Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๖. เทวทูตสุตฺตํ
6. Devadūtasuttaṃ
๓๖. ‘‘ตีณิมานิ , ภิกฺขเว, เทวทูตานิฯ กตมานิ ตีณิ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ กาเยน ทุจฺจริตํ จรติ, วาจาย ทุจฺจริตํ จรติ, มนสา ทุจฺจริตํ จรติฯ โส กาเยน ทุจฺจริตํ จริตฺวา, วาจาย ทุจฺจริตํ จริตฺวา, มนสา ทุจฺจริตํ จริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา นานาพาหาสุ คเหตฺวา ยมสฺส รโญฺญ ทเสฺสนฺติ – ‘อยํ, เทว, ปุริโส อมเตฺตโยฺย อเปเตฺตโยฺย อสามโญฺญ อพฺรหฺมโญฺญ, น กุเล เชฎฺฐาปจายีฯ อิมสฺส เทโว ทณฺฑํ ปเณตู’’’ติฯ
36. ‘‘Tīṇimāni , bhikkhave, devadūtāni. Katamāni tīṇi? Idha, bhikkhave, ekacco kāyena duccaritaṃ carati, vācāya duccaritaṃ carati, manasā duccaritaṃ carati. So kāyena duccaritaṃ caritvā, vācāya duccaritaṃ caritvā, manasā duccaritaṃ caritvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati. Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā nānābāhāsu gahetvā yamassa rañño dassenti – ‘ayaṃ, deva, puriso amatteyyo apetteyyo asāmañño abrahmañño, na kule jeṭṭhāpacāyī. Imassa devo daṇḍaṃ paṇetū’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา ปฐมํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชติ สมนุคาหติ สมนุภาสติ – ‘อโมฺภ, ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ ปฐมํ เทวทูตํ ปาตุภูต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘นาทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā paṭhamaṃ devadūtaṃ samanuyuñjati samanugāhati samanubhāsati – ‘ambho, purisa, na tvaṃ addasa manussesu paṭhamaṃ devadūtaṃ pātubhūta’nti? So evamāha – ‘nāddasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา อาสีติกํ วา นาวุติกํ วา วสฺสสติกํ วา 1 ชาติยา ชิณฺณํ โคปานสิวงฺกํ โภคฺคํ ทณฺฑปรายณํ 2 ปเวธมานํ คจฺฉนฺตํ อาตุรํ คตโยพฺพนํ ขณฺฑทนฺตํ ปลิตเกสํ วิลูนํ ขลฺลิตสิรํ 3 วลิตํ ติลกาหตคตฺต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘อทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu itthiṃ vā purisaṃ vā āsītikaṃ vā nāvutikaṃ vā vassasatikaṃ vā 4 jātiyā jiṇṇaṃ gopānasivaṅkaṃ bhoggaṃ daṇḍaparāyaṇaṃ 5 pavedhamānaṃ gacchantaṃ āturaṃ gatayobbanaṃ khaṇḍadantaṃ palitakesaṃ vilūnaṃ khallitasiraṃ 6 valitaṃ tilakāhatagatta’nti? So evamāha – ‘addasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ , ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ, ปุริส, ตสฺส เต วิญฺญุสฺส สโต มหลฺลกสฺส น เอตทโหสิ – อหมฺปิ โขมฺหิ ชราธโมฺม ชรํ อนตีโต, หนฺทาหํ กลฺยาณํ กโรมิ, กาเยน วาจาย มนสา’ติ? โส เอวมาห – ‘นาสกฺขิสฺสํ, ภเนฺตฯ ปมาทสฺสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ , bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho, purisa, tassa te viññussa sato mahallakassa na etadahosi – ahampi khomhi jarādhammo jaraṃ anatīto, handāhaṃ kalyāṇaṃ karomi, kāyena vācāya manasā’ti? So evamāha – ‘nāsakkhissaṃ, bhante. Pamādassaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ, ปุริส, ปมาทตาย 7 น กลฺยาณมกาสิ กาเยน วาจาย มนสาฯ ตคฺฆ ตฺวํ 8, อโมฺภ ปุริส, ตถา กริสฺสนฺติ ยถา ตํ 9 ปมตฺตํฯ ตํ โข ปน เต เอตํ 10 ปาปกมฺมํ 11 เนว มาตรา กตํ, น ปิตรา กตํ, น ภาตรา กตํ, น ภคินิยา กตํ, น มิตฺตามเจฺจหิ กตํ, น ญาติสาโลหิเตหิ กตํ, น เทวตาหิ กตํ , น สมณพฺราหฺมเณหิ กตํ; อถ โข ตยาเวตํ ปาปกมฺมํ กตํ, ตฺวเญฺญเวตสฺส วิปากํ ปฎิสํเวทิสฺสสี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho, purisa, pamādatāya 12 na kalyāṇamakāsi kāyena vācāya manasā. Taggha tvaṃ 13, ambho purisa, tathā karissanti yathā taṃ 14 pamattaṃ. Taṃ kho pana te etaṃ 15 pāpakammaṃ 16 neva mātarā kataṃ, na pitarā kataṃ, na bhātarā kataṃ, na bhaginiyā kataṃ, na mittāmaccehi kataṃ, na ñātisālohitehi kataṃ, na devatāhi kataṃ , na samaṇabrāhmaṇehi kataṃ; atha kho tayāvetaṃ pāpakammaṃ kataṃ, tvaññevetassa vipākaṃ paṭisaṃvedissasī’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา ปฐมํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชิตฺวา สมนุคาหิตฺวา สมนุภาสิตฺวา, ทุติยํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชติ สมนุคาหติ สมนุภาสติ – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ ทุติยํ เทวทูตํ ปาตุภูต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘นาทฺทสํ, ภเนฺต’ติฯ ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา อาพาธิกํ ทุกฺขิตํ พาฬฺหคิลานํ, สเก มุตฺตกรีเส ปลิปนฺนํ เสมานํ, อเญฺญหิ วุฎฺฐาปิยมานํ, อเญฺญหิ สํเวสิยมาน’นฺติ? โส เอวมาห – ‘อทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā paṭhamaṃ devadūtaṃ samanuyuñjitvā samanugāhitvā samanubhāsitvā, dutiyaṃ devadūtaṃ samanuyuñjati samanugāhati samanubhāsati – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu dutiyaṃ devadūtaṃ pātubhūta’nti? So evamāha – ‘nāddasaṃ, bhante’ti. ‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu itthiṃ vā purisaṃ vā ābādhikaṃ dukkhitaṃ bāḷhagilānaṃ, sake muttakarīse palipannaṃ semānaṃ, aññehi vuṭṭhāpiyamānaṃ, aññehi saṃvesiyamāna’nti? So evamāha – ‘addasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ตสฺส เต วิญฺญุสฺส สโต มหลฺลกสฺส น เอตทโหสิ – อหมฺปิ โขมฺหิ พฺยาธิธโมฺม พฺยาธิํ อนตีโต, หนฺทาหํ กลฺยาณํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา’ติ? โส เอวมาห – ‘นาสกฺขิสฺสํ, ภเนฺตฯ ปมาทสฺสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, tassa te viññussa sato mahallakassa na etadahosi – ahampi khomhi byādhidhammo byādhiṃ anatīto, handāhaṃ kalyāṇaṃ karomi kāyena vācāya manasā’ti? So evamāha – ‘nāsakkhissaṃ, bhante. Pamādassaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส , ปมาทตาย น กลฺยาณมกาสิ กาเยน วาจาย มนสาฯ ตคฺฆ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส, ตถา กริสฺสนฺติ ยถา ตํ ปมตฺตํฯ ตํ โข ปน เต เอตํ ปาปกมฺมํ เนว มาตรา กตํ, น ปิตรา กตํ, น ภาตรา กตํ, น ภคินิยา กตํ, น มิตฺตามเจฺจหิ กตํ, น ญาติสาโลหิเตหิ กตํ, น เทวตาหิ กตํ, น สมณพฺราหฺมเณหิ กตํ; อถ โข ตยาเวตํ ปาปกมฺมํ กตํฯ ตฺวเญฺญเวตสฺส วิปากํ ปฎิสํเวทิสฺสสี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa , pamādatāya na kalyāṇamakāsi kāyena vācāya manasā. Taggha tvaṃ, ambho purisa, tathā karissanti yathā taṃ pamattaṃ. Taṃ kho pana te etaṃ pāpakammaṃ neva mātarā kataṃ, na pitarā kataṃ, na bhātarā kataṃ, na bhaginiyā kataṃ, na mittāmaccehi kataṃ, na ñātisālohitehi kataṃ, na devatāhi kataṃ, na samaṇabrāhmaṇehi kataṃ; atha kho tayāvetaṃ pāpakammaṃ kataṃ. Tvaññevetassa vipākaṃ paṭisaṃvedissasī’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา ทุติยํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชิตฺวา สมนุคาหิตฺวา สมนุภาสิตฺวา, ตติยํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชติ สมนุคาหติ สมนุภาสติ – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ ตติยํ เทวทูตํ ปาตุภูต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘นาทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā dutiyaṃ devadūtaṃ samanuyuñjitvā samanugāhitvā samanubhāsitvā, tatiyaṃ devadūtaṃ samanuyuñjati samanugāhati samanubhāsati – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu tatiyaṃ devadūtaṃ pātubhūta’nti? So evamāha – ‘nāddasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา เอกาหมตํ วา ทฺวีหมตํ วา ตีหมตํ วา อุทฺธุมาตกํ วินีลกํ วิปุพฺพกชาต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘อทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu itthiṃ vā purisaṃ vā ekāhamataṃ vā dvīhamataṃ vā tīhamataṃ vā uddhumātakaṃ vinīlakaṃ vipubbakajāta’nti? So evamāha – ‘addasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ตสฺส เต วิญฺญุสฺส สโต มหลฺลกสฺส น เอตทโหสิ – อหมฺปิ โขมฺหิ มรณธโมฺม มรณํ อนตีโต, หนฺทาหํ กลฺยาณํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา’ติ? โส เอวมาห – ‘นาสกฺขิสฺสํ, ภเนฺตฯ ปมาทสฺสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, tassa te viññussa sato mahallakassa na etadahosi – ahampi khomhi maraṇadhammo maraṇaṃ anatīto, handāhaṃ kalyāṇaṃ karomi kāyena vācāya manasā’ti? So evamāha – ‘nāsakkhissaṃ, bhante. Pamādassaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ปมาทตาย น กลฺยาณมกาสิ กาเยน วาจาย มนสาฯ ตคฺฆ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส, ตถา กริสฺสนฺติ ยถา ตํ ปมตฺตํฯ ตํ โข ปน เต เอตํ ปาปกมฺมํ เนว มาตรา กตํ, น ปิตรา กตํ, น ภาตรา กตํ, น ภคินิยา กตํ, น มิตฺตามเจฺจหิ กตํ, น ญาติสาโลหิเตหิ กตํ, น เทวตาหิ กตํ, น สมณพฺราหฺมเณหิ กตํ; อถ โข ตยาเวตํ ปาปกมฺมํ กตํฯ ตฺวเญฺญเวตสฺส วิปากํ ปฎิสํเวทิสฺสสี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, pamādatāya na kalyāṇamakāsi kāyena vācāya manasā. Taggha tvaṃ, ambho purisa, tathā karissanti yathā taṃ pamattaṃ. Taṃ kho pana te etaṃ pāpakammaṃ neva mātarā kataṃ, na pitarā kataṃ, na bhātarā kataṃ, na bhaginiyā kataṃ, na mittāmaccehi kataṃ, na ñātisālohitehi kataṃ, na devatāhi kataṃ, na samaṇabrāhmaṇehi kataṃ; atha kho tayāvetaṃ pāpakammaṃ kataṃ. Tvaññevetassa vipākaṃ paṭisaṃvedissasī’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา ตติยํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชิตฺวา สมนุคาหิตฺวา สมนุภาสิตฺวา ตุณฺหี โหติฯ ตเมนํ , ภิกฺขเว, นิรยปาลา ปญฺจวิธพนฺธนํ นาม การณํ กโรนฺติฯ ตตฺตํ อโยขิลํ หเตฺถ คเมนฺติฯ ตตฺตํ อโยขิลํ ทุติยสฺมิํ หเตฺถ คเมนฺติฯ ตตฺตํ อโยขิลํ ปาเท คเมนฺติฯ ตตฺตํ อโยขิลํ ทุติยสฺมิํ ปาเท คเมนฺติฯ ตตฺตํ อโยขิลํ มเชฺฌ อุรสฺมิํ คเมนฺติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา 17 ขรา กฎุกา เวทนา เวทิยติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā tatiyaṃ devadūtaṃ samanuyuñjitvā samanugāhitvā samanubhāsitvā tuṇhī hoti. Tamenaṃ , bhikkhave, nirayapālā pañcavidhabandhanaṃ nāma kāraṇaṃ karonti. Tattaṃ ayokhilaṃ hatthe gamenti. Tattaṃ ayokhilaṃ dutiyasmiṃ hatthe gamenti. Tattaṃ ayokhilaṃ pāde gamenti. Tattaṃ ayokhilaṃ dutiyasmiṃ pāde gamenti. Tattaṃ ayokhilaṃ majjhe urasmiṃ gamenti. So tattha dukkhā tibbā 18 kharā kaṭukā vedanā vediyati, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘ตเมนํ , ภิกฺขเว, นิรยปาลา สํเวเสตฺวา 19 กุธารีหิ ตจฺฉนฺติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทิยติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
‘‘Tamenaṃ , bhikkhave, nirayapālā saṃvesetvā 20 kudhārīhi tacchanti. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vediyati, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา อุทฺธํปาทํ อโธสิรํ คเหตฺวา วาสีหิ ตจฺฉนฺติ…เป.… ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา รเถ โยเชตฺวา อาทิตฺตาย ภูมิยา สมฺปชฺชลิตาย สโชติภูตาย 21 สาเรนฺติปิ ปจฺจาสาเรนฺติปิ…เป.… ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา มหนฺตํ องฺคารปพฺพตํ อาทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตํ อาโรเปนฺติปิ โอโรเปนฺติปิ…เป.… ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา อุทฺธํปาทํ อโธสิรํ คเหตฺวา ตตฺตาย โลหกุมฺภิยา ปกฺขิปนฺติ, อาทิตฺตาย สมฺปชฺชลิตาย สโชติภูตายฯ โส ตตฺถ เผณุเทฺทหกํ ปจฺจมาโน สกิมฺปิ อุทฺธํ คจฺฉติ, สกิมฺปิ อโธ คจฺฉติ, สกิมฺปิ ติริยํ คจฺฉติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวทิยติ, น จ ตาว กาลํ กโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา มหานิรเย ปกฺขิปนฺติฯ โส โข ปน, ภิกฺขเว, มหานิรโย –
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā uddhaṃpādaṃ adhosiraṃ gahetvā vāsīhi tacchanti…pe… tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā rathe yojetvā ādittāya bhūmiyā sampajjalitāya sajotibhūtāya 22 sārentipi paccāsārentipi…pe… tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā mahantaṃ aṅgārapabbataṃ ādittaṃ sampajjalitaṃ sajotibhūtaṃ āropentipi oropentipi…pe… tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā uddhaṃpādaṃ adhosiraṃ gahetvā tattāya lohakumbhiyā pakkhipanti, ādittāya sampajjalitāya sajotibhūtāya. So tattha pheṇuddehakaṃ paccamāno sakimpi uddhaṃ gacchati, sakimpi adho gacchati, sakimpi tiriyaṃ gacchati. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vediyati, na ca tāva kālaṃ karoti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti. Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā mahāniraye pakkhipanti. So kho pana, bhikkhave, mahānirayo –
‘‘จตุกฺกโณฺณ จตุทฺวาโร, วิภโตฺต ภาคโส มิโต;
‘‘Catukkaṇṇo catudvāro, vibhatto bhāgaso mito;
อโยปาการปริยโนฺต, อยสา ปฎิกุชฺชิโตฯ
Ayopākārapariyanto, ayasā paṭikujjito.
‘‘ตสฺส อโยมยา ภูมิ, ชลิตา เตชสา ยุตา;
‘‘Tassa ayomayā bhūmi, jalitā tejasā yutā;
สมนฺตา โยชนสตํ, ผริตฺวา ติฎฺฐติ สพฺพทา’’ติ 23ฯ
Samantā yojanasataṃ, pharitvā tiṭṭhati sabbadā’’ti 24.
‘‘ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, ยมสฺส รโญฺญ เอตทโหสิ – ‘เย กิร, โภ, โลเก ปาปกานิ กมฺมานิ กโรนฺติ เต เอวรูปา วิวิธา กมฺมการณา กรียนฺติฯ อโห วตาหํ มนุสฺสตฺตํ ลเภยฺยํ, ตถาคโต จ โลเก อุปฺปเชฺชยฺย อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, ตญฺจาหํ ภควนฺตํ ปยิรุปาเสยฺยํฯ โส จ เม ภควา ธมฺมํ เทเสยฺย, ตสฺส จาหํ ภควโต ธมฺมํ อาชาเนยฺย’นฺติฯ ตํ โข ปนาหํ, ภิกฺขเว, น อญฺญสฺส สมณสฺส วา พฺราหฺมณสฺส วา สุตฺวา เอวํ วทามิ, อปิ จ โข, ภิกฺขเว, ยเทว เม สามํ ญาตํ สามํ ทิฎฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทวาหํ วทามี’’ติฯ
‘‘Bhūtapubbaṃ, bhikkhave, yamassa rañño etadahosi – ‘ye kira, bho, loke pāpakāni kammāni karonti te evarūpā vividhā kammakāraṇā karīyanti. Aho vatāhaṃ manussattaṃ labheyyaṃ, tathāgato ca loke uppajjeyya arahaṃ sammāsambuddho, tañcāhaṃ bhagavantaṃ payirupāseyyaṃ. So ca me bhagavā dhammaṃ deseyya, tassa cāhaṃ bhagavato dhammaṃ ājāneyya’nti. Taṃ kho panāhaṃ, bhikkhave, na aññassa samaṇassa vā brāhmaṇassa vā sutvā evaṃ vadāmi, api ca kho, bhikkhave, yadeva me sāmaṃ ñātaṃ sāmaṃ diṭṭhaṃ sāmaṃ viditaṃ tadevāhaṃ vadāmī’’ti.
‘‘โจทิตา เทวทูเตหิ, เย ปมชฺชนฺติ มาณวา;
‘‘Coditā devadūtehi, ye pamajjanti māṇavā;
เต ทีฆรตฺตํ โสจนฺติ, หีนกายูปคา นราฯ
Te dīgharattaṃ socanti, hīnakāyūpagā narā.
‘‘เย จ โข เทวทูเตหิ, สโนฺต สปฺปุริสา อิธ;
‘‘Ye ca kho devadūtehi, santo sappurisā idha;
โจทิตา นปฺปมชฺชนฺติ, อริยธเมฺม กุทาจนํฯ
Coditā nappamajjanti, ariyadhamme kudācanaṃ.
‘‘อุปาทาเน ภยํ ทิสฺวา, ชาติมรณสมฺภเว;
‘‘Upādāne bhayaṃ disvā, jātimaraṇasambhave;
อนุปาทา วิมุจฺจนฺติ, ชาติมรณสงฺขเยฯ
Anupādā vimuccanti, jātimaraṇasaṅkhaye.
สพฺพเวรภยาตีตา, สพฺพทุกฺขํ อุปจฺจคุ’’นฺติฯ ฉฎฺฐํ;
Sabbaverabhayātītā, sabbadukkhaṃ upaccagu’’nti. chaṭṭhaṃ;
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๖. เทวทูตสุตฺตวณฺณนา • 6. Devadūtasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๖. เทวทูตสุตฺตวณฺณนา • 6. Devadūtasuttavaṇṇanā