Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๗๘] ๓. ทรีมุขชาตกวณฺณนา

    [378] 3. Darīmukhajātakavaṇṇanā

    ปโงฺก จ กามาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มหาภินิกฺขมนํ อารพฺภ กเถสิฯ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ เหฎฺฐา กถิตเมวฯ

    Paṅkoca kāmāti idaṃ satthā jetavane viharanto mahābhinikkhamanaṃ ārabbha kathesi. Paccuppannavatthu heṭṭhā kathitameva.

    อตีเต ราชคหนคเร มคธราชา นาม รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, พฺรหฺมทตฺตกุมาโรติสฺส นามํ อกํสุฯ ตสฺส ชาตทิวเสเยว ปุโรหิตสฺสปิ ปุโตฺต ชายิ, ตสฺส มุขํ อติวิย โสภติ, เตนสฺส ทรีมุโขติ นามํ อกํสุฯ เต อุโภปิ ราชกุเลเยว สํวฑฺฒา อญฺญมญฺญํ ปิยสหายา หุตฺวา โสฬสวสฺสกาเล ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา ‘‘สพฺพสมยสิปฺปญฺจ สิกฺขิสฺสาม, เทสจาริตฺตญฺจ ชานิสฺสามา’’ติ คามนิคมาทีสุ จรนฺตา พาราณสิํ ปตฺวา เทวกุเล วสิตฺวา ปุนทิวเส พาราณสิํ ภิกฺขาย ปวิสิํสุฯ ตตฺถ เอกสฺมิํ กุเล ‘‘พฺราหฺมเณ โภเชตฺวา วาจนกํ ทสฺสามา’’ติ ปายาสํ ปจิตฺวา อาสนานิ ปญฺญตฺตานิ โหนฺติฯ มนุสฺสา เต อุโภปิ ภิกฺขาย จรเนฺต ทิสฺวา ‘‘พฺราหฺมณา อาคตา’’ติ เคหํ ปเวเสตฺวา มหาสตฺตสฺส อาสเน สุทฺธวตฺถํ ปญฺญาเปสุํ, ทรีมุขสฺส อาสเน รตฺตกมฺพลํฯ ทรีมุโข ตํ นิมิตฺตํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช มยฺหํ สหาโย พาราณสิราชา ภวิสฺสติ, อหํ เสนาปตี’’ติ อญฺญาสิฯ เต ตตฺถ ภุญฺชิตฺวา วาจนกํ คเหตฺวา มงฺคลํ วตฺวา นิกฺขมฺม ตํ ราชุยฺยานํ อคมํสุฯ ตตฺถ มหาสโตฺต มงฺคลสิลาปเฎฺฎ นิปชฺชิ, ทรีมุโข ปนสฺส ปาเท ปริมชฺชโนฺต นิสีทิฯ

    Atīte rājagahanagare magadharājā nāma rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi nibbatti, brahmadattakumārotissa nāmaṃ akaṃsu. Tassa jātadivaseyeva purohitassapi putto jāyi, tassa mukhaṃ ativiya sobhati, tenassa darīmukhoti nāmaṃ akaṃsu. Te ubhopi rājakuleyeva saṃvaḍḍhā aññamaññaṃ piyasahāyā hutvā soḷasavassakāle takkasilaṃ gantvā sabbasippāni uggaṇhitvā ‘‘sabbasamayasippañca sikkhissāma, desacārittañca jānissāmā’’ti gāmanigamādīsu carantā bārāṇasiṃ patvā devakule vasitvā punadivase bārāṇasiṃ bhikkhāya pavisiṃsu. Tattha ekasmiṃ kule ‘‘brāhmaṇe bhojetvā vācanakaṃ dassāmā’’ti pāyāsaṃ pacitvā āsanāni paññattāni honti. Manussā te ubhopi bhikkhāya carante disvā ‘‘brāhmaṇā āgatā’’ti gehaṃ pavesetvā mahāsattassa āsane suddhavatthaṃ paññāpesuṃ, darīmukhassa āsane rattakambalaṃ. Darīmukho taṃ nimittaṃ disvā ‘‘ajja mayhaṃ sahāyo bārāṇasirājā bhavissati, ahaṃ senāpatī’’ti aññāsi. Te tattha bhuñjitvā vācanakaṃ gahetvā maṅgalaṃ vatvā nikkhamma taṃ rājuyyānaṃ agamaṃsu. Tattha mahāsatto maṅgalasilāpaṭṭe nipajji, darīmukho panassa pāde parimajjanto nisīdi.

    ตทา พาราณสิรโญฺญ มตสฺส สตฺตโม ทิวโส โหติฯ ปุโรหิโต รโญฺญ สรีรกิจฺจํ กตฺวา อปุตฺตเก รเชฺช สตฺตเม ทิวเส ผุสฺสรถํ วิสฺสเชฺชสิฯ ผุสฺสรถวิสฺสชฺชนกิจฺจํ มหาชนกชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๑๒๓ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ ผุสฺสรโถ นครา นิกฺขมิตฺวา จตุรงฺคินิยา เสนาย ปริวุโต อเนกสเตหิ ตูริเยหิ วชฺชมาเนหิ อุยฺยานทฺวารํ ปาปุณิฯ ทรีมุโข ตูริยสทฺทํ สุตฺวา ‘‘สหายสฺส เม ผุสฺสรโถ อาคจฺฉติ, อเชฺชเวส ราชา หุตฺวา มยฺหํ เสนาปติฎฺฐานํ ทสฺสติ, โก เม ฆราวาเสนโตฺถ, นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติ โพธิสตฺตํ อนามเนฺตตฺวาว เอกมนฺตํ คนฺตฺวา ปฎิจฺฉเนฺน อฎฺฐาสิฯ ปุโรหิโต อุยฺยานทฺวาเร รถํ ฐเปตฺวา อุยฺยานํ ปวิโฎฺฐ โพธิสตฺตํ มงฺคลสิลาปเฎฺฎ นิปนฺนํ ทิสฺวา ปาเทสุ ลกฺขณานิ โอโลเกตฺวา ‘‘อยํ ปุญฺญวา สโตฺต ทฺวิสหสฺสทีปปริวารานํ จตุนฺนมฺปิ มหาทีปานํ รชฺชํ กาเรตุํ สมโตฺถ, ธิติ ปนสฺส กีทิสา’’ติ สพฺพตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสิฯ โพธิสโตฺต ปพุชฺฌิตฺวา มุขโต สาฎกํ อปเนตฺวา มหาชนํ โอโลเกตฺวา ปุน สาฎเกน มุขํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา โถกํ นิปชฺชิตฺวา ปสฺสทฺธทรโถ อุฎฺฐาย สิลาปเฎฺฎ ปลฺลเงฺกน นิสีทิฯ ปุโรหิโต ชาณุเกน ปติฎฺฐาย ‘‘เทว, รชฺชํ ตุมฺหากํ ปาปุณาตี’’ติ อาหฯ ‘‘อปุตฺตกํ ภเณ รชฺช’’นฺติฯ ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ เต ตสฺส อุยฺยาเนเยว อภิเสกํ อกํสุฯ โส ยสมหนฺตตาย ทรีมุขํ อสริตฺวาว รถํ อภิรุยฺห มหาชนปริวุโต นครํ ปวิสิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ราชทฺวาเร ฐิโตว อมจฺจานํ ฐานนฺตรานิ วิจาเรตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิฯ

    Tadā bārāṇasirañño matassa sattamo divaso hoti. Purohito rañño sarīrakiccaṃ katvā aputtake rajje sattame divase phussarathaṃ vissajjesi. Phussarathavissajjanakiccaṃ mahājanakajātake (jā. 2.22.123 ādayo) āvi bhavissati. Phussaratho nagarā nikkhamitvā caturaṅginiyā senāya parivuto anekasatehi tūriyehi vajjamānehi uyyānadvāraṃ pāpuṇi. Darīmukho tūriyasaddaṃ sutvā ‘‘sahāyassa me phussaratho āgacchati, ajjevesa rājā hutvā mayhaṃ senāpatiṭṭhānaṃ dassati, ko me gharāvāsenattho, nikkhamitvā pabbajissāmī’’ti bodhisattaṃ anāmantetvāva ekamantaṃ gantvā paṭicchanne aṭṭhāsi. Purohito uyyānadvāre rathaṃ ṭhapetvā uyyānaṃ paviṭṭho bodhisattaṃ maṅgalasilāpaṭṭe nipannaṃ disvā pādesu lakkhaṇāni oloketvā ‘‘ayaṃ puññavā satto dvisahassadīpaparivārānaṃ catunnampi mahādīpānaṃ rajjaṃ kāretuṃ samattho, dhiti panassa kīdisā’’ti sabbatūriyāni paggaṇhāpesi. Bodhisatto pabujjhitvā mukhato sāṭakaṃ apanetvā mahājanaṃ oloketvā puna sāṭakena mukhaṃ paṭicchādetvā thokaṃ nipajjitvā passaddhadaratho uṭṭhāya silāpaṭṭe pallaṅkena nisīdi. Purohito jāṇukena patiṭṭhāya ‘‘deva, rajjaṃ tumhākaṃ pāpuṇātī’’ti āha. ‘‘Aputtakaṃ bhaṇe rajja’’nti. ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Tena hi sādhū’’ti sampaṭicchi. Te tassa uyyāneyeva abhisekaṃ akaṃsu. So yasamahantatāya darīmukhaṃ asaritvāva rathaṃ abhiruyha mahājanaparivuto nagaraṃ pavisitvā padakkhiṇaṃ katvā rājadvāre ṭhitova amaccānaṃ ṭhānantarāni vicāretvā pāsādaṃ abhiruhi.

    ตสฺมิํ ขเณ ทรีมุโข ‘‘สุญฺญํ ทานิ อุยฺยาน’’นฺติ อาคนฺตฺวา มงฺคลสิลาย นิสีทิ, อถสฺส ปุรโต ปณฺฑุปลาสํ ปติฯ โส ตสฺมิํเยว ปณฺฑุปลาเส ขยวยํ ปฎฺฐเปตฺวา ติลกฺขณํ สมฺมสิตฺวา ปถวิํ อุนฺนาเทโนฺต ปเจฺจกโพธิํ นิพฺพเตฺตสิฯ ตสฺส ตงฺขณเญฺญว คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายิ, อิทฺธิมยปตฺตจีวรํ อากาสโต โอตริตฺวา สรีเร ปฎิมุญฺจิฯ ตาวเทว อฎฺฐปริกฺขารธโร อิริยาปถสมฺปโนฺน วสฺสสฎฺฐิกเตฺถโร วิย หุตฺวา อิทฺธิยา อากาเส อุปฺปติตฺวา หิมวนฺตปเทเส นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ โพธิสโตฺตปิ ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิ, ยสมหนฺตตาย ปน ยเสน ปมโตฺต หุตฺวา จตฺตาลีส วสฺสานิ ทรีมุขํ น สริ, จตฺตาลีเส ปน สํวจฺฉเร อตีเต ตํ สริตฺวา ‘‘มยฺหํ สหาโย ทรีมุโข นาม อตฺถิ, กหํ นุ โข โส’’ติ ตํ ทฎฺฐุกาโม อโหสิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย อเนฺตปุเรปิ ปริสมเชฺฌปิ ‘‘กหํ นุ โข มยฺหํ สหาโย ทรีมุโข , โย เม ตสฺส วสนฎฺฐานํ กเถติ, มหนฺตมสฺส ยสํ ทสฺสามี’’ติ วทติฯ เอวํ ตสฺส ปุนปฺปุนํ ตํ สรนฺตเสฺสว อญฺญานิ ทส สํวจฺฉรานิ อติกฺกนฺตานิฯ

    Tasmiṃ khaṇe darīmukho ‘‘suññaṃ dāni uyyāna’’nti āgantvā maṅgalasilāya nisīdi, athassa purato paṇḍupalāsaṃ pati. So tasmiṃyeva paṇḍupalāse khayavayaṃ paṭṭhapetvā tilakkhaṇaṃ sammasitvā pathaviṃ unnādento paccekabodhiṃ nibbattesi. Tassa taṅkhaṇaññeva gihiliṅgaṃ antaradhāyi, iddhimayapattacīvaraṃ ākāsato otaritvā sarīre paṭimuñci. Tāvadeva aṭṭhaparikkhāradharo iriyāpathasampanno vassasaṭṭhikatthero viya hutvā iddhiyā ākāse uppatitvā himavantapadese nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi. Bodhisattopi dhammena rajjaṃ kāresi, yasamahantatāya pana yasena pamatto hutvā cattālīsa vassāni darīmukhaṃ na sari, cattālīse pana saṃvacchare atīte taṃ saritvā ‘‘mayhaṃ sahāyo darīmukho nāma atthi, kahaṃ nu kho so’’ti taṃ daṭṭhukāmo ahosi. So tato paṭṭhāya antepurepi parisamajjhepi ‘‘kahaṃ nu kho mayhaṃ sahāyo darīmukho , yo me tassa vasanaṭṭhānaṃ katheti, mahantamassa yasaṃ dassāmī’’ti vadati. Evaṃ tassa punappunaṃ taṃ sarantasseva aññāni dasa saṃvaccharāni atikkantāni.

    ทรีมุขปเจฺจกพุโทฺธปิ ปญฺญาสวสฺสจฺจเยน อาวเชฺชโนฺต ‘‘มํ โข สหาโย สรตี’’ติ ญตฺวา ‘‘อิทานิ โส มหลฺลโก ปุตฺตธีตาทีหิ วุทฺธิปฺปโตฺต, คนฺตฺวา ธมฺมํ กเถตฺวา ปพฺพาเชสฺสามิ น’’นฺติ อิทฺธิยา อากาเสน อาคนฺตฺวา อุยฺยาเน โอตริตฺวา สุวณฺณปฎิมา วิย สิลาปเฎฺฎ นิสีทิฯ อุยฺยานปาโล ตํ ทิสฺวา อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, กุโต ตุเมฺห เอถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘นนฺทมูลกปพฺภารโต’’ติฯ ‘‘เก นาม ตุเมฺห’’ติ? ‘‘ทรีมุขปเจฺจกพุโทฺธ นามาหํ, อาวุโส’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ ราชานํ ชานาถา’’ติ? ‘‘อาม ชานามิ, คิหิกาเล โน สหาโย’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, ราชา ตุเมฺห ทฎฺฐุกาโม, กเถสฺสามิ ตสฺส ตุมฺหากํ อาคตภาว’’นฺติฯ ‘‘คจฺฉ กเถหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา ตุริตตุริโตว คนฺตฺวา ตสฺส สิลาปเฎฺฎ นิสินฺนภาวํ รโญฺญ กเถสิฯ ราชา ‘‘อาคโต กิร เม สหาโย, ปสฺสิสฺสามิ น’’นฺติ รถํ อารุยฺห มหเนฺตน ปริวาเรน อุยฺยานํ คนฺตฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถ นํ ปเจฺจกพุโทฺธ ‘‘กิํ, พฺรหฺมทตฺต, ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิ, อคติคมนํ น คจฺฉสิ, ธนตฺถาย โลกํ น ปีเฬสิ, ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรสี’’ติอาทีนิ วทโนฺต ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘พฺรหฺมทตฺต, มหลฺลโกสิ, เอตรหิ กาเม ปหาย ปพฺพชิตุํ เต สมโย’’ติ วตฺวา ตสฺส ธมฺมํ เทเสโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Darīmukhapaccekabuddhopi paññāsavassaccayena āvajjento ‘‘maṃ kho sahāyo saratī’’ti ñatvā ‘‘idāni so mahallako puttadhītādīhi vuddhippatto, gantvā dhammaṃ kathetvā pabbājessāmi na’’nti iddhiyā ākāsena āgantvā uyyāne otaritvā suvaṇṇapaṭimā viya silāpaṭṭe nisīdi. Uyyānapālo taṃ disvā upasaṅkamitvā ‘‘bhante, kuto tumhe ethā’’ti pucchi. ‘‘Nandamūlakapabbhārato’’ti. ‘‘Ke nāma tumhe’’ti? ‘‘Darīmukhapaccekabuddho nāmāhaṃ, āvuso’’ti. ‘‘Bhante, amhākaṃ rājānaṃ jānāthā’’ti? ‘‘Āma jānāmi, gihikāle no sahāyo’’ti. ‘‘Bhante, rājā tumhe daṭṭhukāmo, kathessāmi tassa tumhākaṃ āgatabhāva’’nti. ‘‘Gaccha kathehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti vatvā turitaturitova gantvā tassa silāpaṭṭe nisinnabhāvaṃ rañño kathesi. Rājā ‘‘āgato kira me sahāyo, passissāmi na’’nti rathaṃ āruyha mahantena parivārena uyyānaṃ gantvā paccekabuddhaṃ vanditvā paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisīdi. Atha naṃ paccekabuddho ‘‘kiṃ, brahmadatta, dhammena rajjaṃ kāresi, agatigamanaṃ na gacchasi, dhanatthāya lokaṃ na pīḷesi, dānādīni puññāni karosī’’tiādīni vadanto paṭisanthāraṃ katvā ‘‘brahmadatta, mahallakosi, etarahi kāme pahāya pabbajituṃ te samayo’’ti vatvā tassa dhammaṃ desento paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๔.

    14.

    ‘‘ปโงฺก จ กามา ปลิโป จ กามา, ภยญฺจ เมตํ ติมูลํ ปวุตฺตํ;

    ‘‘Paṅko ca kāmā palipo ca kāmā, bhayañca metaṃ timūlaṃ pavuttaṃ;

    รโช จ ธูโม จ มยา ปกาสิตา, หิตฺวา ตุวํ ปพฺพช พฺรหฺมทตฺตา’’ติฯ

    Rajo ca dhūmo ca mayā pakāsitā, hitvā tuvaṃ pabbaja brahmadattā’’ti.

    ตตฺถ ปโงฺกติ อุทเก ชาตานิ ติณเสวาลกุมุทคจฺฉาทีนิ อธิเปฺปตานิฯ ยถา หิ อุทกํ ตรนฺตํ ตานิ ลคฺคาเปนฺติ สชฺชาเปนฺติ, ตถา สํสารสาครํ ตรนฺตสฺส โยคาวจรสฺส ปญฺจ กามคุณา สเพฺพ วา ปน วตฺถุกามกิเลสกามา ลคฺคาปนวเสน ปโงฺก นามฯ อิมสฺมิญฺหิ ปเงฺก อาสตฺตา วิสตฺตา เทวาปิ มนุสฺสาปิ ติรจฺฉานาปิ กิลมนฺติ โรทนฺติ ปริเทวนฺติฯ ปลิโป จ กามาติ ปลิโป วุจฺจติ มหากทฺทโม, ยมฺหิ ลคฺคา สูกรมิคาทโยปิ สีหาปิ วารณาปิ อตฺตานํ อุทฺธริตฺวา คนฺตุํ น สโกฺกนฺติ, วตฺถุกามกิเลสกามาปิ ตํสริกฺขตาย ‘‘ปลิปา’’ติ วุตฺตาฯ ปญฺญวโนฺตปิ หิ สตฺตา เตสุ กาเมสุ สกิํ ลคฺคกาลโต ปฎฺฐาย เต กาเม ปทาเลตฺวา สีฆํ อุฎฺฐาย อกิญฺจนํ อปลิโพธํ รมณียํ ปพฺพชฺชํ อุปคนฺตุํ น สโกฺกนฺติฯ ภยญฺจ เมตนฺติ ภยญฺจ เอตํ, ม-กาโร พฺยญฺชนสนฺธิวเสน วุโตฺตฯ ติมูลนฺติ ตีหิ มูเลหิ ปติฎฺฐิตํ วิย อจลํฯ พลวภยเสฺสตํ นามํฯ ปวุตฺตนฺติ มหาราช, เอเต กามา นาม ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกสฺส อตฺตานุวาทภยาทิกสฺส เจว ทฺวตฺติํสกมฺมกรณฉนวุติโรควสปฺปวตฺตสฺส จ ภยสฺส ปจฺจยเฎฺฐน พลวภยนฺติ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวเกหิ เจว สพฺพญฺญุโพธิสเตฺตหิ จ ปวุตฺตํ กถิตํ, ทีปิตนฺติ อโตฺถฯ อถ วา ภยญฺจ เมตนฺติ ภยญฺจ มยา เอตํ ติมูลํ ปวุตฺตนฺติ เอวเญฺจตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพเยวฯ

    Tattha paṅkoti udake jātāni tiṇasevālakumudagacchādīni adhippetāni. Yathā hi udakaṃ tarantaṃ tāni laggāpenti sajjāpenti, tathā saṃsārasāgaraṃ tarantassa yogāvacarassa pañca kāmaguṇā sabbe vā pana vatthukāmakilesakāmā laggāpanavasena paṅko nāma. Imasmiñhi paṅke āsattā visattā devāpi manussāpi tiracchānāpi kilamanti rodanti paridevanti. Palipo ca kāmāti palipo vuccati mahākaddamo, yamhi laggā sūkaramigādayopi sīhāpi vāraṇāpi attānaṃ uddharitvā gantuṃ na sakkonti, vatthukāmakilesakāmāpi taṃsarikkhatāya ‘‘palipā’’ti vuttā. Paññavantopi hi sattā tesu kāmesu sakiṃ laggakālato paṭṭhāya te kāme padāletvā sīghaṃ uṭṭhāya akiñcanaṃ apalibodhaṃ ramaṇīyaṃ pabbajjaṃ upagantuṃ na sakkonti. Bhayañca metanti bhayañca etaṃ, ma-kāro byañjanasandhivasena vutto. Timūlanti tīhi mūlehi patiṭṭhitaṃ viya acalaṃ. Balavabhayassetaṃ nāmaṃ. Pavuttanti mahārāja, ete kāmā nāma diṭṭhadhammikasamparāyikassa attānuvādabhayādikassa ceva dvattiṃsakammakaraṇachanavutirogavasappavattassa ca bhayassa paccayaṭṭhena balavabhayanti buddhapaccekabuddhabuddhasāvakehi ceva sabbaññubodhisattehi ca pavuttaṃ kathitaṃ, dīpitanti attho. Atha vā bhayañca metanti bhayañca mayā etaṃ timūlaṃ pavuttanti evañcettha attho daṭṭhabboyeva.

    รโช จ ธูโม จาติ รชธูมสทิสตฺตา ‘‘รโช’’ติ จ ‘‘ธูโม’’ติ จ มยา ปกาสิตาฯ ยถา หิ สุนฺหาตสฺส สุวิลิตฺตาลงฺกตสฺส ปุริสสฺส สรีเร สุขุมรชํ ปติตํ, ตํ สรีรํ ทุพฺพณฺณํ โสภารหิตํ กิลิฎฺฐํ กโรติ, เอวเมว อิทฺธิพเลน อากาเสน อาคนฺตฺวา จโนฺท วิย จ สูริโย วิย จ โลเก ปญฺญาตาปิ สกิํ กามรชสฺส อโนฺต ปติตกาลโต ปฎฺฐาย คุณวณฺณคุณโสภาคุณสุทฺธีนํ อุปหตตฺตา ทุพฺพณฺณา โสภารหิตา กิลิฎฺฐาเยว โหนฺติฯ ยถา จ ธูเมน ปหฎกาลโต ปฎฺฐาย สุปริสุทฺธาปิ ภิตฺติ กาฬวณฺณา โหติ, เอวํ อติปริสุทฺธญฺญาณาปิ กามธูเมน ปหฎกาลโต ปฎฺฐาย คุณวินาสปฺปตฺติยา มหาชนมเชฺฌ กาฬกาว หุตฺวา ปญฺญายนฺติฯ อิติ รชธูมสริกฺขตาย เอเต กามา ‘‘รโช จ ธูโม จา’’ติ มยา ตุยฺหํ ปกาสิตา, ตสฺมา อิเม กาเม หิตฺวา ตุวํ ปพฺพช พฺรหฺมทตฺตาติ ราชานํ ปพฺพชฺชาย อุสฺสาหํ ชเนติฯ

    Rajo ca dhūmo cāti rajadhūmasadisattā ‘‘rajo’’ti ca ‘‘dhūmo’’ti ca mayā pakāsitā. Yathā hi sunhātassa suvilittālaṅkatassa purisassa sarīre sukhumarajaṃ patitaṃ, taṃ sarīraṃ dubbaṇṇaṃ sobhārahitaṃ kiliṭṭhaṃ karoti, evameva iddhibalena ākāsena āgantvā cando viya ca sūriyo viya ca loke paññātāpi sakiṃ kāmarajassa anto patitakālato paṭṭhāya guṇavaṇṇaguṇasobhāguṇasuddhīnaṃ upahatattā dubbaṇṇā sobhārahitā kiliṭṭhāyeva honti. Yathā ca dhūmena pahaṭakālato paṭṭhāya suparisuddhāpi bhitti kāḷavaṇṇā hoti, evaṃ atiparisuddhaññāṇāpi kāmadhūmena pahaṭakālato paṭṭhāya guṇavināsappattiyā mahājanamajjhe kāḷakāva hutvā paññāyanti. Iti rajadhūmasarikkhatāya ete kāmā ‘‘rajo ca dhūmo cā’’ti mayā tuyhaṃ pakāsitā, tasmā ime kāme hitvā tuvaṃ pabbaja brahmadattāti rājānaṃ pabbajjāya ussāhaṃ janeti.

    ตํ สุตฺวา ราชา กิเลเสหิ อตฺตโน พทฺธภาวํ กเถโนฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā kilesehi attano baddhabhāvaṃ kathento dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๕.

    15.

    ‘‘คธิโต จ รโตฺต จ อธิมุจฺฉิโต จ, กาเมสฺวหํ พฺราหฺมณ ภิํสรูปํ;

    ‘‘Gadhito ca ratto ca adhimucchito ca, kāmesvahaṃ brāhmaṇa bhiṃsarūpaṃ;

    ตํ นุสฺสเห ชีวิกโตฺถ ปหาตุํ, กาหามิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานี’’ติฯ

    Taṃ nussahe jīvikattho pahātuṃ, kāhāmi puññāni anappakānī’’ti.

    ตตฺถ คธิโตติ อภิชฺฌากายคเนฺถน พโทฺธฯ รโตฺตติ ปกติชหาปเนน ราเคน รโตฺตฯ อธิมุจฺฉิโตติ อติวิย มุจฺฉิโตฯ กาเมสฺวหนฺติ ทุวิเธสุปิ กาเมสุ อหํฯ พฺราหฺมณาติ ทรีมุขปเจฺจกพุทฺธํ อาลปติฯ ภิํสรูปนฺติ พลวรูปํฯ ตํ นุสฺสเหติ ตํ ทุวิธมฺปิ กามํ น อุสฺสหามิ น สโกฺกมิฯ ชีวิกโตฺถ ปหาตุนฺติ อิมาย ชีวิกาย อตฺถิโก อหํ ตํ กามํ ปหาตุํ น สโกฺกมีติ วทติฯ กาหามิ ปุญฺญานีติ อิทานิ ทานสีลอุโปสถกมฺมสงฺขาตานิ ปุญฺญานิ อนปฺปกานิ พหูนิ กริสฺสามีติฯ

    Tattha gadhitoti abhijjhākāyaganthena baddho. Rattoti pakatijahāpanena rāgena ratto. Adhimucchitoti ativiya mucchito. Kāmesvahanti duvidhesupi kāmesu ahaṃ. Brāhmaṇāti darīmukhapaccekabuddhaṃ ālapati. Bhiṃsarūpanti balavarūpaṃ. Taṃ nussaheti taṃ duvidhampi kāmaṃ na ussahāmi na sakkomi. Jīvikattho pahātunti imāya jīvikāya atthiko ahaṃ taṃ kāmaṃ pahātuṃ na sakkomīti vadati. Kāhāmi puññānīti idāni dānasīlauposathakammasaṅkhātāni puññāni anappakāni bahūni karissāmīti.

    เอวํ กิเลสกาโม นาเมส สกิํ อลฺลีนกาลโต ปฎฺฐาย อปเนตุํ น สโกฺกติ, เยน สํกิลิฎฺฐจิโตฺต มหาปุริโส ปเจฺจกพุเทฺธน ปพฺพชฺชาย คุเณ กถิเตปิ ‘‘ปพฺพชิตุํ น สโกฺกมี’’ติ อาหฯ โยยํ ทีปงฺกรปาทมูเล อตฺตนิ สมฺภเวน ญาเณน พุทฺธกรธเมฺม วิจินโนฺต ตติยํ เนกฺขมฺมปารมิํ ทิสฺวา –

    Evaṃ kilesakāmo nāmesa sakiṃ allīnakālato paṭṭhāya apanetuṃ na sakkoti, yena saṃkiliṭṭhacitto mahāpuriso paccekabuddhena pabbajjāya guṇe kathitepi ‘‘pabbajituṃ na sakkomī’’ti āha. Yoyaṃ dīpaṅkarapādamūle attani sambhavena ñāṇena buddhakaradhamme vicinanto tatiyaṃ nekkhammapāramiṃ disvā –

    ‘‘อิมํ ตฺวํ ตติยํ ตาว, ทฬฺหํ กตฺวา สมาทิย;

    ‘‘Imaṃ tvaṃ tatiyaṃ tāva, daḷhaṃ katvā samādiya;

    เนกฺขมฺมปารมิตํ คจฺฉ, ยทิ โพธิํ ปตฺตุมิจฺฉสิฯ

    Nekkhammapāramitaṃ gaccha, yadi bodhiṃ pattumicchasi.

    ‘‘ยถา อนฺทุฆเร ปุริโส, จิรวุโตฺถ ทุขฎฺฎิโต;

    ‘‘Yathā andughare puriso, ciravuttho dukhaṭṭito;

    น ตตฺถ ราคํ ชเนติ, มุตฺติํเยว คเวสติฯ

    Na tattha rāgaṃ janeti, muttiṃyeva gavesati.

    ‘‘ตเถว ตฺวํ สพฺพภเว, ปสฺส อนฺทุฆเร วิย;

    ‘‘Tatheva tvaṃ sabbabhave, passa andughare viya;

    เนกฺขมฺมาภิมุโข หุตฺวา, สโมฺพธิํ ปาปุณิสฺสสี’’ติฯ –

    Nekkhammābhimukho hutvā, sambodhiṃ pāpuṇissasī’’ti. –

    เอวํ เนกฺขเมฺม คุณํ ปริกิเตฺตสิ, โส ปเจฺจกพุเทฺธน ปพฺพชฺชาย วณฺณํ วตฺวา ‘‘กิเลเส ฉเฑฺฑตฺวา สมโณ โหหี’’ติ วุจฺจมาโนปิ ‘‘นาหํ กิเลเส ฉเฑฺฑตฺวา สมโณ ภวิตุํ สโกฺกมี’’ติ วทติฯ

    Evaṃ nekkhamme guṇaṃ parikittesi, so paccekabuddhena pabbajjāya vaṇṇaṃ vatvā ‘‘kilese chaḍḍetvā samaṇo hohī’’ti vuccamānopi ‘‘nāhaṃ kilese chaḍḍetvā samaṇo bhavituṃ sakkomī’’ti vadati.

    อิมสฺมิํ กิร โลเก อฎฺฐ อุมฺมตฺตกา นามฯ เตนาหุ โปราณา ‘‘อฎฺฐ ปุคฺคลา อุมฺมตฺตกสญฺญํ ปฎิลภนฺติ, กามุมฺมตฺตโก โลภวสํ คโต , โกธุมฺมตฺตโก โทสวสํ คโต, ทิฎฺฐุมฺมตฺตโก วิปลฺลาสวสํ คโต, โมหุมฺมตฺตโก อญฺญาณวสํ คโต, ยกฺขุมฺมตฺตโก ยกฺขวสํ คโต, ปิตฺตุมฺมตฺตโก ปิตฺตวสํ คโต, สุรุมฺมตฺตโก ปานวสํ คโต, พฺยสนุมฺมตฺตโก โสกวสํ คโต’’ติฯ อิเมสุ อฎฺฐสุ อุมฺมตฺตเกสุ มหาสโตฺต อิมสฺมิํ ชาตเก กามุมฺมตฺตโก หุตฺวา โลภวสํ คโต ปพฺพชฺชาย คุณํ น อญฺญาสิฯ

    Imasmiṃ kira loke aṭṭha ummattakā nāma. Tenāhu porāṇā ‘‘aṭṭha puggalā ummattakasaññaṃ paṭilabhanti, kāmummattako lobhavasaṃ gato , kodhummattako dosavasaṃ gato, diṭṭhummattako vipallāsavasaṃ gato, mohummattako aññāṇavasaṃ gato, yakkhummattako yakkhavasaṃ gato, pittummattako pittavasaṃ gato, surummattako pānavasaṃ gato, byasanummattako sokavasaṃ gato’’ti. Imesu aṭṭhasu ummattakesu mahāsatto imasmiṃ jātake kāmummattako hutvā lobhavasaṃ gato pabbajjāya guṇaṃ na aññāsi.

    เอวํ อนตฺถการกํ ปน อิมํ คุณปริธํสกํ โลภชาตํ กสฺมา สตฺตา ปริมุญฺจิตุํ น สโกฺกนฺตีติ? อนมตเคฺค สํสาเร อเนกานิ กปฺปโกฎิสตสหสฺสานิ เอกโต พนฺธิตภาเวนฯ เอวํ สเนฺตปิ ตํ ปณฺฑิตา ‘‘อปฺปสฺสาทา กามา’’ติอาทีนํ อเนเกสํ ปจฺจเวกฺขณานํ วเสน ปชหนฺติฯ เตเนว ทรีมุขปเจฺจกพุโทฺธ มหาสเตฺตน ‘‘ปพฺพชิตุํ น สโกฺกมี’’ติ วุเตฺตปิ ธุรนิเกฺขปํ อกตฺวา อุตฺตริมฺปิ โอวทโนฺต เทฺว คาถา อาหฯ

    Evaṃ anatthakārakaṃ pana imaṃ guṇaparidhaṃsakaṃ lobhajātaṃ kasmā sattā parimuñcituṃ na sakkontīti? Anamatagge saṃsāre anekāni kappakoṭisatasahassāni ekato bandhitabhāvena. Evaṃ santepi taṃ paṇḍitā ‘‘appassādā kāmā’’tiādīnaṃ anekesaṃ paccavekkhaṇānaṃ vasena pajahanti. Teneva darīmukhapaccekabuddho mahāsattena ‘‘pabbajituṃ na sakkomī’’ti vuttepi dhuranikkhepaṃ akatvā uttarimpi ovadanto dve gāthā āha.

    ๑๖.

    16.

    ‘‘โย อตฺถกามสฺส หิตานุกมฺปิโน, โอวชฺชมาโน น กโรติ สาสนํ;

    ‘‘Yo atthakāmassa hitānukampino, ovajjamāno na karoti sāsanaṃ;

    อิทเมว เสโยฺย อิติ มญฺญมาโน, ปุนปฺปุนํ คพฺภมุเปติ มโนฺทฯ

    Idameva seyyo iti maññamāno, punappunaṃ gabbhamupeti mando.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘โส โฆรรูปํ นิรยํ อุเปติ, สุภาสุภํ มุตฺตกรีสปูรํ;

    ‘‘So ghorarūpaṃ nirayaṃ upeti, subhāsubhaṃ muttakarīsapūraṃ;

    สตฺตา สกาเย น ชหนฺติ คิทฺธา, เย โหนฺติ กาเมสุ อวีตราคา’’ติฯ

    Sattā sakāye na jahanti giddhā, ye honti kāmesu avītarāgā’’ti.

    ตตฺถ อตฺถกามสฺสาติ วุฑฺฒิกามสฺสฯ หิตานุกมฺปิโนติ หิเตน มุทุจิเตฺตน อนุกมฺปนฺตสฺสฯ โอวชฺชมาโนติ โอวทิยมาโนฯ อิทเมว เสโยฺยติ ยํ อตฺตนา คหิตํ อเสยฺยํ อนุตฺตมมฺปิ สมานํ, ตํ อิทเมว เสโยฺย อิติ มญฺญมาโนฯ มโนฺทติ โส อญฺญาณปุคฺคโล มาตุกุจฺฉิยํ วาสํ นาติกฺกมติ, ปุนปฺปุนํ คพฺภํ อุเปติเยวาติ อโตฺถฯ

    Tattha atthakāmassāti vuḍḍhikāmassa. Hitānukampinoti hitena muducittena anukampantassa. Ovajjamānoti ovadiyamāno. Idameva seyyoti yaṃ attanā gahitaṃ aseyyaṃ anuttamampi samānaṃ, taṃ idameva seyyo iti maññamāno. Mandoti so aññāṇapuggalo mātukucchiyaṃ vāsaṃ nātikkamati, punappunaṃ gabbhaṃ upetiyevāti attho.

    โส โฆรรูปนฺติ มหาราช, โส มโนฺท ตํ มาตุกุจฺฉิํ อุเปโนฺต โฆรรูปํ ทารุณชาติกํ นิรยํ อุเปติ นามฯ มาตุกุจฺฉิ หิ นิรสฺสาทเฎฺฐน อิธ ‘‘นิรโย’’ติ วุโตฺต, ‘‘จตุกุฎฺฎิกนิรโย’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘จตุกุฎฺฎิกนิรโย นาม กตโร’’ติ วุเตฺต มาตุกุจฺฉิเมว วตฺตุํ วฎฺฎติฯ อวีจิมหานิรเย นิพฺพตฺตสตฺตสฺส หิ อปราปรํ อาธาวนปริธาวนํ โหติเยว, ตสฺมา ตํ ‘‘จตุกุฎฺฎิกนิรโย’’ติ วตฺตุํ น ลพฺภติ, มาตุกุจฺฉิยํ ปน นว วา ทส วา มาเส จตูหิปิ ปเสฺสหิ อิโต จิโต จ ธาวิตุํ นาม น สกฺกา, อติสมฺพาเธ โอกาเส จตุโกเฎน จตุสงฺกุฎิเตเนว หุตฺวา อจฺฉิตพฺพํ, ตสฺมา เอส ‘‘จตุกุฎฺฎิกนิรโย’’ติ วุจฺจติฯ

    So ghorarūpanti mahārāja, so mando taṃ mātukucchiṃ upento ghorarūpaṃ dāruṇajātikaṃ nirayaṃ upeti nāma. Mātukucchi hi nirassādaṭṭhena idha ‘‘nirayo’’ti vutto, ‘‘catukuṭṭikanirayo’’ti vuccati. ‘‘Catukuṭṭikanirayo nāma kataro’’ti vutte mātukucchimeva vattuṃ vaṭṭati. Avīcimahāniraye nibbattasattassa hi aparāparaṃ ādhāvanaparidhāvanaṃ hotiyeva, tasmā taṃ ‘‘catukuṭṭikanirayo’’ti vattuṃ na labbhati, mātukucchiyaṃ pana nava vā dasa vā māse catūhipi passehi ito cito ca dhāvituṃ nāma na sakkā, atisambādhe okāse catukoṭena catusaṅkuṭiteneva hutvā acchitabbaṃ, tasmā esa ‘‘catukuṭṭikanirayo’’ti vuccati.

    สุภาสุภนฺติ สุภานํ อสุภํฯ สุภานญฺหิ สํสารภีรุกานํ โยคาวจรกุลปุตฺตานํ มาตุกุจฺฉิ เอกนฺตํ อสุภสมฺมโตฯ เตน วุตฺตํ –

    Subhāsubhanti subhānaṃ asubhaṃ. Subhānañhi saṃsārabhīrukānaṃ yogāvacarakulaputtānaṃ mātukucchi ekantaṃ asubhasammato. Tena vuttaṃ –

    ‘‘อชญฺญํ ชญฺญสงฺขาตํ, อสุจิํ สุจิสมฺมตํ;

    ‘‘Ajaññaṃ jaññasaṅkhātaṃ, asuciṃ sucisammataṃ;

    นานากุณปปริปูรํ, ชญฺญรูปํ อปสฺสโตฯ

    Nānākuṇapaparipūraṃ, jaññarūpaṃ apassato.

    ‘‘ธิรตฺถุมํ อาตุรํ ปูติกายํ, เชคุจฺฉิยํ อสฺสุจิํ พฺยาธิธมฺมํ;

    ‘‘Dhiratthumaṃ āturaṃ pūtikāyaṃ, jegucchiyaṃ assuciṃ byādhidhammaṃ;

    ยตฺถปฺปมตฺตา อธิมุจฺฉิตา ปชา, หาเปนฺติ มคฺคํ สุคตูปปตฺติยา’’ติฯ (ชา. ๑.๓.๑๒๘-๑๒๙);

    Yatthappamattā adhimucchitā pajā, hāpenti maggaṃ sugatūpapattiyā’’ti. (jā. 1.3.128-129);

    สตฺตาติ อาสตฺตา วิสตฺตา ลคฺคา ลคฺคิตา สกาเย น ชหนฺตีติ ตํ มาตุกุจฺฉิํ น ปริจฺจชนฺติ ฯ คิทฺธาติ คธิตาฯ เย โหนฺตีติ เย กาเมสุ อวีตราคา โหนฺติ, เต เอตํ คพฺภวาสํ น ชหนฺตีติฯ

    Sattāti āsattā visattā laggā laggitā sakāye na jahantīti taṃ mātukucchiṃ na pariccajanti . Giddhāti gadhitā. Ye hontīti ye kāmesu avītarāgā honti, te etaṃ gabbhavāsaṃ na jahantīti.

    เอวํ ทรีมุขปเจฺจกพุโทฺธ คพฺภโอกฺกนฺติมูลกญฺจ, ปริหารมูลกญฺจ ทุกฺขํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ คพฺภวุฎฺฐานมูลกํ ทเสฺสตุํ ทิยฑฺฒคาถมาหฯ

    Evaṃ darīmukhapaccekabuddho gabbhaokkantimūlakañca, parihāramūlakañca dukkhaṃ dassetvā idāni gabbhavuṭṭhānamūlakaṃ dassetuṃ diyaḍḍhagāthamāha.

    ๑๘.

    18.

    ‘‘มีเฬฺหน ลิตฺตา รุหิเรน มกฺขิตา, เสเมฺหน ลิตฺตา อุปนิกฺขมนฺติ;

    ‘‘Mīḷhena littā ruhirena makkhitā, semhena littā upanikkhamanti;

    ยํ ยญฺหิ กาเยน ผุสนฺติ ตาวเท, สพฺพํ อสาตํ ทุขเมว เกวลํฯ

    Yaṃ yañhi kāyena phusanti tāvade, sabbaṃ asātaṃ dukhameva kevalaṃ.

    ๑๙.

    19.

    ‘‘ทิสฺวา วทามิ น หิ อญฺญโต สวํ, ปุเพฺพนิวาสํ พหุกํ สรามี’’ติฯ

    ‘‘Disvā vadāmi na hi aññato savaṃ, pubbenivāsaṃ bahukaṃ sarāmī’’ti.

    ตตฺถ มีเฬฺหน ลิตฺตาติ มหาราช, อิเม สตฺตา มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนฺตา น จตุชฺชาติคเนฺธหิ วิลิมฺปิตฺวา สุรภิมาลํ ปิฬนฺธิตฺวา นิกฺขมนฺติ, ปุราณคูเถน ปน มกฺขิตา ปลิพุทฺธา หุตฺวา นิกฺขมนฺติฯ รุหิเรน มกฺขิตาติ รตฺตโลหิตจนฺทนานุลิตฺตาปิ จ หุตฺวา น นิกฺขมนฺติ, รตฺตโลหิตมกฺขิตา ปน หุตฺวา นิกฺขมนฺติฯ เสเมฺหน ลิตฺตาติ น จาปิ เสตจนฺทนวิลิตฺตา นิกฺขมนฺติ, พหลปิจฺฉิลเสมฺหลิตฺตา ปน หุตฺวา นิกฺขมนฺติฯ อิตฺถีนญฺหิ คพฺภวุฎฺฐานกาเล เอตา อสุจิโย นิกฺขมนฺติฯ ตาวเทติ ตสฺมิํ สมเยฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มหาราช, อิเม สตฺตา ตสฺมิํ มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนสมเย เอวํ มีฬฺหาทิลิตฺตา นิกฺขมนฺตา ยํ ยํ นิกฺขมนมคฺคปเทสํ วา หตฺถํ วา ปาทํ วา ผุสนฺติ, ตํ สพฺพํ อสาตํ อมธุรํ เกวลํ อสมฺมิสฺสํ ทุกฺขเมว ผุสนฺติ, สุขํ นาม เตสํ ตสฺมิํ สมเย นตฺถีติฯ

    Tattha mīḷhena littāti mahārāja, ime sattā mātukucchito nikkhamantā na catujjātigandhehi vilimpitvā surabhimālaṃ piḷandhitvā nikkhamanti, purāṇagūthena pana makkhitā palibuddhā hutvā nikkhamanti. Ruhirena makkhitāti rattalohitacandanānulittāpi ca hutvā na nikkhamanti, rattalohitamakkhitā pana hutvā nikkhamanti. Semhena littāti na cāpi setacandanavilittā nikkhamanti, bahalapicchilasemhalittā pana hutvā nikkhamanti. Itthīnañhi gabbhavuṭṭhānakāle etā asuciyo nikkhamanti. Tāvadeti tasmiṃ samaye. Idaṃ vuttaṃ hoti – mahārāja, ime sattā tasmiṃ mātukucchito nikkhamanasamaye evaṃ mīḷhādilittā nikkhamantā yaṃ yaṃ nikkhamanamaggapadesaṃ vā hatthaṃ vā pādaṃ vā phusanti, taṃ sabbaṃ asātaṃ amadhuraṃ kevalaṃ asammissaṃ dukkhameva phusanti, sukhaṃ nāma tesaṃ tasmiṃ samaye natthīti.

    ทิสฺวา วทามิ น หิ อญฺญโต สวนฺติ มหาราช, อหํ อิมํ เอตฺตกํ วทโนฺต น อญฺญโต สวํ, อญฺญสฺส สมณสฺส วา พฺราหฺมณสฺส วา ตํ สุตฺวา น วทามิ, อตฺตโน ปน ปเจฺจกโพธิญาเณน ทิสฺวา ปฎิวิชฺฌิตฺวา ปจฺจกฺขํ กตฺวา วทามีติ อโตฺถฯ ปุเพฺพนิวาสํ พหุกนฺติ อิทํ อตฺตโน อานุภาวํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มหาราช, อหญฺหิ ปุเพฺพ นิวุตฺถกฺขนฺธปฎิปาฎิสงฺขาตํ ปุเพฺพนิวาสํ พหุกํ สรามิ, สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ สรามีติฯ

    Disvā vadāmi na hi aññato savanti mahārāja, ahaṃ imaṃ ettakaṃ vadanto na aññato savaṃ, aññassa samaṇassa vā brāhmaṇassa vā taṃ sutvā na vadāmi, attano pana paccekabodhiñāṇena disvā paṭivijjhitvā paccakkhaṃ katvā vadāmīti attho. Pubbenivāsaṃ bahukanti idaṃ attano ānubhāvaṃ dassento āha. Idaṃ vuttaṃ hoti – mahārāja, ahañhi pubbe nivutthakkhandhapaṭipāṭisaṅkhātaṃ pubbenivāsaṃ bahukaṃ sarāmi, satasahassakappādhikāni dve asaṅkhyeyyāni sarāmīti.

    อิทานิ สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ‘‘เอวํ โส ปเจฺจกพุโทฺธ ราชานํ สุภาสิตกถาย สงฺคณฺหี’’ติ วตฺวา โอสาเน อุปฑฺฒคาถมาห –

    Idāni satthā abhisambuddho hutvā ‘‘evaṃ so paccekabuddho rājānaṃ subhāsitakathāya saṅgaṇhī’’ti vatvā osāne upaḍḍhagāthamāha –

    ‘‘จิตฺราหิ คาถาหิ สุภาสิตาหิ, ทรีมุโข นิชฺฌาปยิ สุเมธ’’นฺติฯ

    ‘‘Citrāhi gāthāhi subhāsitāhi, darīmukho nijjhāpayi sumedha’’nti.

    ตตฺถ จิตฺราหีติ อเนกตฺถสนฺนิสฺสิตาหิฯ สุภาสิตาหีติ สุกถิตาหิฯ ทรีมุโข นิชฺฌาปยิ สุเมธนฺติ ภิกฺขเว, โส ทรีมุขปเจฺจกพุโทฺธ ตํ สุเมธํ สุนฺทรปญฺญํ การณาการณชานนสมตฺถํ ราชานํ นิชฺฌาเปสิ สญฺญาเปสิ, อตฺตโน วจนํ คณฺหาเปสีติ อโตฺถฯ

    Tattha citrāhīti anekatthasannissitāhi. Subhāsitāhīti sukathitāhi. Darīmukho nijjhāpayi sumedhanti bhikkhave, so darīmukhapaccekabuddho taṃ sumedhaṃ sundarapaññaṃ kāraṇākāraṇajānanasamatthaṃ rājānaṃ nijjhāpesi saññāpesi, attano vacanaṃ gaṇhāpesīti attho.

    เอวํ ปเจฺจกพุโทฺธ กาเมสุ โทสํ ทเสฺสตฺวา อตฺตโน วจนํ คาหาเปตฺวา ‘‘มหาราช, อิทานิ ปพฺพช วา มา วา, มยา ปน ตุยฺหํ กาเมสุ อาทีนโว ปพฺพชฺชาย จ อานิสํโส กถิโต, ตฺวํ อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ วตฺวา สุวณฺณราชหํโส วิย อากาเส อุปฺปติตฺวา วลาหกคพฺภํ มทฺทโนฺต นนฺทมูลกปพฺภารเมว คโตฯ มหาสโตฺต ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ สิรสฺมิํ ฐเปตฺวา นมสฺสมาโน ตสฺมิํ ทสฺสนวิสเย อตีเต เชฎฺฐปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา มหาชนสฺส โรทนฺตสฺส ปริเทวนฺตสฺส กาเม ปหาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา น จิรเสฺสว อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    Evaṃ paccekabuddho kāmesu dosaṃ dassetvā attano vacanaṃ gāhāpetvā ‘‘mahārāja, idāni pabbaja vā mā vā, mayā pana tuyhaṃ kāmesu ādīnavo pabbajjāya ca ānisaṃso kathito, tvaṃ appamatto hohī’’ti vatvā suvaṇṇarājahaṃso viya ākāse uppatitvā valāhakagabbhaṃ maddanto nandamūlakapabbhārameva gato. Mahāsatto dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ sirasmiṃ ṭhapetvā namassamāno tasmiṃ dassanavisaye atīte jeṭṭhaputtaṃ pakkosāpetvā rajjaṃ paṭicchāpetvā mahājanassa rodantassa paridevantassa kāme pahāya himavantaṃ pavisitvā paṇṇasālaṃ māpetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā na cirasseva abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā āyupariyosāne brahmalokūpago ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน พหู โสตาปนฺนาทโย อเหสุํฯ ตทา ราชา อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne bahū sotāpannādayo ahesuṃ. Tadā rājā ahameva ahosinti.

    ทรีมุขชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Darīmukhajātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๗๘. ทรีมุขชาตกํ • 378. Darīmukhajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact