Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๕. ทนฺตภูมิสุตฺตํ
5. Dantabhūmisuttaṃ
๒๑๓. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน โข ปน สมเยน อจิรวโต สมณุเทฺทโส อรญฺญกุฎิกายํ วิหรติฯ อถ โข ชยเสโน ราชกุมาโร ชงฺฆาวิหารํ อนุจงฺกมมาโน อนุวิจรมาโน เยน อจิรวโต สมณุเทฺทโส เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อจิรวเตน สมณุเทฺทเสน สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ชยเสโน ราชกุมาโร อจิรวตํ สมณุเทฺทสํ เอตทโวจ –
213. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena kho pana samayena aciravato samaṇuddeso araññakuṭikāyaṃ viharati. Atha kho jayaseno rājakumāro jaṅghāvihāraṃ anucaṅkamamāno anuvicaramāno yena aciravato samaṇuddeso tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā aciravatena samaṇuddesena saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho jayaseno rājakumāro aciravataṃ samaṇuddesaṃ etadavoca –
‘‘สุตํ เมตํ, โภ อคฺคิเวสฺสน – ‘อิธ ภิกฺขุ อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหรโนฺต ผุเสยฺย จิตฺตสฺส เอกคฺคต’นฺติฯ ‘เอวเมตํ, ราชกุมาร, เอวเมตํ, ราชกุมารฯ อิธ ภิกฺขุ อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหรโนฺต ผุเสยฺย จิตฺตสฺส เอกคฺคต’นฺติฯ ‘สาธุ เม ภวํ อคฺคิเวสฺสโน ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ เทเสตู’ติฯ ‘น โข เต อหํ, ราชกุมาร, สโกฺกมิ ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ เทเสตุํฯ อหญฺจ หิ เต, ราชกุมาร, ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ, ตฺวญฺจ เม ภาสิตสฺส อตฺถํ น อาชาเนยฺยาสิ; โส มมสฺส กิลมโถ, สา มมสฺส วิเหสา’ติฯ ‘เทเสตุ เม ภวํ อคฺคิเวสฺสโน ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํฯ อเปฺปวนามาหํ โภโต อคฺคิเวสฺสนสฺส ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชาเนยฺย’นฺติฯ ‘เทเสยฺยํ โข เต อหํ, ราชกุมาร, ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํฯ สเจ เม ตฺวํ ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชาเนยฺยาสิ, อิเจฺจตํ กุสลํ; โน เจ เม ตฺวํ ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชาเนยฺยาสิ, ยถาสเก ติเฎฺฐยฺยาสิ, น มํ ตตฺถ อุตฺตริํ ปฎิปุเจฺฉยฺยาสี’ติฯ ‘เทเสตุ เม ภวํ อคฺคิเวสฺสโน ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํฯ สเจ อหํ โภโต อคฺคิเวสฺสนสฺส ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานิสฺสามิ 1, อิเจฺจตํ กุสลํ; โน เจ อหํ โภโต อคฺคิเวสฺสนสฺส ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานิสฺสามิ, ยถาสเก ติฎฺฐิสฺสามิ 2, นาหํ ตตฺถ ภวนฺตํ อคฺคิเวสฺสนํ อุตฺตริํ ปฎิปุจฺฉิสฺสามี’’’ติฯ
‘‘Sutaṃ metaṃ, bho aggivessana – ‘idha bhikkhu appamatto ātāpī pahitatto viharanto phuseyya cittassa ekaggata’nti. ‘Evametaṃ, rājakumāra, evametaṃ, rājakumāra. Idha bhikkhu appamatto ātāpī pahitatto viharanto phuseyya cittassa ekaggata’nti. ‘Sādhu me bhavaṃ aggivessano yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ desetū’ti. ‘Na kho te ahaṃ, rājakumāra, sakkomi yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ desetuṃ. Ahañca hi te, rājakumāra, yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ deseyyaṃ, tvañca me bhāsitassa atthaṃ na ājāneyyāsi; so mamassa kilamatho, sā mamassa vihesā’ti. ‘Desetu me bhavaṃ aggivessano yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ. Appevanāmāhaṃ bhoto aggivessanassa bhāsitassa atthaṃ ājāneyya’nti. ‘Deseyyaṃ kho te ahaṃ, rājakumāra, yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ. Sace me tvaṃ bhāsitassa atthaṃ ājāneyyāsi, iccetaṃ kusalaṃ; no ce me tvaṃ bhāsitassa atthaṃ ājāneyyāsi, yathāsake tiṭṭheyyāsi, na maṃ tattha uttariṃ paṭipuccheyyāsī’ti. ‘Desetu me bhavaṃ aggivessano yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ. Sace ahaṃ bhoto aggivessanassa bhāsitassa atthaṃ ājānissāmi 3, iccetaṃ kusalaṃ; no ce ahaṃ bhoto aggivessanassa bhāsitassa atthaṃ ājānissāmi, yathāsake tiṭṭhissāmi 4, nāhaṃ tattha bhavantaṃ aggivessanaṃ uttariṃ paṭipucchissāmī’’’ti.
๒๑๔. อถ โข อจิรวโต สมณุเทฺทโส ชยเสนสฺส ราชกุมารสฺส ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ เทเสสิฯ เอวํ วุเตฺต, ชยเสโน ราชกุมาโร อจิรวตํ สมณุเทฺทสํ เอตทโวจ – ‘‘อฎฺฐานเมตํ, โภ อคฺคิเวสฺสน, อนวกาโส ยํ ภิกฺขุ อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหรโนฺต ผุเสยฺย จิตฺตสฺส เอกคฺคต’’นฺติฯ อถ โข ชยเสโน ราชกุมาโร อจิรวตสฺส สมณุเทฺทสสฺส อฎฺฐานตญฺจ อนวกาสตญฺจ ปเวเทตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ
214. Atha kho aciravato samaṇuddeso jayasenassa rājakumārassa yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ desesi. Evaṃ vutte, jayaseno rājakumāro aciravataṃ samaṇuddesaṃ etadavoca – ‘‘aṭṭhānametaṃ, bho aggivessana, anavakāso yaṃ bhikkhu appamatto ātāpī pahitatto viharanto phuseyya cittassa ekaggata’’nti. Atha kho jayaseno rājakumāro aciravatassa samaṇuddesassa aṭṭhānatañca anavakāsatañca pavedetvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi.
อถ โข อจิรวโต สมณุเทฺทโส อจิรปกฺกเนฺต ชยเสเน ราชกุมาเร เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อจิรวโต สมณุเทฺทโส ยาวตโก อโหสิ ชยเสเนน ราชกุมาเรน สทฺธิํ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ ภควโต อาโรเจสิฯ
Atha kho aciravato samaṇuddeso acirapakkante jayasene rājakumāre yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho aciravato samaṇuddeso yāvatako ahosi jayasenena rājakumārena saddhiṃ kathāsallāpo taṃ sabbaṃ bhagavato ārocesi.
เอวํ วุเตฺต, ภควา อจิรวตํ สมณุเทฺทสํ เอตทโวจ – ‘‘ตํ กุเตตฺถ, อคฺคิเวสฺสน, ลพฺภาฯ ยํ ตํ เนกฺขเมฺมน ญาตพฺพํ เนกฺขเมฺมน ทฎฺฐพฺพํ เนกฺขเมฺมน ปตฺตพฺพํ เนกฺขเมฺมน สจฺฉิกาตพฺพํ ตํ วต ชยเสโน ราชกุมาโร กามมเชฺฌ วสโนฺต กาเม ปริภุญฺชโนฺต กามวิตเกฺกหิ ขชฺชมาโน กามปริฬาเหน ปริฑยฺหมาโน กามปริเยสนาย อุสฺสุโก 5 ญสฺสติ วา ทกฺขติ วา สจฺฉิ วา กริสฺสตี’’ติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
Evaṃ vutte, bhagavā aciravataṃ samaṇuddesaṃ etadavoca – ‘‘taṃ kutettha, aggivessana, labbhā. Yaṃ taṃ nekkhammena ñātabbaṃ nekkhammena daṭṭhabbaṃ nekkhammena pattabbaṃ nekkhammena sacchikātabbaṃ taṃ vata jayaseno rājakumāro kāmamajjhe vasanto kāme paribhuñjanto kāmavitakkehi khajjamāno kāmapariḷāhena pariḍayhamāno kāmapariyesanāya ussuko 6 ñassati vā dakkhati vā sacchi vā karissatī’’ti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati.
๒๑๕. ‘‘เสยฺยถาปิสฺสุ, อคฺคิเวสฺสน, เทฺว หตฺถิทมฺมา วา อสฺสทมฺมา วา โคทมฺมา วา สุทนฺตา สุวินีตา, เทฺว หตฺถิทมฺมา วา อสฺสทมฺมา วา โคทมฺมา วา อทนฺตา อวินีตาฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, อคฺคิเวสฺสน, เย เต เทฺว หตฺถิทมฺมา วา อสฺสทมฺมา วา โคทมฺมา วา สุทนฺตา สุวินีตา, อปิ นุ เต ทนฺตาว ทนฺตการณํ คเจฺฉยฺยุํ, ทนฺตาว ทนฺตภูมิํ สมฺปาปุเณยฺยุ’’นฺติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เย ปน เต เทฺว หตฺถิทมฺมา วา อสฺสทมฺมา วา โคทมฺมา วา อทนฺตา อวินีตา, อปิ นุ เต อทนฺตาว ทนฺตการณํ คเจฺฉยฺยุํ, อทนฺตาว ทนฺตภูมิํ สมฺปาปุเณยฺยุํ, เสยฺยถาปิ เต เทฺว หตฺถิทมฺมา วา อสฺสทมฺมา วา โคทมฺมา วา สุทนฺตา สุวินีตา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวเมว โข, อคฺคิเวสฺสน, ยํ ตํ เนกฺขเมฺมน ญาตพฺพํ เนกฺขเมฺมน ทฎฺฐพฺพํ เนกฺขเมฺมน ปตฺตพฺพํ เนกฺขเมฺมน สจฺฉิกาตพฺพํ ตํ วต ชยเสโน ราชกุมาโร กามมเชฺฌ วสโนฺต กาเม ปริภุญฺชโนฺต กามวิตเกฺกหิ ขชฺชมาโน กามปริฬาเหน ปริฑยฺหมาโน กามปริเยสนาย อุสฺสุโก ญสฺสติ วา ทกฺขติ วา สจฺฉิ วา กริสฺสตี’’ติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ
215. ‘‘Seyyathāpissu, aggivessana, dve hatthidammā vā assadammā vā godammā vā sudantā suvinītā, dve hatthidammā vā assadammā vā godammā vā adantā avinītā. Taṃ kiṃ maññasi, aggivessana, ye te dve hatthidammā vā assadammā vā godammā vā sudantā suvinītā, api nu te dantāva dantakāraṇaṃ gaccheyyuṃ, dantāva dantabhūmiṃ sampāpuṇeyyu’’nti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Ye pana te dve hatthidammā vā assadammā vā godammā vā adantā avinītā, api nu te adantāva dantakāraṇaṃ gaccheyyuṃ, adantāva dantabhūmiṃ sampāpuṇeyyuṃ, seyyathāpi te dve hatthidammā vā assadammā vā godammā vā sudantā suvinītā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Evameva kho, aggivessana, yaṃ taṃ nekkhammena ñātabbaṃ nekkhammena daṭṭhabbaṃ nekkhammena pattabbaṃ nekkhammena sacchikātabbaṃ taṃ vata jayaseno rājakumāro kāmamajjhe vasanto kāme paribhuñjanto kāmavitakkehi khajjamāno kāmapariḷāhena pariḍayhamāno kāmapariyesanāya ussuko ñassati vā dakkhati vā sacchi vā karissatī’’ti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati.
๒๑๖. ‘‘เสยฺยถาปิ , อคฺคิเวสฺสน, คามสฺส วา นิคมสฺส วา อวิทูเร มหาปพฺพโตฯ ตเมนํ เทฺว สหายกา ตมฺหา คามา วา นิคมา วา นิกฺขมิตฺวา หตฺถวิลงฺฆเกน เยน โส ปพฺพโต เตนุปสงฺกเมยฺยุํ; อุปสงฺกมิตฺวา เอโก สหายโก เหฎฺฐา ปพฺพตปาเท ติเฎฺฐยฺย, เอโก สหายโก อุปริปพฺพตํ อาโรเหยฺยฯ ตเมนํ เหฎฺฐา ปพฺพตปาเท ฐิโต สหายโก อุปริปพฺพเต ฐิตํ สหายกํ เอวํ เวทยฺย – ‘ยํ, สมฺม, กิํ ตฺวํ ปสฺสสิ อุปริปพฺพเต ฐิโต’ติ? โส เอวํ วเทยฺย – ‘ปสฺสามิ โข อหํ, สมฺม, อุปริปพฺพเต ฐิโต อารามรามเณยฺยกํ วนรามเณยฺยกํ ภูมิรามเณยฺยกํ โปกฺขรณีรามเณยฺยก’’’นฺติฯ
216. ‘‘Seyyathāpi , aggivessana, gāmassa vā nigamassa vā avidūre mahāpabbato. Tamenaṃ dve sahāyakā tamhā gāmā vā nigamā vā nikkhamitvā hatthavilaṅghakena yena so pabbato tenupasaṅkameyyuṃ; upasaṅkamitvā eko sahāyako heṭṭhā pabbatapāde tiṭṭheyya, eko sahāyako uparipabbataṃ āroheyya. Tamenaṃ heṭṭhā pabbatapāde ṭhito sahāyako uparipabbate ṭhitaṃ sahāyakaṃ evaṃ vedayya – ‘yaṃ, samma, kiṃ tvaṃ passasi uparipabbate ṭhito’ti? So evaṃ vadeyya – ‘passāmi kho ahaṃ, samma, uparipabbate ṭhito ārāmarāmaṇeyyakaṃ vanarāmaṇeyyakaṃ bhūmirāmaṇeyyakaṃ pokkharaṇīrāmaṇeyyaka’’’nti.
‘‘โส เอวํ วเทยฺย – ‘อฎฺฐานํ โข เอตํ, สมฺม , อนวกาโส ยํ ตฺวํ อุปริปพฺพเต ฐิโต ปเสฺสยฺยาสิ อารามรามเณยฺยกํ วนรามเณยฺยกํ ภูมิรามเณยฺยกํ โปกฺขรณีรามเณยฺยก’นฺติฯ ตเมนํ อุปริปพฺพเต ฐิโต สหายโก เหฎฺฐิมปพฺพตปาทํ โอโรหิตฺวา ตํ สหายกํ พาหายํ คเหตฺวา อุปริปพฺพตํ อาโรเปตฺวา มุหุตฺตํ อสฺสาเสตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘ยํ, สมฺม, กิํ ตฺวํ ปสฺสสิ อุปริปพฺพเต ฐิโต’ติ? โส เอวํ วเทยฺย – ‘ปสฺสามิ โข อหํ, สมฺม, อุปริปพฺพเต ฐิโต อารามรามเณยฺยกํ วนรามเณยฺยกํ ภูมิรามเณยฺยกํ โปกฺขรณีรามเณยฺยก’’’นฺติ ฯ
‘‘So evaṃ vadeyya – ‘aṭṭhānaṃ kho etaṃ, samma , anavakāso yaṃ tvaṃ uparipabbate ṭhito passeyyāsi ārāmarāmaṇeyyakaṃ vanarāmaṇeyyakaṃ bhūmirāmaṇeyyakaṃ pokkharaṇīrāmaṇeyyaka’nti. Tamenaṃ uparipabbate ṭhito sahāyako heṭṭhimapabbatapādaṃ orohitvā taṃ sahāyakaṃ bāhāyaṃ gahetvā uparipabbataṃ āropetvā muhuttaṃ assāsetvā evaṃ vadeyya – ‘yaṃ, samma, kiṃ tvaṃ passasi uparipabbate ṭhito’ti? So evaṃ vadeyya – ‘passāmi kho ahaṃ, samma, uparipabbate ṭhito ārāmarāmaṇeyyakaṃ vanarāmaṇeyyakaṃ bhūmirāmaṇeyyakaṃ pokkharaṇīrāmaṇeyyaka’’’nti .
‘‘โส เอวํ วเทยฺย – ‘อิทาเนว โข เต, สมฺม, ภาสิตํ – มยํ เอวํ อาชานาม – อฎฺฐานํ โข เอตํ สมฺม, อนวกาโส ยํ ตฺวํ อุปริปพฺพเต ฐิโต ปเสฺสยฺยาสิ อารามรามเณยฺยกํ วนรามเณยฺยกํ ภูมิรามเณยฺยกํ โปกฺขรณีรามเณยฺยก’นฺติฯ อิทาเนว จ ปน เต ภาสิตํ มยํ เอวํ อาชานาม – ‘ปสฺสามิ โข อหํ, สมฺม, อุปริปพฺพเต ฐิโต อารามรามเณยฺยกํ วนรามเณยฺยกํ ภูมิรามเณยฺยกํ โปกฺขรณีรามเณยฺยก’นฺติฯ โส เอวํ วเทยฺย – ‘ตถา หิ ปนาหํ, สมฺม, อิมินา มหตา ปพฺพเตน อาวุโต 7 ทเฎฺฐยฺยํ นาทฺทส’’’นฺติฯ
‘‘So evaṃ vadeyya – ‘idāneva kho te, samma, bhāsitaṃ – mayaṃ evaṃ ājānāma – aṭṭhānaṃ kho etaṃ samma, anavakāso yaṃ tvaṃ uparipabbate ṭhito passeyyāsi ārāmarāmaṇeyyakaṃ vanarāmaṇeyyakaṃ bhūmirāmaṇeyyakaṃ pokkharaṇīrāmaṇeyyaka’nti. Idāneva ca pana te bhāsitaṃ mayaṃ evaṃ ājānāma – ‘passāmi kho ahaṃ, samma, uparipabbate ṭhito ārāmarāmaṇeyyakaṃ vanarāmaṇeyyakaṃ bhūmirāmaṇeyyakaṃ pokkharaṇīrāmaṇeyyaka’nti. So evaṃ vadeyya – ‘tathā hi panāhaṃ, samma, iminā mahatā pabbatena āvuto 8 daṭṭheyyaṃ nāddasa’’’nti.
‘‘อโต มหนฺตตเรน, อคฺคิเวสฺสน, อวิชฺชาขเนฺธน ชยเสโน ราชกุมาโร อาวุโต นิวุโต 9 โอผุโฎ 10 ปริโยนโทฺธฯ โส วต ยํ ตํ เนกฺขเมฺมน ญาตพฺพํ เนกฺขเมฺมน ทฎฺฐพฺพํ เนกฺขเมฺมน ปตฺตพฺพํ เนกฺขเมฺมน สจฺฉิกาตพฺพํ ตํ วต ชยเสโน ราชกุมาโร กามมเชฺฌ วสโนฺต กาเม ปริภุญฺชโนฺต กามวิตเกฺกหิ ขชฺชมาโน กามปริฬาเหน ปริฑยฺหมาโน กามปริเยสนาย อุสฺสุโก ญสฺสติ วา ทกฺขติ วา สจฺฉิ วา กริสฺสตีติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติ ฯ สเจ โข ตํ, อคฺคิเวสฺสน, ชยเสนสฺส ราชกุมารสฺส อิมา เทฺว อุปมา ปฎิภาเยยฺยุํ 11, อนจฺฉริยํ เต ชยเสโน ราชกุมาโร ปสีเทยฺย, ปสโนฺน จ เต ปสนฺนาการํ กเรยฺยา’’ติฯ ‘‘กุโต ปน มํ, ภเนฺต, ชยเสนสฺส ราชกุมารสฺส อิมา เทฺว อุปมา ปฎิภายิสฺสนฺติ 12 อนจฺฉริยา ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพา, เสยฺยถาปิ ภควนฺต’’นฺติ?
‘‘Ato mahantatarena, aggivessana, avijjākhandhena jayaseno rājakumāro āvuto nivuto 13 ophuṭo 14 pariyonaddho. So vata yaṃ taṃ nekkhammena ñātabbaṃ nekkhammena daṭṭhabbaṃ nekkhammena pattabbaṃ nekkhammena sacchikātabbaṃ taṃ vata jayaseno rājakumāro kāmamajjhe vasanto kāme paribhuñjanto kāmavitakkehi khajjamāno kāmapariḷāhena pariḍayhamāno kāmapariyesanāya ussuko ñassati vā dakkhati vā sacchi vā karissatīti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati . Sace kho taṃ, aggivessana, jayasenassa rājakumārassa imā dve upamā paṭibhāyeyyuṃ 15, anacchariyaṃ te jayaseno rājakumāro pasīdeyya, pasanno ca te pasannākāraṃ kareyyā’’ti. ‘‘Kuto pana maṃ, bhante, jayasenassa rājakumārassa imā dve upamā paṭibhāyissanti 16 anacchariyā pubbe assutapubbā, seyyathāpi bhagavanta’’nti?
๒๑๗. ‘‘เสยฺยถาปิ , อคฺคิเวสฺสน, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาวสิโตฺต นาควนิกํ อามเนฺตติ – ‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม นาควนิก, รโญฺญ นาคํ อภิรุหิตฺวา นาควนํ ปวิสิตฺวา อารญฺญกํ นาคํ อติปสฺสิตฺวา รโญฺญ นาคสฺส คีวายํ อุปนิพนฺธาหี’ติฯ ‘เอวํ, เทวา’ติ โข, อคฺคิเวสฺสน, นาควนิโก รโญฺญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาวสิตฺตสฺส ปฎิสฺสุตฺวา รโญฺญ นาคํ อภิรุหิตฺวา นาควนํ ปวิสิตฺวา อารญฺญกํ นาคํ อติปสฺสิตฺวา รโญฺญ นาคสฺส คีวายํ อุปนิพนฺธติฯ ตเมนํ รโญฺญ นาโค อโพฺภกาสํ นีหรติฯ เอตฺตาวตา โข, อคฺคิเวสฺสน, อารญฺญโก นาโค อโพฺภกาสํ คโต โหติฯ เอตฺถเคธา 17 หิ, อคฺคิเวสฺสน, อารญฺญกา นาคา ยทิทํ – นาควนํฯ ตเมนํ นาควนิโก รโญฺญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาวสิตฺตสฺส อาโรเจสิ – ‘อโพฺภกาสคโต โข 18, เทว, อารญฺญโก นาโค’ติฯ อถ โข อคฺคิเวสฺสน, ตเมนํ ราชา ขตฺติโย มุทฺธาวสิโตฺต หตฺถิทมกํ อามเนฺตสิ – ‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม หตฺถิทมก, อารญฺญกํ นาคํ ทมยาหิ อารญฺญกานเญฺจว สีลานํ อภินิมฺมทนาย อารญฺญกานเญฺจว สรสงฺกปฺปานํ อภินิมฺมทนาย อารญฺญกานเญฺจว ทรถกิลมถปริฬาหานํ อภินิมฺมทนาย คามเนฺต อภิรมาปนาย มนุสฺสกเนฺตสุ สีเลสุ สมาทปนายา’’’ติ 19ฯ
217. ‘‘Seyyathāpi , aggivessana, rājā khattiyo muddhāvasitto nāgavanikaṃ āmanteti – ‘ehi tvaṃ, samma nāgavanika, rañño nāgaṃ abhiruhitvā nāgavanaṃ pavisitvā āraññakaṃ nāgaṃ atipassitvā rañño nāgassa gīvāyaṃ upanibandhāhī’ti. ‘Evaṃ, devā’ti kho, aggivessana, nāgavaniko rañño khattiyassa muddhāvasittassa paṭissutvā rañño nāgaṃ abhiruhitvā nāgavanaṃ pavisitvā āraññakaṃ nāgaṃ atipassitvā rañño nāgassa gīvāyaṃ upanibandhati. Tamenaṃ rañño nāgo abbhokāsaṃ nīharati. Ettāvatā kho, aggivessana, āraññako nāgo abbhokāsaṃ gato hoti. Etthagedhā 20 hi, aggivessana, āraññakā nāgā yadidaṃ – nāgavanaṃ. Tamenaṃ nāgavaniko rañño khattiyassa muddhāvasittassa ārocesi – ‘abbhokāsagato kho 21, deva, āraññako nāgo’ti. Atha kho aggivessana, tamenaṃ rājā khattiyo muddhāvasitto hatthidamakaṃ āmantesi – ‘ehi tvaṃ, samma hatthidamaka, āraññakaṃ nāgaṃ damayāhi āraññakānañceva sīlānaṃ abhinimmadanāya āraññakānañceva sarasaṅkappānaṃ abhinimmadanāya āraññakānañceva darathakilamathapariḷāhānaṃ abhinimmadanāya gāmante abhiramāpanāya manussakantesu sīlesu samādapanāyā’’’ti 22.
‘‘‘เอวํ , เทวา’ติ โข, อคฺคิเวสฺสน, หตฺถิทมโก รโญฺญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาวสิตฺตสฺส ปฎิสฺสุตฺวา มหนฺตํ ถมฺภํ ปถวิยํ นิขณิตฺวา อารญฺญกสฺส นาคสฺส คีวายํ อุปนิพนฺธติ อารญฺญกานเญฺจว สีลานํ อภินิมฺมทนาย อารญฺญกานเญฺจว สรสงฺกปฺปานํ อภินิมฺมทนาย อารญฺญกานเญฺจว ทรถกิลมถปริฬาหานํ อภินิมฺมทนาย คามเนฺต อภิรมาปนาย มนุสฺสกเนฺตสุ สีเลสุ สมาทปนายฯ ตเมนํ หตฺถิทมโก ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา เปมนียา หทยงฺคมา โปรี พหุชนกนฺตา พหุชนมนาปา ตถารูปาหิ วาจาหิ สมุทาจรติฯ ยโต โข, อคฺคิเวสฺสน, อารญฺญโก นาโค หตฺถิทมกสฺส ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา เปมนียา หทยงฺคมา โปรี พหุชนกนฺตา พหุชนมนาปา ตถารูปาหิ วาจาหิ สมุทาจริยมาโน สุสฺสูสติ, โสตํ โอทหติ, อญฺญา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปติ; ตเมนํ หตฺถิทมโก อุตฺตริ ติณฆาโสทกํ อนุปฺปเวจฺฉติฯ
‘‘‘Evaṃ , devā’ti kho, aggivessana, hatthidamako rañño khattiyassa muddhāvasittassa paṭissutvā mahantaṃ thambhaṃ pathaviyaṃ nikhaṇitvā āraññakassa nāgassa gīvāyaṃ upanibandhati āraññakānañceva sīlānaṃ abhinimmadanāya āraññakānañceva sarasaṅkappānaṃ abhinimmadanāya āraññakānañceva darathakilamathapariḷāhānaṃ abhinimmadanāya gāmante abhiramāpanāya manussakantesu sīlesu samādapanāya. Tamenaṃ hatthidamako yā sā vācā nelā kaṇṇasukhā pemanīyā hadayaṅgamā porī bahujanakantā bahujanamanāpā tathārūpāhi vācāhi samudācarati. Yato kho, aggivessana, āraññako nāgo hatthidamakassa yā sā vācā nelā kaṇṇasukhā pemanīyā hadayaṅgamā porī bahujanakantā bahujanamanāpā tathārūpāhi vācāhi samudācariyamāno sussūsati, sotaṃ odahati, aññā cittaṃ upaṭṭhāpeti; tamenaṃ hatthidamako uttari tiṇaghāsodakaṃ anuppavecchati.
‘‘ยโต โข, อคฺคิเวสฺสน, อารญฺญโก นาโค หตฺถิทมกสฺส ติณฆาโสทกํ ปฎิคฺคณฺหาติ, ตตฺร หตฺถิทมกสฺส เอวํ โหติ – ‘ชีวิสฺสติ โข 23 ทานิ อารญฺญโก 24 นาโค’ติฯ ตเมนํ หตฺถิทมโก อุตฺตริ การณํ กาเรติ – ‘อาทิย, โภ, นิกฺขิป, โภ’ติฯ ยโต โข, อคฺคิเวสฺสน, อารญฺญโก นาโค หตฺถิทมกสฺส อาทานนิเกฺขเป วจนกโร โหติ โอวาทปฺปฎิกโร, ตเมนํ หตฺถิทมโก อุตฺตริ การณํ กาเรติ – ‘อภิกฺกม, โภ, ปฎิกฺกม, โภ’ติฯ ยโต โข, อคฺคิเวสฺสน, อารญฺญโก นาโค หตฺถิทมกสฺส อภิกฺกมปฎิกฺกมวจนกโร โหติ โอวาทปฺปฎิกโร, ตเมนํ หตฺถิทมโก อุตฺตริ การณํ กาเรติ – ‘อุฎฺฐห, โภ, นิสีท, โภ’ติฯ ยโต โข, อคฺคิเวสฺสน, อารญฺญโก นาโค หตฺถิทมกสฺส อุฎฺฐานนิสชฺชาย วจนกโร โหติ โอวาทปฺปฎิกโร, ตเมนํ หตฺถิทมโก อุตฺตริ อาเนญฺชํ นาม การณํ กาเรติ, มหนฺตสฺส ผลกํ โสณฺฑาย อุปนิพนฺธติ, โตมรหโตฺถ จ ปุริโส อุปริคีวาย นิสิโนฺน โหติ, สมนฺตโต จ โตมรหตฺถา ปุริสา ปริวาเรตฺวา ฐิตา โหนฺติ, หตฺถิทมโก จ ทีฆโตมรยฎฺฐิํ คเหตฺวา ปุรโต ฐิโต โหติฯ โส อาเนญฺชํ การณํ การิยมาโน เนว ปุริเม ปาเท โจเปติ น ปจฺฉิเม ปาเท โจเปติ, น ปุริมกายํ โจเปติ น ปจฺฉิมกายํ โจเปติ, น สีสํ โจเปติ, น กเณฺณ โจเปติ, น ทเนฺต โจเปติ , น นงฺคุฎฺฐํ โจเปติ, น โสณฺฑํ โจเปติฯ โส โหติ อารญฺญโก นาโค ขโม สตฺติปฺปหารานํ อสิปฺปหารานํ อุสุปฺปหารานํ สรปตฺตปฺปหารานํ 25 เภริปณววํสสงฺขฑิณฺฑิมนินฺนาทสทฺทานํ 26 สพฺพวงฺกโทสนิหิตนินฺนีตกสาโว ราชารโห ราชโภโคฺค รโญฺญ องฺคเนฺตว สงฺขํ คจฺฉติฯ
‘‘Yato kho, aggivessana, āraññako nāgo hatthidamakassa tiṇaghāsodakaṃ paṭiggaṇhāti, tatra hatthidamakassa evaṃ hoti – ‘jīvissati kho 27 dāni āraññako 28 nāgo’ti. Tamenaṃ hatthidamako uttari kāraṇaṃ kāreti – ‘ādiya, bho, nikkhipa, bho’ti. Yato kho, aggivessana, āraññako nāgo hatthidamakassa ādānanikkhepe vacanakaro hoti ovādappaṭikaro, tamenaṃ hatthidamako uttari kāraṇaṃ kāreti – ‘abhikkama, bho, paṭikkama, bho’ti. Yato kho, aggivessana, āraññako nāgo hatthidamakassa abhikkamapaṭikkamavacanakaro hoti ovādappaṭikaro, tamenaṃ hatthidamako uttari kāraṇaṃ kāreti – ‘uṭṭhaha, bho, nisīda, bho’ti. Yato kho, aggivessana, āraññako nāgo hatthidamakassa uṭṭhānanisajjāya vacanakaro hoti ovādappaṭikaro, tamenaṃ hatthidamako uttari āneñjaṃ nāma kāraṇaṃ kāreti, mahantassa phalakaṃ soṇḍāya upanibandhati, tomarahattho ca puriso uparigīvāya nisinno hoti, samantato ca tomarahatthā purisā parivāretvā ṭhitā honti, hatthidamako ca dīghatomarayaṭṭhiṃ gahetvā purato ṭhito hoti. So āneñjaṃ kāraṇaṃ kāriyamāno neva purime pāde copeti na pacchime pāde copeti, na purimakāyaṃ copeti na pacchimakāyaṃ copeti, na sīsaṃ copeti, na kaṇṇe copeti, na dante copeti , na naṅguṭṭhaṃ copeti, na soṇḍaṃ copeti. So hoti āraññako nāgo khamo sattippahārānaṃ asippahārānaṃ usuppahārānaṃ sarapattappahārānaṃ 29 bheripaṇavavaṃsasaṅkhaḍiṇḍimaninnādasaddānaṃ 30 sabbavaṅkadosanihitaninnītakasāvo rājāraho rājabhoggo rañño aṅganteva saṅkhaṃ gacchati.
๒๑๘. ‘‘เอวเมว โข, อคฺคิเวสฺสน, อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควาฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ, เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ ตํ ธมฺมํ สุณาติ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อญฺญตรสฺมิํ วา กุเล ปจฺจาชาโตฯ โส ตํ ธมฺมํ สุตฺวา ตถาคเต สทฺธํ ปฎิลภติฯ โส เตน สทฺธาปฎิลาเภน สมนฺนาคโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สมฺพาโธ ฆราวาโส รชาปโถ, อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชาฯ นยิทํ สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา เอกนฺตปริปุณฺณํ เอกนฺตปริสุทฺธํ สงฺขลิขิตํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํฯ ยํนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’นฺติฯ
218. ‘‘Evameva kho, aggivessana, idha tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā. So imaṃ lokaṃ sadevakaṃ samārakaṃ sabrahmakaṃ sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedeti. So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ, kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāseti. Taṃ dhammaṃ suṇāti gahapati vā gahapatiputto vā aññatarasmiṃ vā kule paccājāto. So taṃ dhammaṃ sutvā tathāgate saddhaṃ paṭilabhati. So tena saddhāpaṭilābhena samannāgato iti paṭisañcikkhati – ‘sambādho gharāvāso rajāpatho, abbhokāso pabbajjā. Nayidaṃ sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā ekantaparipuṇṇaṃ ekantaparisuddhaṃ saṅkhalikhitaṃ brahmacariyaṃ carituṃ. Yaṃnūnāhaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya’nti.
‘‘โส อปเรน สมเยน อปฺปํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย อปฺปํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย มหนฺตํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ เอตฺตาวตา โข, อคฺคิเวสฺสน, อริยสาวโก อโพฺภกาสคโต โหติฯ เอตฺถเคธา หิ, อคฺคิเวสฺสน, เทวมนุสฺสา ยทิทํ – ปญฺจ กามคุณาฯ ตเมนํ ตถาคโต อุตฺตริํ วิเนติ – ‘เอหิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, สีลวา โหหิ, ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหราหิ อาจารโคจรสมฺปโนฺน, อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี, สมาทาย สิกฺขสฺสุ สิกฺขาปเทสู’’’ติฯ
‘‘So aparena samayena appaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya appaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya mahantaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajati. Ettāvatā kho, aggivessana, ariyasāvako abbhokāsagato hoti. Etthagedhā hi, aggivessana, devamanussā yadidaṃ – pañca kāmaguṇā. Tamenaṃ tathāgato uttariṃ vineti – ‘ehi tvaṃ, bhikkhu, sīlavā hohi, pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharāhi ācāragocarasampanno, aṇumattesu vajjesu bhayadassāvī, samādāya sikkhassu sikkhāpadesū’’’ti.
‘‘ยโต โข, อคฺคิเวสฺสน, อริยสาวโก สีลวา โหติ, ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ อาจารโคจรสมฺปโนฺน อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี, สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ, ตเมนํ ตถาคโต อุตฺตริํ วิเนติ – ‘เอหิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหหิ, จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา มา นิมิตฺตคฺคาหี…เป.… (ยถา คณกโมคฺคลฺลานสุตฺตเนฺต, เอวํ วิตฺถาเรตพฺพานิฯ)
‘‘Yato kho, aggivessana, ariyasāvako sīlavā hoti, pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharati ācāragocarasampanno aṇumattesu vajjesu bhayadassāvī, samādāya sikkhati sikkhāpadesu, tamenaṃ tathāgato uttariṃ vineti – ‘ehi tvaṃ, bhikkhu, indriyesu guttadvāro hohi, cakkhunā rūpaṃ disvā mā nimittaggāhī…pe… (yathā gaṇakamoggallānasuttante, evaṃ vitthāretabbāni.)
๒๑๙. ‘‘โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เวทนาสุ…เป.… จิเตฺต…เป.… ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เสยฺยถาปิ, อคฺคิเวสฺสน, หตฺถิทมโก มหนฺตํ ถมฺภํ ปถวิยํ นิขณิตฺวา อารญฺญกสฺส นาคสฺส คีวายํ อุปนิพนฺธติ อารญฺญกานเญฺจว สีลานํ อภินิมฺมทนาย อารญฺญกานเญฺจว สรสงฺกปฺปานํ อภินิมฺมทนาย อารญฺญกานเญฺจว ทรถกิลมถปริฬาหานํ อภินิมฺมทนาย คามเนฺต อภิรมาปนาย มนุสฺสกเนฺตสุ สีเลสุ สมาทปนาย; เอวเมว โข, อคฺคิเวสฺสน, อริยสาวกสฺส อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา เจตโส อุปนิพนฺธนา โหนฺติ เคหสิตานเญฺจว สีลานํ อภินิมฺมทนาย เคหสิตานเญฺจว สรสงฺกปฺปานํ อภินิมฺมทนาย เคหสิตานเญฺจว ทรถกิลมถปริฬาหานํ อภินิมฺมทนาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยายฯ
219. ‘‘So ime pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese paññāya dubbalīkaraṇe kāye kāyānupassī viharati ātāpī sampajāno satimā vineyya loke abhijjhādomanassaṃ. Vedanāsu…pe… citte…pe… dhammesu dhammānupassī viharati ātāpī sampajāno satimā vineyya loke abhijjhādomanassaṃ. Seyyathāpi, aggivessana, hatthidamako mahantaṃ thambhaṃ pathaviyaṃ nikhaṇitvā āraññakassa nāgassa gīvāyaṃ upanibandhati āraññakānañceva sīlānaṃ abhinimmadanāya āraññakānañceva sarasaṅkappānaṃ abhinimmadanāya āraññakānañceva darathakilamathapariḷāhānaṃ abhinimmadanāya gāmante abhiramāpanāya manussakantesu sīlesu samādapanāya; evameva kho, aggivessana, ariyasāvakassa ime cattāro satipaṭṭhānā cetaso upanibandhanā honti gehasitānañceva sīlānaṃ abhinimmadanāya gehasitānañceva sarasaṅkappānaṃ abhinimmadanāya gehasitānañceva darathakilamathapariḷāhānaṃ abhinimmadanāya ñāyassa adhigamāya nibbānassa sacchikiriyāya.
๒๒๐. ‘‘ตเมนํ ตถาคโต อุตฺตริํ วิเนติ – ‘เอหิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, กาเย กายานุปสฺสี วิหราหิ , มา จ กามูปสํหิตํ วิตกฺกํ วิตเกฺกสิฯ เวทนาสุ… จิเตฺต… ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหราหิ, มา จ กามูปสํหิตํ วิตกฺกํ วิตเกฺกสี’’’ติฯ
220. ‘‘Tamenaṃ tathāgato uttariṃ vineti – ‘ehi tvaṃ, bhikkhu, kāye kāyānupassī viharāhi , mā ca kāmūpasaṃhitaṃ vitakkaṃ vitakkesi. Vedanāsu… citte… dhammesu dhammānupassī viharāhi, mā ca kāmūpasaṃhitaṃ vitakkaṃ vitakkesī’’’ti.
‘‘โส วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ…เป.… ตติยํ ฌานํ… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ
‘‘So vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ…pe… tatiyaṃ jhānaṃ… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati.
๒๒๑. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ, สุคเต ทุคฺคเต…เป.… ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ
221. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe, sugate duggate…pe… yathākammūpage satte pajānāti.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ; ‘อิเม อาสวา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So ‘idaṃ dukkha’nti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti; ‘ime āsavā’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati. Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti.
‘‘โส โหติ ภิกฺขุ ขโม สีตสฺส อุณฺหสฺส ชิฆจฺฉาย ปิปาสาย ฑํสมกสวาตาตปสรีสปสมฺผสฺสานํ ทุรุตฺตานํ ทุราคตานํ วจนปถานํ, อุปฺปนฺนานํ สารีริกานํ เวทนานํ ทุกฺขานํ ติพฺพานํ ขรานํ กฎุกานํ อสาตานํ อมนาปานํ ปาณหรานํ อธิวาสกชาติโก โหติ สพฺพราคโทสโมหนิหิตนินฺนีตกสาโว อาหุเนโยฺย ปาหุเนโยฺย ทกฺขิเณโยฺย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺสฯ
‘‘So hoti bhikkhu khamo sītassa uṇhassa jighacchāya pipāsāya ḍaṃsamakasavātātapasarīsapasamphassānaṃ duruttānaṃ durāgatānaṃ vacanapathānaṃ, uppannānaṃ sārīrikānaṃ vedanānaṃ dukkhānaṃ tibbānaṃ kharānaṃ kaṭukānaṃ asātānaṃ amanāpānaṃ pāṇaharānaṃ adhivāsakajātiko hoti sabbarāgadosamohanihitaninnītakasāvo āhuneyyo pāhuneyyo dakkhiṇeyyo añjalikaraṇīyo anuttaraṃ puññakkhettaṃ lokassa.
๒๒๒. ‘‘มหลฺลโก เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, รโญฺญ นาโค อทโนฺต อวินีโต กาลงฺกโรติ, ‘อทนฺตมรณํ 31 มหลฺลโก รโญฺญ นาโค กาลงฺกโต’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ; มชฺฌิโม เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, รโญฺญ นาโคฯ ทหโร เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, รโญฺญ นาโค อทโนฺต อวินีโต กาลงฺกโรติ , ‘อทนฺตมรณํ ทหโร รโญฺญ นาโค กาลงฺกโต’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ; เอวเมว โข, อคฺคิเวสฺสน, เถโร เจปิ ภิกฺขุ อขีณาสโว กาลงฺกโรติ, ‘อทนฺตมรณํ เถโร ภิกฺขุ กาลงฺกโต’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ; มชฺฌิโม เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, ภิกฺขุฯ นโว เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, ภิกฺขุ อขีณาสโว กาลงฺกโรติ, ‘อทนฺตมรณํ นโว ภิกฺขุ กาลงฺกโต’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติฯ
222. ‘‘Mahallako cepi, aggivessana, rañño nāgo adanto avinīto kālaṅkaroti, ‘adantamaraṇaṃ 32 mahallako rañño nāgo kālaṅkato’tveva saṅkhaṃ gacchati; majjhimo cepi, aggivessana, rañño nāgo. Daharo cepi, aggivessana, rañño nāgo adanto avinīto kālaṅkaroti , ‘adantamaraṇaṃ daharo rañño nāgo kālaṅkato’tveva saṅkhaṃ gacchati; evameva kho, aggivessana, thero cepi bhikkhu akhīṇāsavo kālaṅkaroti, ‘adantamaraṇaṃ thero bhikkhu kālaṅkato’tveva saṅkhaṃ gacchati; majjhimo cepi, aggivessana, bhikkhu. Navo cepi, aggivessana, bhikkhu akhīṇāsavo kālaṅkaroti, ‘adantamaraṇaṃ navo bhikkhu kālaṅkato’tveva saṅkhaṃ gacchati.
‘‘มหลฺลโก เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, รโญฺญ นาโค สุทโนฺต สุวินีโต กาลงฺกโรติ, ‘ทนฺตมรณํ มหลฺลโก รโญฺญ นาโค กาลงฺกโต’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ; มชฺฌิโม เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, รโญฺญ นาโค… ทหโร เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, รโญฺญ นาโค สุทโนฺต สุวินีโต กาลงฺกโรติ, ‘ทนฺตมรณํ ทหโร รโญฺญ นาโค กาลงฺกโต’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ; เอวเมว โข, อคฺคิเวสฺสน, เถโร เจปิ ภิกฺขุ ขีณาสโว กาลงฺกโรติ, ‘ทนฺตมรณํ เถโร ภิกฺขุ กาลงฺกโต’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ; มชฺฌิโม เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, ภิกฺขุฯ นโว เจปิ, อคฺคิเวสฺสน, ภิกฺขุ ขีณาสโว กาลงฺกโรติ, ‘ทนฺตมรณํ นโว ภิกฺขุ กาลงฺกโต’เตฺวว สงฺขํ คจฺฉตี’’ติฯ
‘‘Mahallako cepi, aggivessana, rañño nāgo sudanto suvinīto kālaṅkaroti, ‘dantamaraṇaṃ mahallako rañño nāgo kālaṅkato’tveva saṅkhaṃ gacchati; majjhimo cepi, aggivessana, rañño nāgo… daharo cepi, aggivessana, rañño nāgo sudanto suvinīto kālaṅkaroti, ‘dantamaraṇaṃ daharo rañño nāgo kālaṅkato’tveva saṅkhaṃ gacchati; evameva kho, aggivessana, thero cepi bhikkhu khīṇāsavo kālaṅkaroti, ‘dantamaraṇaṃ thero bhikkhu kālaṅkato’tveva saṅkhaṃ gacchati; majjhimo cepi, aggivessana, bhikkhu. Navo cepi, aggivessana, bhikkhu khīṇāsavo kālaṅkaroti, ‘dantamaraṇaṃ navo bhikkhu kālaṅkato’tveva saṅkhaṃ gacchatī’’ti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อจิรวโต สมณุเทฺทโส ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamano aciravato samaṇuddeso bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.
ทนฺตภูมิสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปญฺจมํฯ
Dantabhūmisuttaṃ niṭṭhitaṃ pañcamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๕. ทนฺตภูมิสุตฺตวณฺณนา • 5. Dantabhūmisuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๕. ทนฺตภูมิสุตฺตวณฺณนา • 5. Dantabhūmisuttavaṇṇanā