Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
มชฺฌิมนิกาเย
Majjhimanikāye
อุปริปณฺณาสปาฬิ
Uparipaṇṇāsapāḷi
๑. เทวทหวโคฺค
1. Devadahavaggo
๑. เทวทหสุตฺตํ
1. Devadahasuttaṃ
๑. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สเกฺกสุ วิหรติ เทวทหํ นาม สกฺยานํ นิคโมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขโว’’ติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ – ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘ยํ กิญฺจายํ ปุริสปุคฺคโล ปฎิสํเวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตุฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’ติฯ เอวํวาทิโน, ภิกฺขเว, นิคณฺฐาฯ
1. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sakkesu viharati devadahaṃ nāma sakyānaṃ nigamo. Tatra kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhavo’’ti. ‘‘Bhadante’’ti te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca – ‘‘santi, bhikkhave, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘yaṃ kiñcāyaṃ purisapuggalo paṭisaṃvedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, sabbaṃ taṃ pubbekatahetu. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’ti. Evaṃvādino, bhikkhave, nigaṇṭhā.
‘‘เอวํวาทาหํ , ภิกฺขเว, นิคเณฺฐ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วทามิ – ‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห, อาวุโส นิคณฺฐา, เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ยํ กิญฺจายํ ปุริสปุคฺคโล ปฎิสํเวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตุฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’ติ? เต จ เม, ภิกฺขเว, นิคณฺฐา เอวํ ปุฎฺฐา ‘อามา’ติ ปฎิชานนฺติฯ
‘‘Evaṃvādāhaṃ , bhikkhave, nigaṇṭhe upasaṅkamitvā evaṃ vadāmi – ‘saccaṃ kira tumhe, āvuso nigaṇṭhā, evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – yaṃ kiñcāyaṃ purisapuggalo paṭisaṃvedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, sabbaṃ taṃ pubbekatahetu. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’ti? Te ca me, bhikkhave, nigaṇṭhā evaṃ puṭṭhā ‘āmā’ti paṭijānanti.
‘‘ตฺยาหํ เอวํ วทามิ – ‘กิํ ปน ตุเมฺห, อาวุโส นิคณฺฐา, ชานาถ – อหุวเมฺหว มยํ ปุเพฺพ, น นาหุวมฺหา’ติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ
‘‘Tyāhaṃ evaṃ vadāmi – ‘kiṃ pana tumhe, āvuso nigaṇṭhā, jānātha – ahuvamheva mayaṃ pubbe, na nāhuvamhā’ti? ‘No hidaṃ, āvuso’.
‘‘‘กิํ ปน ตุเมฺห, อาวุโส นิคณฺฐา, ชานาถ – อกรเมฺหว มยํ ปุเพฺพ ปาปกมฺมํ, น นากรมฺหา’ติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ
‘‘‘Kiṃ pana tumhe, āvuso nigaṇṭhā, jānātha – akaramheva mayaṃ pubbe pāpakammaṃ, na nākaramhā’ti? ‘No hidaṃ, āvuso’.
‘‘‘กิํ ปน ตุเมฺห, อาวุโส นิคณฺฐา, ชานาถ – เอวรูปํ วา เอวรูปํ วา ปาปกมฺมํ อกรมฺหา’ติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ
‘‘‘Kiṃ pana tumhe, āvuso nigaṇṭhā, jānātha – evarūpaṃ vā evarūpaṃ vā pāpakammaṃ akaramhā’ti? ‘No hidaṃ, āvuso’.
‘‘‘กิํ ปน ตุเมฺห, อาวุโส นิคณฺฐา, ชานาถ – เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ, เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชีเรตพฺพํ, เอตฺตกมฺหิ วา ทุเกฺข นิชฺชิเณฺณ สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’ติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ
‘‘‘Kiṃ pana tumhe, āvuso nigaṇṭhā, jānātha – ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ, ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjīretabbaṃ, ettakamhi vā dukkhe nijjiṇṇe sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’ti? ‘No hidaṃ, āvuso’.
‘‘‘กิํ ปน ตุเมฺห, อาวุโส นิคณฺฐา, ชานาถ – ทิเฎฺฐว ธเมฺม อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานํ, กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปท’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ
‘‘‘Kiṃ pana tumhe, āvuso nigaṇṭhā, jānātha – diṭṭheva dhamme akusalānaṃ dhammānaṃ pahānaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ upasampada’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’.
๒. ‘‘อิติ กิร ตุเมฺห, อาวุโส นิคณฺฐา, น ชานาถ – อหุวเมฺหว มยํ ปุเพฺพ, น นาหุวมฺหาติ , น ชานาถ – อกรเมฺหว มยํ ปุเพฺพ ปาปกมฺมํ, น นากรมฺหาติ, น ชานาถ – เอวรูปํ วา เอวรูปํ วา ปาปกมฺมํ อกรมฺหาติ, น ชานาถ – เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ, เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชีเรตพฺพํ, เอตฺตกมฺหิ วา ทุเกฺข นิชฺชิเณฺณ สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตีติ, น ชานาถ – ทิเฎฺฐว ธเมฺม อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานํ, กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทํ; เอวํ สเนฺต อายสฺมนฺตานํ นิคณฺฐานํ น กลฺลมสฺส เวยฺยากรณาย – ยํ กิญฺจายํ ปุริสปุคฺคโล ปฎิสํเวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตุฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’’ติฯ
2. ‘‘Iti kira tumhe, āvuso nigaṇṭhā, na jānātha – ahuvamheva mayaṃ pubbe, na nāhuvamhāti , na jānātha – akaramheva mayaṃ pubbe pāpakammaṃ, na nākaramhāti, na jānātha – evarūpaṃ vā evarūpaṃ vā pāpakammaṃ akaramhāti, na jānātha – ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ, ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjīretabbaṃ, ettakamhi vā dukkhe nijjiṇṇe sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatīti, na jānātha – diṭṭheva dhamme akusalānaṃ dhammānaṃ pahānaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ upasampadaṃ; evaṃ sante āyasmantānaṃ nigaṇṭhānaṃ na kallamassa veyyākaraṇāya – yaṃ kiñcāyaṃ purisapuggalo paṭisaṃvedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, sabbaṃ taṃ pubbekatahetu. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’’ti.
‘‘สเจ ปน ตุเมฺห, อาวุโส นิคณฺฐา, ชาเนยฺยาถ – อหุวเมฺหว มยํ ปุเพฺพ, น นาหุวมฺหาติ, ชาเนยฺยาถ – อกรเมฺหว มยํ ปุเพฺพ ปาปกมฺมํ, น นากรมฺหาติ, ชาเนยฺยาถ – เอวรูปํ วา เอวรูปํ วา ปาปกมฺมํ อกรมฺหาติ, ชาเนยฺยาถ – เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ, เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชีเรตพฺพํ, เอตฺตกมฺหิ วา ทุเกฺข นิชฺชิเณฺณ สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตีติ, ชาเนยฺยาถ – ทิเฎฺฐว ธเมฺม อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานํ, กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทํ; เอวํ สเนฺต อายสฺมนฺตานํ นิคณฺฐานํ กลฺลมสฺส เวยฺยากรณาย – ยํ กิญฺจายํ ปุริสปุคฺคโล ปฎิสํเวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตุฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’’ติฯ
‘‘Sace pana tumhe, āvuso nigaṇṭhā, jāneyyātha – ahuvamheva mayaṃ pubbe, na nāhuvamhāti, jāneyyātha – akaramheva mayaṃ pubbe pāpakammaṃ, na nākaramhāti, jāneyyātha – evarūpaṃ vā evarūpaṃ vā pāpakammaṃ akaramhāti, jāneyyātha – ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ, ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjīretabbaṃ, ettakamhi vā dukkhe nijjiṇṇe sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatīti, jāneyyātha – diṭṭheva dhamme akusalānaṃ dhammānaṃ pahānaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ upasampadaṃ; evaṃ sante āyasmantānaṃ nigaṇṭhānaṃ kallamassa veyyākaraṇāya – yaṃ kiñcāyaṃ purisapuggalo paṭisaṃvedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, sabbaṃ taṃ pubbekatahetu. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’’ti.
๓. ‘‘เสยฺยถาปิ, อาวุโส นิคณฺฐา, ปุริโส สเลฺลน วิโทฺธ อสฺส สวิเสน คาฬฺหูปเลปเนน 1; โส สลฺลสฺสปิ เวธนเหตุ 2 ทุกฺขา ติพฺพา 3 กฎุกา เวทนา เวทิเยยฺยฯ ตสฺส มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ภิสกฺกํ สลฺลกตฺตํ อุปฎฺฐาเปยฺยุํฯ ตสฺส โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต สเตฺถน วณมุขํ ปริกเนฺตยฺย; โส สเตฺถนปิ วณมุขสฺส ปริกนฺตนเหตุ ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยยฺยฯ ตสฺส โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต เอสนิยา สลฺลํ เอเสยฺย; โส เอสนิยาปิ สลฺลสฺส เอสนาเหตุ ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยยฺย ฯ ตสฺส โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต สลฺลํ อพฺพุเหยฺย 4; โส สลฺลสฺสปิ อพฺพุหนเหตุ 5 ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยยฺยฯ ตสฺส โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต อคทงฺคารํ วณมุเข โอทเหยฺย; โส อคทงฺคารสฺสปิ วณมุเข โอทหนเหตุ ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยยฺยฯ โส อปเรน สมเยน รูเฬฺหน วเณน สญฺฉวินา อโรโค อสฺส สุขี เสรี สยํวสี เยน กามงฺคโมฯ ตสฺส เอวมสฺส – อหํ โข ปุเพฺพ สเลฺลน วิโทฺธ อโหสิํ สวิเสน คาฬฺหูปเลปเนนฯ โสหํ สลฺลสฺสปิ เวธนเหตุ ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยิํฯ ตสฺส เม มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ภิสกฺกํ สลฺลกตฺตํ อุปฎฺฐเปสุํฯ ตสฺส เม โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต สเตฺถน วณมุขํ ปริกนฺติ; โสหํ สเตฺถนปิ วณมุขสฺส ปริกนฺตนเหตุ ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยิํฯ ตสฺส เม โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต เอสนิยา สลฺลํ เอสิ; โส อหํ เอสนิยาปิ สลฺลสฺส เอสนาเหตุ ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยิํฯ ตสฺส เม โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต สลฺลํ อพฺพุหิ 6; โสหํ สลฺลสฺสปิ อพฺพุหนเหตุ ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยิํฯ ตสฺส เม โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต อคทงฺคารํ วณมุเข โอทหิ; โสหํ อคทงฺคารสฺสปิ วณมุเข โอทหนเหตุ ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยิํฯ โสมฺหิ เอตรหิ รูเฬฺหน วเณน สญฺฉวินา อโรโค สุขี เสรี สยํวสี เยน กามงฺคโม’’ติฯ
3. ‘‘Seyyathāpi, āvuso nigaṇṭhā, puriso sallena viddho assa savisena gāḷhūpalepanena 7; so sallassapi vedhanahetu 8 dukkhā tibbā 9 kaṭukā vedanā vediyeyya. Tassa mittāmaccā ñātisālohitā bhisakkaṃ sallakattaṃ upaṭṭhāpeyyuṃ. Tassa so bhisakko sallakatto satthena vaṇamukhaṃ parikanteyya; so satthenapi vaṇamukhassa parikantanahetu dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyeyya. Tassa so bhisakko sallakatto esaniyā sallaṃ eseyya; so esaniyāpi sallassa esanāhetu dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyeyya . Tassa so bhisakko sallakatto sallaṃ abbuheyya 10; so sallassapi abbuhanahetu 11 dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyeyya. Tassa so bhisakko sallakatto agadaṅgāraṃ vaṇamukhe odaheyya; so agadaṅgārassapi vaṇamukhe odahanahetu dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyeyya. So aparena samayena rūḷhena vaṇena sañchavinā arogo assa sukhī serī sayaṃvasī yena kāmaṅgamo. Tassa evamassa – ahaṃ kho pubbe sallena viddho ahosiṃ savisena gāḷhūpalepanena. Sohaṃ sallassapi vedhanahetu dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyiṃ. Tassa me mittāmaccā ñātisālohitā bhisakkaṃ sallakattaṃ upaṭṭhapesuṃ. Tassa me so bhisakko sallakatto satthena vaṇamukhaṃ parikanti; sohaṃ satthenapi vaṇamukhassa parikantanahetu dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyiṃ. Tassa me so bhisakko sallakatto esaniyā sallaṃ esi; so ahaṃ esaniyāpi sallassa esanāhetu dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyiṃ. Tassa me so bhisakko sallakatto sallaṃ abbuhi 12; sohaṃ sallassapi abbuhanahetu dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyiṃ. Tassa me so bhisakko sallakatto agadaṅgāraṃ vaṇamukhe odahi; sohaṃ agadaṅgārassapi vaṇamukhe odahanahetu dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyiṃ. Somhi etarahi rūḷhena vaṇena sañchavinā arogo sukhī serī sayaṃvasī yena kāmaṅgamo’’ti.
‘‘เอวเมว โข, อาวุโส นิคณฺฐา, สเจ ตุเมฺห ชาเนยฺยาถ – อหุวเมฺหว มยํ ปุเพฺพ, น นาหุวมฺหาติ, ชาเนยฺยาถ – อกรเมฺหว มยํ ปุเพฺพ ปาปกมฺมํ, น นากรมฺหาติ, ชาเนยฺยาถ – เอวรูปํ วา เอวรูปํ วา ปาปกมฺมํ อกรมฺหาติ, ชาเนยฺยาถ – เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ, เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชีเรตพฺพํ, เอตฺตกมฺหิ วา ทุเกฺข นิชฺชิเณฺณ สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตีติ, ชาเนยฺยาถ – ทิเฎฺฐว ธเมฺม อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานํ, กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทํ; เอวํ สเนฺต อายสฺมนฺตานํ นิคณฺฐานํ กลฺลมสฺส เวยฺยากรณาย – ยํ กิญฺจายํ ปุริสปุคฺคโล ปฎิสํเวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตุฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’’ติฯ
‘‘Evameva kho, āvuso nigaṇṭhā, sace tumhe jāneyyātha – ahuvamheva mayaṃ pubbe, na nāhuvamhāti, jāneyyātha – akaramheva mayaṃ pubbe pāpakammaṃ, na nākaramhāti, jāneyyātha – evarūpaṃ vā evarūpaṃ vā pāpakammaṃ akaramhāti, jāneyyātha – ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ, ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjīretabbaṃ, ettakamhi vā dukkhe nijjiṇṇe sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatīti, jāneyyātha – diṭṭheva dhamme akusalānaṃ dhammānaṃ pahānaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ upasampadaṃ; evaṃ sante āyasmantānaṃ nigaṇṭhānaṃ kallamassa veyyākaraṇāya – yaṃ kiñcāyaṃ purisapuggalo paṭisaṃvedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, sabbaṃ taṃ pubbekatahetu. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’’ti.
‘‘ยสฺมา จ โข ตุเมฺห, อาวุโส นิคณฺฐา, น ชานาถ – อหุวเมฺหว มยํ ปุเพฺพ, น นาหุวมฺหาติ, น ชานาถ – อกรเมฺหว มยํ ปุเพฺพ ปาปกมฺมํ, น นากรมฺหาติ, น ชานาถ – เอวรูปํ วา เอวรูปํ วา ปาปกมฺมํ อกรมฺหาติ, น ชานาถ – เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ, เอตฺตกํ วา ทุกฺขํ นิชฺชีเรตพฺพํ, เอตฺตกมฺหิ วา ทุเกฺข นิชฺชิเณฺณ สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตีติ, น ชานาถ – ทิเฎฺฐว ธเมฺม อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานํ, กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทํ; ตสฺมา อายสฺมนฺตานํ นิคณฺฐานํ น กลฺลมสฺส เวยฺยากรณาย – ยํ กิญฺจายํ ปุริสปุคฺคโล ปฎิสํเวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตุฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’’ติฯ
‘‘Yasmā ca kho tumhe, āvuso nigaṇṭhā, na jānātha – ahuvamheva mayaṃ pubbe, na nāhuvamhāti, na jānātha – akaramheva mayaṃ pubbe pāpakammaṃ, na nākaramhāti, na jānātha – evarūpaṃ vā evarūpaṃ vā pāpakammaṃ akaramhāti, na jānātha – ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ, ettakaṃ vā dukkhaṃ nijjīretabbaṃ, ettakamhi vā dukkhe nijjiṇṇe sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatīti, na jānātha – diṭṭheva dhamme akusalānaṃ dhammānaṃ pahānaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ upasampadaṃ; tasmā āyasmantānaṃ nigaṇṭhānaṃ na kallamassa veyyākaraṇāya – yaṃ kiñcāyaṃ purisapuggalo paṭisaṃvedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, sabbaṃ taṃ pubbekatahetu. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’’ti.
๔. ‘‘เอวํ วุเตฺต, ภิกฺขเว, เต นิคณฺฐา มํ เอตทโวจุํ – ‘นิคโณฺฐ , อาวุโส, นาฎปุโตฺต 13 สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี, อปริเสสํ ญาณทสฺสนํ ปฎิชานาติ ฯ จรโต จ เม ติฎฺฐโต จ สุตฺตสฺส จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ ญาณทสฺสนํ ปจฺจุปฎฺฐิต’นฺติฯ โส เอวมาห – ‘อตฺถิ โข โว, อาวุโส นิคณฺฐา, ปุเพฺพว ปาปกมฺมํ กตํ, ตํ อิมาย กฎุกาย ทุกฺกรการิกาย นิชฺชีเรถ, ยํ ปเนตฺถ เอตรหิ กาเยน สํวุตา วาจาย สํวุตา มนสา สํวุตา ตํ อายติํ ปาปกมฺมสฺส อกรณํฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’ติฯ ตญฺจ ปนมฺหากํ รุจฺจติ เจว ขมติ จ, เตน จมฺหา อตฺตมนา’’ติฯ
4. ‘‘Evaṃ vutte, bhikkhave, te nigaṇṭhā maṃ etadavocuṃ – ‘nigaṇṭho , āvuso, nāṭaputto 14 sabbaññū sabbadassāvī, aparisesaṃ ñāṇadassanaṃ paṭijānāti . Carato ca me tiṭṭhato ca suttassa ca jāgarassa ca satataṃ samitaṃ ñāṇadassanaṃ paccupaṭṭhita’nti. So evamāha – ‘atthi kho vo, āvuso nigaṇṭhā, pubbeva pāpakammaṃ kataṃ, taṃ imāya kaṭukāya dukkarakārikāya nijjīretha, yaṃ panettha etarahi kāyena saṃvutā vācāya saṃvutā manasā saṃvutā taṃ āyatiṃ pāpakammassa akaraṇaṃ. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’ti. Tañca panamhākaṃ ruccati ceva khamati ca, tena camhā attamanā’’ti.
๕. ‘‘เอวํ วุเตฺต อหํ, ภิกฺขเว, เต นิคเณฺฐ เอตทโวจํ – ‘ปญฺจ โข อิเม, อาวุโส นิคณฺฐา, ธมฺมา ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทฺวิธาวิปากาฯ กตเม ปญฺจ? สทฺธา, รุจิ, อนุสฺสโว, อาการปริวิตโกฺก, ทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ – อิเม โข, อาวุโส นิคณฺฐา, ปญฺจ ธมฺมา ทิเฎฺฐว ธเมฺม ทฺวิธาวิปากาฯ ตตฺรายสฺมนฺตานํ นิคณฺฐานํ กา อตีตํเส สตฺถริ สทฺธา, กา รุจิ, โก อนุสฺสโว, โก อาการปริวิตโกฺก, กา ทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺตี’ติฯ เอวํวาที 15 โข อหํ, ภิกฺขเว, นิคเณฺฐสุ น กญฺจิ 16 สหธมฺมิกํ วาทปฎิหารํ สมนุปสฺสามิฯ
5. ‘‘Evaṃ vutte ahaṃ, bhikkhave, te nigaṇṭhe etadavocaṃ – ‘pañca kho ime, āvuso nigaṇṭhā, dhammā diṭṭheva dhamme dvidhāvipākā. Katame pañca? Saddhā, ruci, anussavo, ākāraparivitakko, diṭṭhinijjhānakkhanti – ime kho, āvuso nigaṇṭhā, pañca dhammā diṭṭheva dhamme dvidhāvipākā. Tatrāyasmantānaṃ nigaṇṭhānaṃ kā atītaṃse satthari saddhā, kā ruci, ko anussavo, ko ākāraparivitakko, kā diṭṭhinijjhānakkhantī’ti. Evaṃvādī 17 kho ahaṃ, bhikkhave, nigaṇṭhesu na kañci 18 sahadhammikaṃ vādapaṭihāraṃ samanupassāmi.
‘‘ปุน จปราหํ 19, ภิกฺขเว, เต นิคเณฺฐ เอวํ วทามิ – ‘ตํ กิํ มญฺญถ, อาวุโส นิคณฺฐาฯ ยสฺมิํ โว สมเย ติโพฺพ 20 อุปกฺกโม โหติ ติพฺพํ ปธานํ, ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยถ; ยสฺมิํ ปน โว สมเย น ติโพฺพ อุปกฺกโม โหติ น ติพฺพํ ปธานํ, น ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยถา’ติ? ‘ยสฺมิํ โน, อาวุโส โคตม, สมเย ติโพฺพ อุปกฺกโม โหติ ติพฺพํ ปธานํ, ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยาม; ยสฺมิํ ปน โน สมเย น ติโพฺพ อุปกฺกโม โหติ น ติพฺพํ ปธานํ, น ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยามา’’’ติฯ
‘‘Puna caparāhaṃ 21, bhikkhave, te nigaṇṭhe evaṃ vadāmi – ‘taṃ kiṃ maññatha, āvuso nigaṇṭhā. Yasmiṃ vo samaye tibbo 22 upakkamo hoti tibbaṃ padhānaṃ, tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyetha; yasmiṃ pana vo samaye na tibbo upakkamo hoti na tibbaṃ padhānaṃ, na tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyethā’ti? ‘Yasmiṃ no, āvuso gotama, samaye tibbo upakkamo hoti tibbaṃ padhānaṃ, tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyāma; yasmiṃ pana no samaye na tibbo upakkamo hoti na tibbaṃ padhānaṃ, na tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyāmā’’’ti.
๖. ‘‘อิติ กิร, อาวุโส นิคณฺฐา, ยสฺมิํ โว สมเย ติโพฺพ อุปกฺกโม โหติ ติพฺพํ ปธานํ, ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยถ; ยสฺมิํ ปน โว สมเย น ติโพฺพ อุปกฺกโม โหติ น ติพฺพํ ปธานํ, น ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยถฯ เอวํ สเนฺต อายสฺมนฺตานํ นิคณฺฐานํ น กลฺลมสฺส เวยฺยากรณาย – ยํ กิญฺจายํ ปุริสปุคฺคโล ปฎิสํเวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตุฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย ; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตีติฯ สเจ, อาวุโส นิคณฺฐา, ยสฺมิํ โว สมเย ติโพฺพ อุปกฺกโม โหติ ติพฺพํ ปธานํ, น ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยถ; ยสฺมิํ ปน โว สมเย น ติโพฺพ อุปกฺกโม โหติ น ติพฺพํ ปธานํ, ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยถ 23; เอวํ สเนฺต อายสฺมนฺตานํ นิคณฺฐานํ กลฺลมสฺส เวยฺยากรณาย – ยํ กิญฺจายํ ปุริสปุคฺคโล ปฎิสํเวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตุฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’’ติฯ
6. ‘‘Iti kira, āvuso nigaṇṭhā, yasmiṃ vo samaye tibbo upakkamo hoti tibbaṃ padhānaṃ, tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyetha; yasmiṃ pana vo samaye na tibbo upakkamo hoti na tibbaṃ padhānaṃ, na tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyetha. Evaṃ sante āyasmantānaṃ nigaṇṭhānaṃ na kallamassa veyyākaraṇāya – yaṃ kiñcāyaṃ purisapuggalo paṭisaṃvedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, sabbaṃ taṃ pubbekatahetu. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo ; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatīti. Sace, āvuso nigaṇṭhā, yasmiṃ vo samaye tibbo upakkamo hoti tibbaṃ padhānaṃ, na tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyetha; yasmiṃ pana vo samaye na tibbo upakkamo hoti na tibbaṃ padhānaṃ, tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyetha 24; evaṃ sante āyasmantānaṃ nigaṇṭhānaṃ kallamassa veyyākaraṇāya – yaṃ kiñcāyaṃ purisapuggalo paṭisaṃvedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, sabbaṃ taṃ pubbekatahetu. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’’ti.
‘‘‘ยสฺมา จ โข, อาวุโส นิคณฺฐา, ยสฺมิํ โว สมเย ติโพฺพ อุปกฺกโม โหติ ติพฺพํ ปธานํ, ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยถ; ยสฺมิํ ปน โว สมเย น ติโพฺพ อุปกฺกโม โหติ น ติพฺพํ ปธานํ, น ติพฺพา ตสฺมิํ สมเย โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิเยถ; เต ตุเมฺห สามํเยว โอปกฺกมิกา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทยมานา อวิชฺชา อญฺญาณา สโมฺมหา วิปเจฺจถ – ยํ กิญฺจายํ ปุริสปุคฺคโล ปฎิสํเวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตุฯ อิติ ปุราณานํ กมฺมานํ ตปสา พฺยนฺตีภาวา, นวานํ กมฺมานํ อกรณา, อายติํ อนวสฺสโว; อายติํ อนวสฺสวา กมฺมกฺขโย; กมฺมกฺขยา ทุกฺขกฺขโย; ทุกฺขกฺขยา เวทนากฺขโย ; เวทนากฺขยา สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตี’ติฯ เอวํวาทีปิ 25 โข อหํ, ภิกฺขเว, นิคเณฺฐสุ น กญฺจิ สหธมฺมิกํ วาทปฎิหารํ สมนุปสฺสามิฯ
‘‘‘Yasmā ca kho, āvuso nigaṇṭhā, yasmiṃ vo samaye tibbo upakkamo hoti tibbaṃ padhānaṃ, tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyetha; yasmiṃ pana vo samaye na tibbo upakkamo hoti na tibbaṃ padhānaṃ, na tibbā tasmiṃ samaye opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyetha; te tumhe sāmaṃyeva opakkamikā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vedayamānā avijjā aññāṇā sammohā vipaccetha – yaṃ kiñcāyaṃ purisapuggalo paṭisaṃvedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, sabbaṃ taṃ pubbekatahetu. Iti purāṇānaṃ kammānaṃ tapasā byantībhāvā, navānaṃ kammānaṃ akaraṇā, āyatiṃ anavassavo; āyatiṃ anavassavā kammakkhayo; kammakkhayā dukkhakkhayo; dukkhakkhayā vedanākkhayo ; vedanākkhayā sabbaṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissatī’ti. Evaṃvādīpi 26 kho ahaṃ, bhikkhave, nigaṇṭhesu na kañci sahadhammikaṃ vādapaṭihāraṃ samanupassāmi.
๗. ‘‘ปุน จปราหํ, ภิกฺขเว, เต นิคเณฺฐ เอวํ วทามิ – ‘ตํ กิํ มญฺญถาวุโส นิคณฺฐา, ยมิทํ กมฺมํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา สมฺปรายเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ ‘ยํ ปนิทํ กมฺมํ สมฺปรายเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ ‘ตํ กิํ มญฺญถาวุโส นิคณฺฐา, ยมิทํ กมฺมํ สุขเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา ทุกฺขเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ ‘ยํ ปนิทํ กมฺมํ ทุกฺขเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา สุขเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ ‘ตํ กิํ มญฺญถาวุโส นิคณฺฐา, ยมิทํ กมฺมํ ปริปกฺกเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา อปริปกฺกเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ ‘ยํ ปนิทํ กมฺมํ อปริปกฺกเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา ปริปกฺกเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ ‘ตํ กิํ มญฺญถาวุโส นิคณฺฐา, ยมิทํ กมฺมํ พหุเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา อปฺปเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ ‘ยํ ปนิทํ กมฺมํ อปฺปเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา พหุเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ ‘ตํ กิํ มญฺญถาวุโส นิคณฺฐา, ยมิทํ กมฺมํ สเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา อเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ ‘ยํ ปนิทํ กมฺมํ อเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา สเวทนียํ โหตูติ ลพฺภเมต’นฺติ? ‘โน หิทํ, อาวุโส’ฯ
7. ‘‘Puna caparāhaṃ, bhikkhave, te nigaṇṭhe evaṃ vadāmi – ‘taṃ kiṃ maññathāvuso nigaṇṭhā, yamidaṃ kammaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā samparāyavedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’. ‘Yaṃ panidaṃ kammaṃ samparāyavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā diṭṭhadhammavedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’. ‘Taṃ kiṃ maññathāvuso nigaṇṭhā, yamidaṃ kammaṃ sukhavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā dukkhavedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’. ‘Yaṃ panidaṃ kammaṃ dukkhavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā sukhavedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’. ‘Taṃ kiṃ maññathāvuso nigaṇṭhā, yamidaṃ kammaṃ paripakkavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā aparipakkavedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’. ‘Yaṃ panidaṃ kammaṃ aparipakkavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā paripakkavedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’. ‘Taṃ kiṃ maññathāvuso nigaṇṭhā, yamidaṃ kammaṃ bahuvedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā appavedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’. ‘Yaṃ panidaṃ kammaṃ appavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā bahuvedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’. ‘Taṃ kiṃ maññathāvuso nigaṇṭhā, yamidaṃ kammaṃ savedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā avedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’. ‘Yaṃ panidaṃ kammaṃ avedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā savedanīyaṃ hotūti labbhameta’nti? ‘No hidaṃ, āvuso’.
๘. ‘‘อิติ กิร, อาวุโส นิคณฺฐา, ยมิทํ กมฺมํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา สมฺปรายเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ, ยํ ปนิทํ กมฺมํ สมฺปรายเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ, ยมิทํ กมฺมํ สุขเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา ทุกฺขเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ, ยมิทํ กมฺมํ ทุกฺขเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา สุขเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ, ยมิทํ กมฺมํ ปริปกฺกเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา อปริปกฺกเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ, ยมิทํ กมฺมํ อปริปกฺกเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา ปริปกฺกเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ, ยมิทํ กมฺมํ พหุเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา อปฺปเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ, ยมิทํ กมฺมํ อปฺปเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา พหุเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ, ยมิทํ กมฺมํ สเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา อเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ, ยมิทํ กมฺมํ อเวทนียํ ตํ อุปกฺกเมน วา ปธาเนน วา สเวทนียํ โหตูติ อลพฺภเมตํ; เอวํ สเนฺต อายสฺมนฺตานํ นิคณฺฐานํ อผโล อุปกฺกโม โหติ, อผลํ ปธานํ’’ฯ
8. ‘‘Iti kira, āvuso nigaṇṭhā, yamidaṃ kammaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā samparāyavedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ, yaṃ panidaṃ kammaṃ samparāyavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā diṭṭhadhammavedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ, yamidaṃ kammaṃ sukhavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā dukkhavedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ, yamidaṃ kammaṃ dukkhavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā sukhavedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ, yamidaṃ kammaṃ paripakkavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā aparipakkavedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ, yamidaṃ kammaṃ aparipakkavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā paripakkavedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ, yamidaṃ kammaṃ bahuvedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā appavedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ, yamidaṃ kammaṃ appavedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā bahuvedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ, yamidaṃ kammaṃ savedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā avedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ, yamidaṃ kammaṃ avedanīyaṃ taṃ upakkamena vā padhānena vā savedanīyaṃ hotūti alabbhametaṃ; evaṃ sante āyasmantānaṃ nigaṇṭhānaṃ aphalo upakkamo hoti, aphalaṃ padhānaṃ’’.
‘‘เอวํวาที, ภิกฺขเว, นิคณฺฐาฯ เอวํวาทีนํ, ภิกฺขเว, นิคณฺฐานํ ทส สหธมฺมิกา วาทานุวาทา คารยฺหํ ฐานํ อาคจฺฉนฺติฯ
‘‘Evaṃvādī, bhikkhave, nigaṇṭhā. Evaṃvādīnaṃ, bhikkhave, nigaṇṭhānaṃ dasa sahadhammikā vādānuvādā gārayhaṃ ṭhānaṃ āgacchanti.
๙. ‘‘สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา ปุเพฺพกตเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, นิคณฺฐา ปุเพฺพ ทุกฺกฎกมฺมการิโน ยํ เอตรหิ เอวรูปา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยนฺติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา อิสฺสรนิมฺมานเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, นิคณฺฐา ปาปเกน อิสฺสเรน นิมฺมิตา ยํ เอตรหิ เอวรูปา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยนฺติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา สงฺคติภาวเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, นิคณฺฐา ปาปสงฺคติกา ยํ เอตรหิ เอวรูปา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยนฺติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา อภิชาติเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, นิคณฺฐา ปาปาภิชาติกา ยํ เอตรหิ เอวรูปา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยนฺติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา ทิฎฺฐธมฺมูปกฺกมเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, นิคณฺฐา เอวรูปา ทิฎฺฐธมฺมูปกฺกมา ยํ เอตรหิ เอวรูปา ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทิยนฺติฯ
9. ‘‘Sace, bhikkhave, sattā pubbekatahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, nigaṇṭhā pubbe dukkaṭakammakārino yaṃ etarahi evarūpā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyanti. Sace, bhikkhave, sattā issaranimmānahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, nigaṇṭhā pāpakena issarena nimmitā yaṃ etarahi evarūpā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyanti. Sace, bhikkhave, sattā saṅgatibhāvahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, nigaṇṭhā pāpasaṅgatikā yaṃ etarahi evarūpā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyanti. Sace, bhikkhave, sattā abhijātihetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, nigaṇṭhā pāpābhijātikā yaṃ etarahi evarūpā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyanti. Sace, bhikkhave, sattā diṭṭhadhammūpakkamahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, nigaṇṭhā evarūpā diṭṭhadhammūpakkamā yaṃ etarahi evarūpā dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vediyanti.
‘‘สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา ปุเพฺพกตเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐา; โน เจ สตฺตา ปุเพฺพกตเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐาฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา อิสฺสรนิมฺมานเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐา; โน เจ สตฺตา อิสฺสรนิมฺมานเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐาฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา สงฺคติภาวเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐา; โน เจ สตฺตา สงฺคติภาวเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐาฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา อภิชาติเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐา; โน เจ สตฺตา อภิชาติเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐาฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา ทิฎฺฐธมฺมูปกฺกมเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐา; โน เจ สตฺตา ทิฎฺฐธมฺมูปกฺกมเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, คารยฺหา นิคณฺฐาฯ เอวํวาที, ภิกฺขเว, นิคณฺฐาฯ เอวํวาทีนํ, ภิกฺขเว, นิคณฺฐานํ อิเม ทส สหธมฺมิกา วาทานุวาทา คารยฺหํ ฐานํ อาคจฺฉนฺติฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, อผโล อุปกฺกโม โหติ, อผลํ ปธานํฯ
‘‘Sace, bhikkhave, sattā pubbekatahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā; no ce sattā pubbekatahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā. Sace, bhikkhave, sattā issaranimmānahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā; no ce sattā issaranimmānahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā. Sace, bhikkhave, sattā saṅgatibhāvahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā; no ce sattā saṅgatibhāvahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā. Sace, bhikkhave, sattā abhijātihetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā; no ce sattā abhijātihetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā. Sace, bhikkhave, sattā diṭṭhadhammūpakkamahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā; no ce sattā diṭṭhadhammūpakkamahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, gārayhā nigaṇṭhā. Evaṃvādī, bhikkhave, nigaṇṭhā. Evaṃvādīnaṃ, bhikkhave, nigaṇṭhānaṃ ime dasa sahadhammikā vādānuvādā gārayhaṃ ṭhānaṃ āgacchanti. Evaṃ kho, bhikkhave, aphalo upakkamo hoti, aphalaṃ padhānaṃ.
๑๐. ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ น เหว อนทฺธภูตํ อตฺตานํ ทุเกฺขน อทฺธภาเวติ, ธมฺมิกญฺจ สุขํ น ปริจฺจชติ, ตสฺมิญฺจ สุเข อนธิมุจฺฉิโต โหติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘อิมสฺส โข เม ทุกฺขนิทานสฺส สงฺขารํ ปทหโต สงฺขารปฺปธานา วิราโค โหติ, อิมสฺส ปน เม ทุกฺขนิทานสฺส อชฺฌุเปกฺขโต อุเปกฺขํ ภาวยโต วิราโค โหตี’ติฯ โส ยสฺส หิ ขฺวาสฺส 27 ทุกฺขนิทานสฺส สงฺขารํ ปทหโต สงฺขารปฺปธานา วิราโค โหติ, สงฺขารํ ตตฺถ ปทหติฯ ยสฺส ปนสฺส ทุกฺขนิทานสฺส อชฺฌุเปกฺขโต อุเปกฺขํ ภาวยโต วิราโค โหติ, อุเปกฺขํ ตตฺถ ภาเวติฯ ตสฺส ตสฺส ทุกฺขนิทานสฺส สงฺขารํ ปทหโต สงฺขารปฺปธานา วิราโค โหติ – เอวมฺปิสฺส ตํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ โหติฯ ตสฺส ตสฺส ทุกฺขนิทานสฺส อชฺฌุเปกฺขโต อุเปกฺขํ ภาวยโต วิราโค โหติ – เอวมฺปิสฺส ตํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ โหติฯ
10. ‘‘Kathañca, bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ? Idha, bhikkhave, bhikkhu na heva anaddhabhūtaṃ attānaṃ dukkhena addhabhāveti, dhammikañca sukhaṃ na pariccajati, tasmiñca sukhe anadhimucchito hoti. So evaṃ pajānāti – ‘imassa kho me dukkhanidānassa saṅkhāraṃ padahato saṅkhārappadhānā virāgo hoti, imassa pana me dukkhanidānassa ajjhupekkhato upekkhaṃ bhāvayato virāgo hotī’ti. So yassa hi khvāssa 28 dukkhanidānassa saṅkhāraṃ padahato saṅkhārappadhānā virāgo hoti, saṅkhāraṃ tattha padahati. Yassa panassa dukkhanidānassa ajjhupekkhato upekkhaṃ bhāvayato virāgo hoti, upekkhaṃ tattha bhāveti. Tassa tassa dukkhanidānassa saṅkhāraṃ padahato saṅkhārappadhānā virāgo hoti – evampissa taṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ hoti. Tassa tassa dukkhanidānassa ajjhupekkhato upekkhaṃ bhāvayato virāgo hoti – evampissa taṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ hoti.
๑๑. ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส อิตฺถิยา สารโตฺต ปฎิพทฺธจิโตฺต ติพฺพจฺฉโนฺท ติพฺพาเปโกฺขฯ โส ตํ อิตฺถิํ ปเสฺสยฺย อเญฺญน ปุริเสน สทฺธิํ สนฺติฎฺฐนฺติํ สลฺลปนฺติํ สญฺชคฺฆนฺติํ สํหสนฺติํฯ ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ ตสฺส ปุริสสฺส อมุํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อเญฺญน ปุริเสน สทฺธิํ สนฺติฎฺฐนฺติํ สลฺลปนฺติํ สญฺชคฺฆนฺติํ สํหสนฺติํ อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสูปายาสา’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ’’? ‘‘อมุ หิ, ภเนฺต, ปุริโส อมุสฺสา อิตฺถิยา สารโตฺต ปฎิพทฺธจิโตฺต ติพฺพจฺฉโนฺท ติพฺพาเปโกฺข ฯ ตสฺมา ตํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อเญฺญน ปุริเสน สทฺธิํ สนฺติฎฺฐนฺติํ สลฺลปนฺติํ สญฺชคฺฆนฺติํ สํหสนฺติํ อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสูปายาสา’’ติฯ ‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, ตสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข อมุสฺสา อิตฺถิยา สารโตฺต ปฎิพทฺธจิโตฺต ติพฺพจฺฉโนฺท ติพฺพาเปโกฺขฯ ตสฺส เม อมุํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อเญฺญน ปุริเสน สทฺธิํ สนฺติฎฺฐนฺติํ สลฺลปนฺติํ สญฺชคฺฆนฺติํ สํหสนฺติํ อุปฺปชฺชนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสูปายาสาฯ ยํนูนาหํ โย เม อมุสฺสา อิตฺถิยา ฉนฺทราโค ตํ ปชเหยฺย’นฺติฯ โส โย อมุสฺสา อิตฺถิยา ฉนฺทราโค ตํ ปชเหยฺยฯ โส ตํ อิตฺถิํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน อเญฺญน ปุริเสน สทฺธิํ สนฺติฎฺฐนฺติํ สลฺลปนฺติํ สญฺชคฺฆนฺติํ สํหสนฺติํฯ ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ ตสฺส ปุริสสฺส อมุํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อเญฺญน ปุริเสน สทฺธิํ สนฺติฎฺฐนฺติํ สลฺลปนฺติํ สญฺชคฺฆนฺติํ สํหสนฺติํ อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสูปายาสา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ’’? ‘‘อมุ หิ, ภเนฺต, ปุริโส อมุสฺสา อิตฺถิยา วิราโคฯ ตสฺมา ตํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อเญฺญน ปุริเสน สทฺธิํ สนฺติฎฺฐนฺติํ สลฺลปนฺติํ สญฺชคฺฆนฺติํ สํหสนฺติํ น อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสูปายาสา’’ติฯ
11. ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, puriso itthiyā sāratto paṭibaddhacitto tibbacchando tibbāpekkho. So taṃ itthiṃ passeyya aññena purisena saddhiṃ santiṭṭhantiṃ sallapantiṃ sañjagghantiṃ saṃhasantiṃ. Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu tassa purisassa amuṃ itthiṃ disvā aññena purisena saddhiṃ santiṭṭhantiṃ sallapantiṃ sañjagghantiṃ saṃhasantiṃ uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassūpāyāsā’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Taṃ kissa hetu’’? ‘‘Amu hi, bhante, puriso amussā itthiyā sāratto paṭibaddhacitto tibbacchando tibbāpekkho . Tasmā taṃ itthiṃ disvā aññena purisena saddhiṃ santiṭṭhantiṃ sallapantiṃ sañjagghantiṃ saṃhasantiṃ uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassūpāyāsā’’ti. ‘‘Atha kho, bhikkhave, tassa purisassa evamassa – ‘ahaṃ kho amussā itthiyā sāratto paṭibaddhacitto tibbacchando tibbāpekkho. Tassa me amuṃ itthiṃ disvā aññena purisena saddhiṃ santiṭṭhantiṃ sallapantiṃ sañjagghantiṃ saṃhasantiṃ uppajjanti sokaparidevadukkhadomanassūpāyāsā. Yaṃnūnāhaṃ yo me amussā itthiyā chandarāgo taṃ pajaheyya’nti. So yo amussā itthiyā chandarāgo taṃ pajaheyya. So taṃ itthiṃ passeyya aparena samayena aññena purisena saddhiṃ santiṭṭhantiṃ sallapantiṃ sañjagghantiṃ saṃhasantiṃ. Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu tassa purisassa amuṃ itthiṃ disvā aññena purisena saddhiṃ santiṭṭhantiṃ sallapantiṃ sañjagghantiṃ saṃhasantiṃ uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassūpāyāsā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Taṃ kissa hetu’’? ‘‘Amu hi, bhante, puriso amussā itthiyā virāgo. Tasmā taṃ itthiṃ disvā aññena purisena saddhiṃ santiṭṭhantiṃ sallapantiṃ sañjagghantiṃ saṃhasantiṃ na uppajjeyyuṃ sokaparidevadukkhadomanassūpāyāsā’’ti.
‘‘เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ น เหว อนทฺธภูตํ อตฺตานํ ทุเกฺขน อทฺธภาเวติ, ธมฺมิกญฺจ สุขํ น ปริจฺจชติ, ตสฺมิญฺจ สุเข อนธิมุจฺฉิโต โหติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘อิมสฺส โข เม ทุกฺขนิทานสฺส สงฺขารํ ปทหโต สงฺขารปฺปธานา วิราโค โหติ, อิมสฺส ปน เม ทุกฺขนิทานสฺส อชฺฌุเปกฺขโต อุเปกฺขํ ภาวยโต วิราโค โหตี’ติฯ โส ยสฺส หิ ขฺวาสฺส ทุกฺขนิทานสฺส สงฺขารํ ปทหโต สงฺขารปฺปธานา วิราโค โหติ, สงฺขารํ ตตฺถ ปทหติ; ยสฺส ปนสฺส ทุกฺขนิทานสฺส อชฺฌุเปกฺขโต อุเปกฺขํ ภาวยโต วิราโค โหติ, อุเปกฺขํ ตตฺถ ภาเวติฯ ตสฺส ตสฺส ทุกฺขนิทานสฺส สงฺขารํ ปทหโต สงฺขารปฺปธานา วิราโค โหติ – เอวมฺปิสฺส ตํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ โหติ ฯ ตสฺส ตสฺส ทุกฺขนิทานสฺส อชฺฌุเปกฺขโต อุเปกฺขํ ภาวยโต วิราโค โหติ – เอวมฺปิสฺส ตํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ โหติฯ เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํฯ
‘‘Evameva kho, bhikkhave, bhikkhu na heva anaddhabhūtaṃ attānaṃ dukkhena addhabhāveti, dhammikañca sukhaṃ na pariccajati, tasmiñca sukhe anadhimucchito hoti. So evaṃ pajānāti – ‘imassa kho me dukkhanidānassa saṅkhāraṃ padahato saṅkhārappadhānā virāgo hoti, imassa pana me dukkhanidānassa ajjhupekkhato upekkhaṃ bhāvayato virāgo hotī’ti. So yassa hi khvāssa dukkhanidānassa saṅkhāraṃ padahato saṅkhārappadhānā virāgo hoti, saṅkhāraṃ tattha padahati; yassa panassa dukkhanidānassa ajjhupekkhato upekkhaṃ bhāvayato virāgo hoti, upekkhaṃ tattha bhāveti. Tassa tassa dukkhanidānassa saṅkhāraṃ padahato saṅkhārappadhānā virāgo hoti – evampissa taṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ hoti . Tassa tassa dukkhanidānassa ajjhupekkhato upekkhaṃ bhāvayato virāgo hoti – evampissa taṃ dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ hoti. Evampi, bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ.
๑๒. ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยถาสุขํ โข เม วิหรโต อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ; ทุกฺขาย ปน เม อตฺตานํ ปทหโต อกุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, กุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติฯ ยํนูนาหํ ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทเหยฺย’นฺติฯ โส ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทหติฯ ตสฺส ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทหโต อกุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ กุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติฯ โส น อปเรน สมเยน ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทหติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ยสฺส หิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อตฺถาย ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทเหยฺย สฺวาสฺส อโตฺถ อภินิปฺผโนฺน โหติฯ ตสฺมา น อปเรน สมเยน ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อุสุกาโร เตชนํ ทฺวีสุ อลาเตสุ อาตาเปติ ปริตาเปติ อุชุํ กโรติ กมฺมนิยํฯ ยโต โข, ภิกฺขเว, อุสุการสฺส เตชนํ ทฺวีสุ อลาเตสุ อาตาปิตํ โหติ ปริตาปิตํ อุชุํ กตํ 29 กมฺมนิยํ, น โส ตํ อปเรน สมเยน อุสุกาโร เตชนํ ทฺวีสุ อลาเตสุ อาตาเปติ ปริตาเปติ อุชุํ กโรติ กมฺมนิยํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ยสฺส หิ โส, ภิกฺขเว, อตฺถาย อุสุกาโร เตชนํ ทฺวีสุ อลาเตสุ อาตาเปยฺย ปริตาเปยฺย อุชุํ กเรยฺย กมฺมนิยํ สฺวาสฺส อโตฺถ อภินิปฺผโนฺน โหติฯ ตสฺมา น อปเรน สมเยน อุสุกาโร เตชนํ ทฺวีสุ อลาเตสุ อาตาเปติ ปริตาเปติ อุชุํ กโรติ กมฺมนิยํฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยถาสุขํ โข เม วิหรโต อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ; ทุกฺขาย ปน เม อตฺตานํ ปทหโต อกุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, กุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติฯ ยํนูนาหํ ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทเหยฺย’นฺติฯ โส ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทหติฯ ตสฺส ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทหโต อกุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, กุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติฯ โส น อปเรน สมเยน ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทหติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ยสฺส หิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อตฺถาย ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทเหยฺย สฺวาสฺส อโตฺถ อภินิปฺผโนฺน โหติฯ ตสฺมา น อปเรน สมเยน ทุกฺขาย อตฺตานํ ปทหติฯ เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํฯ
12. ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu iti paṭisañcikkhati – ‘yathāsukhaṃ kho me viharato akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti; dukkhāya pana me attānaṃ padahato akusalā dhammā parihāyanti, kusalā dhammā abhivaḍḍhanti. Yaṃnūnāhaṃ dukkhāya attānaṃ padaheyya’nti. So dukkhāya attānaṃ padahati. Tassa dukkhāya attānaṃ padahato akusalā dhammā parihāyanti kusalā dhammā abhivaḍḍhanti. So na aparena samayena dukkhāya attānaṃ padahati. Taṃ kissa hetu? Yassa hi so, bhikkhave, bhikkhu atthāya dukkhāya attānaṃ padaheyya svāssa attho abhinipphanno hoti. Tasmā na aparena samayena dukkhāya attānaṃ padahati. Seyyathāpi, bhikkhave, usukāro tejanaṃ dvīsu alātesu ātāpeti paritāpeti ujuṃ karoti kammaniyaṃ. Yato kho, bhikkhave, usukārassa tejanaṃ dvīsu alātesu ātāpitaṃ hoti paritāpitaṃ ujuṃ kataṃ 30 kammaniyaṃ, na so taṃ aparena samayena usukāro tejanaṃ dvīsu alātesu ātāpeti paritāpeti ujuṃ karoti kammaniyaṃ. Taṃ kissa hetu? Yassa hi so, bhikkhave, atthāya usukāro tejanaṃ dvīsu alātesu ātāpeyya paritāpeyya ujuṃ kareyya kammaniyaṃ svāssa attho abhinipphanno hoti. Tasmā na aparena samayena usukāro tejanaṃ dvīsu alātesu ātāpeti paritāpeti ujuṃ karoti kammaniyaṃ. Evameva kho, bhikkhave, bhikkhu iti paṭisañcikkhati – ‘yathāsukhaṃ kho me viharato akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti; dukkhāya pana me attānaṃ padahato akusalā dhammā parihāyanti, kusalā dhammā abhivaḍḍhanti. Yaṃnūnāhaṃ dukkhāya attānaṃ padaheyya’nti. So dukkhāya attānaṃ padahati. Tassa dukkhāya attānaṃ padahato akusalā dhammā parihāyanti, kusalā dhammā abhivaḍḍhanti. So na aparena samayena dukkhāya attānaṃ padahati. Taṃ kissa hetu? Yassa hi so, bhikkhave, bhikkhu atthāya dukkhāya attānaṃ padaheyya svāssa attho abhinipphanno hoti. Tasmā na aparena samayena dukkhāya attānaṃ padahati. Evampi, bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ.
๑๓. ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควาฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ, เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ ตํ ธมฺมํ สุณาติ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อญฺญตรสฺมิํ วา กุเล ปจฺจาชาโตฯ โส ตํ ธมฺมํ สุตฺวา ตถาคเต สทฺธํ ปฎิลภติฯ โส เตน สทฺธาปฎิลาเภน สมนฺนาคโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สมฺพาโธ ฆราวาโส รชาปโถ, อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชาฯ นยิทํ สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา เอกนฺตปริปุณฺณํ เอกนฺตปริสุทฺธํ สงฺขลิขิตํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํฯ ยํนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’นฺติฯ โส อปเรน สมเยน อปฺปํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย, อปฺปํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย มหนฺตํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ
13. ‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, idha tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā. So imaṃ lokaṃ sadevakaṃ samārakaṃ sabrahmakaṃ sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedeti. So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ, kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāseti. Taṃ dhammaṃ suṇāti gahapati vā gahapatiputto vā aññatarasmiṃ vā kule paccājāto. So taṃ dhammaṃ sutvā tathāgate saddhaṃ paṭilabhati. So tena saddhāpaṭilābhena samannāgato iti paṭisañcikkhati – ‘sambādho gharāvāso rajāpatho, abbhokāso pabbajjā. Nayidaṃ sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā ekantaparipuṇṇaṃ ekantaparisuddhaṃ saṅkhalikhitaṃ brahmacariyaṃ carituṃ. Yaṃnūnāhaṃ kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya’nti. So aparena samayena appaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya, appaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya mahantaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādetvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajati.
๑๔. ‘‘โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ, ลชฺชี ทยาปโนฺน สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรติฯ อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต โหติ ทินฺนาทายี ทินฺนปาฎิกงฺขี, อเถเนน สุจิภูเตน อตฺตนา วิหรติฯ อพฺรหฺมจริยํ ปหาย พฺรหฺมจารี โหติ อาราจารี วิรโต เมถุนา คามธมฺมาฯ มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฎิวิรโต โหติ สจฺจวาที สจฺจสโนฺธ เถโต ปจฺจยิโก อวิสํวาทโก โลกสฺสฯ ปิสุณํ วาจํ ปหาย ปิสุณาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติ; อิโต สุตฺวา น อมุตฺร อกฺขาตา อิเมสํ เภทาย, อมุตฺร วา สุตฺวา น อิเมสํ อกฺขาตา อมูสํ เภทาย – อิติ ภินฺนานํ วา สนฺธาตา สหิตานํ วา อนุปฺปทาตา สมคฺคาราโม สมคฺครโต สมคฺคนนฺที สมคฺคกรณิํ วาจํ ภาสิตา โหติฯ ผรุสํ วาจํ ปหาย ผรุสาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติ; ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา เปมนียา หทยงฺคมา โปรี พหุชนกนฺตา พหุชนมนาปา ตถารูปิํ วาจํ ภาสิตา โหติฯ สมฺผปฺปลาปํ ปหาย สมฺผปฺปลาปา ปฎิวิรโต โหติ กาลวาที ภูตวาที อตฺถวาที ธมฺมวาที วินยวาที, นิธานวติํ วาจํ ภาสิตา กาเลน สาปเทสํ ปริยนฺตวติํ อตฺถสํหิตํฯ โส พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรโต โหติฯ เอกภตฺติโก โหติ รตฺตูปรโต วิรโต วิกาลโภชนาฯ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา ปฎิวิรโต โหติฯ มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฎฺฐานา ปฎิวิรโต โหติฯ อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฎิวิรโต โหติฯ ชาตรูปรชตปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ อามกธญฺญปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ อามกมํสปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ อิตฺถิกุมาริกปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ ทาสิทาสปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ อเชฬกปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ กุกฺกุฎสูกรปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ หตฺถิควสฺสวฬวปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ เขตฺตวตฺถุปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติฯ ทูเตยฺยปหิณคมนานุโยคา ปฎิวิรโต โหติฯ กยวิกฺกยา ปฎิวิรโต โหติฯ ตุลากูฎกํสกูฎมานกูฎา ปฎิวิรโต โหติฯ อุโกฺกฎนวญฺจนนิกติสาจิโยคา 31 ปฎิวิรโต โหติฯ เฉทนวธพนฺธนวิปราโมสอาโลปสหสาการา ปฎิวิรโต โหติ 32ฯ
14. ‘‘So evaṃ pabbajito samāno bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti nihitadaṇḍo nihitasattho, lajjī dayāpanno sabbapāṇabhūtahitānukampī viharati. Adinnādānaṃ pahāya adinnādānā paṭivirato hoti dinnādāyī dinnapāṭikaṅkhī, athenena sucibhūtena attanā viharati. Abrahmacariyaṃ pahāya brahmacārī hoti ārācārī virato methunā gāmadhammā. Musāvādaṃ pahāya musāvādā paṭivirato hoti saccavādī saccasandho theto paccayiko avisaṃvādako lokassa. Pisuṇaṃ vācaṃ pahāya pisuṇāya vācāya paṭivirato hoti; ito sutvā na amutra akkhātā imesaṃ bhedāya, amutra vā sutvā na imesaṃ akkhātā amūsaṃ bhedāya – iti bhinnānaṃ vā sandhātā sahitānaṃ vā anuppadātā samaggārāmo samaggarato samagganandī samaggakaraṇiṃ vācaṃ bhāsitā hoti. Pharusaṃ vācaṃ pahāya pharusāya vācāya paṭivirato hoti; yā sā vācā nelā kaṇṇasukhā pemanīyā hadayaṅgamā porī bahujanakantā bahujanamanāpā tathārūpiṃ vācaṃ bhāsitā hoti. Samphappalāpaṃ pahāya samphappalāpā paṭivirato hoti kālavādī bhūtavādī atthavādī dhammavādī vinayavādī, nidhānavatiṃ vācaṃ bhāsitā kālena sāpadesaṃ pariyantavatiṃ atthasaṃhitaṃ. So bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirato hoti. Ekabhattiko hoti rattūparato virato vikālabhojanā. Naccagītavāditavisūkadassanā paṭivirato hoti. Mālāgandhavilepanadhāraṇamaṇḍanavibhūsanaṭṭhānā paṭivirato hoti. Uccāsayanamahāsayanā paṭivirato hoti. Jātarūparajatapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Āmakadhaññapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Āmakamaṃsapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Itthikumārikapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Dāsidāsapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Ajeḷakapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Kukkuṭasūkarapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Hatthigavassavaḷavapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Khettavatthupaṭiggahaṇā paṭivirato hoti. Dūteyyapahiṇagamanānuyogā paṭivirato hoti. Kayavikkayā paṭivirato hoti. Tulākūṭakaṃsakūṭamānakūṭā paṭivirato hoti. Ukkoṭanavañcananikatisāciyogā 33 paṭivirato hoti. Chedanavadhabandhanaviparāmosaālopasahasākārā paṭivirato hoti 34.
‘‘โส สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน, กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตนฯ โส เยน เยเนว ปกฺกมติ สมาทาเยว ปกฺกมติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปกฺขี สกุโณ เยน เยเนว เฑติ สปตฺตภาโรว เฑติ, เอวเมว ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน, กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตน; โส เยน เยเนว ปกฺกมติ สมาทาเยว ปกฺกมติฯ โส อิมินา อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อนวชฺชสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ
‘‘So santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarena, kucchiparihārikena piṇḍapātena. So yena yeneva pakkamati samādāyeva pakkamati. Seyyathāpi nāma pakkhī sakuṇo yena yeneva ḍeti sapattabhārova ḍeti, evameva bhikkhu santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarena, kucchiparihārikena piṇḍapātena; so yena yeneva pakkamati samādāyeva pakkamati. So iminā ariyena sīlakkhandhena samannāgato ajjhattaṃ anavajjasukhaṃ paṭisaṃvedeti.
๑๕. ‘‘โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ, รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา…เป.… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา…เป.… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา…เป.… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา…เป.… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ มนินฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ, รกฺขติ มนินฺทฺริยํ, มนินฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โส อิมินา อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อพฺยาเสกสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ
15. ‘‘So cakkhunā rūpaṃ disvā na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī. Yatvādhikaraṇamenaṃ cakkhundriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ tassa saṃvarāya paṭipajjati, rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjati. Sotena saddaṃ sutvā…pe… ghānena gandhaṃ ghāyitvā…pe… jivhāya rasaṃ sāyitvā…pe… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā…pe… manasā dhammaṃ viññāya na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī. Yatvādhikaraṇamenaṃ manindriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ tassa saṃvarāya paṭipajjati, rakkhati manindriyaṃ, manindriye saṃvaraṃ āpajjati. So iminā ariyena indriyasaṃvarena samannāgato ajjhattaṃ abyāsekasukhaṃ paṭisaṃvedeti.
‘‘โส อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหติ, อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ, สมิญฺชิเต 35 ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ, สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ , อสิเต ปีเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ, อุจฺจารปสฺสาวกเมฺม สมฺปชานการี โหติ, คเต ฐิเต นิสิเนฺน สุเตฺต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี โหติฯ
‘‘So abhikkante paṭikkante sampajānakārī hoti, ālokite vilokite sampajānakārī hoti, samiñjite 36 pasārite sampajānakārī hoti, saṅghāṭipattacīvaradhāraṇe sampajānakārī hoti , asite pīte khāyite sāyite sampajānakārī hoti, uccārapassāvakamme sampajānakārī hoti, gate ṭhite nisinne sutte jāgarite bhāsite tuṇhībhāve sampajānakārī hoti.
๑๖. ‘‘โส อิมินา จ อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต, (อิมาย จ อริยาย สนฺตุฎฺฐิยา สมนฺนาคโต,) 37 อิมินา จ อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต, อิมินา จ อริเยน สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ โส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา, อุชุํ กายํ ปณิธาย, ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาฯ โส อภิชฺฌํ โลเก ปหาย วิคตาภิเชฺฌน เจตสา วิหรติ, อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ พฺยาปาทปโทสํ ปหาย อพฺยาปนฺนจิโตฺต วิหรติ สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี, พฺยาปาทปโทสา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ ถินมิทฺธํ ปหาย วิคตถินมิโทฺธ วิหรติ อาโลกสญฺญี สโต สมฺปชาโน, ถินมิทฺธา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหาย อนุทฺธโต วิหรติ อชฺฌตฺตํ วูปสนฺตจิโตฺต , อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ วิจิกิจฺฉํ ปหาย ติณฺณวิจิกิโจฺฉ วิหรติ อกถํกถี กุสเลสุ ธเมฺมสุ, วิจิกิจฺฉาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ
16. ‘‘So iminā ca ariyena sīlakkhandhena samannāgato, (imāya ca ariyāya santuṭṭhiyā samannāgato,) 38 iminā ca ariyena indriyasaṃvarena samannāgato, iminā ca ariyena satisampajaññena samannāgato vivittaṃ senāsanaṃ bhajati araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjaṃ. So pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto nisīdati pallaṅkaṃ ābhujitvā, ujuṃ kāyaṃ paṇidhāya, parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā. So abhijjhaṃ loke pahāya vigatābhijjhena cetasā viharati, abhijjhāya cittaṃ parisodheti. Byāpādapadosaṃ pahāya abyāpannacitto viharati sabbapāṇabhūtahitānukampī, byāpādapadosā cittaṃ parisodheti. Thinamiddhaṃ pahāya vigatathinamiddho viharati ālokasaññī sato sampajāno, thinamiddhā cittaṃ parisodheti. Uddhaccakukkuccaṃ pahāya anuddhato viharati ajjhattaṃ vūpasantacitto , uddhaccakukkuccā cittaṃ parisodheti. Vicikicchaṃ pahāya tiṇṇavicikiccho viharati akathaṃkathī kusalesu dhammesu, vicikicchāya cittaṃ parisodheti.
‘‘โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอวมฺปิ , ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํฯ
‘‘So ime pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese paññāya dubbalīkaraṇe vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Evampi , bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Evampi, bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ สโต จ สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทติฯ ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu pītiyā ca virāgā upekkhako ca viharati sato ca sampajāno, sukhañca kāyena paṭisaṃvedeti. Yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – ‘upekkhako satimā sukhavihārī’ti tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Evampi, bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา, ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา, อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā, pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā, adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Evampi, bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ.
๑๗. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ 39 – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ติํสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป – ‘อมุตฺราสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทิํ; ตตฺราปาสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺน’ติฯ อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํฯ
17. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte pubbenivāsānussatiñāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ 40 – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo tissopi jātiyo catassopi jātiyo pañcapi jātiyo dasapi jātiyo vīsampi jātiyo tiṃsampi jātiyo cattālīsampi jātiyo paññāsampi jātiyo jātisatampi jātisahassampi jātisatasahassampi anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe – ‘amutrāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto amutra udapādiṃ; tatrāpāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto idhūpapanno’ti. Iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Evampi, bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ.
๑๘. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา’ติฯ อิติ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํฯ
18. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte sattānaṃ cutūpapātañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe, sugate duggate yathākammūpage satte pajānāti – ‘ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannā. Ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā’ti. Iti dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe, sugate duggate yathākammūpage satte pajānāti. Evampi, bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ.
๑๙. ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ; ‘อิเม อาสวา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติ, ‘อยํ อาสวนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติฯ วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ เอวมฺปิ โข, ภิกฺขเว, สผโล อุปกฺกโม โหติ, สผลํ ปธานํฯ เอวํวาที, ภิกฺขเว, ตถาคตาฯ เอวํวาทีนํ, ภิกฺขเว, ตถาคตานํ 41 ทส สหธมฺมิกา ปาสํสฎฺฐานา อาคจฺฉนฺติฯ
19. ‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So ‘idaṃ dukkha’nti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti; ‘ime āsavā’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti, ‘ayaṃ āsavanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato kāmāsavāpi cittaṃ vimuccati, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccati, avijjāsavāpi cittaṃ vimuccati. Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hoti. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti. Evampi kho, bhikkhave, saphalo upakkamo hoti, saphalaṃ padhānaṃ. Evaṃvādī, bhikkhave, tathāgatā. Evaṃvādīnaṃ, bhikkhave, tathāgatānaṃ 42 dasa sahadhammikā pāsaṃsaṭṭhānā āgacchanti.
๒๐. ‘‘สเจ , ภิกฺขเว, สตฺตา ปุเพฺพกตเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, ตถาคโต ปุเพฺพ สุกตกมฺมการี ยํ เอตรหิ เอวรูปา อนาสวา สุขา เวทนา เวเทติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา อิสฺสรนิมฺมานเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, ตถาคโต ภทฺทเกน อิสฺสเรน นิมฺมิโต ยํ เอตรหิ เอวรูปา อนาสวา สุขา เวทนา เวเทติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา สงฺคติภาวเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, ตถาคโต กลฺยาณสงฺคติโก ยํ เอตรหิ เอวรูปา อนาสวา สุขา เวทนา เวเทติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา อภิชาติเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, ตถาคโต กลฺยาณาภิชาติโก ยํ เอตรหิ เอวรูปา อนาสวา สุขา เวทนา เวเทติฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา ทิฎฺฐธมฺมูปกฺกมเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ; อทฺธา, ภิกฺขเว, ตถาคโต กลฺยาณทิฎฺฐธมฺมูปกฺกโม ยํ เอตรหิ เอวรูปา อนาสวา สุขา เวทนา เวเทติฯ
20. ‘‘Sace , bhikkhave, sattā pubbekatahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, tathāgato pubbe sukatakammakārī yaṃ etarahi evarūpā anāsavā sukhā vedanā vedeti. Sace, bhikkhave, sattā issaranimmānahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, tathāgato bhaddakena issarena nimmito yaṃ etarahi evarūpā anāsavā sukhā vedanā vedeti. Sace, bhikkhave, sattā saṅgatibhāvahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, tathāgato kalyāṇasaṅgatiko yaṃ etarahi evarūpā anāsavā sukhā vedanā vedeti. Sace, bhikkhave, sattā abhijātihetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, tathāgato kalyāṇābhijātiko yaṃ etarahi evarūpā anāsavā sukhā vedanā vedeti. Sace, bhikkhave, sattā diṭṭhadhammūpakkamahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti; addhā, bhikkhave, tathāgato kalyāṇadiṭṭhadhammūpakkamo yaṃ etarahi evarūpā anāsavā sukhā vedanā vedeti.
‘‘สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา ปุเพฺพกตเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโต; โน เจ สตฺตา ปุเพฺพกตเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโตฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา อิสฺสรนิมฺมานเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโต; โน เจ สตฺตา อิสฺสรนิมฺมานเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโตฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา สงฺคติภาวเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโต; โน เจ สตฺตา สงฺคติภาวเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโตฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา อภิชาติเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโต; โน เจ สตฺตา อภิชาติเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโตฯ สเจ, ภิกฺขเว, สตฺตา ทิฎฺฐธมฺมูปกฺกมเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโต; โน เจ สตฺตา ทิฎฺฐธมฺมูปกฺกมเหตุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺติ, ปาสํโส ตถาคโตฯ เอวํวาที, ภิกฺขเว, ตถาคตาฯ เอวํวาทีนํ, ภิกฺขเว, ตถาคตานํ อิเม ทส สหธมฺมิกา ปาสํสฎฺฐานา อาคจฺฉนฺตี’’ติฯ
‘‘Sace, bhikkhave, sattā pubbekatahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato; no ce sattā pubbekatahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato. Sace, bhikkhave, sattā issaranimmānahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato; no ce sattā issaranimmānahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato. Sace, bhikkhave, sattā saṅgatibhāvahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato; no ce sattā saṅgatibhāvahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato. Sace, bhikkhave, sattā abhijātihetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato; no ce sattā abhijātihetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato. Sace, bhikkhave, sattā diṭṭhadhammūpakkamahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato; no ce sattā diṭṭhadhammūpakkamahetu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedenti, pāsaṃso tathāgato. Evaṃvādī, bhikkhave, tathāgatā. Evaṃvādīnaṃ, bhikkhave, tathāgatānaṃ ime dasa sahadhammikā pāsaṃsaṭṭhānā āgacchantī’’ti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti.
เทวทหสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ปฐมํฯ
Devadahasuttaṃ niṭṭhitaṃ paṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. เทวทหสุตฺตวณฺณนา • 1. Devadahasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. เทวทหสุตฺตวณฺณนา • 1. Devadahasuttavaṇṇanā