Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทสิกฺขา-มูลสิกฺขา • Khuddasikkhā-mūlasikkhā |
๔๒. เทสนานิเทฺทสวณฺณนา
42. Desanāniddesavaṇṇanā
๓๘๒. ภิกฺขุภาวสฺส (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๙๘) โย จาโค, สา ปาราชิกเทสนาติ อโตฺถฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘วิสุทฺธาเปโกฺขติ คิหิ วา โหตุกาโม อุปาสโก วา โหตุกาโม อารามิโก วา โหตุกาโม สามเณโร วา โหตุกาโม’’ติ (ปารา. ๑๙๘)ฯ ตสฺมา คิหิภาวาทิกํเยว ปาราชิกํ อาปนฺนสฺส วิสุทฺธิ นาม, อญฺญตรสฺส วิสุทฺธิ เอว นตฺถิฯ ‘‘ฉาเทติ ชานมาปนฺนํ, ปริวเสยฺย ตาวตา’’ติอาทินา นเยน เหฎฺฐา วุตฺตวิธิํ สนฺธาย ‘‘ยถาวุเตฺตน วุฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ
382. Bhikkhubhāvassa (pārā. aṭṭha. 2.198) yo cāgo, sā pārājikadesanāti attho. Vuttañhetaṃ ‘‘visuddhāpekkhoti gihi vā hotukāmo upāsako vā hotukāmo ārāmiko vā hotukāmo sāmaṇero vā hotukāmo’’ti (pārā. 198). Tasmā gihibhāvādikaṃyeva pārājikaṃ āpannassa visuddhi nāma, aññatarassa visuddhi eva natthi. ‘‘Chādeti jānamāpannaṃ, parivaseyya tāvatā’’tiādinā nayena heṭṭhā vuttavidhiṃ sandhāya ‘‘yathāvuttena vuṭṭhāna’’nti vuttaṃ.
๓๘๓. อิทานิ วตฺตพฺพตํ สนฺธาย ‘‘เอว’’นฺติ วุตฺตํฯ
383. Idāni vattabbataṃ sandhāya ‘‘eva’’nti vuttaṃ.
๓๘๔. ปฎิเทเสมีติ อาโรเจมิฯ เอตานิ อหํ เอตานาหํฯ
384.Paṭidesemīti ārocemi. Etāni ahaṃ etānāhaṃ.
๓๘๖. (ก) ยํ สโงฺฆ คิลานสฺส ติจีวเรน วิปฺปวาสสมฺมุติํ เทติ, ตํ อญฺญตฺราติ อโตฺถฯ
386. (Ka) yaṃ saṅgho gilānassa ticīvarena vippavāsasammutiṃ deti, taṃ aññatrāti attho.
(ข) อกาลจีวรํ (ปารา. ๕๐๐) นาม ‘‘อนตฺถเต กถิเน เอกาทสมาเส อุปฺปนฺนํ, อตฺถเต กถิเน สตฺตมาเส อุปฺปนฺนํ, กาเลปิ อาทิสฺส ทินฺนํ, เอตํ อกาลจีวรํ นามา’’ติฯ
(Kha) akālacīvaraṃ (pārā. 500) nāma ‘‘anatthate kathine ekādasamāse uppannaṃ, atthate kathine sattamāse uppannaṃ, kālepi ādissa dinnaṃ, etaṃ akālacīvaraṃ nāmā’’ti.
(ค) ปุราณจีวรํ (ปารา. ๕๐๕) นาม ‘‘สกิํ นิวตฺถมฺปิ สกิํ ปารุตมฺปี’’ติ วุตฺตํฯ อญฺญาติกา นาม มาติโต วา ปิติโต วา ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา อสมฺพนฺธาฯ นิสีทนปจฺจตฺถรณโธวาปเน ทุกฺกฎํฯ
(Ga) purāṇacīvaraṃ (pārā. 505) nāma ‘‘sakiṃ nivatthampi sakiṃ pārutampī’’ti vuttaṃ. Aññātikā nāma mātito vā pitito vā yāva sattamā kulaparivaṭṭā asambandhā. Nisīdanapaccattharaṇadhovāpane dukkaṭaṃ.
(ฆ) อญฺญตฺร ปาริวตฺตกาติ (ปารา. ๕๑๒) เอตฺถ หรีตกีขณฺฑมฺปิ วฎฺฎติฯ จีวรํ นาม อิธ วิกปฺปนูปคปจฺฉิมโต ปฎฺฐาย อธิเปฺปตํฯ
(Gha) aññatra pārivattakāti (pārā. 512) ettha harītakīkhaṇḍampi vaṭṭati. Cīvaraṃ nāma idha vikappanūpagapacchimato paṭṭhāya adhippetaṃ.
(ง) อญฺญตฺร สมยาติ (ปารา. ๕๑๙) เอตฺถ ‘‘อจฺฉินฺนจีวโร วา โหติ ภิกฺขุ นฎฺฐจีวโร วา’’ติ เอวํ วุตฺตํ สมยนฺติ อโตฺถฯ
(Ṅa) aññatra samayāti (pārā. 519) ettha ‘‘acchinnacīvaro vā hoti bhikkhu naṭṭhacīvaro vā’’ti evaṃ vuttaṃ samayanti attho.
(จ) ‘‘สนฺตรุตฺตรปรมํ เตน ภิกฺขุนา ตโต จีวรํ สาทิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๕๒๔) วุตฺตตฺตา ‘‘ตตุตฺตรี’’ติ วุตฺตํฯ เอตฺถ ปน ‘‘สเจ ตีณิ นฎฺฐานิ โหนฺติ, เทฺว สาทิตพฺพานิฯ เทฺว นฎฺฐานิ, เอกํ สาทิตพฺพํ, เอกํ นฎฺฐํ, น กิญฺจิ สาทิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๕๒๔) วุตฺตํฯ
(Ca) ‘‘santaruttaraparamaṃ tena bhikkhunā tato cīvaraṃ sāditabba’’nti (pārā. 524) vuttattā ‘‘tatuttarī’’ti vuttaṃ. Ettha pana ‘‘sace tīṇi naṭṭhāni honti, dve sāditabbāni. Dve naṭṭhāni, ekaṃ sāditabbaṃ, ekaṃ naṭṭhaṃ, na kiñci sāditabba’’nti (pārā. 524) vuttaṃ.
(ฉ-ช) ‘‘กีทิเสน เต (ปารา. ๕๒๙), ภเนฺต, จีวเรน อโตฺถ, กีทิสํ เต จีวรํ เจตาเปมี’’ติ เอวํ อปฺปวาริโตติ อโตฺถฯ วิกปฺปนฺติ วิสิฎฺฐกปฺปํ อธิกวิธานํ อาปนฺนํฯ อิธ ปุริมํ เอกสฺส, ทุติยํ พหูนํ วเสน วุตฺตํ, เอตฺตกํ นานตฺตํฯ
(Cha-ja) ‘‘kīdisena te (pārā. 529), bhante, cīvarena attho, kīdisaṃ te cīvaraṃ cetāpemī’’ti evaṃ appavāritoti attho. Vikappanti visiṭṭhakappaṃ adhikavidhānaṃ āpannaṃ. Idha purimaṃ ekassa, dutiyaṃ bahūnaṃ vasena vuttaṃ, ettakaṃ nānattaṃ.
(ฌ) อติเรกติกฺขตฺตุนฺติ เอตฺถ เกนจิ ยํ กิญฺจิ อกปฺปิยวตฺถุํ อาเนตฺวา ‘‘อิทํ โข เม, ภเนฺต, อายสฺมนฺตํ อุทฺทิสฺส จีวรเจตาปนฺนํ อาภตํ, ปฎิคฺคณฺหตุ อายสฺมา จีวรเจตาปนฺน’’นฺติ วุเตฺต ‘‘น โข มยํ, อาวุโส, จีวรเจตาปนฺนํ ปฎิคฺคณฺหาม, จีวรญฺจ โข มยํ ปฎิคฺคณฺหาม กาเลน กปฺปิย’’นฺติ วตฺตพฺพํฯ เอวํ วุเตฺต สเจ โส ‘‘อตฺถิ โกจิ กปฺปิยการโก’’ติ วทติ, จีวรตฺถิเกน ฐเปตฺวา ปญฺจ สหธมฺมิเก โย โกจิ อุทฺทิสิตโพฺพ ‘‘เอโส โข, อาวุโส, ภิกฺขูนํ เวยฺยาวจฺจกโร’’ติ, เอตฺตกเมว วตฺตพฺพํฯ เอวํ วุเตฺต สเจ ทายโก ตสฺส หเตฺถ อกปฺปิยวตฺถุํ ทตฺวา ‘‘เอโส อยฺยสฺส จีวรํ เจตาเปตฺวา ทสฺสตี’’ติ วตฺวา คจฺฉติ, ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ โจเทตโพฺพ สาเรตโพฺพ ‘‘อโตฺถ เม, อาวุโส, จีวเรนา’’ติ, เอตฺตกเมว วตฺตพฺพํ, ‘‘เทหิ เม จีวร’’นฺติอาทินา น วตฺตพฺพํฯ เอวํ ติกฺขตฺตุํ โจทนาย ตํ จีวรํ ลภติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ ลภติ, ฉกฺขตฺตุปรมํ ตุณฺหีภูเตน ฐาตพฺพํ, น อาสเน นิสีทิตพฺพํ, น อามิสํ ปฎิคฺคเหตพฺพํ, น ธโมฺม ภาสิตโพฺพฯ ‘‘กิํ การณา อาคโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘ชานาหิ, อาวุโส’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพํฯ สเจ นิสชฺชาทีนิ กโรติ, ฐานํ ภญฺชติฯ วตฺตเภททุกฺกฎญฺจ อาปชฺชตีติ วทนฺติฯ เอวํ ปน อปฺปฎิปชฺชิตฺวา อติเรกติกฺขตฺตุํ โจทนาย อติเรกฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน สเจ นิปฺผาเทติ, นิสฺสคฺคิยนฺติ อโตฺถฯ
(Jha) atirekatikkhattunti ettha kenaci yaṃ kiñci akappiyavatthuṃ ānetvā ‘‘idaṃ kho me, bhante, āyasmantaṃ uddissa cīvaracetāpannaṃ ābhataṃ, paṭiggaṇhatu āyasmā cīvaracetāpanna’’nti vutte ‘‘na kho mayaṃ, āvuso, cīvaracetāpannaṃ paṭiggaṇhāma, cīvarañca kho mayaṃ paṭiggaṇhāma kālena kappiya’’nti vattabbaṃ. Evaṃ vutte sace so ‘‘atthi koci kappiyakārako’’ti vadati, cīvaratthikena ṭhapetvā pañca sahadhammike yo koci uddisitabbo ‘‘eso kho, āvuso, bhikkhūnaṃ veyyāvaccakaro’’ti, ettakameva vattabbaṃ. Evaṃ vutte sace dāyako tassa hatthe akappiyavatthuṃ datvā ‘‘eso ayyassa cīvaraṃ cetāpetvā dassatī’’ti vatvā gacchati, taṃ upasaṅkamitvā dvattikkhattuṃ codetabbo sāretabbo ‘‘attho me, āvuso, cīvarenā’’ti, ettakameva vattabbaṃ, ‘‘dehi me cīvara’’ntiādinā na vattabbaṃ. Evaṃ tikkhattuṃ codanāya taṃ cīvaraṃ labhati, iccetaṃ kusalaṃ. No ce labhati, chakkhattuparamaṃ tuṇhībhūtena ṭhātabbaṃ, na āsane nisīditabbaṃ, na āmisaṃ paṭiggahetabbaṃ, na dhammo bhāsitabbo. ‘‘Kiṃ kāraṇā āgatosī’’ti vutte ‘‘jānāhi, āvuso’’ti ettakameva vattabbaṃ. Sace nisajjādīni karoti, ṭhānaṃ bhañjati. Vattabhedadukkaṭañca āpajjatīti vadanti. Evaṃ pana appaṭipajjitvā atirekatikkhattuṃ codanāya atirekachakkhattuṃ ṭhānena sace nipphādeti, nissaggiyanti attho.
(ญ) สนฺถตํ (ปารา. ๕๔๔) นาม สนฺถริตฺวา กตํ โหติ อวายิมํฯ เอกโกสิยํสุนาปิ เจ มิเสฺสตฺวา กโรติ, นิสฺสคฺคิยํฯ
(Ña) santhataṃ (pārā. 544) nāma santharitvā kataṃ hoti avāyimaṃ. Ekakosiyaṃsunāpi ce missetvā karoti, nissaggiyaṃ.
(ฎ) สุทฺธกาฬกานนฺติ (ปารา. ๕๔๗-๕๔๙) อเญฺญหิ อมิสฺสิตานนฺติ อโตฺถฯ ‘‘กาฬกํ นาม เทฺว กาฬกานิ ชาติกาฬกํ วา รชนกาฬกํ วา’’ติ วุตฺตํฯ
(Ṭa) suddhakāḷakānanti (pārā. 547-549) aññehi amissitānanti attho. ‘‘Kāḷakaṃ nāma dve kāḷakāni jātikāḷakaṃ vā rajanakāḷakaṃ vā’’ti vuttaṃ.
(ฐ) อนาทิยิตฺวา…เป.… ตุลนฺติ (ปารา. ๕๕๔) เอตฺถ ปน ยตฺตเกหิ เอฬกโลเมหิ กตฺตุกาโม โหติ, เตสุ เทฺว โกฎฺฐาสา กาฬกานํ, เอโก โอทาตานํ, เอโก โคจริยานํ อาทาตโพฺพติ วินิจฺฉโยฯ เอกสฺสาปิ กาฬกโลมสฺส อติเรกภาเค สติ นิสฺสคฺคิยเมวฯ
(Ṭha) anādiyitvā…pe… tulanti (pārā. 554) ettha pana yattakehi eḷakalomehi kattukāmo hoti, tesu dve koṭṭhāsā kāḷakānaṃ, eko odātānaṃ, eko gocariyānaṃ ādātabboti vinicchayo. Ekassāpi kāḷakalomassa atirekabhāge sati nissaggiyameva.
(ฑ) อูนกฉพฺพสฺสานีติ (ปารา. ๕๖๒) ฉพฺพสฺสโต โอรภาเคฯ
(Ḍa) ūnakachabbassānīti (pārā. 562) chabbassato orabhāge.
(ฒ) นิสีทนสนฺถตํ (ปารา. ๕๖๗) ปน การาเปเนฺตน ปุราณสนฺถตสฺส เอกปสฺสโต วฎฺฎํ วา จตุรสฺสํ วา ฉินฺทิตฺวา คหิตฎฺฐานํ ยถา วิทตฺถิมตฺตํ โหติ, เอวํ คเหตฺวา เอกเทสํ วา สนฺถริตพฺพํ, วิชเฎตฺวา วา สนฺถริตพฺพํฯ
(Ḍha) nisīdanasanthataṃ (pārā. 567) pana kārāpentena purāṇasanthatassa ekapassato vaṭṭaṃ vā caturassaṃ vā chinditvā gahitaṭṭhānaṃ yathā vidatthimattaṃ hoti, evaṃ gahetvā ekadesaṃ vā santharitabbaṃ, vijaṭetvā vā santharitabbaṃ.
(ต) น เกวลํ โธวาปเน (ปารา. ๕๗๘) เอว นิสฺสคฺคิยํ, รชเนปิ นิสฺสคฺคิยเมวฯ
(Ta) na kevalaṃ dhovāpane (pārā. 578) eva nissaggiyaṃ, rajanepi nissaggiyameva.
(ท) รูปิยปฎิคฺคหณเสฺสว (ปารา. ๕๘๙) ปฎิกฺขิตฺตตฺตา ปฎิคฺคหิตปริวตฺตเน โทสํ อปสฺสนฺตา กตากตาทิวเสน อเนกวิธํ ชาตรูปปริวตฺตนํ กโรนฺติ, ตํ สนฺธาย ‘‘นานปฺปการก’’นฺติ วุตฺตํฯ
(Da) rūpiyapaṭiggahaṇasseva (pārā. 589) paṭikkhittattā paṭiggahitaparivattane dosaṃ apassantā katākatādivasena anekavidhaṃ jātarūpaparivattanaṃ karonti, taṃ sandhāya ‘‘nānappakāraka’’nti vuttaṃ.
๓๘๗-๙. อาปตฺติํ เทเสตฺวา ปจฺฉา กตฺตพฺพํ ทเสฺสตุํ ‘‘อถา’’ติ วุตฺตํฯ คิหิํ วเทติ สเจ ตตฺถ อาคจฺฉติ อารามิโก วา อุปาสโก วา, ตํ วเทยฺยาติ อโตฺถฯ เอวํ วุโตฺต โส ‘‘อิมินา กิํ อาหรามี’’ติ เจ วเทยฺยาติ อโตฺถฯ อวตฺวามนฺติ ‘‘อิมํ วา อิมํ วา อาหรา’’ติ อวตฺวาติ อโตฺถฯ วเทติ ‘‘กปฺปิยํ อาจิกฺขิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๕๘๔, ๕๘๙) วจนโต ‘‘ปพฺพชิตานํ สปฺปิ วา เตลํ วา มธุ วา ผาณิตํ วา วฎฺฎตี’’ติ เอวํ อาจิกฺขิตพฺพํ, ‘‘อิมํ นาม อาหรา’’ติ น วตฺตพฺพเมวฯ เทฺวเปเตติ เทฺวปิ เอเต รูปิยปฎิคฺคาหกญฺจ รูปิยสโพฺยหาริกญฺจาติ อโตฺถฯ อเญฺญนาติ อนฺตมโส อารามิเกนาปิ ลทฺธภาโค น กปฺปติ เอวฯ
387-9. Āpattiṃ desetvā pacchā kattabbaṃ dassetuṃ ‘‘athā’’ti vuttaṃ. Gihiṃ vadeti sace tattha āgacchati ārāmiko vā upāsako vā, taṃ vadeyyāti attho. Evaṃ vutto so ‘‘iminā kiṃ āharāmī’’ti ce vadeyyāti attho. Avatvāmanti ‘‘imaṃ vā imaṃ vā āharā’’ti avatvāti attho. Vadeti ‘‘kappiyaṃ ācikkhitabba’’nti (pārā. 584, 589) vacanato ‘‘pabbajitānaṃ sappi vā telaṃ vā madhu vā phāṇitaṃ vā vaṭṭatī’’ti evaṃ ācikkhitabbaṃ, ‘‘imaṃ nāma āharā’’ti na vattabbameva. Dvepeteti dvepi ete rūpiyapaṭiggāhakañca rūpiyasabyohārikañcāti attho. Aññenāti antamaso ārāmikenāpi laddhabhāgo na kappati eva.
๓๙๐. อนฺตมโส (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๘๓-๔) ตนฺนิพฺพตฺตา รุกฺขจฺฉายาปิ น กปฺปตีติฯ นิสฺสฎฺฐํ ปฎิลทฺธมฺปีติ เอตฺถ ยถา รูปิยสํโวหารํ กตฺวา ลทฺธวตฺถุโต อาภตํ น กปฺปติ, ตถา โกสิยมิสฺสกสนฺถตาทิตฺตยมฺปิ น กปฺปติฯ น เกวลํ ตเสฺสว, อเญฺญสมฺปิ น กปฺปเตว ‘‘อเญฺญน กตํ ปฎิลภิตฺวา ปริภุญฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (ปารา. ๕๔๕, ๕๕๐, ๕๕๕) วุตฺตตฺตาฯ
390. Antamaso (pārā. aṭṭha. 2.583-4) tannibbattā rukkhacchāyāpi na kappatīti. Nissaṭṭhaṃ paṭiladdhampīti ettha yathā rūpiyasaṃvohāraṃ katvā laddhavatthuto ābhataṃ na kappati, tathā kosiyamissakasanthatādittayampi na kappati. Na kevalaṃ tasseva, aññesampi na kappateva ‘‘aññena kataṃ paṭilabhitvā paribhuñjati, āpatti dukkaṭassā’’ti (pārā. 545, 550, 555) vuttattā.
๓๙๑. เอวํ โน เจ ลเภถ, โส อารามิกาทิโก ‘‘อิมํ ฉเฑฺฑหี’’ติ สํสิโย วตฺตโพฺพติ อโตฺถฯ เอวมฺปิ โน เจ ลเภยฺย, สมฺมโต ภิกฺขุ ฉเฑฺฑยฺยาติ อโตฺถฯ
391. Evaṃ no ce labhetha, so ārāmikādiko ‘‘imaṃ chaḍḍehī’’ti saṃsiyo vattabboti attho. Evampi no ce labheyya, sammato bhikkhu chaḍḍeyyāti attho.
๓๙๒. ปฎิคฺคหิตรูปิยญฺจ ปริวตฺติตรูปิยญฺจ สนฺธาย ‘‘เอตานี’’ติ วุตฺตํฯ ทุติยปโตฺต นาม ‘‘อูนปญฺจพนฺธเนน ปเตฺตน อญฺญํ นวํ ปตฺตํ เจตาเปยฺย, นิสฺสคฺคิย’’นฺติ (ปารา. ๖๑๒) วุตฺตปโตฺตฯ โส จ เอตานิ จ สเงฺฆ นิสฺสฎฺฐุํ ลพฺภเรติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘สงฺฆมเชฺฌ นิสฺสชฺชิตพฺพํ, ภิกฺขุปริสาย นิสฺสชฺชิตพฺพ’’นฺติ (ปารา. ๕๘๔, ๕๘๙) จ วุตฺตตฺตา น คณปุคฺคลานํ นิสฺสชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ เสสานิ ปน ตีณิ จีวราทิวตฺถูนิ ‘‘นิสฺสชฺชิตพฺพํ สงฺฆสฺส วา คณสฺส วา ปุคฺคลสฺส วา’’ติ วุตฺตตฺตา (ปารา. ๔๖๓) สงฺฆาทีนํ นิสฺสชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ภาสนฺตเรนปีติ ปาฬิยา วตฺตุํ อสโกฺกเนฺตน ทมิฬภาสาทีสุ อญฺญตรายปิ นิสฺสชฺชิตุํ วฎฺฎตีติ อโตฺถฯ
392. Paṭiggahitarūpiyañca parivattitarūpiyañca sandhāya ‘‘etānī’’ti vuttaṃ. Dutiyapatto nāma ‘‘ūnapañcabandhanena pattena aññaṃ navaṃ pattaṃ cetāpeyya, nissaggiya’’nti (pārā. 612) vuttapatto. So ca etāni ca saṅghe nissaṭṭhuṃ labbhareti sambandho. ‘‘Saṅghamajjhe nissajjitabbaṃ, bhikkhuparisāya nissajjitabba’’nti (pārā. 584, 589) ca vuttattā na gaṇapuggalānaṃ nissajjituṃ vaṭṭati. Sesāni pana tīṇi cīvarādivatthūni ‘‘nissajjitabbaṃ saṅghassa vā gaṇassa vā puggalassa vā’’ti vuttattā (pārā. 463) saṅghādīnaṃ nissajjituṃ vaṭṭati. Bhāsantarenapīti pāḷiyā vattuṃ asakkontena damiḷabhāsādīsu aññatarāyapi nissajjituṃ vaṭṭatīti attho.
๓๙๓. (ก-ค) นานปฺปการกํ นาม ‘‘จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารา, ‘‘อนฺตมโส จุณฺณปิโณฺฑปิ ทนฺตกฎฺฐมฺปิ ทสิกสุตฺตมฺปี’’ติ (ปารา. ๕๙๕) ปาฬิยํ วุตฺตํฯ เจตาปิโตติ (ปารา. ๖๑๓) ยาจิตฺวา คหิโตฯ
393. (Ka-ga) nānappakārakaṃ nāma ‘‘cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārā, ‘‘antamaso cuṇṇapiṇḍopi dantakaṭṭhampi dasikasuttampī’’ti (pārā. 595) pāḷiyaṃ vuttaṃ. Cetāpitoti (pārā. 613) yācitvā gahito.
๓๙๔. สมฺมนฺนิตฺวาน ปตฺตคาหกํ สงฺฆสฺส ปตฺตนฺตนฺติ (ปารา. ๖๑๔; กงฺขา. อฎฺฐ. อูนปญฺจพทฺธนสิกฺขาปทวณฺณนา) ย อนฺติมํ ปตฺตํ, ตํ ตสฺส ทาปเยติ อโตฺถฯ
394.Sammannitvāna pattagāhakaṃ saṅghassa pattantanti (pārā. 614; kaṅkhā. aṭṭha. ūnapañcabaddhanasikkhāpadavaṇṇanā) ya antimaṃ pattaṃ, taṃ tassa dāpayeti attho.
๓๙๕. (ข) ปริทหิตํ นิสฺสคฺคิยนฺติ เอตฺถ (ปารา. ๖๒๖-๖๒๘; ปารา. อฎฺฐ. ๒.๖๒๘) ปน ฐตฺวา วสฺสิกสาฎิกาย ปริเยสนเกฺขตฺตํ กรณเกฺขตฺตํ นิวาสนเกฺขตฺตํ อธิฎฺฐานเกฺขตฺตนฺติ จตุพฺพิธํ เขตฺตญฺจ กุจฺฉิสมโย ปิฎฺฐิสมโยติ ทุวิโธ สมโย จ เวทิตโพฺพฯ กถํ? คิมฺหานมาเสสุ ปจฺฉิมมาสสฺส ปุริโม อฑฺฒมาโส ปริเยสนเกฺขตฺตํ, ปจฺฉิโม กรณเกฺขตฺตญฺจ นิวาสนเกฺขตฺตญฺจ, ปริเยสิตุมฺปิ วฎฺฎติ, อธิฎฺฐาตุํ ปน น วฎฺฎติฯ วสฺสิกา ปน จตฺตาโร มาสา ปริเยสนาทีนํ จตุนฺนมฺปิ เขตฺตํฯ เอเต เอว ปญฺจ มาสา กุจฺฉิสมโย นามฯ อิตเร สตฺต มาสา ปิฎฺฐิสมโย, ตตฺถ สตุปฺปาทกรณํ น วฎฺฎติฯ
395. (Kha) paridahitaṃnissaggiyanti ettha (pārā. 626-628; pārā. aṭṭha. 2.628) pana ṭhatvā vassikasāṭikāya pariyesanakkhettaṃ karaṇakkhettaṃ nivāsanakkhettaṃ adhiṭṭhānakkhettanti catubbidhaṃ khettañca kucchisamayo piṭṭhisamayoti duvidho samayo ca veditabbo. Kathaṃ? Gimhānamāsesu pacchimamāsassa purimo aḍḍhamāso pariyesanakkhettaṃ, pacchimo karaṇakkhettañca nivāsanakkhettañca, pariyesitumpi vaṭṭati, adhiṭṭhātuṃ pana na vaṭṭati. Vassikā pana cattāro māsā pariyesanādīnaṃ catunnampi khettaṃ. Ete eva pañca māsā kucchisamayo nāma. Itare satta māsā piṭṭhisamayo, tattha satuppādakaraṇaṃ na vaṭṭati.
(ค) อจฺฉินฺนนฺติ เอตฺถ ‘‘โย ปน มม ปตฺตจีวราทีนิ วหโนฺต มยา สทฺธิํ จริสฺสตี’’ติ สญฺญาย จีวรํ ทตฺวา ปุน สกสญฺญาย เอว อตฺตโน เวยฺยาวจฺจํ อกโรนฺตํ ทิสฺวา อจฺฉินฺทติ, โส อิมํ อาปตฺติํ อาปชฺชติฯ เกวลํ ปริจฺจชิตฺวา ทินฺนํ คเหตุเมว น ลภติฯ
(Ga) acchinnanti ettha ‘‘yo pana mama pattacīvarādīni vahanto mayā saddhiṃ carissatī’’ti saññāya cīvaraṃ datvā puna sakasaññāya eva attano veyyāvaccaṃ akarontaṃ disvā acchindati, so imaṃ āpattiṃ āpajjati. Kevalaṃ pariccajitvā dinnaṃ gahetumeva na labhati.
(ฆ) สุตฺตํ วิญฺญาเปตฺวาติ เอตฺถ จีวรการสมยาทีสุ จีวรสิพฺพนาทีนมตฺถาย สุตฺตํ วิญฺญาเปตฺวาติ อโตฺถฯ อญฺญถา สุตฺตํ วิญฺญาเปตุเมว น วฎฺฎติฯ วิญฺญตฺติยา เอว ลทฺธตนฺตวาเยหีติ อโตฺถฯ สุตฺตตนฺตวายานํ อกปฺปิยภาเว สติ ทีฆโต วิทตฺถิมเตฺต, ติริยนฺตโต หตฺถมเตฺต วีเต นิสฺสคฺคิยํ, เอกโต อกปฺปิยปเกฺข ทุกฺกฎํฯ
(Gha) suttaṃ viññāpetvāti ettha cīvarakārasamayādīsu cīvarasibbanādīnamatthāya suttaṃ viññāpetvāti attho. Aññathā suttaṃ viññāpetumeva na vaṭṭati. Viññattiyā eva laddhatantavāyehīti attho. Suttatantavāyānaṃ akappiyabhāve sati dīghato vidatthimatte, tiriyantato hatthamatte vīte nissaggiyaṃ, ekato akappiyapakkhe dukkaṭaṃ.
(ง) วิกปฺปํ อาปนฺนนฺติ (ปารา. ๖๔๓) ‘‘อิทํ โข, อาวุโส, จีวรํ มํ อุทฺทิสฺส วิยฺยติ, อายตญฺจ กโรถ วิตฺถตญฺจา’’ติอาทินา อธิกํ วิธานํ อาปนฺนนฺติ อโตฺถฯ
(Ṅa) vikappaṃ āpannanti (pārā. 643) ‘‘idaṃ kho, āvuso, cīvaraṃ maṃ uddissa viyyati, āyatañca karotha vitthatañcā’’tiādinā adhikaṃ vidhānaṃ āpannanti attho.
(จ) อเจฺจกจีวรํ (ปารา. ๖๔๙-๖๕๐) นาม เสนาย คนฺตุกามาทีหิ ทินฺนํฯ
(Ca) accekacīvaraṃ (pārā. 649-650) nāma senāya gantukāmādīhi dinnaṃ.
(ฉ) อติเรกฉารตฺตนฺติ (ปารา. ๖๕๔-๖๕๕) ฉทิวสโต อติเรกํฯ ‘‘อตฺถตกถินานํ โว, ภิกฺขเว, ปญฺจ กปฺปิสฺสนฺติ, อนามนฺตจาโร อสมาทานจาโร คณโภชนํ ยาวทตฺถจีวรํ โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท, โส เนสํ ภวิสฺสตี’’ติ (มหาว. ๓๐๖) วุตฺตอานิสํเสสุ จีวรมาเส อสมาทานจารํ ฐเปตฺวา เสสานิสํสา ลพฺภนฺติฯ ยทิ อสมาทานจาโร ลเพฺภยฺย, ปาเวยฺยกา ภิกฺขู วสฺสํวุตฺถา โอกปุเณฺณหิ จีวเรหิ น ภควนฺตํ อุปสงฺกเมยฺยุํ, ยสฺมา ตํ น ลภนฺติ, ตสฺมา จีวรมาเสปิ ติจีวรํ อาทาย เอว ภควนฺตํ อุปสงฺกมิํสุฯ ตสฺมา เวทิตพฺพํ อสมาทานจารปริหารํ อตฺถตกถินา เอว ลภนฺติ, น อิตเรติ วทนฺติฯ
(Cha) atirekachārattanti (pārā. 654-655) chadivasato atirekaṃ. ‘‘Atthatakathinānaṃ vo, bhikkhave, pañca kappissanti, anāmantacāro asamādānacāro gaṇabhojanaṃ yāvadatthacīvaraṃ yo ca tattha cīvaruppādo, so nesaṃ bhavissatī’’ti (mahāva. 306) vuttaānisaṃsesu cīvaramāse asamādānacāraṃ ṭhapetvā sesānisaṃsā labbhanti. Yadi asamādānacāro labbheyya, pāveyyakā bhikkhū vassaṃvutthā okapuṇṇehi cīvarehi na bhagavantaṃ upasaṅkameyyuṃ, yasmā taṃ na labhanti, tasmā cīvaramāsepi ticīvaraṃ ādāya eva bhagavantaṃ upasaṅkamiṃsu. Tasmā veditabbaṃ asamādānacāraparihāraṃ atthatakathinā eva labhanti, na itareti vadanti.
๓๙๗. (ข) ‘‘อหํ, ภเนฺต, เอกํ ปาฎิเทสนียาปตฺติํ, เทฺว, สมฺพหุลา ปาฎิเทสนียาปตฺติโย อาปชฺชิ’’นฺติ อิมํ ปน เยสุ โปตฺถเกสุ ลิขิตํ, ตํ อภยคิริวาสีนํ ขุทฺทสิกฺขาวเสน ทสฺสิตํ กิรฯ ตตฺถ ‘‘อหํ, อายสฺมา, สมฺพหุลา ปาฎิเทสนียา อาปตฺติโย อาปโนฺน, ตาโย ปฎิเทเสมิฯ อหํ, อายสฺมา, เอกํ ปาฎิเทสนียํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, ตํ ปฎิเทเสมี’’ติ หิ วุตฺตํฯ อมฺหากํ ปน เอวํ เทสนาวิธานํ นตฺถิฯ ‘‘คารยฺหํ, อาวุโส, ธมฺมํ อาปชฺชิํ อสปฺปายํ ปาฎิเทสนียํ, ตํ ปฎิเทเสมี’’ติ (ปาจิ. ๕๕๓) วุตฺตํฯ สมนฺตปาสาทิกายํ (ปาจิ. ๕๕๓) ‘‘คารยฺหํ อาวุโส’ติอาทิ ปฎิเทเสตพฺพาการทสฺสน’’นฺติ วุตฺตํฯ กงฺขาวิตรณิยมฺปิ (กงฺขา. อฎฺฐ. ปฐมปาฎิเทสนียสิกฺขาปทวณฺณนา) ‘‘ตสฺสา เทเสตพฺพากาโร คารยฺหํ อาวุโส’ติอาทินา นเยน สิกฺขาปเท ทสฺสิโตเยวา’’ติ วุตฺตตฺตา ปาเฐ อาคตนเยเนว เทสนาวิธานํ เวทิตพฺพํฯ สเจ เทฺว โหนฺติ, ‘‘คารเยฺห, อาวุโส, เทฺว ธเมฺม อาปชฺชิํ อสปฺปาเย ปาฎิเทสนีเย, เต ปฎิเทเสมี’’ติ, ‘‘ปสฺสถ, ภเนฺต, เต ธเมฺม’’ติ จ ‘‘คารเยฺห , อาวุโส, สมฺพหุเล ธเมฺม อาปชฺชิํ อสปฺปาเย ปาฎิเทสนีเย, เต ปฎิเทเสมี’’ติ, ‘‘ปสฺสถ, ภเนฺต, เต ธเมฺม’’ติ จ เอวํ ยถานุรูปํ เทสนาวิธานํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ วุตฺตปฺปการเมวาติฯ
397. (Kha) ‘‘ahaṃ, bhante, ekaṃ pāṭidesanīyāpattiṃ, dve, sambahulā pāṭidesanīyāpattiyo āpajji’’nti imaṃ pana yesu potthakesu likhitaṃ, taṃ abhayagirivāsīnaṃ khuddasikkhāvasena dassitaṃ kira. Tattha ‘‘ahaṃ, āyasmā, sambahulā pāṭidesanīyā āpattiyo āpanno, tāyo paṭidesemi. Ahaṃ, āyasmā, ekaṃ pāṭidesanīyaṃ āpattiṃ āpanno, taṃ paṭidesemī’’ti hi vuttaṃ. Amhākaṃ pana evaṃ desanāvidhānaṃ natthi. ‘‘Gārayhaṃ, āvuso, dhammaṃ āpajjiṃ asappāyaṃ pāṭidesanīyaṃ, taṃ paṭidesemī’’ti (pāci. 553) vuttaṃ. Samantapāsādikāyaṃ (pāci. 553) ‘‘gārayhaṃ āvuso’tiādi paṭidesetabbākāradassana’’nti vuttaṃ. Kaṅkhāvitaraṇiyampi (kaṅkhā. aṭṭha. paṭhamapāṭidesanīyasikkhāpadavaṇṇanā) ‘‘tassā desetabbākāro gārayhaṃ āvuso’tiādinā nayena sikkhāpade dassitoyevā’’ti vuttattā pāṭhe āgatanayeneva desanāvidhānaṃ veditabbaṃ. Sace dve honti, ‘‘gārayhe, āvuso, dve dhamme āpajjiṃ asappāye pāṭidesanīye, te paṭidesemī’’ti, ‘‘passatha, bhante, te dhamme’’ti ca ‘‘gārayhe , āvuso, sambahule dhamme āpajjiṃ asappāye pāṭidesanīye, te paṭidesemī’’ti, ‘‘passatha, bhante, te dhamme’’ti ca evaṃ yathānurūpaṃ desanāvidhānaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ vuttappakāramevāti.
๓๙๘. อเทสนาคามินิยนฺติ (ปริ. ๔๒๔ อาทโย; ปริ. อฎฺฐ. ๔๒๕) ปาราชิกญฺจ สงฺฆาทิเสสญฺจ น เทสเยติ อโตฺถฯ อนาปตฺติญฺจาติ อนาปตฺติํ เอว ‘‘อาปตฺติ’’นฺติ น เทสเยฯ ลหุกาปตฺติมฺปิ ปุเพฺพ เทสิตํ ปุน น เทสเยติ สมฺพโนฺธ, นานาสํวาสนิสฺสีมฎฺฐิตานํ สนฺติเก น เทสเยติ อโตฺถฯ จตุปญฺจหีติ เอตฺถ สมานวสฺสิกปวารณายํ วิย จตูหิ วา ปญฺจหิ วา เอกโต หุตฺวา เอกสฺส สนฺติเก น เทสเยติ อโตฺถฯ ทฺวินฺนํ วา ติณฺณํ วา วฎฺฎติฯ กถํ เทเสตพฺพนฺติ เจ? เอกสฺส สนฺติเก ตีหิปิ เอกโต นิสีทิตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, เอกํ ปาจิตฺติยาปตฺติํ อาปชฺชิํ, ตํ ตุมฺหมูเล ปฎิเทเสมี’’ติ เอวํ อตฺตนา อาปนฺนอาปตฺติวเสน วุเตฺต เตน ‘‘ปสฺสสิ, อาวุโส, ตํ อาปตฺติ’’นฺติ เอวํ ติกฺขตฺตุํ วุเตฺต ‘‘อาม, ภเนฺต, ปสฺสามี’’ติ วา ‘‘อามาวุโส ปสฺสามี’’ติ วา วุเตฺต ปุน เตน ‘‘อายติํ สํวเรยฺยาถา’’ติ วา ‘‘สํวเรยฺยาสี’’ติ วา วุเตฺต ‘‘สาธุ สุฎฺฐุ สํวริสฺสามี’’ติ วตฺตพฺพํ, เอวํ เทเสตพฺพํฯ มนสาติ วจีเภทํ อกตฺวา เกวลํ จิเตฺตเนว น เทสเยติ อโตฺถฯ อปกตตฺตานนฺติ อนฺติมวตฺถุํ อชฺฌาปนฺนสฺส วา อุกฺขิตฺตกสฺส วา อุโปสโถ ปวารณา วา ฐปิตา โหนฺติ, ตสฺส สนฺติเก น เทสเยติ อโตฺถฯ นาเนกาติ นานาปตฺติโย ‘‘เอกา’’ติ วตฺวา น เทสเยติ อโตฺถฯ เอกา ปน ‘‘สมฺพหุลา’’ติ เทสิตา โหตีติฯ เทสนาวินิจฺฉโยฯ
398.Adesanāgāminiyanti (pari. 424 ādayo; pari. aṭṭha. 425) pārājikañca saṅghādisesañca na desayeti attho. Anāpattiñcāti anāpattiṃ eva ‘‘āpatti’’nti na desaye. Lahukāpattimpi pubbe desitaṃ puna na desayeti sambandho, nānāsaṃvāsanissīmaṭṭhitānaṃ santike na desayeti attho. Catupañcahīti ettha samānavassikapavāraṇāyaṃ viya catūhi vā pañcahi vā ekato hutvā ekassa santike na desayeti attho. Dvinnaṃ vā tiṇṇaṃ vā vaṭṭati. Kathaṃ desetabbanti ce? Ekassa santike tīhipi ekato nisīditvā ‘‘ahaṃ, bhante, ekaṃ pācittiyāpattiṃ āpajjiṃ, taṃ tumhamūle paṭidesemī’’ti evaṃ attanā āpannaāpattivasena vutte tena ‘‘passasi, āvuso, taṃ āpatti’’nti evaṃ tikkhattuṃ vutte ‘‘āma, bhante, passāmī’’ti vā ‘‘āmāvuso passāmī’’ti vā vutte puna tena ‘‘āyatiṃ saṃvareyyāthā’’ti vā ‘‘saṃvareyyāsī’’ti vā vutte ‘‘sādhu suṭṭhu saṃvarissāmī’’ti vattabbaṃ, evaṃ desetabbaṃ. Manasāti vacībhedaṃ akatvā kevalaṃ citteneva na desayeti attho. Apakatattānanti antimavatthuṃ ajjhāpannassa vā ukkhittakassa vā uposatho pavāraṇā vā ṭhapitā honti, tassa santike na desayeti attho. Nānekāti nānāpattiyo ‘‘ekā’’ti vatvā na desayeti attho. Ekā pana ‘‘sambahulā’’ti desitā hotīti. Desanāvinicchayo.
เทสนานิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Desanāniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.