Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā

    ๑. เทสนาหารสมฺปาตวณฺณนา

    1. Desanāhārasampātavaṇṇanā

    เอวํ สุปริกมฺมกตาย ภูมิยา นานาวณฺณานิ มุตฺตปุปฺผานิ ปกิรโนฺต วิย สุสิกฺขิตสิปฺปาจริยวิจาริเตสุ สุรตฺตสุวณฺณาลงฺกาเรสุ นานาวิธรํสิชาลสมุชฺชลานิ วิวิธานิ มณิรตนานิ พนฺธโนฺต วิย มหาปถวิํ ปริวเตฺตตฺวา ปปฺปฎโกชํ ขาทาเปโนฺต วิย โยชนิกมธุคณฺฑํ ปีเฬตฺวา สุมธุรสํ ปาเยโนฺต วิย จ อายสฺมา มหากจฺจาโน นานาสุตฺตปเทเส อุทาหรโนฺต โสฬส หาเร วิภชิตฺวา อิทานิ เต เอกสฺมิํเยว สุเตฺต โยเชตฺวา ทเสฺสโนฺต หารสมฺปาตวารํ อารภิฯ อารภโนฺต จ ยายํ นิเทฺทสวาเร –

    Evaṃ suparikammakatāya bhūmiyā nānāvaṇṇāni muttapupphāni pakiranto viya susikkhitasippācariyavicāritesu surattasuvaṇṇālaṅkāresu nānāvidharaṃsijālasamujjalāni vividhāni maṇiratanāni bandhanto viya mahāpathaviṃ parivattetvā pappaṭakojaṃ khādāpento viya yojanikamadhugaṇḍaṃ pīḷetvā sumadhurasaṃ pāyento viya ca āyasmā mahākaccāno nānāsuttapadese udāharanto soḷasa hāre vibhajitvā idāni te ekasmiṃyeva sutte yojetvā dassento hārasampātavāraṃ ārabhi. Ārabhanto ca yāyaṃ niddesavāre –

    ๕๒.

    52.

    ‘‘โสฬส หารา ปฐมํ, ทิสโลจนโต ทิสา วิโลเกตฺวาฯ

    ‘‘Soḷasa hārā paṭhamaṃ, disalocanato disā viloketvā.

    สงฺขิปิย องฺกุเสน หิ, นเยหิ ตีหิ นิทฺทิเส สุตฺต’’นฺติฯ –

    Saṅkhipiya aṅkusena hi, nayehi tīhi niddise sutta’’nti. –

    คาถา วุตฺตาฯ ยสฺมา ตํ หารวิภงฺควาโร นปฺปโยเชติ, วิปฺปกิณฺณวิสยตฺตา, นยวิจารสฺส จ อนฺตริตตฺตา ฯ อเนเกหิ สุตฺตปเทเสหิ หารานํ วิภาคทสฺสนเมว หิ หารวิภงฺควาโรฯ หารสมฺปาตวาโร ปน ตํ ปโยเชติ, เอกสฺมิํเยว สุตฺตปเทเส โสฬส หาเร โยเชตฺวาว ตทนนฺตรํ นยสมุฎฺฐานสฺส กถิตตฺตาฯ ตสฺมา ‘‘โสฬส หารา ปฐม’’นฺติ คาถํ ปจฺจามสิตฺวา ‘‘ตสฺสา นิเทฺทโส กุหิํ ทฎฺฐโพฺพ, หารสมฺปาเต’’ติ อาหฯ ตสฺสโตฺถ – ‘‘ตสฺสา คาถาย นิเทฺทโส กตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติฯ เอเตน สุเตฺตสุ หารานํ โยชนานยทสฺสนํ หารสมฺปาตวาโรติ ทเสฺสติฯ หารสมฺปาตปทสฺส อโตฺถ วุโตฺต เอวฯ

    Gāthā vuttā. Yasmā taṃ hāravibhaṅgavāro nappayojeti, vippakiṇṇavisayattā, nayavicārassa ca antaritattā . Anekehi suttapadesehi hārānaṃ vibhāgadassanameva hi hāravibhaṅgavāro. Hārasampātavāro pana taṃ payojeti, ekasmiṃyeva suttapadese soḷasa hāre yojetvāva tadanantaraṃ nayasamuṭṭhānassa kathitattā. Tasmā ‘‘soḷasa hārā paṭhama’’nti gāthaṃ paccāmasitvā ‘‘tassā niddeso kuhiṃ daṭṭhabbo, hārasampāte’’ti āha. Tassattho – ‘‘tassā gāthāya niddeso kattha daṭṭhabbo’’ti. Etena suttesu hārānaṃ yojanānayadassanaṃ hārasampātavāroti dasseti. Hārasampātapadassa attho vutto eva.

    อรกฺขิเตน จิเตฺตนาติ จกฺขุทฺวาราทีสุ สติอารกฺขาภาเวน อคุเตฺตน จิเตฺตนฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิหเตนาติ สสฺสตาทิมิจฺฉาภินิเวสทูสิเตนฯ ถินมิทฺธาภิภูเตนาติ จิตฺตสฺส กายสฺส จ อกลฺยตาลกฺขเณหิ ถินมิเทฺธหิ อโชฺฌตฺถเฎนฯ วสํ มารสฺส คจฺฉตีติ กิเลสมาราทีนํ ยถากามํ กรณีโย โหตีติ อยํ ตาว คาถาย ปทโตฺถฯ

    Arakkhitenacittenāti cakkhudvārādīsu satiārakkhābhāvena aguttena cittena. Micchādiṭṭhihatenāti sassatādimicchābhinivesadūsitena. Thinamiddhābhibhūtenāti cittassa kāyassa ca akalyatālakkhaṇehi thinamiddhehi ajjhotthaṭena. Vasaṃ mārassa gacchatīti kilesamārādīnaṃ yathākāmaṃ karaṇīyo hotīti ayaṃ tāva gāthāya padattho.

    ปมาทนฺติ ‘‘อรกฺขิเตน จิเตฺตนา’’ติ อิทํ ปทํ ฉสุ ทฺวาเรสุ สติโวสคฺคลกฺขณํ ปมาทํ กเถติฯ ตํ มจฺจุโน ปทนฺติ ตํ ปมชฺชนํ คุณมารณโต มจฺจุสงฺขาตสฺส มารสฺส วสวตฺตนฎฺฐานํ, เตน ‘‘อรกฺขิเตน จิเตฺตน, วสํ มารสฺส คจฺฉตี’’ติ ปฐมปาทํ จตุตฺถปาเทน สมฺพนฺธิตฺวา ทเสฺสติฯ โส วิปลฺลาโสติ ยํ อนิจฺจสฺส ขนฺธปญฺจกสฺส ‘‘นิจฺจ’’นฺติ ทสฺสนํ, โส วิปลฺลาโส วิปริเยสคฺคาโหฯ เตเนวาห – ‘‘วิปรีตคฺคาหลกฺขโณ วิปลฺลาโส’’ติฯ สพฺพํ วิปลฺลาสสามเญฺญน คเหตฺวา ตสฺส อธิฎฺฐานํ ปุจฺฉติ ‘‘กิํ วิปลฺลาสยตี’’ติฯ สามญฺญสฺส จ วิเสโส อธิฎฺฐานภาเวน โวหรียตีติ อาห – ‘‘สญฺญํ จิตฺตํ ทิฎฺฐิมิตี’’ติฯ ตํ ‘‘วิปลฺลาสยตี’’ติ ปเทน สมฺพนฺธิตพฺพํฯ เตสุ สญฺญาวิปลฺลาโส สพฺพมุทุโก, อนิจฺจาทิกสฺส วิสยสฺส มิจฺฉาวเสน อุปฎฺฐิตาการคฺคหณมตฺตํ มิคโปตกานํ ติณปุริสเกสุ ปุริโสติ อุปฺปนฺนสญฺญา วิยฯ จิตฺตวิปลฺลาโส ตโต พลวตโร, อมณิอาทิเก วิสเย มณิอาทิอากาเรน อุปฎฺฐหเนฺต ตถา สนฺนิฎฺฐานํ วิย นิจฺจาทิโต สนฺนิฎฺฐานมตฺตํฯ ทิฎฺฐิวิปลฺลาโส ปน สพฺพพลวตโร ยํ ยํ อารมฺมณํ ยถา ยถา อุปฎฺฐาติ, ตถา ตถา นํ สสฺสตาทิวเสน ‘‘อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญ’’นฺติ อภินิวิสโนฺต ปวตฺตติฯ ตตฺถ สญฺญาวิปลฺลาโส จิตฺตวิปลฺลาสสฺส การณํ, จิตฺตวิปลฺลาโส ทิฎฺฐิวิปลฺลาสสฺส การณํ โหติฯ

    Pamādanti ‘‘arakkhitena cittenā’’ti idaṃ padaṃ chasu dvāresu sativosaggalakkhaṇaṃ pamādaṃ katheti. Taṃ maccuno padanti taṃ pamajjanaṃ guṇamāraṇato maccusaṅkhātassa mārassa vasavattanaṭṭhānaṃ, tena ‘‘arakkhitena cittena, vasaṃ mārassa gacchatī’’ti paṭhamapādaṃ catutthapādena sambandhitvā dasseti. So vipallāsoti yaṃ aniccassa khandhapañcakassa ‘‘nicca’’nti dassanaṃ, so vipallāso vipariyesaggāho. Tenevāha – ‘‘viparītaggāhalakkhaṇo vipallāso’’ti. Sabbaṃ vipallāsasāmaññena gahetvā tassa adhiṭṭhānaṃ pucchati ‘‘kiṃ vipallāsayatī’’ti. Sāmaññassa ca viseso adhiṭṭhānabhāvena voharīyatīti āha – ‘‘saññaṃ cittaṃ diṭṭhimitī’’ti. Taṃ ‘‘vipallāsayatī’’ti padena sambandhitabbaṃ. Tesu saññāvipallāso sabbamuduko, aniccādikassa visayassa micchāvasena upaṭṭhitākāraggahaṇamattaṃ migapotakānaṃ tiṇapurisakesu purisoti uppannasaññā viya. Cittavipallāso tato balavataro, amaṇiādike visaye maṇiādiākārena upaṭṭhahante tathā sanniṭṭhānaṃ viya niccādito sanniṭṭhānamattaṃ. Diṭṭhivipallāso pana sabbabalavataro yaṃ yaṃ ārammaṇaṃ yathā yathā upaṭṭhāti, tathā tathā naṃ sassatādivasena ‘‘idameva saccaṃ moghamañña’’nti abhinivisanto pavattati. Tattha saññāvipallāso cittavipallāsassa kāraṇaṃ, cittavipallāso diṭṭhivipallāsassa kāraṇaṃ hoti.

    อิทานิ วิปลฺลาสานํ ปวตฺติฎฺฐานํ วิสยํ ทเสฺสตุํ ‘‘โส กุหิํ วิปลฺลาสยติ, จตูสุ อตฺตภาววตฺถูสู’’ติ อาหฯ ตตฺถ อตฺตภาววตฺถูสูติ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุฯ เต หิ อาหิโต อหํ มาโน เอตฺถาติ อตฺตา, ‘‘อตฺตา’’ติ ภวติ เอตฺถ พุทฺธิ โวหาโร จาติ อตฺตภาโว, โส เอว สุภาทีนํ วิปลฺลาสสฺส จ อธิฎฺฐานภาวโต วตฺถุ จาติ ‘‘อตฺตภาววตฺถู’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทินา เตสํ สพฺพวิปลฺลาสมูลภูตาย สกฺกายทิฎฺฐิยา ปวตฺติฎฺฐานภาเวน อตฺตภาววตฺถุตํ ทเสฺสตฺวา ปุน วิปลฺลาสานํ ปวตฺติอากาเรน สทฺธิํ วิสยํ วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘รูปํ ปฐมํ วิปลฺลาสวตฺถุ อสุเภ สุภ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตํ สพฺพํ สุวิเญฺญยฺยํฯ ปุน มูลการณวเสน วิปลฺลาเส วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘เทฺว ธมฺมา จิตฺตสฺส สํกิเลสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ อวิชฺชารหิตา ตณฺหา นตฺถิ, อวิชฺชา จ สุภสุขสญฺญานมฺปิ ปจฺจโย เอว, ตถาปิ ตณฺหา เอตาสํ สาติสยํ ปจฺจโยติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตณฺหานิวุตํ…เป.… ทุเกฺข สุข’’นฺติ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐินิวุตนฺติ ทิฎฺฐิสีเสน อวิชฺชา วุตฺตาติ อวิชฺชานิวุตนฺติ อโตฺถฯ กามเญฺจตฺถ ตณฺหารหิตา ทิฎฺฐิ นตฺถิ, ตณฺหาปิ ทิฎฺฐิยา ปจฺจโย เอวฯ ตณฺหาปิ ‘‘นิจฺจํ อตฺตา’’ติ อโยนิโส อุมฺมุชฺชนฺตานํ ตถาปวตฺตมิจฺฉาภินิเวสสฺส โมโห วิเสสปจฺจโยติ ทเสฺสตุํ ‘‘ทิฎฺฐินิวุตํ…เป.… อตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ

    Idāni vipallāsānaṃ pavattiṭṭhānaṃ visayaṃ dassetuṃ ‘‘so kuhiṃ vipallāsayati, catūsu attabhāvavatthūsū’’ti āha. Tattha attabhāvavatthūsūti pañcasu upādānakkhandhesu. Te hi āhito ahaṃ māno etthāti attā, ‘‘attā’’ti bhavati ettha buddhi vohāro cāti attabhāvo, so eva subhādīnaṃ vipallāsassa ca adhiṭṭhānabhāvato vatthu cāti ‘‘attabhāvavatthū’’ti vuccati. ‘‘Rūpaṃ attato samanupassatī’’tiādinā tesaṃ sabbavipallāsamūlabhūtāya sakkāyadiṭṭhiyā pavattiṭṭhānabhāvena attabhāvavatthutaṃ dassetvā puna vipallāsānaṃ pavattiākārena saddhiṃ visayaṃ vibhajitvā dassetuṃ ‘‘rūpaṃ paṭhamaṃ vipallāsavatthu asubhe subha’’nti vuttaṃ. Taṃ sabbaṃ suviññeyyaṃ. Puna mūlakāraṇavasena vipallāse vibhajitvā dassetuṃ ‘‘dve dhammā cittassa saṃkilesā’’tiādimāha. Tattha kiñcāpi avijjārahitā taṇhā natthi, avijjā ca subhasukhasaññānampi paccayo eva, tathāpi taṇhā etāsaṃ sātisayaṃ paccayoti dassetuṃ ‘‘taṇhānivutaṃ…pe… dukkhe sukha’’nti vuttaṃ. Diṭṭhinivutanti diṭṭhisīsena avijjā vuttāti avijjānivutanti attho. Kāmañcettha taṇhārahitā diṭṭhi natthi, taṇhāpi diṭṭhiyā paccayo eva. Taṇhāpi ‘‘niccaṃ attā’’ti ayoniso ummujjantānaṃ tathāpavattamicchābhinivesassa moho visesapaccayoti dassetuṃ ‘‘diṭṭhinivutaṃ…pe… attā’’ti vuttaṃ.

    โย ทิฎฺฐิวิปลฺลาโสติ ‘‘อนิเจฺจ นิจฺจํ, อนตฺตนิ อตฺตา’’ติ ปวตฺตมฺปิ วิปลฺลาสทฺวยํ สนฺธายาห – ‘‘โส อตีตํ รูปํ…เป.… อตีตํ วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติฯ เอเตน อฎฺฐารสวิโธปิ ปุพฺพนฺตานุกปฺปิกวาโท ปจฺฉิมานํ ทฺวินฺนํ วิปลฺลาสานํ วเสน โหตีติ ทเสฺสติฯ ตณฺหาวิปลฺลาโสติ ตณฺหามูลโก วิปลฺลาโสฯ ‘‘อสุเภ สุภํ, ทุเกฺข สุข’’นฺติ เอตํ วิปลฺลาสทฺวยํ สนฺธาย วทติฯ อนาคตํ รูปํ อภินนฺทตีติ อนาคตํ รูปํ ทิฎฺฐาภินนฺทนวเสน อภินนฺทติฯ อนาคตํ เวทนํ, สญฺญํ, สงฺขาเร, วิญฺญาณํ อภินนฺทตีติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ เอเตน จตุจตฺตาลีสวิโธปิ อปรนฺตานุกปฺปิกวาโท เยภุเยฺยน ปุริมานํ ทฺวินฺนํ วิปลฺลาสานํ วเสน โหตีติ ทเสฺสติฯ เทฺว ธมฺมา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสาติ เอวํ ปรมสาวชฺชสฺส วิปลฺลาสสฺส มูลการณนฺติ วิเสสโต เทฺว ธมฺมา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสา ตณฺหา จ อวิชฺชา จาติ เต สรูปโต ทเสฺสติฯ ตาหิ วิสุชฺฌนฺตํ จิตฺตํ วิสุชฺฌตีติ ปฎิปกฺขวเสนปิ ตาสํ อุปกฺกิเลสภาวํเยว วิภาเวติ, น หิ ตณฺหาอวิชฺชาสุ ปหีนาสุ โกจิ สํกิเลสธโมฺม น ปหียตีติฯ ยถา จ วิปลฺลาสานํ มูลการณํ ตณฺหาวิชฺชา, เอวํ สกลสฺสาปิ วฎฺฎสฺส มูลการณนฺติ ยถานุสนฺธินาว คาถํ นิฎฺฐเปตุํ ‘‘เตส’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เตสนฺติ เยสํ อรกฺขิตํ จิตฺตํ มิจฺฉาทิฎฺฐิหตญฺจ, เตสํฯ ‘‘อวิชฺชานีวรณาน’’นฺติอาทินา มารสฺส วสคมเนน อนาทิมติสํสาเร สํสรณนฺติ ทเสฺสติฯ

    Yo diṭṭhivipallāsoti ‘‘anicce niccaṃ, anattani attā’’ti pavattampi vipallāsadvayaṃ sandhāyāha – ‘‘so atītaṃ rūpaṃ…pe… atītaṃ viññāṇaṃ attato samanupassatī’’ti. Etena aṭṭhārasavidhopi pubbantānukappikavādo pacchimānaṃ dvinnaṃ vipallāsānaṃ vasena hotīti dasseti. Taṇhāvipallāsoti taṇhāmūlako vipallāso. ‘‘Asubhe subhaṃ, dukkhe sukha’’nti etaṃ vipallāsadvayaṃ sandhāya vadati. Anāgataṃ rūpaṃ abhinandatīti anāgataṃ rūpaṃ diṭṭhābhinandanavasena abhinandati. Anāgataṃ vedanaṃ, saññaṃ, saṅkhāre, viññāṇaṃ abhinandatīti etthāpi eseva nayo. Etena catucattālīsavidhopi aparantānukappikavādo yebhuyyena purimānaṃ dvinnaṃ vipallāsānaṃ vasena hotīti dasseti. Dve dhammā cittassa upakkilesāti evaṃ paramasāvajjassa vipallāsassa mūlakāraṇanti visesato dve dhammā cittassa upakkilesā taṇhā ca avijjā cāti te sarūpato dasseti. Tāhi visujjhantaṃ cittaṃ visujjhatīti paṭipakkhavasenapi tāsaṃ upakkilesabhāvaṃyeva vibhāveti, na hi taṇhāavijjāsu pahīnāsu koci saṃkilesadhammo na pahīyatīti. Yathā ca vipallāsānaṃ mūlakāraṇaṃ taṇhāvijjā, evaṃ sakalassāpi vaṭṭassa mūlakāraṇanti yathānusandhināva gāthaṃ niṭṭhapetuṃ ‘‘tesa’’ntiādi vuttaṃ. Tattha tesanti yesaṃ arakkhitaṃ cittaṃ micchādiṭṭhihatañca, tesaṃ. ‘‘Avijjānīvaraṇāna’’ntiādinā mārassa vasagamanena anādimatisaṃsāre saṃsaraṇanti dasseti.

    ถินมิทฺธาภิภูเตนาติ เอตฺถ ‘‘ถินํ นามา’’ติอาทินา ถินมิทฺธานํ สรูปํ ทเสฺสติฯ เตหิ จิตฺตสฺส อภิภูตตา สุวิเญฺญยฺยาวาติ ตํ อนามสิตฺวา กิเลสมารคฺคหเณเนว ตํนิมิตฺตา อภิสงฺขารมารขนฺธมารมจฺจุมารา คหิตา เอวาติ ‘‘กิเลสมารสฺส จ สตฺตมารสฺส จา’’ติ -สเทฺทน วา เตสมฺปิ คหณํ กตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ โส หิ นิวุโต สํสาราภิมุโขติ โส มารวสํ คโต, ตโต เอว นิวุโต กิเลเสหิ ยาว น มารพนฺธนํ ฉิชฺชติ, ตาว สํสาราภิมุโขว โหติ, น วิสงฺขาราภิมุโขติ อธิปฺปาโยฯ อิมานิ ภควตา เทฺว สจฺจานิ เทสิตานิฯ กถํ เทสิตานิ?

    Thinamiddhābhibhūtenāti ettha ‘‘thinaṃ nāmā’’tiādinā thinamiddhānaṃ sarūpaṃ dasseti. Tehi cittassa abhibhūtatā suviññeyyāvāti taṃ anāmasitvā kilesamāraggahaṇeneva taṃnimittā abhisaṅkhāramārakhandhamāramaccumārā gahitā evāti ‘‘kilesamārassa ca sattamārassa cā’’ti ca-saddena vā tesampi gahaṇaṃ katanti daṭṭhabbaṃ. So hi nivuto saṃsārābhimukhoti so māravasaṃ gato, tato eva nivuto kilesehi yāva na mārabandhanaṃ chijjati, tāva saṃsārābhimukhova hoti, na visaṅkhārābhimukhoti adhippāyo. Imāni bhagavatā dve saccāni desitāni. Kathaṃ desitāni?

    ตตฺถ ทุวิธา กถา อภิธมฺมนิสฺสิตา จ สุตฺตนฺตนิสฺสิตา จฯ ตาสุ อภิธมฺมนิสฺสิตา นาม อรกฺขิเตน จิเตฺตนาติ รตฺตมฺปิ จิตฺตํ อรกฺขิตํ, ทุฎฺฐมฺปิ จิตฺตํ อรกฺขิตํ, มูฬฺหมฺปิ จิตฺตํ อรกฺขิตํฯ ตตฺถ รตฺตํ จิตฺตํ อฎฺฐนฺนํ โลภสหคตจิตฺตุปฺปาทานํ วเสน เวทิตพฺพํ, ทุฎฺฐํ จิตฺตํ ทฺวินฺนํ ปฎิฆจิตฺตุปฺปาทานํ วเสน เวทิตพฺพํ, มูฬฺหํ จิตฺตํ ทฺวินฺนํ โมมูหจิตฺตุปฺปาทานํ วเสน เวทิตพฺพํฯ ยาว อิเมสํ จิตฺตุปฺปาทานํ วเสน อินฺทฺริยานํ อคุตฺติ อโคปายนา อปาลนา อนารกฺขา สติโวสโคฺค ปมาโท จิตฺตสฺส อสํวโร, เอวํ อรกฺขิตํ จิตฺตํ โหติฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิหตํ นาม จิตฺตํ จตุนฺนํ ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตจิตฺตุปฺปาทานํ วเสน เวทิตพฺพํ, ถินมิทฺธาภิภูตํ นาม จิตฺตํ ปญฺจนฺนํ สสงฺขาริกากุสลจิตฺตุปฺปาทานํ วเสน เวทิตพฺพํฯ เอวํ สเพฺพปิ อคฺคหิตคฺคหเณน ทฺวาทส อกุสลจิตฺตุปฺปาทา โหนฺติฯ เต ‘‘กตเม ธมฺมา อกุสลา? ยสฺมิํ สมเย อกุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติอาทินา จิตฺตุปฺปาทกเณฺฑ (ธ. ส. ๓๖๕) อกุสลจิตฺตุปฺปาทเทสนาวเสน วิตฺถารโต วตฺตพฺพาฯ มารสฺสาติ เอตฺถ ปญฺจ มาราฯ เตสุ กิเลสมารสฺส จตุนฺนํ อาสวานํ จตุนฺนํ โอฆานํ จตุนฺนํ โยคานํ จตุนฺนํ คนฺถานํ จตุนฺนํ อุปาทานานํ อฎฺฐนฺนํ นีวรณานํ ทสนฺนํ กิเลสวตฺถูนํ วเสน อาสวโคจฺฉกาทีสุ (ธ. ส. ทุกมาติกา ๑๔-๑๙, ๑๑๐๒) วุตฺตนเยน, ตถา ‘‘ชาติมโท โคตฺตมโท อาโรคฺยมโท’’ติอาทินา ขุทฺทกวตฺถุวิภเงฺค (วิภ. ๘๓๒) อาคตานํ สตฺตนฺนํ กิเลสานญฺจ วเสน วิภาโค วตฺตโพฺพฯ อยํ ตาเวตฺถ อภิธมฺมนิสฺสิตา กถาฯ

    Tattha duvidhā kathā abhidhammanissitā ca suttantanissitā ca. Tāsu abhidhammanissitā nāma arakkhitena cittenāti rattampi cittaṃ arakkhitaṃ, duṭṭhampi cittaṃ arakkhitaṃ, mūḷhampi cittaṃ arakkhitaṃ. Tattha rattaṃ cittaṃ aṭṭhannaṃ lobhasahagatacittuppādānaṃ vasena veditabbaṃ, duṭṭhaṃ cittaṃ dvinnaṃ paṭighacittuppādānaṃ vasena veditabbaṃ, mūḷhaṃ cittaṃ dvinnaṃ momūhacittuppādānaṃ vasena veditabbaṃ. Yāva imesaṃ cittuppādānaṃ vasena indriyānaṃ agutti agopāyanā apālanā anārakkhā sativosaggo pamādo cittassa asaṃvaro, evaṃ arakkhitaṃ cittaṃ hoti. Micchādiṭṭhihataṃ nāma cittaṃ catunnaṃ diṭṭhisampayuttacittuppādānaṃ vasena veditabbaṃ, thinamiddhābhibhūtaṃ nāma cittaṃ pañcannaṃ sasaṅkhārikākusalacittuppādānaṃ vasena veditabbaṃ. Evaṃ sabbepi aggahitaggahaṇena dvādasa akusalacittuppādā honti. Te ‘‘katame dhammā akusalā? Yasmiṃ samaye akusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hotī’’tiādinā cittuppādakaṇḍe (dha. sa. 365) akusalacittuppādadesanāvasena vitthārato vattabbā. Mārassāti ettha pañca mārā. Tesu kilesamārassa catunnaṃ āsavānaṃ catunnaṃ oghānaṃ catunnaṃ yogānaṃ catunnaṃ ganthānaṃ catunnaṃ upādānānaṃ aṭṭhannaṃ nīvaraṇānaṃ dasannaṃ kilesavatthūnaṃ vasena āsavagocchakādīsu (dha. sa. dukamātikā 14-19, 1102) vuttanayena, tathā ‘‘jātimado gottamado ārogyamado’’tiādinā khuddakavatthuvibhaṅge (vibha. 832) āgatānaṃ sattannaṃ kilesānañca vasena vibhāgo vattabbo. Ayaṃ tāvettha abhidhammanissitā kathā.

    สุตฺตนฺตนิสฺสิตา (ม. นิ. ๑.๓๔๗; อ. นิ. ๑๑.๑๗) ปน อรกฺขิเตน จิเตฺตนาติ จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา นิมิตฺตคฺคาหี โหติ อนุพฺยญฺชนคฺคาหี, ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ, ตสฺส สํวราย น ปฎิปชฺชติ, น รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย น สํวรํ อาปชฺชติฯ โสเตน …เป.… ฆาเนน… ชิวฺหาย… กาเยน… มนสา…เป.… มนินฺทฺริเยน สํวรํ อาปชฺชติ (ม. นิ. ๑.๓๔๗, ๔๑๑, ๔๒๑; ๒.๔๑๙; ๓.๑๕, ๗๕)ฯ เอวํ อรกฺขิตํ จิตฺตํ โหติฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิหเตน จาติ มิจฺฉาทิฎฺฐิหตํ นาม จิตฺตํ ปุพฺพนฺตกปฺปนวเสน วา อปรนฺตกปฺปนวเสน วา ปุพฺพนฺตาปรนฺตกปฺปนวเสน วา มิจฺฉาภินิวิสนฺตสฺส อโยนิโส อุมฺมุชฺชนฺตสฺส ‘‘สสฺสโต โลโกติ วา…เป.… เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติ (วิภ. ๙๓๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๔๐) วา ยา ทิฎฺฐิ, ตาย หตํ อุปหตํฯ ยา จ โข ‘‘อิมา จตฺตาโร สสฺสตวาทา…เป.… ปญฺจ ปรมทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทา’’ติ พฺรหฺมชาเล (ที. นิ. ๑.๓๐ อาทโย) ปญฺจตฺตเย (ม. นิ. ๓.๒๑ อาทโย) จ อาคตา ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโย, ตาสํ วเสน จิตฺตสฺส มิจฺฉาทิฎฺฐิหตภาโว กเถตโพฺพฯ

    Suttantanissitā (ma. ni. 1.347; a. ni. 11.17) pana arakkhitena cittenāti cakkhunā rūpaṃ disvā nimittaggāhī hoti anubyañjanaggāhī, yatvādhikaraṇamenaṃ cakkhundriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ, tassa saṃvarāya na paṭipajjati, na rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye na saṃvaraṃ āpajjati. Sotena …pe… ghānena… jivhāya… kāyena… manasā…pe… manindriyena saṃvaraṃ āpajjati (ma. ni. 1.347, 411, 421; 2.419; 3.15, 75). Evaṃ arakkhitaṃ cittaṃ hoti. Micchādiṭṭhihatena cāti micchādiṭṭhihataṃ nāma cittaṃ pubbantakappanavasena vā aparantakappanavasena vā pubbantāparantakappanavasena vā micchābhinivisantassa ayoniso ummujjantassa ‘‘sassato lokoti vā…pe… neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’ti (vibha. 937; paṭi. ma. 1.140) vā yā diṭṭhi, tāya hataṃ upahataṃ. Yā ca kho ‘‘imā cattāro sassatavādā…pe… pañca paramadiṭṭhadhammanibbānavādā’’ti brahmajāle (dī. ni. 1.30 ādayo) pañcattaye (ma. ni. 3.21 ādayo) ca āgatā dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo, tāsaṃ vasena cittassa micchādiṭṭhihatabhāvo kathetabbo.

    ถินมิทฺธาภิภูเตนาติ ถินํ นาม จิตฺตสฺส อกมฺมญฺญตาฯ มิทฺธํ นาม เวทนาทิกฺขนฺธตฺตยสฺส อกมฺมญฺญตาฯ ตถา ถินํ อนุสฺสาหสํหนนํฯ มิทฺธํ อสตฺติวิฆาโตฯ อิติ ถิเนน มิเทฺธน จ จิตฺตํ อภิภูตํ อโชฺฌตฺถฎํ อุปทฺทุตํ สโงฺกจนปฺปตฺตํ ลยาปนฺนํฯ วสํ มารสฺส คจฺฉตีติ วโส นาม อิจฺฉา โลโภ อธิปฺปาโย รุจิ อากงฺขา อาณา อาณตฺติฯ มาโรติ ปญฺจ มารา – ขนฺธมาโร อภิสงฺขารมาโร มจฺจุมาโร เทวปุตฺตมาโร กิเลสมาโรติฯ คจฺฉตีติ เตสํ วสํ อิจฺฉํ…เป.… อาณตฺติํ คจฺฉติ อุปคจฺฉติ อุเปติ วตฺตติ อนุวตฺตติ นาติกฺกมตีติฯ เตน วุจฺจติ – ‘‘วสํ มารสฺส คจฺฉตี’’ติฯ

    Thinamiddhābhibhūtenāti thinaṃ nāma cittassa akammaññatā. Middhaṃ nāma vedanādikkhandhattayassa akammaññatā. Tathā thinaṃ anussāhasaṃhananaṃ. Middhaṃ asattivighāto. Iti thinena middhena ca cittaṃ abhibhūtaṃ ajjhotthaṭaṃ upaddutaṃ saṅkocanappattaṃ layāpannaṃ. Vasaṃ mārassa gacchatīti vaso nāma icchā lobho adhippāyo ruci ākaṅkhā āṇā āṇatti. Māroti pañca mārā – khandhamāro abhisaṅkhāramāro maccumāro devaputtamāro kilesamāroti. Gacchatīti tesaṃ vasaṃ icchaṃ…pe… āṇattiṃ gacchati upagacchati upeti vattati anuvattati nātikkamatīti. Tena vuccati – ‘‘vasaṃ mārassa gacchatī’’ti.

    ตตฺถ ยถาวุตฺตา อกุสลา ธมฺมา, ตณฺหาวิชฺชา เอว วา สมุทยสจฺจํฯ โย โส ‘‘วสํ มารสฺส คจฺฉตี’’ติ วุโตฺต, โส เย ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธ อุปาทาย ปญฺญโตฺต, เต ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจํฯ เอวํ ภควตา อิธ เทฺว สจฺจานิ เทสิตานิฯ เตเนวาห – ‘‘ทุกฺขํ สมุทโย จา’’ติฯ เตสํ ภควา ปริญฺญาย จ ปหานาย จ ธมฺมํ เทเสตีติ วุตฺตเมวตฺถํ ปากฎตรํ กาตุํ ‘‘ทุกฺขสฺส ปริญฺญาย สมุทยสฺส ปหานายา’’ติ วุตฺตํฯ กถํ เทเสตีติ เจ –

    Tattha yathāvuttā akusalā dhammā, taṇhāvijjā eva vā samudayasaccaṃ. Yo so ‘‘vasaṃ mārassa gacchatī’’ti vutto, so ye pañcupādānakkhandhe upādāya paññatto, te pañcakkhandhā dukkhasaccaṃ. Evaṃ bhagavatā idha dve saccāni desitāni. Tenevāha – ‘‘dukkhaṃ samudayo cā’’ti. Tesaṃ bhagavā pariññāya ca pahānāya ca dhammaṃ desetīti vuttamevatthaṃ pākaṭataraṃ kātuṃ ‘‘dukkhassa pariññāya samudayassa pahānāyā’’ti vuttaṃ. Kathaṃ desetīti ce –

    ‘‘ตสฺมา รกฺขิตจิตฺตสฺส, สมฺมาสงฺกปฺปโคจโร;

    ‘‘Tasmā rakkhitacittassa, sammāsaṅkappagocaro;

    สมฺมาทิฎฺฐิํ ปุรกฺขตฺวา, ญตฺวาน อุทยพฺพยํ;

    Sammādiṭṭhiṃ purakkhatvā, ñatvāna udayabbayaṃ;

    ถินมิทฺธาภิภู ภิกฺขุ, สพฺพา ทุคฺคติโย ชเห’’ติฯ (อุทา. ๓๒) –

    Thinamiddhābhibhū bhikkhu, sabbā duggatiyo jahe’’ti. (udā. 32) –

    คาถาย ฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺมา อรกฺขิเตน จิเตฺตน วสํ มารสฺส คจฺฉติ, ตสฺมา สติสํวเรน มนจฺฉฎฺฐานํ อินฺทฺริยานํ รกฺขเณน รกฺขิตจิโตฺต อสฺสฯ สมฺมาสงฺกปฺปโคจโรติ ยสฺมา กามสงฺกปฺปาทิมิจฺฉาสงฺกปฺปโคจโร ตถา ตถา อโยนิโส วิกเปฺปตฺวา นานาวิธานิ มิจฺฉาทสฺสนานิ คณฺหาติฯ ตโต เอว จ มิจฺฉาทิฎฺฐิหเตน จิเตฺตน วสํ มารสฺส คจฺฉติ, ตสฺมา โยนิโสมนสิกาเรน กมฺมํ กโรโนฺต เนกฺขมฺมสงฺกปฺปาทิสมฺมาสงฺกปฺปโคจโร อสฺสฯ สมฺมาทิฎฺฐิํ ปุรกฺขตฺวาติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจรตาย วิธุตมิจฺฉาทสฺสโน กมฺมสฺสกตาลกฺขณํ ยถาภูตญาณลกฺขณญฺจ สมฺมาทิฎฺฐิํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา สีลสมาธีสุ ยุตฺตปฺปยุโตฺตฯ ตโต เอว จ ญตฺวาน อุทยพฺพยํ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ สมปญฺญาสาย อากาเรหิ อุปฺปาทํ นิโรธญฺจ ญตฺวา วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อนุกฺกเมน อริยมเคฺค คณฺหโนฺต อคฺคมเคฺคน ถินมิทฺธาภิภู ภิกฺขุ สพฺพา ทุคฺคติโย ชเหติ เอวํ สพฺพโส ภินฺนกิเลสตฺตา ภิกฺขุ ขีณาสโว ยถาสมฺภวํ ติวิธทุกฺขตาโยเคน ทุคฺคติสงฺขาตา สพฺพาปิ คติโย ชเหยฺย, ตาสํ ปรภาเค นิพฺพาเน ติเฎฺฐยฺยาติ อโตฺถฯ

    Gāthāya . Tassattho – yasmā arakkhitena cittena vasaṃ mārassa gacchati, tasmā satisaṃvarena manacchaṭṭhānaṃ indriyānaṃ rakkhaṇena rakkhitacitto assa. Sammāsaṅkappagocaroti yasmā kāmasaṅkappādimicchāsaṅkappagocaro tathā tathā ayoniso vikappetvā nānāvidhāni micchādassanāni gaṇhāti. Tato eva ca micchādiṭṭhihatena cittena vasaṃ mārassa gacchati, tasmā yonisomanasikārena kammaṃ karonto nekkhammasaṅkappādisammāsaṅkappagocaro assa. Sammādiṭṭhiṃ purakkhatvāti sammāsaṅkappagocaratāya vidhutamicchādassano kammassakatālakkhaṇaṃ yathābhūtañāṇalakkhaṇañca sammādiṭṭhiṃ pubbaṅgamaṃ katvā sīlasamādhīsu yuttappayutto. Tato eva ca ñatvāna udayabbayaṃ pañcasu upādānakkhandhesu samapaññāsāya ākārehi uppādaṃ nirodhañca ñatvā vipassanaṃ ussukkāpetvā anukkamena ariyamagge gaṇhanto aggamaggena thinamiddhābhibhū bhikkhu sabbā duggatiyo jaheti evaṃ sabbaso bhinnakilesattā bhikkhu khīṇāsavo yathāsambhavaṃ tividhadukkhatāyogena duggatisaṅkhātā sabbāpi gatiyo jaheyya, tāsaṃ parabhāge nibbāne tiṭṭheyyāti attho.

    ยํ ตณฺหาย อวิชฺชาย จ ปหานํ, อยํ นิโรโธติ ปหานสฺส นิโรธสฺส ปจฺจยภาวโต อสงฺขตธาตุ ปหานํ นิโรโธติ จ วุตฺตาฯ อิมานิ จตฺตาริ สจฺจานีติ ปุริมคาถาย ปุริมานิ เทฺว, ปจฺฉิมคาถาย ปจฺฉิมานิ เทฺวติ ทฺวีหิ คาถาหิ ภาสิตานิ อิมานิ จตฺตาริ อริยสจฺจานิฯ เตสุ สมุทเยน อสฺสาโท, ทุเกฺขน อาทีนโว, มคฺคนิโรเธหิ นิสฺสรณํ, สพฺพคติชหนํ ผลํ, รกฺขิตจิตฺตตาทิโก อุปาโย, อรกฺขิตจิตฺตตาทินิเสธนมุเขน รกฺขิตจิตฺตตาทีสุ นิโยชนํ ภควโต อาณตฺตีติฯ เอวํ เทสนาหารปทตฺถา อสฺสาทาทโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ เตเนวาห – ‘‘นิยุโตฺต เทสนาหารสมฺปาโต’’ติฯ

    Yaṃ taṇhāya avijjāya ca pahānaṃ, ayaṃ nirodhoti pahānassa nirodhassa paccayabhāvato asaṅkhatadhātu pahānaṃ nirodhoti ca vuttā. Imāni cattāri saccānīti purimagāthāya purimāni dve, pacchimagāthāya pacchimāni dveti dvīhi gāthāhi bhāsitāni imāni cattāri ariyasaccāni. Tesu samudayena assādo, dukkhena ādīnavo, magganirodhehi nissaraṇaṃ, sabbagatijahanaṃ phalaṃ, rakkhitacittatādiko upāyo, arakkhitacittatādinisedhanamukhena rakkhitacittatādīsu niyojanaṃ bhagavato āṇattīti. Evaṃ desanāhārapadatthā assādādayo niddhāretabbā. Tenevāha – ‘‘niyutto desanāhārasampāto’’ti.

    เทสนาหารสมฺปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Desanāhārasampātavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เนตฺติปฺปกรณปาฬิ • Nettippakaraṇapāḷi / ๑. เทสนาหารสมฺปาโต • 1. Desanāhārasampāto

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā / ๑. เทสนาหารสมฺปาตวณฺณนา • 1. Desanāhārasampātavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī / ๑. เทสนาหารสมฺปาตวิภาวนา • 1. Desanāhārasampātavibhāvanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact