Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๖. เทวธมฺมชาตกวณฺณนา
6. Devadhammajātakavaṇṇanā
หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนาติ อิทํ ภควา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ พหุภณฺฑิกํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิวาสี กิเรโก กุฎุมฺพิโก ภริยาย กาลกตาย ปพฺพชิฯ โส ปพฺพชโนฺต อตฺตโน ปริเวณญฺจ อคฺคิสาลญฺจ ภณฺฑคพฺภญฺจ กาเรตฺวา ภณฺฑคพฺภํ สปฺปิตณฺฑุลาทีหิ ปูเรตฺวา ปพฺพชิฯ ปพฺพชิตฺวา จ ปน อตฺตโน ทาเส ปโกฺกสาเปตฺวา ยถารุจิตํ อาหารํ ปจาเปตฺวา ภุญฺชติ, พหุปริกฺขาโร จ อโหสิ , รตฺติํ อญฺญํ นิวาสนปารุปนํ โหติ, ทิวา อญฺญํฯ วิหารปจฺจเนฺต วสติฯ ตเสฺสกทิวสํ จีวรปจฺจตฺถรณาทีนิ นีหริตฺวา ปริเวเณ ปตฺถริตฺวา สุกฺขาเปนฺตสฺส สมฺพหุลา ชานปทา ภิกฺขู เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺตา ปริเวณํ คนฺตฺวา จีวราทีนิ ทิสฺวา ‘‘กสฺสิมานี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส ‘‘มยฺหํ, อาวุโส’’ติ อาหฯ ‘‘อาวุโส, อิทมฺปิ จีวรํ, อิทมฺปิ นิวาสนํ, อิทมฺปิ ปจฺจตฺถรณํ, สพฺพํ ตุยฺหเมวา’’ติ? ‘‘อาม มยฺหเมวา’’ติฯ ‘‘อาวุโส ภควตา ตีณิ จีวรานิ อนุญฺญาตานิ, ตฺวํ เอวํ อปฺปิจฺฉสฺส พุทฺธสฺส สาสเน ปพฺพชิตฺวา เอวํ พหุปริกฺขาโร ชาโต, เอหิ ตํ ทสพลสฺส สนฺติกํ เนสฺสามา’’ติ ตํ อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ อคมํสุฯ
Hiriottappasampannāti idaṃ bhagavā jetavane viharanto aññataraṃ bahubhaṇḍikaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Sāvatthivāsī kireko kuṭumbiko bhariyāya kālakatāya pabbaji. So pabbajanto attano pariveṇañca aggisālañca bhaṇḍagabbhañca kāretvā bhaṇḍagabbhaṃ sappitaṇḍulādīhi pūretvā pabbaji. Pabbajitvā ca pana attano dāse pakkosāpetvā yathārucitaṃ āhāraṃ pacāpetvā bhuñjati, bahuparikkhāro ca ahosi , rattiṃ aññaṃ nivāsanapārupanaṃ hoti, divā aññaṃ. Vihārapaccante vasati. Tassekadivasaṃ cīvarapaccattharaṇādīni nīharitvā pariveṇe pattharitvā sukkhāpentassa sambahulā jānapadā bhikkhū senāsanacārikaṃ āhiṇḍantā pariveṇaṃ gantvā cīvarādīni disvā ‘‘kassimānī’’ti pucchiṃsu. So ‘‘mayhaṃ, āvuso’’ti āha. ‘‘Āvuso, idampi cīvaraṃ, idampi nivāsanaṃ, idampi paccattharaṇaṃ, sabbaṃ tuyhamevā’’ti? ‘‘Āma mayhamevā’’ti. ‘‘Āvuso bhagavatā tīṇi cīvarāni anuññātāni, tvaṃ evaṃ appicchassa buddhassa sāsane pabbajitvā evaṃ bahuparikkhāro jāto, ehi taṃ dasabalassa santikaṃ nessāmā’’ti taṃ ādāya satthu santikaṃ agamaṃsu.
สตฺถา ทิสฺวาว ‘‘กิํ นุ โข, ภิกฺขเว , อนิจฺฉมานกํเยว ภิกฺขุํ คณฺหิตฺวา อาคตตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘ภเนฺต, อยํ ภิกฺขุ พหุภโณฺฑ พหุปริกฺขาโร’’ติฯ ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ พหุภโณฺฑ’’ติ? ‘‘สจฺจํ, ภควา’’ติฯ ‘‘กสฺมา ปน ตฺวํ ภิกฺขุ พหุภโณฺฑ ชาโต’’? ‘‘นนุ อหํ อปฺปิจฺฉตาย สนฺตุฎฺฐิตาย ปวิเวกสฺส วีริยารมฺภสฺส วณฺณํ วทามี’’ติฯ โส สตฺถุ วจนํ สุตฺวา กุปิโต ‘‘อิมินา ทานิ นีหาเรน จริสฺสามี’’ติ ปารุปนํ ฉเฑฺฑตฺวา ปริสมเชฺฌ เอกจีวโร อฎฺฐาสิฯ
Satthā disvāva ‘‘kiṃ nu kho, bhikkhave , anicchamānakaṃyeva bhikkhuṃ gaṇhitvā āgatatthā’’ti āha. ‘‘Bhante, ayaṃ bhikkhu bahubhaṇḍo bahuparikkhāro’’ti. ‘‘Saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu bahubhaṇḍo’’ti? ‘‘Saccaṃ, bhagavā’’ti. ‘‘Kasmā pana tvaṃ bhikkhu bahubhaṇḍo jāto’’? ‘‘Nanu ahaṃ appicchatāya santuṭṭhitāya pavivekassa vīriyārambhassa vaṇṇaṃ vadāmī’’ti. So satthu vacanaṃ sutvā kupito ‘‘iminā dāni nīhārena carissāmī’’ti pārupanaṃ chaḍḍetvā parisamajjhe ekacīvaro aṭṭhāsi.
อถ นํ สตฺถา อุปตฺถมฺภยมาโน ‘‘นนุ ตฺวํ ภิกฺขุ ปุเพฺพ หิโรตฺตปฺปคเวสโก ทกรกฺขสกาเลปิ หิโรตฺตปฺปํ คเวสมาโน ทฺวาทส สํวจฺฉรานิ วิหาสิ, อถ กสฺมา อิทานิ เอวํ ครุเก พุทฺธสาสเน ปพฺพชิตฺวา จตุปริสมเชฺฌ ปารุปนํ ฉเฑฺฑตฺวา หิโรตฺตปฺปํ ปหาย ฐิโตสี’’ติ? โส สตฺถุ วจนํ สุตฺวา หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา ตํ จีวรํ ปารุปิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ภิกฺขู ตสฺสตฺถสฺส อาวิภาวตฺถํ ภควนฺตํ ยาจิํสุ, ภควา ภวนฺตเรน ปฎิจฺฉนฺนํ การณํ ปากฎํ อกาสิฯ
Atha naṃ satthā upatthambhayamāno ‘‘nanu tvaṃ bhikkhu pubbe hirottappagavesako dakarakkhasakālepi hirottappaṃ gavesamāno dvādasa saṃvaccharāni vihāsi, atha kasmā idāni evaṃ garuke buddhasāsane pabbajitvā catuparisamajjhe pārupanaṃ chaḍḍetvā hirottappaṃ pahāya ṭhitosī’’ti? So satthu vacanaṃ sutvā hirottappaṃ paccupaṭṭhāpetvā taṃ cīvaraṃ pārupitvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Bhikkhū tassatthassa āvibhāvatthaṃ bhagavantaṃ yāciṃsu, bhagavā bhavantarena paṭicchannaṃ kāraṇaṃ pākaṭaṃ akāsi.
อตีเต กาสิรเฎฺฐ พาราณสิยํ พฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส ‘‘มหิสาสกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ ตสฺส อาธาวิตฺวา ปริธาวิตฺวา วิจรณกาเล รโญฺญ อโญฺญปิ ปุโตฺต ชาโต, ตสฺส ‘‘จนฺทกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ ตสฺส ปน อาธาวิตฺวา ปริธาวิตฺวา วิจรณกาเล โพธิสตฺตสฺส มาตา กาลมกาสิ, ราชา อญฺญํ อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สา รโญฺญ ปิยา อโหสิ มนาปา, สาปิ สํวาสมนฺวาย เอกํ ปุตฺตํ วิชายิ, ‘‘สูริยกุมาโร’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ ราชา ปุตฺตํ ทิสฺวา ตุฎฺฐจิโตฺต ‘‘ภเทฺท, ปุตฺตสฺส เต วรํ ทมฺมี’’ติ อาหฯ เทวี, วรํ อิจฺฉิตกาเล คเหตพฺพํ กตฺวา ฐเปสิฯ สา ปุเตฺต วยปฺปเตฺต ราชานํ อาห – ‘‘เทเวน มยฺหํ ปุตฺตสฺส ชาตกาเล วโร ทิโนฺน, ปุตฺตสฺส เม รชฺชํ เทหี’’ติฯ ราชา ‘‘มยฺหํ เทฺว ปุตฺตา อคฺคิกฺขนฺธา วิย ชลมานา วิจรนฺติ, น สกฺกา ตว ปุตฺตสฺส รชฺชํ ทาตุ’’นฺติ ปฎิกฺขิปิตฺวาปิ ตํ ปุนปฺปุนํ ยาจมานเมว ทิสฺวา ‘‘อยํ มยฺหํ ปุตฺตานํ ปาปกมฺปิ จิเนฺตยฺยา’’ติ ปุเตฺต ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘ตาตา, อหํ สูริยกุมารสฺส ชาตกาเล วรํ อทาสิํฯ อิทานิสฺส มาตา รชฺชํ ยาจติ, อหํ ตสฺส น ทาตุกาโม, มาตุคาโม นาม ปาโป, ตุมฺหากํ ปาปกมฺปิ จิเนฺตยฺย, ตุเมฺห อรญฺญํ ปวิสิตฺวา มม อจฺจเยน กุลสนฺตเก นคเร รชฺชํ กเรยฺยาถา’’ติ โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา สีเส จุมฺพิตฺวา อุโยฺยเชสิฯ เต ปิตรํ วนฺทิตฺวา ปาสาทา โอตรเนฺต ราชงฺคเณ กีฬมาโน สูริยกุมาโร ทิสฺวา ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘อหมฺปิ ภาติเกหิ สทฺธิํ คมิสฺสามี’’ติ เตหิ สทฺธิํเยว นิกฺขมิฯ เต หิมวนฺตํ ปวิสิํสุฯ
Atīte kāsiraṭṭhe bārāṇasiyaṃ brahmadatto nāma rājā ahosi. Tadā bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Tassa nāmaggahaṇadivase ‘‘mahisāsakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. Tassa ādhāvitvā paridhāvitvā vicaraṇakāle rañño aññopi putto jāto, tassa ‘‘candakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. Tassa pana ādhāvitvā paridhāvitvā vicaraṇakāle bodhisattassa mātā kālamakāsi, rājā aññaṃ aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Sā rañño piyā ahosi manāpā, sāpi saṃvāsamanvāya ekaṃ puttaṃ vijāyi, ‘‘sūriyakumāro’’tissa nāmaṃ akaṃsu. Rājā puttaṃ disvā tuṭṭhacitto ‘‘bhadde, puttassa te varaṃ dammī’’ti āha. Devī, varaṃ icchitakāle gahetabbaṃ katvā ṭhapesi. Sā putte vayappatte rājānaṃ āha – ‘‘devena mayhaṃ puttassa jātakāle varo dinno, puttassa me rajjaṃ dehī’’ti. Rājā ‘‘mayhaṃ dve puttā aggikkhandhā viya jalamānā vicaranti, na sakkā tava puttassa rajjaṃ dātu’’nti paṭikkhipitvāpi taṃ punappunaṃ yācamānameva disvā ‘‘ayaṃ mayhaṃ puttānaṃ pāpakampi cinteyyā’’ti putte pakkosāpetvā āha – ‘‘tātā, ahaṃ sūriyakumārassa jātakāle varaṃ adāsiṃ. Idānissa mātā rajjaṃ yācati, ahaṃ tassa na dātukāmo, mātugāmo nāma pāpo, tumhākaṃ pāpakampi cinteyya, tumhe araññaṃ pavisitvā mama accayena kulasantake nagare rajjaṃ kareyyāthā’’ti roditvā kanditvā sīse cumbitvā uyyojesi. Te pitaraṃ vanditvā pāsādā otarante rājaṅgaṇe kīḷamāno sūriyakumāro disvā taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘ahampi bhātikehi saddhiṃ gamissāmī’’ti tehi saddhiṃyeva nikkhami. Te himavantaṃ pavisiṃsu.
โพธิสโตฺต มคฺคา โอกฺกมฺม รุกฺขมูเล นิสีทิตฺวา สูริยกุมารํ อามเนฺตสิ ‘‘ตาต สูริยกุมาร, เอตํ สรํ คนฺตฺวา นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ ปทุมินิปเณฺณหิ อมฺหากมฺปิ ปานียํ อาเนหี’’ติฯ ตํ ปน สรํ เวสฺสวณสฺส สนฺติกา เอเกน ทกรกฺขเสน ลทฺธํ โหติ, เวสฺสวโณ จ ตํ อาห – ‘‘ฐเปตฺวา เทวธมฺมชานนเก เย อเญฺญ อิมํ สรํ โอตรนฺติ, เต ขาทิตุํ ลภสิฯ อโนติเณฺณ น ลภสี’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย โส รกฺขโส เย ตํ สรํ โอตรนฺติ, เต เทวธเมฺม ปุจฺฉิตฺวา เย น ชานนฺติ, เต ขาทติฯ อถ โข สูริยกุมาโร ตํ สรํ คนฺตฺวา อวีมํสิตฺวาว โอตริฯ อถ นํ โส รกฺขโส คเหตฺวา ‘‘เทวธเมฺม ชานาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘เทวธมฺมา นาม จนฺทิมสูริยา’’ติ อาหฯ อถ นํ ‘‘ตฺวํ เทวธเมฺม น ชานาสี’’ติ วตฺวา อุทกํ ปเวเสตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โพธิสโตฺตปิ ตํ อติจิรายนฺตํ ทิสฺวา จนฺทกุมารํ เปเสสิฯ รกฺขโส ตมฺปิ คเหตฺวา ‘‘เทวธเมฺม ชานาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม ชานามิ, เทวธมฺมา นาม จตโสฺส ทิสา’’ติฯ รกฺขโส ‘‘น ตฺวํ เทวธเมฺม ชานาสี’’ติ ตมฺปิ คเหตฺวา ตเตฺถว ฐเปสิฯ
Bodhisatto maggā okkamma rukkhamūle nisīditvā sūriyakumāraṃ āmantesi ‘‘tāta sūriyakumāra, etaṃ saraṃ gantvā nhatvā ca pivitvā ca paduminipaṇṇehi amhākampi pānīyaṃ ānehī’’ti. Taṃ pana saraṃ vessavaṇassa santikā ekena dakarakkhasena laddhaṃ hoti, vessavaṇo ca taṃ āha – ‘‘ṭhapetvā devadhammajānanake ye aññe imaṃ saraṃ otaranti, te khādituṃ labhasi. Anotiṇṇe na labhasī’’ti. Tato paṭṭhāya so rakkhaso ye taṃ saraṃ otaranti, te devadhamme pucchitvā ye na jānanti, te khādati. Atha kho sūriyakumāro taṃ saraṃ gantvā avīmaṃsitvāva otari. Atha naṃ so rakkhaso gahetvā ‘‘devadhamme jānāsī’’ti pucchi. So ‘‘devadhammā nāma candimasūriyā’’ti āha. Atha naṃ ‘‘tvaṃ devadhamme na jānāsī’’ti vatvā udakaṃ pavesetvā attano vasanaṭṭhāne ṭhapesi. Bodhisattopi taṃ aticirāyantaṃ disvā candakumāraṃ pesesi. Rakkhaso tampi gahetvā ‘‘devadhamme jānāsī’’ti pucchi. ‘‘Āma jānāmi, devadhammā nāma catasso disā’’ti. Rakkhaso ‘‘na tvaṃ devadhamme jānāsī’’ti tampi gahetvā tattheva ṭhapesi.
โพธิสโตฺต ตสฺมิมฺปิ จิรายเนฺต ‘‘เอเกน อนฺตราเยน ภวิตพฺพ’’นฺติ สยํ ตตฺถ คนฺตฺวา ทฺวินฺนมฺปิ โอตรณปทวฬญฺชํ ทิสฺวา ‘‘รกฺขสปริคฺคหิเตน อิมินา สเรน ภวิตพฺพ’’นฺติ ขคฺคํ สนฺนยฺหิตฺวา ธนุํ คเหตฺวา อฎฺฐาสิฯ ทกรกฺขโส โพธิสตฺตํ อุทกํ อโนตรนฺตํ ทิสฺวา วนกมฺมิกปุริโส วิย หุตฺวา โพธิสตฺตํ อาห – ‘‘โภ, ปุริส, ตฺวํ มคฺคกิลโนฺต กสฺมา อิมํ สรํ โอตริตฺวา นฺหตฺวา ปิวิตฺวา ภิสมุฬาลํ ขาทิตฺวา ปุปฺผานิ ปิฬนฺธิตฺวา ยถาสุขํ น คจฺฉสี’’ติ? โพธิสโตฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘เอโส ยโกฺข ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘ตยา เม ภาติกา คหิตา’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, คหิตา’’ติฯ ‘‘กิํ การณา’’ติ? ‘‘อหํ อิมํ สรํ โอติณฺณเก ลภามี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน สเพฺพว ลภสี’’ติ? ‘‘เย เทวธเมฺม ชานนฺติ, เต ฐเปตฺวา อวเสเส ลภามี’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน เต เทวธเมฺมหิ อโตฺถ’’ติ? ‘‘อาม, อตฺถี’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ อหํ เต เทวธเมฺม กเถสฺสามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ กเถหิ, อหํ เทวธเมฺม สุณิสฺสามี’’ติฯ โพธิสโตฺต อาห ‘‘อหํ เทวธเมฺม กเถยฺยํ, กิลิฎฺฐคโตฺต ปนมฺหี’’ติฯ ยโกฺข โพธิสตฺตํ นฺหาเปตฺวา โภชนํ โภเชตฺวา ปานียํ ปาเยตฺวา ปุปฺผานิ ปิฬนฺธาเปตฺวา คเนฺธหิ วิลิมฺปาเปตฺวา อลงฺกตมณฺฑปมเชฺฌ ปลฺลงฺกํ อตฺถริตฺวา อทาสิฯ
Bodhisatto tasmimpi cirāyante ‘‘ekena antarāyena bhavitabba’’nti sayaṃ tattha gantvā dvinnampi otaraṇapadavaḷañjaṃ disvā ‘‘rakkhasapariggahitena iminā sarena bhavitabba’’nti khaggaṃ sannayhitvā dhanuṃ gahetvā aṭṭhāsi. Dakarakkhaso bodhisattaṃ udakaṃ anotarantaṃ disvā vanakammikapuriso viya hutvā bodhisattaṃ āha – ‘‘bho, purisa, tvaṃ maggakilanto kasmā imaṃ saraṃ otaritvā nhatvā pivitvā bhisamuḷālaṃ khāditvā pupphāni piḷandhitvā yathāsukhaṃ na gacchasī’’ti? Bodhisatto taṃ disvā ‘‘eso yakkho bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘tayā me bhātikā gahitā’’ti āha. ‘‘Āma, gahitā’’ti. ‘‘Kiṃ kāraṇā’’ti? ‘‘Ahaṃ imaṃ saraṃ otiṇṇake labhāmī’’ti. ‘‘Kiṃ pana sabbeva labhasī’’ti? ‘‘Ye devadhamme jānanti, te ṭhapetvā avasese labhāmī’’ti. ‘‘Atthi pana te devadhammehi attho’’ti? ‘‘Āma, atthī’’ti. ‘‘Yadi evaṃ ahaṃ te devadhamme kathessāmī’’ti. ‘‘Tena hi kathehi, ahaṃ devadhamme suṇissāmī’’ti. Bodhisatto āha ‘‘ahaṃ devadhamme katheyyaṃ, kiliṭṭhagatto panamhī’’ti. Yakkho bodhisattaṃ nhāpetvā bhojanaṃ bhojetvā pānīyaṃ pāyetvā pupphāni piḷandhāpetvā gandhehi vilimpāpetvā alaṅkatamaṇḍapamajjhe pallaṅkaṃ attharitvā adāsi.
โพธิสโตฺต อาสเน นิสีทิตฺวา ยกฺขํ ปาทมูเล นิสีทาเปตฺวา ‘‘เตน หิ โอหิตโสโต สกฺกจฺจํ เทวธเมฺม สุณาหี’’ติ อิมํ คาถมาห –
Bodhisatto āsane nisīditvā yakkhaṃ pādamūle nisīdāpetvā ‘‘tena hi ohitasoto sakkaccaṃ devadhamme suṇāhī’’ti imaṃ gāthamāha –
๖.
6.
‘‘หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา, สุกฺกธมฺมสมาหิตา;
‘‘Hiriottappasampannā, sukkadhammasamāhitā;
สโนฺต สปฺปุริสา โลเก, เทวธมฺมาติ วุจฺจเร’’ติฯ
Santo sappurisā loke, devadhammāti vuccare’’ti.
ตตฺถ หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนาติ หิริยา จ โอตฺตเปฺปน จ สมนฺนาคตาฯ เตสุ กายทุจฺจริตาทีหิ หิริยตีติ หิรี, ลชฺชาเยตํ อธิวจนํฯ เตหิเยว โอตฺตปฺปตีติ โอตฺตปฺปํ, ปาปโต อุเพฺพคเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตตฺถ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานา หิรี, พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ โอตฺตปฺปํฯ อตฺตาธิปเตยฺยา หิรี, โลกาธิปเตยฺยํ โอตฺตปฺปํฯ ลชฺชาสภาวสณฺฐิตา หิรี, ภยสภาวสณฺฐิตํ โอตฺตปฺปํฯ สปฺปติสฺสวลกฺขณา หิรี, วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณํ โอตฺตปฺปํฯ
Tattha hiriottappasampannāti hiriyā ca ottappena ca samannāgatā. Tesu kāyaduccaritādīhi hiriyatīti hirī, lajjāyetaṃ adhivacanaṃ. Tehiyeva ottappatīti ottappaṃ, pāpato ubbegassetaṃ adhivacanaṃ. Tattha ajjhattasamuṭṭhānā hirī, bahiddhāsamuṭṭhānaṃ ottappaṃ. Attādhipateyyā hirī, lokādhipateyyaṃ ottappaṃ. Lajjāsabhāvasaṇṭhitā hirī, bhayasabhāvasaṇṭhitaṃ ottappaṃ. Sappatissavalakkhaṇā hirī, vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇaṃ ottappaṃ.
ตตฺถ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานํ หิริํ จตูหิ การเณหิ สมุฎฺฐาเปติ – ชาติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา วยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา สูรภาวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา พาหุสจฺจํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ฯ กถํ? ‘‘ปาปกรณํ นาเมตํ น ชาติสมฺปนฺนานํ กมฺมํ, หีนชจฺจานํ เกวฎฺฎาทีนํ กมฺมํ, มาทิสสฺส ชาติสมฺปนฺนสฺส อิทํ กมฺมํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ ตาว ชาติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาณาติปาตาทิปาปํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตถา ‘‘ปาปกรณํ นาเมตํ ทหเรหิ กตฺตพฺพํ กมฺมํ, มาทิสสฺส วเย ฐิตสฺส อิทํ กมฺมํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ วยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาณาติปาตาทิปาปํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตถา ‘‘ปาปกมฺมํ นาเมตํ ทุพฺพลชาติกานํ กมฺมํ, มาทิสสฺส สูรภาวสมฺปนฺนสฺส อิทํ กมฺมํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ สูรภาวํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาณาติปาตาทิปาปํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตถา ‘‘ปาปกมฺมํ นาเมตํ อนฺธพาลานํ กมฺมํ, น ปณฺฑิตานํ, มาทิสสฺส ปณฺฑิตสฺส พหุสฺสุตสฺส อิทํ กมฺมํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ เอวํ พาหุสจฺจํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปาณาติปาตาทิปาปํ อกโรโนฺต หิริํ สมุฎฺฐาเปติฯ เอวํ อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานํ หิริํ จตูหิ การเณหิ สมุฎฺฐาเปติฯ สมุฎฺฐาเปตฺวา จ ปน อตฺตโน จิเตฺต หิริํ ปเวเสตฺวา ปาปกมฺมํ น กโรติฯ เอวํ หิรี อชฺฌตฺตสมุฎฺฐานา นาม โหติฯ
Tattha ajjhattasamuṭṭhānaṃ hiriṃ catūhi kāraṇehi samuṭṭhāpeti – jātiṃ paccavekkhitvā vayaṃ paccavekkhitvā sūrabhāvaṃ paccavekkhitvā bāhusaccaṃ paccavekkhitvā . Kathaṃ? ‘‘Pāpakaraṇaṃ nāmetaṃ na jātisampannānaṃ kammaṃ, hīnajaccānaṃ kevaṭṭādīnaṃ kammaṃ, mādisassa jātisampannassa idaṃ kammaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ tāva jātiṃ paccavekkhitvā pāṇātipātādipāpaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Tathā ‘‘pāpakaraṇaṃ nāmetaṃ daharehi kattabbaṃ kammaṃ, mādisassa vaye ṭhitassa idaṃ kammaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ vayaṃ paccavekkhitvā pāṇātipātādipāpaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Tathā ‘‘pāpakammaṃ nāmetaṃ dubbalajātikānaṃ kammaṃ, mādisassa sūrabhāvasampannassa idaṃ kammaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ sūrabhāvaṃ paccavekkhitvā pāṇātipātādipāpaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Tathā ‘‘pāpakammaṃ nāmetaṃ andhabālānaṃ kammaṃ, na paṇḍitānaṃ, mādisassa paṇḍitassa bahussutassa idaṃ kammaṃ kātuṃ na yutta’’nti evaṃ bāhusaccaṃ paccavekkhitvā pāṇātipātādipāpaṃ akaronto hiriṃ samuṭṭhāpeti. Evaṃ ajjhattasamuṭṭhānaṃ hiriṃ catūhi kāraṇehi samuṭṭhāpeti. Samuṭṭhāpetvā ca pana attano citte hiriṃ pavesetvā pāpakammaṃ na karoti. Evaṃ hirī ajjhattasamuṭṭhānā nāma hoti.
กถํ โอตฺตปฺปํ พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ นาม? ‘‘สเจ ตฺวํ ปาปกมฺมํ กริสฺสสิ, จตูสุ ปริสาสุ ครหปฺปโตฺต ภวิสฺสสิฯ
Kathaṃ ottappaṃ bahiddhāsamuṭṭhānaṃ nāma? ‘‘Sace tvaṃ pāpakammaṃ karissasi, catūsu parisāsu garahappatto bhavissasi.
‘‘ครหิสฺสนฺติ ตํ วิญฺญู, อสุจิํ นาคริโก ยถา;
‘‘Garahissanti taṃ viññū, asuciṃ nāgariko yathā;
วชฺชิโต สีลวเนฺตหิ, กถํ ภิกฺขุ กริสฺสสี’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑ พลราสิวณฺณนา) –
Vajjito sīlavantehi, kathaṃ bhikkhu karissasī’’ti. (dha. sa. aṭṭha. 1 balarāsivaṇṇanā) –
เอวํ ปจฺจเวกฺขโนฺต หิ พหิทฺธาสมุฎฺฐิเตน โอตฺตเปฺปน ปาปกมฺมํ น กโรติฯ เอวํ โอตฺตปฺปํ พหิทฺธาสมุฎฺฐานํ นาม โหติฯ
Evaṃ paccavekkhanto hi bahiddhāsamuṭṭhitena ottappena pāpakammaṃ na karoti. Evaṃ ottappaṃ bahiddhāsamuṭṭhānaṃ nāma hoti.
กถํ หิรี อตฺตาธิปเตยฺยา นาม? อิเธกโจฺจ กุลปุโตฺต อตฺตานํ อธิปติํ เชฎฺฐกํ กตฺวา ‘‘มาทิสสฺส สทฺธาปพฺพชิตสฺส พหุสฺสุตสฺส ธุตงฺคธรสฺส น ยุตฺตํ ปาปกมฺมํ กาตุ’’นฺติ ปาปํ น กโรติฯ เอวํ หิรี อตฺตาธิปเตยฺยา นาม โหติฯ เตนาห ภควา –
Kathaṃ hirī attādhipateyyā nāma? Idhekacco kulaputto attānaṃ adhipatiṃ jeṭṭhakaṃ katvā ‘‘mādisassa saddhāpabbajitassa bahussutassa dhutaṅgadharassa na yuttaṃ pāpakammaṃ kātu’’nti pāpaṃ na karoti. Evaṃ hirī attādhipateyyā nāma hoti. Tenāha bhagavā –
‘‘โส อตฺตานํเยว อธิปติํ กตฺวา อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติฯ สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติฯ สุทฺธมตฺตานํ ปริหรตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๔๐)ฯ
‘‘So attānaṃyeva adhipatiṃ katvā akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti. Sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti. Suddhamattānaṃ pariharatī’’ti (a. ni. 3.40).
กถํ โอตฺตปฺปํ โลกาธิปเตยฺยํ นาม? อิเธกโจฺจ กุลปุโตฺต โลกํ อธิปติํ เชฎฺฐกํ กตฺวา ปาปกมฺมํ น กโรติฯ ยถาห –
Kathaṃ ottappaṃ lokādhipateyyaṃ nāma? Idhekacco kulaputto lokaṃ adhipatiṃ jeṭṭhakaṃ katvā pāpakammaṃ na karoti. Yathāha –
‘‘มหา โข ปนายํ โลกสนฺนิวาโสฯ มหนฺตสฺมิํ โข ปน โลกสนฺนิวาเส สนฺติ สมณพฺราหฺมณา อิทฺธิมโนฺต ทิพฺพจกฺขุกา ปรจิตฺตวิทุโน, เต ทูรโตปิ ปสฺสนฺติ, อาสนฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ, เจตสาปิ จิตฺตํ ชานนฺติ, เตปิ มํ เอวํ ชานิสฺสนฺติ ‘ปสฺสถ โภ, อิมํ กุลปุตฺตํ, สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน โวกิโณฺณ วิหรติ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติฯ
‘‘Mahā kho panāyaṃ lokasannivāso. Mahantasmiṃ kho pana lokasannivāse santi samaṇabrāhmaṇā iddhimanto dibbacakkhukā paracittaviduno, te dūratopi passanti, āsannāpi na dissanti, cetasāpi cittaṃ jānanti, tepi maṃ evaṃ jānissanti ‘passatha bho, imaṃ kulaputtaṃ, saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito samāno vokiṇṇo viharati pāpakehi akusalehi dhammehī’ti.
‘‘สนฺติ เทวตา อิทฺธิมนฺติโย ทิพฺพจกฺขุกา ปรจิตฺตวิทุนิโย, ตา ทูรโตปิ ปสฺสนฺติ, อาสนฺนาปิ น ทิสฺสนฺติ, เจตสาปิ จิตฺตํ ชานนฺติ, ตาปิ มํ เอวํ ชานิสฺสนฺติ ‘ปสฺสถ โภ, อิมํ กุลปุตฺตํ, สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต สมาโน โวกิโณฺณ วิหรติ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธเมฺมหี’ติฯ โส โลกํเยว อธิปติํ เชฎฺฐกํ กริตฺวา อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติฯ สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติฯ สุทฺธมตฺตานํ ปริหรตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๔๐)ฯ
‘‘Santi devatā iddhimantiyo dibbacakkhukā paracittaviduniyo, tā dūratopi passanti, āsannāpi na dissanti, cetasāpi cittaṃ jānanti, tāpi maṃ evaṃ jānissanti ‘passatha bho, imaṃ kulaputtaṃ, saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito samāno vokiṇṇo viharati pāpakehi akusalehi dhammehī’ti. So lokaṃyeva adhipatiṃ jeṭṭhakaṃ karitvā akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti. Sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti. Suddhamattānaṃ pariharatī’’ti (a. ni. 3.40).
เอวํ โอตฺตปฺปํ โลกาธิปเตยฺยํ นาม โหติฯ
Evaṃ ottappaṃ lokādhipateyyaṃ nāma hoti.
‘‘ลชฺชาสภาวสณฺฐิตา หิรี, ภยสภาวสณฺฐิตํ โอตฺตปฺป’’นฺติ เอตฺถ ปน ลชฺชาติ ลชฺชนากาโร, เตน สภาเวน สณฺฐิตา หิรีฯ ภยนฺติ อปายภยํ, เตน สภาเวน สณฺฐิตํ โอตฺตปฺปํฯ ตทุภยมฺปิ ปาปปริวชฺชเน ปากฎํ โหติฯ เอกโจฺจ หิ ยถา นาเมโก กุลปุโตฺต อุจฺจารปสฺสาวาทีนิ กโรโนฺต ลชฺชิตพฺพยุตฺตกํ เอกํ ทิสฺวา ลชฺชนาการปฺปโตฺต ภเวยฺย หีฬิโต, เอวเมวํ อชฺฌตฺตํ ลชฺชิธมฺมํ โอกฺกมิตฺวา ปาปกมฺมํ น กโรติฯ เอกโจฺจ อปายภยภีโต หุตฺวา ปาปกมฺมํ น กโรติฯ ตตฺริทํ โอปมฺมํ – ยถา หิ ทฺวีสุ อโยคุเฬสุ เอโก สีตโล ภเวยฺย คูถมกฺขิโต, เอโก อุโณฺห อาทิโตฺตฯ ตตฺถ ปณฺฑิโต สีตลํ คูถมกฺขิตตฺตา ชิคุจฺฉโนฺต น คณฺหาติ, อิตรํ ฑาหภเยนฯ ตตฺถ สีตลสฺส คูถมกฺขิตสฺส ชิคุจฺฉาย อคณฺหนํ วิย อชฺฌตฺตํ ลชฺชิธมฺมํ โอกฺกมิตฺวา ปาปสฺส อกรณํ, อุณฺหสฺส ฑาหภเยน อคณฺหนํ วิย อปายภเยน ปาปสฺส อกรณํ เวทิตพฺพํฯ
‘‘Lajjāsabhāvasaṇṭhitā hirī, bhayasabhāvasaṇṭhitaṃ ottappa’’nti ettha pana lajjāti lajjanākāro, tena sabhāvena saṇṭhitā hirī. Bhayanti apāyabhayaṃ, tena sabhāvena saṇṭhitaṃ ottappaṃ. Tadubhayampi pāpaparivajjane pākaṭaṃ hoti. Ekacco hi yathā nāmeko kulaputto uccārapassāvādīni karonto lajjitabbayuttakaṃ ekaṃ disvā lajjanākārappatto bhaveyya hīḷito, evamevaṃ ajjhattaṃ lajjidhammaṃ okkamitvā pāpakammaṃ na karoti. Ekacco apāyabhayabhīto hutvā pāpakammaṃ na karoti. Tatridaṃ opammaṃ – yathā hi dvīsu ayoguḷesu eko sītalo bhaveyya gūthamakkhito, eko uṇho āditto. Tattha paṇḍito sītalaṃ gūthamakkhitattā jigucchanto na gaṇhāti, itaraṃ ḍāhabhayena. Tattha sītalassa gūthamakkhitassa jigucchāya agaṇhanaṃ viya ajjhattaṃ lajjidhammaṃ okkamitvā pāpassa akaraṇaṃ, uṇhassa ḍāhabhayena agaṇhanaṃ viya apāyabhayena pāpassa akaraṇaṃ veditabbaṃ.
‘‘สปฺปติสฺสวลกฺขณา หิรี, วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณํ โอตฺตปฺป’’นฺติ อิทมฺปิ ทฺวยํ ปาปปริวชฺชเนเยว ปากฎํ โหติฯ เอกโจฺจ หิ ชาติมหตฺตปจฺจเวกฺขณา, สตฺถุมหตฺตปจฺจเวกฺขณา, ทายชฺชมหตฺตปจฺจเวกฺขณา, สพฺรหฺมจาริมหตฺตปจฺจเวกฺขณาติ จตูหิ การเณหิ สปฺปติสฺสวลกฺขณํ หิริํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ปาปํ น กโรติฯ เอกโจฺจ อตฺตานุวาทภยํ, ปรานุวาทภยํ , ทณฺฑภยํ, ทุคฺคติภยนฺติ จตูหิ การเณหิ วชฺชภีรุกภยทสฺสาวิลกฺขณํ โอตฺตปฺปํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ปาปํ น กโรติฯ ตตฺถ ชาติมหตฺตปจฺจเวกฺขณาทีนิ เจว อตฺตานุวาทภยาทีนิ จ วิตฺถาเรตฺวา กเถตพฺพานิฯ เตสํ วิตฺถาโร องฺคุตฺตรนิกายฎฺฐกถายํ วุโตฺตฯ
‘‘Sappatissavalakkhaṇā hirī, vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇaṃ ottappa’’nti idampi dvayaṃ pāpaparivajjaneyeva pākaṭaṃ hoti. Ekacco hi jātimahattapaccavekkhaṇā, satthumahattapaccavekkhaṇā, dāyajjamahattapaccavekkhaṇā, sabrahmacārimahattapaccavekkhaṇāti catūhi kāraṇehi sappatissavalakkhaṇaṃ hiriṃ samuṭṭhāpetvā pāpaṃ na karoti. Ekacco attānuvādabhayaṃ, parānuvādabhayaṃ , daṇḍabhayaṃ, duggatibhayanti catūhi kāraṇehi vajjabhīrukabhayadassāvilakkhaṇaṃ ottappaṃ samuṭṭhāpetvā pāpaṃ na karoti. Tattha jātimahattapaccavekkhaṇādīni ceva attānuvādabhayādīni ca vitthāretvā kathetabbāni. Tesaṃ vitthāro aṅguttaranikāyaṭṭhakathāyaṃ vutto.
สุกฺกธมฺมสมาหิตาติ อิทเมว หิโรตฺตปฺปํ อาทิํ กตฺวา กตฺตพฺพา กุสลา ธมฺมา สุกฺกธมฺมา นาม, เต สพฺพสงฺคาหกนเยน จตุภูมกโลกิยโลกุตฺตรธมฺมาฯ เตหิ สมาหิตา สมนฺนาคตาติ อโตฺถฯ สโนฺต สปฺปุริสา โลเกติ กายกมฺมาทีนํ สนฺตตาย สโนฺต, กตญฺญุกตเวทิตาย โสภนา ปุริสาติ สปฺปุริสาฯ โลโก ปน สงฺขารโลโก, สตฺตโลโก, โอกาสโลโก, ขนฺธโลโก, อายตนโลโก, ธาตุโลโกติ อเนกวิโธฯ ตตฺถ ‘‘เอโก โลโก สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกา…เป.… อฎฺฐารส โลกา อฎฺฐารส ธาตุโย’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๒) เอตฺถ สงฺขารโลโก วุโตฺตฯ ขนฺธโลกาทโย ตทโนฺตคธาเยวฯ ‘‘อยํ โลโก ปรโลโก, เทวโลโก มนุสฺสโลโก’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๓; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒) ปน สตฺตโลโก วุโตฺตฯ
Sukkadhammasamāhitāti idameva hirottappaṃ ādiṃ katvā kattabbā kusalā dhammā sukkadhammā nāma, te sabbasaṅgāhakanayena catubhūmakalokiyalokuttaradhammā. Tehi samāhitā samannāgatāti attho. Santo sappurisā loketi kāyakammādīnaṃ santatāya santo, kataññukataveditāya sobhanā purisāti sappurisā. Loko pana saṅkhāraloko, sattaloko, okāsaloko, khandhaloko, āyatanaloko, dhātulokoti anekavidho. Tattha ‘‘eko loko sabbe sattā āhāraṭṭhitikā…pe… aṭṭhārasa lokā aṭṭhārasa dhātuyo’’ti (paṭi. ma. 1.112) ettha saṅkhāraloko vutto. Khandhalokādayo tadantogadhāyeva. ‘‘Ayaṃ loko paraloko, devaloko manussaloko’’tiādīsu (mahāni. 3; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 2) pana sattaloko vutto.
‘‘ยาวตา จนฺทิมสูริยา, ปริหรนฺติ ทิสา ภนฺติ วิโรจมานา;
‘‘Yāvatā candimasūriyā, pariharanti disā bhanti virocamānā;
ตาว สหสฺสธา โลโก, เอตฺถ เต วตฺตเต วโส’’ติฯ (ม. นิ. ๑.๕๐๓) –
Tāva sahassadhā loko, ettha te vattate vaso’’ti. (ma. ni. 1.503) –
เอตฺถ โอกาสโลโก วุโตฺตฯ เตสุ อิธ สตฺตโลโก อธิเปฺปโตฯ สตฺตโลกสฺมิญฺหิ เย เอวรูปา สปฺปุริสา, เต เทวธมฺมาติ วุจฺจนฺติฯ
Ettha okāsaloko vutto. Tesu idha sattaloko adhippeto. Sattalokasmiñhi ye evarūpā sappurisā, te devadhammāti vuccanti.
ตตฺถ เทวาติ สมฺมุติเทวา, อุปปตฺติเทวา, วิสุทฺธิเทวาติ ติวิธาฯ เตสุ มหาสมฺมตกาลโต ปฎฺฐาย โลเกน ‘‘เทวา’’ติ สมฺมตตฺตา ราชราชกุมาราทโย สมฺมุติเทวา นามฯ เทวโลเก อุปฺปนฺนา อุปปตฺติเทวา นามฯ ขีณาสวา ปน วิสุทฺธิเทวา นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Tattha devāti sammutidevā, upapattidevā, visuddhidevāti tividhā. Tesu mahāsammatakālato paṭṭhāya lokena ‘‘devā’’ti sammatattā rājarājakumārādayo sammutidevā nāma. Devaloke uppannā upapattidevā nāma. Khīṇāsavā pana visuddhidevā nāma. Vuttampi cetaṃ –
‘‘สมฺมุติเทวา นาม ราชาโน เทวิโย ราชกุมาราฯ อุปปตฺติเทวา นาม ภุมฺมเทเว อุปาทาย ตทุตฺตริเทวาฯ วิสุทฺธิเทวา นาม พุทฺธา ปเจฺจกพุทฺธา ขีณาสวา’’ติ (จูฬนิ. โธตกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๓๒; ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๑๙)ฯ
‘‘Sammutidevā nāma rājāno deviyo rājakumārā. Upapattidevā nāma bhummadeve upādāya taduttaridevā. Visuddhidevā nāma buddhā paccekabuddhā khīṇāsavā’’ti (cūḷani. dhotakamāṇavapucchāniddesa 32; pārāyanānugītigāthāniddesa 119).
อิเมสํ เทวานํ ธมฺมาติ เทวธมฺมาฯ วุจฺจเรติ วุจฺจนฺติฯ หิโรตฺตปฺปมูลกา หิ กุสลา ธมฺมา กุลสมฺปทาย เจว เทวโลเก นิพฺพตฺติยา จ วิสุทฺธิภาวสฺส จ การณตฺตา การณเฎฺฐน ติวิธานมฺปิ เตสํ เทวานํ ธมฺมาติ เทวธมฺมา, เตหิ เทวธเมฺมหิ สมนฺนาคตา ปุคฺคลาปิ เทวธมฺมาฯ ตสฺมา ปุคฺคลาธิฎฺฐานเทสนาย เต ธเมฺม ทเสฺสโนฺต ‘‘สโนฺต สปฺปุริสา โลเก, เทวธมฺมาติ วุจฺจเร’’ติ อาหฯ
Imesaṃ devānaṃ dhammāti devadhammā. Vuccareti vuccanti. Hirottappamūlakā hi kusalā dhammā kulasampadāya ceva devaloke nibbattiyā ca visuddhibhāvassa ca kāraṇattā kāraṇaṭṭhena tividhānampi tesaṃ devānaṃ dhammāti devadhammā, tehi devadhammehi samannāgatā puggalāpi devadhammā. Tasmā puggalādhiṭṭhānadesanāya te dhamme dassento ‘‘santo sappurisā loke, devadhammāti vuccare’’ti āha.
ยโกฺข อิมํ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปสนฺนจิโตฺต โพธิสตฺตํ อาห – ‘‘ปณฺฑิต, อหํ ตุมฺหากํ ปสโนฺน, เอกํ ภาตรํ เทมิ, กตรํ อาเนมี’’ติ? ‘‘กนิฎฺฐํ อาเนหี’’ติฯ ‘‘ปณฺฑิต, ตฺวํ เกวลํ เทวธเมฺม ชานาสิเยว, น ปน เตสุ วตฺตสี’’ติฯ ‘‘กิํ การณา’’ติ? ‘‘ยํการณา เชฎฺฐกํ ฐเปตฺวา กนิฎฺฐํ อาณาเปโนฺต เชฎฺฐาปจายิกกมฺมํ น กโรสี’’ติฯ เทวธเมฺม จาหํ, ยกฺข, ชานามิ, เตสุ จ วตฺตามิฯ มยญฺหิ อิมํ อรญฺญํ เอตํ นิสฺสาย ปวิฎฺฐาฯ เอตสฺส หิ อตฺถาย อมฺหากํ ปิตรํ เอตสฺส มาตา รชฺชํ ยาจิ, อมฺหากํ ปน ปิตา ตํ วรํ อทตฺวา อมฺหากํ อนุรกฺขณตฺถาย อรญฺญวาสํ อนุชานิฯ โส กุมาโร อนุวตฺติตฺวา อเมฺหหิ สทฺธิํ อาคโตฯ ‘‘ตํ อรเญฺญ เอโก ยโกฺข ขาที’’ติ วุเตฺตปิ น โกจิ สทฺทหิสฺสติ, เตนาหํ ครหภยภีโต ตเมว อาณาเปมีติฯ ‘‘สาธุ สาธุ ปณฺฑิต, ตฺวํ เทวธเมฺม จ ชานาสิ, เตสุ จ วตฺตสี’’ติ ปสโนฺน ยโกฺข โพธิสตฺตสฺส สาธุการํ ทตฺวา เทฺวปิ ภาตโร อาเนตฺวา อทาสิฯ
Yakkho imaṃ dhammadesanaṃ sutvā pasannacitto bodhisattaṃ āha – ‘‘paṇḍita, ahaṃ tumhākaṃ pasanno, ekaṃ bhātaraṃ demi, kataraṃ ānemī’’ti? ‘‘Kaniṭṭhaṃ ānehī’’ti. ‘‘Paṇḍita, tvaṃ kevalaṃ devadhamme jānāsiyeva, na pana tesu vattasī’’ti. ‘‘Kiṃ kāraṇā’’ti? ‘‘Yaṃkāraṇā jeṭṭhakaṃ ṭhapetvā kaniṭṭhaṃ āṇāpento jeṭṭhāpacāyikakammaṃ na karosī’’ti. Devadhamme cāhaṃ, yakkha, jānāmi, tesu ca vattāmi. Mayañhi imaṃ araññaṃ etaṃ nissāya paviṭṭhā. Etassa hi atthāya amhākaṃ pitaraṃ etassa mātā rajjaṃ yāci, amhākaṃ pana pitā taṃ varaṃ adatvā amhākaṃ anurakkhaṇatthāya araññavāsaṃ anujāni. So kumāro anuvattitvā amhehi saddhiṃ āgato. ‘‘Taṃ araññe eko yakkho khādī’’ti vuttepi na koci saddahissati, tenāhaṃ garahabhayabhīto tameva āṇāpemīti. ‘‘Sādhu sādhu paṇḍita, tvaṃ devadhamme ca jānāsi, tesu ca vattasī’’ti pasanno yakkho bodhisattassa sādhukāraṃ datvā dvepi bhātaro ānetvā adāsi.
อถ นํ โพธิสโตฺต อาห – ‘‘สมฺม, ตฺวํ ปุเพฺพ อตฺตนา กเตน ปาปกเมฺมน ปเรสํ มํสโลหิตขาทโก ยโกฺข หุตฺวา นิพฺพโตฺต, อิทานิปิ ปาปเมว กโรสิ, อิทํ เต ปาปกมฺมํ นิรยาทีหิ มุจฺจิตุํ โอกาสํ น ทสฺสติ , ตสฺมา อิโต ปฎฺฐาย ปาปํ ปหาย กุสลํ กโรหี’’ติฯ อสกฺขิ จ ปน ตํ ทเมตุํฯ โส ตํ ยกฺขํ ทเมตฺวา เตน สํวิหิตารโกฺข ตเตฺถว วสโนฺต เอกทิวสํ นกฺขตฺตํ โอโลเกตฺวา ปิตุ กาลกตภาวํ ญตฺวา ยกฺขํ อาทาย พาราณสิํ คนฺตฺวา รชฺชํ คเหตฺวา จนฺทกุมารสฺส โอปรชฺชํ, สูริยกุมารสฺส เสนาปติฎฺฐานํ, ทตฺวา ยกฺขสฺส รมณีเย ฐาเน อายตนํ กาเรตฺวา, ยถา โส อคฺคมาลํ อคฺคปุปฺผํ อคฺคภตฺตญฺจ ลภติ, ตถา อกาสิฯ โส ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Atha naṃ bodhisatto āha – ‘‘samma, tvaṃ pubbe attanā katena pāpakammena paresaṃ maṃsalohitakhādako yakkho hutvā nibbatto, idānipi pāpameva karosi, idaṃ te pāpakammaṃ nirayādīhi muccituṃ okāsaṃ na dassati , tasmā ito paṭṭhāya pāpaṃ pahāya kusalaṃ karohī’’ti. Asakkhi ca pana taṃ dametuṃ. So taṃ yakkhaṃ dametvā tena saṃvihitārakkho tattheva vasanto ekadivasaṃ nakkhattaṃ oloketvā pitu kālakatabhāvaṃ ñatvā yakkhaṃ ādāya bārāṇasiṃ gantvā rajjaṃ gahetvā candakumārassa oparajjaṃ, sūriyakumārassa senāpatiṭṭhānaṃ, datvā yakkhassa ramaṇīye ṭhāne āyatanaṃ kāretvā, yathā so aggamālaṃ aggapupphaṃ aggabhattañca labhati, tathā akāsi. So dhammena rajjaṃ kāretvā yathākammaṃ gato.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ทเสฺสตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ เทฺว วตฺถูนิ กเถตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ทกรกฺขโส พหุภณฺฑิกภิกฺขุ อโหสิ, สูริยกุมาโร อานโนฺท, จนฺทกุมาโร สาริปุโตฺต, เชฎฺฐกภาตา มหิสาสกุมาโร ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā dassetvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne so bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Sammāsambuddhopi dve vatthūni kathetvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā dakarakkhaso bahubhaṇḍikabhikkhu ahosi, sūriyakumāro ānando, candakumāro sāriputto, jeṭṭhakabhātā mahisāsakumāro pana ahameva ahosi’’nti.
เทวธมฺมชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Devadhammajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๖. เทวธมฺมชาตกํ • 6. Devadhammajātakaṃ