Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๖๑] ๗. ทสรถชาตกวณฺณนา

    [461] 7. Dasarathajātakavaṇṇanā

    เอถ ลกฺขณ สีตา จาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ มตปิติกํ กุฎุมฺพิกํ อารพฺภ กเถสิฯ โส หิ ปิตริ กาลกเต โสกาภิภูโต สพฺพกิจฺจานิ ปหาย โสกานุวตฺตโกว อโหสิฯ สตฺถา ปจฺจูสสมเย โลกํ โอโลเกโนฺต ตสฺส โสตาปตฺติผลูปนิสฺสยํ ทิสฺวา ปุนทิวเส สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ ภิกฺขู อุโยฺยเชตฺวา เอกํ ปจฺฉาสมณํ คเหตฺวา ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสินฺนํ มธุรวจเนน อาลปโนฺต ‘‘กิํ โสจสิ อุปาสกา’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, ภเนฺต, ปิตุโสโก มํ พาธตี’’ติ วุเตฺต ‘‘อุปาสก, โปราณกปณฺฑิตา อฎฺฐวิเธ โลกธเมฺม ตถโต ชานนฺตา ปิตริ กาลกเต อปฺปมตฺตกมฺปิ โสกํ น กริํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Etha lakkhaṇa sītā cāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ matapitikaṃ kuṭumbikaṃ ārabbha kathesi. So hi pitari kālakate sokābhibhūto sabbakiccāni pahāya sokānuvattakova ahosi. Satthā paccūsasamaye lokaṃ olokento tassa sotāpattiphalūpanissayaṃ disvā punadivase sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā katabhattakicco bhikkhū uyyojetvā ekaṃ pacchāsamaṇaṃ gahetvā tassa gehaṃ gantvā vanditvā nisinnaṃ madhuravacanena ālapanto ‘‘kiṃ socasi upāsakā’’ti vatvā ‘‘āma, bhante, pitusoko maṃ bādhatī’’ti vutte ‘‘upāsaka, porāṇakapaṇḍitā aṭṭhavidhe lokadhamme tathato jānantā pitari kālakate appamattakampi sokaṃ na kariṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ ทสรถมหาราชา นาม อคติคมนํ ปหาย ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส โสฬสนฺนํ อิตฺถิสหสฺสานํ เชฎฺฐิกา อคฺคมเหสี เทฺว ปุเตฺต เอกญฺจ ธีตรํ วิชายิฯ เชฎฺฐปุโตฺต รามปณฺฑิโต นาม อโหสิ, ทุติโย ลกฺขณกุมาโร นาม, ธีตา สีตา เทวี นามฯ อปรภาเค มเหสี กาลมกาสิฯ ราชา ตสฺสา กาลกตาย จิรตรํ โสกวสํ คนฺตฺวา อมเจฺจหิ สญฺญาปิโต ตสฺสา กตฺตพฺพปริหารํ กตฺวา อญฺญํ อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สา รโญฺญ ปิยา อโหสิ มนาปาฯ สาปิ อปรภาเค คพฺภํ คณฺหิตฺวา ลทฺธคพฺภปริหารา ปุตฺตํ วิชายิ, ‘‘ภรตกุมาโร’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ ราชา ปุตฺตสิเนเหน ‘‘ภเทฺท, วรํ เต ทมฺมิ, คณฺหาหี’’ติ อาหฯ สา คหิตกํ กตฺวา ฐเปตฺวา กุมารสฺส สตฺตฎฺฐวสฺสกาเล ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, ตุเมฺหหิ มยฺหํ ปุตฺตสฺส วโร ทิโนฺน, อิทานิสฺส วรํ เทถา’’ติ อาหฯ คณฺห, ภเทฺทติฯ ‘‘เทว, ปุตฺตสฺส เม รชฺชํ เทถา’’ติ วุเตฺต ราชา อจฺฉรํ ปหริตฺวา ‘‘นสฺส, วสลิ, มยฺหํ เทฺว ปุตฺตา อคฺคิกฺขนฺธา วิย ชลนฺติ, เต มาราเปตฺวา ตว ปุตฺตสฺส รชฺชํ ยาจสี’’ติ ตเชฺชสิฯ สา ภีตา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา อเญฺญสุปิ ทิวเสสุ ราชานํ ปุนปฺปุนํ รชฺชเมว ยาจิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ dasarathamahārājā nāma agatigamanaṃ pahāya dhammena rajjaṃ kāresi. Tassa soḷasannaṃ itthisahassānaṃ jeṭṭhikā aggamahesī dve putte ekañca dhītaraṃ vijāyi. Jeṭṭhaputto rāmapaṇḍito nāma ahosi, dutiyo lakkhaṇakumāro nāma, dhītā sītā devī nāma. Aparabhāge mahesī kālamakāsi. Rājā tassā kālakatāya cirataraṃ sokavasaṃ gantvā amaccehi saññāpito tassā kattabbaparihāraṃ katvā aññaṃ aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Sā rañño piyā ahosi manāpā. Sāpi aparabhāge gabbhaṃ gaṇhitvā laddhagabbhaparihārā puttaṃ vijāyi, ‘‘bharatakumāro’’tissa nāmaṃ akaṃsu. Rājā puttasinehena ‘‘bhadde, varaṃ te dammi, gaṇhāhī’’ti āha. Sā gahitakaṃ katvā ṭhapetvā kumārassa sattaṭṭhavassakāle rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, tumhehi mayhaṃ puttassa varo dinno, idānissa varaṃ dethā’’ti āha. Gaṇha, bhaddeti. ‘‘Deva, puttassa me rajjaṃ dethā’’ti vutte rājā accharaṃ paharitvā ‘‘nassa, vasali, mayhaṃ dve puttā aggikkhandhā viya jalanti, te mārāpetvā tava puttassa rajjaṃ yācasī’’ti tajjesi. Sā bhītā sirigabbhaṃ pavisitvā aññesupi divasesu rājānaṃ punappunaṃ rajjameva yāci.

    ราชา ตสฺสา ตํ วรํ อทตฺวาว จิเนฺตสิ ‘‘มาตุคาโม นาม อกตญฺญู มิตฺตทุพฺภี, อยํ เม กูฎปณฺณํ วา กูฎลญฺชํ วา กตฺวา ปุเตฺต ฆาตาเปยฺยา’’ติฯ โส ปุเตฺต ปโกฺกสาเปตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ตาตา, ตุมฺหากํ อิธ วสนฺตานํ อนฺตราโยปิ ภเวยฺย, ตุเมฺห สามนฺตรชฺชํ วา อรญฺญํ วา คนฺตฺวา มม มรณกาเล อาคนฺตฺวา กุลสนฺตกํ รชฺชํ คเณฺหยฺยาถา’’ติ วตฺวา ปุน เนมิตฺตเก พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา อตฺตโน อายุปริเจฺฉทํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อญฺญานิ ทฺวาทส วสฺสานิ ปวตฺติสฺสตี’’ติ สุตฺวา ‘‘ตาตา, อิโต ทฺวาทสวสฺสจฺจเยน อาคนฺตฺวา ฉตฺตํ อุสฺสาเปยฺยาถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา ปิตรํ วนฺทิตฺวา โรทนฺตา ปาสาทา โอตริํสุฯ สีตา เทวี ‘‘อหมฺปิ ภาติเกหิ สทฺธิํ คมิสฺสามี’’ติ ปิตรํ วนฺทิตฺวา โรทนฺตี นิกฺขมิฯ ตโยปิ ชนา มหาปริวารา นิกฺขมิตฺวา มหาชนํ นิวเตฺตตฺวา อนุปุเพฺพน หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา สมฺปโนฺนทเก สุลภผลาผเล ปเทเส อสฺสมํ มาเปตฺวา ผลาผเลน ยาเปนฺตา วสิํสุฯ

    Rājā tassā taṃ varaṃ adatvāva cintesi ‘‘mātugāmo nāma akataññū mittadubbhī, ayaṃ me kūṭapaṇṇaṃ vā kūṭalañjaṃ vā katvā putte ghātāpeyyā’’ti. So putte pakkosāpetvā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘tātā, tumhākaṃ idha vasantānaṃ antarāyopi bhaveyya, tumhe sāmantarajjaṃ vā araññaṃ vā gantvā mama maraṇakāle āgantvā kulasantakaṃ rajjaṃ gaṇheyyāthā’’ti vatvā puna nemittake brāhmaṇe pakkosāpetvā attano āyuparicchedaṃ pucchitvā ‘‘aññāni dvādasa vassāni pavattissatī’’ti sutvā ‘‘tātā, ito dvādasavassaccayena āgantvā chattaṃ ussāpeyyāthā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti vatvā pitaraṃ vanditvā rodantā pāsādā otariṃsu. Sītā devī ‘‘ahampi bhātikehi saddhiṃ gamissāmī’’ti pitaraṃ vanditvā rodantī nikkhami. Tayopi janā mahāparivārā nikkhamitvā mahājanaṃ nivattetvā anupubbena himavantaṃ pavisitvā sampannodake sulabhaphalāphale padese assamaṃ māpetvā phalāphalena yāpentā vasiṃsu.

    ลกฺขณปณฺฑิโต จ สีตา จ รามปณฺฑิตํ ยาจิตฺวา ‘‘ตุเมฺห อมฺหากํ ปิตุฎฺฐาเน ฐิตา, ตสฺมา อสฺสเมเยว โหถ, มยํ ผลาผลํ อาหริตฺวา ตุเมฺห โปเสสฺสามา’’ติ ปฎิญฺญํ คณฺหิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย รามปณฺฑิโต ตเตฺถว โหติฯ อิตเร เทฺว ผลาผลํ อาหริตฺวา ตํ ปฎิชคฺคิํสุฯ เอวํ เตสํ ผลาผเลน ยาเปตฺวา วสนฺตานํ ทสรถมหาราชา ปุตฺตโสเกน นวเม สํวจฺฉเร กาลมกาสิฯ ตสฺส สรีรกิจฺจํ กาเรตฺวา เทวี ‘‘อตฺตโน ปุตฺตสฺส ภรตกุมารสฺส ฉตฺตํ อุสฺสาเปถา’’ติ อาหฯ อมจฺจา ปน ‘‘ฉตฺตสฺสามิกา อรเญฺญ วสนฺตี’’ติ น อทํสุฯ ภรตกุมาโร ‘‘มม ภาตรํ รามปณฺฑิตํ อรญฺญโต อาเนตฺวา ฉตฺตํ อุสฺสาเปสฺสามี’’ติ ปญฺจราชกกุธภณฺฑานิ คเหตฺวา จตุรงฺคินิยา เสนาย ตสฺส วสนฎฺฐานํ ปตฺวา อวิทูเร ขนฺธาวารํ กตฺวา ตตฺถ นิวาเสตฺวา กติปเยหิ อมเจฺจหิ สทฺธิํ ลกฺขณปณฺฑิตสฺส จ สีตาย จ อรญฺญํ คตกาเล อสฺสมปทํ ปวิสิตฺวา อสฺสมปททฺวาเร ฐปิตกญฺจนรูปกํ วิย รามปณฺฑิตํ นิราสงฺกํ สุขนิสินฺนํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต รโญฺญ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา สทฺธิํ อมเจฺจหิ ปาเทสุ ปติตฺวา โรทติฯ รามปณฺฑิโต ปน เนว โสจิ, น ปริเทวิ, อินฺทฺริยวิการมตฺตมฺปิสฺส นาโหสิฯ ภรตสฺส ปน โรทิตฺวา นิสินฺนกาเล สายนฺหสมเย อิตเร เทฺว ผลาผลํ อาทาย อาคมิํสุฯ รามปณฺฑิโต จิเนฺตสิ ‘‘อิเม ทหรา มยฺหํ วิย ปริคฺคณฺหนปญฺญา เอเตสํ นตฺถิ, สหสา ‘ปิตา โว มโต’ติ วุเตฺต โสกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตานํ หทยมฺปิ เตสํ ผเลยฺย, อุปาเยน เต อุทกํ โอตาเรตฺวา เอตํ ปวตฺติํ อาโรเจสฺสามี’’ติฯ อถ เนสํ ปุรโต เอกํ อุทกฎฺฐานํ ทเสฺสตฺวา ‘‘ตุเมฺห อติจิเรน อาคตา, อิทํ โว ทณฺฑกมฺมํ โหตุ, อิมํ อุทกํ โอตริตฺวา ติฎฺฐถา’’ติ อุปฑฺฒคาถํ ตาว อาห –

    Lakkhaṇapaṇḍito ca sītā ca rāmapaṇḍitaṃ yācitvā ‘‘tumhe amhākaṃ pituṭṭhāne ṭhitā, tasmā assameyeva hotha, mayaṃ phalāphalaṃ āharitvā tumhe posessāmā’’ti paṭiññaṃ gaṇhiṃsu. Tato paṭṭhāya rāmapaṇḍito tattheva hoti. Itare dve phalāphalaṃ āharitvā taṃ paṭijaggiṃsu. Evaṃ tesaṃ phalāphalena yāpetvā vasantānaṃ dasarathamahārājā puttasokena navame saṃvacchare kālamakāsi. Tassa sarīrakiccaṃ kāretvā devī ‘‘attano puttassa bharatakumārassa chattaṃ ussāpethā’’ti āha. Amaccā pana ‘‘chattassāmikā araññe vasantī’’ti na adaṃsu. Bharatakumāro ‘‘mama bhātaraṃ rāmapaṇḍitaṃ araññato ānetvā chattaṃ ussāpessāmī’’ti pañcarājakakudhabhaṇḍāni gahetvā caturaṅginiyā senāya tassa vasanaṭṭhānaṃ patvā avidūre khandhāvāraṃ katvā tattha nivāsetvā katipayehi amaccehi saddhiṃ lakkhaṇapaṇḍitassa ca sītāya ca araññaṃ gatakāle assamapadaṃ pavisitvā assamapadadvāre ṭhapitakañcanarūpakaṃ viya rāmapaṇḍitaṃ nirāsaṅkaṃ sukhanisinnaṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ ṭhito rañño pavattiṃ ārocetvā saddhiṃ amaccehi pādesu patitvā rodati. Rāmapaṇḍito pana neva soci, na paridevi, indriyavikāramattampissa nāhosi. Bharatassa pana roditvā nisinnakāle sāyanhasamaye itare dve phalāphalaṃ ādāya āgamiṃsu. Rāmapaṇḍito cintesi ‘‘ime daharā mayhaṃ viya pariggaṇhanapaññā etesaṃ natthi, sahasā ‘pitā vo mato’ti vutte sokaṃ sandhāretuṃ asakkontānaṃ hadayampi tesaṃ phaleyya, upāyena te udakaṃ otāretvā etaṃ pavattiṃ ārocessāmī’’ti. Atha nesaṃ purato ekaṃ udakaṭṭhānaṃ dassetvā ‘‘tumhe aticirena āgatā, idaṃ vo daṇḍakammaṃ hotu, imaṃ udakaṃ otaritvā tiṭṭhathā’’ti upaḍḍhagāthaṃ tāva āha –

    ๘๔.

    84.

    ‘‘เอถ ลกฺขณ สีตา จ, อุโภ โอตรโถทก’’นฺติฯ

    ‘‘Etha lakkhaṇa sītā ca, ubho otarathodaka’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – เอถ ลกฺขณ สีตา จ อาคจฺฉถ, อุโภปิ โอตรถ อุทกนฺติ;

    Tassattho – etha lakkhaṇa sītā ca āgacchatha, ubhopi otaratha udakanti;

    เต เอกวจเนเนว โอตริตฺวา อฎฺฐํสุฯ อถ เนสํ ปิตุ ปวตฺติํ อาโรเจโนฺต เสสํ อุปฑฺฒคาถมาห –

    Te ekavacaneneva otaritvā aṭṭhaṃsu. Atha nesaṃ pitu pavattiṃ ārocento sesaṃ upaḍḍhagāthamāha –

    ‘‘เอวายํ ภรโต อาห, ราชา ทสรโถ มโต’’ติฯ

    ‘‘Evāyaṃ bharato āha, rājā dasaratho mato’’ti.

    เต ปิตุ มตสาสนํ สุตฺวาว วิสญฺญา อเหสุํฯ ปุนปิ เนสํ กเถสิ, ปุนปิ เต วิสญฺญา อเหสุนฺติ เอวํ ยาวตติยํ วิสญฺญิตํ ปเตฺต เต อมจฺจา อุกฺขิปิตฺวา อุทกา นีหริตฺวา ถเล นิสีทาเปตฺวา ลทฺธสฺสาเสสุ เตสุ สเพฺพ อญฺญมญฺญํ โรทิตฺวา ปริเทวิตฺวา นิสีทิํสุฯ ตทา ภรตกุมาโร จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ ภาตา ลกฺขณกุมาโร จ ภคินี จ สีตา เทวี ปิตุ มตสาสนํ สุตฺวาว โสกํ สนฺธาเรตุํ น สโกฺกนฺติ, รามปณฺฑิโต ปน เนว โสจติ, น ปริเทวติ, กิํ นุ โข ตสฺส อโสจนการณํ, ปุจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติฯ โส ตํ ปุจฺฉโนฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Te pitu matasāsanaṃ sutvāva visaññā ahesuṃ. Punapi nesaṃ kathesi, punapi te visaññā ahesunti evaṃ yāvatatiyaṃ visaññitaṃ patte te amaccā ukkhipitvā udakā nīharitvā thale nisīdāpetvā laddhassāsesu tesu sabbe aññamaññaṃ roditvā paridevitvā nisīdiṃsu. Tadā bharatakumāro cintesi – ‘‘mayhaṃ bhātā lakkhaṇakumāro ca bhaginī ca sītā devī pitu matasāsanaṃ sutvāva sokaṃ sandhāretuṃ na sakkonti, rāmapaṇḍito pana neva socati, na paridevati, kiṃ nu kho tassa asocanakāraṇaṃ, pucchissāmi na’’nti. So taṃ pucchanto dutiyaṃ gāthamāha –

    ๘๕.

    85.

    ‘‘เกน รามปฺปภาเวน, โสจิตพฺพํ น โสจสิ;

    ‘‘Kena rāmappabhāvena, socitabbaṃ na socasi;

    ปิตรํ กาลกตํ สุตฺวา, น ตํ ปสหเต ทุข’’นฺติฯ

    Pitaraṃ kālakataṃ sutvā, na taṃ pasahate dukha’’nti.

    ตตฺถ ปภาเวนาติ อานุภาเวนฯ น ตํ ปสหเต ทุขนฺติ เอวรูปํ ทุกฺขํ เกน การเณน ตํ น ปีเฬติ, กิํ เต อโสจนการณํ, กเถหิ ตาว นนฺติฯ

    Tattha pabhāvenāti ānubhāvena. Na taṃ pasahate dukhanti evarūpaṃ dukkhaṃ kena kāraṇena taṃ na pīḷeti, kiṃ te asocanakāraṇaṃ, kathehi tāva nanti.

    อถสฺส รามปณฺฑิโต อตฺตโน อโสจนการณํ กเถโนฺต –

    Athassa rāmapaṇḍito attano asocanakāraṇaṃ kathento –

    ๘๖.

    86.

    ‘‘ยํ น สกฺกา นิปาเลตุํ, โปเสน ลปตํ พหุํ;

    ‘‘Yaṃ na sakkā nipāletuṃ, posena lapataṃ bahuṃ;

    ส กิสฺส วิญฺญู เมธาวี, อตฺตานมุปตาปเยฯ

    Sa kissa viññū medhāvī, attānamupatāpaye.

    ๘๗.

    87.

    ‘‘ทหรา จ หิ วุทฺธา จ, เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา;

    ‘‘Daharā ca hi vuddhā ca, ye bālā ye ca paṇḍitā;

    อฑฺฒา เจว ทลิทฺทา จ, สเพฺพ มจฺจุปรายณาฯ

    Aḍḍhā ceva daliddā ca, sabbe maccuparāyaṇā.

    ๘๘.

    88.

    ‘‘ผลานมิว ปกฺกานํ, นิจฺจํ ปตนโต ภยํ;

    ‘‘Phalānamiva pakkānaṃ, niccaṃ patanato bhayaṃ;

    เอวํ ชาตาน มจฺจานํ, นิจฺจํ มรณโต ภยํฯ

    Evaṃ jātāna maccānaṃ, niccaṃ maraṇato bhayaṃ.

    ๘๙.

    89.

    ‘‘สายเมเก น ทิสฺสนฺติ, ปาโต ทิฎฺฐา พหุชฺชนา;

    ‘‘Sāyameke na dissanti, pāto diṭṭhā bahujjanā;

    ปาโต เอเก น ทิสฺสนฺติ, สายํ ทิฎฺฐา พหุชฺชนาฯ

    Pāto eke na dissanti, sāyaṃ diṭṭhā bahujjanā.

    ๙๐.

    90.

    ‘‘ปริเทวยมาโน เจ, กิญฺจิทตฺถํ อุทพฺพเห;

    ‘‘Paridevayamāno ce, kiñcidatthaṃ udabbahe;

    สมฺมูโฬฺห หิํสมตฺตานํ, กยิรา ตํ วิจกฺขโณฯ

    Sammūḷho hiṃsamattānaṃ, kayirā taṃ vicakkhaṇo.

    ๙๑.

    91.

    ‘‘กิโส วิวโณฺณ ภวติ, หิํสมตฺตานมตฺตโน;

    ‘‘Kiso vivaṇṇo bhavati, hiṃsamattānamattano;

    น เตน เปตา ปาเลนฺติ, นิรตฺถา ปริเทวนาฯ

    Na tena petā pālenti, niratthā paridevanā.

    ๙๒.

    92.

    ‘‘ยถา สรณมาทิตฺตํ, วารินา ปรินิพฺพเย;

    ‘‘Yathā saraṇamādittaṃ, vārinā parinibbaye;

    เอวมฺปิ ธีโร สุตวา, เมธาวี ปณฺฑิโต นโร;

    Evampi dhīro sutavā, medhāvī paṇḍito naro;

    ขิปฺปมุปฺปติตํ โสกํ, วาโต ตูลํว ธํสเยฯ

    Khippamuppatitaṃ sokaṃ, vāto tūlaṃva dhaṃsaye.

    ๙๓.

    93.

    ‘‘มโจฺจ เอโกว อเจฺจติ, เอโกว ชายเต กุเล;

    ‘‘Macco ekova acceti, ekova jāyate kule;

    สํโยคปรมาเตฺวว, สโมฺภคา สพฺพปาณินํฯ

    Saṃyogaparamātveva, sambhogā sabbapāṇinaṃ.

    ๙๔.

    94.

    ‘‘ตสฺมา หิ ธีรสฺส พหุสฺสุตสฺส, สมฺปสฺสโต โลกมิมํ ปรญฺจ;

    ‘‘Tasmā hi dhīrassa bahussutassa, sampassato lokamimaṃ parañca;

    อญฺญาย ธมฺมํ หทยํ มนญฺจ, โสกา มหนฺตาปิ น ตาปยนฺติฯ

    Aññāya dhammaṃ hadayaṃ manañca, sokā mahantāpi na tāpayanti.

    ๙๕.

    95.

    ‘‘โสหํ ทสฺสญฺจ โภกฺขญฺจ, ภริสฺสามิ จ ญาตเก;

    ‘‘Sohaṃ dassañca bhokkhañca, bharissāmi ca ñātake;

    เสสญฺจ ปาลยิสฺสามิ, กิจฺจเมตํ วิชานโต’’ติฯ –

    Sesañca pālayissāmi, kiccametaṃ vijānato’’ti. –

    อิมาหิ ทสหิ คาถาหิ อนิจฺจตํ ปกาเสติฯ

    Imāhi dasahi gāthāhi aniccataṃ pakāseti.

    ตตฺถ นิปาเลตุนฺติ รกฺขิตุํฯ ลปตนฺติ ลปนฺตานํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ตาต ภรต, ยํ สตฺตานํ ชีวิตํ พหุมฺปิ วิลปนฺตานํ ปุริสานํ เอเกนาปิ มา อุจฺฉิชฺชีติ น สกฺกา รกฺขิตุํ, โส ทานิ มาทิโส อฎฺฐ โลกธเมฺม ตถโต ชานโนฺต วิญฺญู เมธาวี ปณฺฑิโต มรณปริโยสานชีวิเตสุ สเตฺตสุ กิสฺส อตฺตานมุปตาปเย, กิํการณา อนุปกาเรน โสกทุเกฺขน อตฺตานํ สนฺตาเปยฺยา’’ติฯ

    Tattha nipāletunti rakkhituṃ. Lapatanti lapantānaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘tāta bharata, yaṃ sattānaṃ jīvitaṃ bahumpi vilapantānaṃ purisānaṃ ekenāpi mā ucchijjīti na sakkā rakkhituṃ, so dāni mādiso aṭṭha lokadhamme tathato jānanto viññū medhāvī paṇḍito maraṇapariyosānajīvitesu sattesu kissa attānamupatāpaye, kiṃkāraṇā anupakārena sokadukkhena attānaṃ santāpeyyā’’ti.

    ทหรา จาติ คาถา ‘‘มจฺจุ นาเมส ตาต ภรต, เนว สุวณฺณรูปกสทิสานํ ทหรานํ ขตฺติยกุมารกาทีนํ, น วุทฺธิปฺปตฺตานํ มหาโยธานํ, น พาลานํ ปุถุชฺชนสตฺตานํ, น พุทฺธาทีนํ ปณฺฑิตานํ, น จกฺกวตฺติอาทีนํ อิสฺสรานํ, น นิทฺธนานํ ทลิทฺทาทีนํ ลชฺชติ, สเพฺพปิเม สตฺตา มจฺจุปรายณา มรณมุเข สํภคฺควิภคฺคา ภวนฺติเยวา’’ติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตาฯ

    Daharā cāti gāthā ‘‘maccu nāmesa tāta bharata, neva suvaṇṇarūpakasadisānaṃ daharānaṃ khattiyakumārakādīnaṃ, na vuddhippattānaṃ mahāyodhānaṃ, na bālānaṃ puthujjanasattānaṃ, na buddhādīnaṃ paṇḍitānaṃ, na cakkavattiādīnaṃ issarānaṃ, na niddhanānaṃ daliddādīnaṃ lajjati, sabbepime sattā maccuparāyaṇā maraṇamukhe saṃbhaggavibhaggā bhavantiyevā’’ti dassanatthaṃ vuttā.

    นิจฺจํ ปตนโตติ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา หิ ตาต ภรต, ปกฺกานํ ผลานํ ปกฺกกาลโต ปฎฺฐาย ‘‘อิทานิ วณฺฎา ฉิชฺชิตฺวา ปติสฺสนฺติ, อิทานิ ปติสฺสนฺตี’’ติ ปตนโต ภยํ นิจฺจํ ธุวํ เอกํสิกเมว ภวติ, เอวํ อาสงฺกนียโต เอวํ ชาตานํ มจฺจานมฺปิ เอกํสิกํเยว มรณโต ภยํ, นตฺถิ โส ขโณ วา ลโย วา ยตฺถ เตสํ มรณํ น อาสงฺกิตพฺพํ ภเวยฺยาติฯ

    Niccaṃ patanatoti idaṃ vuttaṃ hoti – yathā hi tāta bharata, pakkānaṃ phalānaṃ pakkakālato paṭṭhāya ‘‘idāni vaṇṭā chijjitvā patissanti, idāni patissantī’’ti patanato bhayaṃ niccaṃ dhuvaṃ ekaṃsikameva bhavati, evaṃ āsaṅkanīyato evaṃ jātānaṃ maccānampi ekaṃsikaṃyeva maraṇato bhayaṃ, natthi so khaṇo vā layo vā yattha tesaṃ maraṇaṃ na āsaṅkitabbaṃ bhaveyyāti.

    สายนฺติ วิกาเลฯ อิมินา รตฺติภาเค จ ทิฎฺฐานํ ทิวสภาเค อทสฺสนํ, ทิวสภาเค จ ทิฎฺฐานํ รตฺติภาเค อทสฺสนํ ทีเปติฯ กิญฺจิทตฺถนฺติ ‘‘ปิตา เม, ปุโตฺต เม’’ติอาทีหิ ปริเทวมาโนว โปโส สมฺมูโฬฺห อตฺตานํ หิํสโนฺต กิลเมโนฺต อปฺปมตฺตกมฺปิ อตฺถํ อาหเรยฺยฯ กยิรา ตํ วิจกฺขโณติ อถ ปณฺฑิโต ปุริโส เอวํ ปริเทวํ กเรยฺย, ยสฺมา ปน ปริเทวโนฺต มตํ วา อาเนตุํ อญฺญํ วา ตสฺส วฑฺฒิํ กาตุํ น สโกฺกติ, ตสฺมา นิรตฺถกตฺตา ปริเทวิตสฺส ปณฺฑิตา น ปริเทวนฺติฯ

    Sāyanti vikāle. Iminā rattibhāge ca diṭṭhānaṃ divasabhāge adassanaṃ, divasabhāge ca diṭṭhānaṃ rattibhāge adassanaṃ dīpeti. Kiñcidatthanti ‘‘pitā me, putto me’’tiādīhi paridevamānova poso sammūḷho attānaṃ hiṃsanto kilamento appamattakampi atthaṃ āhareyya. Kayirātaṃ vicakkhaṇoti atha paṇḍito puriso evaṃ paridevaṃ kareyya, yasmā pana paridevanto mataṃ vā ānetuṃ aññaṃ vā tassa vaḍḍhiṃ kātuṃ na sakkoti, tasmā niratthakattā paridevitassa paṇḍitā na paridevanti.

    อตฺตานมตฺตโนติ อตฺตโน อตฺตภาวํ โสกปริเทวทุเกฺขน หิํสโนฺตฯ น เตนาติ เตน ปริเทเวน ปรโลกํ คตา สตฺตา น ปาเลนฺติ น ยาเปนฺติฯ นิรตฺถาติ ตสฺมา เตสํ มตสตฺตานํ อยํ ปริเทวนา นิรตฺถกาฯ สรณนฺติ นิวาสเคหํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา ปณฺฑิโต ปุริโส อตฺตโน วสนาคาเร อาทิเตฺต มุหุตฺตมฺปิ โวสานํ อนาปชฺชิตฺวา ฆฎสเตน ฆฎสหเสฺสน วารินา นิพฺพาปยเตว, เอวํ ธีโร อุปฺปติตํ โสกํ ขิปฺปเมว นิพฺพาปเยฯ ตูลํ วิย จ วาโต ยถา สณฺฐาตุํ น สโกฺกติ, เอวํ ธํสเย วิทฺธํเสยฺยาติ อโตฺถฯ

    Attānamattanoti attano attabhāvaṃ sokaparidevadukkhena hiṃsanto. Na tenāti tena paridevena paralokaṃ gatā sattā na pālenti na yāpenti. Niratthāti tasmā tesaṃ matasattānaṃ ayaṃ paridevanā niratthakā. Saraṇanti nivāsagehaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā paṇḍito puriso attano vasanāgāre āditte muhuttampi vosānaṃ anāpajjitvā ghaṭasatena ghaṭasahassena vārinā nibbāpayateva, evaṃ dhīro uppatitaṃ sokaṃ khippameva nibbāpaye. Tūlaṃ viya ca vāto yathā saṇṭhātuṃ na sakkoti, evaṃ dhaṃsaye viddhaṃseyyāti attho.

    มโจฺจ เอโกว อเจฺจตีติ เอตฺถ ตาต ภรต, อิเม สตฺตา กมฺมสฺสกา นาม, ตถา หิ อิโต ปรโลกํ คจฺฉโนฺต สโตฺต เอโกว อเจฺจติ อติกฺกมติ, ขตฺติยาทิกุเล ชายมาโนปิ เอโกว คนฺตฺวา ชายติฯ ตตฺถ ตตฺถ ปน ญาติมิตฺตสํโยเคน ‘‘อยํ เม ปิตา, อยํ เม มาตา, อยํ เม มิโตฺต’’ติ สํโยคปรมาเตฺวว สโมฺภคา สพฺพปาณีนํ, ปรมเตฺถน ปน ตีสุปิ ภเวสุ กมฺมสฺสกาเวเต สตฺตาติ อโตฺถฯ

    Macco ekova accetīti ettha tāta bharata, ime sattā kammassakā nāma, tathā hi ito paralokaṃ gacchanto satto ekova acceti atikkamati, khattiyādikule jāyamānopi ekova gantvā jāyati. Tattha tattha pana ñātimittasaṃyogena ‘‘ayaṃ me pitā, ayaṃ me mātā, ayaṃ me mitto’’ti saṃyogaparamātveva sambhogā sabbapāṇīnaṃ, paramatthena pana tīsupi bhavesu kammassakāvete sattāti attho.

    ตสฺมาติ ยสฺมา เอเตสํ สตฺตานํ ญาติมิตฺตสํโยคํ ญาติมิตฺตปริโภคมตฺตํ ฐเปตฺวา อิโต ปรํ อญฺญํ นตฺถิ, ตสฺมาฯ สมฺปสฺสโตติ อิมญฺจ ปรญฺจ โลกํ นานาภาววินาภาวเมว สมฺมา ปสฺสโตฯ อญฺญาย ธมฺมนฺติ อฎฺฐวิธโลกธมฺมํ ชานิตฺวาฯ หทยํ มนญฺจาติ อิทํ อุภยมฺปิ จิตฺตเสฺสว นามํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ –

    Tasmāti yasmā etesaṃ sattānaṃ ñātimittasaṃyogaṃ ñātimittaparibhogamattaṃ ṭhapetvā ito paraṃ aññaṃ natthi, tasmā. Sampassatoti imañca parañca lokaṃ nānābhāvavinābhāvameva sammā passato. Aññāya dhammanti aṭṭhavidhalokadhammaṃ jānitvā. Hadayaṃ manañcāti idaṃ ubhayampi cittasseva nāmaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti –

    ‘‘ลาโภ อลาโภ ยโส อยโส จ, นินฺทา ปสํสา จ สุขญฺจ ทุกฺขํ;

    ‘‘Lābho alābho yaso ayaso ca, nindā pasaṃsā ca sukhañca dukkhaṃ;

    เอเต อนิจฺจา มนุเชสุ ธมฺมา, มา โสจ กิํ โสจสิ โปฎฺฐปาทา’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๑๑๔) –

    Ete aniccā manujesu dhammā, mā soca kiṃ socasi poṭṭhapādā’’ti. (jā. 1.4.114) –

    อิเมสํ อฎฺฐนฺนํ โลกธมฺมานํ เยน เกนจิ จิตฺตํ ปริยาทียติ, ตสฺส จ อนิจฺจตํ ญตฺวา ฐิตสฺส ธีรสฺส ปิตุปุตฺตมรณาทิวตฺถุกา มหนฺตาปิ โสกา หทยํ น ตาปยนฺตีติฯ เอตํ วา อฎฺฐวิธํ โลกธมฺมํ ญตฺวา ฐิตสฺส หทยวตฺถุญฺจ มนญฺจ มหนฺตาปิ โสกา น ตาปยนฺตีติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Imesaṃ aṭṭhannaṃ lokadhammānaṃ yena kenaci cittaṃ pariyādīyati, tassa ca aniccataṃ ñatvā ṭhitassa dhīrassa pituputtamaraṇādivatthukā mahantāpi sokā hadayaṃ na tāpayantīti. Etaṃ vā aṭṭhavidhaṃ lokadhammaṃ ñatvā ṭhitassa hadayavatthuñca manañca mahantāpi sokā na tāpayantīti evampettha attho daṭṭhabbo.

    โสหํ ทสฺสญฺจ โภกฺขญฺจาติ คาถาย – ตาต ภรต, อนฺธพาลานํ สตฺตานํ วิย มม โรทนปริเทวนํ นาม น อนุจฺฉวิกํ, อหํ ปน ปิตุ อจฺจเยน ตสฺส ฐาเน ฐตฺวา กปณาทีนํ ทานารหานํ ทานํ, ฐานนฺตรารหานํ ฐานนฺตรํ, ยสารหานํ ยสํ ทสฺสามิ, ปิตรา เม ปริภุตฺตนเยน อิสฺสริยํ ปริภุญฺชิสฺสามิ, ญาตเก จ โปเสสฺสามิ, อวเสสญฺจ อโนฺตปริชนาทิกํ ชนํ ปาเลสฺสามิ, ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณานํ ธมฺมิกํ รกฺขาวรณคุตฺติํ กริสฺสามีติ เอวญฺหิ ชานโต ปณฺฑิตปุริสสฺส อนุรูปํ กิจฺจนฺติ อโตฺถฯ

    Sohaṃdassañca bhokkhañcāti gāthāya – tāta bharata, andhabālānaṃ sattānaṃ viya mama rodanaparidevanaṃ nāma na anucchavikaṃ, ahaṃ pana pitu accayena tassa ṭhāne ṭhatvā kapaṇādīnaṃ dānārahānaṃ dānaṃ, ṭhānantarārahānaṃ ṭhānantaraṃ, yasārahānaṃ yasaṃ dassāmi, pitarā me paribhuttanayena issariyaṃ paribhuñjissāmi, ñātake ca posessāmi, avasesañca antoparijanādikaṃ janaṃ pālessāmi, dhammikasamaṇabrāhmaṇānaṃ dhammikaṃ rakkhāvaraṇaguttiṃ karissāmīti evañhi jānato paṇḍitapurisassa anurūpaṃ kiccanti attho.

    ปริสา อิมํ รามปณฺฑิตสฺส อนิจฺจตาปกาสนํ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา นิโสฺสกา อเหสุํฯ ตโต ภรตกุมาโร รามปณฺฑิตํ วนฺทิตฺวา ‘‘พาราณสิรชฺชํ สมฺปฎิจฺฉถา’’ติ อาหฯ ตาต ลกฺขณญฺจ, สีตาเทวิญฺจ คเหตฺวา คนฺตฺวา รชฺชํ อนุสาสถาติฯ ตุเมฺห ปน, เทวาติฯ ตาต, มม ปิตา ‘‘ทฺวาทสวสฺสจฺจเยน อาคนฺตฺวา รชฺชํ กาเรยฺยาสี’’ติ มํ อโวจ, อหํ อิทาเนว คจฺฉโนฺต ตสฺส วจนกโร นาม น โหมิ, อญฺญานิปิ ตีณิ วสฺสานิ อติกฺกมิตฺวา อาคมิสฺสามีติฯ ‘‘เอตฺตกํ กาลํ โก รชฺชํ กาเรสฺสตี’’ติ? ‘‘ตุเมฺห กาเรถา’’ติฯ ‘‘น มยํ กาเรสฺสามา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ยาว มมาคมนา อิมา ปาทุกา กาเรสฺสนฺตี’’ติ อตฺตโน ติณปาทุกา โอมุญฺจิตฺวา อทาสิฯ เต ตโยปิ ชนา ปาทุกา คเหตฺวา รามปณฺฑิตํ วนฺทิตฺวา มหาชนปริวุตา พาราณสิํ อคมํสุฯ ตีณิ สํวจฺฉรานิ ปาทุกา รชฺชํ กาเรสุํฯ อมจฺจา ติณปาทุกา ราชปลฺลเงฺก ฐเปตฺวา อฑฺฑํ วินิจฺฉินนฺติฯ สเจ ทุพฺพินิจฺฉิโต โหติ, ปาทุกา อญฺญมญฺญํ ปฎิหญฺญนฺติฯ ตาย สญฺญาย ปุน วินิจฺฉินนฺติฯ สมฺมา วินิจฺฉิตกาเล ปาทุกา นิสฺสทฺทา สนฺนิสีทนฺติฯ รามปณฺฑิโต ติณฺณํ สํวจฺฉรานํ อจฺจเยน อรญฺญา นิกฺขมิตฺวา พาราณสินครํ ปตฺวา อุยฺยานํ ปาวิสิฯ ตสฺส อาคมนภาวํ ญตฺวา กุมารา อมจฺจคณปริวุตา อุยฺยานํ คนฺตฺวา สีตํ อคฺคมเหสิํ กตฺวา อุภินฺนมฺปิ อภิเสกํ อกํสุฯ เอวํ อภิเสกปฺปโตฺต มหาสโตฺต อลงฺกตรเถ ฐตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน นครํ ปวิสิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา จนฺทกปาสาทวรสฺส มหาตลํ อภิรุหิฯ ตโต ปฎฺฐาย โสฬส วสฺสสหสฺสานิ ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตฺวา อายุปริโยสาเน สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ

    Parisā imaṃ rāmapaṇḍitassa aniccatāpakāsanaṃ dhammadesanaṃ sutvā nissokā ahesuṃ. Tato bharatakumāro rāmapaṇḍitaṃ vanditvā ‘‘bārāṇasirajjaṃ sampaṭicchathā’’ti āha. Tāta lakkhaṇañca, sītādeviñca gahetvā gantvā rajjaṃ anusāsathāti. Tumhe pana, devāti. Tāta, mama pitā ‘‘dvādasavassaccayena āgantvā rajjaṃ kāreyyāsī’’ti maṃ avoca, ahaṃ idāneva gacchanto tassa vacanakaro nāma na homi, aññānipi tīṇi vassāni atikkamitvā āgamissāmīti. ‘‘Ettakaṃ kālaṃ ko rajjaṃ kāressatī’’ti? ‘‘Tumhe kārethā’’ti. ‘‘Na mayaṃ kāressāmā’’ti. ‘‘Tena hi yāva mamāgamanā imā pādukā kāressantī’’ti attano tiṇapādukā omuñcitvā adāsi. Te tayopi janā pādukā gahetvā rāmapaṇḍitaṃ vanditvā mahājanaparivutā bārāṇasiṃ agamaṃsu. Tīṇi saṃvaccharāni pādukā rajjaṃ kāresuṃ. Amaccā tiṇapādukā rājapallaṅke ṭhapetvā aḍḍaṃ vinicchinanti. Sace dubbinicchito hoti, pādukā aññamaññaṃ paṭihaññanti. Tāya saññāya puna vinicchinanti. Sammā vinicchitakāle pādukā nissaddā sannisīdanti. Rāmapaṇḍito tiṇṇaṃ saṃvaccharānaṃ accayena araññā nikkhamitvā bārāṇasinagaraṃ patvā uyyānaṃ pāvisi. Tassa āgamanabhāvaṃ ñatvā kumārā amaccagaṇaparivutā uyyānaṃ gantvā sītaṃ aggamahesiṃ katvā ubhinnampi abhisekaṃ akaṃsu. Evaṃ abhisekappatto mahāsatto alaṅkatarathe ṭhatvā mahantena parivārena nagaraṃ pavisitvā padakkhiṇaṃ katvā candakapāsādavarassa mahātalaṃ abhiruhi. Tato paṭṭhāya soḷasa vassasahassāni dhammena rajjaṃ kāretvā āyupariyosāne saggapuraṃ pūresi.

    ๙๖.

    96.

    ‘‘ทส วสฺสสหสฺสานิ, สฎฺฐิ วสฺสสตานิ จ;

    ‘‘Dasa vassasahassāni, saṭṭhi vassasatāni ca;

    กมฺพุคีโว มหาพาหุ, ราโม รชฺชมการยี’’ติฯ –

    Kambugīvo mahābāhu, rāmo rajjamakārayī’’ti. –

    อยํ อภิสมฺพุทฺธคาถา ตมตฺถํ ทีเปติฯ

    Ayaṃ abhisambuddhagāthā tamatthaṃ dīpeti.

    ตตฺถ กมฺพุคีโวติ สุวณฺณาฬิงฺคสทิสคีโวฯ สุวณฺณญฺหิ กมฺพูติ วุจฺจติฯ

    Tattha kambugīvoti suvaṇṇāḷiṅgasadisagīvo. Suvaṇṇañhi kambūti vuccati.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน กุฎุมฺพิโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา ทสรถมหาราชา สุโทฺธทนมหาราชา อโหสิ, มาตา มหามายาเทวี, สีตา ราหุลมาตา, ภรโต อานโนฺท, ลกฺขโณ สาริปุโตฺต, ปริสา พุทฺธปริสา, รามปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne kuṭumbiko sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā dasarathamahārājā suddhodanamahārājā ahosi, mātā mahāmāyādevī, sītā rāhulamātā, bharato ānando, lakkhaṇo sāriputto, parisā buddhaparisā, rāmapaṇḍito pana ahameva ahosinti.

    ทสรถชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ

    Dasarathajātakavaṇṇanā sattamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๖๑. ทสรถชาตกํ • 461. Dasarathajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact