุฎฺฐิตํฯ อานนฺทเตฺถโรปิ ‘‘ปฎิคฺคณฺหาตุ, ภเนฺต, ภควา’’ติ ปาฎิปุคฺคลิกทกฺขิณํเยว สมาทเปติ, จุทฺทสสุ จ ฐาเนสุ ทินฺนทานํ ปาฎิปุคฺคลิกํ นาม โหตีติ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ อยํ ปฐมาติ อยํ ทกฺขิณา คุณวเสนปิ ปฐมา เชฎฺฐกวเสนปิฯ อยญฺหิ ปฐมา อคฺคา เชฎฺฐิกา, อิมิสฺสา ทกฺขิณาย ปมาณํ นาม นตฺถิฯ ทุติยตติยาปิ ปรมทกฺขิณาเยว, เสสา ปรมทกฺขิณภาวํ น ปาปุณนฺติฯ พาหิรเก กาเมสุ วีตราเคติ กมฺมวาทิกิริยวาทิมฺหิ โลกิยปญฺจาภิเญฺญฯ ปุถุชฺชนสีลวเนฺตติ ปุถุชฺชนสีลวา นาม โคสีลธาตุโก โหติ, อสโฐ อมายาวี ปรํ อปีเฬตฺวา ธเมฺมน สเมน กสิยา วา วณิชฺชาย วา ชีวิกํ กเปฺปตาฯ ปุถุชฺชนทุสฺสีเลติ ปุถุชฺชนทุสฺสีลา นาม เกวฎฺฎมจฺฉพนฺธาทโย ปรํ ปีฬาย ชีวิกํ กเปฺปตาฯ
379.Cuddasa kho panimāti kasmā ārabhi? Idaṃ suttaṃ pāṭipuggalikaṃ dakkhiṇaṃ ārabbha samuṭṭhitaṃ. Ānandattheropi ‘‘paṭiggaṇhātu, bhante, bhagavā’’ti pāṭipuggalikadakkhiṇaṃyeva samādapeti, cuddasasu ca ṭhānesu dinnadānaṃ pāṭipuggalikaṃ nāma hotīti dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Ayaṃ paṭhamāti ayaṃ dakkhiṇā guṇavasenapi paṭhamā jeṭṭhakavasenapi. Ayañhi paṭhamā aggā jeṭṭhikā, imissā dakkhiṇāya pamāṇaṃ nāma natthi. Dutiyatatiyāpi paramadakkhiṇāyeva, sesā paramadakkhiṇabhāvaṃ na pāpuṇanti. Bāhirake kāmesu vītarāgeti kammavādikiriyavādimhi lokiyapañcābhiññe. Puthujjanasīlavanteti puthujjanasīlavā nāma gosīladhātuko hoti, asaṭho amāyāvī paraṃ apīḷetvā dhammena samena kasiyā vā vaṇijjāya vā jīvikaṃ kappetā. Puthujjanadussīleti puthujjanadussīlā nāma kevaṭṭamacchabandhādayo paraṃ pīḷāya jīvikaṃ kappetā.
อิทานิ ปาฎิปุคฺคลิกทกฺขิณาย วิปากํ ปริจฺฉินฺทโนฺต ตตฺรานนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ติรจฺฉานคเตติ ยํ คุณวเสน อุปการวเสน โปสนตฺถํ ทินฺนํ, อิทํ น คหิตํฯ ยมฺปิ อาโลปอฑฺฒอาโลปมตฺตํ ทินฺนํ, ตมฺปิ น คหิตํฯ ยํ ปน สุนขสูกรกุกฺกุฎกากาทีสุ ยสฺส กสฺสจิ สมฺปตฺตสฺส ผลํ ปฎิกงฺขิตฺวา ยาวทตฺถํ ทินฺนํ, อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ติรจฺฉานคเต ทานํ ทตฺวา’’ติฯ สตคุณาติ สตานิสํสาฯ ปาฎิกงฺขิตพฺพาติ อิจฺฉิตพฺพาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อยํ ทกฺขิณา อายุสตํ วณฺณสตํ สุขสตํ พลสตํ ปฎิภานสตนฺติ ปญฺจ อานิสํสสตานิ เทติ, อตฺตภาวสเต อายุํ เทติ, วณฺณํ, สุขํ, พลํ, ปฎิภานํ เทติ, นิปฺปริตสํ กโรติฯ ภวสเตปิ วุเตฺต อยเมว อโตฺถฯ อิมินา อุปาเยน สพฺพตฺถ นโย เนตโพฺพฯ
Idāni pāṭipuggalikadakkhiṇāya vipākaṃ paricchindanto tatrānandātiādimāha. Tattha tiracchānagateti yaṃ guṇavasena upakāravasena posanatthaṃ dinnaṃ, idaṃ na gahitaṃ. Yampi ālopaaḍḍhaālopamattaṃ dinnaṃ, tampi na gahitaṃ. Yaṃ pana sunakhasūkarakukkuṭakākādīsu yassa kassaci sampattassa phalaṃ paṭikaṅkhitvā yāvadatthaṃ dinnaṃ, idaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘tiracchānagate dānaṃ datvā’’ti. Sataguṇāti satānisaṃsā. Pāṭikaṅkhitabbāti icchitabbā. Idaṃ vuttaṃ hoti – ayaṃ dakkhiṇā āyusataṃ vaṇṇasataṃ sukhasataṃ balasataṃ paṭibhānasatanti pañca ānisaṃsasatāni deti, attabhāvasate āyuṃ deti, vaṇṇaṃ, sukhaṃ, balaṃ, paṭibhānaṃ deti, nipparitasaṃ karoti. Bhavasatepi vutte ayameva attho. Iminā upāyena sabbattha nayo netabbo.
โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปเนฺนติ เอตฺถ เหฎฺฐิมโกฎิยา ติสรณํ คโต อุปาสโกปิ โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปโนฺน นาม, ตสฺมิํ ทินฺนทานมฺปิ อสเงฺขฺยยฺยํ อปฺปเมยฺยํฯ ปญฺจสีเล ปติฎฺฐิตสฺส ตโต อุตฺตริ มหปฺผลํ, ทสสีเล ปติฎฺฐิตสฺส ตโต อุตฺตริ, ตทหุปพฺพชิตสฺส สามเณรสฺส ตโต อุตฺตริ, อุปสมฺปนฺนภิกฺขุโน ตโต อุตฺตริ, อุปสมฺปนฺนเสฺสว วตฺตสมฺปนฺนสฺส ตโต อุตฺตริ, วิปสฺสกสฺส ตโต อุตฺตริ, อารทฺธวิปสฺสกสฺส ตโต อุตฺตริ, อุตฺตมโกฎิยา ปน มคฺคสมงฺคี โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปโนฺน นามฯ เอตสฺส ทินฺนทานํ ตโต อุตฺตริ มหปฺผลเมวฯ
Sotāpattiphalasacchikiriyāya paṭipanneti ettha heṭṭhimakoṭiyā tisaraṇaṃ gato upāsakopi sotāpattiphalasacchikiriyāya paṭipanno nāma, tasmiṃ dinnadānampi asaṅkhyeyyaṃ appameyyaṃ. Pañcasīle patiṭṭhitassa tato uttari mahapphalaṃ, dasasīle patiṭṭhitassa tato uttari, tadahupabbajitassa sāmaṇerassa tato uttari, upasampannabhikkhuno tato uttari, upasampannasseva vattasampannassa tato uttari, vipassakassa tato uttari, āraddhavipassakassa tato uttari, uttamakoṭiyā pana maggasamaṅgī sotāpattiphalasacchikiriyāya paṭipanno nāma. Etassa dinnadānaṃ tato uttari mahapphalameva.
กิํ ปน มคฺคสมงฺคิสฺส สกฺกา ทานํ ทาตุนฺติ? อาม สกฺกาฯ อารทฺธวิปสฺสโก หิ ปตฺตจีวรมาทาย คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ, ตสฺส เคหทฺวาเร ฐิตสฺส หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา ขาทนียโภชนียํ ปกฺขิปนฺติฯ ตสฺมิํ ขเณ ภิกฺขุโน มคฺควุฎฺฐานํ โหติ, อิทํ ทานํ มคฺคสมงฺคิโน ทินฺนํ นาม โหติฯ อถ วา ปเนส อาสนสาลาย นิสิโนฺน โหติ, มนุสฺสา คนฺตฺวา ปเตฺต ขาทนียโภชนียํ ฐเปนฺติ, ตสฺมิํ ขเณ ตสฺส มคฺควุฎฺฐานํ โหติ, อิทมฺปิ ทานํ มคฺคสมงฺคิโน ทินฺนํ นามฯ อถ วา ปนสฺส วิหาเร วา อาสนสาลาย วา นิสินฺนสฺส อุปาสกา ปตฺตํ อาทาย อตฺตโน ฆรํ คนฺตฺวา ขาทนียโภชนียํ ปกฺขิปนฺติ, ตสฺมิํ ขเณ ตสฺส มคฺควุฎฺฐานํ โหติ, อิทมฺปิ ทานํ มคฺคสมงฺคิโน ทินฺนํ นามฯ ตตฺถ โสณฺฑิยํ อุทกสฺส วิย โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปเนฺน ทินฺนทานสฺส อสเงฺขฺยยฺยตา เวทิตพฺพาฯ ตาสุ ตาสุ มหานทีสุ มหาสมุเทฺท จ อุทกสฺส วิย โสตาปนฺนาทีสุ ทินฺนทานสฺส อุตฺตริตรวเสน อสเงฺขฺยยฺยตา เวทิตพฺพาฯ ปถวิยา ขยมณฺฑลมเตฺต ปเทเส ปํสุํ อาทิํ กตฺวา ยาว มหาปถวิยา ปํสุโน อปฺปเมยฺยตายปิ อยมโตฺถ ทีเปตโพฺพฯ
Kiṃ pana maggasamaṅgissa sakkā dānaṃ dātunti? Āma sakkā. Āraddhavipassako hi pattacīvaramādāya gāmaṃ piṇḍāya pavisati, tassa gehadvāre ṭhitassa hatthato pattaṃ gahetvā khādanīyabhojanīyaṃ pakkhipanti. Tasmiṃ khaṇe bhikkhuno maggavuṭṭhānaṃ hoti, idaṃ dānaṃ maggasamaṅgino dinnaṃ nāma hoti. Atha vā panesa āsanasālāya nisinno hoti, manussā gantvā patte khādanīyabhojanīyaṃ ṭhapenti, tasmiṃ khaṇe tassa maggavuṭṭhānaṃ hoti, idampi dānaṃ maggasamaṅgino dinnaṃ nāma. Atha vā panassa vihāre vā āsanasālāya vā nisinnassa upāsakā pattaṃ ādāya attano gharaṃ gantvā khādanīyabhojanīyaṃ pakkhipanti, tasmiṃ khaṇe tassa maggavuṭṭhānaṃ hoti, idampi dānaṃ maggasamaṅgino dinnaṃ nāma. Tattha soṇḍiyaṃ udakassa viya sotāpattiphalasacchikiriyāya paṭipanne dinnadānassa asaṅkhyeyyatā veditabbā. Tāsu tāsu mahānadīsu mahāsamudde ca udakassa viya sotāpannādīsu dinnadānassa uttaritaravasena asaṅkhyeyyatā veditabbā. Pathaviyā khayamaṇḍalamatte padese paṃsuṃ ādiṃ katvā yāva mahāpathaviyā paṃsuno appameyyatāyapi ayamattho dīpetabbo.
๓๘๐. สตฺต โข ปนิมาติ กสฺมา อารภิ? ‘‘สเงฺฆ โคตมิ เทหิ, สเงฺฆ เต ทิเนฺน อหเญฺจว ปูชิโต ภวิสฺสามิ สโงฺฆ จา’’ติ หิ วุตฺตํ, ตตฺถ สตฺตสุ ฐาเนสุ ทินฺนทานํ สเงฺฆ ทินฺนํ นาม โหตีติ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ พุทฺธปฺปมุเข อุภโตสเงฺฆติ เอกโต ภิกฺขุสโงฺฆ, เอกโต ภิกฺขุนิสโงฺฆ, สตฺถา มเชฺฌ นิสิโนฺน โหตีติ อยํ พุทฺธปฺปมุโข อุภโตสโงฺฆ นามฯ อยํ ปฐมาติ อิมาย ทกฺขิณาย สมปฺปมาณา ทกฺขิณา นาม นตฺถิฯ ทุติยทกฺขิณาทโย ปน เอตํ ปรมทกฺขิณํ น ปาปุณนฺติฯ
380.Satta kho panimāti kasmā ārabhi? ‘‘Saṅghe gotami dehi, saṅghe te dinne ahañceva pūjito bhavissāmi saṅgho cā’’ti hi vuttaṃ, tattha sattasu ṭhānesu dinnadānaṃ saṅghe dinnaṃ nāma hotīti dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha buddhappamukhe ubhatosaṅgheti ekato bhikkhusaṅgho, ekato bhikkhunisaṅgho, satthā majjhe nisinno hotīti ayaṃ buddhappamukho ubhatosaṅgho nāma. Ayaṃ paṭhamāti imāya dakkhiṇāya samappamāṇā dakkhiṇā nāma natthi. Dutiyadakkhiṇādayo pana etaṃ paramadakkhiṇaṃ na pāpuṇanti.
กิํ ปน ตถาคเต ปรินิพฺพุเต พุทฺธปฺปมุขสฺส อุภโตสงฺฆสฺส ทานํ ทาตุํ สกฺกาติ? สกฺกาฯ กถํ? อุภโตสงฺฆสฺส หิ ปมุเข สธาตุกํ ปฎิมํ อาสเน ฐเปตฺวา อาธารกํ ฐเปตฺวา ทกฺขิโณทกํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ สตฺถุ ปฐมํ ทตฺวา อุภโตสงฺฆสฺส ทาตพฺพํ, เอวํ พุทฺธปฺปมุขสฺส อุภโตสงฺฆสฺส ทานํ ทินฺนํ นาม โหติฯ ตตฺถ ยํ สตฺถุ ทินฺนํ, ตํ กิํ กาตพฺพนฺติ? โย สตฺถารํ ปฎิชคฺคติ วตฺตสมฺปโนฺน ภิกฺขุ, ตสฺส ทาตพฺพํฯ ปิตุสนฺตกญฺหิ ปุตฺตสฺส ปาปุณาติ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทาตุมฺปิ วฎฺฎติ, สปฺปิเตลานิ ปน คเหตฺวา ทีปา ชลิตพฺพา, สาฎกํ คเหตฺวา ปฎากา อาโรเปตพฺพาติฯ ภิกฺขุสเงฺฆติ อปริจฺฉินฺนกมหาภิกฺขุสเงฺฆฯ ภิกฺขุนิสเงฺฆปิ เอเสว นโยฯ
Kiṃ pana tathāgate parinibbute buddhappamukhassa ubhatosaṅghassa dānaṃ dātuṃ sakkāti? Sakkā. Kathaṃ? Ubhatosaṅghassa hi pamukhe sadhātukaṃ paṭimaṃ āsane ṭhapetvā ādhārakaṃ ṭhapetvā dakkhiṇodakaṃ ādiṃ katvā sabbaṃ satthu paṭhamaṃ datvā ubhatosaṅghassa dātabbaṃ, evaṃ buddhappamukhassa ubhatosaṅghassa dānaṃ dinnaṃ nāma hoti. Tattha yaṃ satthu dinnaṃ, taṃ kiṃ kātabbanti? Yo satthāraṃ paṭijaggati vattasampanno bhikkhu, tassa dātabbaṃ. Pitusantakañhi puttassa pāpuṇāti, bhikkhusaṅghassa dātumpi vaṭṭati, sappitelāni pana gahetvā dīpā jalitabbā, sāṭakaṃ gahetvā paṭākā āropetabbāti. Bhikkhusaṅgheti aparicchinnakamahābhikkhusaṅghe. Bhikkhunisaṅghepi eseva nayo.
โคตฺรภุโนติ โคตฺตมตฺตกเมว อนุภวมานา, นามมตฺตสมณาติ อโตฺถฯ กาสาวกณฺฐาติ กาสาวกณฺฐนามกาฯ เต กิร เอกํ กาสาวขณฺฑํ หเตฺถ วา คีวาย วา พนฺธิตฺวา วิจริสฺสนฺติ ฯ ฆรทฺวารํ ปน เตสํ ปุตฺตภริยา กสิวณิชฺชาทิกมฺมานิ จ ปากติกาเนว ภวิสฺสนฺติฯ เตสุ ทุสฺสีเลสุ สงฺฆํ อุทฺทิสฺส ทานํ ทสฺสนฺตีติ เอตฺถ ทุสฺสีลสงฺฆนฺติ น วุตฺตํฯ สโงฺฆ หิ ทุสฺสีโล นาม นตฺถิฯ ทุสฺสีลา ปน อุปาสกา เตสุ ทุสฺสีเลสุ ภิกฺขุสงฺฆํ อุทฺทิสฺส สงฺฆสฺส เทมาติ ทานํ ทสฺสนฺติฯ อิติ ภควตา พุทฺธปฺปมุเข สเงฺฆ ทินฺนทกฺขิณาปิ คุณสงฺขาย อสเงฺขฺยยฺยาติ วุตฺตํฯ กาสาวกณฺฐสเงฺฆ ทินฺนทกฺขิณาปิ คุณสงฺขาเยว อสเงฺขฺยยฺยาติ วุตฺตาฯ สงฺฆคตา ทกฺขิณา หิ สเงฺฆ จิตฺตีการํ กาตุํ สโกฺกนฺตสฺส โหติ, สเงฺฆ ปน จิตฺตีกาโร ทุกฺกโร โหติฯ
Gotrabhunoti gottamattakameva anubhavamānā, nāmamattasamaṇāti attho. Kāsāvakaṇṭhāti kāsāvakaṇṭhanāmakā. Te kira ekaṃ kāsāvakhaṇḍaṃ hatthe vā gīvāya vā bandhitvā vicarissanti . Gharadvāraṃ pana tesaṃ puttabhariyā kasivaṇijjādikammāni ca pākatikāneva bhavissanti. Tesu dussīlesu saṅghaṃ uddissa dānaṃ dassantīti ettha dussīlasaṅghanti na vuttaṃ. Saṅgho hi dussīlo nāma natthi. Dussīlā pana upāsakā tesu dussīlesu bhikkhusaṅghaṃ uddissa saṅghassa demāti dānaṃ dassanti. Iti bhagavatā buddhappamukhe saṅghe dinnadakkhiṇāpi guṇasaṅkhāya asaṅkhyeyyāti vuttaṃ. Kāsāvakaṇṭhasaṅghe dinnadakkhiṇāpi guṇasaṅkhāyeva asaṅkhyeyyāti vuttā. Saṅghagatā dakkhiṇā hi saṅghe cittīkāraṃ kātuṃ sakkontassa hoti, saṅghe pana cittīkāro dukkaro hoti.
โย หิ สงฺฆคตํ ทกฺขิณํ ทสฺสามีติ เทยฺยธมฺมํ ปฎิยาเทตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา, – ‘‘ภเนฺต, สงฺฆํ อุทฺทิสฺส เอกํ เถรํ เทถา’’ติ วทติ, อถ สงฺฆโต สามเณรํ ลภิตฺวา ‘‘สามเณโร เม ลโทฺธ’’ติ อญฺญถตฺตํ อาปชฺชติ, ตสฺส ทกฺขิณา สงฺฆคตา น โหติฯ มหาเถรํ ลภิตฺวาปิ ‘‘มหาเถโร เม ลโทฺธ’’ติ โสมนสฺสํ อุปฺปาเทนฺตสฺสาปิ น โหติเยวฯ โย ปน สามเณรํ วา อุปสมฺปนฺนํ วา ทหรํ วา เถรํ วา พาลํ วา ปณฺฑิตํ วา ยํกิญฺจิ สงฺฆโต ลภิตฺวา นิเพฺพมติโก หุตฺวา สงฺฆสฺส เทมีติ สเงฺฆ จิตฺตีการํ กาตุํ สโกฺกติ, ตสฺส ทกฺขิณา สงฺฆคตา นาม โหติฯ ปรสมุทฺทวาสิโน กิร เอวํ กโรนฺติฯ
Yo hi saṅghagataṃ dakkhiṇaṃ dassāmīti deyyadhammaṃ paṭiyādetvā vihāraṃ gantvā, – ‘‘bhante, saṅghaṃ uddissa ekaṃ theraṃ dethā’’ti vadati, atha saṅghato sāmaṇeraṃ labhitvā ‘‘sāmaṇero me laddho’’ti aññathattaṃ āpajjati, tassa dakkhiṇā saṅghagatā na hoti. Mahātheraṃ labhitvāpi ‘‘mahāthero me laddho’’ti somanassaṃ uppādentassāpi na hotiyeva. Yo pana sāmaṇeraṃ vā upasampannaṃ vā daharaṃ vā theraṃ vā bālaṃ vā paṇḍitaṃ vā yaṃkiñci saṅghato labhitvā nibbematiko hutvā saṅghassa demīti saṅghe cittīkāraṃ kātuṃ sakkoti, tassa dakkhiṇā saṅghagatā nāma hoti. Parasamuddavāsino kira evaṃ karonti.
ตตฺถ หิ เอโก วิหารสามิ กุฎุมฺพิโก ‘‘สงฺฆคตํ ทกฺขิณํ ทสฺสามี’’ติ สงฺฆโต อุทฺทิสิตฺวา เอกํ ภิกฺขุํ เทถาติ ยาจิฯ โส เอกํ ทุสฺสีลภิกฺขุํ ลภิตฺวา นิสินฺนฎฺฐานํ โอปุญฺชาเปตฺวา อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา อุปริ วิตานํ พนฺธิตฺวา คนฺธธูมปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา ปาเท โธวิตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา พุทฺธสฺส นิปจฺจการํ กโรโนฺต วิย สเงฺฆ จิตฺตีกาเรน เทยฺยธมฺมํ อทาสิฯ โส ภิกฺขุ ปจฺฉาภตฺตํ วิหารชคฺคนตฺถาย กุทาลกํ เทถาติ ฆรทฺวารํ อาคโต, อุปาสโก นิสิโนฺนว กุทาลํ ปาเทน ขิปิตฺวา ‘‘คณฺหา’’ติ อทาสิฯ ตเมนํ มนุสฺสา อาหํสุ – ‘‘ตุเมฺหหิ ปาโตว เอตสฺส กตสกฺกาโร วตฺตุํ น สกฺกา, อิทานิ อุปจารมตฺตกมฺปิ นตฺถิ, กิํ นาเมต’’นฺติฯ อุปาสโก – ‘‘สงฺฆสฺส โส อยฺยา จิตฺตีกาโร, น เอตสฺสา’’ติ อาหฯ กาสาวกณฺฐสงฺฆสฺส ทินฺนทกฺขิณํ ปน โก โสเธตีติ? สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานาทโย อสีติ มหาเถรา โสเธนฺตีติฯ อปิจ เถรา จิรปรินิพฺพุตา, เถเร อาทิํ กตฺวา ยาวชฺช ธรมานา ขีณาสวา โสเธนฺติเยวฯ
Tattha hi eko vihārasāmi kuṭumbiko ‘‘saṅghagataṃ dakkhiṇaṃ dassāmī’’ti saṅghato uddisitvā ekaṃ bhikkhuṃ dethāti yāci. So ekaṃ dussīlabhikkhuṃ labhitvā nisinnaṭṭhānaṃ opuñjāpetvā āsanaṃ paññāpetvā upari vitānaṃ bandhitvā gandhadhūmapupphehi pūjetvā pāde dhovitvā telena makkhetvā buddhassa nipaccakāraṃ karonto viya saṅghe cittīkārena deyyadhammaṃ adāsi. So bhikkhu pacchābhattaṃ vihārajagganatthāya kudālakaṃ dethāti gharadvāraṃ āgato, upāsako nisinnova kudālaṃ pādena khipitvā ‘‘gaṇhā’’ti adāsi. Tamenaṃ manussā āhaṃsu – ‘‘tumhehi pātova etassa katasakkāro vattuṃ na sakkā, idāni upacāramattakampi natthi, kiṃ nāmeta’’nti. Upāsako – ‘‘saṅghassa so ayyā cittīkāro, na etassā’’ti āha. Kāsāvakaṇṭhasaṅghassa dinnadakkhiṇaṃ pana ko sodhetīti? Sāriputtamoggallānādayo asīti mahātherā sodhentīti. Apica therā ciraparinibbutā, there ādiṃ katvā yāvajja dharamānā khīṇāsavā sodhentiyeva.
น เตฺววาหํ , อานนฺท, เกนจิ ปริยาเยน สงฺฆคตาย ทกฺขิณายาติ เอตฺถ อตฺถิ พุทฺธปฺปมุโข สโงฺฆ, อตฺถิ เอตรหิ สโงฺฆ, อตฺถิ อนาคเต กาสาวกณฺฐสโงฺฆฯ พุทฺธปฺปมุโข สโงฺฆ เอตรหิ สเงฺฆน น อุปเนตโพฺพ, เอตรหิ สโงฺฆ อนาคเต กาสาวกณฺฐสเงฺฆน สทฺธิํ น อุปเนตโพฺพฯ เตน เตเนว สมเยน กเถตพฺพํฯ สงฺฆโต อุทฺทิสิตฺวา คหิตสมณปุถุชฺชโน หิ ปาฎิปุคฺคลิโก โสตาปโนฺน, สเงฺฆ จิตฺตีการํ กาตุํ สโกฺกนฺตสฺส ปุถุชฺชนสมเณ ทินฺนํ มหปฺผลตรํฯ อุทฺทิสิตฺวา คหิโต โสตาปโนฺน ปาฎิปุคฺคลิโก สกทาคามีติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ สเงฺฆ จิตฺตีการํ กาตุํ สโกฺกนฺตสฺส หิ ขีณาสเว ทินฺนทานโต อุทฺทิสิตฺวา คหิเต ทุสฺสีเลปิ ทินฺนํ มหปฺผลตรเมว ฯ ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘สีลวโต โข, มหาราช, ทินฺนํ มหปฺผลํ, โน ตถา ทุสฺสีเล’’ติ, ตํ อิมํ นยํ ปหาย ‘‘จตโสฺส โข อิมานนฺท, ทกฺขิณา วิสุทฺธิโย’’ติ อิมสฺมิํ จตุเกฺก ทฎฺฐพฺพํฯ
Na tvevāhaṃ, ānanda, kenaci pariyāyena saṅghagatāya dakkhiṇāyāti ettha atthi buddhappamukho saṅgho, atthi etarahi saṅgho, atthi anāgate kāsāvakaṇṭhasaṅgho. Buddhappamukho saṅgho etarahi saṅghena na upanetabbo, etarahi saṅgho anāgate kāsāvakaṇṭhasaṅghena saddhiṃ na upanetabbo. Tena teneva samayena kathetabbaṃ. Saṅghato uddisitvā gahitasamaṇaputhujjano hi pāṭipuggaliko sotāpanno, saṅghe cittīkāraṃ kātuṃ sakkontassa puthujjanasamaṇe dinnaṃ mahapphalataraṃ. Uddisitvā gahito sotāpanno pāṭipuggaliko sakadāgāmītiādīsupi eseva nayo. Saṅghe cittīkāraṃ kātuṃ sakkontassa hi khīṇāsave dinnadānato uddisitvā gahite dussīlepi dinnaṃ mahapphalatarameva . Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘sīlavato kho, mahārāja, dinnaṃ mahapphalaṃ, no tathā dussīle’’ti, taṃ imaṃ nayaṃ pahāya ‘‘catasso kho imānanda, dakkhiṇā visuddhiyo’’ti imasmiṃ catukke daṭṭhabbaṃ.
๓๘๑. ทายกโต วิสุชฺฌตีติ มหปฺผลภาเวน วิสุชฺฌติ, มหปฺผลา โหตีติ อโตฺถฯ กลฺยาณธโมฺมติ สุจิธโมฺม, น ปาปธโมฺมฯ ทายกโต วิสุชฺฌตีติ เจตฺถ เวสฺสนฺตรมหาราชา กเถตโพฺพฯ โส หิ ชูชกพฺราหฺมณสฺส ทารเก ทตฺวา ปถวิํ กเมฺปสิฯ
381.Dāyakato visujjhatīti mahapphalabhāvena visujjhati, mahapphalā hotīti attho. Kalyāṇadhammoti sucidhammo, na pāpadhammo. Dāyakato visujjhatīti cettha vessantaramahārājā kathetabbo. So hi jūjakabrāhmaṇassa dārake datvā pathaviṃ kampesi.
ปฎิคฺคาหกโต วิสุชฺฌตีติ เอตฺถ กลฺยาณีนทีมุขทฺวารวาสิเกวโฎฺฎ กเถตโพฺพฯ โส กิร ทีฆโสมเตฺถรสฺส ติกฺขตฺตุมฺปิ ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา มรณมเญฺจ นิปโนฺน ‘‘อยฺยสฺส มํ ทีฆโสมเตฺถรสฺส ทินฺนปิณฺฑปาโต อุทฺธรตี’’ติ อาหฯ
Paṭiggāhakatovisujjhatīti ettha kalyāṇīnadīmukhadvāravāsikevaṭṭo kathetabbo. So kira dīghasomattherassa tikkhattumpi piṇḍapātaṃ datvā maraṇamañce nipanno ‘‘ayyassa maṃ dīghasomattherassa dinnapiṇḍapāto uddharatī’’ti āha.
เนว ทายกโตติ เอตฺถ วฑฺฒมานวาสิลุทฺทโก กเถตโพฺพฯ โส กิร เปตทกฺขิณํ เทโนฺต เอกสฺส ทุสฺสีลเสฺสว ตโย วาเร อทาสิ, ตติยวาเร ‘‘อมนุโสฺส ทุสฺสีโล มํ วิลุมฺปตี’’ติ วิรวิ, เอกสฺส สีลวนฺตภิกฺขุโน ทตฺวา ปาปิตกาเลเยวสฺส ปาปุณิฯ
Neva dāyakatoti ettha vaḍḍhamānavāsiluddako kathetabbo. So kira petadakkhiṇaṃ dento ekassa dussīlasseva tayo vāre adāsi, tatiyavāre ‘‘amanusso dussīlo maṃ vilumpatī’’ti viravi, ekassa sīlavantabhikkhuno datvā pāpitakāleyevassa pāpuṇi.
ทายกโต เจว วิสุชฺฌตีติ เอตฺถ อสทิสทานํ กเถตพฺพํฯ
Dāyakato ceva visujjhatīti ettha asadisadānaṃ kathetabbaṃ.
สา ทกฺขิณา ทายกโต วิสุชฺฌตีติ เอตฺถ ยถา นาม เฉโก กสฺสโก อสารมฺปิ เขตฺตํ ลภิตฺวา สมเย กสิตฺวา ปํสุํ อปเนตฺวา สารพีชานิ ปติฎฺฐเปตฺวา รตฺตินฺทิวํ อารเกฺข ปมาทํ อนาปชฺชโนฺต อญฺญสฺส สารเขตฺตโต อธิกตรํ ธญฺญํ ลภติ, เอวํ สีลวา ทุสฺสีลสฺส ทตฺวาปิ ผลํ มหนฺตํ อธิคจฺฉตีติฯ อิมินา อุปาเยน สพฺพปเทสุ วิสุชฺฌนํ เวทิตพฺพํฯ
Sā dakkhiṇā dāyakato visujjhatīti ettha yathā nāma cheko kassako asārampi khettaṃ labhitvā samaye kasitvā paṃsuṃ apanetvā sārabījāni patiṭṭhapetvā rattindivaṃ ārakkhe pamādaṃ anāpajjanto aññassa sārakhettato adhikataraṃ dhaññaṃ labhati, evaṃ sīlavā dussīlassa datvāpi phalaṃ mahantaṃ adhigacchatīti. Iminā upāyena sabbapadesu visujjhanaṃ veditabbaṃ.
วีตราโค วีตราเคสูติ เอตฺถ วีตราโค นาม อนาคามี, อรหา ปน เอกนฺตวีตราโคว, ตสฺมา อรหตา อรหโต ทินฺนทานเมว อคฺคํฯ กสฺมา? ภวาลยสฺส ภวปตฺถนาย อภาวโตฯ นนุ ขีณาสโว ทานผลํ น สทฺทหตีติ? ทานผลํ สทฺทหนฺตา ขีณาสวสทิสา น โหนฺติฯ ขีณาสเวน กตกมฺมํ ปน นิจฺฉนฺทราคตฺตา กุสลํ วา อกุสลํ วา น โหติ, กิริยฎฺฐาเน ติฎฺฐติ, เตเนวสฺส ทานํ อคฺคํ โหตีติ วทนฺติฯ
Vītarāgo vītarāgesūti ettha vītarāgo nāma anāgāmī, arahā pana ekantavītarāgova, tasmā arahatā arahato dinnadānameva aggaṃ. Kasmā? Bhavālayassa bhavapatthanāya abhāvato. Nanu khīṇāsavo dānaphalaṃ na saddahatīti? Dānaphalaṃ saddahantā khīṇāsavasadisā na honti. Khīṇāsavena katakammaṃ pana nicchandarāgattā kusalaṃ vā akusalaṃ vā na hoti, kiriyaṭṭhāne tiṭṭhati, tenevassa dānaṃ aggaṃ hotīti vadanti.
กิํ ปน สมฺมาสมฺพุเทฺธน สาริปุตฺตเตฺถรสฺส ทินฺนํ มหปฺผลํ, อุทาหุ สาริปุตฺตเตฺถเรน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ทินฺนนฺติฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธน สาริปุตฺตเตฺถรสฺส ทินฺนํ มหปฺผลนฺติ วทนฺติฯ สมฺมาสมฺพุทฺธญฺหิ ฐเปตฺวา อโญฺญ ทานสฺส วิปากํ ชานิตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ ทานญฺหิ จตูหิ สมฺปทาหิ ทาตุํ สโกฺกนฺตสฺส ตสฺมิํเยว อตฺตภาเว วิปากํ เทติฯ ตตฺริมา สมฺปทา – เทยฺยธมฺมสฺส ธเมฺมน สเมน ปรํ อปีเฬตฺวา อุปฺปนฺนตา, ปุพฺพเจตนาทิวเสน เจตนาย มหตฺตตา, ขีณาสวภาเวน คุณาติเรกตา, ตํทิวสํ นิโรธโต วุฎฺฐิตภาเวน วตฺถุสมฺปนฺนตาติฯ
Kiṃ pana sammāsambuddhena sāriputtattherassa dinnaṃ mahapphalaṃ, udāhu sāriputtattherena sammāsambuddhassa dinnanti. Sammāsambuddhena sāriputtattherassa dinnaṃ mahapphalanti vadanti. Sammāsambuddhañhi ṭhapetvā añño dānassa vipākaṃ jānituṃ samattho nāma natthi. Dānañhi catūhi sampadāhi dātuṃ sakkontassa tasmiṃyeva attabhāve vipākaṃ deti. Tatrimā sampadā – deyyadhammassa dhammena samena paraṃ apīḷetvā uppannatā, pubbacetanādivasena cetanāya mahattatā, khīṇāsavabhāvena guṇātirekatā, taṃdivasaṃ nirodhato vuṭṭhitabhāvena vatthusampannatāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
ทกฺขิณาวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dakkhiṇāvibhaṅgasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
จตุตฺถวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Catutthavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๒. ทกฺขิณาวิภงฺคสุตฺตํ • 12. Dakkhiṇāvibhaṅgasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๒. ทกฺขิณาวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา • 12. Dakkhiṇāvibhaṅgasuttavaṇṇanā