Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๑๐. เทวทูตสุตฺตํ
10. Devadūtasuttaṃ
๒๖๑. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขโว’’ติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ –
261. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tatra kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhavo’’ti. ‘‘Bhadante’’ti te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca –
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, เทฺว อคารา สทฺวารา 1, ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส มเชฺฌ ฐิโต ปเสฺสยฺย มนุเสฺส เคหํ ปวิสเนฺตปิ นิกฺขมเนฺตปิ อนุจงฺกมเนฺตปิ อนุวิจรเนฺตปิ; เอวเมว โข อหํ, ภิกฺขเว, ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสามิ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานามิ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา; เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา; เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปนฺนาฯ อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา ; เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา; เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนิํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา; เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนา’’’ติฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, dve agārā sadvārā 2, tattha cakkhumā puriso majjhe ṭhito passeyya manusse gehaṃ pavisantepi nikkhamantepi anucaṅkamantepi anuvicarantepi; evameva kho ahaṃ, bhikkhave, dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passāmi cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe, sugate duggate yathākammūpage satte pajānāmi – ‘ime vata bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā; te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā. Ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā; te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā manussesu upapannā. Ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā ; te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā pettivisayaṃ upapannā. Ime vā pana bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā; te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tiracchānayoniṃ upapannā. Ime vā pana bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā; te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannā’’’ti.
๒๖๒. ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา นานาพาหาสุ คเหตฺวา ยมสฺส รโญฺญ ทเสฺสนฺติ – ‘อยํ, เทว, ปุริโส อมเตฺตโยฺย อเปเตฺตโยฺย อสามโญฺญ อพฺราหฺมโญฺญ, น กุเล เชฎฺฐาปจายีฯ อิมสฺส เทโว ทณฺฑํ ปเณตู’ติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา ปฐมํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชติ สมนุคาหติ สมนุภาสติ – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ ปฐมํ เทวทูตํ ปาตุภูต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘นาทฺทสํ, ภเนฺต’ติฯ
262. ‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā nānābāhāsu gahetvā yamassa rañño dassenti – ‘ayaṃ, deva, puriso amatteyyo apetteyyo asāmañño abrāhmañño, na kule jeṭṭhāpacāyī. Imassa devo daṇḍaṃ paṇetū’ti. Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā paṭhamaṃ devadūtaṃ samanuyuñjati samanugāhati samanubhāsati – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu paṭhamaṃ devadūtaṃ pātubhūta’nti? So evamāha – ‘nāddasaṃ, bhante’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ ทหรํ กุมารํ มนฺทํ อุตฺตานเสยฺยกํ สเก มุตฺตกรีเส ปลิปนฺนํ เสมาน’นฺติ? โส เอวมาห – ‘อทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu daharaṃ kumāraṃ mandaṃ uttānaseyyakaṃ sake muttakarīse palipannaṃ semāna’nti? So evamāha – ‘addasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ตสฺส เต วิญฺญุสฺส สโต มหลฺลกสฺส น เอตทโหสิ – อหมฺปิ โขมฺหิ ชาติธโมฺม, ชาติํ อนตีโตฯ หนฺทาหํ กลฺยาณํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา’ติ? โส เอวมาห – ‘นาสกฺขิสฺสํ, ภเนฺต, ปมาทสฺสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, tassa te viññussa sato mahallakassa na etadahosi – ahampi khomhi jātidhammo, jātiṃ anatīto. Handāhaṃ kalyāṇaṃ karomi kāyena vācāya manasā’ti? So evamāha – ‘nāsakkhissaṃ, bhante, pamādassaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ , ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ปมาทวตาย น กลฺยาณมกาสิ กาเยน วาจาย มนสาฯ ตคฺฆ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส, ตถา กริสฺสนฺติ ยถา ตํ ปมตฺตํฯ ตํ โข ปน เต เอตํ ปาปกมฺมํ 3 เนว มาตรา กตํ น ปิตรา กตํ น ภาตรา กตํ น ภคินิยา กตํ น มิตฺตามเจฺจหิ กตํ น ญาติสาโลหิเตหิ กตํ น สมณพฺราหฺมเณหิ กตํ น เทวตาหิ กตํ, ตยาเวตํ ปาปกมฺมํ 4 กตํ, ตฺวเญฺญเวตสฺส วิปากํ ปฎิสํเวทิสฺสสี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ , bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, pamādavatāya na kalyāṇamakāsi kāyena vācāya manasā. Taggha tvaṃ, ambho purisa, tathā karissanti yathā taṃ pamattaṃ. Taṃ kho pana te etaṃ pāpakammaṃ 5 neva mātarā kataṃ na pitarā kataṃ na bhātarā kataṃ na bhaginiyā kataṃ na mittāmaccehi kataṃ na ñātisālohitehi kataṃ na samaṇabrāhmaṇehi kataṃ na devatāhi kataṃ, tayāvetaṃ pāpakammaṃ 6 kataṃ, tvaññevetassa vipākaṃ paṭisaṃvedissasī’’’ti.
๒๖๓. ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา ปฐมํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชิตฺวา สมนุคาหิตฺวา สมนุภาสิตฺวา ทุติยํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชติ สมนุคาหติ สมนุภาสติ – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ ทุติยํ เทวทูตํ ปาตุภูต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘นาทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
263. ‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā paṭhamaṃ devadūtaṃ samanuyuñjitvā samanugāhitvā samanubhāsitvā dutiyaṃ devadūtaṃ samanuyuñjati samanugāhati samanubhāsati – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu dutiyaṃ devadūtaṃ pātubhūta’nti? So evamāha – ‘nāddasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา ( ) 7 ชิณฺณํ โคปานสิวงฺกํ โภคฺคํ ทณฺฑปรายนํ ปเวธมานํ คจฺฉนฺตํ อาตุรํ คตโยพฺพนํ ขณฺฑทนฺตํ ปลิตเกสํ วิลูนํ ขลิตสิรํ 8 วลินํ ติลกาหตคตฺต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘อทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu itthiṃ vā purisaṃ vā ( ) 9 jiṇṇaṃ gopānasivaṅkaṃ bhoggaṃ daṇḍaparāyanaṃ pavedhamānaṃ gacchantaṃ āturaṃ gatayobbanaṃ khaṇḍadantaṃ palitakesaṃ vilūnaṃ khalitasiraṃ 10 valinaṃ tilakāhatagatta’nti? So evamāha – ‘addasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ , ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ตสฺส เต วิญฺญุสฺส สโต มหลฺลกสฺส น เอตทโหสิ – อหมฺปิ โขมฺหิ ชราธโมฺม, ชรํ อนตีโตฯ หนฺทาหํ กลฺยาณํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา’ติ? โส เอวมาห – ‘นาสกฺขิสฺสํ, ภเนฺต, ปมาทสฺสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ , bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, tassa te viññussa sato mahallakassa na etadahosi – ahampi khomhi jarādhammo, jaraṃ anatīto. Handāhaṃ kalyāṇaṃ karomi kāyena vācāya manasā’ti? So evamāha – ‘nāsakkhissaṃ, bhante, pamādassaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ปมาทวตาย น กลฺยาณมกาสิ กาเยน วาจาย มนสาฯ ตคฺฆ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส, ตถา กริสฺสนฺติ ยถา ตํ ปมตฺตํฯ ตํ โข ปน เต เอตํ ปาปกมฺมํ เนว มาตรา กตํ น ปิตรา กตํ น ภาตรา กตํ น ภคินิยา กตํ น มิตฺตามเจฺจหิ กตํ น ญาติสาโลหิเตหิ กตํ น สมณพฺราหฺมเณหิ กตํ น เทวตาหิ กตํ, ตยาเวตํ ปาปกมฺมํ กตํ, ตฺวเญฺญเวตสฺส วิปากํ ปฎิสํเวทิสฺสสี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, pamādavatāya na kalyāṇamakāsi kāyena vācāya manasā. Taggha tvaṃ, ambho purisa, tathā karissanti yathā taṃ pamattaṃ. Taṃ kho pana te etaṃ pāpakammaṃ neva mātarā kataṃ na pitarā kataṃ na bhātarā kataṃ na bhaginiyā kataṃ na mittāmaccehi kataṃ na ñātisālohitehi kataṃ na samaṇabrāhmaṇehi kataṃ na devatāhi kataṃ, tayāvetaṃ pāpakammaṃ kataṃ, tvaññevetassa vipākaṃ paṭisaṃvedissasī’’’ti.
๒๖๔. ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา ทุติยํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชิตฺวา สมนุคาหิตฺวา สมนุภาสิตฺวา ตติยํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชติ สมนุคาหติ สมนุภาสติ – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ ตติยํ เทวทูตํ ปาตุภูต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘นาทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
264. ‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā dutiyaṃ devadūtaṃ samanuyuñjitvā samanugāhitvā samanubhāsitvā tatiyaṃ devadūtaṃ samanuyuñjati samanugāhati samanubhāsati – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu tatiyaṃ devadūtaṃ pātubhūta’nti? So evamāha – ‘nāddasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา อาพาธิกํ ทุกฺขิตํ พาฬฺหคิลานํ สเก มุตฺตกรีเส ปลิปนฺนํ เสมานํ อเญฺญหิ วุฎฺฐาปิยมานํ อเญฺญหิ สํเวสิยมาน’นฺติ? โส เอวมาห – ‘อทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu itthiṃ vā purisaṃ vā ābādhikaṃ dukkhitaṃ bāḷhagilānaṃ sake muttakarīse palipannaṃ semānaṃ aññehi vuṭṭhāpiyamānaṃ aññehi saṃvesiyamāna’nti? So evamāha – ‘addasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ตสฺส เต วิญฺญุสฺส สโต มหลฺลกสฺส น เอตทโหสิ – อหมฺปิ โขมฺหิ พฺยาธิธโมฺม , พฺยาธิํ อนตีโตฯ หนฺทาหํ กลฺยาณํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา’ติ? โส เอวมาห – ‘นาสกฺขิสฺสํ, ภเนฺต, ปมาทสฺสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, tassa te viññussa sato mahallakassa na etadahosi – ahampi khomhi byādhidhammo , byādhiṃ anatīto. Handāhaṃ kalyāṇaṃ karomi kāyena vācāya manasā’ti? So evamāha – ‘nāsakkhissaṃ, bhante, pamādassaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ปมาทวตาย น กลฺยาณมกาสิ กาเยน วาจาย มนสาฯ ตคฺฆ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส, ตถา กริสฺสนฺติ ยถา ตํ ปมตฺตํฯ ตํ โข ปน เต เอตํ ปาปกมฺมํ เนว มาตรา กตํ น ปิตรา กตํ น ภาตรา กตํ น ภคินิยา กตํ น มิตฺตามเจฺจหิ กตํ น ญาติสาโลหิเตหิ กตํ น สมณพฺราหฺมเณหิ กตํ น เทวตาหิ กตํ, ตยาเวตํ ปาปกมฺมํ กตํ, ตฺวเญฺญเวตสฺส วิปากํ ปฎิสํเวทิสฺสสี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, pamādavatāya na kalyāṇamakāsi kāyena vācāya manasā. Taggha tvaṃ, ambho purisa, tathā karissanti yathā taṃ pamattaṃ. Taṃ kho pana te etaṃ pāpakammaṃ neva mātarā kataṃ na pitarā kataṃ na bhātarā kataṃ na bhaginiyā kataṃ na mittāmaccehi kataṃ na ñātisālohitehi kataṃ na samaṇabrāhmaṇehi kataṃ na devatāhi kataṃ, tayāvetaṃ pāpakammaṃ kataṃ, tvaññevetassa vipākaṃ paṭisaṃvedissasī’’’ti.
๒๖๕. ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา ตติยํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชิตฺวา สมนุคาหิตฺวา สมนุภาสิตฺวา จตุตฺถํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชติ สมนุคาหติ สมนุภาสติ – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ จตุตฺถํ เทวทูตํ ปาตุภูต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘นาทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
265. ‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā tatiyaṃ devadūtaṃ samanuyuñjitvā samanugāhitvā samanubhāsitvā catutthaṃ devadūtaṃ samanuyuñjati samanugāhati samanubhāsati – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu catutthaṃ devadūtaṃ pātubhūta’nti? So evamāha – ‘nāddasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ ราชาโน โจรํ อาคุจาริํ คเหตฺวา วิวิธา กมฺมการณา กาเรเนฺต – กสาหิปิ ตาเฬเนฺต เวเตฺตหิปิ ตาเฬเนฺต อทฺธทณฺฑเกหิปิ ตาเฬเนฺต หตฺถมฺปิ ฉินฺทเนฺต ปาทมฺปิ ฉินฺทเนฺต หตฺถปาทมฺปิ ฉินฺทเนฺต กณฺณมฺปิ ฉินฺทเนฺต นาสมฺปิ ฉินฺทเนฺต กณฺณนาสมฺปิ ฉินฺทเนฺต พิลงฺคถาลิกมฺปิ กโรเนฺต สงฺขมุณฺฑิกมฺปิ กโรเนฺต ราหุมุขมฺปิ กโรเนฺต โชติมาลิกมฺปิ กโรเนฺต หตฺถปโชฺชติกมฺปิ กโรเนฺต เอรกวตฺติกมฺปิ กโรเนฺต จีรกวาสิกมฺปิ กโรเนฺต เอเณยฺยกมฺปิ กโรเนฺต พฬิสมํสิกมฺปิ กโรเนฺต กหาปณิกมฺปิ กโรเนฺต ขาราปตจฺฉิกมฺปิ กโรเนฺต ปลิฆปริวตฺติกมฺปิ กโรเนฺต ปลาลปีฐกมฺปิ กโรเนฺต ตเตฺตนปิ เตเลน โอสิญฺจเนฺต สุนเขหิปิ ขาทาเปเนฺต ชีวนฺตมฺปิ สูเล อุตฺตาเสเนฺต อสินาปิ สีสํ ฉินฺทเนฺต’ติ? โส เอวมาห – ‘อทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu rājāno coraṃ āgucāriṃ gahetvā vividhā kammakāraṇā kārente – kasāhipi tāḷente vettehipi tāḷente addhadaṇḍakehipi tāḷente hatthampi chindante pādampi chindante hatthapādampi chindante kaṇṇampi chindante nāsampi chindante kaṇṇanāsampi chindante bilaṅgathālikampi karonte saṅkhamuṇḍikampi karonte rāhumukhampi karonte jotimālikampi karonte hatthapajjotikampi karonte erakavattikampi karonte cīrakavāsikampi karonte eṇeyyakampi karonte baḷisamaṃsikampi karonte kahāpaṇikampi karonte khārāpatacchikampi karonte palighaparivattikampi karonte palālapīṭhakampi karonte tattenapi telena osiñcante sunakhehipi khādāpente jīvantampi sūle uttāsente asināpi sīsaṃ chindante’ti? So evamāha – ‘addasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ตสฺส เต วิญฺญุสฺส สโต มหลฺลกสฺส น เอตทโหสิ – เย กิร, โภ, ปาปกานิ กมฺมานิ กโรนฺติ เต ทิเฎฺฐว ธเมฺม เอวรูปา วิวิธา กมฺมการณา กรียนฺติ, กิมงฺคํ 11 ปน ปรตฺถ ! หนฺทาหํ กลฺยาณํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา’ติ? โส เอวมาห – ‘นาสกฺขิสฺสํ, ภเนฺต, ปมาทสฺสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, tassa te viññussa sato mahallakassa na etadahosi – ye kira, bho, pāpakāni kammāni karonti te diṭṭheva dhamme evarūpā vividhā kammakāraṇā karīyanti, kimaṅgaṃ 12 pana parattha ! Handāhaṃ kalyāṇaṃ karomi kāyena vācāya manasā’ti? So evamāha – ‘nāsakkhissaṃ, bhante, pamādassaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ปมาทวตาย น กลฺยาณมกาสิ กาเยน วาจาย มนสาฯ ตคฺฆ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส, ตถา กริสฺสนฺติ ยถา ตํ ปมตฺตํฯ ตํ โข ปน เต เอตํ ปาปกมฺมํ เนว มาตรา กตํ น ปิตรา กตํ น ภาตรา กตํ น ภคินิยา กตํ น มิตฺตามเจฺจหิ กตํ น ญาติสาโลหิเตหิ กตํ น สมณพฺราหฺมเณหิ กตํ น เทวตาหิ กตํ, ตยาเวตํ ปาปกมฺมํ กตํ, ตฺวเญฺญเวตสฺส วิปากํ ปฎิสํเวทิสฺสสี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, pamādavatāya na kalyāṇamakāsi kāyena vācāya manasā. Taggha tvaṃ, ambho purisa, tathā karissanti yathā taṃ pamattaṃ. Taṃ kho pana te etaṃ pāpakammaṃ neva mātarā kataṃ na pitarā kataṃ na bhātarā kataṃ na bhaginiyā kataṃ na mittāmaccehi kataṃ na ñātisālohitehi kataṃ na samaṇabrāhmaṇehi kataṃ na devatāhi kataṃ, tayāvetaṃ pāpakammaṃ kataṃ, tvaññevetassa vipākaṃ paṭisaṃvedissasī’’’ti.
๒๖๖. ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา จตุตฺถํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชิตฺวา สมนุคาหิตฺวา สมนุภาสิตฺวา ปญฺจมํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชติ สมนุคาหติ สมนุภาสติ – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ ปญฺจมํ เทวทูตํ ปาตุภูต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘นาทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
266. ‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā catutthaṃ devadūtaṃ samanuyuñjitvā samanugāhitvā samanubhāsitvā pañcamaṃ devadūtaṃ samanuyuñjati samanugāhati samanubhāsati – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu pañcamaṃ devadūtaṃ pātubhūta’nti? So evamāha – ‘nāddasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, น ตฺวํ อทฺทส มนุเสฺสสุ อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา เอกาหมตํ วา ทฺวีหมตํ วา ตีหมตํ วา อุทฺธุมาตกํ วินีลกํ วิปุพฺพกชาต’นฺติ? โส เอวมาห – ‘อทฺทสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, na tvaṃ addasa manussesu itthiṃ vā purisaṃ vā ekāhamataṃ vā dvīhamataṃ vā tīhamataṃ vā uddhumātakaṃ vinīlakaṃ vipubbakajāta’nti? So evamāha – ‘addasaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ , ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ตสฺส เต วิญฺญุสฺส สโต มหลฺลกสฺส น เอตทโหสิ – อหมฺปิ โขมฺหิ มรณธโมฺม, มรณํ อนตีโตฯ หนฺทาหํ กลฺยาณํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา’ติ? โส เอวมาห – ‘นาสกฺขิสฺสํ, ภเนฺต, ปมาทสฺสํ, ภเนฺต’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ , bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, tassa te viññussa sato mahallakassa na etadahosi – ahampi khomhi maraṇadhammo, maraṇaṃ anatīto. Handāhaṃ kalyāṇaṃ karomi kāyena vācāya manasā’ti? So evamāha – ‘nāsakkhissaṃ, bhante, pamādassaṃ, bhante’’’ti.
‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา เอวมาห – ‘อโมฺภ ปุริส, ปมาทวตาย น กลฺยาณมกาสิ กาเยน วาจาย มนสาฯ ตคฺฆ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส, ตถา กริสฺสนฺติ ยถา ตํ ปมตฺตํฯ ตํ โข ปน เต เอตํ ปาปกมฺมํ เนว มาตรา กตํ น ปิตรา กตํ น ภาตรา กตํ น ภคินิยา กตํ น มิตฺตามเจฺจหิ กตํ น ญาติสาโลหิเตหิ กตํ น สมณพฺราหฺมเณหิ กตํ น เทวตาหิ กตํ, ตยาเวตํ ปาปกมฺมํ กตํ, ตฺวเญฺญเวตสฺส วิปากํ ปฎิสํเวทิสฺสสี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā evamāha – ‘ambho purisa, pamādavatāya na kalyāṇamakāsi kāyena vācāya manasā. Taggha tvaṃ, ambho purisa, tathā karissanti yathā taṃ pamattaṃ. Taṃ kho pana te etaṃ pāpakammaṃ neva mātarā kataṃ na pitarā kataṃ na bhātarā kataṃ na bhaginiyā kataṃ na mittāmaccehi kataṃ na ñātisālohitehi kataṃ na samaṇabrāhmaṇehi kataṃ na devatāhi kataṃ, tayāvetaṃ pāpakammaṃ kataṃ, tvaññevetassa vipākaṃ paṭisaṃvedissasī’’’ti.
๒๖๗. ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, ยโม ราชา ปญฺจมํ เทวทูตํ สมนุยุญฺชิตฺวา สมนุคาหิตฺวา สมนุภาสิตฺวา ตุณฺหี โหติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา ปญฺจวิธพนฺธนํ นาม กมฺมการณํ กโรนฺติ – ตตฺตํ อโยขิลํ หเตฺถ คเมนฺติ, ตตฺตํ อโยขิลํ ทุติเย หเตฺถ คเมนฺติ, ตตฺตํ อโยขิลํ ปาเท คเมนฺติ, ตตฺตํ อโยขิลํ ทุติเย ปาเท คเมนฺติ, ตตฺตํ อโยขิลํ มเชฺฌอุรสฺมิํ คเมนฺติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลํ กโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา สํเวเสตฺวา กุฐารีหิ ตจฺฉนฺติ…เป.… ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา อุทฺธํปาทํ อโธสิรํ คเหตฺวา วาสีหิ ตจฺฉนฺติ…เป.… ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา รเถ โยเชตฺวา อาทิตฺตาย ปถวิยา สมฺปชฺชลิตาย สโชติภูตาย สาเรนฺติปิ, ปจฺจาสาเรนฺติปิ…เป.… ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา มหนฺตํ องฺคารปพฺพตํ อาทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตํ อาโรเปนฺติปิ โอโรเปนฺติปิ…เป.… ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา อุทฺธํปาทํ อโธสิรํ คเหตฺวา ตตฺตาย โลหกุมฺภิยา ปกฺขิปนฺติ อาทิตฺตาย สมฺปชฺชลิตาย สโชติภูตายฯ โส ตตฺถ เผณุเทฺทหกํ ปจฺจติฯ โส ตตฺถ เผณุเทฺทหกํ ปจฺจมาโน สกิมฺปิ อุทฺธํ คจฺฉติ, สกิมฺปิ อโธ คจฺฉติ, สกิมฺปิ ติริยํ คจฺฉติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา มหานิรเย ปกฺขิปนฺติฯ โส โข ปน, ภิกฺขเว, มหานิรโย –
267. ‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, yamo rājā pañcamaṃ devadūtaṃ samanuyuñjitvā samanugāhitvā samanubhāsitvā tuṇhī hoti. Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā pañcavidhabandhanaṃ nāma kammakāraṇaṃ karonti – tattaṃ ayokhilaṃ hatthe gamenti, tattaṃ ayokhilaṃ dutiye hatthe gamenti, tattaṃ ayokhilaṃ pāde gamenti, tattaṃ ayokhilaṃ dutiye pāde gamenti, tattaṃ ayokhilaṃ majjheurasmiṃ gamenti. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṃ karoti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti. Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā saṃvesetvā kuṭhārīhi tacchanti…pe… tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā uddhaṃpādaṃ adhosiraṃ gahetvā vāsīhi tacchanti…pe… tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā rathe yojetvā ādittāya pathaviyā sampajjalitāya sajotibhūtāya sārentipi, paccāsārentipi…pe… tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā mahantaṃ aṅgārapabbataṃ ādittaṃ sampajjalitaṃ sajotibhūtaṃ āropentipi oropentipi…pe… tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā uddhaṃpādaṃ adhosiraṃ gahetvā tattāya lohakumbhiyā pakkhipanti ādittāya sampajjalitāya sajotibhūtāya. So tattha pheṇuddehakaṃ paccati. So tattha pheṇuddehakaṃ paccamāno sakimpi uddhaṃ gacchati, sakimpi adho gacchati, sakimpi tiriyaṃ gacchati. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti. Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā mahāniraye pakkhipanti. So kho pana, bhikkhave, mahānirayo –
‘‘จตุกฺกโณฺณ จตุทฺวาโร, วิภโตฺต ภาคโส มิโต;
‘‘Catukkaṇṇo catudvāro, vibhatto bhāgaso mito;
อโยปาการปริยโนฺต, อยสา ปฎิกุชฺชิโตฯ
Ayopākārapariyanto, ayasā paṭikujjito.
‘‘ตสฺส อโยมยา ภูมิ, ชลิตา เตชสายุตา;
‘‘Tassa ayomayā bhūmi, jalitā tejasāyutā;
สมนฺตา โยชนสตํ, ผริตฺวา ติฎฺฐติ สพฺพทา’’ ฯ
Samantā yojanasataṃ, pharitvā tiṭṭhati sabbadā’’ .
๒๖๘. ‘‘ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, มหานิรยสฺส ปุรตฺถิมาย ภิตฺติยา อจฺจิ อุฎฺฐหิตฺวา ปจฺฉิมาย ภิตฺติยา ปฎิหญฺญติ, ปจฺฉิมาย ภิตฺติยา อจฺจิ อุฎฺฐหิตฺวา ปุรตฺถิมาย ภิตฺติยา ปฎิหญฺญติ, อุตฺตราย ภิตฺติยา อจฺจิ อุฎฺฐหิตฺวา ทกฺขิณาย ภิตฺติยา ปฎิหญฺญติ, ทกฺขิณาย ภิตฺติยา อจฺจิ อุฎฺฐหิตฺวา อุตฺตราย ภิตฺติยา ปฎิหญฺญติ, เหฎฺฐา อจฺจิ อุฎฺฐหิตฺวา อุปริ ปฎิหญฺญติ, อุปริโต อจฺจิ อุฎฺฐหิตฺวา เหฎฺฐา ปฎิหญฺญติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
268. ‘‘Tassa kho pana, bhikkhave, mahānirayassa puratthimāya bhittiyā acci uṭṭhahitvā pacchimāya bhittiyā paṭihaññati, pacchimāya bhittiyā acci uṭṭhahitvā puratthimāya bhittiyā paṭihaññati, uttarāya bhittiyā acci uṭṭhahitvā dakkhiṇāya bhittiyā paṭihaññati, dakkhiṇāya bhittiyā acci uṭṭhahitvā uttarāya bhittiyā paṭihaññati, heṭṭhā acci uṭṭhahitvā upari paṭihaññati, uparito acci uṭṭhahitvā heṭṭhā paṭihaññati. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘โหติ โข โส, ภิกฺขเว, สมโย ยํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ตสฺส มหานิรยสฺส ปุรตฺถิมํ ทฺวารํ อปาปุรียติ 13ฯ โส ตตฺถ สีเฆน ชเวน ธาวติฯ ตสฺส สีเฆน ชเวน ธาวโต ฉวิมฺปิ ฑยฺหติ, จมฺมมฺปิ ฑยฺหติ, มํสมฺปิ ฑยฺหติ, นฺหารุมฺปิ ฑยฺหติ, อฎฺฐีนิปิ สมฺปธูปายนฺติ, อุพฺภตํ ตาทิสเมว โหติฯ ยโต จ โข โส, ภิกฺขเว, พหุสมฺปโตฺต โหติ, อถ ตํ ทฺวารํ ปิธียติ 14ฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
‘‘Hoti kho so, bhikkhave, samayo yaṃ kadāci karahaci dīghassa addhuno accayena tassa mahānirayassa puratthimaṃ dvāraṃ apāpurīyati 15. So tattha sīghena javena dhāvati. Tassa sīghena javena dhāvato chavimpi ḍayhati, cammampi ḍayhati, maṃsampi ḍayhati, nhārumpi ḍayhati, aṭṭhīnipi sampadhūpāyanti, ubbhataṃ tādisameva hoti. Yato ca kho so, bhikkhave, bahusampatto hoti, atha taṃ dvāraṃ pidhīyati 16. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘โหติ โข โส, ภิกฺขเว, สมโย ยํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ตสฺส มหานิรยสฺส ปจฺฉิมํ ทฺวารํ อปาปุรียติ…เป.… อุตฺตรํ ทฺวารํ อปาปุรียติ…เป.… ทกฺขิณํ ทฺวารํ อปาปุรียติ ฯ โส ตตฺถ สีเฆน ชเวน ธาวติฯ ตสฺส สีเฆน ชเวน ธาวโต ฉวิมฺปิ ฑยฺหติ, จมฺมมฺปิ ฑยฺหติ, มํสมฺปิ ฑยฺหติ, นฺหารุมฺปิ ฑยฺหติ, อฎฺฐีนิปิ สมฺปธูปายนฺติ, อุพฺภตํ ตาทิสเมว โหติฯ ยโต จ โข โส, ภิกฺขเว, พหุสมฺปโตฺต โหติ, อถ ตํ ทฺวารํ ปิธียติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
‘‘Hoti kho so, bhikkhave, samayo yaṃ kadāci karahaci dīghassa addhuno accayena tassa mahānirayassa pacchimaṃ dvāraṃ apāpurīyati…pe… uttaraṃ dvāraṃ apāpurīyati…pe… dakkhiṇaṃ dvāraṃ apāpurīyati . So tattha sīghena javena dhāvati. Tassa sīghena javena dhāvato chavimpi ḍayhati, cammampi ḍayhati, maṃsampi ḍayhati, nhārumpi ḍayhati, aṭṭhīnipi sampadhūpāyanti, ubbhataṃ tādisameva hoti. Yato ca kho so, bhikkhave, bahusampatto hoti, atha taṃ dvāraṃ pidhīyati. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘โหติ โข โส, ภิกฺขเว, สมโย ยํ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ตสฺส มหานิรยสฺส ปุรตฺถิมํ ทฺวารํ อปาปุรียติฯ โส ตตฺถ สีเฆน ชเวน ธาวติฯ ตสฺส สีเฆน ชเวน ธาวโต ฉวิมฺปิ ฑยฺหติ, จมฺมมฺปิ ฑยฺหติ, มํสมฺปิ ฑยฺหติ, นฺหารุมฺปิ ฑยฺหติ, อฎฺฐีนิปิ สมฺปธูปายนฺติ, อุพฺภตํ ตาทิสเมว โหติฯ โส เตน ทฺวาเรน นิกฺขมติฯ
‘‘Hoti kho so, bhikkhave, samayo yaṃ kadāci karahaci dīghassa addhuno accayena tassa mahānirayassa puratthimaṃ dvāraṃ apāpurīyati. So tattha sīghena javena dhāvati. Tassa sīghena javena dhāvato chavimpi ḍayhati, cammampi ḍayhati, maṃsampi ḍayhati, nhārumpi ḍayhati, aṭṭhīnipi sampadhūpāyanti, ubbhataṃ tādisameva hoti. So tena dvārena nikkhamati.
๒๖๙. ‘‘ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, มหานิรยสฺส สมนนฺตรา สหิตเมว มหโนฺต คูถนิรโยฯ โส ตตฺถ ปตติฯ ตสฺมิํ โข ปน, ภิกฺขเว, คูถนิรเย สูจิมุขา ปาณา ฉวิํ ฉินฺทนฺติ, ฉวิํ เฉตฺวา จมฺมํ ฉินฺทนฺติ, จมฺมํ เฉตฺวา มํสํ ฉินฺทนฺติ, มํสํ เฉตฺวา นฺหารุํ ฉินฺทนฺติ, นฺหารุํ เฉตฺวา อฎฺฐิํ ฉินฺทนฺติ, อฎฺฐิํ เฉตฺวา อฎฺฐิมิญฺชํ ขาทนฺติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
269. ‘‘Tassa kho pana, bhikkhave, mahānirayassa samanantarā sahitameva mahanto gūthanirayo. So tattha patati. Tasmiṃ kho pana, bhikkhave, gūthaniraye sūcimukhā pāṇā chaviṃ chindanti, chaviṃ chetvā cammaṃ chindanti, cammaṃ chetvā maṃsaṃ chindanti, maṃsaṃ chetvā nhāruṃ chindanti, nhāruṃ chetvā aṭṭhiṃ chindanti, aṭṭhiṃ chetvā aṭṭhimiñjaṃ khādanti. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, คูถนิรยสฺส สมนนฺตรา สหิตเมว มหโนฺต กุกฺกุลนิรโยฯ โส ตตฺถ ปตติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
‘‘Tassa kho pana, bhikkhave, gūthanirayassa samanantarā sahitameva mahanto kukkulanirayo. So tattha patati. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, กุกฺกุลนิรยสฺส สมนนฺตรา สหิตเมว มหนฺตํ สิมฺพลิวนํ อุทฺธํ 17 โยชนมุคฺคตํ โสฬสงฺคุลกณฺฎกํ 18 อาทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตํฯ ตตฺถ อาโรเปนฺติปิ โอโรเปนฺติปิฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
‘‘Tassa kho pana, bhikkhave, kukkulanirayassa samanantarā sahitameva mahantaṃ simbalivanaṃ uddhaṃ 19 yojanamuggataṃ soḷasaṅgulakaṇṭakaṃ 20 ādittaṃ sampajjalitaṃ sajotibhūtaṃ. Tattha āropentipi oropentipi. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, สิมฺพลิวนสฺส สมนนฺตรา สหิตเมว มหนฺตํ อสิปตฺตวนํฯ โส ตตฺถ ปวิสติฯ ตสฺส วาเตริตานิ ปตฺตานิ ปติตานิ หตฺถมฺปิ ฉินฺทนฺติ, ปาทมฺปิ ฉินฺทนฺติ, หตฺถปาทมฺปิ ฉินฺทนฺติ, กณฺณมฺปิ ฉินฺทนฺติ, นาสมฺปิ ฉินฺทนฺติ, กณฺณนาสมฺปิ ฉินฺทนฺติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
‘‘Tassa kho pana, bhikkhave, simbalivanassa samanantarā sahitameva mahantaṃ asipattavanaṃ. So tattha pavisati. Tassa vāteritāni pattāni patitāni hatthampi chindanti, pādampi chindanti, hatthapādampi chindanti, kaṇṇampi chindanti, nāsampi chindanti, kaṇṇanāsampi chindanti. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, อสิปตฺตวนสฺส สมนนฺตรา สหิตเมว มหตี ขาโรทกา นที 21ฯ โส ตตฺถ ปตติฯ โส ตตฺถ อนุโสตมฺปิ วุยฺหติ , ปฎิโสตมฺปิ วุยฺหติ, อนุโสตปฎิโสตมฺปิ วุยฺหติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
‘‘Tassa kho pana, bhikkhave, asipattavanassa samanantarā sahitameva mahatī khārodakā nadī 22. So tattha patati. So tattha anusotampi vuyhati , paṭisotampi vuyhati, anusotapaṭisotampi vuyhati. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
๒๗๐. ‘‘ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา พลิเสน อุทฺธริตฺวา ถเล ปติฎฺฐาเปตฺวา เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ ปุริส, กิํ อิจฺฉสี’ติ? โส เอวมาห – ‘ชิฆจฺฉิโตสฺมิ, ภเนฺต’ติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา ตเตฺตน อโยสงฺกุนา มุขํ วิวริตฺวา อาทิเตฺตน สมฺปชฺชลิเตน สโชติภูเตน ตตฺตํ โลหคุฬํ มุเข ปกฺขิปนฺติ อาทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตํฯ โส ตสฺส 23 โอฎฺฐมฺปิ ทหติ 24, มุขมฺปิ ทหติ, กณฺฐมฺปิ ทหติ, อุรมฺปิ 25 ทหติ, อนฺตมฺปิ อนฺตคุณมฺปิ อาทาย อโธภาคา นิกฺขมติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ
270. ‘‘Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā balisena uddharitvā thale patiṭṭhāpetvā evamāhaṃsu – ‘ambho purisa, kiṃ icchasī’ti? So evamāha – ‘jighacchitosmi, bhante’ti. Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā tattena ayosaṅkunā mukhaṃ vivaritvā ādittena sampajjalitena sajotibhūtena tattaṃ lohaguḷaṃ mukhe pakkhipanti ādittaṃ sampajjalitaṃ sajotibhūtaṃ. So tassa 26 oṭṭhampi dahati 27, mukhampi dahati, kaṇṭhampi dahati, urampi 28 dahati, antampi antaguṇampi ādāya adhobhāgā nikkhamati. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti.
‘‘ตเมนํ , ภิกฺขเว, นิรยปาลา เอวมาหํสุ – ‘อโมฺภ ปุริส, กิํ อิจฺฉสี’ติ? โส เอวมาห – ‘ปิปาสิโตสฺมิ, ภเนฺต’ติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา ตเตฺตน อโยสงฺกุนา มุขํ วิวริตฺวา อาทิเตฺตน สมฺปชฺชลิเตน สโชติภูเตน ตตฺตํ ตมฺพโลหํ มุเข อาสิญฺจนฺติ อาทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตํฯ ตํ ตสฺส 29 โอฎฺฐมฺปิ ทหติ, มุขมฺปิ ทหติ, กณฺฐมฺปิ ทหติ, อุรมฺปิ ทหติ, อนฺตมฺปิ อนฺตคุณมฺปิ อาทาย อโธภาคา นิกฺขมติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฎุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลงฺกโรติ, ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา ปุน มหานิรเย ปกฺขิปนฺติฯ
‘‘Tamenaṃ , bhikkhave, nirayapālā evamāhaṃsu – ‘ambho purisa, kiṃ icchasī’ti? So evamāha – ‘pipāsitosmi, bhante’ti. Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā tattena ayosaṅkunā mukhaṃ vivaritvā ādittena sampajjalitena sajotibhūtena tattaṃ tambalohaṃ mukhe āsiñcanti ādittaṃ sampajjalitaṃ sajotibhūtaṃ. Taṃ tassa 30 oṭṭhampi dahati, mukhampi dahati, kaṇṭhampi dahati, urampi dahati, antampi antaguṇampi ādāya adhobhāgā nikkhamati. So tattha dukkhā tibbā kharā kaṭukā vedanā vedeti, na ca tāva kālaṅkaroti, yāva na taṃ pāpakammaṃ byantīhoti. Tamenaṃ, bhikkhave, nirayapālā puna mahāniraye pakkhipanti.
‘‘ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, ยมสฺส รโญฺญ เอตทโหสิ – ‘เย กิร , โภ, โลเก ปาปกานิ อกุสลานิ กมฺมานิ กโรนฺติ เต เอวรูปา วิวิธา กมฺมการณา กรียนฺติฯ อโห วตาหํ มนุสฺสตฺตํ ลเภยฺยํฯ ตถาคโต จ โลเก อุปฺปเชฺชยฺย อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ ตญฺจาหํ ภควนฺตํ ปยิรุปาเสยฺยํฯ โส จ เม ภควา ธมฺมํ เทเสยฺยฯ ตสฺส จาหํ ภควโต ธมฺมํ อาชาเนยฺย’นฺติฯ ตํ โข ปนาหํ, ภิกฺขเว, นาญฺญสฺส สมณสฺส วา พฺราหฺมณสฺส วา สุตฺวา วทามิ, อปิ จ ยเทว สามํ ญาตํ สามํ ทิฎฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทวาหํ วทามี’’ติฯ
‘‘Bhūtapubbaṃ, bhikkhave, yamassa rañño etadahosi – ‘ye kira , bho, loke pāpakāni akusalāni kammāni karonti te evarūpā vividhā kammakāraṇā karīyanti. Aho vatāhaṃ manussattaṃ labheyyaṃ. Tathāgato ca loke uppajjeyya arahaṃ sammāsambuddho. Tañcāhaṃ bhagavantaṃ payirupāseyyaṃ. So ca me bhagavā dhammaṃ deseyya. Tassa cāhaṃ bhagavato dhammaṃ ājāneyya’nti. Taṃ kho panāhaṃ, bhikkhave, nāññassa samaṇassa vā brāhmaṇassa vā sutvā vadāmi, api ca yadeva sāmaṃ ñātaṃ sāmaṃ diṭṭhaṃ sāmaṃ viditaṃ tadevāhaṃ vadāmī’’ti.
๒๗๑. อิทมโวจ ภควาฯ อิทํ วตฺวาน 31 สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา –
271. Idamavoca bhagavā. Idaṃ vatvāna 32 sugato athāparaṃ etadavoca satthā –
‘‘โจทิตา เทวทูเตหิ, เย ปมชฺชนฺติ มาณวา;
‘‘Coditā devadūtehi, ye pamajjanti māṇavā;
เต ทีฆรตฺตํ โสจนฺติ, หีนกายูปคา นราฯ
Te dīgharattaṃ socanti, hīnakāyūpagā narā.
‘‘เย จ โข เทวทูเตหิ, สโนฺต สปฺปุริสา อิธ;
‘‘Ye ca kho devadūtehi, santo sappurisā idha;
โจทิตา นปฺปมชฺชนฺติ, อริยธเมฺม กุทาจนํฯ
Coditā nappamajjanti, ariyadhamme kudācanaṃ.
‘‘อุปาทาเน ภยํ ทิสฺวา, ชาติมรณสมฺภเว;
‘‘Upādāne bhayaṃ disvā, jātimaraṇasambhave;
อนุปาทา วิมุจฺจนฺติ, ชาติมรณสงฺขเยฯ
Anupādā vimuccanti, jātimaraṇasaṅkhaye.
‘‘เต เขมปฺปตฺตา สุขิโน, ทิฎฺฐธมฺมาภินิพฺพุตา;
‘‘Te khemappattā sukhino, diṭṭhadhammābhinibbutā;
เทวทูตสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทสมํฯ
Devadūtasuttaṃ niṭṭhitaṃ dasamaṃ.
สุญฺญตวโคฺค นิฎฺฐิโต ตติโยฯ
Suññatavaggo niṭṭhito tatiyo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
ทฺวิธาว สุญฺญตา โหติ, อพฺภุตธมฺมพากุลํ;
Dvidhāva suññatā hoti, abbhutadhammabākulaṃ;
อจิรวตภูมิชนาโม, อนุรุทฺธุปกฺกิเลสํ;
Aciravatabhūmijanāmo, anuruddhupakkilesaṃ;
พาลปณฺฑิโต เทวทูตญฺจ เต ทสาติฯ
Bālapaṇḍito devadūtañca te dasāti.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. เทวทูตสุตฺตวณฺณนา • 10. Devadūtasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. เทวทูตสุตฺตวณฺณนา • 10. Devadūtasuttavaṇṇanā