Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
มชฺฌิมนิกาเย
Majjhimanikāye
อุปริปณฺณาส-อฎฺฐกถา
Uparipaṇṇāsa-aṭṭhakathā
๑. เทวทหวโคฺค
1. Devadahavaggo
๑. เทวทหสุตฺตวณฺณนา
1. Devadahasuttavaṇṇanā
๑. เอวํ เม สุตนฺติ เทวทหสุตฺตํฯ ตตฺถ เทวทหํ นามาติ เทวา วุจฺจนฺติ ราชาโน, ตตฺถ จ สกฺยราชูนํ มงฺคลโปกฺขรณี อโหสิ ปาสาทิกา อารกฺขสมฺปนฺนา, สา เทวานํ ทหตฺตา ‘‘เทวทห’’นฺติ ปญฺญายิตฺถฯ ตทุปาทาย โสปิ นิคโม เทวทหเนฺตฺวว สงฺขํ คโตฯ ภควา ตํ นิคมํ นิสฺสาย ลุมฺพินิวเน วิหรติฯ สพฺพํ ตํ ปุเพฺพกตเหตูติ ปุเพฺพ กตกมฺมปจฺจยาฯ อิมินา กมฺมเวทนญฺจ กิริยเวทนญฺจ ปฎิกฺขิปิตฺวา เอกํ วิปากเวทนเมว สมฺปฎิจฺฉนฺตีติ ทเสฺสติฯ เอวํ วาทิโน, ภิกฺขเว, นิคณฺฐาติ อิมินา ปุเพฺพ อนิยเมตฺวา วุตฺตํ นิยเมตฺวา ทเสฺสติฯ
1.Evaṃme sutanti devadahasuttaṃ. Tattha devadahaṃ nāmāti devā vuccanti rājāno, tattha ca sakyarājūnaṃ maṅgalapokkharaṇī ahosi pāsādikā ārakkhasampannā, sā devānaṃ dahattā ‘‘devadaha’’nti paññāyittha. Tadupādāya sopi nigamo devadahantveva saṅkhaṃ gato. Bhagavā taṃ nigamaṃ nissāya lumbinivane viharati. Sabbaṃ taṃ pubbekatahetūti pubbe katakammapaccayā. Iminā kammavedanañca kiriyavedanañca paṭikkhipitvā ekaṃ vipākavedanameva sampaṭicchantīti dasseti. Evaṃ vādino, bhikkhave, nigaṇṭhāti iminā pubbe aniyametvā vuttaṃ niyametvā dasseti.
อหุวเมฺหว มยนฺติ อิทํ ภควา เตสํ อชานนภาวํ ชานโนฺตว เกวลํ กลิสาสนํ อาโรเปตุกาโม ปุจฺฉติฯ เย หิ ‘‘มยํ อหุวมฺหา’’ติปิ น ชานนฺติ, เต กถํ กมฺมสฺส กตภาวํ วา อกตภาวํ วา ชานิสฺสนฺติฯ อุตฺตริปุจฺฉายปิ เอเสว นโยฯ
Ahuvamhevamayanti idaṃ bhagavā tesaṃ ajānanabhāvaṃ jānantova kevalaṃ kalisāsanaṃ āropetukāmo pucchati. Ye hi ‘‘mayaṃ ahuvamhā’’tipi na jānanti, te kathaṃ kammassa katabhāvaṃ vā akatabhāvaṃ vā jānissanti. Uttaripucchāyapi eseva nayo.
๒. เอวํ สเนฺตติ จูฬทุกฺขกฺขเนฺธ (ม. นิ. ๑.๑๗๙-๑๘๐) มหานิคณฺฐสฺส วจเน สเจฺจ สเนฺตติ อโตฺถ, อิธ ปน เอตฺตกสฺส ฐานสฺส ตุมฺหากํ อชานนภาเว สเนฺตติ อโตฺถฯ น กลฺลนฺติ น ยุตฺตํฯ
2.Evaṃ santeti cūḷadukkhakkhandhe (ma. ni. 1.179-180) mahānigaṇṭhassa vacane sacce santeti attho, idha pana ettakassa ṭhānassa tumhākaṃ ajānanabhāve santeti attho. Na kallanti na yuttaṃ.
๓. คาฬฺหูปเลปเนนาติ พหลูปเลปเนน, ปุนปฺปุนํ วิสรญฺชิเตน, น ปน ขลิยา ลิเตฺตน วิยฯ เอสนิยาติ เอสนิสลากาย อนฺตมโส นนฺตกวฎฺฎิยาปิฯ เอเสยฺยาติ คมฺภีรํ วา อุตฺตานํ วาติ วีมํเสยฺยฯ อคทงฺคารนฺติ ฌามหรีตกสฺส วา อามลกสฺส วา จุณฺณํฯ โอทเหยฺยาติ ปกฺขิเปยฺยฯ อโรโคติอาทิ มาคณฺฑิยสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๒๑๓) วุตฺตเมวฯ
3.Gāḷhūpalepanenāti bahalūpalepanena, punappunaṃ visarañjitena, na pana khaliyā littena viya. Esaniyāti esanisalākāya antamaso nantakavaṭṭiyāpi. Eseyyāti gambhīraṃ vā uttānaṃ vāti vīmaṃseyya. Agadaṅgāranti jhāmaharītakassa vā āmalakassa vā cuṇṇaṃ. Odaheyyāti pakkhipeyya. Arogotiādi māgaṇḍiyasutte (ma. ni. 2.213) vuttameva.
เอวเมว โขติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ, สเลฺลน วิทฺธสฺส หิ วิทฺธกาเล เวทนาย ปากฎกาโล วิย อิเมสํ ‘‘มยํ ปุเพฺพ อหุวมฺหา วา โน วา, ปาปกมฺมํ อกรมฺหา วา โน วา, เอวรูปํ วา ปาปํ กรมฺหา’’ติ ชานนกาโล สิยาฯ วณมุขสฺส ปริกนฺตนาทีสุ จตูสุ กาเลสุ เวทนาย ปากฎกาโล วิย ‘‘เอตฺตกํ วา โน ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ, เอตฺตเก วา นิชฺชิเณฺณ สพฺพเมว ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสติ, สุทฺธเนฺต ปติฎฺฐิตา นาม ภวิสฺสามา’’ติ ชานนกาโล สิยาฯ อปรภาเค ผาสุภาวชานนกาโล วิย ทิเฎฺฐว ธเมฺม อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทาย ชานนกาโล สิยาฯ เอวเมตฺถ เอกาย อุปมาย ตโย อตฺถา, จตูหิ อุปมาหิ เอโก อโตฺถ ปริทีปิโตฯ
Evameva khoti ettha idaṃ opammasaṃsandanaṃ, sallena viddhassa hi viddhakāle vedanāya pākaṭakālo viya imesaṃ ‘‘mayaṃ pubbe ahuvamhā vā no vā, pāpakammaṃ akaramhā vā no vā, evarūpaṃ vā pāpaṃ karamhā’’ti jānanakālo siyā. Vaṇamukhassa parikantanādīsu catūsu kālesu vedanāya pākaṭakālo viya ‘‘ettakaṃ vā no dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ, ettake vā nijjiṇṇe sabbameva dukkhaṃ nijjiṇṇaṃ bhavissati, suddhante patiṭṭhitā nāma bhavissāmā’’ti jānanakālo siyā. Aparabhāge phāsubhāvajānanakālo viya diṭṭheva dhamme akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya kusalānaṃ dhammānaṃ upasampadāya jānanakālo siyā. Evamettha ekāya upamāya tayo atthā, catūhi upamāhi eko attho paridīpito.
๔. อิเม ปน ตโต เอกมฺปิ น ชานนฺติ, วิรชฺฌิตฺวา คเต สเลฺล อวิโทฺธว ‘‘วิโทฺธสิ มยา’’ติ ปจฺจตฺถิกสฺส วจนปฺปมาเณเนว ‘‘วิโทฺธสฺมี’’ติ สญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา ทุกฺขปฺปตฺตปุริโส วิย เกวลํ มหานิคณฺฐสฺส วจนปฺปมาเณน สพฺพเมตํ สทฺทหนฺตา เอวํ สโลฺลปมาย ภควตา นิคฺคหิตา ปจฺจาหริตุํ อสโกฺกนฺตา ยถา นาม ทุพฺพโล สุนโข มิคํ อุฎฺฐาเปตฺวา สามิกสฺส อภิมุขํ กริตฺวา อตฺตนา โอสกฺกติ, เอวํ มหานิคณฺฐสฺส มตฺถเก วาทํ ปกฺขิปนฺตา นิคโณฺฐ, อาวุโสติอาทีมาหํสุฯ
4. Ime pana tato ekampi na jānanti, virajjhitvā gate salle aviddhova ‘‘viddhosi mayā’’ti paccatthikassa vacanappamāṇeneva ‘‘viddhosmī’’ti saññaṃ uppādetvā dukkhappattapuriso viya kevalaṃ mahānigaṇṭhassa vacanappamāṇena sabbametaṃ saddahantā evaṃ sallopamāya bhagavatā niggahitā paccāharituṃ asakkontā yathā nāma dubbalo sunakho migaṃ uṭṭhāpetvā sāmikassa abhimukhaṃ karitvā attanā osakkati, evaṃ mahānigaṇṭhassa matthake vādaṃ pakkhipantā nigaṇṭho, āvusotiādīmāhaṃsu.
๕. อถ เน ภควา สาจริยเก นิคฺคณฺหโนฺต ปญฺจ โข อิเมติอาทิมาหฯ ตตฺรายสฺมนฺตานนฺติ เตสุ ปญฺจสุ ธเมฺมสุ อายสฺมนฺตานํฯ กา อตีตํเส สตฺถริ สทฺธาติ อตีตํสวาทิมฺหิ สตฺถริ กา สทฺธาฯ ยา อตีตวาทํ สทฺทหนฺตานํ ตุมฺหากํ มหานิคณฺฐสฺส สทฺธา, สา กตมา? กิํ ภูตตฺถา อภูตตฺถา, ภูตวิปากา อภูตวิปากาติ ปุจฺฉติฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ สหธมฺมิกนฺติ สเหตุกํ สการณํฯ วาทปฎิหารนฺติ ปจฺจาคมนกวาทํฯ เอตฺตาวตา เตสํ ‘‘อปเนถ สทฺธํ, สพฺพทุพฺพลา เอสา’’ติ สทฺธาเฉทกวาทํ นาม ทเสฺสติฯ
5. Atha ne bhagavā sācariyake niggaṇhanto pañca kho imetiādimāha. Tatrāyasmantānanti tesu pañcasu dhammesu āyasmantānaṃ. Kā atītaṃse satthari saddhāti atītaṃsavādimhi satthari kā saddhā. Yā atītavādaṃ saddahantānaṃ tumhākaṃ mahānigaṇṭhassa saddhā, sā katamā? Kiṃ bhūtatthā abhūtatthā, bhūtavipākā abhūtavipākāti pucchati. Sesapadesupi eseva nayo. Sahadhammikanti sahetukaṃ sakāraṇaṃ. Vādapaṭihāranti paccāgamanakavādaṃ. Ettāvatā tesaṃ ‘‘apanetha saddhaṃ, sabbadubbalā esā’’ti saddhāchedakavādaṃ nāma dasseti.
๖. อวิชฺชา อญฺญาณาติ อวิชฺชาย อญฺญาเณนฯ สโมฺมหาติ สโมฺมเหนฯ วิปเจฺจถาติ วิปรีตโต สทฺทหถ, วิปลฺลาสคฺคาหํ วา คณฺหถาติ อโตฺถฯ
6.Avijjā aññāṇāti avijjāya aññāṇena. Sammohāti sammohena. Vipaccethāti viparītato saddahatha, vipallāsaggāhaṃ vā gaṇhathāti attho.
๗. ทิฎฺฐธมฺมเวทนียนฺติ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว วิปากทายกํฯ อุปกฺกเมนาติ ปโยเคนฯ ปธาเนนาติ วีริเยนฯ สมฺปรายเวทนียนฺติ ทุติเย วา ตติเย วา อตฺตภาเว วิปากทายกํฯ สุขเวทนียนฺติ อิฎฺฐารมฺมณวิปากทายกํ กุสลกมฺมํฯ วิปรีตํ ทุกฺขเวทนียํฯ ปริปกฺกเวทนียนฺติ ปริปเกฺก นิปฺผเนฺน อตฺตภาเว เวทนียํ, ทิฎฺฐธมฺมเวทนียเสฺสเวตํ อธิวจนํฯ อปริปกฺกเวทนียนฺติ อปริปเกฺก อตฺตภาเว เวทนียํ, สมฺปรายเวทนียเสฺสเวตํ อธิวจนํฯ เอวํ สเนฺตปิ อยเมตฺถ วิเสโส – ยํ ปฐมวเย กตํ ปฐมวเย วา มชฺฌิมวเย วา ปจฺฉิมวเย วา วิปากํ เทติ, มชฺฌิมวเย กตํ มชฺฌิมวเย วา ปจฺฉิมวเย วา วิปากํ เทติ, ปจฺฉิมวเย กตํ ตเตฺถว วิปากํ เทติ, ตํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ นามฯ ยํ ปน สตฺตทิวสพฺภนฺตเร วิปากํ เทติ, ตํ ปริปกฺกเวทนียํ นามฯ ตํ กุสลมฺปิ โหติ อกุสลมฺปิฯ
7.Diṭṭhadhammavedanīyanti imasmiṃyeva attabhāve vipākadāyakaṃ. Upakkamenāti payogena. Padhānenāti vīriyena. Samparāyavedanīyanti dutiye vā tatiye vā attabhāve vipākadāyakaṃ. Sukhavedanīyanti iṭṭhārammaṇavipākadāyakaṃ kusalakammaṃ. Viparītaṃ dukkhavedanīyaṃ. Paripakkavedanīyanti paripakke nipphanne attabhāve vedanīyaṃ, diṭṭhadhammavedanīyassevetaṃ adhivacanaṃ. Aparipakkavedanīyanti aparipakke attabhāve vedanīyaṃ, samparāyavedanīyassevetaṃ adhivacanaṃ. Evaṃ santepi ayamettha viseso – yaṃ paṭhamavaye kataṃ paṭhamavaye vā majjhimavaye vā pacchimavaye vā vipākaṃ deti, majjhimavaye kataṃ majjhimavaye vā pacchimavaye vā vipākaṃ deti, pacchimavaye kataṃ tattheva vipākaṃ deti, taṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ nāma. Yaṃ pana sattadivasabbhantare vipākaṃ deti, taṃ paripakkavedanīyaṃ nāma. Taṃ kusalampi hoti akusalampi.
ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – ปุโณฺณ นาม กิร ทุคฺคตมนุโสฺส ราชคเห สุมนเสฎฺฐิํ นิสฺสาย วสติฯ ตเมนํ เอกทิวสํ นครมฺหิ นกฺขเตฺต สงฺฆุเฎฺฐ เสฎฺฐิ อาห – ‘‘สเจ อชฺช กสิสฺสสิ, เทฺว จ โคเณ นงฺคลญฺจ ลภิสฺสสิฯ กิํ นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสสิ, กสิสฺสสี’’ติฯ กิํ เม นกฺขเตฺตน, กสิสฺสามีติ? เตน หิ เย โคเณ อิจฺฉสิ, เต คเหตฺวา กสาหีติฯ โส กสิตุํ คโตฯ ตํ ทิวสํ สาริปุตฺตเตฺถโร นิโรธา วุฎฺฐาย ‘‘กสฺส สงฺคหํ กโรมี’’ติ? อาวชฺชโนฺต ปุณฺณํ ทิสฺวา ปตฺตจีวรํ อาทาย ตสฺส กสนฎฺฐานํ คโตฯ ปุโณฺณ กสิํ ฐเปตฺวา เถรสฺส ทนฺตกฎฺฐํ ทตฺวา มุโขทกํ อทาสิฯ เถโร สรีรํ ปฎิชคฺคิตฺวา กมฺมนฺตสฺส อวิทูเร นิสีทิ ภตฺตาภิหารํ โอโลเกโนฺตฯ อถสฺส ภริยํ ภตฺตํ อาหรนฺติํ ทิสฺวา อนฺตรามเคฺคเยว อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ
Tatrimāni vatthūni – puṇṇo nāma kira duggatamanusso rājagahe sumanaseṭṭhiṃ nissāya vasati. Tamenaṃ ekadivasaṃ nagaramhi nakkhatte saṅghuṭṭhe seṭṭhi āha – ‘‘sace ajja kasissasi, dve ca goṇe naṅgalañca labhissasi. Kiṃ nakkhattaṃ kīḷissasi, kasissasī’’ti. Kiṃ me nakkhattena, kasissāmīti? Tena hi ye goṇe icchasi, te gahetvā kasāhīti. So kasituṃ gato. Taṃ divasaṃ sāriputtatthero nirodhā vuṭṭhāya ‘‘kassa saṅgahaṃ karomī’’ti? Āvajjanto puṇṇaṃ disvā pattacīvaraṃ ādāya tassa kasanaṭṭhānaṃ gato. Puṇṇo kasiṃ ṭhapetvā therassa dantakaṭṭhaṃ datvā mukhodakaṃ adāsi. Thero sarīraṃ paṭijaggitvā kammantassa avidūre nisīdi bhattābhihāraṃ olokento. Athassa bhariyaṃ bhattaṃ āharantiṃ disvā antarāmaggeyeva attānaṃ dassesi.
สา สามิกสฺส อาหฎภตฺตํ เถรสฺส ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา ปุน คนฺตฺวา อญฺญํ ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา ทิวา อคมาสิฯ ปุโณฺณ เอกวารํ กสิตฺวา นิสีทิฯ สาปิ ภตฺตํ คเหตฺวา อาคจฺฉนฺตี อาห – ‘‘สามิ ปาโตว เต ภตฺตํ อาหริยิตฺถ, อนฺตรามเคฺค ปน สาริปุตฺตเตฺถรํ ทิสฺวา ตํ ตสฺส ทตฺวา อญฺญํ ปจิตฺวา อาหรนฺติยา เม อุสฺสูโร ชาโต, มา กุชฺฌิ สามี’’ติฯ ภทฺทกํ เต ภเทฺท กตํ, มยา เถรสฺส ปาโตว ทนฺตกฎฺฐญฺจ มุโขทกญฺจ ทินฺนํ, อมฺหากํเยวาเนน ปิณฺฑปาโตปิ ปริภุโตฺต, อชฺช เถเรน กตสมณธมฺมสฺส มยํ ภาคิโน ชาตาติ จิตฺตํ ปสาเทสิฯ เอกวารํ กสิตฎฺฐานํ สุวณฺณเมว อโหสิฯ โส ภุญฺชิตฺวา กสิตฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต วิโชฺชตมานํ ทิสฺวา อุฎฺฐาย ยฎฺฐิยา ปหริตฺวา รตฺตสุวณฺณภาวํ ชานิตฺวา ‘‘รโญฺญ อกเถตฺวา ปริภุญฺชิตุํ น สกฺกา’’ติ คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ตํ สพฺพํ สกเฎหิ อาหราเปตฺวา ราชงฺคเณ ราสิํ กาเรตฺวา ‘‘กสฺสิมสฺมิํ นคเร เอตฺตกํ สุวณฺณํ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ กสฺสจิ นตฺถีติ จ วุเตฺต เสฎฺฐิฎฺฐานมสฺส อทาสิฯ โส ปุณฺณเสฎฺฐิ นาม ชาโตฯ
Sā sāmikassa āhaṭabhattaṃ therassa patte pakkhipitvā puna gantvā aññaṃ bhattaṃ sampādetvā divā agamāsi. Puṇṇo ekavāraṃ kasitvā nisīdi. Sāpi bhattaṃ gahetvā āgacchantī āha – ‘‘sāmi pātova te bhattaṃ āhariyittha, antarāmagge pana sāriputtattheraṃ disvā taṃ tassa datvā aññaṃ pacitvā āharantiyā me ussūro jāto, mā kujjhi sāmī’’ti. Bhaddakaṃ te bhadde kataṃ, mayā therassa pātova dantakaṭṭhañca mukhodakañca dinnaṃ, amhākaṃyevānena piṇḍapātopi paribhutto, ajja therena katasamaṇadhammassa mayaṃ bhāgino jātāti cittaṃ pasādesi. Ekavāraṃ kasitaṭṭhānaṃ suvaṇṇameva ahosi. So bhuñjitvā kasitaṭṭhānaṃ olokento vijjotamānaṃ disvā uṭṭhāya yaṭṭhiyā paharitvā rattasuvaṇṇabhāvaṃ jānitvā ‘‘rañño akathetvā paribhuñjituṃ na sakkā’’ti gantvā rañño ārocesi. Rājā taṃ sabbaṃ sakaṭehi āharāpetvā rājaṅgaṇe rāsiṃ kāretvā ‘‘kassimasmiṃ nagare ettakaṃ suvaṇṇaṃ atthī’’ti pucchi. Kassaci natthīti ca vutte seṭṭhiṭṭhānamassa adāsi. So puṇṇaseṭṭhi nāma jāto.
อปรมฺปิ วตฺถุ – ตสฺมิํเยว ราชคเห กาฬเวฬิโย นาม ทุคฺคโต อตฺถิฯ ตสฺส ภริยา ปณฺณมฺพิลยาคุํ ปจิฯ มหากสฺสปเตฺถโร นิโรธา วุฎฺฐาย ‘‘กสฺส สงฺคหํ กโรมี’’ติ อาวชฺชโนฺต ตํ ทิสฺวา คนฺตฺวา เคหทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ สา ปตฺตํ คเหตฺวา สพฺพํ ตตฺถ ปกฺขิปิตฺวา เถรสฺส อทาสิ, เถโร วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถุ อุปนาเมสิฯ สตฺถา อตฺตโน ยาปนมตฺตํ คณฺหิ, เสสํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ ปโหสิฯ กาฬวฬิโยปิ ตํ ฐานํ ปโตฺต จูฬกํ ลภิฯ มหากสฺสโป สตฺถารํ กาฬวฬิยสฺส วิปากํ ปุจฺฉิฯ สตฺถา ‘‘อิโต สตฺตเม ทิวเส เสฎฺฐิจฺฉตฺตํ ลภิสฺสตี’’ติ อาหฯ กาฬวฬิโย ตํ กถํ สุตฺวา คนฺตฺวา ภริยาย อาโรเจสิฯ
Aparampi vatthu – tasmiṃyeva rājagahe kāḷaveḷiyo nāma duggato atthi. Tassa bhariyā paṇṇambilayāguṃ paci. Mahākassapatthero nirodhā vuṭṭhāya ‘‘kassa saṅgahaṃ karomī’’ti āvajjanto taṃ disvā gantvā gehadvāre aṭṭhāsi. Sā pattaṃ gahetvā sabbaṃ tattha pakkhipitvā therassa adāsi, thero vihāraṃ gantvā satthu upanāmesi. Satthā attano yāpanamattaṃ gaṇhi, sesaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ pahosi. Kāḷavaḷiyopi taṃ ṭhānaṃ patto cūḷakaṃ labhi. Mahākassapo satthāraṃ kāḷavaḷiyassa vipākaṃ pucchi. Satthā ‘‘ito sattame divase seṭṭhicchattaṃ labhissatī’’ti āha. Kāḷavaḷiyo taṃ kathaṃ sutvā gantvā bhariyāya ārocesi.
ตทา จ ราชา นครํ อนุสญฺจรโนฺต พหินคเร ชีวสูเล นิสินฺนํ ปุริสํ อทฺทสฯ ปุริโส ราชานํ ทิสฺวา อุจฺจาสทฺทํ อกาสิ ‘‘ตุมฺหากํ เม ภุญฺชนภตฺตํ ปหิณถ เทวา’’ติฯ ราชา ‘‘เปเสสฺสามี’’ติ วตฺวา สายมาสภเตฺต อุปนีเต สริตฺวา ‘‘อิมํ หริตุํ สมตฺถํ ชานาถา’’ติ อาห, นคเร สหสฺสภณฺฑิกํ จาเรสุํฯ ตติยวาเร กาฬวฬิยสฺส ภริยา อคฺคเหสิ ฯ อถ นํ รโญฺญ ทเสฺสสุํ, สา ปุริสเวสํ คเหตฺวา ปญฺจาวุธสนฺนทฺธา ภตฺตปาติํ คเหตฺวา นครา นิกฺขมิฯ พหินคเร ตาเล อธิวโตฺถ ทีฆตาโล นาม ยโกฺข ตํ รุกฺขมูเลน คจฺฉนฺติํ ทิสฺวา ‘‘ติฎฺฐ ติฎฺฐ ภโกฺขสิ เม’’ติ อาหฯ นาหํ ตว ภโกฺข, ราชทูโต อหนฺติฯ กตฺถ คจฺฉสีติฯ ชีวสูเล นิสินฺนสฺส ปุริสสฺส สนฺติกนฺติฯ มมปิ เอกํ สาสนํ หริตุํ สกฺขิสฺสสีติฯ อาม สกฺขิสฺสามีติฯ ‘‘ทีฆตาลสฺส ภริยา สุมนเทวราชธีตา กาฬี ปุตฺตํ วิชาตา’’ติ อาโรเจยฺยาสิฯ อิมสฺมิํ ตาลมูเล สตฺต นิธิกุมฺภิโย อตฺถิ, ตา ตฺวํ คเณฺหยฺยาสีติฯ สา ‘‘ทีฆตาลสฺส ภริยา สุมนเทวราชธีตา กาฬี ปุตฺตํ วิชาตา’’ติ อุโคฺฆเสนฺตี อคมาสิฯ
Tadā ca rājā nagaraṃ anusañcaranto bahinagare jīvasūle nisinnaṃ purisaṃ addasa. Puriso rājānaṃ disvā uccāsaddaṃ akāsi ‘‘tumhākaṃ me bhuñjanabhattaṃ pahiṇatha devā’’ti. Rājā ‘‘pesessāmī’’ti vatvā sāyamāsabhatte upanīte saritvā ‘‘imaṃ harituṃ samatthaṃ jānāthā’’ti āha, nagare sahassabhaṇḍikaṃ cāresuṃ. Tatiyavāre kāḷavaḷiyassa bhariyā aggahesi . Atha naṃ rañño dassesuṃ, sā purisavesaṃ gahetvā pañcāvudhasannaddhā bhattapātiṃ gahetvā nagarā nikkhami. Bahinagare tāle adhivattho dīghatālo nāma yakkho taṃ rukkhamūlena gacchantiṃ disvā ‘‘tiṭṭha tiṭṭha bhakkhosi me’’ti āha. Nāhaṃ tava bhakkho, rājadūto ahanti. Kattha gacchasīti. Jīvasūle nisinnassa purisassa santikanti. Mamapi ekaṃ sāsanaṃ harituṃ sakkhissasīti. Āma sakkhissāmīti. ‘‘Dīghatālassa bhariyā sumanadevarājadhītā kāḷī puttaṃ vijātā’’ti āroceyyāsi. Imasmiṃ tālamūle satta nidhikumbhiyo atthi, tā tvaṃ gaṇheyyāsīti. Sā ‘‘dīghatālassa bhariyā sumanadevarājadhītā kāḷī puttaṃ vijātā’’ti ugghosentī agamāsi.
สุมนเทโว ยกฺขสมาคเม นิสิโนฺน สุตฺวา ‘‘เอโก มนุโสฺส อมฺหากํ ปิยปวตฺติํ อาหรติ, ปโกฺกสถ น’’นฺติ สาสนํ สุตฺวา ปสโนฺน ‘‘อิมสฺส รุกฺขสฺส ปริมณฺฑลจฺฉายาย ผรณฎฺฐาเน นิธิกุมฺภิโย ตุยฺหํ ทมฺมี’’ติ อาหฯ ชีวสูเล นิสินฺนปุริโส ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา มุขปุญฺฉนกาเล อิตฺถิผโสฺสติ ญตฺวา จูฬาย ฑํสิ, สา อสินา อตฺตโน จูฬํ ฉินฺทิตฺวา รโญฺญ สนฺติกํเยว คตาฯ ราชา ภตฺตโภชิตภาโว กถํ ชานิตโพฺพติ? จูฬสญฺญายาติ วตฺวา รโญฺญ อาจิกฺขิตฺวา ตํ ธนํ อาหราเปสิฯ ราชา อญฺญสฺส เอตฺตกํ ธนํ นาม อตฺถีติฯ นตฺถิ เทวาติฯ ราชา ตสฺสา ปติํ ตสฺมิํ นคเร ธนเสฎฺฐิํ อกาสิฯ มลฺลิกายปิ เทวิยา วตฺถุ กเถตพฺพํฯ อิมานิ ตาว กุสลกเมฺม วตฺถูนิฯ
Sumanadevo yakkhasamāgame nisinno sutvā ‘‘eko manusso amhākaṃ piyapavattiṃ āharati, pakkosatha na’’nti sāsanaṃ sutvā pasanno ‘‘imassa rukkhassa parimaṇḍalacchāyāya pharaṇaṭṭhāne nidhikumbhiyo tuyhaṃ dammī’’ti āha. Jīvasūle nisinnapuriso bhattaṃ bhuñjitvā mukhapuñchanakāle itthiphassoti ñatvā cūḷāya ḍaṃsi, sā asinā attano cūḷaṃ chinditvā rañño santikaṃyeva gatā. Rājā bhattabhojitabhāvo kathaṃ jānitabboti? Cūḷasaññāyāti vatvā rañño ācikkhitvā taṃ dhanaṃ āharāpesi. Rājā aññassa ettakaṃ dhanaṃ nāma atthīti. Natthi devāti. Rājā tassā patiṃ tasmiṃ nagare dhanaseṭṭhiṃ akāsi. Mallikāyapi deviyā vatthu kathetabbaṃ. Imāni tāva kusalakamme vatthūni.
นนฺทมาณวโก ปน อุปฺปลวณฺณาย เถริยา วิปฺปฎิปชฺชิ, ตสฺส มญฺจโต อุฎฺฐาย นิกฺขมิตฺวา คจฺฉนฺตสฺส มหาปถวี ภิชฺชิตฺวา โอกาสมทาสิ, ตเตฺถว มหานรกํ ปวิโฎฺฐฯ นโนฺทปิ โคฆาตโก ปณฺณาส วสฺสานิ โคฆาตกกมฺมํ กตฺวา เอกทิวสํ โภชนกาเล มํสํ อลภโนฺต เอกสฺส ชีวมานกโคณสฺส ชิวฺหํ ฉินฺทิตฺวา องฺคาเรสุ ปจาเปตฺวา ขาทิตุํ อารโทฺธฯ อถสฺส ชิวฺหา มูเล ฉิชฺชิตฺวา ภตฺตปาติยํเยว ปติตา, โส วิรวโนฺต กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติฯ นโนฺทปิ ยโกฺข อเญฺญน ยเกฺขน สทฺธิํ อากาเสน คจฺฉโนฺต สาริปุตฺตเตฺถรํ นโวโรปิเตหิ เกเสหิ รตฺติภาเค อโพฺภกาเส นิสินฺนํ ทิสฺวา สีเส ปหริตุกาโม อิตรสฺส ยกฺขสฺส อาโรเจตฺวา เตน วาริยมาโนปิ ปหารํ ทตฺวา ฑยฺหามิ ฑยฺหามีติ วิรวโนฺต ตสฺมิํเยว ฐาเน ภูมิํ ปวิสิตฺวา มหานิรเย นิพฺพโตฺตติ อิมานิ อกุสลกเมฺม วตฺถูนิฯ
Nandamāṇavako pana uppalavaṇṇāya theriyā vippaṭipajji, tassa mañcato uṭṭhāya nikkhamitvā gacchantassa mahāpathavī bhijjitvā okāsamadāsi, tattheva mahānarakaṃ paviṭṭho. Nandopi goghātako paṇṇāsa vassāni goghātakakammaṃ katvā ekadivasaṃ bhojanakāle maṃsaṃ alabhanto ekassa jīvamānakagoṇassa jivhaṃ chinditvā aṅgāresu pacāpetvā khādituṃ āraddho. Athassa jivhā mūle chijjitvā bhattapātiyaṃyeva patitā, so viravanto kālaṃ katvā niraye nibbatti. Nandopi yakkho aññena yakkhena saddhiṃ ākāsena gacchanto sāriputtattheraṃ navoropitehi kesehi rattibhāge abbhokāse nisinnaṃ disvā sīse paharitukāmo itarassa yakkhassa ārocetvā tena vāriyamānopi pahāraṃ datvā ḍayhāmi ḍayhāmīti viravanto tasmiṃyeva ṭhāne bhūmiṃ pavisitvā mahāniraye nibbattoti imāni akusalakamme vatthūni.
ยํ ปน อนฺตมโส มรณสนฺติเกปิ กตํ กมฺมํ ภวนฺตเร วิปากํ เทติ, ตํ สพฺพํ สมฺปรายเวทนียํ นามฯ ตตฺถ โย อปริหีนสฺส ฌานสฺส วิปาโก นิพฺพตฺติสฺสติ, โส อิธ นิพฺพตฺติตวิปาโกติ วุโตฺตฯ ตสฺส มูลภูตํ กมฺมํ เนว ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ น สมฺปรายเวทนียนฺติ, น วิจาริตํ, กิญฺจาปิ น วิจาริตํ, สมฺปรายเวทนียเมว ปเนตนฺติ เวทิตพฺพํฯ โย ปฐมมคฺคาทีนํ ภวนฺตเร ผลสมาปตฺติวิปาโก, โส อิธ นิพฺพตฺติตคุโณเตฺวว วุโตฺตฯ กิญฺจาปิ เอวํ วุโตฺต, มคฺคกมฺมํ ปน ปริปกฺกเวทนียนฺติ เวทิตพฺพํฯ มคฺคเจตนาเยว หิ สพฺพลหุํ ผลทายิกา อนนฺตรผลตฺตาติฯ
Yaṃ pana antamaso maraṇasantikepi kataṃ kammaṃ bhavantare vipākaṃ deti, taṃ sabbaṃ samparāyavedanīyaṃ nāma. Tattha yo aparihīnassa jhānassa vipāko nibbattissati, so idha nibbattitavipākoti vutto. Tassa mūlabhūtaṃ kammaṃ neva diṭṭhadhammavedanīyaṃ na samparāyavedanīyanti, na vicāritaṃ, kiñcāpi na vicāritaṃ, samparāyavedanīyameva panetanti veditabbaṃ. Yo paṭhamamaggādīnaṃ bhavantare phalasamāpattivipāko, so idha nibbattitaguṇotveva vutto. Kiñcāpi evaṃ vutto, maggakammaṃ pana paripakkavedanīyanti veditabbaṃ. Maggacetanāyeva hi sabbalahuṃ phaladāyikā anantaraphalattāti.
๘. พหุเวทนียนฺติ สญฺญาภวูปคํฯ อปฺปเวทนียนฺติ อสญฺญาภวูปคํฯ สเวทนียนฺติ สวิปากํ กมฺมํฯ อเวทนียนฺติ อวิปากํ กมฺมํฯ เอวํ สเนฺตติ อิเมสํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียาทีนํ กมฺมานํ อุปกฺกเมน สมฺปรายเวทนียาทิ ภาวการณสฺส อลาเภ สติฯ อผโลติ นิปฺผโล นิรตฺถโกติฯ เอตฺตาวตา อนิยฺยานิกสาสเน ปโยคสฺส อผลตํ ทเสฺสตฺวา ปธานเจฺฉทกวาโท นาม ทสฺสิโตติ เวทิตโพฺพฯ สหธมฺมิกา วาทานุวาทาติ ปเรหิ วุตฺตการเณน สการณา หุตฺวา นิคณฺฐานํ วาทา จ อนุวาทา จฯ คารยฺหํ ฐานํ อาคจฺฉนฺตีติ วิญฺญูหิ ครหิตพฺพํ การณํ อาคจฺฉนฺติฯ ‘‘วาทานุปฺปตฺตา คารยฺหฎฺฐานา’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – ปเรหิ วุเตฺตน การเณน สการณา นิคณฺฐานํ วาทํ อนุปฺปตฺตา ตํ วาทํ โสเสนฺตา มิลาเปนฺตา ทุกฺกฎกมฺมการิโนติอาทโย ทส คารยฺหฎฺฐานา อาคจฺฉนฺติฯ
8.Bahuvedanīyanti saññābhavūpagaṃ. Appavedanīyanti asaññābhavūpagaṃ. Savedanīyanti savipākaṃ kammaṃ. Avedanīyanti avipākaṃ kammaṃ. Evaṃ santeti imesaṃ diṭṭhadhammavedanīyādīnaṃ kammānaṃ upakkamena samparāyavedanīyādi bhāvakāraṇassa alābhe sati. Aphaloti nipphalo niratthakoti. Ettāvatā aniyyānikasāsane payogassa aphalataṃ dassetvā padhānacchedakavādo nāma dassitoti veditabbo. Sahadhammikā vādānuvādāti parehi vuttakāraṇena sakāraṇā hutvā nigaṇṭhānaṃ vādā ca anuvādā ca. Gārayhaṃ ṭhānaṃ āgacchantīti viññūhi garahitabbaṃ kāraṇaṃ āgacchanti. ‘‘Vādānuppattā gārayhaṭṭhānā’’tipi pāṭho. Tassattho – parehi vuttena kāraṇena sakāraṇā nigaṇṭhānaṃ vādaṃ anuppattā taṃ vādaṃ sosentā milāpentā dukkaṭakammakārinotiādayo dasa gārayhaṭṭhānā āgacchanti.
๙. สงฺคติภาวเหตูติ นิยติภาวการณาฯ ปาปสงฺคติกาติ ปาปนิยติโนฯ อภิชาติเหตูติ ฉฬภิชาติเหตุฯ
9.Saṅgatibhāvahetūti niyatibhāvakāraṇā. Pāpasaṅgatikāti pāpaniyatino. Abhijātihetūti chaḷabhijātihetu.
๑๐. เอวํ นิคณฺฐานํ อุปกฺกมสฺส อผลตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ นิยฺยานิกสาสเน อุปกฺกมสฺส วีริยสฺส จ สผลตํ ทเสฺสตุํ กถญฺจ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนทฺธภูตนฺติ อนธิภูตํฯ ทุเกฺขน อนธิภูโต นาม มนุสฺสตฺตภาโว วุจฺจติ, น ตํ อทฺธภาเวติ นาภิภวตีติ อโตฺถฯ ตมฺปิ นานปฺปการาย ทุกฺกรการิกาย ปโยเชโนฺต ทุเกฺขน อทฺธภาเวติ นามฯ เย ปน สาสเน ปพฺพชิตฺวา อารญฺญกา วา โหนฺติ รุกฺขมูลิกาทโย วา, เต ทุเกฺขน น อทฺธภาเวนฺติ นามฯ นิยฺยานิกสาสนสฺมิญฺหิ วีริยํ สมฺมาวายาโม นาม โหติฯ
10. Evaṃ nigaṇṭhānaṃ upakkamassa aphalataṃ dassetvā idāni niyyānikasāsane upakkamassa vīriyassa ca saphalataṃ dassetuṃ kathañca, bhikkhavetiādimāha. Tattha anaddhabhūtanti anadhibhūtaṃ. Dukkhena anadhibhūto nāma manussattabhāvo vuccati, na taṃ addhabhāveti nābhibhavatīti attho. Tampi nānappakārāya dukkarakārikāya payojento dukkhena addhabhāveti nāma. Ye pana sāsane pabbajitvā āraññakā vā honti rukkhamūlikādayo vā, te dukkhena na addhabhāventi nāma. Niyyānikasāsanasmiñhi vīriyaṃ sammāvāyāmo nāma hoti.
เถโร ปนาห – โย อิสฺสรกุเล นิพฺพโตฺต สตฺตวสฺสิโก หุตฺวา อลงฺกตปฺปฎิยโตฺต ปิตุอเงฺก นิสิโนฺน ฆเร ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา นิสิเนฺนน ภิกฺขุสเงฺฆน อนุโมทนาย กริยมานาย ติโสฺส สมฺปตฺติโย ทเสฺสตฺวา สเจฺจสุ ปกาสิเตสุ อรหตฺตํ ปาปุณาติ, มาตาปิตูหิ วา ‘‘ปพฺพชิสฺสสิ ตาตา’’ติ วุโตฺต ‘‘อาม ปพฺพชิสฺสามี’’ติ วตฺวา นฺหาเปตฺวา อลงฺกริตฺวา วิหารํ นีโต ตจปญฺจกํ อุคฺคณฺหิตฺวา นิสิโนฺน เกเสสุ โอหาริยมาเนสุ ขุรเคฺคเยว อรหตฺตํ ปาปุณาติ, นวปพฺพชิโต วา ปน มโนสิลาเตลมกฺขิเตน สีเสน ปุนทิวเส มาตาปิตูหิ เปสิตํ กาชภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา วิหาเร นิสิโนฺนว อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อยํ น ทุเกฺขน อตฺตานํ อทฺธภาเวติ นามฯ อยํ ปน อุกฺกฎฺฐสกฺกาโรฯ โย ทาสิกุจฺฉิยํ นิพฺพโตฺต อนฺตมโส รชตมุทฺทิกมฺปิ ปิฬนฺธิตฺวา โครกปิยงฺคุมเตฺตนาปิ สรีรํ วิลิเมฺปตฺวา ‘‘ปพฺพาเชถ น’’นฺติ นีโต ขุรเคฺค วา ปุนทิวเส วา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อยมฺปิ น อนทฺธภูตํ อตฺตานํ ทุเกฺขน อทฺธภาเวติ นามฯ
Thero panāha – yo issarakule nibbatto sattavassiko hutvā alaṅkatappaṭiyatto pituaṅke nisinno ghare bhattakiccaṃ katvā nisinnena bhikkhusaṅghena anumodanāya kariyamānāya tisso sampattiyo dassetvā saccesu pakāsitesu arahattaṃ pāpuṇāti, mātāpitūhi vā ‘‘pabbajissasi tātā’’ti vutto ‘‘āma pabbajissāmī’’ti vatvā nhāpetvā alaṅkaritvā vihāraṃ nīto tacapañcakaṃ uggaṇhitvā nisinno kesesu ohāriyamānesu khuraggeyeva arahattaṃ pāpuṇāti, navapabbajito vā pana manosilātelamakkhitena sīsena punadivase mātāpitūhi pesitaṃ kājabhattaṃ bhuñjitvā vihāre nisinnova arahattaṃ pāpuṇāti, ayaṃ na dukkhena attānaṃ addhabhāveti nāma. Ayaṃ pana ukkaṭṭhasakkāro. Yo dāsikucchiyaṃ nibbatto antamaso rajatamuddikampi piḷandhitvā gorakapiyaṅgumattenāpi sarīraṃ vilimpetvā ‘‘pabbājetha na’’nti nīto khuragge vā punadivase vā arahattaṃ pāpuṇāti, ayampi na anaddhabhūtaṃ attānaṃ dukkhena addhabhāveti nāma.
ธมฺมิกํ สุขํ นาม สงฺฆโต วา คณโต วา อุปฺปนฺนํ จตุปจฺจยสุขํฯ อนธิมุจฺฉิโตติ ตณฺหามุจฺฉนาย อมุจฺฉิโตฯ ธมฺมิกญฺหิ สุขํ น ปริจฺจชามีติ น ตตฺถ เคโธ กาตโพฺพฯ สงฺฆโต หิ อุปฺปนฺนํ สลากภตฺตํ วา วสฺสาวาสิกํ วา ‘‘อิทมตฺถํ เอต’’นฺติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา สงฺฆมเชฺฌ ภิกฺขูนํ อนฺตเร ปริภุญฺชโนฺต ปตฺตนฺตเร ปทุมํ วิย สีลสมาธิวิปสฺสนามคฺคผเลหิ วฑฺฒติฯ อิมสฺสาติ ปจฺจุปฺปนฺนานํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ มูลภูตสฺสฯ ทุกฺขนิทานสฺสาติ ตณฺหายฯ สา หิ ปญฺจกฺขนฺธทุกฺขสฺส นิทานํฯ สงฺขารํ ปทหโตติ สมฺปโยควีริยํ กโรนฺตสฺสฯ วิราโค โหตีติ มเคฺคน วิราโค โหติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘สงฺขารปธาเนน เม อิมสฺส ทุกฺขนิทานสฺส วิราโค โหตี’’ติ เอวํ ปชานาตีติ อิมินา สุขาปฎิปทา ขิปฺปาภิญฺญา กถิตาฯ ทุติยวาเรน ตสฺส สมฺปโยควีริยสฺส มชฺฌตฺตตากาโร กถิโตฯ โส ยสฺส หิ ขฺวาสฺสาติ เอตฺถ อยํ สเงฺขปโตฺถ – โส ปุคฺคโล ยสฺส ทุกฺขนิทานสฺส สงฺขารปธาเนน วิราโค โหติ, สงฺขารํ ตตฺถ ปทหติ, มคฺคปธาเนน ปทหติฯ ยสฺส ปน ทุกฺขนิทานสฺส อชฺฌุเปกฺขโต อุเปกฺขํ ภาเวนฺตสฺส วิราโค โหติ, อุเปกฺขํ ตตฺถ ภาเวติ, มคฺคภาวนาย ภาเวติฯ ตสฺสาติ ตสฺส ปุคฺคลสฺสฯ
Dhammikaṃ sukhaṃ nāma saṅghato vā gaṇato vā uppannaṃ catupaccayasukhaṃ. Anadhimucchitoti taṇhāmucchanāya amucchito. Dhammikañhi sukhaṃ na pariccajāmīti na tattha gedho kātabbo. Saṅghato hi uppannaṃ salākabhattaṃ vā vassāvāsikaṃ vā ‘‘idamatthaṃ eta’’nti paricchinditvā saṅghamajjhe bhikkhūnaṃ antare paribhuñjanto pattantare padumaṃ viya sīlasamādhivipassanāmaggaphalehi vaḍḍhati. Imassāti paccuppannānaṃ pañcannaṃ khandhānaṃ mūlabhūtassa. Dukkhanidānassāti taṇhāya. Sā hi pañcakkhandhadukkhassa nidānaṃ. Saṅkhāraṃ padahatoti sampayogavīriyaṃ karontassa. Virāgohotīti maggena virāgo hoti. Idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘saṅkhārapadhānena me imassa dukkhanidānassa virāgo hotī’’ti evaṃ pajānātīti iminā sukhāpaṭipadā khippābhiññā kathitā. Dutiyavārena tassa sampayogavīriyassa majjhattatākāro kathito. So yassa hi khvāssāti ettha ayaṃ saṅkhepattho – so puggalo yassa dukkhanidānassa saṅkhārapadhānena virāgo hoti, saṅkhāraṃ tattha padahati, maggapadhānena padahati. Yassa pana dukkhanidānassa ajjhupekkhato upekkhaṃ bhāventassa virāgo hoti, upekkhaṃ tattha bhāveti, maggabhāvanāya bhāveti. Tassāti tassa puggalassa.
๑๑. ปฎิพทฺธจิโตฺตติ ฉนฺทราเคน พทฺธจิโตฺตฯ ติพฺพจฺฉโนฺทติ พหลจฺฉโนฺทฯ ติพฺพาเปโกฺขติ พหลปตฺถโนฯ สนฺติฎฺฐนฺตินฺติ เอกโต ติฎฺฐนฺติํฯ สญฺชคฺฆนฺตินฺติ มหาหสิตํ หสมานํฯ สํหสนฺตินฺติ สิตํ กุรุมานํฯ
11.Paṭibaddhacittoti chandarāgena baddhacitto. Tibbacchandoti bahalacchando. Tibbāpekkhoti bahalapatthano. Santiṭṭhantinti ekato tiṭṭhantiṃ. Sañjagghantinti mahāhasitaṃ hasamānaṃ. Saṃhasantinti sitaṃ kurumānaṃ.
เอวเมว โข, ภิกฺขเวติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมวิภาวนํ – เอโก หิ ปุริโส เอกิสฺสา อิตฺถิยา สารโตฺต ฆาสจฺฉาทนมาลาลงฺการาทีนิ ทตฺวา ฆเร วาเสติฯ สา ตํ อติจริตฺวา อญฺญํ เสวติฯ โส ‘‘นูน อหํ อสฺสา อนุรูปํ สกฺการํ น กโรมี’’ติ สกฺการํ วเฑฺฒสิฯ สา ภิโยฺยโสมตฺตาย อติจรติเยวฯ โส – ‘‘อยํ สกฺกริยมานาปิ อติจรเตว, ฆเร เม วสมานา อนตฺถมฺปิ กเรยฺย, นีหรามิ น’’นฺติ ปริสมเชฺฌ อลํวจนียํ กตฺวา ‘‘มา ปุน เคหํ ปาวิสี’’ติ วิสฺสเชฺชสิฯ สา เกนจิ อุปาเยน เตน สทฺธิํ สนฺถวํ กาตุํ อสโกฺกนฺตี นฎนจฺจกาทีหิ สทฺธิํ วิจรติฯ ตสฺส ปุริสสฺส ตํ ทิสฺวา เนว อุปฺปชฺชติ โทมนสฺสํ, โสมนสฺสํ ปน อุปฺปชฺชติฯ
Evameva kho, bhikkhaveti ettha idaṃ opammavibhāvanaṃ – eko hi puriso ekissā itthiyā sāratto ghāsacchādanamālālaṅkārādīni datvā ghare vāseti. Sā taṃ aticaritvā aññaṃ sevati. So ‘‘nūna ahaṃ assā anurūpaṃ sakkāraṃ na karomī’’ti sakkāraṃ vaḍḍhesi. Sā bhiyyosomattāya aticaratiyeva. So – ‘‘ayaṃ sakkariyamānāpi aticarateva, ghare me vasamānā anatthampi kareyya, nīharāmi na’’nti parisamajjhe alaṃvacanīyaṃ katvā ‘‘mā puna gehaṃ pāvisī’’ti vissajjesi. Sā kenaci upāyena tena saddhiṃ santhavaṃ kātuṃ asakkontī naṭanaccakādīhi saddhiṃ vicarati. Tassa purisassa taṃ disvā neva uppajjati domanassaṃ, somanassaṃ pana uppajjati.
ตตฺถ ปุริสสฺส อิตฺถิยา สารตฺตกาโล วิย อิมสฺส ภิกฺขุโน อตฺตภาเว อาลโยฯ ฆาสจฺฉาทนาทีนิ ทตฺวา ฆเร วสาปนกาโล วิย อตฺตภาวสฺส ปฎิชคฺคนกาโลฯ ตสฺสา อติจรณกาโล วิย ชคฺคิยมานเสฺสว อตฺตภาวสฺส ปิตฺตปโกปาทีนํ วเสน สาพาธตาฯ ‘‘อตฺตโน อนุรูปํ สกฺการํ อลภนฺตี อติจรตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา สกฺการวฑฺฒนํ วิย ‘‘เภสชฺชํ อลภโนฺต เอวํ โหตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา เภสชฺชกรณกาโลฯ สกฺกาเร วฑฺฒิเตปิ ปุน อติจรณํ วิย ปิตฺตาทีสุ เอกสฺส เภสเชฺช กริยมาเน เสสานํ ปโกปวเสน ปุน สาพาธตาฯ ปริสมเชฺฌ อลํวจนียํ กตฺวา เคหา นิกฺกฑฺฒนํ วิย ‘‘อิทานิ เต นาหํ ทาโส น กมฺมกโร, อนมตเคฺค สํสาเร ตํเยว อุปฎฺฐหโนฺต วิจริํ, โก เม ตยา อโตฺถ, ฉิชฺช วา ภิชฺช วา’’ติ ตสฺมิํ อนเปกฺขตํ อาปชฺชิตฺวา วีริยํ ถิรํ กตฺวา มเคฺคน กิเลสสมุคฺฆาตนํฯ นฎนจฺจกาทีหิ นจฺจมานํ วิจรนฺติํ ทิสฺวา ยถา ตสฺส ปุริสสฺส โทมนสฺสํ น อุปฺปชฺชติ, โสมนสฺสเมว อุปฺปชฺชติ, เอวเมว อิมสฺส ภิกฺขุโน อรหตฺตํ ปตฺตสฺส ปิตฺตปโกปาทีนํ วเสน อาพาธิกํ อตฺตภาวํ ทิสฺวา โทมนสฺสํ น อุปฺปชฺชติ, ‘‘มุจฺจิสฺสามิ วต ขนฺธปริหารทุกฺขโต’’ติ โสมนสฺสเมว อุปฺปชฺชตีติฯ อยํ ปน อุปมา ‘‘ปฎิพทฺธจิตฺตสฺส โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ, อปฺปฎิพทฺธจิตฺตสฺส นเตฺถตนฺติ ญตฺวา อิตฺถิยา ฉนฺทราคํ ปชหติ, เอวมยํ ภิกฺขุ สงฺขารํ วา ปทหนฺตสฺส อุเปกฺขํ วา ภาเวนฺตสฺส ทุกฺขนิทานํ ปหียติ, โน อญฺญถาติ ญตฺวา ตทุภยํ สมฺปาเทโนฺต ทุกฺขนิทานํ ปชหตี’’ติ เอตมตฺถํ วิภาเวตุํ อาคตาติ เวทิตพฺพาฯ
Tattha purisassa itthiyā sārattakālo viya imassa bhikkhuno attabhāve ālayo. Ghāsacchādanādīni datvā ghare vasāpanakālo viya attabhāvassa paṭijagganakālo. Tassā aticaraṇakālo viya jaggiyamānasseva attabhāvassa pittapakopādīnaṃ vasena sābādhatā. ‘‘Attano anurūpaṃ sakkāraṃ alabhantī aticaratī’’ti sallakkhetvā sakkāravaḍḍhanaṃ viya ‘‘bhesajjaṃ alabhanto evaṃ hotī’’ti sallakkhetvā bhesajjakaraṇakālo. Sakkāre vaḍḍhitepi puna aticaraṇaṃ viya pittādīsu ekassa bhesajje kariyamāne sesānaṃ pakopavasena puna sābādhatā. Parisamajjhe alaṃvacanīyaṃ katvā gehā nikkaḍḍhanaṃ viya ‘‘idāni te nāhaṃ dāso na kammakaro, anamatagge saṃsāre taṃyeva upaṭṭhahanto vicariṃ, ko me tayā attho, chijja vā bhijja vā’’ti tasmiṃ anapekkhataṃ āpajjitvā vīriyaṃ thiraṃ katvā maggena kilesasamugghātanaṃ. Naṭanaccakādīhi naccamānaṃ vicarantiṃ disvā yathā tassa purisassa domanassaṃ na uppajjati, somanassameva uppajjati, evameva imassa bhikkhuno arahattaṃ pattassa pittapakopādīnaṃ vasena ābādhikaṃ attabhāvaṃ disvā domanassaṃ na uppajjati, ‘‘muccissāmi vata khandhaparihāradukkhato’’ti somanassameva uppajjatīti. Ayaṃ pana upamā ‘‘paṭibaddhacittassa domanassaṃ uppajjati, appaṭibaddhacittassa natthetanti ñatvā itthiyā chandarāgaṃ pajahati, evamayaṃ bhikkhu saṅkhāraṃ vā padahantassa upekkhaṃ vā bhāventassa dukkhanidānaṃ pahīyati, no aññathāti ñatvā tadubhayaṃ sampādento dukkhanidānaṃ pajahatī’’ti etamatthaṃ vibhāvetuṃ āgatāti veditabbā.
๑๒. ยถา สุขํ โข เม วิหรโตติ เยน สุเขน วิหริตุํ อิจฺฉามิ เตน, เม วิหรโตฯ ปทหโตติ เปเสนฺตสฺสฯ เอตฺถ จ ยสฺส สุขา ปฎิปทา อสปฺปายา, สุขุมจีวรานิ ธาเรนฺตสฺส ปาสาทิเก เสนาสเน วสนฺตสฺส จิตฺตํ วิกฺขิปติ, ทุกฺขา ปฎิปทา สปฺปายา, ฉินฺนภินฺนานิ ถูลจีวรานิ ธาเรนฺตสฺส สุสานรุกฺขมูลาทีสุ วสนฺตสฺส จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ
12.Yathā sukhaṃ kho me viharatoti yena sukhena viharituṃ icchāmi tena, me viharato. Padahatoti pesentassa. Ettha ca yassa sukhā paṭipadā asappāyā, sukhumacīvarāni dhārentassa pāsādike senāsane vasantassa cittaṃ vikkhipati, dukkhā paṭipadā sappāyā, chinnabhinnāni thūlacīvarāni dhārentassa susānarukkhamūlādīsu vasantassa cittaṃ ekaggaṃ hoti, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.
เอวเมว โขติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ, อุสุกาโร วิย หิ ชาติชรามรณภีโต โยคี ทฎฺฐโพฺพ, วงฺกกุฎิลชิมฺหเตชนํ วิย วงฺกกุฎิลชิมฺหจิตฺตํ, เทฺว อลาตา วิย กายิกเจตสิกวีริยํ, เตชนํ อุชุํ กโรนฺตสฺส กญฺชิกเตลํ วิย สทฺธา, นมนทณฺฑโก วิย โลกุตฺตรมโคฺค, อุสฺสุการสฺส วงฺกกุฎิลชิมฺหเตชนํ กญฺชิกเตเลน สิเนเหตฺวา อลาเตสุ ตาเปตฺวา นมนทณฺฑเกน อุชุกรณํ วิย อิมสฺส ภิกฺขุโน วงฺกกุฎิลชิมฺหจิตฺตํ สทฺธาย สิเนเหตฺวา กายิกเจตสิกวีริเยน ตาเปตฺวา โลกุตฺตรมเคฺคน อุชุกรณํ, อุสุการเสฺสว เอวํ อุชุกเตน เตชเนน สปตฺตํ วิชฺฌิตฺวา สมฺปตฺติอนุภวนํ วิย อิมสฺส โยคิโน ตถา อุชุกเตน จิเตฺตน กิเลสคณํ วิชฺฌิตฺวา ปาสาทิเก เสนาสเน นิโรธวรตลคตสฺส ผลสมาปตฺติสุขานุภวนํ ทฎฺฐพฺพํฯ อิธ ตถาคโต สุขาปฎิปทาขิปฺปาภิญฺญภิกฺขุโน, ทุกฺขาปฎิปทาทนฺธาภิญฺญภิกฺขุโน จ ปฎิปตฺติโย กถิตา, อิตเรสํ ทฺวินฺนํ น กถิตา, ตา กเถตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ อิมาสุ วา ทฺวีสุ กถิตาสุ อิตราปิ กถิตาว โหนฺติ, อาคมนียปฎิปทา ปน น กถิตา, ตํ กเถตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ สหาคมนียาปิ วา ปฎิปทา กถิตาว, อทสฺสิตํ ปน เอกํ พุทฺธุปฺปาทํ ทเสฺสตฺวา เอกสฺส กุลปุตฺตสฺส นิกฺขมนเทสนํ อรหเตฺตน วินิวเฎฺฎสฺสามีติ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Evameva khoti ettha idaṃ opammasaṃsandanaṃ, usukāro viya hi jātijarāmaraṇabhīto yogī daṭṭhabbo, vaṅkakuṭilajimhatejanaṃ viya vaṅkakuṭilajimhacittaṃ, dve alātā viya kāyikacetasikavīriyaṃ, tejanaṃ ujuṃ karontassa kañjikatelaṃ viya saddhā, namanadaṇḍako viya lokuttaramaggo, ussukārassa vaṅkakuṭilajimhatejanaṃ kañjikatelena sinehetvā alātesu tāpetvā namanadaṇḍakena ujukaraṇaṃ viya imassa bhikkhuno vaṅkakuṭilajimhacittaṃ saddhāya sinehetvā kāyikacetasikavīriyena tāpetvā lokuttaramaggena ujukaraṇaṃ, usukārasseva evaṃ ujukatena tejanena sapattaṃ vijjhitvā sampattianubhavanaṃ viya imassa yogino tathā ujukatena cittena kilesagaṇaṃ vijjhitvā pāsādike senāsane nirodhavaratalagatassa phalasamāpattisukhānubhavanaṃ daṭṭhabbaṃ. Idha tathāgato sukhāpaṭipadākhippābhiññabhikkhuno, dukkhāpaṭipadādandhābhiññabhikkhuno ca paṭipattiyo kathitā, itaresaṃ dvinnaṃ na kathitā, tā kathetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Imāsu vā dvīsu kathitāsu itarāpi kathitāva honti, āgamanīyapaṭipadā pana na kathitā, taṃ kathetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Sahāgamanīyāpi vā paṭipadā kathitāva, adassitaṃ pana ekaṃ buddhuppādaṃ dassetvā ekassa kulaputtassa nikkhamanadesanaṃ arahattena vinivaṭṭessāmīti dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
เทวทหสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Devadahasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑. เทวทหสุตฺตํ • 1. Devadahasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. เทวทหสุตฺตวณฺณนา • 1. Devadahasuttavaṇṇanā