Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi

    ๓. เทวทตฺตปพฺพชฺชปโญฺห

    3. Devadattapabbajjapañho

    . ‘‘ภเนฺต นาคเสน, เทวทโตฺต เกน ปพฺพาชิโต’’ติ? ‘‘ฉ ยิเม, มหาราช, ขตฺติยกุมารา ภทฺทิโย จ อนุรุโทฺธ จ อานโนฺท จ ภคุ จ กิมิโล 1 จ เทวทโตฺต จ อุปาลิกปฺปโก สตฺตโม อภิสมฺพุเทฺธ สตฺถริ สกฺยกุลานนฺทชนเน ภควนฺตํ อนุปพฺพชนฺตา นิกฺขมิํสุ, เต ภควา ปพฺพาเชสี’’ติฯ ‘‘นนุ, ภเนฺต, เทวทเตฺตน ปพฺพชิตฺวา สโงฺฆ ภิโนฺน’’ติ? ‘‘อาม, มหาราช, เทวทเตฺตน ปพฺพชิตฺวา สโงฺฆ ภิโนฺน, น คิหี สงฺฆํ ภินฺทติ, น ภิกฺขุนี, น สิกฺขมานา, น สามเณโร, น สามเณรี สงฺฆํ ภินฺทติ, ภิกฺขุ ปกตโตฺต สมานสํวาสโก สมานสีมายํ ฐิโต สงฺฆํ ภินฺทตีติฯ สงฺฆเภทโก, ภเนฺต, ปุคฺคโล กิํ กมฺมํ ผุสตี’’ติ? ‘‘กปฺปฎฺฐิติกํ, มหาราช, กมฺมํ ผุสตี’’ติฯ

    3. ‘‘Bhante nāgasena, devadatto kena pabbājito’’ti? ‘‘Cha yime, mahārāja, khattiyakumārā bhaddiyo ca anuruddho ca ānando ca bhagu ca kimilo 2 ca devadatto ca upālikappako sattamo abhisambuddhe satthari sakyakulānandajanane bhagavantaṃ anupabbajantā nikkhamiṃsu, te bhagavā pabbājesī’’ti. ‘‘Nanu, bhante, devadattena pabbajitvā saṅgho bhinno’’ti? ‘‘Āma, mahārāja, devadattena pabbajitvā saṅgho bhinno, na gihī saṅghaṃ bhindati, na bhikkhunī, na sikkhamānā, na sāmaṇero, na sāmaṇerī saṅghaṃ bhindati, bhikkhu pakatatto samānasaṃvāsako samānasīmāyaṃ ṭhito saṅghaṃ bhindatīti. Saṅghabhedako, bhante, puggalo kiṃ kammaṃ phusatī’’ti? ‘‘Kappaṭṭhitikaṃ, mahārāja, kammaṃ phusatī’’ti.

    ‘‘กิํ ปน, ภเนฺต นาคเสน, พุโทฺธ ชานาติ ‘เทวทโตฺต ปพฺพชิตฺวา สงฺฆํ ภินฺทิสฺสติ, สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา กปฺปํ นิรเย ปจฺจิสฺสตี’’’ติ? ‘‘อาม, มหาราช, ตถาคโต ชานาติ ‘เทวทโตฺต ปพฺพชิตฺวา สงฺฆํ ภินฺทิสฺสติ, สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา กปฺปํ นิรเย ปจฺจิสฺสตี’’’ติฯ ‘‘ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, พุโทฺธ ชานาติ ‘เทวทโตฺต ปพฺพชิตฺวา สงฺฆํ ภินฺทิสฺสติ, สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา กปฺปํ นิรเย ปจฺจิสฺสตี’ติ, เตน หิ, ภเนฺต นาคเสน, พุโทฺธ การุณิโก อนุกมฺปโก หิเตสี สพฺพสตฺตานํ อหิตํ อปเนตฺวา หิตมุปทหตีติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉาฯ ยทิ ตํ อชานิตฺวา ปพฺพาเชสิ, เตน หิ พุโทฺธ อสพฺพญฺญูติ, อยมฺปิ อุภโต โกฎิโก ปโญฺห ตวานุปฺปโตฺต, วิชเฎหิ เอตํ มหาชฎํ, ภินฺท ปราปวาทํ, อนาคเต อทฺธาเน ตยา สทิสา พุทฺธิมโนฺต ภิกฺขู ทุลฺลภา ภวิสฺสนฺติ, เอตฺถ ตว พลํ ปกาเสหี’’ติฯ

    ‘‘Kiṃ pana, bhante nāgasena, buddho jānāti ‘devadatto pabbajitvā saṅghaṃ bhindissati, saṅghaṃ bhinditvā kappaṃ niraye paccissatī’’’ti? ‘‘Āma, mahārāja, tathāgato jānāti ‘devadatto pabbajitvā saṅghaṃ bhindissati, saṅghaṃ bhinditvā kappaṃ niraye paccissatī’’’ti. ‘‘Yadi, bhante nāgasena, buddho jānāti ‘devadatto pabbajitvā saṅghaṃ bhindissati, saṅghaṃ bhinditvā kappaṃ niraye paccissatī’ti, tena hi, bhante nāgasena, buddho kāruṇiko anukampako hitesī sabbasattānaṃ ahitaṃ apanetvā hitamupadahatīti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā. Yadi taṃ ajānitvā pabbājesi, tena hi buddho asabbaññūti, ayampi ubhato koṭiko pañho tavānuppatto, vijaṭehi etaṃ mahājaṭaṃ, bhinda parāpavādaṃ, anāgate addhāne tayā sadisā buddhimanto bhikkhū dullabhā bhavissanti, ettha tava balaṃ pakāsehī’’ti.

    ‘‘การุณิโก, มหาราช, ภควา สพฺพญฺญู จ, การุเญฺญน, มหาราช, ภควา สพฺพญฺญุตญาเณน เทวทตฺตสฺส คติํ โอโลเกโนฺต อทฺทส เทวทตฺตํ อาปายิกํ กมฺมํ 3 อายูหิตฺวา อเนกานิ กปฺปโกฎิสตสหสฺสานิ นิรเยน นิรยํ วินิปาเตน วินิปาตํ คจฺฉนฺตํ, ตํ ภควา สพฺพญฺญุตญาเณน ชานิตฺวา อิมสฺส อปริยนฺตกตํ กมฺมํ มม สาสเน ปพฺพชิตสฺส ปริยนฺตกตํ ภวิสฺสติ, ปุริมํ อุปาทาย ปริยนฺตกตํ ทุกฺขํ ภวิสฺสติ, อปพฺพชิโตปิ อยํ โมฆปุริโส กปฺปฎฺฐิยเมว กมฺมํ อายูหิสฺสตีติ การุเญฺญน เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสี’’ติฯ

    ‘‘Kāruṇiko, mahārāja, bhagavā sabbaññū ca, kāruññena, mahārāja, bhagavā sabbaññutañāṇena devadattassa gatiṃ olokento addasa devadattaṃ āpāyikaṃ kammaṃ 4 āyūhitvā anekāni kappakoṭisatasahassāni nirayena nirayaṃ vinipātena vinipātaṃ gacchantaṃ, taṃ bhagavā sabbaññutañāṇena jānitvā imassa apariyantakataṃ kammaṃ mama sāsane pabbajitassa pariyantakataṃ bhavissati, purimaṃ upādāya pariyantakataṃ dukkhaṃ bhavissati, apabbajitopi ayaṃ moghapuriso kappaṭṭhiyameva kammaṃ āyūhissatīti kāruññena devadattaṃ pabbājesī’’ti.

    ‘‘เตน หิ, ภเนฺต นาคเสน, พุโทฺธ วธิตฺวา เตเลน มเกฺขติ, ปปาเต ปาเตตฺวา หตฺถํ เทติ, มาเรตฺวา ชีวิตํ ปริเยสติ, ยํ โส ปฐมํ ทุกฺขํ ทตฺวา ปจฺฉา สุขํ อุปทหตี’’ติ? ‘‘วเธติปิ, มหาราช, ตถาคโต สตฺตานํ หิตวเสน, ปาเตติปิ สตฺตานํ หิตวเสน, มาเรติปิ สตฺตานํ หิตวเสน, วธิตฺวาปิ, มหาราช, ตถาคโต สตฺตานํ หิตเมว อุปทหติ, ปาเตตฺวาปิ สตฺตานํ หิตเมว อุปทหติ, มาเรตฺวาปิ สตฺตานํ หิตเมว อุปทหติฯ ยถา, มหาราช, มาตาปิตโร นาม วธิตฺวาปิ ปาตยิตฺวาปิ ปุตฺตานํ หิตเมว อุปทหนฺติ, เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคโต วเธติปิ สตฺตานํ หิตวเสน, ปาเตติปิ สตฺตานํ หิตวเสน, มาเรติปิ สตฺตานํ หิตวเสน, วธิตฺวาปิ, มหาราช, ตถาคโต สตฺตานํ หิตเมว อุปทหติ, ปาเตตฺวาปิ สตฺตานํ หิตเมว อุปทหติ, มาเรตฺวาปิ สตฺตานํ หิตเมว อุปทหติ, เยน เยน โยเคน สตฺตานํ คุณวุฑฺฒิ โหติ, เตน เตน โยเคน สพฺพสตฺตานํ หิตเมว อุปทหติฯ สเจ, มหาราช, เทวทโตฺต น ปพฺพาเชยฺย, คิหิภูโต สมาโน นิรยสํวตฺตนิกํ พหุํ ปาปกมฺมํ กตฺวา อเนกานิ กปฺปโกฎิสตสหสฺสานิ นิรเยน นิรยํ วินิปาเตน วินิปาตํ คจฺฉโนฺต พหุํ ทุกฺขํ เวทยิสฺสติ, ตํ ภควา ชานมาโน การุเญฺญน เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิ, ‘มม สาสเน ปพฺพชิตสฺส ทุกฺขํ ปริยนฺตกตํ ภวิสฺสตี’ติ การุเญฺญน ครุกํ ทุกฺขํ ลหุกํ อกาสิฯ

    ‘‘Tena hi, bhante nāgasena, buddho vadhitvā telena makkheti, papāte pātetvā hatthaṃ deti, māretvā jīvitaṃ pariyesati, yaṃ so paṭhamaṃ dukkhaṃ datvā pacchā sukhaṃ upadahatī’’ti? ‘‘Vadhetipi, mahārāja, tathāgato sattānaṃ hitavasena, pātetipi sattānaṃ hitavasena, māretipi sattānaṃ hitavasena, vadhitvāpi, mahārāja, tathāgato sattānaṃ hitameva upadahati, pātetvāpi sattānaṃ hitameva upadahati, māretvāpi sattānaṃ hitameva upadahati. Yathā, mahārāja, mātāpitaro nāma vadhitvāpi pātayitvāpi puttānaṃ hitameva upadahanti, evameva kho, mahārāja, tathāgato vadhetipi sattānaṃ hitavasena, pātetipi sattānaṃ hitavasena, māretipi sattānaṃ hitavasena, vadhitvāpi, mahārāja, tathāgato sattānaṃ hitameva upadahati, pātetvāpi sattānaṃ hitameva upadahati, māretvāpi sattānaṃ hitameva upadahati, yena yena yogena sattānaṃ guṇavuḍḍhi hoti, tena tena yogena sabbasattānaṃ hitameva upadahati. Sace, mahārāja, devadatto na pabbājeyya, gihibhūto samāno nirayasaṃvattanikaṃ bahuṃ pāpakammaṃ katvā anekāni kappakoṭisatasahassāni nirayena nirayaṃ vinipātena vinipātaṃ gacchanto bahuṃ dukkhaṃ vedayissati, taṃ bhagavā jānamāno kāruññena devadattaṃ pabbājesi, ‘mama sāsane pabbajitassa dukkhaṃ pariyantakataṃ bhavissatī’ti kāruññena garukaṃ dukkhaṃ lahukaṃ akāsi.

    ‘‘ยถา วา, มหาราช, ธนยสสิริญาติพเลน พลวา ปุริโส อตฺตโน ญาติํ วา มิตฺตํ วา รญฺญา ครุกํ ทณฺฑํ ธาเรนฺตํ อตฺตโน พหุวิสฺสตฺถภาเวน สมตฺถตาย ครุกํ ทณฺฑํ ลหุกํ อกาสิ, เอวเมว โข, มหาราช, ภควา พหูนิ กปฺปโกฎิสตสหสฺสานิ ทุกฺขํ เวทยมานํ เทวทตฺตํ ปพฺพาเชตฺวา สีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติพลสมตฺถภาเวน ครุกํ ทุกฺขํ ลหุกํ อกาสิฯ

    ‘‘Yathā vā, mahārāja, dhanayasasiriñātibalena balavā puriso attano ñātiṃ vā mittaṃ vā raññā garukaṃ daṇḍaṃ dhārentaṃ attano bahuvissatthabhāvena samatthatāya garukaṃ daṇḍaṃ lahukaṃ akāsi, evameva kho, mahārāja, bhagavā bahūni kappakoṭisatasahassāni dukkhaṃ vedayamānaṃ devadattaṃ pabbājetvā sīlasamādhipaññāvimuttibalasamatthabhāvena garukaṃ dukkhaṃ lahukaṃ akāsi.

    ‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, กุสโล ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต ครุกํ โรคํ พลโวสธพเลน ลหุกํ กโรติ, เอวเมว โข, มหาราช, พหูนิ กปฺปโกฎิสตสหสฺสานิ ทุกฺขํ เวทยมานํ เทวทตฺตํ ภควา โรคญฺญุตาย ปพฺพาเชตฺวา การุญฺญพโล ปตฺถทฺธธโมฺมสธพเลน ครุกํ ทุกฺขํ ลหุกํ อกาสิฯ อปิ นุ โข โส, มหาราช, ภควา พหุเวทนียํ เทวทตฺตํ อปฺปเวทนียํ กโรโนฺต กิญฺจิ อปุญฺญํ อาปเชฺชยฺยา’’ติ? ‘‘น กิญฺจิ, ภเนฺต, อปุญฺญํ อาปเชฺชยฺย อนฺตมโส คทฺทูหนมตฺตมฺปี’’ติฯ ‘‘อิมมฺปิ โข, มหาราช, การณํ อตฺถโต สมฺปฎิจฺฉ, เยน การเณน ภควา เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิฯ

    ‘‘Yathā vā pana, mahārāja, kusalo bhisakko sallakatto garukaṃ rogaṃ balavosadhabalena lahukaṃ karoti, evameva kho, mahārāja, bahūni kappakoṭisatasahassāni dukkhaṃ vedayamānaṃ devadattaṃ bhagavā rogaññutāya pabbājetvā kāruññabalo patthaddhadhammosadhabalena garukaṃ dukkhaṃ lahukaṃ akāsi. Api nu kho so, mahārāja, bhagavā bahuvedanīyaṃ devadattaṃ appavedanīyaṃ karonto kiñci apuññaṃ āpajjeyyā’’ti? ‘‘Na kiñci, bhante, apuññaṃ āpajjeyya antamaso gaddūhanamattampī’’ti. ‘‘Imampi kho, mahārāja, kāraṇaṃ atthato sampaṭiccha, yena kāraṇena bhagavā devadattaṃ pabbājesi.

    ‘‘อปรมฺปิ , มหาราช, อุตฺตริํ การณํ สุโณหิ, เยน การเณน ภควา เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิฯ ยถา, มหาราช, โจรํ อาคุจาริํ คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสยฺยุํ, ‘อยํ โข, เทว, โจโร อาคุจารี, อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ, ตํ ทณฺฑํ ปเณหี’ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย ‘เตน หิ , ภเณ, อิมํ โจรํ พหินครํ นีหริตฺวา อาฆาตเน สีสํ ฉินฺทถา’’ติ, ‘เอวํ เทวา’ติ โข เต รโญฺญ ปฎิสฺสุตฺวา ตํ พหินครํ นีหริตฺวา อาฆาตนํ นเยยฺยุํฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย โกจิเทว ปุริโส รโญฺญ สนฺติกา ลทฺธวโร ลทฺธยสธนโภโค อาเทยฺยวจโน พลวิจฺฉิตการี, โส ตสฺส การุญฺญํ กตฺวา เต ปุริเส เอวํ วเทยฺย ‘อลํ, โภ, กิํ ตุมฺหากํ อิมสฺส สีสเจฺฉทเนน, เตน หิ โภ อิมสฺส หตฺถํ วา ปาทํ วา ฉินฺทิตฺวา ชีวิตํ รกฺขถ, อหเมตสฺส การณา รโญฺญ สนฺติเก ปฎิวจนํ กริสฺสามี’ติฯ เต ตสฺส พลวโต วจเนน ตสฺส โจรสฺส หตฺถํ วา ปาทํ วา ฉินฺทิตฺวา ชีวิตํ รเกฺขยฺยุํฯ อปิ นุ โข โส, มหาราช, ปุริโส เอวํ การี ตสฺส โจรสฺส กิจฺจการี อสฺสา’’ติ? ‘‘ชีวิตทายโก โส, ภเนฺต, ปุริโส ตสฺส โจรสฺส, ชีวิเต ทิเนฺน กิํ ตสฺส อกตํ นาม อตฺถี’’ติ? ‘‘ยา ปน หตฺถปาทเจฺฉทเน เวทนา, โส ตาย เวทนาย กิญฺจิ อปุญฺญํ อาปเชฺชยฺยา’’ติ? ‘‘อตฺตโน กเตน โส, ภเนฺต, โจโร ทุกฺขเวทนํ เวทยติ, ชีวิตทายโก ปน ปุริโส น กิญฺจิ อปุญฺญํ อาปเชฺชยฺยา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, ภควา การุเญฺญน เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิ ‘มม สาสเน ปพฺพชิตสฺส ทุกฺขํ ปริยนฺตกตํ ภวิสฺสตี’ติฯ ปริยนฺตกตญฺจ, มหาราช, เทวทตฺตสฺส ทุกฺขํ, เทวทโตฺต, มหาราช, มรณกาเล –

    ‘‘Aparampi , mahārāja, uttariṃ kāraṇaṃ suṇohi, yena kāraṇena bhagavā devadattaṃ pabbājesi. Yathā, mahārāja, coraṃ āgucāriṃ gahetvā rañño dasseyyuṃ, ‘ayaṃ kho, deva, coro āgucārī, imassa yaṃ icchasi, taṃ daṇḍaṃ paṇehī’ti. Tamenaṃ rājā evaṃ vadeyya ‘tena hi , bhaṇe, imaṃ coraṃ bahinagaraṃ nīharitvā āghātane sīsaṃ chindathā’’ti, ‘evaṃ devā’ti kho te rañño paṭissutvā taṃ bahinagaraṃ nīharitvā āghātanaṃ nayeyyuṃ. Tamenaṃ passeyya kocideva puriso rañño santikā laddhavaro laddhayasadhanabhogo ādeyyavacano balavicchitakārī, so tassa kāruññaṃ katvā te purise evaṃ vadeyya ‘alaṃ, bho, kiṃ tumhākaṃ imassa sīsacchedanena, tena hi bho imassa hatthaṃ vā pādaṃ vā chinditvā jīvitaṃ rakkhatha, ahametassa kāraṇā rañño santike paṭivacanaṃ karissāmī’ti. Te tassa balavato vacanena tassa corassa hatthaṃ vā pādaṃ vā chinditvā jīvitaṃ rakkheyyuṃ. Api nu kho so, mahārāja, puriso evaṃ kārī tassa corassa kiccakārī assā’’ti? ‘‘Jīvitadāyako so, bhante, puriso tassa corassa, jīvite dinne kiṃ tassa akataṃ nāma atthī’’ti? ‘‘Yā pana hatthapādacchedane vedanā, so tāya vedanāya kiñci apuññaṃ āpajjeyyā’’ti? ‘‘Attano katena so, bhante, coro dukkhavedanaṃ vedayati, jīvitadāyako pana puriso na kiñci apuññaṃ āpajjeyyā’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, bhagavā kāruññena devadattaṃ pabbājesi ‘mama sāsane pabbajitassa dukkhaṃ pariyantakataṃ bhavissatī’ti. Pariyantakatañca, mahārāja, devadattassa dukkhaṃ, devadatto, mahārāja, maraṇakāle –

    ‘‘‘อิเมหิ อฎฺฐีหิ ตมคฺคปุคฺคลํ, เทวาติเทวํ นรทมฺมสารถิํ;

    ‘‘‘Imehi aṭṭhīhi tamaggapuggalaṃ, devātidevaṃ naradammasārathiṃ;

    สมนฺตจกฺขุํ สตปุญฺญลกฺขณํ, ปาเณหิ พุทฺธํ สรณํ อุเปมี’ติฯ

    Samantacakkhuṃ satapuññalakkhaṇaṃ, pāṇehi buddhaṃ saraṇaṃ upemī’ti.

    ‘‘ปาณุเปตํ สรณมคมาสิฯ เทวทโตฺต, มหาราช, ฉ โกฎฺฐาเส กเต กเปฺป อติกฺกเนฺต ปฐมโกฎฺฐาเส สงฺฆํ ภินฺทิ, ปญฺจ โกฎฺฐาเส นิรเย ปจฺจิตฺวา ตโต มุจฺจิตฺวา อฎฺฐิสฺสโร นาม ปเจฺจกพุโทฺธ ภวิสฺสติฯ อปิ นุ โข โส, มหาราช, ภควา เอวํ การี เทวทตฺตสฺส กิจฺจการี อสฺสา’’ติ? ‘‘สพฺพทโท, ภเนฺต นาคเสน, ตถาคโต เทวทตฺตสฺส, ยํ ตถาคโต เทวทตฺตํ ปเจฺจกโพธิํ ปาเปสฺสติ, กิํ ตถาคเตน เทวทตฺตสฺส อกตํ นาม อตฺถี’’ติ? ‘‘ยํ ปน, มหาราช, เทวทโตฺต สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา นิรเย ทุกฺขเวทนํ เวทยติ, อปิ นุ โข ภควา ตโตนิทานํ กิญฺจิ อปุญฺญํ อาปเชฺชยฺยา’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, อตฺตนา กเตน, ภเนฺต, เทวทโตฺต กปฺปํ นิรเย ปจฺจติ, ทุกฺขปริยนฺตการโก สตฺถา น กิญฺจิ อปุญฺญํ อาปชฺชตี’’ติฯ ‘‘อิมมฺปิ โข, ตฺวํ มหาราช, การณํ อตฺถโต สมฺปฎิจฺฉ, เยน การเณน ภควา เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิฯ

    ‘‘Pāṇupetaṃ saraṇamagamāsi. Devadatto, mahārāja, cha koṭṭhāse kate kappe atikkante paṭhamakoṭṭhāse saṅghaṃ bhindi, pañca koṭṭhāse niraye paccitvā tato muccitvā aṭṭhissaro nāma paccekabuddho bhavissati. Api nu kho so, mahārāja, bhagavā evaṃ kārī devadattassa kiccakārī assā’’ti? ‘‘Sabbadado, bhante nāgasena, tathāgato devadattassa, yaṃ tathāgato devadattaṃ paccekabodhiṃ pāpessati, kiṃ tathāgatena devadattassa akataṃ nāma atthī’’ti? ‘‘Yaṃ pana, mahārāja, devadatto saṅghaṃ bhinditvā niraye dukkhavedanaṃ vedayati, api nu kho bhagavā tatonidānaṃ kiñci apuññaṃ āpajjeyyā’’ti? ‘‘Na hi, bhante, attanā katena, bhante, devadatto kappaṃ niraye paccati, dukkhapariyantakārako satthā na kiñci apuññaṃ āpajjatī’’ti. ‘‘Imampi kho, tvaṃ mahārāja, kāraṇaṃ atthato sampaṭiccha, yena kāraṇena bhagavā devadattaṃ pabbājesi.

    ‘‘อปรมฺปิ, มหาราช, อุตฺตริํ การณํ สุโณหิ, เยน การเณน ภควา เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิ ฯ ยถา, มหาราช, กุสโล ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต วาตปิตฺตเสมฺหสนฺนิปาตอุตุปริณามวิสมปริหารโอปกฺกมิโกปกฺกนฺตํ ปูติกุณปทุคฺคนฺธาภิสญฺฉนฺนํ อโนฺตสลฺลํ สุสิรคตํ ปุพฺพรุหิรสมฺปุณฺณํ วณํ วูปสเมโนฺต วณมุขํ กกฺขฬติขิณขารกฎุเกน เภสเชฺชน อนุลิมฺปติ ปริปจฺจนาย, ปริปจฺจิตฺวา มุทุภาวมุปคตํ สเตฺถน วิกนฺตยิตฺวา ฑหติ สลากาย, ทเฑฺฒ ขารลวณํ เทติ, เภสเชฺชน อนุลิมฺปติ วณรุหนาย พฺยาธิตสฺส โสตฺถิภาวมนุปฺปตฺติยา, อปิ นุ โข โส, มหาราช, ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต อหิตจิโตฺต เภสเชฺชน อนุลิมฺปติ, สเตฺถน วิกเนฺตติ, ฑหติ สลากาย, ขารลวณํ เทตี’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, หิตจิโตฺต โสตฺถิกาโม ตานิ กิริยานิ กโรตี’’ติฯ ‘‘ยา ปนสฺส เภสชฺชกิริยากรเณน อุปฺปนฺนา ทุกฺขเวทนา, ตโตนิทานํ โส ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต กิญฺจิ อปุญฺญํ อาปเชฺชยฺยา’’ติ? ‘‘หิตจิโตฺต, ภเนฺต, โสตฺถิกาโม ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต ตานิ กิริยานิ กโรติ, กิํ โส ตโตนิทานํ อปุญฺญํ อาปเชฺชยฺย, สคฺคคามี โส, ภเนฺต, ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, การุเญฺญน ภควา เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิ ทุกฺขปริมุตฺติยาฯ

    ‘‘Aparampi, mahārāja, uttariṃ kāraṇaṃ suṇohi, yena kāraṇena bhagavā devadattaṃ pabbājesi . Yathā, mahārāja, kusalo bhisakko sallakatto vātapittasemhasannipātautupariṇāmavisamaparihāraopakkamikopakkantaṃ pūtikuṇapaduggandhābhisañchannaṃ antosallaṃ susiragataṃ pubbaruhirasampuṇṇaṃ vaṇaṃ vūpasamento vaṇamukhaṃ kakkhaḷatikhiṇakhārakaṭukena bhesajjena anulimpati paripaccanāya, paripaccitvā mudubhāvamupagataṃ satthena vikantayitvā ḍahati salākāya, daḍḍhe khāralavaṇaṃ deti, bhesajjena anulimpati vaṇaruhanāya byādhitassa sotthibhāvamanuppattiyā, api nu kho so, mahārāja, bhisakko sallakatto ahitacitto bhesajjena anulimpati, satthena vikanteti, ḍahati salākāya, khāralavaṇaṃ detī’’ti? ‘‘Na hi, bhante, hitacitto sotthikāmo tāni kiriyāni karotī’’ti. ‘‘Yā panassa bhesajjakiriyākaraṇena uppannā dukkhavedanā, tatonidānaṃ so bhisakko sallakatto kiñci apuññaṃ āpajjeyyā’’ti? ‘‘Hitacitto, bhante, sotthikāmo bhisakko sallakatto tāni kiriyāni karoti, kiṃ so tatonidānaṃ apuññaṃ āpajjeyya, saggagāmī so, bhante, bhisakko sallakatto’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, kāruññena bhagavā devadattaṃ pabbājesi dukkhaparimuttiyā.

    ‘‘อปรมฺปิ, มหาราช, อุตฺตริํ การณํ สุโณหิ, เยน การเณน ภควา เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิฯ ยถา, มหาราช, ปุริโส กณฺฎเกน วิโทฺธ อสฺส, อถญฺญตโร ปุริโส ตสฺส หิตกาโม โสตฺถิกาโม ติเณฺหน กณฺฎเกนวา สตฺถมุเขน วา สมนฺตโต ฉินฺทิตฺวา ปคฺฆรเนฺตน โลหิเตน ตํ กณฺฎกํ นีหเรยฺย, อปิ นุ โข โส, มหาราช, ปุริโส อหิตกาโม ตํ กณฺฎกํ นีหรตี’’ติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, หิตกาโม โส, ภเนฺต, ปุริโส โสตฺถิกาโม ตํ กณฺฎกํ นีหรติฯ สเจ โส, ภเนฺต, ตํ กณฺฎกํ น นีหเรยฺย, มรณํ วา โส เตน ปาปุเณยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺข’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคโต การุเญฺญน เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิ ทุกฺขปริมุตฺติยาฯ สเจ มหาราช, ภควา เทวทตฺตํ น ปพฺพาเชยฺย, กปฺปโกฎิสตสหสฺสมฺปิ เทวทโตฺต ภวปรมฺปราย นิรเย ปเจฺจยฺยา’’ติฯ

    ‘‘Aparampi, mahārāja, uttariṃ kāraṇaṃ suṇohi, yena kāraṇena bhagavā devadattaṃ pabbājesi. Yathā, mahārāja, puriso kaṇṭakena viddho assa, athaññataro puriso tassa hitakāmo sotthikāmo tiṇhena kaṇṭakenavā satthamukhena vā samantato chinditvā paggharantena lohitena taṃ kaṇṭakaṃ nīhareyya, api nu kho so, mahārāja, puriso ahitakāmo taṃ kaṇṭakaṃ nīharatī’’ti? ‘‘Na hi, bhante, hitakāmo so, bhante, puriso sotthikāmo taṃ kaṇṭakaṃ nīharati. Sace so, bhante, taṃ kaṇṭakaṃ na nīhareyya, maraṇaṃ vā so tena pāpuṇeyya maraṇamattaṃ vā dukkha’’nti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, tathāgato kāruññena devadattaṃ pabbājesi dukkhaparimuttiyā. Sace mahārāja, bhagavā devadattaṃ na pabbājeyya, kappakoṭisatasahassampi devadatto bhavaparamparāya niraye pacceyyā’’ti.

    ‘‘อนุโสตคามิํ, ภเนฺต นาคเสน, เทวทตฺตํ ตถาคโต ปฎิโสตํ ปาเปสิ, วิปนฺถปฎิปนฺนํ เทวทตฺตํ ปเนฺถ ปฎิปาเทสิ, ปปาเต ปติตสฺส เทวทตฺตสฺส ปติฎฺฐํ อทาสิ, วิสมคตํ เทวทตฺตํ ตถาคโต สมํ อาโรเปสิ, อิเม จ, ภเนฺต นาคเสน, เหตู อิมานิ จ การณานิ น สกฺกา อเญฺญน สนฺทเสฺสตุํ อญฺญตฺร ตวาทิเสน พุทฺธิมตา’’ติฯ

    ‘‘Anusotagāmiṃ, bhante nāgasena, devadattaṃ tathāgato paṭisotaṃ pāpesi, vipanthapaṭipannaṃ devadattaṃ panthe paṭipādesi, papāte patitassa devadattassa patiṭṭhaṃ adāsi, visamagataṃ devadattaṃ tathāgato samaṃ āropesi, ime ca, bhante nāgasena, hetū imāni ca kāraṇāni na sakkā aññena sandassetuṃ aññatra tavādisena buddhimatā’’ti.

    เทวทตฺตปพฺพชฺชปโญฺห ตติโยฯ

    Devadattapabbajjapañho tatiyo.







    Footnotes:
    1. กิมฺพิโล (สี. ปี.) ม. นิ. ๒.๑๖๖ ปสฺสิตพฺพํ
    2. kimbilo (sī. pī.) ma. ni. 2.166 passitabbaṃ
    3. อปราปริยกมฺมํ (สี. สฺยา. ปี.)
    4. aparāpariyakammaṃ (sī. syā. pī.)

    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact