Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๑๓. ทานลกฺขณาทิวินิจฺฉยกถา
13. Dānalakkhaṇādivinicchayakathā
๖๙. ทานวิสฺสาสคฺคาเหหิ ลาภสฺส ปริณามนนฺติ เอตฺถ ตาว ทานนฺติ อตฺตโน สนฺตกสฺส จีวราทิปริกฺขารสฺส สทฺธิวิหาริกาทีสุ ยสฺส กสฺสจิ ทานํฯ ตตฺริทํ ทานลกฺขณํ – ‘‘อิทํ ตุยฺหํ เทมิ ททามิ ทชฺชามิ โอโณเชมิ ปริจฺจชามิ วิสฺสชฺชามี’’ติ วา ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส เทมิ…เป.… วิสฺสชฺชามี’’ติ วา วทติ, สมฺมุขาปิ ปรมฺมุขาปิ ทินฺนํเยว โหติฯ ‘‘ตุยฺหํ คณฺหาหี’’ติ วุเตฺต ‘‘มยฺหํ คณฺหามี’’ติ วทติ, สุทินฺนํ สุคฺคหิตญฺจฯ ‘‘ตว สนฺตกํ กโรหิ, ตว สนฺตกํ โหตุ, ตว สนฺตกํ โหตี’’ติ วุเตฺต ‘‘มม สนฺตกํ กโรมิ, มม สนฺตกํ โหตุ, มม สนฺตกํ กริสฺสามี’’ติ วทติ, ทุทินฺนํ ทุคฺคหิตญฺจฯ เนว ทาตา ทาตุํ ชานาติ, น อิตโร คเหตุํ, สเจ ปน ‘‘ตว สนฺตกํ กโรหี’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ, ภเนฺต, มยฺหํ คณฺหามี’’ติ คณฺหาติ, สุคฺคหิตํฯ สเจ ปน เอโก ‘‘อิทํ จีวรํ คณฺหาหี’’ติ วทติ, อิตโร ‘‘น คณฺหามี’’ติ วทติ, ปุน โส ‘‘ทินฺนํ มยา ตุยฺหํ, คณฺหาหี’’ติ วทติ, อิตโรปิ ‘‘น มยฺหํ อิมินา อโตฺถ’’ติ วทติ, ตโต ปุริโมปิ ‘‘มยา ทินฺน’’นฺติ ทสาหํ อติกฺกาเมติ, ปจฺฉิโมปิ ‘‘มยา ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ, กสฺส อาปตฺตีติ? น กสฺสจิฯ ยสฺส ปน รุจฺจติ, เตน อธิฎฺฐหิตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส เทหี’’ติ ทินฺนํ ยาว ปรสฺส หตฺถํ น ปาปุณาติ, ตาว โย ปหิณติ, ตเสฺสว สนฺตกํ, ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส ทมฺมี’’ติ ทินฺนํ ปน ยสฺส ปหียติ, ตสฺส สนฺตกํฯ ตสฺมา ภิกฺขุ ภิกฺขุสฺส หเตฺถ จีวรํ ปหิณติ ‘‘อิทํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส เทหี’’ติฯ โส อนฺตรามเคฺค โย ปหิณติ, ตสฺส วิสฺสาสา คณฺหาติ, สุคฺคหิตํฯ ยสฺส ปหียติ, ตสฺส วิสฺสาสา คณฺหาติ, ทุคฺคหิตํฯ
69.Dānavissāsaggāhehilābhassa pariṇāmananti ettha tāva dānanti attano santakassa cīvarādiparikkhārassa saddhivihārikādīsu yassa kassaci dānaṃ. Tatridaṃ dānalakkhaṇaṃ – ‘‘idaṃ tuyhaṃ demi dadāmi dajjāmi oṇojemi pariccajāmi vissajjāmī’’ti vā ‘‘itthannāmassa demi…pe… vissajjāmī’’ti vā vadati, sammukhāpi parammukhāpi dinnaṃyeva hoti. ‘‘Tuyhaṃ gaṇhāhī’’ti vutte ‘‘mayhaṃ gaṇhāmī’’ti vadati, sudinnaṃ suggahitañca. ‘‘Tava santakaṃ karohi, tava santakaṃ hotu, tava santakaṃ hotī’’ti vutte ‘‘mama santakaṃ karomi, mama santakaṃ hotu, mama santakaṃ karissāmī’’ti vadati, dudinnaṃ duggahitañca. Neva dātā dātuṃ jānāti, na itaro gahetuṃ, sace pana ‘‘tava santakaṃ karohī’’ti vutte ‘‘sādhu, bhante, mayhaṃ gaṇhāmī’’ti gaṇhāti, suggahitaṃ. Sace pana eko ‘‘idaṃ cīvaraṃ gaṇhāhī’’ti vadati, itaro ‘‘na gaṇhāmī’’ti vadati, puna so ‘‘dinnaṃ mayā tuyhaṃ, gaṇhāhī’’ti vadati, itaropi ‘‘na mayhaṃ iminā attho’’ti vadati, tato purimopi ‘‘mayā dinna’’nti dasāhaṃ atikkāmeti, pacchimopi ‘‘mayā paṭikkhitta’’nti, kassa āpattīti? Na kassaci. Yassa pana ruccati, tena adhiṭṭhahitvā paribhuñjitabbaṃ. ‘‘Itthannāmassa dehī’’ti dinnaṃ yāva parassa hatthaṃ na pāpuṇāti, tāva yo pahiṇati, tasseva santakaṃ, ‘‘itthannāmassa dammī’’ti dinnaṃ pana yassa pahīyati, tassa santakaṃ. Tasmā bhikkhu bhikkhussa hatthe cīvaraṃ pahiṇati ‘‘idaṃ cīvaraṃ itthannāmassa dehī’’ti. So antarāmagge yo pahiṇati, tassa vissāsā gaṇhāti, suggahitaṃ. Yassa pahīyati, tassa vissāsā gaṇhāti, duggahitaṃ.
ภิกฺขุ (มหาว. ๓๗๘-๓๗๙) ภิกฺขุสฺส หเตฺถ จีวรํ ปหิณติ ‘‘อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส เทหี’’ติฯ โส อนฺตรามเคฺค สุณาติ ‘‘โย ปหิณติ, โส กาลกโต’’ติ, ตสฺส มตกจีวรํ อธิฎฺฐาติ, สฺวาธิฎฺฐิตํฯ ยสฺส ปหียติ, ตสฺส วิสฺสาสา คณฺหาติ, ทุคฺคหิตํฯ ภิกฺขุ ภิกฺขุสฺส หเตฺถ จีวรํ ปหิณติ ‘‘อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส เทหี’’ติฯ โส อนฺตรามเคฺค สุณาติ ‘‘ยสฺส ปหียติ, โส กาลกโต’’ติ, ตสฺส มตกจีวรํ อธิฎฺฐาติ, ทฺวาธิฎฺฐิตํฯ โย ปหิณติ, ตสฺส วิสฺสาสา คณฺหาติ, สุคฺคหิตํฯ ภิกฺขุ ภิกฺขุสฺส หเตฺถ จีวรํ ปหิณติ ‘‘อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส เทหี’’ติฯ โส อนฺตรามเคฺค สุณาติ ‘‘อุโภ กาลกตา’’ติ, โย ปหิณติ, ตสฺส มตกจีวรํ อธิฎฺฐาติ, สฺวาธิฎฺฐิตํฯ ยสฺส ปหียติ, ตสฺส มตกจีวรํ อธิฎฺฐาติ, ทฺวาธิฎฺฐิตํฯ ภิกฺขุ ภิกฺขุสฺส หเตฺถ จีวรํ ปหิณติ ‘‘อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ทมฺมี’’ติฯ โส อนฺตรามเคฺค โย ปหิณติ, ตสฺส วิสฺสาสา คณฺหาติ, ทุคฺคหิตํฯ ยสฺส ปหียติ, ตสฺส วิสฺสาสา คณฺหาติ, สุคฺคหิตํฯ ภิกฺขุ ภิกฺขุสฺส หเตฺถ จีวรํ ปหิณติ ‘‘อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ทมฺมี’’ติฯ โส อนฺตรามเคฺค สุณาติ ‘‘โย ปหิณติ, โส กาลกโต’’ติ, ตสฺส มตกจีวรํ อธิฎฺฐาติ, ทฺวาธิฎฺฐิตํฯ ยสฺส ปหียติ, ตสฺส วิสฺสาสา คณฺหาติ, สุคฺคหิตํฯ ภิกฺขุ ภิกฺขุสฺส หเตฺถ จีวรํ ปหิณติ ‘‘อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ทมฺมี’’ติฯ โส อนฺตรามเคฺค สุณาติ ‘‘ยสฺส ปหียติ, โส กาลกโต’’ติ, ตสฺส มตกจีวรํ อธิฎฺฐาติ, สฺวาธิฎฺฐิตํฯ โย ปหิณติ, ตสฺส วิสฺสาสา คณฺหาติ, ทุคฺคหิตํฯ ภิกฺขุ ภิกฺขุสฺส หเตฺถ จีวรํ ปหิณติ ‘‘อิมํ จีวรํ อิตฺถนฺนามสฺส ทมฺมี’’ติฯ โส อนฺตรามเคฺค สุณาติ ‘‘อุโภ กาลกตา’’ติฯ โย ปหิณติ, ตสฺส มตกจีวรํ อธิฎฺฐาติ, ทฺวาธิฎฺฐิตํฯ ยสฺส ปหียติ, ตสฺส มตกจีวรํ อธิฎฺฐาติ, สฺวาธิฎฺฐิตํฯ
Bhikkhu (mahāva. 378-379) bhikkhussa hatthe cīvaraṃ pahiṇati ‘‘imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa dehī’’ti. So antarāmagge suṇāti ‘‘yo pahiṇati, so kālakato’’ti, tassa matakacīvaraṃ adhiṭṭhāti, svādhiṭṭhitaṃ. Yassa pahīyati, tassa vissāsā gaṇhāti, duggahitaṃ. Bhikkhu bhikkhussa hatthe cīvaraṃ pahiṇati ‘‘imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa dehī’’ti. So antarāmagge suṇāti ‘‘yassa pahīyati, so kālakato’’ti, tassa matakacīvaraṃ adhiṭṭhāti, dvādhiṭṭhitaṃ. Yo pahiṇati, tassa vissāsā gaṇhāti, suggahitaṃ. Bhikkhu bhikkhussa hatthe cīvaraṃ pahiṇati ‘‘imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa dehī’’ti. So antarāmagge suṇāti ‘‘ubho kālakatā’’ti, yo pahiṇati, tassa matakacīvaraṃ adhiṭṭhāti, svādhiṭṭhitaṃ. Yassa pahīyati, tassa matakacīvaraṃ adhiṭṭhāti, dvādhiṭṭhitaṃ. Bhikkhu bhikkhussa hatthe cīvaraṃ pahiṇati ‘‘imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa dammī’’ti. So antarāmagge yo pahiṇati, tassa vissāsā gaṇhāti, duggahitaṃ. Yassa pahīyati, tassa vissāsā gaṇhāti, suggahitaṃ. Bhikkhu bhikkhussa hatthe cīvaraṃ pahiṇati ‘‘imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa dammī’’ti. So antarāmagge suṇāti ‘‘yo pahiṇati, so kālakato’’ti, tassa matakacīvaraṃ adhiṭṭhāti, dvādhiṭṭhitaṃ. Yassa pahīyati, tassa vissāsā gaṇhāti, suggahitaṃ. Bhikkhu bhikkhussa hatthe cīvaraṃ pahiṇati ‘‘imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa dammī’’ti. So antarāmagge suṇāti ‘‘yassa pahīyati, so kālakato’’ti, tassa matakacīvaraṃ adhiṭṭhāti, svādhiṭṭhitaṃ. Yo pahiṇati, tassa vissāsā gaṇhāti, duggahitaṃ. Bhikkhu bhikkhussa hatthe cīvaraṃ pahiṇati ‘‘imaṃ cīvaraṃ itthannāmassa dammī’’ti. So antarāmagge suṇāti ‘‘ubho kālakatā’’ti. Yo pahiṇati, tassa matakacīvaraṃ adhiṭṭhāti, dvādhiṭṭhitaṃ. Yassa pahīyati, tassa matakacīvaraṃ adhiṭṭhāti, svādhiṭṭhitaṃ.
ปริจฺจชิตฺวา ทินฺนํ ปุน เกนจิ การเณน กุปิโต อาหราเปตุํ น ลภติฯ อตฺตนา ทินฺนมฺปิ หิ จีวรํ สกสญฺญาย อจฺฉินฺทโต นิสฺสคฺคิยํ, อญฺญํ ปริกฺขารํ อนฺตมโส สูจิมฺปิ อจฺฉินฺทโต ทุกฺกฎํฯ สเจ ปน ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ อิทํ สารุปฺป’’นฺติ สยเมว เทติ, คเหตุํ วฎฺฎติฯ อถ ปน ‘‘อาวุโส, มยํ ตุยฺหํ ‘วตฺตปฎิวตฺตํ กริสฺสติ, อมฺหากํ สนฺติเก อุปชฺฌํ คณฺหิสฺสติ, ธมฺมํ ปริยาปุณิสฺสตี’ติ จีวรํ อทมฺหา, โส ทานิ ตฺวํ น วตฺตํ กโรสิ, น อุปชฺฌํ คณฺหาสิ, น ธมฺมํ ปริยาปุณาสี’’ติ เอวมาทีนิ วุโตฺต ‘‘ภเนฺต, จีวรตฺถาย มเญฺญ ภณถ, อิทํ โว จีวร’’นฺติ เทติ, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ ทิสาปกฺกมนฺตํ วา ปน ทหรํ ‘‘นิวเตฺตถ น’’นฺติ ภณติ, โส น นิวตฺตติ, จีวเร คเหตฺวา นิรุนฺธถาติ, เอวเญฺจ นิวตฺตติ, สาธุฯ สเจ ‘‘ปตฺตจีวรตฺถาย มเญฺญ ตุเมฺห ภณถ, คณฺหถ น’’นฺติ เทติ, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ วิพฺภมนฺตํ วา ทิสฺวา ‘‘มยํ ตุยฺหํ ‘วตฺตํ กริสฺสตี’ติ ปตฺตจีวรํ อทมฺหา, โส ทานิ ตฺวํ วิพฺภมิตฺวา จรสี’’ติ วทติ, อิตโร ‘‘คณฺหถ ตุมฺหากํ ปตฺตจีวร’’นฺติ เทติ, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ ‘‘มม สนฺติเก อุปชฺฌํ คณฺหนฺตเสฺสว เทมิ, อญฺญตฺถ คณฺหนฺตสฺส น เทมิ, วตฺตํ กโรนฺตเสฺสว เทมิ, อกโรนฺตสฺส น เทมิ, ธมฺมํ ปริยาปุณนฺตเสฺสว เทมิ, อปริยาปุณนฺตสฺส น เทมิ, อวิพฺภมนฺตเสฺสว เทมิ, วิพฺภมนฺตสฺส น เทมี’’ติ เอวํ ปน ทาตุํ น วฎฺฎติ, ททโต ทุกฺกฎํ, อาหราเปตุํ ปน วฎฺฎติ, วิสฺสเชฺชตฺวา ทินฺนํ อจฺฉินฺทิตฺวา คณฺหโนฺต ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพฯ อยํ ตาว ทาเน วินิจฺฉโยฯ
Pariccajitvā dinnaṃ puna kenaci kāraṇena kupito āharāpetuṃ na labhati. Attanā dinnampi hi cīvaraṃ sakasaññāya acchindato nissaggiyaṃ, aññaṃ parikkhāraṃ antamaso sūcimpi acchindato dukkaṭaṃ. Sace pana ‘‘bhante, tumhākaṃ idaṃ sāruppa’’nti sayameva deti, gahetuṃ vaṭṭati. Atha pana ‘‘āvuso, mayaṃ tuyhaṃ ‘vattapaṭivattaṃ karissati, amhākaṃ santike upajjhaṃ gaṇhissati, dhammaṃ pariyāpuṇissatī’ti cīvaraṃ adamhā, so dāni tvaṃ na vattaṃ karosi, na upajjhaṃ gaṇhāsi, na dhammaṃ pariyāpuṇāsī’’ti evamādīni vutto ‘‘bhante, cīvaratthāya maññe bhaṇatha, idaṃ vo cīvara’’nti deti, evampi vaṭṭati. Disāpakkamantaṃ vā pana daharaṃ ‘‘nivattetha na’’nti bhaṇati, so na nivattati, cīvare gahetvā nirundhathāti, evañce nivattati, sādhu. Sace ‘‘pattacīvaratthāya maññe tumhe bhaṇatha, gaṇhatha na’’nti deti, evampi vaṭṭati. Vibbhamantaṃ vā disvā ‘‘mayaṃ tuyhaṃ ‘vattaṃ karissatī’ti pattacīvaraṃ adamhā, so dāni tvaṃ vibbhamitvā carasī’’ti vadati, itaro ‘‘gaṇhatha tumhākaṃ pattacīvara’’nti deti, evampi vaṭṭati. ‘‘Mama santike upajjhaṃ gaṇhantasseva demi, aññattha gaṇhantassa na demi, vattaṃ karontasseva demi, akarontassa na demi, dhammaṃ pariyāpuṇantasseva demi, apariyāpuṇantassa na demi, avibbhamantasseva demi, vibbhamantassa na demī’’ti evaṃ pana dātuṃ na vaṭṭati, dadato dukkaṭaṃ, āharāpetuṃ pana vaṭṭati, vissajjetvā dinnaṃ acchinditvā gaṇhanto bhaṇḍagghena kāretabbo. Ayaṃ tāva dāne vinicchayo.
๗๐. วิสฺสาสคฺคาหลกฺขณํ ปน อิมินา สุเตฺตน ชานิตพฺพํ –
70.Vissāsaggāhalakkhaṇaṃ pana iminā suttena jānitabbaṃ –
‘‘อนุชานามิ , ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส วิสฺสาสํ คเหตุํ สนฺทิโฎฺฐ จ โหติ, สมฺภโตฺต จ, อาลปิโต จ, ชีวติ จ, คหิเต จ อตฺตมโน โหตี’’ติ (มหาว. ๓๕๖)ฯ
‘‘Anujānāmi , bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatassa vissāsaṃ gahetuṃ sandiṭṭho ca hoti, sambhatto ca, ālapito ca, jīvati ca, gahite ca attamano hotī’’ti (mahāva. 356).
ตตฺถ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๓๑) สนฺทิโฎฺฐติ ทิฎฺฐมตฺตกมิโตฺตฯ สมฺภโตฺตติ ทฬฺหมิโตฺตฯ อาลปิโตติ ‘‘มม สนฺตกํ ยํ อิจฺฉสิ, ตํ คเณฺหยฺยาสิ, อาปุจฺฉิตฺวา คหเณ การณํ นตฺถี’’ติ วุโตฺตฯ ชีวตีติ อนุฎฺฐานเสยฺยาย สยิโตปิ ยาวชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทํ น ปาปุณาติฯ คหิเต จ อตฺตมโนติ คหิเต ตุฎฺฐจิโตฺต โหติฯ ‘‘เอวรูปสฺส สนฺตกํ คหิเต เม อตฺตมโน ภวิสฺสตี’’ติ ชานเนฺตน คเหตุํ วฎฺฎติฯ อนวเสสปริยาทานวเสน เจตานิ ปญฺจงฺคานิ วุตฺตานิ, วิสฺสาสคฺคาโห ปน ตีหิ อเงฺคหิ รุหติ สนฺทิโฎฺฐ, ชีวติ, คหิเต อตฺตมโน, สมฺภโตฺต, ชีวติ, คหิเต อตฺตมโน, อาลปิโต, ชีวติ, คหิเต อตฺตมโนติฯ โย ปน น ชีวติ, น จ คหิเต อตฺตมโน โหติ, ตสฺส สนฺตกํ วิสฺสาสคฺคาเหน คหิตมฺปิ ปุน ทาตพฺพํฯ ททมาเนน จ มตกธนํ ตาว เย ตสฺส ธเน อิสฺสรา คหฎฺฐา วา ปพฺพชิตา วา, เตสํ ทาตพฺพํฯ อนตฺตมนสฺส สนฺตกํ ตเสฺสว ทาตพฺพํ, โย ปน ปฐมํเยว ‘‘สุฎฺฐุ กตํ ตยา มม สนฺตกํ คณฺหเนฺตนา’’ติ วจีเภเทน วา จิตฺตุปฺปาทมเตฺตน วา อนุโมทิตฺวา ปจฺฉา เกนจิ การเณน กุปิโต, ปจฺจาหราเปตุํ น ลภติ, โยปิ อทาตุกาโม, จิเตฺตน ปน อธิวาเสติ, น กิญฺจิ วทติ, โสปิ ปุน ปจฺจาหราเปตุํ น ลภติฯ โย ปน ‘‘มยา ตุมฺหากํ สนฺตกํ คหิตํ วา ปริภุตฺตํ วา’’ติ วุเตฺต ‘‘คหิตํ วา โหตุ ปริภุตฺตํ วา, มยา ปน ตํ เกนจิเทว กรณีเยน ฐปิตํ, ตํ ปากติกํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทติ, อยํ ปจฺจาหราเปตุํ ลภติฯ อยํ วิสฺสาสคฺคาเห วินิจฺฉโยฯ
Tattha (pārā. aṭṭha. 1.131) sandiṭṭhoti diṭṭhamattakamitto. Sambhattoti daḷhamitto. Ālapitoti ‘‘mama santakaṃ yaṃ icchasi, taṃ gaṇheyyāsi, āpucchitvā gahaṇe kāraṇaṃ natthī’’ti vutto. Jīvatīti anuṭṭhānaseyyāya sayitopi yāvajīvitindriyupacchedaṃ na pāpuṇāti. Gahite ca attamanoti gahite tuṭṭhacitto hoti. ‘‘Evarūpassa santakaṃ gahite me attamano bhavissatī’’ti jānantena gahetuṃ vaṭṭati. Anavasesapariyādānavasena cetāni pañcaṅgāni vuttāni, vissāsaggāho pana tīhi aṅgehi ruhati sandiṭṭho, jīvati, gahite attamano, sambhatto, jīvati, gahite attamano, ālapito, jīvati, gahite attamanoti. Yo pana na jīvati, na ca gahite attamano hoti, tassa santakaṃ vissāsaggāhena gahitampi puna dātabbaṃ. Dadamānena ca matakadhanaṃ tāva ye tassa dhane issarā gahaṭṭhā vā pabbajitā vā, tesaṃ dātabbaṃ. Anattamanassa santakaṃ tasseva dātabbaṃ, yo pana paṭhamaṃyeva ‘‘suṭṭhu kataṃ tayā mama santakaṃ gaṇhantenā’’ti vacībhedena vā cittuppādamattena vā anumoditvā pacchā kenaci kāraṇena kupito, paccāharāpetuṃ na labhati, yopi adātukāmo, cittena pana adhivāseti, na kiñci vadati, sopi puna paccāharāpetuṃ na labhati. Yo pana ‘‘mayā tumhākaṃ santakaṃ gahitaṃ vā paribhuttaṃ vā’’ti vutte ‘‘gahitaṃ vā hotu paribhuttaṃ vā, mayā pana taṃ kenacideva karaṇīyena ṭhapitaṃ, taṃ pākatikaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vadati, ayaṃ paccāharāpetuṃ labhati. Ayaṃ vissāsaggāhe vinicchayo.
๗๑. ลาภสฺส ปริณามนนฺติ อิทํ ปน อเญฺญสํ อตฺถาย ปริณตลาภสฺส อตฺตโน อญฺญสฺส วา ปริณามนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตตฺรายํ วินิจฺฉโย (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๕๙-๖๖๐) – สงฺฆสฺส ปริณตํ สหธมฺมิกานํ วา คิหีนํ วา อนฺตมโส มาตุสนฺตกมฺปิ ‘‘อิทํ มยฺหํ เทหี’’ติ สงฺฆสฺส ปริณตภาวํ ญตฺวา อตฺตโน ปริณาเมตฺวา คณฺหนฺตสฺส นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ, ‘‘อิมสฺส ภิกฺขุโน เทหี’’ติ เอวํ อญฺญสฺส ปริณาเมนฺตสฺส สุทฺธิกปาจิตฺติยํฯ ตสฺมา โยปิ วสฺสิกสาฎิกสมเย มาตุฆเรปิ สงฺฆสฺส ปริณตํ วสฺสิกสาฎิกํ ญตฺวา อตฺตโน ปริณาเมติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ, ปรสฺส ปริณาเมติ, สุทฺธิกปาจิตฺติยํฯ มนุสฺสา ‘‘สงฺฆภตฺตํ กริสฺสามา’’ติ สปฺปิเตลาทีนิ อาหรนฺติ, คิลาโน เจปิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปริณตภาวํ ญตฺวา กิญฺจิ ยาจติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยเมวฯ สเจ ปน โส ‘‘ตุมฺหากํ สปฺปิอาทีนิ อาภตานิ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, อตฺถี’’ติ วุเตฺต ‘‘มยฺหมฺปิ เทถา’’ติ วทติ, วฎฺฎติฯ อถาปิ นํ กุกฺกุจฺจายนฺตํ อุปาสกา วทนฺติ ‘‘สโงฺฆปิ อเมฺหหิ ทินฺนเมว ลภติ, คณฺหถ, ภเนฺต’’ติ, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ
71.Lābhassa pariṇāmananti idaṃ pana aññesaṃ atthāya pariṇatalābhassa attano aññassa vā pariṇāmanaṃ sandhāya vuttaṃ. Tatrāyaṃ vinicchayo (pārā. aṭṭha. 2.659-660) – saṅghassa pariṇataṃ sahadhammikānaṃ vā gihīnaṃ vā antamaso mātusantakampi ‘‘idaṃ mayhaṃ dehī’’ti saṅghassa pariṇatabhāvaṃ ñatvā attano pariṇāmetvā gaṇhantassa nissaggiyaṃ pācittiyaṃ, ‘‘imassa bhikkhuno dehī’’ti evaṃ aññassa pariṇāmentassa suddhikapācittiyaṃ. Tasmā yopi vassikasāṭikasamaye mātugharepi saṅghassa pariṇataṃ vassikasāṭikaṃ ñatvā attano pariṇāmeti, nissaggiyaṃ pācittiyaṃ, parassa pariṇāmeti, suddhikapācittiyaṃ. Manussā ‘‘saṅghabhattaṃ karissāmā’’ti sappitelādīni āharanti, gilāno cepi bhikkhusaṅghassa pariṇatabhāvaṃ ñatvā kiñci yācati, nissaggiyaṃ pācittiyameva. Sace pana so ‘‘tumhākaṃ sappiādīni ābhatāni atthī’’ti pucchitvā ‘‘āma, atthī’’ti vutte ‘‘mayhampi dethā’’ti vadati, vaṭṭati. Athāpi naṃ kukkuccāyantaṃ upāsakā vadanti ‘‘saṅghopi amhehi dinnameva labhati, gaṇhatha, bhante’’ti, evampi vaṭṭati.
เอกสฺมิํ วิหาเร สงฺฆสฺส ปริณตํ อญฺญวิหารํ อุทฺทิสิตฺวา ‘‘อสุกสฺมิํ นาม วิหาเร สงฺฆสฺส เทถา’’ติ ปริณาเมติ, ‘‘กิํ สงฺฆสฺส ทาเนน, เจติยสฺส ปูชํ กโรถา’’ติ เอวํ เจติยสฺส วา ปริณาเมติ, ทุกฺกฎํฯ เจติยสฺส ปริณตํ อญฺญเจติยสฺส วา สงฺฆสฺส วา คณสฺส วา ปุคฺคลสฺส วา ปริณาเมติ, ทุกฺกฎเมวฯ นิยเมตฺวา อญฺญเจติยสฺส อตฺถาย โรปิตมาลาวจฺฉโต อญฺญเจติยมฺหิ ปุปฺผมฺปิ อาโรเปตุํ น วฎฺฎติ, เอกสฺส เจติยสฺส ปน ฉตฺตํ วา ปฎากํ วา อาโรเปตฺวา ฐิตํ ทิสฺวา เสสํ อญฺญเจติยสฺส ทาเปตุํ วฎฺฎติฯ อนฺตมโส สุนขสฺสปิ ปริณตํ ‘‘อิมสฺส สุนขสฺส มา เทหิ, เอตสฺส เทหี’’ติ เอวํ อญฺญปุคฺคลสฺส ปริณาเมติ, ทุกฺกฎํฯ สเจ ปน ทายกา ‘‘มยํ สงฺฆภตฺตํ กาตุกามา, เจติยปูชํ กาตุกามา, เอกสฺส ภิกฺขุโน ปริกฺขารํ ทาตุกามา, ตุมฺหากํ รุจิยา ทสฺสาม, ภณถ กตฺถ เทมา’’ติ วทนฺติ, เอวํ วุเตฺต เตน ภิกฺขุนา ‘‘ยตฺถ อิจฺฉถ, ตตฺถ เทถา’’ติ วตฺตพฺพาฯ สเจ ปน เกวลํ ‘‘กตฺถ เทมา’’ติ ปุจฺฉนฺติ, ‘‘ยตฺถ ตุมฺหากํ เทยฺยธโมฺม ปริโภคํ วา ลเภยฺย, ปฎิสงฺขารํ วา ลเภยฺย, จิรฎฺฐิติโก วา อสฺส, ยตฺถ วา ปน ตุมฺหากํ จิตฺตํ ปสีทติ, ตตฺถ เทถา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ
Ekasmiṃ vihāre saṅghassa pariṇataṃ aññavihāraṃ uddisitvā ‘‘asukasmiṃ nāma vihāre saṅghassa dethā’’ti pariṇāmeti, ‘‘kiṃ saṅghassa dānena, cetiyassa pūjaṃ karothā’’ti evaṃ cetiyassa vā pariṇāmeti, dukkaṭaṃ. Cetiyassa pariṇataṃ aññacetiyassa vā saṅghassa vā gaṇassa vā puggalassa vā pariṇāmeti, dukkaṭameva. Niyametvā aññacetiyassa atthāya ropitamālāvacchato aññacetiyamhi pupphampi āropetuṃ na vaṭṭati, ekassa cetiyassa pana chattaṃ vā paṭākaṃ vā āropetvā ṭhitaṃ disvā sesaṃ aññacetiyassa dāpetuṃ vaṭṭati. Antamaso sunakhassapi pariṇataṃ ‘‘imassa sunakhassa mā dehi, etassa dehī’’ti evaṃ aññapuggalassa pariṇāmeti, dukkaṭaṃ. Sace pana dāyakā ‘‘mayaṃ saṅghabhattaṃ kātukāmā, cetiyapūjaṃ kātukāmā, ekassa bhikkhuno parikkhāraṃ dātukāmā, tumhākaṃ ruciyā dassāma, bhaṇatha kattha demā’’ti vadanti, evaṃ vutte tena bhikkhunā ‘‘yattha icchatha, tattha dethā’’ti vattabbā. Sace pana kevalaṃ ‘‘kattha demā’’ti pucchanti, ‘‘yattha tumhākaṃ deyyadhammo paribhogaṃ vā labheyya, paṭisaṅkhāraṃ vā labheyya, ciraṭṭhitiko vā assa, yattha vā pana tumhākaṃ cittaṃ pasīdati, tattha dethā’’ti vattuṃ vaṭṭati.
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
ทานลกฺขณาทิวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Dānalakkhaṇādivinicchayakathā samattā.