Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā

    (๑๐.) ทสกนิเทฺทสวณฺณนา

    (10.) Dasakaniddesavaṇṇanā

    ปฐมพลนิเทฺทโส

    Paṭhamabalaniddeso

    ๘๐๙. ทสวิเธน ญาณวตฺถุนิเทฺทเส อฎฺฐานนฺติ เหตุปฎิเกฺขโปฯ อนวกาโสติ ปจฺจยปฎิเกฺขโปฯ อุภเยนาปิ การณเมว ปฎิกฺขิปติฯ การณญฺหิ ตทายตฺตวุตฺติตาย อตฺตโน ผลสฺส ฐานนฺติ จ อวกาโสติ จ วุจฺจติฯ นฺติ เยน การเณนฯ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺนติ มคฺคทิฎฺฐิยา สมฺปโนฺน โสตาปโนฺน อริยสาวโกฯ กญฺจิ สงฺขารนฺติ จตุภูมเกสุ สงฺขตสงฺขาเรสุ กญฺจิ เอกํ สงฺขารมฺปิฯ นิจฺจโต อุปคเจฺฉยฺยาติ นิโจฺจติ คเณฺหยฺยฯ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ เอตํ การณํ นตฺถิ, น อุปลพฺภติฯ ยํ ปุถุชฺชโนติ เยน การเณน ปุถุชฺชโนฯ ฐานเมตํ วิชฺชตีติ เอตํ การณํ อตฺถิ; สสฺสตทิฎฺฐิยา หิ โส เตภูมเกสุ สงฺขาเรสุ กญฺจิ สงฺขารํ นิจฺจโต คเณฺหยฺยาติ อโตฺถฯ จตุตฺถภูมกสงฺขาโร ปน เตชุสฺสทตฺตา ทิวสํ สนฺตโตฺต อโยคุโฬ วิย มกฺขิกานํ ทิฎฺฐิยา วา อเญฺญสํ วา อกุสลานํ อารมฺมณํ น โหติฯ อิมินา นเยน กญฺจิ สงฺขารํ สุขโตติอาทีสุปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สุขโต อุปคเจฺฉยฺยาติ ‘‘เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรมฺมรณา’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๑) เอวํ อตฺตทิฎฺฐิวเสน สุขโต คาหํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตจิเตฺตน ปน อริยสาวโก ปริฬาหาภิภูโต ปริฬาหวูปสมตฺถํ, มตฺตหตฺถีปริตาสิโต วิย, สุจิกาโม โปกฺขพฺราหฺมโณ คูถํ กญฺจิ สงฺขารํ สุขโต อุปคจฺฉติฯ อตฺตวาเท กสิณาทิปณฺณตฺติสงฺคหตฺถํ สงฺขารนฺติ อวตฺวา กญฺจิ ธมฺมนฺติ วุตฺตํฯ อิธาปิ อริยสาวกสฺส จตุภูมกวเสน ปริเจฺฉโท เวทิตโพฺพ, ปุถุชฺชนสฺส เตภูมกวเสน; สพฺพวาเรสุ วา อริยสาวกสฺสาปิ เตภูมกวเสเนว ปริเจฺฉโท วฎฺฎติฯ ยํ ยญฺหิ ปุถุชฺชโน คณฺหาติ, ตโต ตโต อริยสาวโก คาหํ วินิเวเฐติฯ ปุถุชฺชโน หิ ยํ ยํ นิจฺจํ สุขํ อตฺตาติ คณฺหาติ, ตํ ตํ อริยสาวโก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ คณฺหโนฺต คาหํ วินิเวเฐติฯ

    809. Dasavidhena ñāṇavatthuniddese aṭṭhānanti hetupaṭikkhepo. Anavakāsoti paccayapaṭikkhepo. Ubhayenāpi kāraṇameva paṭikkhipati. Kāraṇañhi tadāyattavuttitāya attano phalassa ṭhānanti ca avakāsoti ca vuccati. Yanti yena kāraṇena. Diṭṭhisampannoti maggadiṭṭhiyā sampanno sotāpanno ariyasāvako. Kañcisaṅkhāranti catubhūmakesu saṅkhatasaṅkhāresu kañci ekaṃ saṅkhārampi. Niccato upagaccheyyāti niccoti gaṇheyya. Netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti etaṃ kāraṇaṃ natthi, na upalabbhati. Yaṃ puthujjanoti yena kāraṇena puthujjano. Ṭhānametaṃ vijjatīti etaṃ kāraṇaṃ atthi; sassatadiṭṭhiyā hi so tebhūmakesu saṅkhāresu kañci saṅkhāraṃ niccato gaṇheyyāti attho. Catutthabhūmakasaṅkhāro pana tejussadattā divasaṃ santatto ayoguḷo viya makkhikānaṃ diṭṭhiyā vā aññesaṃ vā akusalānaṃ ārammaṇaṃ na hoti. Iminā nayena kañci saṅkhāraṃ sukhatotiādīsupi attho veditabbo. Sukhato upagaccheyyāti ‘‘ekantasukhī attā hoti arogo parammaraṇā’’ti (ma. ni. 3.21) evaṃ attadiṭṭhivasena sukhato gāhaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Diṭṭhivippayuttacittena pana ariyasāvako pariḷāhābhibhūto pariḷāhavūpasamatthaṃ, mattahatthīparitāsito viya, sucikāmo pokkhabrāhmaṇo gūthaṃ kañci saṅkhāraṃ sukhato upagacchati. Attavāde kasiṇādipaṇṇattisaṅgahatthaṃ saṅkhāranti avatvā kañci dhammanti vuttaṃ. Idhāpi ariyasāvakassa catubhūmakavasena paricchedo veditabbo, puthujjanassa tebhūmakavasena; sabbavāresu vā ariyasāvakassāpi tebhūmakavaseneva paricchedo vaṭṭati. Yaṃ yañhi puthujjano gaṇhāti, tato tato ariyasāvako gāhaṃ viniveṭheti. Puthujjano hi yaṃ yaṃ niccaṃ sukhaṃ attāti gaṇhāti, taṃ taṃ ariyasāvako aniccaṃ dukkhaṃ anattāti gaṇhanto gāhaṃ viniveṭheti.

    มาตรนฺติอาทีสุ ชนิกาว มาตาฯ มนุสฺสภูโตว ขีณาสโว อรหาติ อธิเปฺปโตฯ กิํ ปน อริยสาวโก อญฺญํ ชีวิตา โวโรเปยฺยาติ? เอตมฺปิ อฎฺฐานํฯ สเจปิ ภวนฺตรคตํ อริยสาวกํ อตฺตโน อริยสาวกภาวํ อชานนฺตมฺปิ โกจิ เอวํ วเทยฺย – ‘อิมํ กุนฺถกิปิลฺลิกํ ชีวิตา โวโรเปตฺวา สกลจกฺกวาฬคเพฺภ จกฺกวตฺติรชฺชํ ปฎิปชฺชาหี’ติ, เนว โส ตํ ชีวิตา โวโรเปยฺยฯ อถ วาปิ นํ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘สเจ อิมํ น ฆาเตสฺสสิ, สีสํ เต ฉินฺทิสฺสามา’ติ, สีสเมวสฺส ฉิเนฺทยฺยุํ, เนว โส ตํ ฆาเตยฺยฯ ปุถุชฺชนภาวสฺส ปน มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถํ อริยสาวกสฺส จ พลทีปนตฺถเมตํ วุตฺตํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – สาวโชฺช ปุถุชฺชนภาโว, ยตฺร หิ นาม ปุถุชฺชโน มาตุฆาตาทีนิปิ อานนฺตริยานิ กริสฺสติฯ มหาพโล อริยสาวโก; โส เอตานิ กมฺมานิ น กโรตีติฯ

    Mātarantiādīsu janikāva mātā. Manussabhūtova khīṇāsavo arahāti adhippeto. Kiṃ pana ariyasāvako aññaṃ jīvitā voropeyyāti? Etampi aṭṭhānaṃ. Sacepi bhavantaragataṃ ariyasāvakaṃ attano ariyasāvakabhāvaṃ ajānantampi koci evaṃ vadeyya – ‘imaṃ kunthakipillikaṃ jīvitā voropetvā sakalacakkavāḷagabbhe cakkavattirajjaṃ paṭipajjāhī’ti, neva so taṃ jīvitā voropeyya. Atha vāpi naṃ evaṃ vadeyyuṃ – ‘sace imaṃ na ghātessasi, sīsaṃ te chindissāmā’ti, sīsamevassa chindeyyuṃ, neva so taṃ ghāteyya. Puthujjanabhāvassa pana mahāsāvajjabhāvadassanatthaṃ ariyasāvakassa ca baladīpanatthametaṃ vuttaṃ. Ayañhettha adhippāyo – sāvajjo puthujjanabhāvo, yatra hi nāma puthujjano mātughātādīnipi ānantariyāni karissati. Mahābalo ariyasāvako; so etāni kammāni na karotīti.

    ปทุเฎฺฐน จิเตฺตนาติ โทสสมฺปยุเตฺตน วธกจิเตฺตนฯ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยาติ ชีวมานกสรีเร ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตํ อุปฺปาเทยฺยฯ สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยาติ สมานสํวาสกํ สมานสีมายํ ฐิตํ ปญฺจหิ การเณหิ สงฺฆํ ภิเนฺทยฺย, วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ปญฺจหุปาลิ, อากาเรหิ สโงฺฆ ภิชฺชติ – กเมฺมน, อุเทฺทเสน, โวหรโนฺต, อนุสฺสาวเนน, สลากคฺคาเหนา’’ติ (ปริ. ๔๕๘)ฯ

    Paduṭṭhena cittenāti dosasampayuttena vadhakacittena. Lohitaṃ uppādeyyāti jīvamānakasarīre khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitaṃ uppādeyya. Saṅghaṃ bhindeyyāti samānasaṃvāsakaṃ samānasīmāyaṃ ṭhitaṃ pañcahi kāraṇehi saṅghaṃ bhindeyya, vuttañhetaṃ – ‘‘pañcahupāli, ākārehi saṅgho bhijjati – kammena, uddesena, voharanto, anussāvanena, salākaggāhenā’’ti (pari. 458).

    ตตฺถ ‘กเมฺมนา’ติ อปโลกนาทีสุ จตูสุ กเมฺมสุ อญฺญตเรน กเมฺมนฯ ‘อุเทฺทเสนา’ติ ปญฺจสุ ปาติโมกฺขุเทฺทเสสุ อญฺญตเรน อุเทฺทเสนฯ ‘โวหรโนฺต’ติ กถยโนฺต, ตาหิ ตาหิ อุปฺปตฺตีหิ ‘อธมฺมํ ธโมฺม’ติอาทีนิ อฎฺฐารส เภทกรวตฺถูนิ ทีเปโนฺตฯ ‘อนุสฺสาวเนนา’ติ ‘นนุ ตุเมฺห ชานาถ มยฺหํ อุจฺจากุลา ปพฺพชิตภาวํ พหุสฺสุตภาวญฺจ! มาทิโส นาม อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สตฺถุสาสนํ คาเหยฺยาติ จิตฺตมฺปิ อุปฺปาเทตุํ ตุมฺหากํ น ยุตฺตํฯ กิํ มยฺหํ อวีจิ นีลุปฺปลวนํ วิย สีตโล? กิมหํ อปายโต น ภายามี’ติอาทินา นเยน กณฺณมูเล วจีเภทํ กตฺวา อนุสฺสาวเนน ฯ ‘สลากคฺคาเหนา’ติ เอวํ อนุสฺสาเวตฺวา เตสํ จิตฺตํ อุปตฺถเมฺภตฺวา อนิวตฺตนธเมฺม กตฺวา ‘‘คณฺหถ อิมํ สลาก’’นฺติ สลากคฺคาเหนฯ เอตฺถ จ กมฺมเมว อุเทฺทโส วา ปมาณํ โวหารานุสฺสาวนสลากคฺคาหา ปน ปุพฺพภาคาฯ อฎฺฐารสวตฺถุทีปนวเสน หิ โวหรเนฺตน ตตฺถ รุจิชนนตฺถํ อนุสฺสาเวตฺวา สลากาย คาหิตายปิ อภิโนฺนว โหติ สโงฺฆฯ ยทา ปน เอวํ จตฺตาโร วา อติเรกา วา สลากํ คาเหตฺวา อาเวณิกํ กมฺมํ วา อุเทฺทสํ วา กโรนฺติ, ตทา สโงฺฆ ภิโนฺน นาม โหติฯ

    Tattha ‘kammenā’ti apalokanādīsu catūsu kammesu aññatarena kammena. ‘Uddesenā’ti pañcasu pātimokkhuddesesu aññatarena uddesena. ‘Voharanto’ti kathayanto, tāhi tāhi uppattīhi ‘adhammaṃ dhammo’tiādīni aṭṭhārasa bhedakaravatthūni dīpento. ‘Anussāvanenā’ti ‘nanu tumhe jānātha mayhaṃ uccākulā pabbajitabhāvaṃ bahussutabhāvañca! Mādiso nāma uddhammaṃ ubbinayaṃ satthusāsanaṃ gāheyyāti cittampi uppādetuṃ tumhākaṃ na yuttaṃ. Kiṃ mayhaṃ avīci nīluppalavanaṃ viya sītalo? Kimahaṃ apāyato na bhāyāmī’tiādinā nayena kaṇṇamūle vacībhedaṃ katvā anussāvanena . ‘Salākaggāhenā’ti evaṃ anussāvetvā tesaṃ cittaṃ upatthambhetvā anivattanadhamme katvā ‘‘gaṇhatha imaṃ salāka’’nti salākaggāhena. Ettha ca kammameva uddeso vā pamāṇaṃ vohārānussāvanasalākaggāhā pana pubbabhāgā. Aṭṭhārasavatthudīpanavasena hi voharantena tattha rucijananatthaṃ anussāvetvā salākāya gāhitāyapi abhinnova hoti saṅgho. Yadā pana evaṃ cattāro vā atirekā vā salākaṃ gāhetvā āveṇikaṃ kammaṃ vā uddesaṃ vā karonti, tadā saṅgho bhinno nāma hoti.

    เอวํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล สงฺฆํ ภิเนฺทยฺยาติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ เอตฺตาวตา มาตุฆาตาทีนิ ปญฺจ อานนฺตริยกมฺมานิ ทสฺสิตานิ โหนฺติ, ยานิ ปุถุชฺชโน กโรติ, น อริยสาวโกฯ เตสํ อาวิภาวตฺถํ –

    Evaṃ diṭṭhisampanno puggalo saṅghaṃ bhindeyyāti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Ettāvatā mātughātādīni pañca ānantariyakammāni dassitāni honti, yāni puthujjano karoti, na ariyasāvako. Tesaṃ āvibhāvatthaṃ –

    กมฺมโต ทฺวารโต เจว, กปฺปฎฺฐิติยโต ตถา;

    Kammato dvārato ceva, kappaṭṭhitiyato tathā;

    ปากสาธารณาทีหิ, วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Pākasādhāraṇādīhi, viññātabbo vinicchayo.

    ตตฺถ ‘กมฺมโต’ ตาว – เอตฺถ หิ มนุสฺสภูตเสฺสว มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา อปิ ปริวตฺตลิงฺคํ ชีวิตา โวโรเปนฺตสฺส กมฺมํ อานนฺตริยํ โหติฯ ตสฺส วิปากํ ปฎิพาหิสฺสามี’ติ สกลจกฺกวาฬํ มหาเจติยปฺปมาเณหิ กญฺจนถูเปหิ ปูเรตฺวาปิ, สกลจกฺกวาฬํ ปูเรตฺวา นิสินฺนภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวาปิ, พุทฺธสฺส ภควโต สงฺฆาฎิกณฺณํ อมุญฺจิตฺวาว วิจริตฺวาปิ, กายสฺส เภทา นิรยเมว อุปปชฺชติฯ โย ปน สยํ มนุสฺสภูโต ติรจฺฉานภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา, สยํ วา ติรจฺฉานภูโต มนุสฺสภูตํ, ติรจฺฉานภูโตเยว วา ติรจฺฉานภูตํ ชีวิตา โวโรเปติ, ตสฺส กมฺมํ อานนฺตริยํ น โหติ, กมฺมํ ปน ภาริยํ โหติ, อานนฺตริยํ อาหเจฺจว ติฎฺฐติฯ มนุสฺสชาติกานํ ปน วเสน อยํ ปโญฺห กถิโตฯ

    Tattha ‘kammato’ tāva – ettha hi manussabhūtasseva manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā api parivattaliṅgaṃ jīvitā voropentassa kammaṃ ānantariyaṃ hoti. Tassa vipākaṃ paṭibāhissāmī’ti sakalacakkavāḷaṃ mahācetiyappamāṇehi kañcanathūpehi pūretvāpi, sakalacakkavāḷaṃ pūretvā nisinnabhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvāpi, buddhassa bhagavato saṅghāṭikaṇṇaṃ amuñcitvāva vicaritvāpi, kāyassa bhedā nirayameva upapajjati. Yo pana sayaṃ manussabhūto tiracchānabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā, sayaṃ vā tiracchānabhūto manussabhūtaṃ, tiracchānabhūtoyeva vā tiracchānabhūtaṃ jīvitā voropeti, tassa kammaṃ ānantariyaṃ na hoti, kammaṃ pana bhāriyaṃ hoti, ānantariyaṃ āhacceva tiṭṭhati. Manussajātikānaṃ pana vasena ayaṃ pañho kathito.

    เอตฺถ เอฬกจตุกฺกํ, สงฺคามจตุกฺกํ, โจรจตุกฺกญฺจ กเถตพฺพํฯ ‘เอฬกํ มาเรมี’ติ อภิสนฺธินาปิ หิ เอฬกฎฺฐาเน ฐิตํ มนุโสฺส มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา มาเรโนฺต อานนฺตริยํ ผุสติฯ เอฬกาภิสนฺธินา ปน มาตาปิติอภิสนฺธินา วา เอฬกํ มาเรโนฺต อานนฺตริยํ น ผุสติฯ มาตาปิติอภิสนฺธินา มาตาปิตโร มาเรโนฺต ผุสเตวฯ เอส นโย อิตรสฺมิมฺปิ จตุกฺกทฺวเยฯ ยถา จ มาตาปิตูสุ, เอวํ อรหเนฺตปิ เอตานิ จตุกฺกานิ เวทิตพฺพานิฯ มนุสฺสอรหนฺตเมว จ มาเรตฺวา อานนฺตริยํ ผุสติ, น ยกฺขภูตํ; กมฺมํ ปน ภาริยํ อานนฺตริยสทิสเมวฯ มนุสฺสอรหนฺตสฺส จ ปุถุชฺชนกาเลเยว สตฺถปฺปหาเร วา วิเส วา ทิเนฺนปิ ยทิ โส อรหตฺตํ ปตฺวา เตเนว มรติ, อรหนฺตฆาโต โหติเยวฯ ยํ ปน ปุถุชฺชนกาเล ทินฺนํ ทานํ อรหตฺตํ ปตฺวา ปริภุญฺชติ, ปุถุชฺชนเสฺสว ตํ ทินฺนํ โหติฯ เสสอริยปุคฺคเล มาเรนฺตสฺส อานนฺตริยํ นตฺถิ, กมฺมํ ปน ภาริยํ อานนฺตริยสทิสเมวฯ

    Ettha eḷakacatukkaṃ, saṅgāmacatukkaṃ, coracatukkañca kathetabbaṃ. ‘Eḷakaṃ māremī’ti abhisandhināpi hi eḷakaṭṭhāne ṭhitaṃ manusso manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā mārento ānantariyaṃ phusati. Eḷakābhisandhinā pana mātāpitiabhisandhinā vā eḷakaṃ mārento ānantariyaṃ na phusati. Mātāpitiabhisandhinā mātāpitaro mārento phusateva. Esa nayo itarasmimpi catukkadvaye. Yathā ca mātāpitūsu, evaṃ arahantepi etāni catukkāni veditabbāni. Manussaarahantameva ca māretvā ānantariyaṃ phusati, na yakkhabhūtaṃ; kammaṃ pana bhāriyaṃ ānantariyasadisameva. Manussaarahantassa ca puthujjanakāleyeva satthappahāre vā vise vā dinnepi yadi so arahattaṃ patvā teneva marati, arahantaghāto hotiyeva. Yaṃ pana puthujjanakāle dinnaṃ dānaṃ arahattaṃ patvā paribhuñjati, puthujjanasseva taṃ dinnaṃ hoti. Sesaariyapuggale mārentassa ānantariyaṃ natthi, kammaṃ pana bhāriyaṃ ānantariyasadisameva.

    โลหิตุปฺปาเท ตถาคตสฺส อเภชฺชกายตาย ปรูปกฺกเมน จมฺมเจฺฉทํ กตฺวา โลหิตปคฺฆรณํ นาม นตฺถิฯ สรีรสฺส ปน อโนฺตเยว เอกสฺมิํ ฐาเน โลหิตํ สโมสรติฯ เทวทเตฺตน ปฎิวิทฺธสิลาโต ภิชฺชิตฺวา คตา สกลิกาปิ ตถาคตสฺส ปาทนฺตํ ปหริฯ ผรสุนา ปหโฎ วิย ปาโท อโนฺตโลหิโตเยว อโหสิฯ ตถา กโรนฺตสฺส อานนฺตริยํ โหติฯ ชีวโก ปน ตถาคตสฺส รุจิยา สตฺถเกน จมฺมํ ฉินฺทิตฺวา ตมฺหา ฐานา ทุฎฺฐโลหิตํ นีหริตฺวา ผาสุกมกาสิฯ ตถา กโรนฺตสฺส ปุญฺญกมฺมเมว โหติฯ

    Lohituppāde tathāgatassa abhejjakāyatāya parūpakkamena cammacchedaṃ katvā lohitapaggharaṇaṃ nāma natthi. Sarīrassa pana antoyeva ekasmiṃ ṭhāne lohitaṃ samosarati. Devadattena paṭividdhasilāto bhijjitvā gatā sakalikāpi tathāgatassa pādantaṃ pahari. Pharasunā pahaṭo viya pādo antolohitoyeva ahosi. Tathā karontassa ānantariyaṃ hoti. Jīvako pana tathāgatassa ruciyā satthakena cammaṃ chinditvā tamhā ṭhānā duṭṭhalohitaṃ nīharitvā phāsukamakāsi. Tathā karontassa puññakammameva hoti.

    อถ เย จ ปรินิพฺพุเต ตถาคเต เจติยํ ภินฺทนฺติ, โพธิํ ฉินฺทนฺติ, ธาตุมฺหิ อุปกฺกมนฺติ, เตสํ กิํ โหตีติ? ภาริยํ กมฺมํ โหติ อานนฺตริยสทิสํฯ สธาตุกํ ปน ถูปํ วา ปฎิมํ วา พาธยมานํ โพธิสาขญฺจ ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ สเจปิ ตตฺถ นิลีนา สกุณา เจติเย วจฺจํ ปาเตนฺติ, ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติเยวฯ ปริโภคเจติยโต หิ สรีรเจติยํ มหนฺตตรํฯ เจติยวตฺถุํ ภินฺทิตฺวา คจฺฉนฺตํ โพธิมูลมฺปิ ฉินฺทิตฺวา หริตุํ วฎฺฎติฯ ยา ปน โพธิสาขา โพธิฆรํ พาธติ, ตํ เคหรกฺขณตฺถํ ฉินฺทิตุํ น ลพฺภติฯ โพธิอตฺถญฺหิ เคหํ, น เคหตฺถาย โพธิฯ อาสนฆเรปิ เอเสว นโยฯ ยสฺมิํ ปน อาสนฆเร ธาตุ นิหิตา โหติ, ตสฺส รกฺขณตฺถาย โพธิสาขํ ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติฯ โพธิชคฺคนตฺถํ โอโชหรณสาขํ วา ปูติฎฺฐานํ วา ฉินฺทิตุํ วฎฺฎติเยว; สรีรปฎิชคฺคเน วิย ปุญฺญมฺปิ โหติฯ

    Atha ye ca parinibbute tathāgate cetiyaṃ bhindanti, bodhiṃ chindanti, dhātumhi upakkamanti, tesaṃ kiṃ hotīti? Bhāriyaṃ kammaṃ hoti ānantariyasadisaṃ. Sadhātukaṃ pana thūpaṃ vā paṭimaṃ vā bādhayamānaṃ bodhisākhañca chindituṃ vaṭṭati. Sacepi tattha nilīnā sakuṇā cetiye vaccaṃ pātenti, chindituṃ vaṭṭatiyeva. Paribhogacetiyato hi sarīracetiyaṃ mahantataraṃ. Cetiyavatthuṃ bhinditvā gacchantaṃ bodhimūlampi chinditvā harituṃ vaṭṭati. Yā pana bodhisākhā bodhigharaṃ bādhati, taṃ geharakkhaṇatthaṃ chindituṃ na labbhati. Bodhiatthañhi gehaṃ, na gehatthāya bodhi. Āsanagharepi eseva nayo. Yasmiṃ pana āsanaghare dhātu nihitā hoti, tassa rakkhaṇatthāya bodhisākhaṃ chindituṃ vaṭṭati. Bodhijagganatthaṃ ojoharaṇasākhaṃ vā pūtiṭṭhānaṃ vā chindituṃ vaṭṭatiyeva; sarīrapaṭijaggane viya puññampi hoti.

    สงฺฆเภเท สีมฎฺฐกสเงฺฆ อสนฺนิปติเต วิสุํ ปริสํ คเหตฺวา กตโวหารานุสฺสาวนสลากคฺคาหสฺส กมฺมํ วา กโรนฺตสฺส อุเทฺทสํ วา อุทฺทิสนฺตสฺส เภโท จ โหติ อานนฺตริยกมฺมญฺจฯ สมคฺคสญฺญาย ปน วฎฺฎติฯ สมคฺคสญฺญาย หิ กโรนฺตสฺส เนว เภโท โหติ น อานนฺตริยกมฺมํฯ ตถา นวโต อูนปริสายํฯ สพฺพนฺติเมน ปน ปริเจฺฉเทน นวนฺนํ ชนานํ โย สงฺฆํ ภินฺทติ, ตสฺส อานนฺตริยกมฺมํ โหติฯ อนุวตฺตกานํ อธมฺมวาทีนํ มหาสาวชฺชํ กมฺมํ; ธมฺมวาทิโน อนวชฺชาฯ ตตฺถ นวนฺนเมว สงฺฆเภเท อิทํ สุตฺตํ – ‘‘เอกโต, อุปาลิ, จตฺตาโร โหนฺติ, เอกโต จตฺตาโร, นวโม อนุสฺสาเวติ สลากํ คาเหติ – ‘อยํ ธโมฺม, อยํ วินโย, อิทํ สตฺถุสาสนํ, อิทํ คณฺหถ, อิทํ โรเจถา’ติฯ เอวํ โข, อุปาลิ, สงฺฆราชิ เจว โหติ สงฺฆเภโท จฯ นวนฺนํ วา, อุปาลิ, อติเรกนวนฺนํ วา สงฺฆราชิ เจว โหติ สงฺฆเภโท จา’’ติ (จูฬว. ๓๕๑)ฯ

    Saṅghabhede sīmaṭṭhakasaṅghe asannipatite visuṃ parisaṃ gahetvā katavohārānussāvanasalākaggāhassa kammaṃ vā karontassa uddesaṃ vā uddisantassa bhedo ca hoti ānantariyakammañca. Samaggasaññāya pana vaṭṭati. Samaggasaññāya hi karontassa neva bhedo hoti na ānantariyakammaṃ. Tathā navato ūnaparisāyaṃ. Sabbantimena pana paricchedena navannaṃ janānaṃ yo saṅghaṃ bhindati, tassa ānantariyakammaṃ hoti. Anuvattakānaṃ adhammavādīnaṃ mahāsāvajjaṃ kammaṃ; dhammavādino anavajjā. Tattha navannameva saṅghabhede idaṃ suttaṃ – ‘‘ekato, upāli, cattāro honti, ekato cattāro, navamo anussāveti salākaṃ gāheti – ‘ayaṃ dhammo, ayaṃ vinayo, idaṃ satthusāsanaṃ, idaṃ gaṇhatha, idaṃ rocethā’ti. Evaṃ kho, upāli, saṅgharāji ceva hoti saṅghabhedo ca. Navannaṃ vā, upāli, atirekanavannaṃ vā saṅgharāji ceva hoti saṅghabhedo cā’’ti (cūḷava. 351).

    เอเตสุ จ ปน ปญฺจสุ สงฺฆเภโท วจีกมฺมํ, เสสานิ กายกมฺมานีติฯ เอวํ กมฺมโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Etesu ca pana pañcasu saṅghabhedo vacīkammaṃ, sesāni kāyakammānīti. Evaṃ kammatopi viññātabbo vinicchayo.

    ‘ทฺวารโต’ติ สพฺพาเนว เจตานิ กายทฺวารโตปิ วจีทฺวารโตปิ สมุฎฺฐหนฺติฯ ปุริมานิ ปเนตฺถ จตฺตาริ อาณตฺติกวิชฺชามยปโยควเสน วจีทฺวารโต สมุฎฺฐหิตฺวาปิ กายทฺวารเมว ปูเรนฺติฯ สงฺฆเภโท หตฺถมุทฺทาย เภทํ กโรนฺตสฺส กายทฺวารโต สมุฎฺฐหิตฺวาปิ วจีทฺวารเมว ปูเรตีติฯ เอวเมตฺถ ทฺวารโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    ‘Dvārato’ti sabbāneva cetāni kāyadvāratopi vacīdvāratopi samuṭṭhahanti. Purimāni panettha cattāri āṇattikavijjāmayapayogavasena vacīdvārato samuṭṭhahitvāpi kāyadvārameva pūrenti. Saṅghabhedo hatthamuddāya bhedaṃ karontassa kāyadvārato samuṭṭhahitvāpi vacīdvārameva pūretīti. Evamettha dvāratopi viññātabbo vinicchayo.

    ‘กปฺปฎฺฐิติยโต’ติ สงฺฆเภโทเยว เจตฺถ กปฺปฎฺฐิติโยฯ สณฺฐหเนฺต หิ กเปฺป กปฺปเวมเชฺฌ วา สงฺฆเภทํ กตฺวา กปฺปวินาเสเยว มุจฺจติฯ สเจปิ หิ ‘เสฺว กโปฺป วินสฺสิสฺสตี’ติ อชฺช สงฺฆเภทํ กโรติ, เสฺวเยว มุจฺจติ, เอกทิวสเมว นิรเย ปจฺจติฯ เอวํ กรณํ ปน นตฺถิฯ เสสานิ จตฺตาริ กมฺมานิ อานนฺตริยาเนว โหนฺติ, น กปฺปฎฺฐิติยานีติฯ เอวเมตฺถ กปฺปฎฺฐิติยโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    ‘Kappaṭṭhitiyato’ti saṅghabhedoyeva cettha kappaṭṭhitiyo. Saṇṭhahante hi kappe kappavemajjhe vā saṅghabhedaṃ katvā kappavināseyeva muccati. Sacepi hi ‘sve kappo vinassissatī’ti ajja saṅghabhedaṃ karoti, sveyeva muccati, ekadivasameva niraye paccati. Evaṃ karaṇaṃ pana natthi. Sesāni cattāri kammāni ānantariyāneva honti, na kappaṭṭhitiyānīti. Evamettha kappaṭṭhitiyatopi viññātabbo vinicchayo.

    ‘ปากโต’ติ เยน จ ปญฺจเปตานิ กมฺมานิ กตานิ โหนฺติ, ตสฺส สงฺฆเภโทเยว ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติฯ เสสานิ ‘‘อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก’’ติ เอวมาทีสุ สงฺขํ คจฺฉนฺติฯ สงฺฆเภทาภาเว โลหิตุปฺปาโท, ตทภาเว อรหนฺตฆาโต, ตทภาเว สเจ ปิตา สีลวา โหติ, มาตา ทุสฺสีลา โน วา ตถา สีลวตี, ปิตุฆาโต ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติฯ สเจ มาตา มาตุฆาโตฯ ทฺวีสุปิ สีเลน วา ทุสฺสีเลน วา สมาเนสุ มาตุฆาโตว ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติ; มาตา หิ ทุกฺกรการิณี พหูปการา จ ปุตฺตานนฺติฯ เอวเมตฺถ ปากโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    ‘Pākato’ti yena ca pañcapetāni kammāni katāni honti, tassa saṅghabhedoyeva paṭisandhivasena vipaccati. Sesāni ‘‘ahosi kammaṃ nāhosi kammavipāko’’ti evamādīsu saṅkhaṃ gacchanti. Saṅghabhedābhāve lohituppādo, tadabhāve arahantaghāto, tadabhāve sace pitā sīlavā hoti, mātā dussīlā no vā tathā sīlavatī, pitughāto paṭisandhivasena vipaccati. Sace mātā mātughāto. Dvīsupi sīlena vā dussīlena vā samānesu mātughātova paṭisandhivasena vipaccati; mātā hi dukkarakāriṇī bahūpakārā ca puttānanti. Evamettha pākatopi viññātabbo vinicchayo.

    ‘สาธารณาทีหี’ติ ปุริมานิ จตฺตาริ สเพฺพสมฺปิ คหฎฺฐปพฺพชิตานํ สาธารณานิฯ สงฺฆเภโท ปน ‘‘น โข, อุปาลิ, ภิกฺขุนี สงฺฆํ ภินฺทติ, น สิกฺขมานา, น สามเณโร, น สามเณรี, น อุปาสโก, น อุปาสิกา สงฺฆํ ภินฺทติฯ ภิกฺขุ โข, อุปาลิ, ปกตโตฺต สมานสํวาสโก สมานสีมายํ ฐิโต สงฺฆํ ภินฺทตี’’ติ (จูฬว. ๓๕๑) วจนโต วุตฺตปฺปการสฺส ภิกฺขุโนว โหติ, น อญฺญสฺส; ตสฺมา อสาธารโณฯ อาทิสเทฺทน สเพฺพเปเต ทุกฺขเวทนาสหคตา โทสโมหสมฺปยุตฺตา จาติ เอวเมตฺถ สาธารณาทีหิปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    ‘Sādhāraṇādīhī’ti purimāni cattāri sabbesampi gahaṭṭhapabbajitānaṃ sādhāraṇāni. Saṅghabhedo pana ‘‘na kho, upāli, bhikkhunī saṅghaṃ bhindati, na sikkhamānā, na sāmaṇero, na sāmaṇerī, na upāsako, na upāsikā saṅghaṃ bhindati. Bhikkhu kho, upāli, pakatatto samānasaṃvāsako samānasīmāyaṃ ṭhito saṅghaṃ bhindatī’’ti (cūḷava. 351) vacanato vuttappakārassa bhikkhunova hoti, na aññassa; tasmā asādhāraṇo. Ādisaddena sabbepete dukkhavedanāsahagatā dosamohasampayuttā cāti evamettha sādhāraṇādīhipi viññātabbo vinicchayo.

    อญฺญํ สตฺถารนฺติ ‘อยํ เม สตฺถา สตฺถุกิจฺจํ กาตุํ สมโตฺถ’ติ ภวนฺตเรปิ อญฺญํ ติตฺถกรํ ‘อยํ เม สตฺถา’ติ เอวํ คเณฺหยฺย – เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ อโตฺถฯ อฎฺฐมํ ภวํ นิพฺพเตฺตยฺยาติ สพฺพมนฺทปโญฺญปิ สตฺตมํ ภวํ อติกฺกมิตฺวา อฎฺฐมํ นิพฺพเตฺตยฺย – เนตํ ฐานํ วิชฺชติ ฯ อุตฺตมโกฎิยา หิ สตฺตมํ ภวํ สนฺธาเยเวส ‘‘นิยโต สโมฺพธิปรายโณ’’ติ วุโตฺตฯ กิํ ปน ตํ นิยาเมติ? กิํ ปุพฺพเหตุ นิยาเมติ อุทาหุ ปฎิลทฺธมโคฺค อุทาหุ อุปริ ตโย มคฺคาติ? สมฺมาสมฺพุเทฺธน คหิตํ นามมตฺตเมตํฯ ปุคฺคโล ปน นิยโต นาม นตฺถิฯ ‘‘ปุพฺพเหตุ นิยาเมตี’’ติ วุเตฺต หิ อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ อุปนิสฺสโย วุโตฺต โหติ, ปฐมมคฺคสฺส อุปนิสฺสยาภาโว อาปชฺชติฯ อิจฺจสฺส อเหตุ อปฺปจฺจยา นิพฺพตฺติํ ปาปุณาติฯ ‘‘ปฎิลทฺธมโคฺค นิยาเมตี’’ติ วุเตฺต อุปริ ตโย มคฺคา อกิจฺจกา โหนฺติ, ปฐมมโคฺคว สกิจฺจโก, ปฐมมเคฺคเนว กิเลเส เขเปตฺวา ปรินิพฺพายิตพฺพํ โหติฯ ‘‘อุปริ ตโย มคฺคา นิยาเมนฺตี’’ติ วุเตฺต ปฐมมโคฺค อกิจฺจโก โหติ, อุปริ ตโย มคฺคาว สกิจฺจกา, ปฐมมคฺคํ อนิพฺพเตฺตตฺวา อุปริ ตโย มคฺคา นิพฺพเตฺตตพฺพา โหนฺติ, ปฐมมเคฺคน จ อนุปฺปชฺชิตฺวาว กิเลสา เขเปตพฺพา โหนฺติฯ ตสฺมา น อโญฺญ โกจิ นิยาเมติ, อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนาว นิยาเมติฯ สเจ หิ เตสํ วิปสฺสนา ติกฺขา สูรา หุตฺวา วหติ, เอกํเยว ภวํ นิพฺพเตฺตตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพาติฯ ตโต มนฺทตรปโญฺญ ทุติเย วา ตติเย วา จตุเตฺถ วา ปญฺจเม วา ฉเฎฺฐ วา ภเว อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพาติฯ สพฺพมนฺทปโญฺญ สตฺตมํ ภวํ นิพฺพเตฺตตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อฎฺฐเม ภเว ปฎิสนฺธิ น โหติฯ อิติ สมฺมาสมฺพุเทฺธน คหิตํ นามมตฺตเมตํฯ สตฺถา หิ พุทฺธตุลาย ตุเลตฺวา สพฺพญฺญุตญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ‘อยํ ปุคฺคโล สพฺพมหาปโญฺญ ติกฺขวิปสฺสโก เอกเมว ภวํ นิพฺพเตฺตตฺวา อรหตฺตํ คณฺหิสฺสตี’ติ ‘เอกพีชี’ติ นามํ อกาสิ; ‘อยํ ปุคฺคโล ทุติยํ, ตติยํ, จตุตฺถํ, ปญฺจมํ, ฉฎฺฐํ ภวํ นิพฺพเตฺตตฺวา อรหตฺตํ คณฺหิสฺสตี’ติ ‘โกลํโกโล’ติ นามํ อกาสิ; ‘อยํ ปุคฺคโล สตฺตมํ ภวํ นิพฺพเตฺตตฺวา อรหตฺตํ คณฺหิสฺสตี’ติ ‘สตฺตกฺขตฺตุปรโม’ติ นามํ อกาสิฯ

    Aññaṃ satthāranti ‘ayaṃ me satthā satthukiccaṃ kātuṃ samattho’ti bhavantarepi aññaṃ titthakaraṃ ‘ayaṃ me satthā’ti evaṃ gaṇheyya – netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti attho. Aṭṭhamaṃ bhavaṃ nibbatteyyāti sabbamandapaññopi sattamaṃ bhavaṃ atikkamitvā aṭṭhamaṃ nibbatteyya – netaṃ ṭhānaṃ vijjati . Uttamakoṭiyā hi sattamaṃ bhavaṃ sandhāyevesa ‘‘niyato sambodhiparāyaṇo’’ti vutto. Kiṃ pana taṃ niyāmeti? Kiṃ pubbahetu niyāmeti udāhu paṭiladdhamaggo udāhu upari tayo maggāti? Sammāsambuddhena gahitaṃ nāmamattametaṃ. Puggalo pana niyato nāma natthi. ‘‘Pubbahetu niyāmetī’’ti vutte hi upari tiṇṇaṃ maggānaṃ upanissayo vutto hoti, paṭhamamaggassa upanissayābhāvo āpajjati. Iccassa ahetu appaccayā nibbattiṃ pāpuṇāti. ‘‘Paṭiladdhamaggo niyāmetī’’ti vutte upari tayo maggā akiccakā honti, paṭhamamaggova sakiccako, paṭhamamaggeneva kilese khepetvā parinibbāyitabbaṃ hoti. ‘‘Upari tayo maggā niyāmentī’’ti vutte paṭhamamaggo akiccako hoti, upari tayo maggāva sakiccakā, paṭhamamaggaṃ anibbattetvā upari tayo maggā nibbattetabbā honti, paṭhamamaggena ca anuppajjitvāva kilesā khepetabbā honti. Tasmā na añño koci niyāmeti, upari tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanāva niyāmeti. Sace hi tesaṃ vipassanā tikkhā sūrā hutvā vahati, ekaṃyeva bhavaṃ nibbattetvā arahattaṃ patvā parinibbāti. Tato mandatarapañño dutiye vā tatiye vā catutthe vā pañcame vā chaṭṭhe vā bhave arahattaṃ patvā parinibbāti. Sabbamandapañño sattamaṃ bhavaṃ nibbattetvā arahattaṃ pāpuṇāti, aṭṭhame bhave paṭisandhi na hoti. Iti sammāsambuddhena gahitaṃ nāmamattametaṃ. Satthā hi buddhatulāya tuletvā sabbaññutañāṇena paricchinditvā ‘ayaṃ puggalo sabbamahāpañño tikkhavipassako ekameva bhavaṃ nibbattetvā arahattaṃ gaṇhissatī’ti ‘ekabījī’ti nāmaṃ akāsi; ‘ayaṃ puggalo dutiyaṃ, tatiyaṃ, catutthaṃ, pañcamaṃ, chaṭṭhaṃ bhavaṃ nibbattetvā arahattaṃ gaṇhissatī’ti ‘kolaṃkolo’ti nāmaṃ akāsi; ‘ayaṃ puggalo sattamaṃ bhavaṃ nibbattetvā arahattaṃ gaṇhissatī’ti ‘sattakkhattuparamo’ti nāmaṃ akāsi.

    โกจิ ปน ปุคฺคโล สตฺตนฺนํ ภวานํ นิยโต นาม นตฺถิฯ อริยสาวโก ปน เยน เกนจิปิ อากาเรน มนฺทปโญฺญ สมาโน อฎฺฐมํ ภวํ อปฺปตฺวา อนฺตราว ปรินิพฺพาติฯ สกฺกสทิโสปิ วฎฺฎาภิรโต สตฺตมํเยว ภวํ คจฺฉติฯ สตฺตเม ภเว สพฺพกาเรน ปมาทวิหาริโนปิ วิปสฺสนาญาณํ ปริปากํ คจฺฉติฯ อปฺปมตฺตเกปิ อารมฺมเณ นิพฺพินฺทิตฺวา นิพฺพุติํ ปาปุณาติฯ สเจปิ หิสฺส สตฺตเม ภเว นิทฺทํ วา โอกฺกมนฺตสฺส, ปรมฺมุขํ วา คจฺฉนฺตสฺส, ปจฺฉโต ฐตฺวา ติขิเณน อสินา โกจิเทว สีสํ ปาเตยฺย, อุทเก วา โอสาเทตฺวา มาเรยฺย, อสนิ วา ปนสฺส สีเส ปเตยฺย, เอวรูเปปิ กาเล สปฺปฎิสนฺธิกา กาลํกิริยา นาม น โหติ, อรหตฺตํ ปตฺวาว ปรินิพฺพาติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อฎฺฐมํ ภวํ นิพฺพเตฺตยฺย – เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติฯ

    Koci pana puggalo sattannaṃ bhavānaṃ niyato nāma natthi. Ariyasāvako pana yena kenacipi ākārena mandapañño samāno aṭṭhamaṃ bhavaṃ appatvā antarāva parinibbāti. Sakkasadisopi vaṭṭābhirato sattamaṃyeva bhavaṃ gacchati. Sattame bhave sabbakārena pamādavihārinopi vipassanāñāṇaṃ paripākaṃ gacchati. Appamattakepi ārammaṇe nibbinditvā nibbutiṃ pāpuṇāti. Sacepi hissa sattame bhave niddaṃ vā okkamantassa, parammukhaṃ vā gacchantassa, pacchato ṭhatvā tikhiṇena asinā kocideva sīsaṃ pāteyya, udake vā osādetvā māreyya, asani vā panassa sīse pateyya, evarūpepi kāle sappaṭisandhikā kālaṃkiriyā nāma na hoti, arahattaṃ patvāva parinibbāti. Tena vuttaṃ – ‘‘aṭṭhamaṃ bhavaṃ nibbatteyya – netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti.

    เอกิสฺสา โลกธาตุยาติ ทสสหสฺสิโลกธาตุยาฯ ตีณิ หิ เขตฺตานิ – ชาติเขตฺตํ, อาณาเขตฺตํ, วิสยเกฺขตฺตนฺติฯ ตตฺถ ‘ชาติเกฺขตฺตํ’ นาม ทสสหสฺสิโลกธาตุฯ สา หิ ตถาคตสฺส มาตุกุจฺฉิโอกฺกมนกาเล, นิกฺขมนกาเล, สโมฺพธิกาเล, ธมฺมจกฺกปวตฺตเน, อายุสงฺขารโวสฺสชฺชเน, ปรินิพฺพาเน จ กมฺปติฯ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬํ ปน ‘อาณาเขตฺตํ’ นามฯ อาฎานาฎิยโมรปริตฺตธชคฺคปริตฺตรตนปริตฺตาทีนญฺหิ เอตฺถ อาณา วตฺตติฯ ‘วิสยเขตฺตสฺส’ ปน ปริมาณํ นตฺถิฯ พุทฺธานญฺหิ ‘‘ยาวตกํ ญาณํ ตาวตกํ เญยฺยํ, ยาวตกํ เญยฺยํ ตาวตกํ ญาณํ , ญาณปริยนฺติกํ เญยฺยํ, เญยฺยปริยนฺติกํ ญาณ’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๓.๕) วจนโต อวิสโย นาม นตฺถิฯ

    Ekissā lokadhātuyāti dasasahassilokadhātuyā. Tīṇi hi khettāni – jātikhettaṃ, āṇākhettaṃ, visayakkhettanti. Tattha ‘jātikkhettaṃ’ nāma dasasahassilokadhātu. Sā hi tathāgatassa mātukucchiokkamanakāle, nikkhamanakāle, sambodhikāle, dhammacakkapavattane, āyusaṅkhāravossajjane, parinibbāne ca kampati. Koṭisatasahassacakkavāḷaṃ pana ‘āṇākhettaṃ’ nāma. Āṭānāṭiyamoraparittadhajaggaparittaratanaparittādīnañhi ettha āṇā vattati. ‘Visayakhettassa’ pana parimāṇaṃ natthi. Buddhānañhi ‘‘yāvatakaṃ ñāṇaṃ tāvatakaṃ ñeyyaṃ, yāvatakaṃ ñeyyaṃ tāvatakaṃ ñāṇaṃ , ñāṇapariyantikaṃ ñeyyaṃ, ñeyyapariyantikaṃ ñāṇa’’nti (paṭi. ma. 3.5) vacanato avisayo nāma natthi.

    อิเมสุ ปน ตีสุ เขเตฺตสุ, ฐเปตฺวา อิมํ จกฺกวาฬํ, อญฺญสฺมิํ จกฺกวาเฬ พุทฺธา อุปฺปชฺชนฺตีติ สุตฺตํ นตฺถิ, น อุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถิฯ ตีณิ ปิฎกานิ – วินยปิฎกํ, สุตฺตนฺตปิฎกํ, อภิธมฺมปิฎกนฺติฯ ติโสฺส สงฺคีติโย – มหากสฺสปเตฺถรสฺส สงฺคีติ, ยสเตฺถรสฺส สงฺคีติ, โมคฺคลิปุตฺตติสฺสเตฺถรสฺส สงฺคีตีติฯ อิมา ติโสฺส สงฺคีติโย อารุเฬฺห เตปิฎเก พุทฺธวจเน อิมํ จกฺกวาฬํ มุญฺจิตฺวา อญฺญตฺถ พุทฺธา อุปฺปชฺชนฺตีติ สุตฺตํ นตฺถิ, นุปฺปชฺชนฺตีติ ปน อตฺถิฯ

    Imesu pana tīsu khettesu, ṭhapetvā imaṃ cakkavāḷaṃ, aññasmiṃ cakkavāḷe buddhā uppajjantīti suttaṃ natthi, na uppajjantīti pana atthi. Tīṇi piṭakāni – vinayapiṭakaṃ, suttantapiṭakaṃ, abhidhammapiṭakanti. Tisso saṅgītiyo – mahākassapattherassa saṅgīti, yasattherassa saṅgīti, moggaliputtatissattherassa saṅgītīti. Imā tisso saṅgītiyo āruḷhe tepiṭake buddhavacane imaṃ cakkavāḷaṃ muñcitvā aññattha buddhā uppajjantīti suttaṃ natthi, nuppajjantīti pana atthi.

    อปุพฺพํ อจริมนฺติ อปุเร อปจฺฉา; เอกโต นุปฺปชฺชนฺติ, ปุเร วา ปจฺฉา วา อุปฺปชฺชนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ โพธิปลฺลเงฺก ‘‘โพธิํ อปฺปตฺวา น อุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐาย ยาว มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิคฺคหณํ ตาว ปุเพฺพนฺติ น เวทิตพฺพํฯ โพธิสตฺตสฺส หิ ปฎิสนฺธิคฺคหเณ ทสสหสฺสจกฺกวาฬกมฺปเนเนว ชาติเกฺขตฺตปริคฺคโห กโต, อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ นิวาริตา โหติฯ ปรินิพฺพานโต ปฎฺฐาย จ ยาว สาสปมตฺตาปิ ธาตุโย ติฎฺฐนฺติ ตาว ปจฺฉาติ น เวทิตพฺพํฯ ธาตูสุ หิ ฐิตาสุ พุทฺธา ฐิตาว โหนฺติฯ ตสฺมา เอตฺถนฺตเร อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ นิวาริตาว โหติ, ธาตุปรินิพฺพาเน ปน ชาเต อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ น นิวาริตาฯ

    Apubbaṃ acarimanti apure apacchā; ekato nuppajjanti, pure vā pacchā vā uppajjantīti vuttaṃ hoti. Tattha bodhipallaṅke ‘‘bodhiṃ appatvā na uṭṭhahissāmī’’ti nisinnakālato paṭṭhāya yāva mātukucchismiṃ paṭisandhiggahaṇaṃ tāva pubbenti na veditabbaṃ. Bodhisattassa hi paṭisandhiggahaṇe dasasahassacakkavāḷakampaneneva jātikkhettapariggaho kato, aññassa buddhassa uppatti nivāritā hoti. Parinibbānato paṭṭhāya ca yāva sāsapamattāpi dhātuyo tiṭṭhanti tāva pacchāti na veditabbaṃ. Dhātūsu hi ṭhitāsu buddhā ṭhitāva honti. Tasmā etthantare aññassa buddhassa uppatti nivāritāva hoti, dhātuparinibbāne pana jāte aññassa buddhassa uppatti na nivāritā.

    ตีณิ หิ อนฺตรธานานิ นาม – ปริยตฺติอนฺตรธานํ, ปฎิเวธอนฺตรธานํ, ปฎิปตฺติอนฺตรธานนฺติฯ ตตฺถ ‘ปริยตฺตี’ติ ตีณิ ปิฎกานิ; ‘ปฎิเวโธ’ติ สจฺจปฎิเวโธ; ‘ปฎิปตฺตี’ติ ปฎิปทาฯ ตตฺถ ปฎิเวโธ จ ปฎิปตฺติ จ โหติปิ น โหติปิฯ เอกสฺมิญฺหิ กาเล ปฎิเวธกรา ภิกฺขู พหู โหนฺติ; ‘เอส ภิกฺขุ ปุถุชฺชโน’ติ องฺคุลิํ ปสาเรตฺวา ทเสฺสตโพฺพ โหติฯ อิมสฺมิํเยว ทีเป เอกวารํ กิร ปุถุชฺชนภิกฺขุ นาม นาโหสิฯ ปฎิปตฺติปูรกาปิ กทาจิ พหู โหนฺติ, กทาจิ อปฺปาฯ อิติ ปฎิเวโธ จ ปฎิปตฺติ จ โหติปิ น โหติปิฯ

    Tīṇihi antaradhānāni nāma – pariyattiantaradhānaṃ, paṭivedhaantaradhānaṃ, paṭipattiantaradhānanti. Tattha ‘pariyattī’ti tīṇi piṭakāni; ‘paṭivedho’ti saccapaṭivedho; ‘paṭipattī’ti paṭipadā. Tattha paṭivedho ca paṭipatti ca hotipi na hotipi. Ekasmiñhi kāle paṭivedhakarā bhikkhū bahū honti; ‘esa bhikkhu puthujjano’ti aṅguliṃ pasāretvā dassetabbo hoti. Imasmiṃyeva dīpe ekavāraṃ kira puthujjanabhikkhu nāma nāhosi. Paṭipattipūrakāpi kadāci bahū honti, kadāci appā. Iti paṭivedho ca paṭipatti ca hotipi na hotipi.

    สาสนฎฺฐิติยา ปน ปริยตฺติเยว ปมาณํฯ ปณฺฑิโต หิ เตปิฎกํ สุตฺวา เทฺวปิ ปูเรติฯ ยถา อมฺหากํ โพธิสโตฺต อาฬารสฺส สนฺติเก ปญฺจาภิญฺญา สตฺต จ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยา ปริกมฺมํ ปุจฺฉิ, โส ‘น ชานามี’ติ อาห; ตโต อุทกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อธิคตวิเสสํ สํสเนฺทตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสฺส ปริกมฺมํ ปุจฺฉิ; โส อาจิกฺขิ; ตสฺส วจนสมนนฺตรเมว มหาสโตฺต ตํ สมฺปาเทสิ; เอวเมว ปญฺญวา ภิกฺขุ ปริยตฺติํ สุตฺวา เทฺวปิ ปูเรติฯ ตสฺมา ปริยตฺติยา ฐิตาย สาสนํ ฐิตํ โหติฯ ยทา ปน สา อนฺตรธายติ ตทา ปฐมํ อภิธมฺมปิฎกํ นสฺสติฯ ตตฺถ ปฎฺฐานํ สพฺพปฐมํ อนฺตรธายติฯ อนุกฺกเมน ปจฺฉา ธมฺมสงฺคโหฯ ตสฺมิํ อนฺตรหิเต อิตเรสุ ทฺวีสุ ปิฎเกสุ ฐิเตสุ สาสนํ ฐิตเมว โหติฯ

    Sāsanaṭṭhitiyā pana pariyattiyeva pamāṇaṃ. Paṇḍito hi tepiṭakaṃ sutvā dvepi pūreti. Yathā amhākaṃ bodhisatto āḷārassa santike pañcābhiññā satta ca samāpattiyo nibbattetvā nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiyā parikammaṃ pucchi, so ‘na jānāmī’ti āha; tato udakassa santikaṃ gantvā adhigatavisesaṃ saṃsandetvā nevasaññānāsaññāyatanassa parikammaṃ pucchi; so ācikkhi; tassa vacanasamanantarameva mahāsatto taṃ sampādesi; evameva paññavā bhikkhu pariyattiṃ sutvā dvepi pūreti. Tasmā pariyattiyā ṭhitāya sāsanaṃ ṭhitaṃ hoti. Yadā pana sā antaradhāyati tadā paṭhamaṃ abhidhammapiṭakaṃ nassati. Tattha paṭṭhānaṃ sabbapaṭhamaṃ antaradhāyati. Anukkamena pacchā dhammasaṅgaho. Tasmiṃ antarahite itaresu dvīsu piṭakesu ṭhitesu sāsanaṃ ṭhitameva hoti.

    ตตฺถ สุตฺตนฺตปิฎเก อนฺตรธายมาเน ปฐมํ องฺคุตฺตรนิกาโย เอกาทสกโต ปฎฺฐาย ยาว เอกกา อนฺตรธายติฯ ตทนนฺตรํ สํยุตฺตนิกาโย จกฺกเปยฺยาลโต ปฎฺฐาย ยาว โอฆตรณา อนฺตรธายติฯ ตทนนฺตรํ มชฺฌิมนิกาโย อินฺทฺริยภาวนโต ปฎฺฐาย ยาว มูลปริยายา อนฺตรธายติฯ ตทนนฺตรํ ทีฆนิกาโย ทสุตฺตรโต ปฎฺฐาย ยาว พฺรหฺมชาลา อนฺตรธายติฯ เอกิสฺสาปิ ทฺวินฺนมฺปิ คาถานํ ปุจฺฉา อทฺธานํ คจฺฉติ; สาสนํ ธาเรตุํ น สโกฺกติ สภิยปุจฺฉา (สุ. นิ. ๕๑๕ อาทโย) วิย อาฬวกปุจฺฉา (สุ. นิ. ๑๘๓ อาทโย; สํ. นิ. ๑.๒๔๖) วิย จฯ เอตา กิร กสฺสปพุทฺธกาลิกา อนฺตรา สาสนํ ธาเรตุํ นาสกฺขิํสุฯ

    Tattha suttantapiṭake antaradhāyamāne paṭhamaṃ aṅguttaranikāyo ekādasakato paṭṭhāya yāva ekakā antaradhāyati. Tadanantaraṃ saṃyuttanikāyo cakkapeyyālato paṭṭhāya yāva oghataraṇā antaradhāyati. Tadanantaraṃ majjhimanikāyo indriyabhāvanato paṭṭhāya yāva mūlapariyāyā antaradhāyati. Tadanantaraṃ dīghanikāyo dasuttarato paṭṭhāya yāva brahmajālā antaradhāyati. Ekissāpi dvinnampi gāthānaṃ pucchā addhānaṃ gacchati; sāsanaṃ dhāretuṃ na sakkoti sabhiyapucchā (su. ni. 515 ādayo) viya āḷavakapucchā (su. ni. 183 ādayo; saṃ. ni. 1.246) viya ca. Etā kira kassapabuddhakālikā antarā sāsanaṃ dhāretuṃ nāsakkhiṃsu.

    ทฺวีสุ ปน ปิฎเกสุ อนฺตรหิเตสุปิ วินยปิฎเก ฐิเต สาสนํ ติฎฺฐติฯ ปริวารขนฺธเกสุ อนฺตรหิเตสุ อุภโตวิภเงฺค ฐิเต ฐิตเมว โหติฯ อุภโตวิภเงฺค อนฺตรหิเต มาติกาย ฐิตายปิ ฐิตเมว โหติฯ มาติกาย อนฺตรหิตาย ปาติโมกฺขปพฺพชฺชาอุปสมฺปทาสุ ฐิตาสุ สาสนํ ติฎฺฐติฯ ลิงฺคํ อทฺธานํ คจฺฉติฯ เสตวตฺถสมณวํโส ปน กสฺสปพุทฺธกาลโต ปฎฺฐาย สาสนํ ธาเรตุํ นาสกฺขิฯ ปจฺฉิมกสฺส ปน สจฺจปฎิเวธโต ปจฺฉิมกสฺส สีลเภทโต จ ปฎฺฐาย สาสนํ โอสกฺกิตํ นาม โหติฯ ตโต ปฎฺฐาย อญฺญสฺส พุทฺธสฺส อุปฺปตฺติ น วาริตาฯ

    Dvīsu pana piṭakesu antarahitesupi vinayapiṭake ṭhite sāsanaṃ tiṭṭhati. Parivārakhandhakesu antarahitesu ubhatovibhaṅge ṭhite ṭhitameva hoti. Ubhatovibhaṅge antarahite mātikāya ṭhitāyapi ṭhitameva hoti. Mātikāya antarahitāya pātimokkhapabbajjāupasampadāsu ṭhitāsu sāsanaṃ tiṭṭhati. Liṅgaṃ addhānaṃ gacchati. Setavatthasamaṇavaṃso pana kassapabuddhakālato paṭṭhāya sāsanaṃ dhāretuṃ nāsakkhi. Pacchimakassa pana saccapaṭivedhato pacchimakassa sīlabhedato ca paṭṭhāya sāsanaṃ osakkitaṃ nāma hoti. Tato paṭṭhāya aññassa buddhassa uppatti na vāritā.

    ตีณิ ปรินิพฺพานานิ นาม – กิเลสปรินิพฺพานํ, ขนฺธปรินิพฺพานํ, ธาตุปรินิพฺพานนฺติฯ ตตฺถ ‘กิเลสปรินิพฺพานํ’ โพธิปลฺลเงฺก อโหสิ, ‘ขนฺธปรินิพฺพานํ’ กุสินารายํ, ‘ธาตุปรินิพฺพานํ’ อนาคเต ภวิสฺสติฯ สาสนสฺส กิร โอสกฺกนกาเล อิมสฺมิํ ตมฺพปณฺณิทีเป ธาตุโย สนฺนิปติตฺวา มหาเจติยํ คมิสฺสนฺติ, มหาเจติยโต นาคทีเป ราชายตนเจติยํ, ตโต มหาโพธิปลฺลงฺกํ คมิสฺสนฺติฯ นาคภวนโตปิ เทวโลกโตปิ พฺรหฺมโลกโตปิ ธาตุโย มหาโพธิปลฺลงฺกเมว คมิสฺสนฺติฯ สาสปมตฺตาปิ ธาตุ น อนฺตรา นสฺสิสฺสติฯ สพฺพา ธาตุโย มหาโพธิปลฺลเงฺก ราสิภูตา สุวณฺณกฺขโนฺธ วิย เอกฆนา หุตฺวา ฉพฺพณฺณรํสิโย วิสฺสเชฺชสฺสนฺติฯ ตา ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริสฺสนฺติฯ ตโต ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา สนฺนิปติตฺวา ‘‘อชฺช สตฺถา ปรินิพฺพาติ, อชฺช สาสนํ โอสกฺกติ, ปจฺฉิมทสฺสนํ ทานิ อิทํ อมฺหาก’’นฺติ ทสพลสฺส ปรินิพฺพุตทิวสโต มหนฺตตรํ การุญฺญํ กริสฺสนฺติฯ ฐเปตฺวา อนาคามิขีณาสเว อวเสสา สกภาเวน สนฺธาเรตุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ ธาตูสุ เตโชธาตุ อุฎฺฐหิตฺวา ยาว พฺรหฺมโลกา อุคฺคจฺฉิสฺสติฯ สาสปมตฺตายปิ ธาตุยา สติ เอกชาลาว ภวิสฺสติ; ธาตูสุ ปริยาทานํ คตาสุ ปจฺฉิชฺชิสฺสติฯ เอวํ มหนฺตํ อานุภาวํ ทเสฺสตฺวา ธาตูสุ อนฺตรหิตาสุ สาสนํ อนฺตรหิตํ นาม โหติฯ ยาว เอวํ น อนฺตรธายติ ตาว อจริมํ นาม โหติฯ เอวํ อปุพฺพํ อจริมํ อุปฺปเชฺชยฺยุํ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ

    Tīṇiparinibbānāni nāma – kilesaparinibbānaṃ, khandhaparinibbānaṃ, dhātuparinibbānanti. Tattha ‘kilesaparinibbānaṃ’ bodhipallaṅke ahosi, ‘khandhaparinibbānaṃ’ kusinārāyaṃ, ‘dhātuparinibbānaṃ’ anāgate bhavissati. Sāsanassa kira osakkanakāle imasmiṃ tambapaṇṇidīpe dhātuyo sannipatitvā mahācetiyaṃ gamissanti, mahācetiyato nāgadīpe rājāyatanacetiyaṃ, tato mahābodhipallaṅkaṃ gamissanti. Nāgabhavanatopi devalokatopi brahmalokatopi dhātuyo mahābodhipallaṅkameva gamissanti. Sāsapamattāpi dhātu na antarā nassissati. Sabbā dhātuyo mahābodhipallaṅke rāsibhūtā suvaṇṇakkhandho viya ekaghanā hutvā chabbaṇṇaraṃsiyo vissajjessanti. Tā dasasahassilokadhātuṃ pharissanti. Tato dasasahassacakkavāḷadevatā sannipatitvā ‘‘ajja satthā parinibbāti, ajja sāsanaṃ osakkati, pacchimadassanaṃ dāni idaṃ amhāka’’nti dasabalassa parinibbutadivasato mahantataraṃ kāruññaṃ karissanti. Ṭhapetvā anāgāmikhīṇāsave avasesā sakabhāvena sandhāretuṃ na sakkhissanti. Dhātūsu tejodhātu uṭṭhahitvā yāva brahmalokā uggacchissati. Sāsapamattāyapi dhātuyā sati ekajālāva bhavissati; dhātūsu pariyādānaṃ gatāsu pacchijjissati. Evaṃ mahantaṃ ānubhāvaṃ dassetvā dhātūsu antarahitāsu sāsanaṃ antarahitaṃ nāma hoti. Yāva evaṃ na antaradhāyati tāva acarimaṃ nāma hoti. Evaṃ apubbaṃ acarimaṃ uppajjeyyuṃ – netaṃ ṭhānaṃ vijjati.

    กสฺมา ปน อปุพฺพํ อจริมํ น อุปฺปชฺชนฺตีติ? อนจฺฉริยตฺตาฯ พุทฺธา หิ อจฺฉริยมนุสฺสา, ยถาห – ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ อจฺฉริยมนุโสฺสฯ กตโม เอกปุคฺคโล? ตถาคโต, ภิกฺขเว, อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๗๒)ฯ ยทิ จ เทฺว วา จตฺตาโร วา อฎฺฐ วา โสฬส วา เอกโต อุปฺปเชฺชยฺยุํ, น อจฺฉริยา ภเวยฺยุํฯ เอกสฺมิญฺหิ วิหาเร ทฺวินฺนํ เจติยานมฺปิ ลาภสกฺกาโร อุฬาโร น โหติ, ภิกฺขูปิ พหุตาย น อจฺฉริยา ชาตา, เอวํ พุทฺธาปิ ภเวยฺยุํ; ตสฺมา นุปฺปชฺชนฺติฯ เทสนาย จ วิเสสาภาวโตฯ ยญฺหิ สติปฎฺฐานาทิเภทํ ธมฺมํ เอโก เทเสติ, อเญฺญน อุปฺปชฺชิตฺวาปิ โสว เทเสตโพฺพ สิยาฯ ตโต อนจฺฉริโย สิยาฯ เอกสฺมิํ ปน ธมฺมํ เทเสเนฺต เทสนาปิ อจฺฉริยา โหติฯ วิวาทภาวโต จฯ พหูสุ จ พุเทฺธสุ อุปฺปเนฺนสุ พหูนํ อาจริยานํ อเนฺตวาสิกา วิย ‘อมฺหากํ พุโทฺธ ปาสาทิโก, อมฺหากํ พุโทฺธ มธุรสฺสโร ลาภี ปุญฺญวา’ติ วิวเทยฺยุํ; ตสฺมาปิ เอวํ นุปฺปชฺชนฺติฯ

    Kasmā pana apubbaṃ acarimaṃ na uppajjantīti? Anacchariyattā. Buddhā hi acchariyamanussā, yathāha – ‘‘ekapuggalo, bhikkhave, loke upajjamāno uppajjati acchariyamanusso. Katamo ekapuggalo? Tathāgato, bhikkhave, arahaṃ sammāsambuddho’’ti (a. ni. 1.172). Yadi ca dve vā cattāro vā aṭṭha vā soḷasa vā ekato uppajjeyyuṃ, na acchariyā bhaveyyuṃ. Ekasmiñhi vihāre dvinnaṃ cetiyānampi lābhasakkāro uḷāro na hoti, bhikkhūpi bahutāya na acchariyā jātā, evaṃ buddhāpi bhaveyyuṃ; tasmā nuppajjanti. Desanāya ca visesābhāvato. Yañhi satipaṭṭhānādibhedaṃ dhammaṃ eko deseti, aññena uppajjitvāpi sova desetabbo siyā. Tato anacchariyo siyā. Ekasmiṃ pana dhammaṃ desente desanāpi acchariyā hoti. Vivādabhāvato ca. Bahūsu ca buddhesu uppannesu bahūnaṃ ācariyānaṃ antevāsikā viya ‘amhākaṃ buddho pāsādiko, amhākaṃ buddho madhurassaro lābhī puññavā’ti vivadeyyuṃ; tasmāpi evaṃ nuppajjanti.

    อปิเจตํ การณํ มิลินฺทรญฺญา ปุเฎฺฐน นาคเสนเตฺถเรน วิตฺถาริตเมวฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ (มิ. ป. ๕.๑.๑) –

    Apicetaṃ kāraṇaṃ milindaraññā puṭṭhena nāgasenattherena vitthāritameva. Vuttañhi tattha (mi. pa. 5.1.1) –

    ‘‘ภเนฺต นาคเสน, ภาสิตเมฺปตํ ภควตา – ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา อปุพฺพํ อจริมํ อุปฺปเชฺชยฺยุํ – เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๗๗; ม. นิ. ๓.๑๒๙)ฯ เทเสนฺตา จ, ภเนฺต นาคเสน, สเพฺพปิ ตถาคตา สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธเมฺม เทเสนฺติ, กถยมานา จ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ กเถนฺติ, สิกฺขาเปนฺตา จ ตีสุ สิกฺขาสุ สิกฺขาเปนฺติ, อนุสาสมานา จ อปฺปมาทปฎิปตฺติยํ อนุสาสนฺติฯ ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, สเพฺพสมฺปิ ตถาคตานํ เอกา เทสนา เอกา กถา เอกา สิกฺขา เอกานุสิฎฺฐิ, เกน การเณน เทฺว ตถาคตา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติ? เอเกนปิ ตาว พุทฺธุปฺปาเทน อยํ โลโก โอภาสชาโตฯ ยทิ ทุติโย พุโทฺธ ภเวยฺย, ทฺวินฺนํ ปภาย อยํ โลโก ภิโยฺยโส มตฺตาย โอภาสชาโต ภเวยฺยฯ โอวทนฺตา จ เทฺว ตถาคตา สุขํ โอวเทยฺยุํ, อนุสาสมานา จ สุขํ อนุสาเสยฺยุํฯ ตตฺถ เม การณํ ทเสฺสหิ ยถาหํ นิสฺสํสโย ภเวยฺย’’นฺติฯ

    ‘‘Bhante nāgasena, bhāsitampetaṃ bhagavatā – ‘‘aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso yaṃ ekissā lokadhātuyā dve arahanto sammāsambuddhā apubbaṃ acarimaṃ uppajjeyyuṃ – netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (a. ni. 1.277; ma. ni. 3.129). Desentā ca, bhante nāgasena, sabbepi tathāgatā sattatiṃsa bodhipakkhiyadhamme desenti, kathayamānā ca cattāri ariyasaccāni kathenti, sikkhāpentā ca tīsu sikkhāsu sikkhāpenti, anusāsamānā ca appamādapaṭipattiyaṃ anusāsanti. Yadi, bhante nāgasena, sabbesampi tathāgatānaṃ ekā desanā ekā kathā ekā sikkhā ekānusiṭṭhi, kena kāraṇena dve tathāgatā ekakkhaṇe nuppajjanti? Ekenapi tāva buddhuppādena ayaṃ loko obhāsajāto. Yadi dutiyo buddho bhaveyya, dvinnaṃ pabhāya ayaṃ loko bhiyyoso mattāya obhāsajāto bhaveyya. Ovadantā ca dve tathāgatā sukhaṃ ovadeyyuṃ, anusāsamānā ca sukhaṃ anusāseyyuṃ. Tattha me kāraṇaṃ dassehi yathāhaṃ nissaṃsayo bhaveyya’’nti.

    ‘‘อยํ, มหาราช, ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกพุทฺธธารณี, เอกเสฺสว ตถาคตสฺส คุณํ ธาเรติฯ ยทิ ทุติโย พุโทฺธ อุปฺปเชฺชยฺย, นายํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ ธาเรยฺย, จเลยฺย กเมฺปยฺย นเมยฺย โอนเมยฺย วินเมยฺย วิกิเรยฺย วิธเมยฺย วิทฺธํเสยฺย, น ฐานมุปคเจฺฉยฺยฯ

    ‘‘Ayaṃ, mahārāja, dasasahassī lokadhātu ekabuddhadhāraṇī, ekasseva tathāgatassa guṇaṃ dhāreti. Yadi dutiyo buddho uppajjeyya, nāyaṃ dasasahassī lokadhātu dhāreyya, caleyya kampeyya nameyya onameyya vinameyya vikireyya vidhameyya viddhaṃseyya, na ṭhānamupagaccheyya.

    ‘‘ยถา, มหาราช, นาวา เอกปุริสสนฺธารณี ภเวยฺย, เอกสฺมิํ ปุริเส อภิรูเฬฺห สา นาวา สมุปาทิกา ภเวยฺยฯ อถ ทุติโย ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ตาทิโส อายุนา วเณฺณน วเยน ปมาเณน กิสถูเลน สพฺพงฺคปจฺจเงฺคนฯ โส ตํ นาวํ อภิรูเหยฺยฯ อปินุ สา, มหาราช, นาวา ทฺวินฺนมฺปิ ธาเรยฺยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, จเลยฺย กเมฺปยฺย นเมยฺย โอนเมยฺย วินเมยฺย วิกิเรยฺย วิธเมยฺย วิทฺธํเสยฺย, น ฐานมุปคเจฺฉยฺย, โอสีเทยฺย อุทเก’’ติ ฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อยํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกพุทฺธธารณี เอกเสฺสว ตถาคตสฺส คุณํ ธาเรติฯ ยทิ ทุติโย พุโทฺธ อุปฺปเชฺชยฺย, นายํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ ธาเรยฺย, จเลยฺย…เป.… น ฐานมุปคเจฺฉยฺยฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, nāvā ekapurisasandhāraṇī bhaveyya, ekasmiṃ purise abhirūḷhe sā nāvā samupādikā bhaveyya. Atha dutiyo puriso āgaccheyya tādiso āyunā vaṇṇena vayena pamāṇena kisathūlena sabbaṅgapaccaṅgena. So taṃ nāvaṃ abhirūheyya. Apinu sā, mahārāja, nāvā dvinnampi dhāreyyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante, caleyya kampeyya nameyya onameyya vinameyya vikireyya vidhameyya viddhaṃseyya, na ṭhānamupagaccheyya, osīdeyya udake’’ti . ‘‘Evameva kho, mahārāja, ayaṃ dasasahassī lokadhātu ekabuddhadhāraṇī ekasseva tathāgatassa guṇaṃ dhāreti. Yadi dutiyo buddho uppajjeyya, nāyaṃ dasasahassī lokadhātu dhāreyya, caleyya…pe… na ṭhānamupagaccheyya.

    ‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, ปุริโส ยาวทตฺถํ โภชนํ ภุเญฺชยฺย ฉาเทนฺตํ ยาวกณฺฐมภิปูรยิตฺวาฯ โส ตโต ปีณิโต ปริปุโณฺณ นิรนฺตโร ตนฺทีคโต อโนนมิตทณฺฑชาโต ปุนเทว ตตฺตกํ โภชนํ ภุเญฺชยฺยฯ อปินุ โข โส, มหาราช, ปุริโส สุขิโต ภเวยฺยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, สกิํ ภุโตฺตว มเรยฺยา’’ติฯ เอวเมว โข, มหาราช, อยํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ เอกพุทฺธธารณี…เป.… น ฐานมุปคเจฺฉยฺยา’’ติฯ

    ‘‘Yathā vā pana, mahārāja, puriso yāvadatthaṃ bhojanaṃ bhuñjeyya chādentaṃ yāvakaṇṭhamabhipūrayitvā. So tato pīṇito paripuṇṇo nirantaro tandīgato anonamitadaṇḍajāto punadeva tattakaṃ bhojanaṃ bhuñjeyya. Apinu kho so, mahārāja, puriso sukhito bhaveyyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante, sakiṃ bhuttova mareyyā’’ti. Evameva kho, mahārāja, ayaṃ dasasahassī lokadhātu ekabuddhadhāraṇī…pe… na ṭhānamupagaccheyyā’’ti.

    ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต นาคเสน, อติธมฺมภาเรน ปถวี จลตี’’ติ? ‘‘อิธ, มหาราช, เทฺว สกฎา รตนปริปูริตา ภเวยฺยุํ ยาวสฺมา มุขสมาฯ เอก สกฎโต รตนํ คเหตฺวา เอกมฺหิ สกเฎ อากิเรยฺยุํฯ อปินุ ตํ, มหาราช, สกฎํ ทฺวินฺนมฺปิ สกฎานํ รตนํ ธาเรยฺยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, นาภิปิ ตสฺส จเลยฺย, อราปิ ตสฺส ภิเชฺชยฺยุํ, เนมิปิ ตสฺส โอปเตยฺย, อโกฺขปิ ตสฺส ภิเชฺชยฺยา’’ติฯ ‘‘กินฺนุ โข, มหาราช, อติรตนภาเรน สกฎํ ภิชฺชตี’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อติธมฺมภาเรน ปถวี จลตีติฯ

    ‘‘Kiṃ nu kho, bhante nāgasena, atidhammabhārena pathavī calatī’’ti? ‘‘Idha, mahārāja, dve sakaṭā ratanaparipūritā bhaveyyuṃ yāvasmā mukhasamā. Eka sakaṭato ratanaṃ gahetvā ekamhi sakaṭe ākireyyuṃ. Apinu taṃ, mahārāja, sakaṭaṃ dvinnampi sakaṭānaṃ ratanaṃ dhāreyyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante, nābhipi tassa caleyya, arāpi tassa bhijjeyyuṃ, nemipi tassa opateyya, akkhopi tassa bhijjeyyā’’ti. ‘‘Kinnu kho, mahārāja, atiratanabhārena sakaṭaṃ bhijjatī’’ti? ‘‘Āma, bhante’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, atidhammabhārena pathavī calatīti.

    ‘‘อปิจ, มหาราช, อิมํ การณํ พุทฺธพลปริทีปนาย โอสาริตํฯ อญฺญมฺปิ ตตฺถ ปติรูปํ การณํ สุโณหิ เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติฯ ยทิ, มหาราช, เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ปริสาย วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย – ‘ตุมฺหากํ พุโทฺธ, อมฺหากํ พุโทฺธ’ติ อุภโตปกฺขชาตา ภเวยฺยุํฯ ยถา, มหาราช, ทฺวินฺนํ พลวามจฺจานํ ปริสาย วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย – ‘ตุมฺหากํ อมโจฺจ, อมฺหากํ อมโจฺจ’ติ อุภโตปกฺขชาตา โหนฺติ; เอวเมว โข, มหาราช, ยทิ เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เตสํ ปริสาย วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺย – ‘ตุมฺหากํ พุโทฺธ, อมฺหากํ พุโทฺธ’ติ อุภโตปกฺขชาตา ภเวยฺยุํฯ อิทํ ตาว มหาราช เอกํ การณํ เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติฯ

    ‘‘Apica, mahārāja, imaṃ kāraṇaṃ buddhabalaparidīpanāya osāritaṃ. Aññampi tattha patirūpaṃ kāraṇaṃ suṇohi yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe nuppajjanti. Yadi, mahārāja, dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe uppajjeyyuṃ, parisāya vivādo uppajjeyya – ‘tumhākaṃ buddho, amhākaṃ buddho’ti ubhatopakkhajātā bhaveyyuṃ. Yathā, mahārāja, dvinnaṃ balavāmaccānaṃ parisāya vivādo uppajjeyya – ‘tumhākaṃ amacco, amhākaṃ amacco’ti ubhatopakkhajātā honti; evameva kho, mahārāja, yadi dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe uppajjeyyuṃ, tesaṃ parisāya vivādo uppajjeyya – ‘tumhākaṃ buddho, amhākaṃ buddho’ti ubhatopakkhajātā bhaveyyuṃ. Idaṃ tāva mahārāja ekaṃ kāraṇaṃ yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe nuppajjanti.

    ‘‘อปรมฺปิ อุตฺตริํ การณํ สุโณหิ เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติฯ ยทิ, มหาราช, เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ อุปฺปเชฺชยฺยุํ ‘อโคฺค พุโทฺธ’ติ ยํ วจนํ ตํ มิจฺฉา ภเวยฺย, ‘เชโฎฺฐ พุโทฺธ’ติ ‘เสโฎฺฐ พุโทฺธ’ติ ‘วิสิโฎฺฐ พุโทฺธ’ติ ‘อุตฺตโม พุโทฺธ’ติ ‘ปวโร พุโทฺธ’ติ ‘อสโม พุโทฺธ’ติ ‘อสมสโม พุโทฺธ’ติ ‘อปฺปฎิสโม พุโทฺธ’ติ ‘อปฺปฎิภาคี พุโทฺธ’ติ ‘อปฺปฎิปุคฺคโล พุโทฺธ’ติ ยํ วจนํ ตํ มิจฺฉา ภเวยฺยฯ อิทมฺปิ โข ตฺวํ, มหาราช, การณํ ตถโต สมฺปฎิจฺฉ เยน การเณน เทฺว สมฺมาสมฺพุทฺธา เอกกฺขเณ นุปฺปชฺชนฺติฯ

    ‘‘Aparampi uttariṃ kāraṇaṃ suṇohi yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe nuppajjanti. Yadi, mahārāja, dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe uppajjeyyuṃ ‘aggo buddho’ti yaṃ vacanaṃ taṃ micchā bhaveyya, ‘jeṭṭho buddho’ti ‘seṭṭho buddho’ti ‘visiṭṭho buddho’ti ‘uttamo buddho’ti ‘pavaro buddho’ti ‘asamo buddho’ti ‘asamasamo buddho’ti ‘appaṭisamo buddho’ti ‘appaṭibhāgī buddho’ti ‘appaṭipuggalo buddho’ti yaṃ vacanaṃ taṃ micchā bhaveyya. Idampi kho tvaṃ, mahārāja, kāraṇaṃ tathato sampaṭiccha yena kāraṇena dve sammāsambuddhā ekakkhaṇe nuppajjanti.

    ‘‘อปิจ, มหาราช, พุทฺธานํ ภควนฺตานํ สภาวปกติ เอสา ยํ เอโกเยว พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชติฯ กสฺมา การณา? มหนฺตตฺตา สพฺพญฺญุพุทฺธคุณานํฯ อญฺญมฺปิ, มหาราช, ยํ โลเก มหนฺตํ ตํ เอกํเยว โหติฯ ปถวี, มหาราช, มหนฺตา, สา เอกาเยว; สาคโร มหโนฺต, โส เอโกเยว; สิเนรุ คิริราชา มหโนฺต, โส เอโกเยว; อากาโส มหโนฺต, โส เอโกเยว; สโกฺก มหโนฺต, โส เอโกเยว; มหาพฺรหฺมา มหโนฺต, โส เอโกเยว; ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ มหโนฺต, โส เอโกเยว โลกสฺมิํฯ ยตฺถ เต อุปฺปชฺชนฺติ ตตฺถ อเญฺญสํ โอกาโส น โหติฯ ตสฺมา, มหาราช, ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ เอโกเยว โลเก อุปฺปชฺชตี’’ติฯ

    ‘‘Apica, mahārāja, buddhānaṃ bhagavantānaṃ sabhāvapakati esā yaṃ ekoyeva buddho loke uppajjati. Kasmā kāraṇā? Mahantattā sabbaññubuddhaguṇānaṃ. Aññampi, mahārāja, yaṃ loke mahantaṃ taṃ ekaṃyeva hoti. Pathavī, mahārāja, mahantā, sā ekāyeva; sāgaro mahanto, so ekoyeva; sineru girirājā mahanto, so ekoyeva; ākāso mahanto, so ekoyeva; sakko mahanto, so ekoyeva; mahābrahmā mahanto, so ekoyeva; tathāgato arahaṃ sammāsambuddho mahanto, so ekoyeva lokasmiṃ. Yattha te uppajjanti tattha aññesaṃ okāso na hoti. Tasmā, mahārāja, tathāgato arahaṃ sammāsambuddho ekoyeva loke uppajjatī’’ti.

    ‘‘สุกถิโต, ภเนฺต นาคเสน, ปโญฺห โอปเมฺมหิ การเณหี’’ติ (มิ. ป. ๕.๑.๑)ฯ

    ‘‘Sukathito, bhante nāgasena, pañho opammehi kāraṇehī’’ti (mi. pa. 5.1.1).

    เอกิสฺสา โลกธาตุยาติ เอกสฺมิํ จกฺกวาเฬฯ เหฎฺฐา อิมินาว ปเทน ทส จกฺกวาฬสหสฺสานิ คหิตานิฯ ตานิปิ เอกจกฺกวาเฬเนว ปริจฺฉินฺทิตุํ วฎฺฎนฺติฯ พุทฺธา หิ อุปฺปชฺชมานา อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ อุปฺปชฺชนฺติ; อุปฺปชฺชนฎฺฐาเน ปน วาริเต อิโต อเญฺญสุ จกฺกวาเฬสุ น อุปฺปชฺชนฺตีติ วาริตเมว โหติฯ อปุพฺพํ อจริมนฺติ เอตฺถ จกฺกรตนปาตุภาวโต ปุเพฺพ ปุพฺพํ, ตเสฺสว อนฺตรธานโต ปจฺฉา จริมํฯ ตตฺถ ทฺวิธา จกฺกรตนสฺส อนฺตรธานํ โหติ – จกฺกวตฺติโน กาลกิริยาย วา ปพฺพชฺชาย วาฯ อนฺตรธายมานญฺจ ปน ตํ กาลกิริยโต วา ปพฺพชฺชโต วา สตฺตเม ทิวเส อนฺตรธายติฯ ตโต ปรํ จกฺกวตฺติโน ปาตุภาโว อวาริโตฯ กสฺมา ปน เอกจกฺกวาเฬ เทฺว จกฺกวตฺติโน นุปฺปชฺชนฺตีติ? วิวาทุปเจฺฉทโต อนจฺฉริยภาวโต จกฺกรตนสฺส มหานุภาวโต จฯ ทฺวีสุ หิ อุปฺปชฺชเนฺตสุ ‘อมฺหากํ ราชา มหโนฺต, อมฺหากํ ราชา มหโนฺต’ติ วิวาโท อุปฺปเชฺชยฺยฯ ‘เอกสฺมิํ ทีเป จกฺกวตฺตี, เอกสฺมิํ ทีเป จกฺกวตฺตี’ติ จ อนจฺฉริโย ภเวยฺยฯ โย จายํ จกฺกรตนสฺส ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ อิสฺสริยานุปฺปทานสมโตฺถ มหานุภาโว, โส ปริหาเยยฺยฯ อิติ วิวาทุปเจฺฉทโต อนจฺฉริยภาวโต จกฺกรตนสฺส มหานุภาวโต จ น เอกจกฺกวาเฬ เทฺว อุปฺปชฺชนฺติฯ

    Ekissālokadhātuyāti ekasmiṃ cakkavāḷe. Heṭṭhā imināva padena dasa cakkavāḷasahassāni gahitāni. Tānipi ekacakkavāḷeneva paricchindituṃ vaṭṭanti. Buddhā hi uppajjamānā imasmiṃyeva cakkavāḷe uppajjanti; uppajjanaṭṭhāne pana vārite ito aññesu cakkavāḷesu na uppajjantīti vāritameva hoti. Apubbaṃ acarimanti ettha cakkaratanapātubhāvato pubbe pubbaṃ, tasseva antaradhānato pacchā carimaṃ. Tattha dvidhā cakkaratanassa antaradhānaṃ hoti – cakkavattino kālakiriyāya vā pabbajjāya vā. Antaradhāyamānañca pana taṃ kālakiriyato vā pabbajjato vā sattame divase antaradhāyati. Tato paraṃ cakkavattino pātubhāvo avārito. Kasmā pana ekacakkavāḷe dve cakkavattino nuppajjantīti? Vivādupacchedato anacchariyabhāvato cakkaratanassa mahānubhāvato ca. Dvīsu hi uppajjantesu ‘amhākaṃ rājā mahanto, amhākaṃ rājā mahanto’ti vivādo uppajjeyya. ‘Ekasmiṃ dīpe cakkavattī, ekasmiṃ dīpe cakkavattī’ti ca anacchariyo bhaveyya. Yo cāyaṃ cakkaratanassa dvisahassadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu issariyānuppadānasamattho mahānubhāvo, so parihāyeyya. Iti vivādupacchedato anacchariyabhāvato cakkaratanassa mahānubhāvato ca na ekacakkavāḷe dve uppajjanti.

    ยํ อิโตฺถ อรหํ อสฺส สมฺมาสมฺพุโทฺธติ เอตฺถ ติฎฺฐตุ ตาว สพฺพญฺญุคุเณ นิพฺพเตฺตตฺวา โลกตฺตารณสมโตฺถ พุทฺธภาโว, ปณิธานมตฺตมฺปิ อิตฺถิยา น สมฺปชฺชติฯ

    Yaṃ ittho arahaṃ assa sammāsambuddhoti ettha tiṭṭhatu tāva sabbaññuguṇe nibbattetvā lokattāraṇasamattho buddhabhāvo, paṇidhānamattampi itthiyā na sampajjati.

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;

    ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา;

    Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā;

    อฎฺฐธมฺมสโมธานา, อภินีหาโร สมิชฺฌตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙);

    Aṭṭhadhammasamodhānā, abhinīhāro samijjhatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.59);

    อิมานิ หิ ปณิธานสมฺปตฺติการณานิฯ อิติ ปณิธานมฺปิ สมฺปาเทตุํ อสมตฺถาย อิตฺถิยา กุโต พุทฺธภาโวติ ‘‘อฎฺฐานเมตํ, อนวกาโส ยํ อิตฺถี อรหํ อสฺส สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ วุตฺตํฯ สพฺพาการปริปูโร วา ปุญฺญุสฺสโย สพฺพาการปริปูรเมว อตฺตภาวํ นิพฺพเตฺตตีติ ปุริโสว อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ

    Imāni hi paṇidhānasampattikāraṇāni. Iti paṇidhānampi sampādetuṃ asamatthāya itthiyā kuto buddhabhāvoti ‘‘aṭṭhānametaṃ, anavakāso yaṃ itthī arahaṃ assa sammāsambuddho’’ti vuttaṃ. Sabbākāraparipūro vā puññussayo sabbākāraparipūrameva attabhāvaṃ nibbattetīti purisova arahaṃ hoti sammāsambuddho.

    ยํ อิตฺถี ราชา อสฺส จกฺกวตฺตีติอาทีสุปิ ยสฺมา อิตฺถิยา โกโสหิตวตฺถคุยฺหาทีนํ อภาเวน ลกฺขณานิ น ปริปูเรนฺติ, อิตฺถิรตนภาเวน สตฺตรตนสมงฺคิตา น สมฺปชฺชติ, สพฺพมนุเสฺสหิ จ อธิโก อตฺตภาโว น โหติ, ตสฺมา ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส ยํ อิตฺถี ราชา อสฺส จกฺกวตฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา จ สกฺกตฺตาทีนิปิ ตีณิ ฐานานิ อุตฺตมานิ, อิตฺถิลิงฺคญฺจ หีนํ , ตสฺมา ตสฺสา สกฺกตฺตาทีนิปิ ปฎิสิทฺธานิฯ นนุ จ ยถา อิตฺถิลิงฺคํ เอวํ ปุริสลิงฺคมฺปิ พฺรหฺมโลเก นตฺถิ, ตสฺมา ‘‘ยํ ปุริโส พฺรหฺมตฺตํ กาเรยฺย – ฐานเมตํ วิชฺชตี’’ติปิ น วตฺตพฺพํ สิยาติ? โน น วตฺตพฺพํฯ กสฺมา? อิธ ปุริสสฺส ตตฺถ นิพฺพตฺตนโตฯ พฺรหฺมตฺตนฺติ หิ มหาพฺรหฺมตฺตํ อธิเปฺปตํฯ อิตฺถี จ อิธ ฌานํ ภาเวตฺวา กาลํ กตฺวา พฺรหฺมปาริสชฺชานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ, น มหาพฺรหฺมานํฯ ปุริโส ปน ตตฺถ น อุปฺปชฺชตีติ น วตฺตโพฺพฯ สมาเนปิ เจตฺถ อุภยลิงฺคาภาเว ปุริสสณฺฐานาว พฺรหฺมาโน, น อิตฺถิสณฺฐานาฯ ตสฺมา สุวุตฺตเมเวตํฯ

    Yaṃitthī rājā assa cakkavattītiādīsupi yasmā itthiyā kosohitavatthaguyhādīnaṃ abhāvena lakkhaṇāni na paripūrenti, itthiratanabhāvena sattaratanasamaṅgitā na sampajjati, sabbamanussehi ca adhiko attabhāvo na hoti, tasmā ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso yaṃ itthī rājā assa cakkavattī’’ti vuttaṃ. Yasmā ca sakkattādīnipi tīṇi ṭhānāni uttamāni, itthiliṅgañca hīnaṃ , tasmā tassā sakkattādīnipi paṭisiddhāni. Nanu ca yathā itthiliṅgaṃ evaṃ purisaliṅgampi brahmaloke natthi, tasmā ‘‘yaṃ puriso brahmattaṃ kāreyya – ṭhānametaṃ vijjatī’’tipi na vattabbaṃ siyāti? No na vattabbaṃ. Kasmā? Idha purisassa tattha nibbattanato. Brahmattanti hi mahābrahmattaṃ adhippetaṃ. Itthī ca idha jhānaṃ bhāvetvā kālaṃ katvā brahmapārisajjānaṃ sahabyataṃ upapajjati, na mahābrahmānaṃ. Puriso pana tattha na uppajjatīti na vattabbo. Samānepi cettha ubhayaliṅgābhāve purisasaṇṭhānāva brahmāno, na itthisaṇṭhānā. Tasmā suvuttamevetaṃ.

    กายทุจฺจริตสฺสาติอาทีสุ ยถา นิมฺพพีชโกสาตกีพีชาทีนิ มธุรํ ผลํ น นิพฺพเตฺตนฺติ, อสาตํ อมธุรเมว นิพฺพเตฺตนฺติ, เอวํ กายทุจฺจริตาทีนิ มธุรํ วิปากํ น นิพฺพเตฺตนฺติ, อมธุรเมว นิพฺพเตฺตนฺติฯ ยถา จ อุจฺฉุพีชสาลิพีชาทีนิ มธุรํ สาธุรสเมว ผลํ นิพฺพเตฺตนฺติ, น อสาตํ กฎุกํ, เอวํ กายสุจริตาทีนิ มธุรเมว วิปากํ นิพฺพเตฺตนฺติ, น อมธุรํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Kāyaduccaritassātiādīsu yathā nimbabījakosātakībījādīni madhuraṃ phalaṃ na nibbattenti, asātaṃ amadhurameva nibbattenti, evaṃ kāyaduccaritādīni madhuraṃ vipākaṃ na nibbattenti, amadhurameva nibbattenti. Yathā ca ucchubījasālibījādīni madhuraṃ sādhurasameva phalaṃ nibbattenti, na asātaṃ kaṭukaṃ, evaṃ kāyasucaritādīni madhurameva vipākaṃ nibbattenti, na amadhuraṃ. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ยาทิสํ วปเต พีชํ, ตาทิสํ หรเต ผลํ;

    ‘‘Yādisaṃ vapate bījaṃ, tādisaṃ harate phalaṃ;

    กลฺยาณการี กลฺยาณํ, ปาปการี จ ปาปกนฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๕๖);

    Kalyāṇakārī kalyāṇaṃ, pāpakārī ca pāpakanti. (saṃ. ni. 1.256);

    ตสฺมา ‘‘อฎฺฐานเมตํ อนวกาโส, ยํ กายทุจฺจริตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Tasmā ‘‘aṭṭhānametaṃ anavakāso, yaṃ kāyaduccaritassā’’tiādi vuttaṃ.

    กายทุจฺจริตสมงฺคีติอาทีสุ สมงฺคีติ ปญฺจวิธา สมงฺคิตา – อายูหนสมงฺคิตา, เจตนาสมงฺคิตา, กมฺมสมงฺคิตา, วิปากสมงฺคิตา, อุปฎฺฐานสมงฺคิตาติฯ ตตฺถ กุสลากุสลกมฺมายูหนกฺขเณ ‘อายูหนสมงฺคิตา’ วุจฺจติฯ ตถา ‘เจตนาสมงฺคิตา’ฯ ยาว ปน อรหตฺตํ น ปาปุณนฺติ ตาว สเพฺพปิ สตฺตา ปุเพฺพ อุปจิตํ วิปาการหํ กมฺมํ สนฺธาย กมฺมสมงฺคิโนติ วุจฺจนฺติ – เอสา ‘กมฺมสมงฺคิตา’ฯ ‘วิปากสมงฺคิตา’ ปน วิปากกฺขเณเยว เวทิตพฺพาฯ ยาว ปน สตฺตา อรหตฺตํ น ปาปุณนฺติ ตาว เตสํ ตโต ตโต จวิตฺวา นิรเย ตาว อุปฺปชฺชมานานํ อคฺคิชาลโลหกุมฺภีอาทีหิ อุปฎฺฐานากาเรหิ นิรโย, คพฺภเสยฺยกตฺตํ อาปชฺชมานานํ มาตุกุจฺฉิ, เทเวสุ อุปฺปชฺชมานานํ กปฺปรุกฺขวิมานาทีหิ อุปฎฺฐานากาเรหิ เทวโลโกติ เอวํ อุปปตฺตินิมิตฺตํ อุปฎฺฐาติฯ อิติ เนสํ อิมินา อุปฺปตฺตินิมิตฺตูปฎฺฐาเนน อปริมุตฺตตฺตา ‘อุปฎฺฐานสมงฺคิตา’ นามฯ สาว จลติ, เสสา นิจฺจลาฯ นิรเย หิ อุปฎฺฐิเตปิ เทวโลโก อุปฎฺฐาติ; เทวโลเก อุปฎฺฐิเตปิ นิรโย อุปฎฺฐาติ; มนุสฺสโลเก อุปฎฺฐิเตปิ ติรจฺฉานโยนิ อุปฎฺฐาติ; ติรจฺฉานโยนิยา จ อุปฎฺฐิตายปิ มนุสฺสโลโก อุปฎฺฐาติเยวฯ

    Kāyaduccaritasamaṅgītiādīsu samaṅgīti pañcavidhā samaṅgitā – āyūhanasamaṅgitā, cetanāsamaṅgitā, kammasamaṅgitā, vipākasamaṅgitā, upaṭṭhānasamaṅgitāti. Tattha kusalākusalakammāyūhanakkhaṇe ‘āyūhanasamaṅgitā’ vuccati. Tathā ‘cetanāsamaṅgitā’. Yāva pana arahattaṃ na pāpuṇanti tāva sabbepi sattā pubbe upacitaṃ vipākārahaṃ kammaṃ sandhāya kammasamaṅginoti vuccanti – esā ‘kammasamaṅgitā’. ‘Vipākasamaṅgitā’ pana vipākakkhaṇeyeva veditabbā. Yāva pana sattā arahattaṃ na pāpuṇanti tāva tesaṃ tato tato cavitvā niraye tāva uppajjamānānaṃ aggijālalohakumbhīādīhi upaṭṭhānākārehi nirayo, gabbhaseyyakattaṃ āpajjamānānaṃ mātukucchi, devesu uppajjamānānaṃ kapparukkhavimānādīhi upaṭṭhānākārehi devalokoti evaṃ upapattinimittaṃ upaṭṭhāti. Iti nesaṃ iminā uppattinimittūpaṭṭhānena aparimuttattā ‘upaṭṭhānasamaṅgitā’ nāma. Sāva calati, sesā niccalā. Niraye hi upaṭṭhitepi devaloko upaṭṭhāti; devaloke upaṭṭhitepi nirayo upaṭṭhāti; manussaloke upaṭṭhitepi tiracchānayoni upaṭṭhāti; tiracchānayoniyā ca upaṭṭhitāyapi manussaloko upaṭṭhātiyeva.

    ตตฺริทํ วตฺถุ – โสณคิริปาเท กิร อเจลวิหาเร โสณเตฺถโร นาม เอโก ธมฺมกถิโกฯ ตสฺส ปิตา สุนขวาชิโก นาม ลุทฺทโก อโหสิฯ เถโร ตํ ปฎิพาหโนฺตปิ สํวเร ฐเปตุํ อสโกฺกโนฺต ‘มา นสฺสิ วราโก’ติ มหลฺลกกาเล อกามกํ ปพฺพาเชสิฯ ตสฺส คิลานเสยฺยาย นิปนฺนสฺส นิรโย อุปฎฺฐาสิฯ โสณคิริปาทโต มหนฺตา มหนฺตา สุนขา อาคนฺตฺวา ขาทิตุกามา วิย สมฺปริวาเรสุํฯ โส มหาภยภีโต ‘‘วาเรหิ, ตาต โสณ! วาเรหิ, ตาต โสณา’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ มหาเถรา’’ติ? ‘‘น ปสฺสสิ, ตาตา’’ติ ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ โสณเตฺถโร ‘กถญฺหิ นาม มาทิสสฺส ปิตา นิรเย นิพฺพตฺติสฺสติ, ปติฎฺฐาหมสฺส ภวิสฺสามี’ติ สามเณเรหิ นานาปุปฺผานิ อาหราเปตฺวา เจติยงฺคณโพธิยงฺคเณสุ มาลาสนฺถารปูชญฺจ อาสนปูชญฺจ กาเรตฺวา ปิตรํ มเญฺจน เจติยงฺคณํ หริตฺวา มเญฺจ นิปชฺชาเปตฺวา ‘‘อยํ เม, มหาเถร, ปูชา ตุมฺหากํ อตฺถาย กตา; ‘อยํ เม, ภควา, ทุคฺคตปณฺณากาโร’ติ วตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา จิตฺตํ ปสาเทหี’’ติ อาหฯ โส มหาเถโร ปูชํ ทิสฺวา ตถากโรโนฺต จิตฺตํ ปสาเทสิฯ ตาวเทวสฺส เทวโลโก อุปฎฺฐาสิ, นนฺทวนจิตฺตลตาวนมิสฺสกวนผารุสกวนวิมานานิ เจว เทวนาฎกานิ จ ปริวาเรตฺวา ฐิตานิ วิย อเหสุํฯ โส ‘‘อเปถ, โสณ! อเปถ, โสณา’’ติ อาหฯ ‘‘กิมิทํ, มหาเถรา’’ติ? ‘‘เอตา เต, ตาต, มาตโร อาคจฺฉนฺตี’’ติฯ ‘เถโร สโคฺค อุปฎฺฐิโต มหาเถรสฺสา’ติ จิเนฺตสิ ฯ เอวํ อุปฎฺฐานสมงฺคิตา จลตีติ เวทิตพฺพาฯ เอตาสุ สมงฺคิตาสุ อิธ อายูหนเจตนากมฺมสมงฺคิตาวเสน ‘‘กายทุจฺจริตสมงฺคี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Tatridaṃ vatthu – soṇagiripāde kira acelavihāre soṇatthero nāma eko dhammakathiko. Tassa pitā sunakhavājiko nāma luddako ahosi. Thero taṃ paṭibāhantopi saṃvare ṭhapetuṃ asakkonto ‘mā nassi varāko’ti mahallakakāle akāmakaṃ pabbājesi. Tassa gilānaseyyāya nipannassa nirayo upaṭṭhāsi. Soṇagiripādato mahantā mahantā sunakhā āgantvā khāditukāmā viya samparivāresuṃ. So mahābhayabhīto ‘‘vārehi, tāta soṇa! Vārehi, tāta soṇā’’ti āha. ‘‘Kiṃ mahātherā’’ti? ‘‘Na passasi, tātā’’ti taṃ pavattiṃ ācikkhi. Soṇatthero ‘kathañhi nāma mādisassa pitā niraye nibbattissati, patiṭṭhāhamassa bhavissāmī’ti sāmaṇerehi nānāpupphāni āharāpetvā cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇesu mālāsanthārapūjañca āsanapūjañca kāretvā pitaraṃ mañcena cetiyaṅgaṇaṃ haritvā mañce nipajjāpetvā ‘‘ayaṃ me, mahāthera, pūjā tumhākaṃ atthāya katā; ‘ayaṃ me, bhagavā, duggatapaṇṇākāro’ti vatvā bhagavantaṃ vanditvā cittaṃ pasādehī’’ti āha. So mahāthero pūjaṃ disvā tathākaronto cittaṃ pasādesi. Tāvadevassa devaloko upaṭṭhāsi, nandavanacittalatāvanamissakavanaphārusakavanavimānāni ceva devanāṭakāni ca parivāretvā ṭhitāni viya ahesuṃ. So ‘‘apetha, soṇa! Apetha, soṇā’’ti āha. ‘‘Kimidaṃ, mahātherā’’ti? ‘‘Etā te, tāta, mātaro āgacchantī’’ti. ‘Thero saggo upaṭṭhito mahātherassā’ti cintesi . Evaṃ upaṭṭhānasamaṅgitā calatīti veditabbā. Etāsu samaṅgitāsu idha āyūhanacetanākammasamaṅgitāvasena ‘‘kāyaduccaritasamaṅgī’’tiādi vuttaṃ. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.

    ปฐมพลนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Paṭhamabalaniddesavaṇṇanā.

    ทุติยพลนิเทฺทโส

    Dutiyabalaniddeso

    ๘๑๐. ทุติยพลนิเทฺทเส คติสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานีติ คติสมฺปตฺติยา ปฎิพาหิตานิ นิวาริตานิ ปฎิเสธิตานิฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ คติสมฺปตฺตีติ สมฺปนฺนา คติ เทวโลโก จ มนุสฺสโลโก จฯ คติวิปตฺตีติ วิปนฺนา คติ จตฺตาโร อปายาฯ อุปธิสมฺปตฺตีติ อตฺตภาวสมิทฺธิฯ อุปธิวิปตฺตีติ หีนอตฺตภาวตาฯ กาลสมฺปตฺตีติ สุราชสุมนุสฺสกาลสงฺขาโต สมฺปนฺนกาโลฯ กาลวิปตฺตีติ ทุราชทุมนุสฺสกาลสงฺขาโต วิปนฺนกาโลฯ ปโยคสมฺปตฺตีติ สมฺมาปโยโคฯ ปโยควิปตฺตีติ มิจฺฉาปโยโคฯ

    810. Dutiyabalaniddese gatisampattipaṭibāḷhānīti gatisampattiyā paṭibāhitāni nivāritāni paṭisedhitāni. Sesapadesupi eseva nayo. Ettha ca gatisampattīti sampannā gati devaloko ca manussaloko ca. Gativipattīti vipannā gati cattāro apāyā. Upadhisampattīti attabhāvasamiddhi. Upadhivipattīti hīnaattabhāvatā. Kālasampattīti surājasumanussakālasaṅkhāto sampannakālo. Kālavipattīti durājadumanussakālasaṅkhāto vipannakālo. Payogasampattīti sammāpayogo. Payogavipattīti micchāpayogo.

    ตตฺถ เอกจฺจสฺส พหูนิ ปาปกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ คติวิปตฺติยํ ฐิตสฺส วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน กลฺยาณกเมฺมน คติสมฺปตฺติยํ เทเวสุ วา มนุเสฺสสุ วา นิพฺพโตฺตฯ ตาทิเส จ ฐาเน อกุสลสฺส วาโร นตฺถิ, เอกนฺตํ กุสลเสฺสว วาโรติฯ เอวมสฺส ตานิ กมฺมานิ คติสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Tattha ekaccassa bahūni pāpakammāni honti. Tāni gativipattiyaṃ ṭhitassa vipacceyyuṃ. So pana ekena kalyāṇakammena gatisampattiyaṃ devesu vā manussesu vā nibbatto. Tādise ca ṭhāne akusalassa vāro natthi, ekantaṃ kusalasseva vāroti. Evamassa tāni kammāni gatisampattipaṭibāḷhāni na vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ ปาปกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ อุปธิวิปตฺติยํ ฐิตสฺส วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน กลฺยาณกเมฺมน อุปธิสมฺปตฺติยํ ฐิโต สุสณฺฐิตงฺคปจฺจโงฺค อภิรูโป ทสฺสนีโย พฺรหฺมวจฺฉสทิโสฯ สเจปิ ทาสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ทาสชาโต โหติ ‘เอวรูโป อตฺตภาโว กิลิฎฺฐกมฺมสฺส นานุจฺฉวิโก’ติ หตฺถิเมณฺฑอสฺสพนฺธกโคปาลกกมฺมาทีนิ ตํ น กาเรนฺติ; สุขุมวตฺถานิ นิวาสาเปตฺวา ภณฺฑาคาริกฎฺฐานาทีสุ ฐเปนฺติฯ สเจ อิตฺถี โหติ, หตฺถิภตฺตปจนาทีนิ น กาเรนฺติ; วตฺถาลงฺการํ ทตฺวา สยนปาลิกํ วา นํ กโรนฺติ, โสมเทวิ วิย วลฺลภฎฺฐาเน วา ฐเปนฺติฯ ภาติกราชกาเล กิร โคมํสขาทเก พหุชเน คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ เต ‘ทณฺฑํ ทาตุํ สโกฺกถา’ติ ปุฎฺฐา ‘น สโกฺกมา’ติ วทิํสุฯ อถ เน ราชงฺคเณ โสธเก อกํสุฯ เตสํ เอกา ธีตา อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกาฯ ตํ ทิสฺวา ราชา อเนฺตปุรํ อภิเนตฺวา วลฺลภฎฺฐาเน ฐเปสิฯ เสสญาตกาปิ ตสฺสา อานุภาเวน สุขํ ชีวิํสุฯ ตาทิสสฺมิญฺหิ อตฺตภาเว ปาปกมฺมานิปิ วิปากํ ทาตุํ น สโกฺกนฺติฯ เอวํ อุปธิสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Aparassāpi bahūni pāpakammāni honti. Tāni upadhivipattiyaṃ ṭhitassa vipacceyyuṃ. So pana ekena kalyāṇakammena upadhisampattiyaṃ ṭhito susaṇṭhitaṅgapaccaṅgo abhirūpo dassanīyo brahmavacchasadiso. Sacepi dāsiyā kucchismiṃ dāsajāto hoti ‘evarūpo attabhāvo kiliṭṭhakammassa nānucchaviko’ti hatthimeṇḍaassabandhakagopālakakammādīni taṃ na kārenti; sukhumavatthāni nivāsāpetvā bhaṇḍāgārikaṭṭhānādīsu ṭhapenti. Sace itthī hoti, hatthibhattapacanādīni na kārenti; vatthālaṅkāraṃ datvā sayanapālikaṃ vā naṃ karonti, somadevi viya vallabhaṭṭhāne vā ṭhapenti. Bhātikarājakāle kira gomaṃsakhādake bahujane gahetvā rañño dassesuṃ. Te ‘daṇḍaṃ dātuṃ sakkothā’ti puṭṭhā ‘na sakkomā’ti vadiṃsu. Atha ne rājaṅgaṇe sodhake akaṃsu. Tesaṃ ekā dhītā abhirūpā dassanīyā pāsādikā. Taṃ disvā rājā antepuraṃ abhinetvā vallabhaṭṭhāne ṭhapesi. Sesañātakāpi tassā ānubhāvena sukhaṃ jīviṃsu. Tādisasmiñhi attabhāve pāpakammānipi vipākaṃ dātuṃ na sakkonti. Evaṃ upadhisampattipaṭibāḷhāni na vipaccantīti pajānāti.

    เอกสฺส พหูนิ ปาปกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ กาลวิปตฺติยํ ฐิตสฺส วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน กลฺยาณกเมฺมน ปฐมกปฺปิกานํ วา จกฺกวตฺติรโญฺญ วา พุทฺธานํ วา อุปฺปตฺติสมเย สุราชสุมนุสฺสกาเล นิพฺพโตฺตฯ ตาทิเส จ กาเล นิพฺพตฺตสฺส อกุสลสฺส วิปากํ ทาตุํ โอกาโส นตฺถิ, เอกนฺตํ กุสลเสฺสว โอกาโสติฯ เอวํ กาลสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Ekassa bahūni pāpakammāni honti. Tāni kālavipattiyaṃ ṭhitassa vipacceyyuṃ. So pana ekena kalyāṇakammena paṭhamakappikānaṃ vā cakkavattirañño vā buddhānaṃ vā uppattisamaye surājasumanussakāle nibbatto. Tādise ca kāle nibbattassa akusalassa vipākaṃ dātuṃ okāso natthi, ekantaṃ kusalasseva okāsoti. Evaṃ kālasampattipaṭibāḷhāni na vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ ปาปกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ ปโยควิปตฺติยํ ฐิตสฺส วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน กลฺยาณกเมฺมน ปโยคสมฺปตฺติยํ ฐิโต ปาณาติปาตาทีหิ วิรโต กายวจีมโนสุจริตานิ ปูเรติฯ ตาทิเส ฐาเน อกุสลสฺส วิปจฺจโนกาโส นตฺถิ, เอกนฺตํ กุสลเสฺสว โอกาโสติฯ เอวํ ปโยคสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Aparassāpi bahūni pāpakammāni honti. Tāni payogavipattiyaṃ ṭhitassa vipacceyyuṃ. So pana ekena kalyāṇakammena payogasampattiyaṃ ṭhito pāṇātipātādīhi virato kāyavacīmanosucaritāni pūreti. Tādise ṭhāne akusalassa vipaccanokāso natthi, ekantaṃ kusalasseva okāsoti. Evaṃ payogasampattipaṭibāḷhāni na vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ ปาปกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ คติสมฺปตฺติยํ ฐิตสฺส น วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปเนเกน ปาปกเมฺมน คติวิปตฺติยํเยว นิพฺพโตฺตฯ ตตฺถสฺส ตานิ กมฺมานิ อุปคนฺตฺวา วาเรน วาเรน วิปากํ เทนฺติ – กาเลน นิรเย นิพฺพตฺตาเปนฺติ, กาเลน ติรจฺฉานโยนิยํ, กาเลน เปตฺติวิสเย, กาเลน อสุรกาเย, ทีเฆนาปิ อทฺธุนา อปายโต สีสํ อุกฺขิปิตุํ น เทนฺติฯ เอวํ คติสมฺปตฺติปฎิพาหิตตฺตา วิปากํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตานิ คติวิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Aparassāpi bahūni pāpakammāni honti. Tāni gatisampattiyaṃ ṭhitassa na vipacceyyuṃ. So panekena pāpakammena gativipattiyaṃyeva nibbatto. Tatthassa tāni kammāni upagantvā vārena vārena vipākaṃ denti – kālena niraye nibbattāpenti, kālena tiracchānayoniyaṃ, kālena pettivisaye, kālena asurakāye, dīghenāpi addhunā apāyato sīsaṃ ukkhipituṃ na denti. Evaṃ gatisampattipaṭibāhitattā vipākaṃ dātuṃ asakkontāni gativipattiṃ āgamma vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ ปาปกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ อุปธิสมฺปตฺติยํ ฐิตสฺส น วิปเจฺจยฺยุํ ฯ โส ปน เอเกน ปาปกเมฺมน อุปธิวิปตฺติยํเยว ปติฎฺฐิโต ทุพฺพโณฺณ ทุรูโป ทุสฺสณฺฐิโต พีภโจฺฉ ปิสาจสทิโสฯ โส สเจ ทาสิยา กุจฺฉิยํ ทาสชาโต ‘อิมานิ เอตสฺส อนุจฺฉวิกานี’ติ สพฺพานิ นํ กิลิฎฺฐกมฺมานิ กาเรนฺติ อนฺตมโส ปุปฺผฉฑฺฑกกมฺมํ อุปาทายฯ สเจ อิตฺถี โหติ ‘อิมานิ เอติสฺสา อนุจฺฉวิกานี’ติ สพฺพานิ นํ หตฺถิภตฺตปจนาทีนิ กิลิฎฺฐกมฺมานิ กาเรนฺติฯ กุลเคเห ชาตมฺปิ พลิํ สาธยมานา ราชปุริสา ‘เคหทาสี’ติ สญฺญํ กตฺวา พนฺธิตฺวา คจฺฉนฺติ, โกตลวาปีคาเม มหากุฎุมฺพิกสฺส ฆรณี วิยฯ เอวํ อุปธิสมฺปตฺติปฎิพาหิตตฺตา วิปากํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตานิ อุปธิวิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Aparassāpi bahūni pāpakammāni honti. Tāni upadhisampattiyaṃ ṭhitassa na vipacceyyuṃ . So pana ekena pāpakammena upadhivipattiyaṃyeva patiṭṭhito dubbaṇṇo durūpo dussaṇṭhito bībhaccho pisācasadiso. So sace dāsiyā kucchiyaṃ dāsajāto ‘imāni etassa anucchavikānī’ti sabbāni naṃ kiliṭṭhakammāni kārenti antamaso pupphachaḍḍakakammaṃ upādāya. Sace itthī hoti ‘imāni etissā anucchavikānī’ti sabbāni naṃ hatthibhattapacanādīni kiliṭṭhakammāni kārenti. Kulagehe jātampi baliṃ sādhayamānā rājapurisā ‘gehadāsī’ti saññaṃ katvā bandhitvā gacchanti, kotalavāpīgāme mahākuṭumbikassa gharaṇī viya. Evaṃ upadhisampattipaṭibāhitattā vipākaṃ dātuṃ asakkontāni upadhivipattiṃ āgamma vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ ปาปกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ กาลสมฺปตฺติยํ นิพฺพาตสฺส น วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน ปาปกเมฺมน กาลวิปตฺติยํ ทุราชทุมนุสฺสกาเล กสเฎ นิโรเช ทสวสฺสายุกกาเล นิพฺพโตฺต, ยทา ปญฺจ โครสา ปจฺฉิชฺชนฺติ, กุทฺรูสกํ อคฺคโภชนํ โหติฯ กิญฺจาปิ มนุสฺสโลเก นิพฺพโตฺต, มิคปสุสริกฺขชีวิโก ปน โหติฯ เอวรูเป กาเล กุสลสฺส วิปจฺจโนกาโส นตฺถิ, เอกนฺตํ อกุสลเสฺสว โหติฯ เอวํ กาลสมฺปตฺติปฎิพาหิตตฺตา วิปากํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตานิ กาลวิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Aparassāpi bahūni pāpakammāni honti. Tāni kālasampattiyaṃ nibbātassa na vipacceyyuṃ. So pana ekena pāpakammena kālavipattiyaṃ durājadumanussakāle kasaṭe niroje dasavassāyukakāle nibbatto, yadā pañca gorasā pacchijjanti, kudrūsakaṃ aggabhojanaṃ hoti. Kiñcāpi manussaloke nibbatto, migapasusarikkhajīviko pana hoti. Evarūpe kāle kusalassa vipaccanokāso natthi, ekantaṃ akusalasseva hoti. Evaṃ kālasampattipaṭibāhitattā vipākaṃ dātuṃ asakkontāni kālavipattiṃ āgamma vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ ปาปกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ ปโยคสมฺปตฺติยํ ฐิตสฺส น วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน ปโยควิปตฺติยํ ฐิโต ปาณาติปาตาทีนิ ทส อกุสลกมฺมานิ กโรติฯ ตเมนํ สโหฑฺฒํ คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสนฺติฯ ราชา พหูกมฺมการณานิ กาเรตฺวา ฆาตาเปติฯ เอวํ ปโยคสมฺปตฺติปฎิพาหิตตฺตา วิปากํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตานิ ปโยควิปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ เอวํ จตูหิ สมฺปตฺตีหิ ปฎิพาหิตํ ปาปกมฺมํ วิปากํ อทตฺวา จตโสฺส วิปตฺติโย อาคมฺม เทติฯ

    Aparassāpi bahūni pāpakammāni honti. Tāni payogasampattiyaṃ ṭhitassa na vipacceyyuṃ. So pana payogavipattiyaṃ ṭhito pāṇātipātādīni dasa akusalakammāni karoti. Tamenaṃ sahoḍḍhaṃ gahetvā rañño dassenti. Rājā bahūkammakāraṇāni kāretvā ghātāpeti. Evaṃ payogasampattipaṭibāhitattā vipākaṃ dātuṃ asakkontāni payogavipattiṃ āgamma vipaccantīti pajānāti. Evaṃ catūhi sampattīhi paṭibāhitaṃ pāpakammaṃ vipākaṃ adatvā catasso vipattiyo āgamma deti.

    ยถา หิ โกจิเทว ปุริโส เกนจิเทว กเมฺมน ราชานํ อาราเธยฺยฯ อถสฺส ราชา ฐานนฺตรํ ทตฺวา ชนปทํ ทเทยฺยฯ โส ตํ สมฺมา ปริภุญฺชิตุํ อสโกฺกโนฺต มกฺกเฎน คหิตภตฺตปุฎํ วิย ภิเนฺทยฺย; ยสฺส ยํ ยานํ วา วาหนํ วา ทาสํ วา ทาสิํ วา อารามํ วา วตฺถุํ วา สมฺปนฺนรูปํ ปสฺสติ, สพฺพํ พลกฺกาเรน คเณฺหยฺยฯ มนุสฺสา ‘ราชวลฺลโภ’ติ กิญฺจิ วตฺตุํ น สกฺกุเณยฺยุํฯ โส อญฺญสฺส วลฺลภตรสฺส ราชมหามตฺตสฺส วิรุเชฺฌยฺยฯ โส ตํ คเหตฺวา สุโปถิตํ โปถาเปตฺวา ภูมิํ ปิฎฺฐิยา ฆํสาเปโนฺต นิกฺกฑฺฒาเปตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘อสุโก นาม เต , เทว, ชนปทํ ภินฺทตี’ติ คณฺหาเปยฺยฯ ราชา พนฺธนาคาเร พนฺธาเปตฺวา ‘อสุเกน นาม กสฺส กิํ อวหฎ’นฺติ นคเร เภริํ จราเปยฺยฯ มนุสฺสา อาคนฺตฺวา ‘มยฺหํ อิทํ คหิตํ, มยฺหํ อิทํ คหิต’นฺติ วิรวสหสฺสํ อุฎฺฐาเปยฺยุํฯ ราชา ภิโยฺยโส มตฺตาย กุโทฺธ นานปฺปกาเรน ตํ พนฺธนาคาเร กิลเมตฺวา ฆาตาเปตฺวา ‘คจฺฉถ นํ สุสาเน ฉเฑฺฑตฺวา สงฺขลิกา อาหรถา’ติ วเทยฺยฯ เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Yathā hi kocideva puriso kenacideva kammena rājānaṃ ārādheyya. Athassa rājā ṭhānantaraṃ datvā janapadaṃ dadeyya. So taṃ sammā paribhuñjituṃ asakkonto makkaṭena gahitabhattapuṭaṃ viya bhindeyya; yassa yaṃ yānaṃ vā vāhanaṃ vā dāsaṃ vā dāsiṃ vā ārāmaṃ vā vatthuṃ vā sampannarūpaṃ passati, sabbaṃ balakkārena gaṇheyya. Manussā ‘rājavallabho’ti kiñci vattuṃ na sakkuṇeyyuṃ. So aññassa vallabhatarassa rājamahāmattassa virujjheyya. So taṃ gahetvā supothitaṃ pothāpetvā bhūmiṃ piṭṭhiyā ghaṃsāpento nikkaḍḍhāpetvā rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘asuko nāma te , deva, janapadaṃ bhindatī’ti gaṇhāpeyya. Rājā bandhanāgāre bandhāpetvā ‘asukena nāma kassa kiṃ avahaṭa’nti nagare bheriṃ carāpeyya. Manussā āgantvā ‘mayhaṃ idaṃ gahitaṃ, mayhaṃ idaṃ gahita’nti viravasahassaṃ uṭṭhāpeyyuṃ. Rājā bhiyyoso mattāya kuddho nānappakārena taṃ bandhanāgāre kilametvā ghātāpetvā ‘gacchatha naṃ susāne chaḍḍetvā saṅkhalikā āharathā’ti vadeyya. Evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ.

    ตสฺส หิ ปุริสสฺส หิ เกนจิเทว กเมฺมน ราชานํ อาราเธตฺวา ฐานนฺตรํ ลทฺธกาโล วิย ปุถุชฺชนสฺสาปิ เกนจิเทว ปุญฺญกเมฺมน สเคฺค นิพฺพตฺตกาโลฯ ตสฺมิํ ชนปทํ ภินฺทิตฺวา มนุสฺสานํ สนฺตกํ คณฺหเนฺต กสฺสจิ กิญฺจิ วตฺตุํ อวิสหนกาโล วิย อิมสฺมิมฺปิ สเคฺค นิพฺพเตฺต อกุสลสฺส วิปจฺจโนกาสํ อลภนกาโลฯ ตสฺส เอกทิวสํ เอกสฺมิํ ราชวลฺลภตเร วิรชฺฌิตฺวา เตน กุเทฺธน นํ โปถาเปตฺวา รโญฺญ อาโรเจตฺวา พนฺธนาคาเร พนฺธาปิตกาโล วิย อิมสฺส สคฺคโต จวิตฺวา นิรเย นิพฺพตฺตกาโลฯ มนุสฺสานํ ‘มยฺหํ อิทํ คหิตํ, มยฺหํ อิทํ คหิต’นฺติ วิรวกาโล วิย ตสฺมิํ นิรเย นิพฺพเตฺต สพฺพากุสลกมฺมานํ สนฺนิปติตฺวา คหณกาโลฯ สุสาเน ฉเฑฺฑตฺวา สงฺขลิกานํ อาหรณกาโล วิย เอเกกสฺมิํ กเมฺม ขีเณ อิตรสฺส อิตรสฺส วิปาเกน นิรยโต สีสํ อนุกฺขิปิตฺวา สกลกปฺปํ นิรยมฺหิ ปจฺจนกาโลฯ กปฺปฎฺฐิติกกมฺมญฺหิ กตฺวา เอกกปฺปํ นิรยมฺหิ ปจฺจนกสตฺตา เนว เอโก, น เทฺว, น สตํ, น สหสฺสํฯ เอวํ ปจฺจนกสตฺตา กิร คณนปถํ วีติวตฺตาฯ

    Tassa hi purisassa hi kenacideva kammena rājānaṃ ārādhetvā ṭhānantaraṃ laddhakālo viya puthujjanassāpi kenacideva puññakammena sagge nibbattakālo. Tasmiṃ janapadaṃ bhinditvā manussānaṃ santakaṃ gaṇhante kassaci kiñci vattuṃ avisahanakālo viya imasmimpi sagge nibbatte akusalassa vipaccanokāsaṃ alabhanakālo. Tassa ekadivasaṃ ekasmiṃ rājavallabhatare virajjhitvā tena kuddhena naṃ pothāpetvā rañño ārocetvā bandhanāgāre bandhāpitakālo viya imassa saggato cavitvā niraye nibbattakālo. Manussānaṃ ‘mayhaṃ idaṃ gahitaṃ, mayhaṃ idaṃ gahita’nti viravakālo viya tasmiṃ niraye nibbatte sabbākusalakammānaṃ sannipatitvā gahaṇakālo. Susāne chaḍḍetvā saṅkhalikānaṃ āharaṇakālo viya ekekasmiṃ kamme khīṇe itarassa itarassa vipākena nirayato sīsaṃ anukkhipitvā sakalakappaṃ nirayamhi paccanakālo. Kappaṭṭhitikakammañhi katvā ekakappaṃ nirayamhi paccanakasattā neva eko, na dve, na sataṃ, na sahassaṃ. Evaṃ paccanakasattā kira gaṇanapathaṃ vītivattā.

    อเตฺถกจฺจานิ กลฺยาณานิ กมฺมสมาทานานิ คติวิปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติอาทีสุปิ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ อิเธกจฺจสฺส พหูนิ กลฺยาณกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ คติสมฺปตฺติยํ ฐิตสฺส วิปเจฺจยุํฯ โส ปน เอเกน ปาปกเมฺมน คติวิปตฺติยํ นิรเย วา อสุรกาเย วา นิพฺพโตฺตฯ ตาทิเส จ ฐาเน กุสลํ วิปากํ ทาตุํ น สโกฺกติ, เอกนฺตํ อกุสลเมว สโกฺกตีติฯ เอวมสฺส ตานิ กมฺมานิ คติวิปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Atthekaccāni kalyāṇāni kammasamādānāni gativipattipaṭibāḷhāni na vipaccantītiādīsupi evaṃ yojanā veditabbā. Idhekaccassa bahūni kalyāṇakammāni honti. Tāni gatisampattiyaṃ ṭhitassa vipacceyuṃ. So pana ekena pāpakammena gativipattiyaṃ niraye vā asurakāye vā nibbatto. Tādise ca ṭhāne kusalaṃ vipākaṃ dātuṃ na sakkoti, ekantaṃ akusalameva sakkotīti. Evamassa tāni kammāni gativipattipaṭibāḷhāni na vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ กลฺยาณกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ อุปธิสมฺปตฺติยํ ฐิตสฺส วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน ปาปกเมฺมน อุปธิวิปตฺติยํ ปติฎฺฐิโต ทุพฺพโณฺณ โหติ ปิสาจสทิโสฯ โส สเจปิ ราชกุเล นิพฺพโตฺต ปิตุอจฺจเยน ‘กิํ อิมสฺส นิสฺสิรีกสฺส รเชฺชนา’ติ รชฺชํ น ลภติฯ เสนาปติเคหาทีสุ นิพฺพโตฺตปิ เสนาปติฎฺฐานาทีนิ น ลภติฯ

    Aparassāpi bahūni kalyāṇakammāni honti. Tāni upadhisampattiyaṃ ṭhitassa vipacceyyuṃ. So pana ekena pāpakammena upadhivipattiyaṃ patiṭṭhito dubbaṇṇo hoti pisācasadiso. So sacepi rājakule nibbatto pituaccayena ‘kiṃ imassa nissirīkassa rajjenā’ti rajjaṃ na labhati. Senāpatigehādīsu nibbattopi senāpatiṭṭhānādīni na labhati.

    อิมสฺส ปนตฺถสฺสาวิภาวตฺถํ ทีปราชวตฺถุ กเถตพฺพํ – ราชา กิร ปุเตฺต ชาเต เทวิยา ปสีทิตฺวา วรํ อทาสิฯ สา วรํ คเหตฺวา ฐเปสิฯ กุมาโร สตฺตฎฺฐวสฺสกาเลว ราชงฺคเณ กุกฺกุเฎ ยุชฺฌาเปสิฯ เอโก กุกฺกุโฎ อุปฺปติตฺวา กุมารสฺส อกฺขีนิ ภินฺทิฯ กุมารมาตา เทวี ปุตฺตสฺส ปนฺนรสโสฬสวสฺสกาเล ‘รชฺชํ วาเรสฺสามี’ติ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘เทว, ตุเมฺหหิ กุมารสฺส ชาตกาเล วโร ทิโนฺนฯ มยา โส คเหตฺวา ฐปิโต; อิทานิ นํ คณฺหามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, เทวิ, คณฺหาหี’’ติฯ ‘‘มยา, เทว, ตุมฺหากํ สนฺติกา กิญฺจิ อลทฺธํ นาม นตฺถิ ฯ อิทานิ ปน มม ปุตฺตสฺส รชฺชํ วาเรมี’’ติฯ ‘‘เทวิ, ตว ปุโตฺต องฺควิกโลฯ น สกฺกา ตสฺส รชฺชํ ทาตุ’’นฺติ ฯ ‘‘ตุเมฺห มยฺหํ รุจฺจนกวรํ อทาตุํ อสโกฺกนฺตา กสฺมา วรํ อทตฺถา’’ติ? ราชา อติวิย นิปฺปีฬิยมาโน ‘‘น สกฺกา ตุยฺหํ ปุตฺตสฺส สกลลงฺกาทีเป รชฺชํ ทาตุํ; นาคทีเป ปน ฉตฺตํ อสฺสาเปตฺวา วสตู’’ติ นาคทีปํ เปเสสิฯ โส ทีปราชา นาม อโหสิฯ สเจ จกฺขุวิกโล นาภวิสฺสา ติโยชนสติเก สกลตมฺพปณฺณิทีเป สพฺพสมฺปตฺติปริวารํ รชฺชํ อลภิสฺสาฯ เอวํ อุปธิวิปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Imassa panatthassāvibhāvatthaṃ dīparājavatthu kathetabbaṃ – rājā kira putte jāte deviyā pasīditvā varaṃ adāsi. Sā varaṃ gahetvā ṭhapesi. Kumāro sattaṭṭhavassakāleva rājaṅgaṇe kukkuṭe yujjhāpesi. Eko kukkuṭo uppatitvā kumārassa akkhīni bhindi. Kumāramātā devī puttassa pannarasasoḷasavassakāle ‘rajjaṃ vāressāmī’ti rājānaṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘deva, tumhehi kumārassa jātakāle varo dinno. Mayā so gahetvā ṭhapito; idāni naṃ gaṇhāmī’’ti. ‘‘Sādhu, devi, gaṇhāhī’’ti. ‘‘Mayā, deva, tumhākaṃ santikā kiñci aladdhaṃ nāma natthi . Idāni pana mama puttassa rajjaṃ vāremī’’ti. ‘‘Devi, tava putto aṅgavikalo. Na sakkā tassa rajjaṃ dātu’’nti . ‘‘Tumhe mayhaṃ ruccanakavaraṃ adātuṃ asakkontā kasmā varaṃ adatthā’’ti? Rājā ativiya nippīḷiyamāno ‘‘na sakkā tuyhaṃ puttassa sakalalaṅkādīpe rajjaṃ dātuṃ; nāgadīpe pana chattaṃ assāpetvā vasatū’’ti nāgadīpaṃ pesesi. So dīparājā nāma ahosi. Sace cakkhuvikalo nābhavissā tiyojanasatike sakalatambapaṇṇidīpe sabbasampattiparivāraṃ rajjaṃ alabhissā. Evaṃ upadhivipattipaṭibāḷhāni na vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ กลฺยาณกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ กาลสมฺปตฺติยํ ฐิตสฺส วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน ปาปกเมฺมน กาลวิปตฺติยํ ทุราชทุมนุสฺสกาเล กสเฎ นิโรเช อปฺปายุเก คติโกฎิเก นิพฺพโตฺตฯ ตาทิเส จ กาเล กลฺยาณกมฺมํ วิปากํ ทาตุํ น สโกฺกตีติฯ เอวํ กาลวิปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Aparassāpi bahūni kalyāṇakammāni honti. Tāni kālasampattiyaṃ ṭhitassa vipacceyyuṃ. So pana ekena pāpakammena kālavipattiyaṃ durājadumanussakāle kasaṭe niroje appāyuke gatikoṭike nibbatto. Tādise ca kāle kalyāṇakammaṃ vipākaṃ dātuṃ na sakkotīti. Evaṃ kālavipattipaṭibāḷhāni na vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ กลฺยาณกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ ปโยคสมฺปตฺติยํ ฐิตสฺส วิปเจฺจยฺยุํฯ อยํ ปน ปโยควิปตฺติยํ ฐิโต ปาณํ หนฺติ…เป.… สพฺพํ ทุสฺสีลฺยํ ปูเรติฯ ตถา เตน สทฺธิํ สมชาติกานิปิ กุลานิ อาวาหวิวาหํ น กโรนฺติ; ‘อิตฺถิธุโตฺต สุราธุโตฺต อกฺขธุโตฺต อยํ ปาปปุริโส’ติ อารกา ปริวเชฺชนฺติฯ กลฺยาณกมฺมานิ วิปจฺจิตุํ น สโกฺกนฺติฯ เอวํ ปโยควิปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ เอวํ จตโสฺส สมฺปตฺติโย อาคมฺม วิปากทายกํ กลฺยาณกมฺมํ จตูหิ วิปตฺตีหิ ปฎิพาหิตตฺตา น วิปจฺจติฯ

    Aparassāpi bahūni kalyāṇakammāni honti. Tāni payogasampattiyaṃ ṭhitassa vipacceyyuṃ. Ayaṃ pana payogavipattiyaṃ ṭhito pāṇaṃ hanti…pe… sabbaṃ dussīlyaṃ pūreti. Tathā tena saddhiṃ samajātikānipi kulāni āvāhavivāhaṃ na karonti; ‘itthidhutto surādhutto akkhadhutto ayaṃ pāpapuriso’ti ārakā parivajjenti. Kalyāṇakammāni vipaccituṃ na sakkonti. Evaṃ payogavipattipaṭibāḷhāni na vipaccantīti pajānāti. Evaṃ catasso sampattiyo āgamma vipākadāyakaṃ kalyāṇakammaṃ catūhi vipattīhi paṭibāhitattā na vipaccati.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ กลฺยาณกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ คติวิปตฺติยํ ฐิตสฺส น วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน กลฺยาณกเมฺมน คติสมฺปตฺติยํเยว นิพฺพโตฺตฯ ตตฺถสฺส ตานิ กมฺมานิ อุปคนฺตฺวา วาเรน วาเรน วิปากํ เทนฺติ – กาเลน มนุสฺสโลเก นิพฺพตฺตาเปนฺติ, กาเลน เทวโลเกฯ เอวํ คติวิปตฺติปฎิพาหิตตฺตา วิปากํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตานิ คติมมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Aparassāpi bahūni kalyāṇakammāni honti. Tāni gativipattiyaṃ ṭhitassa na vipacceyyuṃ. So pana ekena kalyāṇakammena gatisampattiyaṃyeva nibbatto. Tatthassa tāni kammāni upagantvā vārena vārena vipākaṃ denti – kālena manussaloke nibbattāpenti, kālena devaloke. Evaṃ gativipattipaṭibāhitattā vipākaṃ dātuṃ asakkontāni gatimampattiṃ āgamma vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ กลฺยาณกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ อุปธิวิปตฺติยํ ฐิตสฺส น วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน กลฺยาณกเมฺมน อุปธิสมฺปตฺติยํเยว ปติฎฺฐิโต อภิรูโป ทสฺสนีโย ปาสาทิโก พฺรหฺมวจฺฉสทิโสฯ ตสฺส อุปธิสมฺปตฺติยํ ฐิตตฺตา กลฺยาณกมฺมานิ วิปากํ เทนฺติฯ สเจ ราชกุเล นิพฺพตฺตติ อเญฺญสุ เชฎฺฐกภาติเกสุ สเนฺตสุปิ ‘เอตสฺส อตฺตภาโว สมิโทฺธ, เอตสฺส ฉเตฺต อุสฺสาปิเต โลกสฺส ผาสุ ภวิสฺสตี’ติ ตเมว รเชฺช อภิสิญฺจนฺติฯ อุปราชเคหาทีสุ นิพฺพโตฺต ปิตุอจฺจเยน โอปรชฺชํ, เสนาปติฎฺฐานํ, ภณฺฑาคาริกฎฺฐานํ, เสฎฺฐิฎฺฐานํ ลภติฯ เอวํ อุปธิวิปตฺติปฎิพาหิตตฺตา วิปากํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตานิ อุปธิสมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Aparassāpi bahūni kalyāṇakammāni honti. Tāni upadhivipattiyaṃ ṭhitassa na vipacceyyuṃ. So pana ekena kalyāṇakammena upadhisampattiyaṃyeva patiṭṭhito abhirūpo dassanīyo pāsādiko brahmavacchasadiso. Tassa upadhisampattiyaṃ ṭhitattā kalyāṇakammāni vipākaṃ denti. Sace rājakule nibbattati aññesu jeṭṭhakabhātikesu santesupi ‘etassa attabhāvo samiddho, etassa chatte ussāpite lokassa phāsu bhavissatī’ti tameva rajje abhisiñcanti. Uparājagehādīsu nibbatto pituaccayena oparajjaṃ, senāpatiṭṭhānaṃ, bhaṇḍāgārikaṭṭhānaṃ, seṭṭhiṭṭhānaṃ labhati. Evaṃ upadhivipattipaṭibāhitattā vipākaṃ dātuṃ asakkontāni upadhisampattiṃ āgamma vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ กลฺยาณกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ กาลวิปตฺติยํ ฐิตสฺส น วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน กลฺยาณกเมฺมน กาลสมฺปตฺติยํ นิพฺพโตฺต สุราชสุมนุสฺสกาเลฯ ตาทิสาย กาลสมิทฺธิยา นิพฺพตฺตสฺส กลฺยาณกมฺมํ วิปากํ เทติฯ

    Aparassāpi bahūni kalyāṇakammāni honti. Tāni kālavipattiyaṃ ṭhitassa na vipacceyyuṃ. So pana ekena kalyāṇakammena kālasampattiyaṃ nibbatto surājasumanussakāle. Tādisāya kālasamiddhiyā nibbattassa kalyāṇakammaṃ vipākaṃ deti.

    ตตฺริทํ มหาโสณเตฺถรสฺส วตฺถุ กเถตพฺพํ – พฺราหฺมณติสฺสภเย กิร จิตฺตลปพฺพเต ทฺวาทส ภิกฺขุสหสฺสานิํ ปฎิวสนฺติฯ ตถา ติสฺสมหาวิหาเรฯ ทฺวีสุปิ มหาวิหาเรสุ ติณฺณํ วสฺสานํ วฎฺฎํ เอกรตฺตเมว มหามูสิกาโย ขาทิตฺวา ถุสมตฺตเมว ฐเปสุํฯ จิตฺตลปพฺพเต ภิกฺขุสโงฺฆ ‘ติสฺสมหาวิหาเร วฎฺฎํ วตฺติสฺสติ, ตตฺถ คนฺตฺวา วสิสฺสามา’ติ วิหารโต นิกฺขมิฯ ติสฺสมหาวิหาเรปิ ภิกฺขุสโงฺฆ ‘จิตฺตลปพฺพเต วฎฺฎํ วตฺติสฺสติ, ตตฺถ คนฺตฺวา วสิสฺสามา’ติ วิหารโต นิกฺขมิฯ อุภโตปิ เอกิสฺสา คมฺภีรกนฺทราย ตีเร สมาคตา ปุจฺฉิตฺวา วฎฺฎสฺส ขีณภาวํ ญตฺวา ‘ตตฺถ คนฺตฺวา กิํ กริสฺสามา’ติ จตุวีสติ ภิกฺขุสหสฺสานิ คมฺภีรกนฺทรวนํ ปวิสิตฺวา นิสีทิตฺวา นิสินฺนนีหาเรเนว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิํสุฯ ปจฺฉา ภเย วูปสเนฺต ภิกฺขุสโงฺฆ สกฺกํ เทวราชานํ คเหตฺวา ธาตุโย สํหริตฺวา เจติยํ อกาสิฯ

    Tatridaṃ mahāsoṇattherassa vatthu kathetabbaṃ – brāhmaṇatissabhaye kira cittalapabbate dvādasa bhikkhusahassāniṃ paṭivasanti. Tathā tissamahāvihāre. Dvīsupi mahāvihāresu tiṇṇaṃ vassānaṃ vaṭṭaṃ ekarattameva mahāmūsikāyo khāditvā thusamattameva ṭhapesuṃ. Cittalapabbate bhikkhusaṅgho ‘tissamahāvihāre vaṭṭaṃ vattissati, tattha gantvā vasissāmā’ti vihārato nikkhami. Tissamahāvihārepi bhikkhusaṅgho ‘cittalapabbate vaṭṭaṃ vattissati, tattha gantvā vasissāmā’ti vihārato nikkhami. Ubhatopi ekissā gambhīrakandarāya tīre samāgatā pucchitvā vaṭṭassa khīṇabhāvaṃ ñatvā ‘tattha gantvā kiṃ karissāmā’ti catuvīsati bhikkhusahassāni gambhīrakandaravanaṃ pavisitvā nisīditvā nisinnanīhāreneva anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyiṃsu. Pacchā bhaye vūpasante bhikkhusaṅgho sakkaṃ devarājānaṃ gahetvā dhātuyo saṃharitvā cetiyaṃ akāsi.

    พฺราหฺมณติสฺสโจโรปิ ชนปทํ วิทฺธํเสสิฯ สโงฺฆ สนฺนิปติตฺวา มเนฺตตฺวา ‘‘โจรํ ปฎิพาหตู’’ติ สกฺกสนฺติกํ อฎฺฐ เถเร เปเสสิฯ สโกฺก เทวราชา ‘‘มยา, ภเนฺต, อุปฺปโนฺน โจโร น สกฺกา ปฎิพาหิตุํฯ สโงฺฆ ปรสมุทฺทํ คจฺฉตุฯ อหํ สมุทฺทารกฺขํ กริสฺสามี’’ติฯ สโงฺฆ สพฺพทิสาหิ นาคทีปํ คนฺตฺวา ชมฺพุโกลปฎฺฎเน ติภูมิกํ มหาอุฬุมฺปํ พนฺธาเปสิฯ เอกา ภูมิกา อุทเก โอสีทิฯ เอกิสฺสา ภิกฺขุสโงฺฆ นิสิโนฺนฯ เอกิสฺสา ปตฺตจีวรานิ ฐปยิํสุฯ สํยุตฺตภาณกจูฬสีวเตฺถโร, อิสิทตฺตเตฺถโร, มหาโสณเตฺถโรติ ตโย เถรา ตาสํ ปริสานํ ปาโมกฺขาฯ เตสุ เทฺว เถรา มหาโสณเตฺถรํ อาหํสุ – ‘‘อาวุโส มหาโสณ, อภิรุห มหาอุฬุมฺป’’นฺติฯ ‘‘ตุเมฺห ปน, ภเนฺต’’ติ? ‘‘อาวุโส, อุทเก มรณมฺปิ ถเล มรณมฺปิ เอกเมว ฯ น มยํ คมิสฺสามฯ ตํ นิสฺสาย ปน อนาคเต สาสนสฺส ปเวณี ฐสฺสติฯ คจฺฉ ตฺวํ, อาวุโส’’ติฯ ‘‘นาหํ, ภเนฺต, ตุเมฺหสุ อคจฺฉเนฺตสุ คมิสฺสามี’’ติ ยาวตติยํ กเถตฺวาปิ เถรํ อาโรเปตุํ อสโกฺกนฺตา นิวตฺติํสุฯ

    Brāhmaṇatissacoropi janapadaṃ viddhaṃsesi. Saṅgho sannipatitvā mantetvā ‘‘coraṃ paṭibāhatū’’ti sakkasantikaṃ aṭṭha there pesesi. Sakko devarājā ‘‘mayā, bhante, uppanno coro na sakkā paṭibāhituṃ. Saṅgho parasamuddaṃ gacchatu. Ahaṃ samuddārakkhaṃ karissāmī’’ti. Saṅgho sabbadisāhi nāgadīpaṃ gantvā jambukolapaṭṭane tibhūmikaṃ mahāuḷumpaṃ bandhāpesi. Ekā bhūmikā udake osīdi. Ekissā bhikkhusaṅgho nisinno. Ekissā pattacīvarāni ṭhapayiṃsu. Saṃyuttabhāṇakacūḷasīvatthero, isidattatthero, mahāsoṇattheroti tayo therā tāsaṃ parisānaṃ pāmokkhā. Tesu dve therā mahāsoṇattheraṃ āhaṃsu – ‘‘āvuso mahāsoṇa, abhiruha mahāuḷumpa’’nti. ‘‘Tumhe pana, bhante’’ti? ‘‘Āvuso, udake maraṇampi thale maraṇampi ekameva . Na mayaṃ gamissāma. Taṃ nissāya pana anāgate sāsanassa paveṇī ṭhassati. Gaccha tvaṃ, āvuso’’ti. ‘‘Nāhaṃ, bhante, tumhesu agacchantesu gamissāmī’’ti yāvatatiyaṃ kathetvāpi theraṃ āropetuṃ asakkontā nivattiṃsu.

    อถ จูฬสีวเตฺถโร อิสิทตฺตเตฺถรํ อาห – ‘‘อาวุโส อิสิทตฺต, อนาคเต มหาโสณเตฺถรํ นิสฺสาย สาสนปเวณี ฐสฺสติ; มา โข ตํ หตฺถโต วิสฺสเชฺชหี’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห ปน, ภเนฺต’’ติ? ‘‘อหํ มหาเจติยํ วนฺทิสฺสามี’’ติ เทฺว เถเร อนุสาสิตฺวา อนุปุเพฺพน จาริกํ จรโนฺต มหาวิหารํ สมฺปาปุณิฯ ตสฺมิํ สมเย มหาวิหาโร สุโญฺญฯ เจติยงฺคเณ เอรณฺฑา ชาตาฯ เจติยํ คเจฺฉหิ ปริวาริตํ, เสวาเลน ปริโยนทฺธํฯ เถโร ธรมานกพุทฺธสฺส นิปจฺจาการํ ทเสฺสโนฺต วิย มหาเจติยํ วนฺทิตฺวา ปจฺฉิมทิสาย สาลํ ปวิสิตฺวา โอโลเกโนฺต ‘เอวรูปสฺส นาม ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตสฺส สรีรธาตุเจติยฎฺฐานํ อนาถํ ชาต’นฺติ จินฺตยมาโน นิสีทิฯ

    Atha cūḷasīvatthero isidattattheraṃ āha – ‘‘āvuso isidatta, anāgate mahāsoṇattheraṃ nissāya sāsanapaveṇī ṭhassati; mā kho taṃ hatthato vissajjehī’’ti. ‘‘Tumhe pana, bhante’’ti? ‘‘Ahaṃ mahācetiyaṃ vandissāmī’’ti dve there anusāsitvā anupubbena cārikaṃ caranto mahāvihāraṃ sampāpuṇi. Tasmiṃ samaye mahāvihāro suñño. Cetiyaṅgaṇe eraṇḍā jātā. Cetiyaṃ gacchehi parivāritaṃ, sevālena pariyonaddhaṃ. Thero dharamānakabuddhassa nipaccākāraṃ dassento viya mahācetiyaṃ vanditvā pacchimadisāya sālaṃ pavisitvā olokento ‘evarūpassa nāma lābhaggayasaggappattassa sarīradhātucetiyaṭṭhānaṃ anāthaṃ jāta’nti cintayamāno nisīdi.

    อถ อวิทูเร รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา อทฺธิกมนุสฺสรูเปน ตณฺฑุลนาฬิญฺจ คุฬปิณฺฑญฺจ อาทาย เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กตฺถ คจฺฉถ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘อหํ ทกฺขิณทิสํ, อุปาสกา’’ติฯ ‘‘อหมฺปิ ตเตฺถว คนฺตุกาโม, สห คจฺฉาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อหํ ทุพฺพโล; ตว คติยา คนฺตุํ น สกฺขิสฺสามิ; ตฺวํ ปุรโต คจฺฉ, อุปาสกา’’ติฯ ‘‘อหมฺปิ ตุมฺหากํ คติยา คมิสฺสามี’’ติ เถรสฺส ปตฺตจีวรํ อคฺคเหสิฯ ติสฺสวาปิปาฬิํ อารุฬฺหกาเล จ ปตฺตํ อาหราเปตฺวา ปานกํ กตฺวา อทาสิฯ เถรสฺส ปีตมเตฺตเยว พลมตฺตา สณฺฐาติฯ เทวตา ปถวิํ สงฺขิปิตฺวา เวณุนทีสนฺติเก เอกํ ฉฑฺฑิตวิหารํ ปตฺวา เถรสฺส วสนฎฺฐานํ ปฎิชคฺคิตฺวา อทาสิฯ

    Atha avidūre rukkhe adhivatthā devatā addhikamanussarūpena taṇḍulanāḷiñca guḷapiṇḍañca ādāya therassa santikaṃ gantvā ‘‘kattha gacchatha, bhante’’ti? ‘‘Ahaṃ dakkhiṇadisaṃ, upāsakā’’ti. ‘‘Ahampi tattheva gantukāmo, saha gacchāma, bhante’’ti. ‘‘Ahaṃ dubbalo; tava gatiyā gantuṃ na sakkhissāmi; tvaṃ purato gaccha, upāsakā’’ti. ‘‘Ahampi tumhākaṃ gatiyā gamissāmī’’ti therassa pattacīvaraṃ aggahesi. Tissavāpipāḷiṃ āruḷhakāle ca pattaṃ āharāpetvā pānakaṃ katvā adāsi. Therassa pītamatteyeva balamattā saṇṭhāti. Devatā pathaviṃ saṅkhipitvā veṇunadīsantike ekaṃ chaḍḍitavihāraṃ patvā therassa vasanaṭṭhānaṃ paṭijaggitvā adāsi.

    ปุนทิวเส เถเรน มุเข โธวิตมเตฺต ยาคุํ ปจิตฺวา อทาสิ; ยาคุํ ปีตสฺส ภตฺตํ ปจิตฺวา อุปนาเมสิฯ เถโร ‘‘ตุยฺหํ ฐเปหิ, อุปาสกา’’ติ ปตฺตํ หเตฺถน ปิทหิฯ ‘‘อหํ น ทูรํ คมิสฺสามี’’ติ เทวตา เถรเสฺสว ปเตฺต ภตฺตํ ปกฺขิปิตฺวา กตภตฺตกิจฺจสฺส เถรสฺส ปตฺตจีวรมาทาย มคฺคํ ปฎิปนฺนา ปถวิํ สงฺขิปิตฺวา ชชฺชรนทีสนฺติกํ เนตฺวา ‘‘ภเนฺต, เอตํ ปณฺณขาทกมนุสฺสานํ วสนฎฺฐานํ, ธูโม ปญฺญายติฯ อหํ ปุรโต คมิสฺสามี’’ติ เถรํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน ภวนํ อคมาสิฯ เถโร สพฺพมฺปิ ภยกาลํ ปณฺณขาทกมนุเสฺส นิสฺสาย วสิฯ

    Punadivase therena mukhe dhovitamatte yāguṃ pacitvā adāsi; yāguṃ pītassa bhattaṃ pacitvā upanāmesi. Thero ‘‘tuyhaṃ ṭhapehi, upāsakā’’ti pattaṃ hatthena pidahi. ‘‘Ahaṃ na dūraṃ gamissāmī’’ti devatā therasseva patte bhattaṃ pakkhipitvā katabhattakiccassa therassa pattacīvaramādāya maggaṃ paṭipannā pathaviṃ saṅkhipitvā jajjaranadīsantikaṃ netvā ‘‘bhante, etaṃ paṇṇakhādakamanussānaṃ vasanaṭṭhānaṃ, dhūmo paññāyati. Ahaṃ purato gamissāmī’’ti theraṃ vanditvā attano bhavanaṃ agamāsi. Thero sabbampi bhayakālaṃ paṇṇakhādakamanusse nissāya vasi.

    อิสิทตฺตเตฺถโรปิ อนุปุเพฺพน จาริกํ จรโนฺต อฬชนปทํ สมฺปาปุณิฯ ตตฺถ มนุสฺสา นาติปกฺกานิ มธุกผลานิ ภินฺทิตฺวา อฎฺฐิํ อาทาย ตจํ ฉเฑฺฑตฺวา อคมํสุฯ เถโร ‘‘อาวุโส มหาโสณ, ภิกฺขาหาโร ปญฺญายตี’’ติ วตฺวา ปตฺตจีวรํ อาหราเปตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ นีหริตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตรุณทารกา เถรํ ฐิตํ ทิสฺวา ‘อิมินา โกจิ อโตฺถ ภวิสฺสตี’ติ วาลุกํ ปุญฺฉิตฺวา มธุกผลตฺตจํ ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา อทํสุ; เถรา ปริภุญฺชิํสุฯ สตฺตาหมตฺตํ โสเยว อาหาโร อโหสิฯ

    Isidattattheropi anupubbena cārikaṃ caranto aḷajanapadaṃ sampāpuṇi. Tattha manussā nātipakkāni madhukaphalāni bhinditvā aṭṭhiṃ ādāya tacaṃ chaḍḍetvā agamaṃsu. Thero ‘‘āvuso mahāsoṇa, bhikkhāhāro paññāyatī’’ti vatvā pattacīvaraṃ āharāpetvā cīvaraṃ pārupitvā pattaṃ nīharitvā aṭṭhāsi. Taruṇadārakā theraṃ ṭhitaṃ disvā ‘iminā koci attho bhavissatī’ti vālukaṃ puñchitvā madhukaphalattacaṃ patte pakkhipitvā adaṃsu; therā paribhuñjiṃsu. Sattāhamattaṃ soyeva āhāro ahosi.

    อนุปุเพฺพน โจริยสฺสรํ สมฺปาปุณิํสุฯ มนุสฺสา กุมุทานิ คเหตฺวา กุมุทนาเล ฉเฑฺฑตฺวา อคมํสุฯ เถโร ‘‘อาวุโส มหาโสณ, ภิกฺขาหาโร ปญฺญายตี’’ติ วตฺวา ปตฺตจีวรํ อาหราเปตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ นีหริตฺวา อฎฺฐาสิฯ คามทารกา กุมุทนาเล โสเธตฺวา ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา อทํสุ; เถรา ปริภุญฺชิํสุฯ สตฺตาหมตฺตํ โสว อาหาโร อโหสิฯ

    Anupubbena coriyassaraṃ sampāpuṇiṃsu. Manussā kumudāni gahetvā kumudanāle chaḍḍetvā agamaṃsu. Thero ‘‘āvuso mahāsoṇa, bhikkhāhāro paññāyatī’’ti vatvā pattacīvaraṃ āharāpetvā cīvaraṃ pārupitvā pattaṃ nīharitvā aṭṭhāsi. Gāmadārakā kumudanāle sodhetvā patte pakkhipitvā adaṃsu; therā paribhuñjiṃsu. Sattāhamattaṃ sova āhāro ahosi.

    อนุปุเพฺพน จรนฺตา ปณฺณขาทกมนุสฺสานํ วสนฎฺฐาเน เอกํ คามทฺวารํ สมฺปาปุณิํสุฯ ตตฺถ เอกิสฺสา ทาริกาย มาตาปิตโร อรญฺญํ คจฺฉนฺตา ‘‘สเจ โกจิ อโยฺย อาคจฺฉติ, กตฺถจิ คนฺตุํ มา อทาสิ; อยฺยสฺส วสนฎฺฐานํ อาจิเกฺขยฺยาสิ, อมฺมา’’ติ อาหํสุฯ สา เถเร ทิสฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา นิสีทาเปสิฯ เคเห ธญฺญชาติ นาม นตฺถิฯ วาสิํ ปน คเหตฺวา คุญฺชโจจรุกฺขตฺตจํ คุญฺชลตาปเตฺตหิ สทฺธิํ เอกโต โกเฎฺฎตฺวา ตโย ปิเณฺฑ กตฺวา เอกํ อิสิทตฺตเตฺถรสฺส เอกํ มหาโสณเตฺถรสฺส ปเตฺต ฐเปตฺวา ‘อติเรกปิณฺฑํ อิสิทตฺตเตฺถรสฺส ปเตฺต ฐเปสฺสามี’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ หโตฺถ ปริวตฺติตฺวา มหาโสณเตฺถรสฺส ปเตฺต ปติฎฺฐาเปสิฯ อิสิทตฺตเตฺถโร ‘พฺราหฺมณติสฺสภเย คุญฺชโจจปิเณฺฑ วิปากทายกกมฺมํ เทสกาลสมฺปทาย กีวปมาณํ วิปากํ ทสฺสตี’ติ อาหฯ เต ตํ ปริภุญฺชิตฺวา วสนฎฺฐานํ อคมํสุฯ สาปิ อรญฺญโต อาคตานํ มาตาปิตูนํ อาจิกฺขิ ‘‘เทฺว เถรา อาคตาฯ เตสํ เม วสนฎฺฐานํ อาจิกฺขิต’’นฺติฯ เต อุโภปิ เถรานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ยํ มยํ ลภาม, เตน ตุเมฺห ปฎิชคฺคิสฺสาม; อิเธว วสถา’’ติ ปฎิญฺญํ คณฺหิํสุฯ เถราปิ สพฺพภยกาลํ เต อุปนิสฺสาย วสิํสุฯ

    Anupubbena carantā paṇṇakhādakamanussānaṃ vasanaṭṭhāne ekaṃ gāmadvāraṃ sampāpuṇiṃsu. Tattha ekissā dārikāya mātāpitaro araññaṃ gacchantā ‘‘sace koci ayyo āgacchati, katthaci gantuṃ mā adāsi; ayyassa vasanaṭṭhānaṃ ācikkheyyāsi, ammā’’ti āhaṃsu. Sā there disvā pattaṃ gahetvā nisīdāpesi. Gehe dhaññajāti nāma natthi. Vāsiṃ pana gahetvā guñjacocarukkhattacaṃ guñjalatāpattehi saddhiṃ ekato koṭṭetvā tayo piṇḍe katvā ekaṃ isidattattherassa ekaṃ mahāsoṇattherassa patte ṭhapetvā ‘atirekapiṇḍaṃ isidattattherassa patte ṭhapessāmī’ti hatthaṃ pasāresi. Hattho parivattitvā mahāsoṇattherassa patte patiṭṭhāpesi. Isidattatthero ‘brāhmaṇatissabhaye guñjacocapiṇḍe vipākadāyakakammaṃ desakālasampadāya kīvapamāṇaṃ vipākaṃ dassatī’ti āha. Te taṃ paribhuñjitvā vasanaṭṭhānaṃ agamaṃsu. Sāpi araññato āgatānaṃ mātāpitūnaṃ ācikkhi ‘‘dve therā āgatā. Tesaṃ me vasanaṭṭhānaṃ ācikkhita’’nti. Te ubhopi therānaṃ santikaṃ gantvā vanditvā ‘‘bhante, yaṃ mayaṃ labhāma, tena tumhe paṭijaggissāma; idheva vasathā’’ti paṭiññaṃ gaṇhiṃsu. Therāpi sabbabhayakālaṃ te upanissāya vasiṃsu.

    พฺราหฺมณติสฺสโจเร มเต ปิตุมหาราชา ฉตฺตํ อุสฺสาเปสิฯ ‘ภยํ วูปสนฺตํ, ชนปโท สมฺปุโณฺณ’ติ สุตฺวา ปรสมุทฺทโต ภิกฺขุสโงฺฆ นาวาย มหาติตฺถปฎฺฎเน โอรุยฺห ‘มหาโสณเตฺถโร กหํ วสตี’ติ ปุจฺฉิตฺวา เถรสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ เถโร ปญฺจสตภิกฺขุปริวาโร กาลกคาเม มณฺฑลารามวิหารํ สมฺปาปุณิฯ ตสฺมิํ สมเย กาลกคาเม สตฺตมตฺตานิ กุลสตานิ ปฎิวสนฺติฯ รตฺติภาเค เทวตา อาหิณฺฑิตฺวา ‘‘มหาโสณเตฺถโร ปญฺจภิกฺขุสตปริวาโร มณฺฑลารามวิหารํ ปโตฺตฯ เอเกโก นวหตฺถสาฎเกน สทฺธิํ เอเกกกหาปณคฺฆนกํ ปิณฺฑปาตํ เทตู’’ติ มนุเสฺส อโวจุํฯ ปุนทิวเส จ เถรา กาลกคามํ ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ มนุสฺสา นิสีทาเปตฺวา ยาคุํ อทํสุฯ มณฺฑลารามวาสี ติสฺสภูติเตฺถโร สงฺฆเตฺถโร หุตฺวา นิสีทิฯ เอโก มหาอุปาสโก ตํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มหาโสณเตฺถโร นาม กตโร’’ติ ปุจฺฉิฯ เตน สมเยน เถโร นวโก โหติ ปริยเนฺต นิสิโนฺนฯ เถโร หตฺถํ ปสาเรตฺวา ‘‘มหาโสโณ นาม เอส, อุปาสกา’’ติ อาหฯ อุปาสโก ตํ วนฺทิตฺวา ปตฺตํ คณฺหาติฯ เถโร น เทติฯ ติสฺสภูติเตฺถโร ‘‘อาวุโส โสณ, ยถา ตฺวํ น ชานาสิ, มยมฺปิ เอวเมว น ชานาม; ปุญฺญวนฺตานํ เทวตา ปริปาเจนฺติ; ปตฺตํ เทหิ, สพฺรหฺมจารีนํ สงฺคหํ กโรหี’’ติ อาหฯ เถโร ปตฺตํ อทาสิฯ มหาอุปาสโก ปตฺตํ อาทาย คนฺตฺวา กหาปณคฺฆนกสฺส ปิณฺฑปาตสฺส ปูเรตฺวา นวหตฺถสาฎกํ อาธารกํ กตฺวา อาหริตฺวา เถรสฺส หเตฺถ ฐเปสิ; อปโรปิ อุปาสโก เถรสฺสาติ สตฺต สาฎกสตานิ สตฺต จ ปิณฺฑปาตสตานิ เถรเสฺสว อทํสุฯ

    Brāhmaṇatissacore mate pitumahārājā chattaṃ ussāpesi. ‘Bhayaṃ vūpasantaṃ, janapado sampuṇṇo’ti sutvā parasamuddato bhikkhusaṅgho nāvāya mahātitthapaṭṭane oruyha ‘mahāsoṇatthero kahaṃ vasatī’ti pucchitvā therassa santikaṃ agamāsi. Thero pañcasatabhikkhuparivāro kālakagāme maṇḍalārāmavihāraṃ sampāpuṇi. Tasmiṃ samaye kālakagāme sattamattāni kulasatāni paṭivasanti. Rattibhāge devatā āhiṇḍitvā ‘‘mahāsoṇatthero pañcabhikkhusataparivāro maṇḍalārāmavihāraṃ patto. Ekeko navahatthasāṭakena saddhiṃ ekekakahāpaṇagghanakaṃ piṇḍapātaṃ detū’’ti manusse avocuṃ. Punadivase ca therā kālakagāmaṃ piṇḍāya pavisiṃsu. Manussā nisīdāpetvā yāguṃ adaṃsu. Maṇḍalārāmavāsī tissabhūtitthero saṅghatthero hutvā nisīdi. Eko mahāupāsako taṃ vanditvā ‘‘bhante, mahāsoṇatthero nāma kataro’’ti pucchi. Tena samayena thero navako hoti pariyante nisinno. Thero hatthaṃ pasāretvā ‘‘mahāsoṇo nāma esa, upāsakā’’ti āha. Upāsako taṃ vanditvā pattaṃ gaṇhāti. Thero na deti. Tissabhūtitthero ‘‘āvuso soṇa, yathā tvaṃ na jānāsi, mayampi evameva na jānāma; puññavantānaṃ devatā paripācenti; pattaṃ dehi, sabrahmacārīnaṃ saṅgahaṃ karohī’’ti āha. Thero pattaṃ adāsi. Mahāupāsako pattaṃ ādāya gantvā kahāpaṇagghanakassa piṇḍapātassa pūretvā navahatthasāṭakaṃ ādhārakaṃ katvā āharitvā therassa hatthe ṭhapesi; aparopi upāsako therassāti satta sāṭakasatāni satta ca piṇḍapātasatāni therasseva adaṃsu.

    เถโร ภิกฺขุสงฺฆสฺส สํวิภาคํ กตฺวา อนุปุเพฺพน มหาวิหารํ ปาปุณิตฺวา มุขํ โธวิตฺวา มหาโพธิํ วนฺทิตฺวา มหาเจติยํ วนฺทิตฺวา ถูปาราเม ฐิโต จีวรํ ปารุปิตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร ทกฺขิณทฺวาเรน นครํ ปวิสิตฺวา ทฺวารโต ยาว วฬญฺชนกสาลา เอตสฺมิํ อนฺตเร สฎฺฐิกหาปณคฺฆนกํ ปิณฺฑปาตํ ลภิฯ ตโต ปฎฺฐาย ปน สกฺการสฺส ปมาณํ นตฺถิฯ เอวํ กาลวิปตฺติยํ มธุกผลตฺตโจปิ กุมุทนาฬิปิ ทุลฺลภา ชาตาฯ กาลสมฺปตฺติยํ เอวรูโป มหาลาโภ อุทปาทิฯ

    Thero bhikkhusaṅghassa saṃvibhāgaṃ katvā anupubbena mahāvihāraṃ pāpuṇitvā mukhaṃ dhovitvā mahābodhiṃ vanditvā mahācetiyaṃ vanditvā thūpārāme ṭhito cīvaraṃ pārupitvā bhikkhusaṅghaparivāro dakkhiṇadvārena nagaraṃ pavisitvā dvārato yāva vaḷañjanakasālā etasmiṃ antare saṭṭhikahāpaṇagghanakaṃ piṇḍapātaṃ labhi. Tato paṭṭhāya pana sakkārassa pamāṇaṃ natthi. Evaṃ kālavipattiyaṃ madhukaphalattacopi kumudanāḷipi dullabhā jātā. Kālasampattiyaṃ evarūpo mahālābho udapādi.

    วตฺตพฺพกนิโคฺรธเตฺถรสฺสาปิ สามเณรกาเล พฺราหฺมณติสฺสภยํ อุทปาทิฯ สามเณโร จ อุปชฺฌาโย จสฺส ปรสมุทฺทํ นาคมิํสุ; ‘ปณฺณขาทกมนุเสฺส อุปนิสฺสาย วสิสฺสามา’ติ ปจฺจนฺตาภิมุขา อเหสุํฯ สามเณโร สตฺตาหมตฺตํ อนาหาโร หุตฺวา เอกสฺมิํ คามฎฺฐาเน ตาลรุเกฺข ตาลปกฺกํ ทิสฺวา อุปชฺฌายํ อาห – ‘‘ภเนฺต, โถกํ อาคเมถ; ตาลปกฺกํ ปาเตสฺสามี’’ติฯ ‘‘ทุพฺพโลสิ ตฺวํ, สามเณร, มา อภิรุหี’’ติฯ ‘‘อภิรุหิสฺสามิ, ภเนฺต’’ติ ขุทฺทกวาสิํ คเหตฺวา ตาลํ อารุยฺห ตาลปิณฺฑํ ฉินฺทิตุํ อารภิฯ วาสิผลํ นิกฺขมิตฺวา ภูมิยํ ปติฯ

    Vattabbakanigrodhattherassāpi sāmaṇerakāle brāhmaṇatissabhayaṃ udapādi. Sāmaṇero ca upajjhāyo cassa parasamuddaṃ nāgamiṃsu; ‘paṇṇakhādakamanusse upanissāya vasissāmā’ti paccantābhimukhā ahesuṃ. Sāmaṇero sattāhamattaṃ anāhāro hutvā ekasmiṃ gāmaṭṭhāne tālarukkhe tālapakkaṃ disvā upajjhāyaṃ āha – ‘‘bhante, thokaṃ āgametha; tālapakkaṃ pātessāmī’’ti. ‘‘Dubbalosi tvaṃ, sāmaṇera, mā abhiruhī’’ti. ‘‘Abhiruhissāmi, bhante’’ti khuddakavāsiṃ gahetvā tālaṃ āruyha tālapiṇḍaṃ chindituṃ ārabhi. Vāsiphalaṃ nikkhamitvā bhūmiyaṃ pati.

    เถโร จิเนฺตสิ ‘‘อยํ กิลโนฺตว รุกฺขํ อารุโฬฺห; กิํ นุ โข อิทานิ กริสฺสตี’’ติ สามเณโร ตาลปณฺณํ ผาเลตฺวา ผาเลตฺวา วาสิทณฺฑเก พนฺธิตฺวา ฆเฎฺฎโนฺต ฆเฎฺฎโนฺต ภูมิยํ ปาเตตฺวา ‘‘ภเนฺต, สาธุ วตสฺส สเจ วาสิผลํ เอตฺถ ปเวเสยฺยาถา’’ติ อาหฯ เถโร ‘อุปายสมฺปโนฺน สามเณโร’ติ วาสิผลํ ปเวเสตฺวา อทาสิฯ โส วาสิํ อุกฺขิปิตฺวา ตาลผลานิ ปาเตสิฯ เถโร วาสิํ ปาตาเปตฺวา ปวฎฺฎิตฺวา คตํ ตาลผลํ ภินฺทิตฺวา สามเณรํ โอติณฺณกาเล อาห ‘‘สามเณร, ตฺวํ ทุพฺพโล, อิทํ ตาว ขาทาหี’’ติฯ ‘‘นาหํ, ภเนฺต, ตุเมฺหหิ อขาทิเต ขาทิสฺสามี’’ติ วาสิํ คเหตฺวา ตาลผลานิ ภินฺทิตฺวา ปตฺตํ นีหริตฺวา ตาลมิญฺชํ ปกฺขิปิตฺวา เถรสฺส ทตฺวา สยํ ขาทิฯ ยาว ตาลผลานิ อเหสุํ, ตาว ตเตฺถว วสิตฺวา ผเลสุ ขีเณสุ อนุปุเพฺพน ปณฺณขาทกมนุสฺสานํ วสนฎฺฐาเน เอกํ ฉฑฺฑิตวิหารํ ปวิสิํสุฯ สามเณโร เถรสฺส วสนฎฺฐานํ ปฎิชคฺคิฯ เถโร สามเณรสฺส โอวาทํ ทตฺวา วิหารํ ปาวิสิฯ สามเณโร ‘อนายตเน นฎฺฐานํ อตฺตภาวานํ ปมาณํ นตฺถิ, พุทฺธานํ อุปฎฺฐานํ กริสฺสามี’ติ เจติยงฺคณํ คนฺตฺวา อปฺปหริตํ กโรติ; สตฺตาหมตฺตํ นิราหารตาย ปเวธมาโน ปติตฺวา นิปนฺนโกว ติณานิ อุทฺธรติฯ เอกเจฺจ จ มนุสฺสา อรเญฺญ จรนฺตา มธุํ ลภิตฺวา ทารูนิ เจว สากปณฺณญฺจ คเหตฺวา ติณจลนสญฺญาย ‘มิโค นุ โข เอโส’ติ สามเณรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ กโรสิ, สามเณรา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘ติณคณฺฐิํ คณฺหามิ, อุปาสกา’’ติฯ ‘‘อโญฺญปิ โกจิ อตฺถิ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘อาม, อุปาสกา, อุปชฺฌาโย เม อโนฺตคเพฺภ’’ติฯ ‘‘มหาเถรสฺส ทตฺวา ขาเทยฺยาสิ, ภเนฺต’’ติ สามเณรสฺส มธุํ ทตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘มยํ สาขาภงฺคํ กโรนฺตา คมิสฺสามฯ เอตาย สญฺญาย เถรํ คเหตฺวา อาคเจฺฉยฺยาสิ, อยฺยา’’ติ วตฺวา อคมํสุฯ

    Thero cintesi ‘‘ayaṃ kilantova rukkhaṃ āruḷho; kiṃ nu kho idāni karissatī’’ti sāmaṇero tālapaṇṇaṃ phāletvā phāletvā vāsidaṇḍake bandhitvā ghaṭṭento ghaṭṭento bhūmiyaṃ pātetvā ‘‘bhante, sādhu vatassa sace vāsiphalaṃ ettha paveseyyāthā’’ti āha. Thero ‘upāyasampanno sāmaṇero’ti vāsiphalaṃ pavesetvā adāsi. So vāsiṃ ukkhipitvā tālaphalāni pātesi. Thero vāsiṃ pātāpetvā pavaṭṭitvā gataṃ tālaphalaṃ bhinditvā sāmaṇeraṃ otiṇṇakāle āha ‘‘sāmaṇera, tvaṃ dubbalo, idaṃ tāva khādāhī’’ti. ‘‘Nāhaṃ, bhante, tumhehi akhādite khādissāmī’’ti vāsiṃ gahetvā tālaphalāni bhinditvā pattaṃ nīharitvā tālamiñjaṃ pakkhipitvā therassa datvā sayaṃ khādi. Yāva tālaphalāni ahesuṃ, tāva tattheva vasitvā phalesu khīṇesu anupubbena paṇṇakhādakamanussānaṃ vasanaṭṭhāne ekaṃ chaḍḍitavihāraṃ pavisiṃsu. Sāmaṇero therassa vasanaṭṭhānaṃ paṭijaggi. Thero sāmaṇerassa ovādaṃ datvā vihāraṃ pāvisi. Sāmaṇero ‘anāyatane naṭṭhānaṃ attabhāvānaṃ pamāṇaṃ natthi, buddhānaṃ upaṭṭhānaṃ karissāmī’ti cetiyaṅgaṇaṃ gantvā appaharitaṃ karoti; sattāhamattaṃ nirāhāratāya pavedhamāno patitvā nipannakova tiṇāni uddharati. Ekacce ca manussā araññe carantā madhuṃ labhitvā dārūni ceva sākapaṇṇañca gahetvā tiṇacalanasaññāya ‘migo nu kho eso’ti sāmaṇerassa santikaṃ gantvā ‘‘kiṃ karosi, sāmaṇerā’’ti āhaṃsu. ‘‘Tiṇagaṇṭhiṃ gaṇhāmi, upāsakā’’ti. ‘‘Aññopi koci atthi, bhante’’ti? ‘‘Āma, upāsakā, upajjhāyo me antogabbhe’’ti. ‘‘Mahātherassa datvā khādeyyāsi, bhante’’ti sāmaṇerassa madhuṃ datvā attano vasanaṭṭhānaṃ ācikkhitvā ‘‘mayaṃ sākhābhaṅgaṃ karontā gamissāma. Etāya saññāya theraṃ gahetvā āgaccheyyāsi, ayyā’’ti vatvā agamaṃsu.

    สามเณโร มธุํ คเหตฺวา เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา พหิ ฐตฺวา ‘‘วนฺทามิ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ เถโร ‘สามเณโร ชิฆจฺฉาย อนุฑยฺหมาโน อาคโต ภวิสฺสตี’ติ ตุณฺหี อโหสิฯ โส ปุนปิ ‘‘วนฺทามิ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ‘‘กสฺมา, สามเณร, ทุพฺพลภิกฺขูนํ สุเขน นิปชฺชิตุํ น เทสี’’ติ? ‘‘ทฺวารํ วิวริตุํ สารุปฺปํ, ภเนฺต’’ติ? เถโร อุฎฺฐหิตฺวา ทฺวารํ วิวริตฺวา ‘‘กิํ เต, สามเณร, ลทฺธํ’’ติ อาหฯ มนุเสฺสหิ มธุ ทินฺนํ, ขาทิตุํ สารุปฺปํ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘สามเณร, เอวเมว ขาทิตุํ กิลมิสฺสาม, ปานกํ กตฺวา ปิวิสฺสามา’’ติฯ สามเณโร ปานกํ กตฺวา อทาสิฯ อถ นํ เถโร ‘‘มนุสฺสานํ วสนฎฺฐานํ ปุจฺฉสิ, สามเณรา’’ติ อาหฯ สยเมว อาจิกฺขิํสุ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘สามเณร, ปาโตว คจฺฉนฺตา กิลมิสฺสาม; อเชฺชว คมิสฺสามา’’ติ ปตฺตจีวรํ คณฺหาเปตฺวา นิกฺขมิฯ เต คนฺตฺวา มนุสฺสานํ วสนฎฺฐานสฺส อวิทูเร นิปชฺชิํสุฯ

    Sāmaṇero madhuṃ gahetvā therassa santikaṃ gantvā bahi ṭhatvā ‘‘vandāmi, bhante’’ti āha. Thero ‘sāmaṇero jighacchāya anuḍayhamāno āgato bhavissatī’ti tuṇhī ahosi. So punapi ‘‘vandāmi, bhante’’ti āha. ‘‘Kasmā, sāmaṇera, dubbalabhikkhūnaṃ sukhena nipajjituṃ na desī’’ti? ‘‘Dvāraṃ vivarituṃ sāruppaṃ, bhante’’ti? Thero uṭṭhahitvā dvāraṃ vivaritvā ‘‘kiṃ te, sāmaṇera, laddhaṃ’’ti āha. Manussehi madhu dinnaṃ, khādituṃ sāruppaṃ, bhante’’ti? ‘‘Sāmaṇera, evameva khādituṃ kilamissāma, pānakaṃ katvā pivissāmā’’ti. Sāmaṇero pānakaṃ katvā adāsi. Atha naṃ thero ‘‘manussānaṃ vasanaṭṭhānaṃ pucchasi, sāmaṇerā’’ti āha. Sayameva ācikkhiṃsu, bhante’’ti. ‘‘Sāmaṇera, pātova gacchantā kilamissāma; ajjeva gamissāmā’’ti pattacīvaraṃ gaṇhāpetvā nikkhami. Te gantvā manussānaṃ vasanaṭṭhānassa avidūre nipajjiṃsu.

    สามเณโร รตฺติภาเค จิเนฺตสิ – ‘มยา ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย คามเนฺต อรุณํ นาม น อุฎฺฐาปิตปุพฺพ’นฺติฯ โส ปตฺตํ คเหตฺวา อรุณํ อุฎฺฐาเปตุํ อรญฺญํ อคมาสิฯ มหาเถโร สามเณรํ นิปนฺนฎฺฐาเน อปสฺสโนฺต ‘มนุสฺสขาทเกหิ คหิโต ภวิสฺสตี’ติ จิเนฺตสิฯ สามเณโร อรเญฺญ อรุณํ อุฎฺฐาเปตฺวา ปเตฺตน อุทกญฺจ ทนฺตกฎฺฐญฺจ คเหตฺวา อาคมิฯ ‘‘สามเณร, กุหิํ คโตสิ? มหลฺลกภิกฺขูนํ เต วิตโกฺก อุปฺปาทิโต; ทณฺฑกมฺมํ อาหรา’’ติฯ ‘‘อาหริสฺสามิ, ภเนฺต’’ติฯ เถโร มุขํ โธวิตฺวา จีวรํ ปารุปิฯ อุโภปิ มนุสฺสานํ วสนฎฺฐานํ อคมํสุฯ มนุสฺสาปิ อตฺตโน ปริโภคํ กนฺทมูลผลปณฺณํ อทํสุฯ เถโรปิ ปริภุญฺชิตฺวา วิหารํ อคมาสิฯ สามเณโร อุทกํ อาหริตฺวา ‘‘ปาเท โธวามิ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ‘‘สามเณร, ตฺวํ รตฺติํ กุหิํ คโต? อมฺหากํ วิตกฺกํ อุปฺปาเทสี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, คามเนฺต เม อรุณํ น อุฎฺฐาปิตปุพฺพํ; อรุณุฎฺฐาปนตฺถาย อรญฺญํ อคมาสิ’’นฺติฯ ‘‘สามเณร, น ตุยฺหํ ทณฺฑกมฺมํ อนุจฺฉวิกํ อมฺหากเมว อนุจฺฉวิก’’นฺติ วตฺวา เถโร ตสฺมิํเยว ฐาเน วสิ; สามเณรสฺส จ สญฺญํ อทาสิ ‘‘มยํ ตาว มหลฺลกา; ‘อิทํ นาม ภวิสฺสตี’ติ น สกฺกา ชานิตุํฯ ตุวํ อตฺตานํ รเกฺขยฺยาสี’’ติฯ เถโร กิร อนาคามีฯ ตํ อปรภาเค มนุสฺสขาทกา ขาทิํสุฯ สามเณโร อตฺตานํ รกฺขิตฺวา ภเย วูปสเนฺต ตถารูเป ฐาเน อุปชฺฌํ คาหาเปตฺวา อุปสมฺปโนฺน พุทฺธวจนํ อุคฺคเหตฺวา ติปิฎกธโร หุตฺวา วตฺตพฺพกนิโคฺรธเตฺถโร นาม ชาโตฯ

    Sāmaṇero rattibhāge cintesi – ‘mayā pabbajitakālato paṭṭhāya gāmante aruṇaṃ nāma na uṭṭhāpitapubba’nti. So pattaṃ gahetvā aruṇaṃ uṭṭhāpetuṃ araññaṃ agamāsi. Mahāthero sāmaṇeraṃ nipannaṭṭhāne apassanto ‘manussakhādakehi gahito bhavissatī’ti cintesi. Sāmaṇero araññe aruṇaṃ uṭṭhāpetvā pattena udakañca dantakaṭṭhañca gahetvā āgami. ‘‘Sāmaṇera, kuhiṃ gatosi? Mahallakabhikkhūnaṃ te vitakko uppādito; daṇḍakammaṃ āharā’’ti. ‘‘Āharissāmi, bhante’’ti. Thero mukhaṃ dhovitvā cīvaraṃ pārupi. Ubhopi manussānaṃ vasanaṭṭhānaṃ agamaṃsu. Manussāpi attano paribhogaṃ kandamūlaphalapaṇṇaṃ adaṃsu. Theropi paribhuñjitvā vihāraṃ agamāsi. Sāmaṇero udakaṃ āharitvā ‘‘pāde dhovāmi, bhante’’ti āha. ‘‘Sāmaṇera, tvaṃ rattiṃ kuhiṃ gato? Amhākaṃ vitakkaṃ uppādesī’’ti. ‘‘Bhante, gāmante me aruṇaṃ na uṭṭhāpitapubbaṃ; aruṇuṭṭhāpanatthāya araññaṃ agamāsi’’nti. ‘‘Sāmaṇera, na tuyhaṃ daṇḍakammaṃ anucchavikaṃ amhākameva anucchavika’’nti vatvā thero tasmiṃyeva ṭhāne vasi; sāmaṇerassa ca saññaṃ adāsi ‘‘mayaṃ tāva mahallakā; ‘idaṃ nāma bhavissatī’ti na sakkā jānituṃ. Tuvaṃ attānaṃ rakkheyyāsī’’ti. Thero kira anāgāmī. Taṃ aparabhāge manussakhādakā khādiṃsu. Sāmaṇero attānaṃ rakkhitvā bhaye vūpasante tathārūpe ṭhāne upajjhaṃ gāhāpetvā upasampanno buddhavacanaṃ uggahetvā tipiṭakadharo hutvā vattabbakanigrodhatthero nāma jāto.

    ปิตุมหาราชา รชฺชํ ปฎิปชฺชิฯ ปรสมุทฺทา อาคตาคตา ภิกฺขู ‘‘กหํ วตฺตพฺพกนิโคฺรธเตฺถโร, กหํ วตฺตพฺพกนิโคฺรธเตฺถโร’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตสฺส สนฺติกํ อคมํสุฯ มหาภิกฺขุสโงฺฆ เถรํ ปริวาเรสิฯ โส มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อนุปุเพฺพน มหาวิหารํ ปตฺวา มหาโพธิํ มหาเจติยํ ถูปารามญฺจ วนฺทิตฺวา นครํ ปายาสิฯ ยาว ทกฺขิณทฺวารา คจฺฉนฺตเสฺสว นวสุ ฐาเนสุ ติจีวรํ อุปปชฺชิ; อโนฺตนครํ ปวิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย มหาสกฺกาโร อุปฺปชฺชิฯ อิติ กาลวิปตฺติยํ ตาลผลกนฺทมูลปณฺณมฺปิ ทุลฺลภํ ชาตํฯ กาลสมฺปตฺติยํ เอวรูโป มหาลาโภ อุปฺปโนฺนติฯ เอวํ กาลวิปตฺติปฎิพาหิตตฺตา วิปากํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตานิ กาลสมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ

    Pitumahārājā rajjaṃ paṭipajji. Parasamuddā āgatāgatā bhikkhū ‘‘kahaṃ vattabbakanigrodhatthero, kahaṃ vattabbakanigrodhatthero’’ti pucchitvā tassa santikaṃ agamaṃsu. Mahābhikkhusaṅgho theraṃ parivāresi. So mahābhikkhusaṅghaparivuto anupubbena mahāvihāraṃ patvā mahābodhiṃ mahācetiyaṃ thūpārāmañca vanditvā nagaraṃ pāyāsi. Yāva dakkhiṇadvārā gacchantasseva navasu ṭhānesu ticīvaraṃ upapajji; antonagaraṃ paviṭṭhakālato paṭṭhāya mahāsakkāro uppajji. Iti kālavipattiyaṃ tālaphalakandamūlapaṇṇampi dullabhaṃ jātaṃ. Kālasampattiyaṃ evarūpo mahālābho uppannoti. Evaṃ kālavipattipaṭibāhitattā vipākaṃ dātuṃ asakkontāni kālasampattiṃ āgamma vipaccantīti pajānāti.

    อปรสฺสาปิ พหูนิ กลฺยาณกมฺมานิ โหนฺติฯ ตานิ ปโยควิปตฺติยํ ฐิตสฺส น วิปเจฺจยฺยุํฯ โส ปน เอเกน กลฺยาณกเมฺมน สมฺมาปโยเค ปติฎฺฐิโต ตีณิ สุจริตานิ ปูเรติ, ปญฺจสีลํ ทสสีลํ รกฺขติฯ กาลสมฺปตฺติยํ นิพฺพตฺตสฺส ราชาโน สพฺพาลงฺการปติมณฺฑิตา ราชกญฺญาโย ‘เอตสฺส อนุจฺฉวิกา’ติ เปเสนฺติ, ยานวาหนมณิสุวณฺณรชตาทิเภทํ ตํ ตํ ปณฺณาการํ ‘เอตสฺส อนุจฺฉวิก’นฺติ เปเสนฺติ ฯ

    Aparassāpi bahūni kalyāṇakammāni honti. Tāni payogavipattiyaṃ ṭhitassa na vipacceyyuṃ. So pana ekena kalyāṇakammena sammāpayoge patiṭṭhito tīṇi sucaritāni pūreti, pañcasīlaṃ dasasīlaṃ rakkhati. Kālasampattiyaṃ nibbattassa rājāno sabbālaṅkārapatimaṇḍitā rājakaññāyo ‘etassa anucchavikā’ti pesenti, yānavāhanamaṇisuvaṇṇarajatādibhedaṃ taṃ taṃ paṇṇākāraṃ ‘etassa anucchavika’nti pesenti .

    ปพฺพชฺชูปคโตปิ มหายโส โหติ มหานุภาโวฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – กูฎกณฺณราชา กิร คิริคามกณฺณวาสิกํ จูฬสุธมฺมเตฺถรํ มมายติฯ โส อุปฺปลวาปิยํ วสมาโน เถรํ ปโกฺกสาเปสิฯ เถโร อาคนฺตฺวา มาลารามวิหาเร วสติฯ ราชา เถรสฺส มาตรํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ เถโร ปิยายตี’’ติ? ‘‘กนฺทํ มหาราชา’’ติฯ ราชา กนฺทํ คาหาเปตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา เถรสฺส ททมาโน มุขํ อุโลฺลเกตุํ นาสกฺขิฯ โส นิกฺขมิตฺวา จ พหิปริเวเณ เทวิํ ปุจฺฉิ – ‘‘กีทิโส เถโร’’ติ? ‘‘ตฺวํ ปุริโส หุตฺวา อุโลฺลเกตุํ น สโกฺกสิ; อหํ กถํ สกฺขิสฺสามิ? นาหํ ชานามิ กีทิโส’’ติฯ ราชา ‘มม รเฎฺฐ พลิการคหปติปุตฺตํ อุโลฺลเกตุํ น วิสหามิฯ มหนฺตํ วต โภ พุทฺธสาสนํ นามา’ติ อโปฺผเฎสิฯ ติปิฎกจูฬนาคเตฺถรมฺปิ มมายติฯ ตสฺส องฺคุลิยํ เอกา ปิฬกา อุฎฺฐหิฯ ราชา ‘เถรํ ปสฺสิสฺสามี’ติ วิหารํ คนฺตฺวา พลวเปเมน องฺคุลิํ มุเขน คณฺหิฯ อโนฺตมุเขเยว ปิฬกา ภินฺนา, ปุพฺพโลหิตํ อนุฎฺฐุภิตฺวา เถเร สิเนเหน อมตํ วิย อโชฺฌหริฯ โสเยว เถโร อปรภาเค มรณมเญฺจ นิปชฺชิฯ ราชา คนฺตฺวา อสุจิกปลฺลกํ สีเส ฐเปตฺวา ‘ธมฺมสกฎสฺส อโกฺข ภิชฺชติ อโกฺข ภิชฺชตี’ติ ปริเทวมาโน วิจริฯ ปถวิสฺสรสฺส อสุจิกปลฺลกํ สีเสน อุกฺขิปิตฺวา วิจรณํ นาม กสฺส คตมโคฺค? สมฺมาปโยคสฺส คตมโคฺคติฯ เอวํ ปโยควิปตฺติปฎิพาหิตตฺตา วิปากํ ทาตุํ อสโกฺกนฺตานิ ปโยคสมฺปตฺติํ อาคมฺม วิปจฺจนฺตีติ ปชานาติฯ เอวํ จตูหิ วิปตฺตีหิ ปฎิพาหิตํ กลฺยาณกมฺมํ วิปากํ อทตฺวา จตโสฺส สมฺปตฺติโย อาคมฺม เทติฯ

    Pabbajjūpagatopi mahāyaso hoti mahānubhāvo. Tatridaṃ vatthu – kūṭakaṇṇarājā kira girigāmakaṇṇavāsikaṃ cūḷasudhammattheraṃ mamāyati. So uppalavāpiyaṃ vasamāno theraṃ pakkosāpesi. Thero āgantvā mālārāmavihāre vasati. Rājā therassa mātaraṃ pucchi – ‘‘kiṃ thero piyāyatī’’ti? ‘‘Kandaṃ mahārājā’’ti. Rājā kandaṃ gāhāpetvā vihāraṃ gantvā therassa dadamāno mukhaṃ ulloketuṃ nāsakkhi. So nikkhamitvā ca bahipariveṇe deviṃ pucchi – ‘‘kīdiso thero’’ti? ‘‘Tvaṃ puriso hutvā ulloketuṃ na sakkosi; ahaṃ kathaṃ sakkhissāmi? Nāhaṃ jānāmi kīdiso’’ti. Rājā ‘mama raṭṭhe balikāragahapatiputtaṃ ulloketuṃ na visahāmi. Mahantaṃ vata bho buddhasāsanaṃ nāmā’ti apphoṭesi. Tipiṭakacūḷanāgattherampi mamāyati. Tassa aṅguliyaṃ ekā piḷakā uṭṭhahi. Rājā ‘theraṃ passissāmī’ti vihāraṃ gantvā balavapemena aṅguliṃ mukhena gaṇhi. Antomukheyeva piḷakā bhinnā, pubbalohitaṃ anuṭṭhubhitvā there sinehena amataṃ viya ajjhohari. Soyeva thero aparabhāge maraṇamañce nipajji. Rājā gantvā asucikapallakaṃ sīse ṭhapetvā ‘dhammasakaṭassa akkho bhijjati akkho bhijjatī’ti paridevamāno vicari. Pathavissarassa asucikapallakaṃ sīsena ukkhipitvā vicaraṇaṃ nāma kassa gatamaggo? Sammāpayogassa gatamaggoti. Evaṃ payogavipattipaṭibāhitattā vipākaṃ dātuṃ asakkontāni payogasampattiṃ āgamma vipaccantīti pajānāti. Evaṃ catūhi vipattīhi paṭibāhitaṃ kalyāṇakammaṃ vipākaṃ adatvā catasso sampattiyo āgamma deti.

    ตตฺริทํ ภูตมตฺถํ กตฺวา โอปมฺมํ – เอโก กิร มหาราชา เอกสฺส อมจฺจสฺส อปฺปมเตฺตน กุชฺฌิตฺวา ตํ พนฺธนาคาเร พนฺธาเปสิฯ ตสฺส ญาตกา รโญฺญ กุทฺธภาวํ ญตฺวา กิญฺจิ อวตฺวา จณฺฑโกเป วิคเต ราชานํ ตสฺส นิรปราธภาวํ ชานาเปสุํฯ ราชา มุญฺจิตฺวา ตสฺส ฐานนฺตรํ ปฎิปากติกํ อกาสิฯ อถสฺส ตโต ตโต อาคจฺฉนฺตานํ ปณฺณาการานํ ปมาณํ นาโหสิฯ มนุสฺสา สมฺปฎิจฺฉิตุํ นาสกฺขิํสุฯ ตตฺถ รโญฺญ อปฺปมตฺตเกน กุชฺฌิตฺวา ตสฺส พนฺธนาคาเร พนฺธาปิตกาโล วิย ปุถุชฺชนสฺส นิรเย นิพฺพตฺตกาโลฯ อถสฺส ญาตเกหิ ราชานํ สญฺญาเปตฺวา ฐานนฺตรสฺส ปฎิปากติกกรณกาโล วิย ตสฺส สเคฺค นิพฺพตฺตกาโลฯ ปณฺณาการํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ อสมตฺถกาโล วิย จตโสฺส สมฺปตฺติโย อาคมฺม กลฺยาณกมฺมานํ เทวโลกโต มนุสฺสโลกํ, มนุสฺสโลกโต เทวโลกนฺติ เอวํ สุขฎฺฐานโต สุขฎฺฐานเมว เนตฺวา กปฺปสตสหสฺสมฺปิ สุขวิปากํ ทตฺวา นิพฺพานสมฺปาปนํ เวทิตพฺพํฯ

    Tatridaṃ bhūtamatthaṃ katvā opammaṃ – eko kira mahārājā ekassa amaccassa appamattena kujjhitvā taṃ bandhanāgāre bandhāpesi. Tassa ñātakā rañño kuddhabhāvaṃ ñatvā kiñci avatvā caṇḍakope vigate rājānaṃ tassa niraparādhabhāvaṃ jānāpesuṃ. Rājā muñcitvā tassa ṭhānantaraṃ paṭipākatikaṃ akāsi. Athassa tato tato āgacchantānaṃ paṇṇākārānaṃ pamāṇaṃ nāhosi. Manussā sampaṭicchituṃ nāsakkhiṃsu. Tattha rañño appamattakena kujjhitvā tassa bandhanāgāre bandhāpitakālo viya puthujjanassa niraye nibbattakālo. Athassa ñātakehi rājānaṃ saññāpetvā ṭhānantarassa paṭipākatikakaraṇakālo viya tassa sagge nibbattakālo. Paṇṇākāraṃ sampaṭicchituṃ asamatthakālo viya catasso sampattiyo āgamma kalyāṇakammānaṃ devalokato manussalokaṃ, manussalokato devalokanti evaṃ sukhaṭṭhānato sukhaṭṭhānameva netvā kappasatasahassampi sukhavipākaṃ datvā nibbānasampāpanaṃ veditabbaṃ.

    เอวํ ตาว ปาฬิวเสเนว ทุติยํ พลํ ทีเปตฺวา ปุน ‘‘อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๓๔) อิมินา ปฎิสมฺภิทานเยนาปิ ทีเปตพฺพํฯ ตตฺถ ‘อโหสิ กมฺม’นฺติ อตีเต อายูหิตํ กมฺมํ อตีเตเยว อโหสิฯ เยน ปน อตีเต วิปาโก ทิโนฺน, ตํ สนฺธาย ‘อโหสิ กมฺมวิปาโก’ติ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียาทีสุ ปน พหูสุปิ อายูหิเตสุ เอกํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ วิปากํ เทติ, เสสานิ อวิปากานิฯ เอกํ อุปปชฺชเวทนียํ ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒติ, เสสานิ อวิปากานิฯ เอเกนานนฺตริเยน นิรเย อุปปชฺชติ, เสสานิ อวิปากานิฯ อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ เอกาย พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตติ, เสสา อวิปากาฯ อิทํ สนฺธาย ‘นาโหสิ กมฺมวิปาโก’ติ วุตฺตํฯ โย ปน พหุมฺปิ กุสลากุสลํ กมฺมํ กตฺวา กลฺยาณมิตฺตํ นิสฺสาย อรหตฺตํ ปาปุณาติ, เอตสฺส กมฺมวิปาโก ‘นาโหสิ’ นามฯ ยํ อตีเต อายูหิตํ เอตรหิ วิปากํ เทติ ตํ ‘อโหสิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก’ นามฯ ยํ ปุริมนเยเนว อวิปากตํ อาปชฺชติ ตํ ‘อโหสิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก’ นามฯ ยํ อตีเต อายูหิตํ อนาคเต วิปากํ ทสฺสติ ตํ ‘อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก’ นามฯ ยํ ปุริมนเยน อวิปากตํ อาปชฺชิสฺสติ ตํ ‘อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก’ นามฯ

    Evaṃ tāva pāḷivaseneva dutiyaṃ balaṃ dīpetvā puna ‘‘ahosi kammaṃ ahosi kammavipāko’’ti (paṭi. ma. 1.234) iminā paṭisambhidānayenāpi dīpetabbaṃ. Tattha ‘ahosi kamma’nti atīte āyūhitaṃ kammaṃ atīteyeva ahosi. Yena pana atīte vipāko dinno, taṃ sandhāya ‘ahosi kammavipāko’ti vuttaṃ. Diṭṭhadhammavedanīyādīsu pana bahūsupi āyūhitesu ekaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ vipākaṃ deti, sesāni avipākāni. Ekaṃ upapajjavedanīyaṃ paṭisandhiṃ ākaḍḍhati, sesāni avipākāni. Ekenānantariyena niraye upapajjati, sesāni avipākāni. Aṭṭhasu samāpattīsu ekāya brahmaloke nibbattati, sesā avipākā. Idaṃ sandhāya ‘nāhosi kammavipāko’ti vuttaṃ. Yo pana bahumpi kusalākusalaṃ kammaṃ katvā kalyāṇamittaṃ nissāya arahattaṃ pāpuṇāti, etassa kammavipāko ‘nāhosi’ nāma. Yaṃ atīte āyūhitaṃ etarahi vipākaṃ deti taṃ ‘ahosi kammaṃ atthi kammavipāko’ nāma. Yaṃ purimanayeneva avipākataṃ āpajjati taṃ ‘ahosi kammaṃ natthi kammavipāko’ nāma. Yaṃ atīte āyūhitaṃ anāgate vipākaṃ dassati taṃ ‘ahosi kammaṃ bhavissati kammavipāko’ nāma. Yaṃ purimanayena avipākataṃ āpajjissati taṃ ‘ahosi kammaṃ na bhavissati kammavipāko’ nāma.

    ยํ เอตรหิ อายูหิตํ เอตรหิเยว วิปากํ เทติ ตํ ‘อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก’ นามฯ ยํ ปุริมนเยเนว อวิปากตํ อาปชฺชติ ตํ ‘อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก’ นามฯ ยํ เอตรหิ อายูหิตํ อนาคเต วิปากํ ทสฺสติ ตํ ‘อตฺถิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก’ นามฯ ยํ ปุริมนเยเนว อวิปากตํ อาปชฺชิสฺสติ ตํ ‘อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก’ นามฯ

    Yaṃ etarahi āyūhitaṃ etarahiyeva vipākaṃ deti taṃ ‘atthi kammaṃ atthi kammavipāko’ nāma. Yaṃ purimanayeneva avipākataṃ āpajjati taṃ ‘atthi kammaṃ natthi kammavipāko’ nāma. Yaṃ etarahi āyūhitaṃ anāgate vipākaṃ dassati taṃ ‘atthi kammaṃ bhavissati kammavipāko’ nāma. Yaṃ purimanayeneva avipākataṃ āpajjissati taṃ ‘atthi kammaṃ na bhavissati kammavipāko’ nāma.

    ยํ สยมฺปิ อนาคตํ, วิปาโกปิสฺส อนาคโต ตํ ‘ภวิสฺสติ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก’ นามฯ ยํ สยํ ภวิสฺสติ, ปุริมนเยเนว อวิปากตํ อาปชฺชิสฺสติ ตํ ‘ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก’ นามฯ

    Yaṃ sayampi anāgataṃ, vipākopissa anāgato taṃ ‘bhavissati kammaṃ bhavissati kammavipāko’ nāma. Yaṃ sayaṃ bhavissati, purimanayeneva avipākataṃ āpajjissati taṃ ‘bhavissati kammaṃ na bhavissati kammavipāko’ nāma.

    อิทํ ตถาคตสฺสาติ อิทํ สเพฺพหิปิ เอเตหิ อากาเรหิ ตถาคตสฺส กมฺมนฺตรวิปากนฺตรชานนญาณํ อกมฺปิยเฎฺฐน ทุติยพลํ เวทิตพฺพนฺติฯ

    Idaṃ tathāgatassāti idaṃ sabbehipi etehi ākārehi tathāgatassa kammantaravipākantarajānanañāṇaṃ akampiyaṭṭhena dutiyabalaṃ veditabbanti.

    ทุติยพลนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Dutiyabalaniddesavaṇṇanā.

    ตติยพลนิเทฺทโส

    Tatiyabalaniddeso

    ๘๑๑. ตติยพลนิเทฺทเส มโคฺคติ วา ปฎิปทาติ วา กมฺมเสฺสเวตํ นามํฯ นิรยคามินีติอาทีสุ นิรสฺสาทเฎฺฐน นิรติอเตฺถน จ นิรโยฯ อุทฺธํ อนุคนฺตฺวา ติริยํ อญฺจิตาติ ติรจฺฉานา; ติรจฺฉานาเยว ติรจฺฉานโยนิฯ เปตตาย เปตฺติ; อิโต เปจฺจ คตภาเวนาติ อโตฺถฯ เปตฺติเยว เปตฺติวิสโยฯ มนสฺส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสา; มนุสฺสาว มนุสฺสโลโกฯ ทิพฺพนฺติ ปญฺจหิ กามคุเณหิ อธิมตฺตาย วา ฐานสมฺปตฺติยาติ เทวา; เทวาว เทวโลโกฯ วานํ วุจฺจติ ตณฺหา; ตํ ตตฺถ นตฺถีติ นิพฺพานํฯ นิรยํ คจฺฉตีติ นิรยคามีฯ อิทํ มคฺคํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปฎิปทา ปน นิรยคามินี นาม โหติฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อิทํ สพฺพมฺปิ ปฎิปทํ ตถาคโต ปชานาติฯ

    811. Tatiyabalaniddese maggoti vā paṭipadāti vā kammassevetaṃ nāmaṃ. Nirayagāminītiādīsu nirassādaṭṭhena niratiatthena ca nirayo. Uddhaṃ anugantvā tiriyaṃ añcitāti tiracchānā; tiracchānāyeva tiracchānayoni. Petatāya petti; ito pecca gatabhāvenāti attho. Pettiyeva pettivisayo. Manassa ussannatāya manussā; manussāva manussaloko. Dibbanti pañcahi kāmaguṇehi adhimattāya vā ṭhānasampattiyāti devā; devāva devaloko. Vānaṃ vuccati taṇhā; taṃ tattha natthīti nibbānaṃ. Nirayaṃ gacchatīti nirayagāmī. Idaṃ maggaṃ sandhāya vuttaṃ. Paṭipadā pana nirayagāminī nāma hoti. Sesapadesupi eseva nayo. Idaṃ sabbampi paṭipadaṃ tathāgato pajānāti.

    กถํ ? สกลคามวาสิเกสุปิ หิ เอกโต เอกํ สูกรํ วา มิคํ วา ชีวิตา โวโรเปเนฺตสุ สเพฺพสมฺปิ เจตนา ปรสฺส ชีวิตินฺทฺริยารมฺมณาว โหติฯ ตํ ปน กมฺมํ เตสํ อายูหนกฺขเณเยว นานา โหติฯ เตสุ หิ เอโก อาทเรน ฉนฺทชาโต กโรติฯ เอโก ‘เอหิ ตฺวมฺปิ กโรหี’ติ ปเรหิ นิปฺปีฬิตตฺตา กโรติฯ เอโก สมานจฺฉโนฺท วิย หุตฺวา อปฺปฎิพาหิยมาโน วิจรติฯ เตสุ เอโก เตเนว กเมฺมน นิรเย นิพฺพตฺตติ, เอโก ติรจฺฉานโยนิยํ, เอโก เปตฺติวิสเยฯ ตํ ตถาคโต อายูหนกฺขเณเยว ‘อิมินา นีหาเรน อายูหิตตฺตา เอส นิรเย นิพฺพตฺติสฺสติ , เอส ติรจฺฉานโยนิยํ, เอส เปตฺติวิสเย’ติ ปชานาติ ฯ นิรเย นิพฺพตฺตมานมฺปิ ‘เอส อฎฺฐสุ มหานิรเยสุ นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส โสฬสสุ อุสฺสทนิรเยสุ นิพฺพตฺติสฺสตี’ติ ปชานาติฯ ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพตฺตมานมฺปิ ‘เอส อปาทโก ภวิสฺสติ, เอส ทฺวิปาทโก, เอส จตุปฺปาทโก, เอส พหุปฺปาทโก’ติ ปชานาติฯ เปตฺติวิสเย นิพฺพตฺตมานมฺปิ ‘เอส นิชฺฌามตณฺหิโก ภวิสฺสติ, เอส ขุปฺปิปาสิโก, เอส ปรทตฺตูปชีวี’ติ ปชานาติฯ เตสุ จ กเมฺมสุ ‘อิทํ กมฺมํ ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒิตุํ น สกฺขิสฺสติ, ทุพฺพลํ ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา อุปธิเวปกฺกํ ภวิสฺสตีติ ปชานาติฯ

    Kathaṃ ? Sakalagāmavāsikesupi hi ekato ekaṃ sūkaraṃ vā migaṃ vā jīvitā voropentesu sabbesampi cetanā parassa jīvitindriyārammaṇāva hoti. Taṃ pana kammaṃ tesaṃ āyūhanakkhaṇeyeva nānā hoti. Tesu hi eko ādarena chandajāto karoti. Eko ‘ehi tvampi karohī’ti parehi nippīḷitattā karoti. Eko samānacchando viya hutvā appaṭibāhiyamāno vicarati. Tesu eko teneva kammena niraye nibbattati, eko tiracchānayoniyaṃ, eko pettivisaye. Taṃ tathāgato āyūhanakkhaṇeyeva ‘iminā nīhārena āyūhitattā esa niraye nibbattissati , esa tiracchānayoniyaṃ, esa pettivisaye’ti pajānāti . Niraye nibbattamānampi ‘esa aṭṭhasu mahānirayesu nibbattissati, esa soḷasasu ussadanirayesu nibbattissatī’ti pajānāti. Tiracchānayoniyaṃ nibbattamānampi ‘esa apādako bhavissati, esa dvipādako, esa catuppādako, esa bahuppādako’ti pajānāti. Pettivisaye nibbattamānampi ‘esa nijjhāmataṇhiko bhavissati, esa khuppipāsiko, esa paradattūpajīvī’ti pajānāti. Tesu ca kammesu ‘idaṃ kammaṃ paṭisandhiṃ ākaḍḍhituṃ na sakkhissati, dubbalaṃ dinnāya paṭisandhiyā upadhivepakkaṃ bhavissatīti pajānāti.

    ตถา สกลคามวาสิเกสุ เอกโต ปิณฺฑปาตํ ททมาเนสุ สเพฺพสมฺปิ เจตนา ปิณฺฑปาตารมฺมณาว โหติฯ ตํ ปน กมฺมํ เตสํ อายูหนกฺขเณเยว ปุริมนเยน นานา โหติฯ เตสุ เกจิ เทวโลเก นิพฺพตฺติสฺสนฺติ, เกจิ มนุสฺสโลเกฯ ตํ ตถาคโต อายูหนกฺขเณเยว ‘อิมินา นีหาเรน อายูหิตตฺตา เอส มนุสฺสโลเก นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส เทวโลเก’ติ ปชานาติฯ เทวโลเก นิพฺพตฺตมานานมฺปิ ‘เอส ปรนิมฺมิตวสวตฺตีสุ นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส นิมฺมานรตีสุ, เอส ตุสิเตสุ, เอส ยาเมสุ, เอส ตาวติํเสสุ, เอส จาตุมหาราชิเกสุ, เอส ภุมฺมเทเวสุ; เอส ปน เชฎฺฐกเทวราชา หุตฺวา นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส เอตสฺส ทุติยํ วา ตติยํ วา ฐานนฺตรํ กโรโนฺต ปริจารโก หุตฺวา นิพฺพตฺติสฺสตี’ติ ปชานาติฯ มนุเสฺสสุ นิพฺพตฺตมานานมฺปิ ‘เอส ขตฺติยกุเล นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส พฺราหฺมณกุเล, เอส เวสฺสกุเล, เอส สุทฺทกุเล; เอส ปน มนุเสฺสสุ ราชา หุตฺวา นิพฺพตฺติสฺสติ, เอส เอตสฺส ทุติยํ วา ตติยํ วา ฐานนฺตรํ กโรโนฺต ปริจารโก หุตฺวา นิพฺพตฺติสฺสตี’ติ ปชานาติ ฯ เตสุ จ กเมฺมสุ ‘อิทํ กมฺมํ ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒิตุํ น สกฺขิสฺสติ, ทุพฺพลํ ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา อุปธิเวปกฺกํ ภวิสฺสตี’ติ ปชานาติฯ

    Tathā sakalagāmavāsikesu ekato piṇḍapātaṃ dadamānesu sabbesampi cetanā piṇḍapātārammaṇāva hoti. Taṃ pana kammaṃ tesaṃ āyūhanakkhaṇeyeva purimanayena nānā hoti. Tesu keci devaloke nibbattissanti, keci manussaloke. Taṃ tathāgato āyūhanakkhaṇeyeva ‘iminā nīhārena āyūhitattā esa manussaloke nibbattissati, esa devaloke’ti pajānāti. Devaloke nibbattamānānampi ‘esa paranimmitavasavattīsu nibbattissati, esa nimmānaratīsu, esa tusitesu, esa yāmesu, esa tāvatiṃsesu, esa cātumahārājikesu, esa bhummadevesu; esa pana jeṭṭhakadevarājā hutvā nibbattissati, esa etassa dutiyaṃ vā tatiyaṃ vā ṭhānantaraṃ karonto paricārako hutvā nibbattissatī’ti pajānāti. Manussesu nibbattamānānampi ‘esa khattiyakule nibbattissati, esa brāhmaṇakule, esa vessakule, esa suddakule; esa pana manussesu rājā hutvā nibbattissati, esa etassa dutiyaṃ vā tatiyaṃ vā ṭhānantaraṃ karonto paricārako hutvā nibbattissatī’ti pajānāti . Tesu ca kammesu ‘idaṃ kammaṃ paṭisandhiṃ ākaḍḍhituṃ na sakkhissati, dubbalaṃ dinnāya paṭisandhiyā upadhivepakkaṃ bhavissatī’ti pajānāti.

    ตถา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปเนฺตสุเยว เยน นีหาเรน วิปสฺสนา อารทฺธา, ‘เอส อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสติ, เอส อรหตฺตํ ปตฺตุํ น สกฺขิสฺสติ, เอส อนาคามีเยว ภวิสฺสติ, เอส สกทาคามีเยว, เอส โสตาปโนฺนเยว; เอส ปน มคฺคํ วา ผลํ วา สจฺฉิกาตุํ น สกฺขิสฺสติ, ลกฺขณารมฺมณาย วิปสฺสนายเมว ฐสฺสติ; เอส ปจฺจยปริคฺคเหเยว, เอส นามรูปปริคฺคเหเยว, เอส อรูปปริคฺคเหเยว, เอส รูปปริคฺคเหเยว ฐสฺสติ, เอส มหาภูตมตฺตเมว ววตฺถาเปสฺสติ, เอส กิญฺจิ สลฺลเกฺขตุํ น สกฺขิสฺสตี’ติ ปชานาติฯ

    Tathā vipassanaṃ paṭṭhapentesuyeva yena nīhārena vipassanā āraddhā, ‘esa arahattaṃ pāpuṇissati, esa arahattaṃ pattuṃ na sakkhissati, esa anāgāmīyeva bhavissati, esa sakadāgāmīyeva, esa sotāpannoyeva; esa pana maggaṃ vā phalaṃ vā sacchikātuṃ na sakkhissati, lakkhaṇārammaṇāya vipassanāyameva ṭhassati; esa paccayapariggaheyeva, esa nāmarūpapariggaheyeva, esa arūpapariggaheyeva, esa rūpapariggaheyeva ṭhassati, esa mahābhūtamattameva vavatthāpessati, esa kiñci sallakkhetuṃ na sakkhissatī’ti pajānāti.

    กสิณปริกมฺมํ กโรเนฺตสุปิ ‘เอตสฺส ปริกมฺมมตฺตเมว ภวิสฺสติ, นิมิตฺตํ อุปฺปาเทตุํ น สกฺขิสฺสติ; เอส ปน นิมิตฺตํ อุปฺปาเทตุํ สกฺขิสฺสติ, อปฺปนํ ปาเปตุํ น สกฺขิสฺสติ; เอส อปฺปนํ ปาเปตฺวา ฌานํ ปาทกํ กตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ คณฺหิสฺสตี’ติ ปชานาตีติฯ

    Kasiṇaparikammaṃ karontesupi ‘etassa parikammamattameva bhavissati, nimittaṃ uppādetuṃ na sakkhissati; esa pana nimittaṃ uppādetuṃ sakkhissati, appanaṃ pāpetuṃ na sakkhissati; esa appanaṃ pāpetvā jhānaṃ pādakaṃ katvā vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ gaṇhissatī’ti pajānātīti.

    ตติยพลนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Tatiyabalaniddesavaṇṇanā.

    จตุตฺถพลนิเทฺทโส

    Catutthabalaniddeso

    ๘๑๒. จตุตฺถพลนิเทฺทเส ขนฺธนานตฺตนฺติ ‘อยํ รูปกฺขโนฺธ นาม…เป.… อยํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ นามา’ติ เอวํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ นานากรณํ ปชานาติฯ เตสุปิ ‘เอกวิเธน รูปกฺขโนฺธ…เป.… เอกาทสวิเธน รูปกฺขโนฺธฯ เอกวิเธน เวทนากฺขโนฺธ…เป.… พหุวิเธน เวทนากฺขโนฺธ…เป.… เอกวิเธน สญฺญากฺขโนฺธ…เป.… เอกวิเธน สงฺขารกฺขโนฺธ…เป.… เอกวิเธน วิญฺญาณกฺขโนฺธ…เป.… พหุวิเธน วิญฺญาณกฺขโนฺธ’ติ เอวํ เอเกกสฺส ขนฺธสฺส นานตฺตํ ปชานาติฯ อายตนนานตฺตนฺติ ‘อิทํ จกฺขายตนํ นาม…เป.… อิทํ ธมฺมายตนํ นามฯ ตตฺถ ทสายตนา กามาวจรา, เทฺว จตุภูมกา’ติ เอวํ อายตนนานตฺตํ ปชานาติฯ ธาตุนานตฺตนฺติ ‘อยํ จกฺขุธาตุ นาม…เป.… อยํ มโนวิญฺญาณธาตุ นามฯ ตตฺถ โสฬส ธาตุโย กามาวจรา, เทฺว จตุภูมกา’ติ เอวํ ธาตุนานตฺตํ ปชานาติฯ

    812. Catutthabalaniddese khandhanānattanti ‘ayaṃ rūpakkhandho nāma…pe… ayaṃ viññāṇakkhandho nāmā’ti evaṃ pañcannaṃ khandhānaṃ nānākaraṇaṃ pajānāti. Tesupi ‘ekavidhena rūpakkhandho…pe… ekādasavidhena rūpakkhandho. Ekavidhena vedanākkhandho…pe… bahuvidhena vedanākkhandho…pe… ekavidhena saññākkhandho…pe… ekavidhena saṅkhārakkhandho…pe… ekavidhena viññāṇakkhandho…pe… bahuvidhena viññāṇakkhandho’ti evaṃ ekekassa khandhassa nānattaṃ pajānāti. Āyatananānattanti ‘idaṃ cakkhāyatanaṃ nāma…pe… idaṃ dhammāyatanaṃ nāma. Tattha dasāyatanā kāmāvacarā, dve catubhūmakā’ti evaṃ āyatananānattaṃ pajānāti. Dhātunānattanti ‘ayaṃ cakkhudhātu nāma…pe… ayaṃ manoviññāṇadhātu nāma. Tattha soḷasa dhātuyo kāmāvacarā, dve catubhūmakā’ti evaṃ dhātunānattaṃ pajānāti.

    ปุน อเนกธาตุนานาธาตุโลกนานตฺตนฺติ อิทํ น เกวลํ อุปาทินฺนกสงฺขารโลกเสฺสว นานตฺตํ ตถาคโต ปชานาติ, อนุปาทินฺนกสงฺขารโลกสฺสาปิ นานตฺตํ ตถาคโต ปชานาติเยวาติ ทเสฺสตุํ คหิตํฯ ปเจฺจกพุทฺธา หิ เทฺว จ อคฺคสาวกา อุปาทินฺนกสงฺขารโลกสฺสาปิ นานตฺตํ เอกเทสโตว ชานนฺติ โน นิปฺปเทสโต, อนุปาทินฺนกโลกสฺส ปน นานตฺตํ น ชานนฺติฯ สพฺพญฺญุพุโทฺธ ปน ‘อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนาย อิมสฺส นาม รุกฺขสฺส ขโนฺธ เสโต โหติ, อิมสฺส กาฬโก, อิมสฺส มโฎฺฎ; อิมสฺส พหลตฺตโจ, อิมสฺส ตนุตฺตโจ; อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนาย อิมสฺส รุกฺขสฺส ปตฺตํ วณฺณสณฺฐานาทิวเสน เอวรูปํ นาม โหติ; อิมาย ปน ธาตุยา อุสฺสนฺนาย อิมสฺส รุกฺขสฺส ปุปฺผํ นีลกํ โหติ, ปีตกํ, โลหิตกํ, โอทาตํ, สุคนฺธํ , ทุคฺคนฺธํ โหติ; อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนาย ผลํ ขุทฺทกํ โหติ, มหนฺตํ, ทีฆํ, รสฺสํ, วฎฺฎํ, สุสณฺฐานํ, ทุสฺสณฺฐานํ, มฎฺฐํ, ผรุสํ, สุคนฺธํ, ทุคฺคนฺธํ, มธุรํ, ติตฺตกํ, อมฺพิลํ, กฎุกํ, กสาวํ โหติ; อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนาย อิมสฺส รุกฺขสฺส กณฺฎโก ติขิโณ โหติ, อติขิโณ, อุชุโก, กุฎิโล, ตโมฺพ, กาฬโก, นีโล, โอทาโต โหตี’ติ เอวํ อนุปาทินฺนกสงฺขารโลกสฺส นานตฺตํ ปชานาติฯ สพฺพญฺญุพุทฺธานํเยว หิ เอตํ พลํ, น อเญฺญสนฺติฯ

    Puna anekadhātunānādhātulokanānattanti idaṃ na kevalaṃ upādinnakasaṅkhāralokasseva nānattaṃ tathāgato pajānāti, anupādinnakasaṅkhāralokassāpi nānattaṃ tathāgato pajānātiyevāti dassetuṃ gahitaṃ. Paccekabuddhā hi dve ca aggasāvakā upādinnakasaṅkhāralokassāpi nānattaṃ ekadesatova jānanti no nippadesato, anupādinnakalokassa pana nānattaṃ na jānanti. Sabbaññubuddho pana ‘imāya nāma dhātuyā ussannāya imassa nāma rukkhassa khandho seto hoti, imassa kāḷako, imassa maṭṭo; imassa bahalattaco, imassa tanuttaco; imāya nāma dhātuyā ussannāya imassa rukkhassa pattaṃ vaṇṇasaṇṭhānādivasena evarūpaṃ nāma hoti; imāya pana dhātuyā ussannāya imassa rukkhassa pupphaṃ nīlakaṃ hoti, pītakaṃ, lohitakaṃ, odātaṃ, sugandhaṃ , duggandhaṃ hoti; imāya nāma dhātuyā ussannāya phalaṃ khuddakaṃ hoti, mahantaṃ, dīghaṃ, rassaṃ, vaṭṭaṃ, susaṇṭhānaṃ, dussaṇṭhānaṃ, maṭṭhaṃ, pharusaṃ, sugandhaṃ, duggandhaṃ, madhuraṃ, tittakaṃ, ambilaṃ, kaṭukaṃ, kasāvaṃ hoti; imāya nāma dhātuyā ussannāya imassa rukkhassa kaṇṭako tikhiṇo hoti, atikhiṇo, ujuko, kuṭilo, tambo, kāḷako, nīlo, odāto hotī’ti evaṃ anupādinnakasaṅkhāralokassa nānattaṃ pajānāti. Sabbaññubuddhānaṃyeva hi etaṃ balaṃ, na aññesanti.

    จตุตฺถพลนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Catutthabalaniddesavaṇṇanā.

    ปญฺจมพลนิเทฺทโส

    Pañcamabalaniddeso

    ๘๑๓. ปญฺจมพลนิเทฺทเส หีนาธิมุตฺติกาติ หีนชฺฌาสยาฯ ปณีตาธิมุตฺติกาติ กลฺยาณชฺฌาสยาฯ เสวนฺตีติ นิสฺสยนฺติ อลฺลียนฺติฯ ภชนฺตีติ อุปสงฺกมนฺติฯ ปยิรุปาสนฺตีติ ปุนปฺปุนํ อุปสงฺกมนฺติฯ สเจ หิ อาจริยุปชฺฌายา น สีลวโนฺต โหนฺติ, สทฺธิวิหาริกา สีลวโนฺต โหนฺติ, เต อตฺตโน อาจริยุปชฺฌาเยปิ น อุปสงฺกมนฺติ, อตฺตนา สทิเส สารุปฺปภิกฺขูเยว อุปสงฺกมนฺติฯ สเจ อาจริยุปชฺฌายา สารุปฺปภิกฺขู, อิตเร อสารุปฺปา, เตปิ น อาจริยุปชฺฌาเย อุปสงฺกมนฺติ, อตฺตนา สทิเส หีนาธิมุตฺติเก เอว อุปสงฺกมนฺติฯ

    813. Pañcamabalaniddese hīnādhimuttikāti hīnajjhāsayā. Paṇītādhimuttikāti kalyāṇajjhāsayā. Sevantīti nissayanti allīyanti. Bhajantīti upasaṅkamanti. Payirupāsantīti punappunaṃ upasaṅkamanti. Sace hi ācariyupajjhāyā na sīlavanto honti, saddhivihārikā sīlavanto honti, te attano ācariyupajjhāyepi na upasaṅkamanti, attanā sadise sāruppabhikkhūyeva upasaṅkamanti. Sace ācariyupajjhāyā sāruppabhikkhū, itare asāruppā, tepi na ācariyupajjhāye upasaṅkamanti, attanā sadise hīnādhimuttike eva upasaṅkamanti.

    เอวํ อุปสงฺกมนํ ปน น เกวลํ เอตรเหว, อตีตานาคเตปีติ ทเสฺสตุํ อตีตมฺปิ อทฺธานนฺติอาทิมาหฯ ตํ อุตฺตานตฺถเมวฯ อิทํ ปน ทุสฺสีลานํ ทุสฺสีลเสวนเมว, สีลวนฺตานํ สีลวนฺตเสวนเมว, ทุปฺปญฺญานํ ทุปฺปญฺญเสวนเมว, ปญฺญวนฺตานํ ปญฺญวนฺตเสวนเมว โก นิยาเมตีติ? อชฺฌาสยธาตุ นิยาเมติฯ สมฺพหุลา กิร ภิกฺขู เอกํ คามํ คณภิกฺขาจารํ จรนฺติฯ มนุสฺสา พหุภตฺตํ อาหริตฺวา ปตฺตานิ ปูเรตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ ยถาสภาเคน ปริภุญฺญถา’’ติ ทตฺวา อุโยฺยเชสุํฯ ภิกฺขูปิ อาหํสุ ‘‘อาวุโส, มนุสฺสา ธาตุสํยุตฺตกเมฺม ปโยเชนฺตี’’ติฯ ติปิฎกจูฬาภยเตฺถโรปิ นาคทีเป เจติยํ วนฺทนาย ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ คจฺฉโนฺต เอกสฺมิํ คาเม มนุเสฺสหิ นิมนฺติโตฯ เถเรน จ สทฺธิํ เอโก อสารุปฺปภิกฺขุ อตฺถิฯ ธุรวิหาเรปิ เอโก อสารุปฺปภิกฺขุ อตฺถิฯ ทฺวีสุ ภิกฺขุสเงฺฆสุ คามํ โอสรเนฺตสุ เต อุโภปิ ชนา, กิญฺจาปิ อาคนฺตุเกน เนวาสิโก เนวาสิเกน วา อาคนฺตุโก น ทิฎฺฐปุโพฺพ, เอวํ สเนฺตปิ, เอกโต หุตฺวา หสิตฺวา หสิตฺวา กถยมานา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ เถโร ทิสฺวา ‘‘สมฺมาสมฺพุเทฺธน ชานิตฺวา ธาตุสํยุตฺตํ กถิต’’นฺติ อาหฯ

    Evaṃ upasaṅkamanaṃ pana na kevalaṃ etaraheva, atītānāgatepīti dassetuṃ atītampi addhānantiādimāha. Taṃ uttānatthameva. Idaṃ pana dussīlānaṃ dussīlasevanameva, sīlavantānaṃ sīlavantasevanameva, duppaññānaṃ duppaññasevanameva, paññavantānaṃ paññavantasevanameva ko niyāmetīti? Ajjhāsayadhātu niyāmeti. Sambahulā kira bhikkhū ekaṃ gāmaṃ gaṇabhikkhācāraṃ caranti. Manussā bahubhattaṃ āharitvā pattāni pūretvā ‘‘tumhākaṃ yathāsabhāgena paribhuññathā’’ti datvā uyyojesuṃ. Bhikkhūpi āhaṃsu ‘‘āvuso, manussā dhātusaṃyuttakamme payojentī’’ti. Tipiṭakacūḷābhayattheropi nāgadīpe cetiyaṃ vandanāya pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ gacchanto ekasmiṃ gāme manussehi nimantito. Therena ca saddhiṃ eko asāruppabhikkhu atthi. Dhuravihārepi eko asāruppabhikkhu atthi. Dvīsu bhikkhusaṅghesu gāmaṃ osarantesu te ubhopi janā, kiñcāpi āgantukena nevāsiko nevāsikena vā āgantuko na diṭṭhapubbo, evaṃ santepi, ekato hutvā hasitvā hasitvā kathayamānā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Thero disvā ‘‘sammāsambuddhena jānitvā dhātusaṃyuttaṃ kathita’’nti āha.

    เอวํ ‘อชฺฌาสยธาตุ นิยาเมตี’ติ วตฺวา ธาตุสํยุเตฺตน อยเมวโตฺถ ทีเปตโพฺพฯ คิชฺฌกูฎปพฺพตสฺมิญฺหิ คิลานเสยฺยาย นิปโนฺน ภควา อารกฺขณตฺถาย ปริวาเรตฺวา วสเนฺตสุ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานาทีสุ เอกเมกํ อตฺตโน อตฺตโน ปริสาย สทฺธิํ จงฺกมนฺตํ โอโลเกตฺวา ภิกฺขู อามเนฺตสิ ‘‘ปสฺสถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, สาริปุตฺตํ สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ จงฺกมนฺต’’นฺติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘สเพฺพ โข เอเต, ภิกฺขเว, ภิกฺขู มหาปญฺญา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๙๙) สพฺพํ วิตฺถาเรตพฺพนฺติฯ

    Evaṃ ‘ajjhāsayadhātu niyāmetī’ti vatvā dhātusaṃyuttena ayamevattho dīpetabbo. Gijjhakūṭapabbatasmiñhi gilānaseyyāya nipanno bhagavā ārakkhaṇatthāya parivāretvā vasantesu sāriputtamoggallānādīsu ekamekaṃ attano attano parisāya saddhiṃ caṅkamantaṃ oloketvā bhikkhū āmantesi ‘‘passatha no tumhe, bhikkhave, sāriputtaṃ sambahulehi bhikkhūhi saddhiṃ caṅkamanta’’nti? ‘‘Evaṃ, bhante’’ti. ‘‘Sabbe kho ete, bhikkhave, bhikkhū mahāpaññā’’ti (saṃ. ni. 2.99) sabbaṃ vitthāretabbanti.

    ปญฺจมพลนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Pañcamabalaniddesavaṇṇanā.

    ฉฎฺฐพลนิเทฺทโส

    Chaṭṭhabalaniddeso

    ๘๑๔. ฉฎฺฐพลนิเทฺทเส อาสยนฺติ ยตฺถ สตฺตา อาสยนฺติ นิวสนฺติ, ตํ เตสํ นิวาสฎฺฐานํ ทิฎฺฐิคตํ วา ยถาภูตํ ญาณํ วาฯ อนุสยนฺติ อปฺปหีนานุสยิตํ กิเลสํฯ จริตนฺติ กายาทีหิ อภิสงฺขตํ กุสลากุสลํฯ อธิมุตฺตนฺติ อชฺฌาสยํฯ อปฺปรชเกฺขติอาทีสุ ปญฺญามเย อกฺขิมฺหิ อปฺปํ ปริตฺตํ ราคโทสโมหรชํ เอเตสนฺติ อปฺปรชกฺขาฯ ตเสฺสว มหนฺตตาย มหารชกฺขาฯ อุภเยนาปิ มนฺทกิเลเส มหากิเลเส จ สเตฺต ทเสฺสติฯ เยสํ สทฺธาทีนิ อินฺทฺริยานิ ติกฺขานิ, เต ติกฺขินฺทฺริยาฯ เยสํ ตานิ มุทูนิ, เต มุทินฺทฺริยาฯ เยสํ อาสยาทโย โกฎฺฐาสา สุนฺทรา, เต สฺวาการาฯ วิปรีตา ทฺวาการาฯ เย กถิตการณํ สลฺลเกฺขนฺติ, สุเขน สกฺกา โหนฺติ วิญฺญาเปตุํ, เต สุวิญฺญาปยาฯ วิปรีตา ทุวิญฺญาปยาฯ เย อริยมคฺคปฎิเวธสฺส อนุจฺฉวิกา อุปนิสฺสยสมฺปนฺนา, เต ภพฺพาฯ วิปรีตา อภพฺพา

    814. Chaṭṭhabalaniddese āsayanti yattha sattā āsayanti nivasanti, taṃ tesaṃ nivāsaṭṭhānaṃ diṭṭhigataṃ vā yathābhūtaṃ ñāṇaṃ vā. Anusayanti appahīnānusayitaṃ kilesaṃ. Caritanti kāyādīhi abhisaṅkhataṃ kusalākusalaṃ. Adhimuttanti ajjhāsayaṃ. Apparajakkhetiādīsu paññāmaye akkhimhi appaṃ parittaṃ rāgadosamoharajaṃ etesanti apparajakkhā. Tasseva mahantatāya mahārajakkhā. Ubhayenāpi mandakilese mahākilese ca satte dasseti. Yesaṃ saddhādīni indriyāni tikkhāni, te tikkhindriyā. Yesaṃ tāni mudūni, te mudindriyā. Yesaṃ āsayādayo koṭṭhāsā sundarā, te svākārā. Viparītā dvākārā. Ye kathitakāraṇaṃ sallakkhenti, sukhena sakkā honti viññāpetuṃ, te suviññāpayā. Viparītā duviññāpayā. Ye ariyamaggapaṭivedhassa anucchavikā upanissayasampannā, te bhabbā. Viparītā abhabbā.

    ๘๑๕. เอวํ ฉฎฺฐพลสฺส มาติกํ ฐเปตฺวา อิทานิ ยถาปฎิปาฎิยา ภาเชโนฺต กตโม จ สตฺตานํ อาสโยติอาทิมาหฯ ตตฺถ สสฺสโต โลโกติอาทีนํ อโตฺถ เหฎฺฐา นิเกฺขปกณฺฑวณฺณนายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๑๐๕) วุโตฺตเยวฯ อิติ ภวทิฎฺฐิสนฺนิสฺสิตา วาติ เอวํ สสฺสตทิฎฺฐิํ วา สนฺนิสฺสิตาฯ สสฺสตทิฎฺฐิ หิ เอตฺถ ภวทิฎฺฐีติ วุตฺตา; อุเจฺฉททิฎฺฐิ จ วิภวทิฎฺฐีติฯ สพฺพทิฎฺฐีนญฺหิ สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐี หิ สงฺคหิตตฺตา สเพฺพปิ ทิฎฺฐิคติกา สตฺตา อิมาว เทฺว ทิฎฺฐิโย สนฺนิสฺสิตา โหนฺติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘ทฺวยสนฺนิสฺสิโต โข ปนายํ, กจฺจาน, โลโก เยภุเยฺยน – อตฺถิตเญฺจว นตฺถิตญฺจา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕)ฯ เอตฺถ หิ อตฺถิตาติ สสฺสตํ, นตฺถิตาติ อุเจฺฉโทฯ อยํ ตาว วฎฺฎสนฺนิสฺสิตานํ ปุถุชฺชนสตฺตานํ อาสโยฯ

    815. Evaṃ chaṭṭhabalassa mātikaṃ ṭhapetvā idāni yathāpaṭipāṭiyā bhājento katamo ca sattānaṃ āsayotiādimāha. Tattha sassato lokotiādīnaṃ attho heṭṭhā nikkhepakaṇḍavaṇṇanāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 1105) vuttoyeva. Iti bhavadiṭṭhisannissitā vāti evaṃ sassatadiṭṭhiṃ vā sannissitā. Sassatadiṭṭhi hi ettha bhavadiṭṭhīti vuttā; ucchedadiṭṭhi ca vibhavadiṭṭhīti. Sabbadiṭṭhīnañhi sassatucchedadiṭṭhī hi saṅgahitattā sabbepi diṭṭhigatikā sattā imāva dve diṭṭhiyo sannissitā honti. Vuttampi cetaṃ – ‘‘dvayasannissito kho panāyaṃ, kaccāna, loko yebhuyyena – atthitañceva natthitañcā’’ti (saṃ. ni. 2.15). Ettha hi atthitāti sassataṃ, natthitāti ucchedo. Ayaṃ tāva vaṭṭasannissitānaṃ puthujjanasattānaṃ āsayo.

    อิทานิ วิวฎฺฎสนฺนิสฺสิตานํ สุทฺธสตฺตานํ อาสยํ ทเสฺสตุํ เอเต วา ปน อุโภ อเนฺต อนุปคมฺมาติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เอเต วา ปนาติ เอเตเยวฯ อุโภ อเนฺตติ สสฺสตุเจฺฉทสงฺขาเต เทฺว อเนฺตฯ อนุปคมฺมาติ อนลฺลียิตฺวาฯ อิทปฺปจฺจยตา ปฎิจฺจสมุปฺปเนฺนสุ ธเมฺมสูติ อิทปฺปจฺจยตาย เจว ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนธเมฺมสุ จฯ อนุโลมิกา ขนฺตีติ วิปสฺสนาญาณํฯ ยถาภูตํ วา ญาณนฺติ มคฺคญาณํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยา ปฎิจฺจสมุปฺปาเท เจว ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนธเมฺมสุ จ เอเต อุโภ สสฺสตุเจฺฉทอเนฺต อนุปคนฺตฺวา วิปสฺสนา ปฎิลทฺธา, ยญฺจ ตโต อุตฺตริมคฺคญาณํ – อยํ สตฺตานํ อาสโย, อยํ วฎฺฎสนฺนิสฺสิตานญฺจ วิวฎฺฎสนฺนิสฺสิตานญฺจ สเพฺพสมฺปิ สตฺตานํ อาสโย, อิทํ วสนฎฺฐานนฺติฯ อยํ อาจริยานํ สมานตฺถกถาฯ

    Idāni vivaṭṭasannissitānaṃ suddhasattānaṃ āsayaṃ dassetuṃ ete vā pana ubho ante anupagammātiādi vuttaṃ. Tattha ete vā panāti eteyeva. Ubho anteti sassatucchedasaṅkhāte dve ante. Anupagammāti anallīyitvā. Idappaccayatā paṭiccasamuppannesu dhammesūti idappaccayatāya ceva paṭiccasamuppannadhammesu ca. Anulomikā khantīti vipassanāñāṇaṃ. Yathābhūtaṃ vā ñāṇanti maggañāṇaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yā paṭiccasamuppāde ceva paṭiccasamuppannadhammesu ca ete ubho sassatucchedaante anupagantvā vipassanā paṭiladdhā, yañca tato uttarimaggañāṇaṃ – ayaṃ sattānaṃ āsayo, ayaṃ vaṭṭasannissitānañca vivaṭṭasannissitānañca sabbesampi sattānaṃ āsayo, idaṃ vasanaṭṭhānanti. Ayaṃ ācariyānaṃ samānatthakathā.

    วิตณฺฑวาที ปนาห – ‘มโคฺค นาม วาสํ วิทฺธํเสโนฺต คจฺฉติ, นนุ ตฺวํ มโคฺค วาโสติ วเทสี’ติ? โส วตฺตโพฺพ ‘ตฺวํ อริยวาสภาณโก โหสิ น โหสี’ติ? สเจ ปน ‘น โหมี’ติ วทติ, ‘อภาณกตาย น ชานาสี’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ ‘ภาณโกสฺมี’ติ วทติ, ‘สุตฺตํ อาหรา’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ อาหรติ, อิเจฺจตํ กุสลํ; โน เจ อาหรติ สยํ อาหริตพฺพํ – ‘‘ทสยิเม, ภิกฺขเว, อริยวาสา, เย อริยา อาวสิํสุ วา อาวสนฺติ วา อาวสิสฺสนฺติ วา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๙)ฯ เอตญฺหิ สุตฺตํ มคฺคสฺส วาสภาวํ ทีเปติฯ ตสฺมา สุกถิตเมเวตนฺติฯ อิทํ ปน ภควา สตฺตานํ อาสยํ ชานโนฺต อิเมสญฺจ ทิฎฺฐิคตานํ วิปสฺสนาญาณมคฺคญาณานํ อปฺปวตฺติกฺขเณปิ ชานาติ เอวฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Vitaṇḍavādī panāha – ‘maggo nāma vāsaṃ viddhaṃsento gacchati, nanu tvaṃ maggo vāsoti vadesī’ti? So vattabbo ‘tvaṃ ariyavāsabhāṇako hosi na hosī’ti? Sace pana ‘na homī’ti vadati, ‘abhāṇakatāya na jānāsī’ti vattabbo. Sace ‘bhāṇakosmī’ti vadati, ‘suttaṃ āharā’ti vattabbo. Sace āharati, iccetaṃ kusalaṃ; no ce āharati sayaṃ āharitabbaṃ – ‘‘dasayime, bhikkhave, ariyavāsā, ye ariyā āvasiṃsu vā āvasanti vā āvasissanti vā’’ti (a. ni. 10.19). Etañhi suttaṃ maggassa vāsabhāvaṃ dīpeti. Tasmā sukathitamevetanti. Idaṃ pana bhagavā sattānaṃ āsayaṃ jānanto imesañca diṭṭhigatānaṃ vipassanāñāṇamaggañāṇānaṃ appavattikkhaṇepi jānāti eva. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘กามํ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ ‘อยํ ปุคฺคโล กามครุโก กามาสโย กามาธิมุโตฺต’ติฯ เนกฺขมฺมํ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ ‘อยํ ปุคฺคโล เนกฺขมฺมครุโก เนกฺขมฺมาสโย เนกฺขมฺมาธิมุโตฺต’ติฯ พฺยาปาทํ…เป.… อพฺยาปาทํ… ถินมิทฺธํ…เป.… อาโลกสญฺญํ เนกฺขมฺมํ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ เสวนฺตเญฺญว ชานาติ ‘อยํ ปุคฺคโล อาโลกสญฺญาครุโก อาโลกสญฺญาสโย อาโลกสญฺญาธิมุโตฺต’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๓)ฯ

    ‘‘Kāmaṃ sevantaññeva jānāti ‘ayaṃ puggalo kāmagaruko kāmāsayo kāmādhimutto’ti. Nekkhammaṃ sevantaññeva jānāti ‘ayaṃ puggalo nekkhammagaruko nekkhammāsayo nekkhammādhimutto’ti. Byāpādaṃ…pe… abyāpādaṃ… thinamiddhaṃ…pe… ālokasaññaṃ nekkhammaṃ sevantaññeva jānāti sevantaññeva jānāti ‘ayaṃ puggalo ālokasaññāgaruko ālokasaññāsayo ālokasaññādhimutto’’ti (paṭi. ma. 1.113).

    ๘๑๖. อนุสยนิเทฺทเส กามราโค จ โส อปฺปหีนเฎฺฐน อนุสโย จาติ กามราคานุสโยฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ยํ โลเก ปิยรูปนฺติ ยํ อิมสฺมิํ โลเก ปิยชาติกํฯ สาตรูปนฺติ สาตชาติกํ อสฺสาทปทฎฺฐานํ อิฎฺฐารมฺมณํฯ เอตฺถ สตฺตานํ ราคานุสโย อนุเสตีติ เอตสฺมิํ อิฎฺฐารมฺมเณ สตฺตานํ อปฺปหีนเฎฺฐน ราคานุสโย อนุเสติฯ ยถา นาม อุทเก นิมุคฺคสฺส เหฎฺฐา จ อุปริ จ สมนฺตภาเค จ อุทกเมว โหติ, เอวเมว อิฎฺฐารมฺมเณ ราคุปฺปตฺติ นาม สตฺตานํ อาจิณฺณสมาจิณฺณาฯ ตถา อนิฎฺฐารมฺมเณ ปฎิฆุปฺปตฺติฯ อิติ อิเมสุ ทฺวีสุ ธเมฺมสูติ เอวํ อิเมสุ ทฺวีสุ กามราคปฎิฆวเนฺตสุ อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมณธเมฺมสุฯ อวิชฺชานุปติตาติ กามราคปฎิฆสมฺปยุตฺตา หุตฺวา อารมฺมณกรณวเสน อวิชฺชา อนุปติตาฯ ตเทกโฎฺฐติ ตาย อวิชฺชาย สมฺปยุเตฺตกฎฺฐวเสน เอกโฎฺฐฯ มาโน จ ทิฎฺฐิ จ วิจิกิจฺฉา จาติ นววิโธ มาโน, ทฺวาสฎฺฐิวิธา ทิฎฺฐิ, อฎฺฐวตฺถุกา จ วิจิกิจฺฉาฯ ภวราคานุสโย ปเนตฺถ กามราคานุสเยเนว สงฺคหิโตติ เวทิตโพฺพฯ

    816. Anusayaniddese kāmarāgo ca so appahīnaṭṭhena anusayo cāti kāmarāgānusayo. Sesapadesupi eseva nayo. Yaṃ loke piyarūpanti yaṃ imasmiṃ loke piyajātikaṃ. Sātarūpanti sātajātikaṃ assādapadaṭṭhānaṃ iṭṭhārammaṇaṃ. Ettha sattānaṃ rāgānusayo anusetīti etasmiṃ iṭṭhārammaṇe sattānaṃ appahīnaṭṭhena rāgānusayo anuseti. Yathā nāma udake nimuggassa heṭṭhā ca upari ca samantabhāge ca udakameva hoti, evameva iṭṭhārammaṇe rāguppatti nāma sattānaṃ āciṇṇasamāciṇṇā. Tathā aniṭṭhārammaṇe paṭighuppatti. Iti imesu dvīsu dhammesūti evaṃ imesu dvīsu kāmarāgapaṭighavantesu iṭṭhāniṭṭhārammaṇadhammesu. Avijjānupatitāti kāmarāgapaṭighasampayuttā hutvā ārammaṇakaraṇavasena avijjā anupatitā. Tadekaṭṭhoti tāya avijjāya sampayuttekaṭṭhavasena ekaṭṭho. Māno ca diṭṭhi ca vicikicchā cāti navavidho māno, dvāsaṭṭhividhā diṭṭhi, aṭṭhavatthukā ca vicikicchā. Bhavarāgānusayo panettha kāmarāgānusayeneva saṅgahitoti veditabbo.

    ๘๑๗. จริตนิเทฺทเส เตรส เจตนา ปุญฺญาภิสงฺขาโร, ทฺวาทส อปุญฺญาภิสงฺขาโร, จตโสฺส อาเนญฺชาภิสงฺขาโรฯ ตตฺถ กามาวจโร ปริตฺตภูมโก, อิตโร มหาภูมโกฯ ตีสุปิ วา เอเตสุ โย โกจิ อปฺปวิปาโก ปริตฺตภูมโก, พหุวิปาโก มหาภูมโกติ เวทิตโพฺพฯ

    817. Caritaniddese terasa cetanā puññābhisaṅkhāro, dvādasa apuññābhisaṅkhāro, catasso āneñjābhisaṅkhāro. Tattha kāmāvacaro parittabhūmako, itaro mahābhūmako. Tīsupi vā etesu yo koci appavipāko parittabhūmako, bahuvipāko mahābhūmakoti veditabbo.

    ๘๑๘. อธิมุตฺตินิเทฺทโส เหฎฺฐา ปกาสิโตวฯ กสฺมา ปนายํ อธิมุตฺติ เหฎฺฐา วุตฺตาปิ ปุน คหิตาติ? อยญฺหิ เหฎฺฐา ปาฎิเยกฺกํ พลทสฺสนวเสน คหิตา, อิธ สตฺตานํ ติกฺขินฺทฺริยมุทินฺทฺริยภาวทสฺสนตฺถํฯ

    818. Adhimuttiniddeso heṭṭhā pakāsitova. Kasmā panāyaṃ adhimutti heṭṭhā vuttāpi puna gahitāti? Ayañhi heṭṭhā pāṭiyekkaṃ baladassanavasena gahitā, idha sattānaṃ tikkhindriyamudindriyabhāvadassanatthaṃ.

    ๘๑๙. มหารชกฺขนิเทฺทเส อุสฺสทคตานีติ เวปุลฺลคตานิฯ ปหานกฺกมวเสน เจส อุปฺปฎิปาฎิยา นิเทฺทโส กโตฯ

    819. Mahārajakkhaniddese ussadagatānīti vepullagatāni. Pahānakkamavasena cesa uppaṭipāṭiyā niddeso kato.

    ๘๒๐. อนุสฺสทคตานีติ อเวปุลฺลคตานิํฯ ติกฺขินฺทฺริยมุทินฺทฺริยนิเทฺทเส อุปนิสฺสยอินฺทฺริยานิ นาม กถิตานิฯ อุปฺปฎิปาฎิยา นิเทฺทเส ปเนตฺถ ปโยชนํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    820. Anussadagatānīti avepullagatāniṃ. Tikkhindriyamudindriyaniddese upanissayaindriyāni nāma kathitāni. Uppaṭipāṭiyā niddese panettha payojanaṃ heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ.

    ๘๒๓. ตถา ทฺวาการนิเทฺทสาทีสุ ปาปาสยาติ อกุสลาสยาฯ ปาปจริตาติ อปุญฺญาภิสงฺขารปริปูรกาฯ ปาปาธิมุตฺติกาติ สกฺกายาภิรตา วฎฺฎชฺฌาสยาฯ

    823. Tathā dvākāraniddesādīsu pāpāsayāti akusalāsayā. Pāpacaritāti apuññābhisaṅkhāraparipūrakā. Pāpādhimuttikāti sakkāyābhiratā vaṭṭajjhāsayā.

    ๘๒๔. สฺวาการนิเทฺทเส ยสฺมา กลฺยาณโก นาม อนุสโย นตฺถิ, ตสฺมา กลฺยาณานุสยาติ น วุตฺตํฯ เสสํ วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตพฺพํฯ

    824. Svākāraniddese yasmā kalyāṇako nāma anusayo natthi, tasmā kalyāṇānusayāti na vuttaṃ. Sesaṃ vuttavipariyāyena veditabbaṃ.

    ๘๒๖. ภพฺพาภพฺพนิเทฺทเส กมฺมาวรเณนาติ ปญฺจวิเธน อานนฺตริยกเมฺมนฯ กิเลสาวรเณนาติ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิยาฯ วิปากาวรเณนาติ อเหตุกปฎิสนฺธิยาฯ ยสฺมา ปน ทุเหตุกานมฺปิ อริยมคฺคปฎิเวโธ นตฺถิ, ตสฺมา ทุเหตุกปฎิสนฺธิปิ วิปากาวรณเมวาติ เวทิตพฺพาฯ อสฺสทฺธาติ พุทฺธาทีสุ สทฺธารหิตาฯ อจฺฉนฺทิกาติ กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉนฺทรหิตาฯ อุตฺตรกุรุกา มนุสฺสา อจฺฉนฺทิกฎฺฐานํ ปวิฎฺฐาฯ ทุปฺปญฺญาติ ภวงฺคปญฺญาย ปริหีนาฯ ภวงฺคปญฺญาย ปน ปริปุณฺณายปิ ยสฺส ภวงฺคํ โลกุตฺตรสฺส ปาทกํ น โหติ, โส ทุปฺปโญฺญเยว นามฯ อภพฺพา นิยามํ โอกฺกมิตุํ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺตนฺติ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺตนิยามสงฺขาตํ มคฺคํ โอกฺกมิตุํ อภพฺพาฯ

    826. Bhabbābhabbaniddese kammāvaraṇenāti pañcavidhena ānantariyakammena. Kilesāvaraṇenāti niyatamicchādiṭṭhiyā. Vipākāvaraṇenāti ahetukapaṭisandhiyā. Yasmā pana duhetukānampi ariyamaggapaṭivedho natthi, tasmā duhetukapaṭisandhipi vipākāvaraṇamevāti veditabbā. Assaddhāti buddhādīsu saddhārahitā. Acchandikāti kattukamyatākusalacchandarahitā. Uttarakurukā manussā acchandikaṭṭhānaṃ paviṭṭhā. Duppaññāti bhavaṅgapaññāya parihīnā. Bhavaṅgapaññāya pana paripuṇṇāyapi yassa bhavaṅgaṃ lokuttarassa pādakaṃ na hoti, so duppaññoyeva nāma. Abhabbā niyāmaṃ okkamituṃ kusalesu dhammesu sammattanti kusalesu dhammesu sammattaniyāmasaṅkhātaṃ maggaṃ okkamituṃ abhabbā.

    ๘๒๗. น กมฺมาวรเณนาติอาทีนิ วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตพฺพานิฯ อิทํ ทฺวินฺนํ ญาณานํ ภาชนียํ – อินฺทฺริยปโรปริยตฺติญาณสฺส จ อาสยานุสยญาณสฺส จฯ เอตฺถ หิ อาสยานุสยญาเณน อินฺทฺริยปโรปริยตฺติญาณมฺปิ ภาชิตํฯ อิติ อิมานิ เทฺว ญาณานิ เอกโต หุตฺวา เอกํ พลญาณํ นาม ชาตนฺติฯ

    827. Na kammāvaraṇenātiādīni vuttavipariyāyena veditabbāni. Idaṃ dvinnaṃ ñāṇānaṃ bhājanīyaṃ – indriyaparopariyattiñāṇassa ca āsayānusayañāṇassa ca. Ettha hi āsayānusayañāṇena indriyaparopariyattiñāṇampi bhājitaṃ. Iti imāni dve ñāṇāni ekato hutvā ekaṃ balañāṇaṃ nāma jātanti.

    ฉฎฺฐพลนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Chaṭṭhabalaniddesavaṇṇanā.

    สตฺตมพลนิเทฺทโส

    Sattamabalaniddeso

    ๘๒๘. สตฺตมพลนิเทฺทเส ฌายตีติ ฌายีฯ จตฺตาโร ฌายีติ ฌายิโน จตฺตาโร ชนา วุจฺจนฺติฯ ตตฺถ ปฐมจตุเกฺก ตาว ปฐโม สมาปตฺติลาภี สมาโนเยว ‘น ลาภีมฺหี’ติ, กมฺมฎฺฐานํ สมานํเยว ‘น กมฺมฎฺฐาน’นฺติ สญฺญี โหติฯ อยํ อปฺปคุณชฺฌานลาภีติ เวทิตโพฺพฯ ทุติโย สมาปตฺติยา อลาภีเยว ‘ลาภีมฺหี’ติ, อกมฺมฎฺฐานํ สมานํเยว ‘กมฺมฎฺฐาน’นฺติ สญฺญี โหติฯ อยํ นิทฺทาฌายี นามฯ นิทฺทายิตฺวา ปฎิพุโทฺธ เอวํ มญฺญติฯ ตติโย สมาปตฺติลาภี สมาโน ‘สมาปตฺติลาภีมฺหี’ติ, กมฺมฎฺฐานเมว สมานํ ‘กมฺมฎฺฐาน’นฺติ สญฺญี โหติฯ อยํ ปคุณชฺฌานลาภีติ เวทิตโพฺพฯ จตุโตฺถ อลาภีเยว ‘อลาภีมฺหี’ติ, อกมฺมฎฺฐานํเยว ‘อกมฺมฎฺฐาน’นฺติ สญฺญี โหติฯ เอวเมตฺถ เทฺว ชนา อชฺฌายิโนว ฌายีนํ อโนฺต ปวิฎฺฐตฺตา ฌายีติ วุตฺตาฯ

    828. Sattamabalaniddese jhāyatīti jhāyī. Cattāro jhāyīti jhāyino cattāro janā vuccanti. Tattha paṭhamacatukke tāva paṭhamo samāpattilābhī samānoyeva ‘na lābhīmhī’ti, kammaṭṭhānaṃ samānaṃyeva ‘na kammaṭṭhāna’nti saññī hoti. Ayaṃ appaguṇajjhānalābhīti veditabbo. Dutiyo samāpattiyā alābhīyeva ‘lābhīmhī’ti, akammaṭṭhānaṃ samānaṃyeva ‘kammaṭṭhāna’nti saññī hoti. Ayaṃ niddājhāyī nāma. Niddāyitvā paṭibuddho evaṃ maññati. Tatiyo samāpattilābhī samāno ‘samāpattilābhīmhī’ti, kammaṭṭhānameva samānaṃ ‘kammaṭṭhāna’nti saññī hoti. Ayaṃ paguṇajjhānalābhīti veditabbo. Catuttho alābhīyeva ‘alābhīmhī’ti, akammaṭṭhānaṃyeva ‘akammaṭṭhāna’nti saññī hoti. Evamettha dve janā ajjhāyinova jhāyīnaṃ anto paviṭṭhattā jhāyīti vuttā.

    ทุติยจตุเกฺก สสงฺขาเรน สปฺปโยเคน สมาธิปาริพนฺธิกธเมฺม วิกฺขเมฺภโนฺต ทนฺธํ สมาปชฺชติ นามฯ เอกํ เทฺว จิตฺตวาเร ฐตฺวา สหสา วุฎฺฐหนฺตา ขิปฺปํ วุฎฺฐหติ นามฯ สุเขเนว ปน สมาธิปาริพนฺธิกธเมฺม โสเธโนฺต ขิปฺปํ สมาปชฺชติ นามฯ ยถาปริเจฺฉเทน อวุฎฺฐหิตฺวา กาลํ อตินาเมตฺวา วุฎฺฐหโนฺต ทนฺธํ วุฎฺฐาติ นามฯ อิตเร เทฺวปิ อิมินาว นเยน เวทิตพฺพาฯ อิเม จตฺตาโรปิ ชนา สมาปตฺติลาภิโนวฯ

    Dutiyacatukke sasaṅkhārena sappayogena samādhipāribandhikadhamme vikkhambhento dandhaṃ samāpajjati nāma. Ekaṃ dve cittavāre ṭhatvā sahasā vuṭṭhahantā khippaṃ vuṭṭhahati nāma. Sukheneva pana samādhipāribandhikadhamme sodhento khippaṃ samāpajjati nāma. Yathāparicchedena avuṭṭhahitvā kālaṃ atināmetvā vuṭṭhahanto dandhaṃ vuṭṭhāti nāma. Itare dvepi imināva nayena veditabbā. Ime cattāropi janā samāpattilābhinova.

    ตติยจตุเกฺก ‘อิทํ ฌานํ ปญฺจงฺคิกํ, อิทํ จตุรงฺคิก’นฺติ เอวํ องฺคววตฺถานปริเจฺฉเท เฉโก สมาธิสฺมิํ สมาธิกุสโล นามฯ นีวรณานิ ปน วิกฺขเมฺภตฺวา จิตฺตมญฺชูสาย จิตฺตํ ฐเปตุํ อเฉโก โน สมาธิสฺมิํ สมาปตฺติกุสโล นามฯ อิตเรปิ ตโย อิมินาว นเยน เวทิตพฺพาฯ อิเมปิ จตฺตาโร สมาปตฺติลาภิโนเยวฯ

    Tatiyacatukke ‘idaṃ jhānaṃ pañcaṅgikaṃ, idaṃ caturaṅgika’nti evaṃ aṅgavavatthānaparicchede cheko samādhismiṃ samādhikusalo nāma. Nīvaraṇāni pana vikkhambhetvā cittamañjūsāya cittaṃ ṭhapetuṃ acheko no samādhismiṃ samāpattikusalo nāma. Itarepi tayo imināva nayena veditabbā. Imepi cattāro samāpattilābhinoyeva.

    อิทานิ ยานิ ฌานานิ นิสฺสาย อิเม ปุคฺคลา ‘ฌายี’ นาม ชาตา, ตานิ ทเสฺสตุํ จตฺตาริ ฌานานีติอาทิมาหฯ ตตฺถ จตฺตาริ ฌานานิ ตโย จ วิโมกฺขา อตฺถโต เหฎฺฐา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายเมว (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๖๐, ๒๔๘) ปกาสิตาฯ เสสานมฺปิ วิโมกฺขโฎฺฐ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อปิเจตฺถ ปฎิปาฎิยา สตฺต อปฺปิตปฺปิตกฺขเณ ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุจฺจนโต จ อารมฺมเณ จ อธิมุจฺจนโต วิโมโกฺข นามฯ อฎฺฐโม ปน สพฺพโส สญฺญาเวทยิเตหิ วิมุตฺตตฺตา อปคตวิโมโกฺข นามฯ สมาธีสุ จตุกฺกนยปญฺจกนเยสุ ปฐมชฺฌานสมาธิ สวิตกฺกสวิจาโร นามฯ ปญฺจกนเย ทุติยชฺฌานสมาธิ อวิตกฺกวิจารมตฺตสมาธิ นามฯ จตุกฺกนเยปิ ปญฺจกนเยปิ อุปริ ตีสุ ฌาเนสุ สมาธิ อวิตกฺก อวิจารสมาธิ นามฯ สมาปตฺตีสุ หิ ปฎิปาฎิยา อฎฺฐนฺนํ สมาปตฺตีนํ ‘สมาธี’ติปิ นามํ ‘สมาปตฺตี’ติปิฯ กสฺมา? จิเตฺตกคฺคตาสพฺภาวโตฯ นิโรธสมาปตฺติยา ตทภาวโต น สมาธีติ นามํฯ

    Idāni yāni jhānāni nissāya ime puggalā ‘jhāyī’ nāma jātā, tāni dassetuṃ cattāri jhānānītiādimāha. Tattha cattāri jhānāni tayo ca vimokkhā atthato heṭṭhā dhammasaṅgahaṭṭhakathāyameva (dha. sa. aṭṭha. 160, 248) pakāsitā. Sesānampi vimokkhaṭṭho tattha vuttanayeneva veditabbo. Apicettha paṭipāṭiyā satta appitappitakkhaṇe paccanīkadhammehi vimuccanato ca ārammaṇe ca adhimuccanato vimokkho nāma. Aṭṭhamo pana sabbaso saññāvedayitehi vimuttattā apagatavimokkho nāma. Samādhīsu catukkanayapañcakanayesu paṭhamajjhānasamādhi savitakkasavicāro nāma. Pañcakanaye dutiyajjhānasamādhi avitakkavicāramattasamādhi nāma. Catukkanayepi pañcakanayepi upari tīsu jhānesu samādhi avitakka avicārasamādhi nāma. Samāpattīsu hi paṭipāṭiyā aṭṭhannaṃ samāpattīnaṃ ‘samādhī’tipi nāmaṃ ‘samāpattī’tipi. Kasmā? Cittekaggatāsabbhāvato. Nirodhasamāpattiyā tadabhāvato na samādhīti nāmaṃ.

    หานภาคิโย ธโมฺมติ อปฺปคุเณหิ ปฐมชฺฌานาทีหิ วุฎฺฐิตสฺส สญฺญามนสิการานํ กามาทิอนุปกฺขนฺทนํฯ วิเสสภาคิโย ธโมฺมติ ปคุเณหิ ปฐมชฺฌานาทีหิ วุฎฺฐิตสฺส สญฺญามนสิการานํ ทุติยชฺฌานาทิอนุปกฺขนฺทนํฯ โวทานมฺปิ วุฎฺฐานนฺติ อิมินา ปคุณโวทานํ วุฎฺฐานํ นาม กถิตํฯ เหฎฺฐิมํ เหฎฺฐิมญฺหิ ปคุณชฺฌานํ อุปริมสฺส อุปริมสฺส ปทฎฺฐานํ โหติฯ ตสฺมา โวทานมฺปิ วุฎฺฐานนฺติ วุตฺตํฯ ตมฺหา ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฎฺฐานมฺปิ วุฎฺฐานนฺติ อิมินา ภวงฺควุฎฺฐานํ นาม กถิตํฯ ภวเงฺคน หิ สพฺพชฺฌาเนหิ วุฎฺฐานํ โหติฯ นิโรธโต ปน ผลสมาปตฺติยาว วุฎฺฐหนฺติฯ อิทํ ปาฬิมุตฺตกวุฎฺฐานํ นามาติฯ

    Hānabhāgiyo dhammoti appaguṇehi paṭhamajjhānādīhi vuṭṭhitassa saññāmanasikārānaṃ kāmādianupakkhandanaṃ. Visesabhāgiyo dhammoti paguṇehi paṭhamajjhānādīhi vuṭṭhitassa saññāmanasikārānaṃ dutiyajjhānādianupakkhandanaṃ. Vodānampi vuṭṭhānanti iminā paguṇavodānaṃ vuṭṭhānaṃ nāma kathitaṃ. Heṭṭhimaṃ heṭṭhimañhi paguṇajjhānaṃ uparimassa uparimassa padaṭṭhānaṃ hoti. Tasmā vodānampi vuṭṭhānanti vuttaṃ. Tamhā tamhā samādhimhā vuṭṭhānampi vuṭṭhānanti iminā bhavaṅgavuṭṭhānaṃ nāma kathitaṃ. Bhavaṅgena hi sabbajjhānehi vuṭṭhānaṃ hoti. Nirodhato pana phalasamāpattiyāva vuṭṭhahanti. Idaṃ pāḷimuttakavuṭṭhānaṃ nāmāti.

    สตฺตมพลนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Sattamabalaniddesavaṇṇanā.

    อฎฺฐมพลาทินิเทฺทโส

    Aṭṭhamabalādiniddeso

    ๘๒๙. อฎฺฐมพลนิเทฺทเส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสนฺติอาทิ สพฺพมฺปิ วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตเมวฯ นวมพลนิเทฺทเสปิ ทิเพฺพน จกฺขุนาติอาทิ สพฺพํ ตเตฺถว วิตฺถาริตํฯ

    829. Aṭṭhamabalaniddese anekavihitaṃ pubbenivāsantiādi sabbampi visuddhimagge vitthāritameva. Navamabalaniddesepi dibbena cakkhunātiādi sabbaṃ tattheva vitthāritaṃ.

    นวมพลนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Navamabalaniddesavaṇṇanā.

    ทสมพลนิเทฺทโส

    Dasamabalaniddeso

    ๘๓๑. ทสมพลนิเทฺทเส เจโตวิมุตฺตินฺติ ผลสมาธิํฯ ปญฺญาวิมุตฺตินฺติ ผลญาณํฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ อยํ ตาเวตฺถ อาจริยานํ สมานตฺถกถาฯ ปรวาที ปนาห – ‘‘ทสพลญาณํ นาม ปาฎิเยกฺกํ นตฺถิ, สพฺพญฺญุตญาณเสฺสวายํ ปเภโท’’ติฯ ตํ น ตถา ทฎฺฐพฺพํฯ อญฺญเมว หิ ทสพลญาณํ, อญฺญํ สพฺพญฺญุตญาณํฯ ทสพลญาณญฺหิ สกสกกิจฺจเมว ชานาติฯ สพฺพญฺญุตญาณํ ปน ตมฺปิ ตโต อวเสสมฺปิ ชานาติฯ ทสพลญาเณสุปิ หิ ปฐมํ การณาการณเมว ชานาติ, ทุติยํ กมฺมนฺตรวิปากนฺตรเมว, ตติยํ กมฺมปริเจฺฉทเมว, จตุตฺถํ ธาตุนานตฺตกรณเมว, ปญฺจมํ สตฺตานํ อชฺฌาสยาธิมุตฺติเมว, ฉฎฺฐํ อินฺทฺริยานํ ติกฺขมุทุภาวเมว, สตฺตมํ ฌานาทีหิ สทฺธิํ เตสํ สํกิเลสาทิเมว, อฎฺฐมํ ปุเพฺพนิวุตฺถขนฺธสนฺตติเมว, นวมํ สตฺตานํ จุติปฎิสนฺธิเมว, ทสมํ สจฺจปริเจฺฉทเมวฯ สพฺพญฺญุตญาณํ ปน เอเตหิ ชานิตพฺพญฺจ ตโต อุตฺตริตรญฺจ ปชานาติฯ เอเตสํ ปน กิจฺจํ น สพฺพํ กโรติฯ ตญฺหิ ฌานํ หุตฺวา อเปฺปตุํ น สโกฺกติ, อิทฺธิ หุตฺวา วิกุพฺพิตุํ น สโกฺกติ, มโคฺค หุตฺวา กิเลเส เขเปตุํ น สโกฺกติฯ

    831. Dasamabalaniddese cetovimuttinti phalasamādhiṃ. Paññāvimuttinti phalañāṇaṃ. Sesaṃ sabbattha uttānatthameva. Ayaṃ tāvettha ācariyānaṃ samānatthakathā. Paravādī panāha – ‘‘dasabalañāṇaṃ nāma pāṭiyekkaṃ natthi, sabbaññutañāṇassevāyaṃ pabhedo’’ti. Taṃ na tathā daṭṭhabbaṃ. Aññameva hi dasabalañāṇaṃ, aññaṃ sabbaññutañāṇaṃ. Dasabalañāṇañhi sakasakakiccameva jānāti. Sabbaññutañāṇaṃ pana tampi tato avasesampi jānāti. Dasabalañāṇesupi hi paṭhamaṃ kāraṇākāraṇameva jānāti, dutiyaṃ kammantaravipākantarameva, tatiyaṃ kammaparicchedameva, catutthaṃ dhātunānattakaraṇameva, pañcamaṃ sattānaṃ ajjhāsayādhimuttimeva, chaṭṭhaṃ indriyānaṃ tikkhamudubhāvameva, sattamaṃ jhānādīhi saddhiṃ tesaṃ saṃkilesādimeva, aṭṭhamaṃ pubbenivutthakhandhasantatimeva, navamaṃ sattānaṃ cutipaṭisandhimeva, dasamaṃ saccaparicchedameva. Sabbaññutañāṇaṃ pana etehi jānitabbañca tato uttaritarañca pajānāti. Etesaṃ pana kiccaṃ na sabbaṃ karoti. Tañhi jhānaṃ hutvā appetuṃ na sakkoti, iddhi hutvā vikubbituṃ na sakkoti, maggo hutvā kilese khepetuṃ na sakkoti.

    อปิจ ปรวาที เอวํ ปุจฺฉิตโพฺพ – ‘‘ทสพลญาณํ นาม เอตํ สวิตกฺกสวิจารํ, อวิตกฺกวิจารมตฺตํ, อวิตกฺกาวิจารํ, กามาวจรํ, รูปาวจรํ, อรูปาวจรํ, โลกิยํ, โลกุตฺตร’’นฺติ? ชานโนฺต ‘‘ปฎิปาฎิยา สตฺต ญาณานิ สวิตกฺกสวิจารานี’’ติ วกฺขติ; ตโต ‘‘ปรานิ เทฺว ญาณานิ อวิตกฺกาวิจารานี’’ติ วกฺขติ; ‘‘อาสวกฺขยญาณํ สิยา สวิตกฺกสวิจารํ, สิยา อวิตกฺกวิจารมตฺตํ, สิยา อวิตกฺกวิจาร’’นฺติ วกฺขติฯ ตถา ‘‘ปฎิปาฎิยา สตฺต กามาวจรานิ, ตโต เทฺว รูปาวจรานิ, อวสาเน เอกํ โลกุตฺตร’’นฺติ วกฺขติ; ‘‘สพฺพญฺญุตญาณํ ปน สวิตกฺกสวิจารเมว, กามาวจรเมว, โลกิยเมวา’’ติ วกฺขติฯ อิติ อญฺญเทว ทสพลญาณํ, อญฺญํ สพฺพญฺญุตญาณนฺติฯ

    Apica paravādī evaṃ pucchitabbo – ‘‘dasabalañāṇaṃ nāma etaṃ savitakkasavicāraṃ, avitakkavicāramattaṃ, avitakkāvicāraṃ, kāmāvacaraṃ, rūpāvacaraṃ, arūpāvacaraṃ, lokiyaṃ, lokuttara’’nti? Jānanto ‘‘paṭipāṭiyā satta ñāṇāni savitakkasavicārānī’’ti vakkhati; tato ‘‘parāni dve ñāṇāni avitakkāvicārānī’’ti vakkhati; ‘‘āsavakkhayañāṇaṃ siyā savitakkasavicāraṃ, siyā avitakkavicāramattaṃ, siyā avitakkavicāra’’nti vakkhati. Tathā ‘‘paṭipāṭiyā satta kāmāvacarāni, tato dve rūpāvacarāni, avasāne ekaṃ lokuttara’’nti vakkhati; ‘‘sabbaññutañāṇaṃ pana savitakkasavicārameva, kāmāvacarameva, lokiyamevā’’ti vakkhati. Iti aññadeva dasabalañāṇaṃ, aññaṃ sabbaññutañāṇanti.

    สโมฺมหวิโนทนิยา วิภงฺคฎฺฐกถาย

    Sammohavinodaniyā vibhaṅgaṭṭhakathāya

    ญาณวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ñāṇavibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact