Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๑๐. เทวทูตสุตฺตวณฺณนา

    10. Devadūtasuttavaṇṇanā

    ๒๖๑. เทฺว อคาราติอาทีติ อาทิ-สเทฺทน ‘‘สทฺวารา…เป.… อนุวิจรเนฺตปี’’ติ เอตมตฺถํ สงฺคณฺหาติฯ เอตฺตกเมว หิ อสฺสปุรสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๔๓๒; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๔๓๒) วิตฺถาริตํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ทิเพฺพน จกฺขุนา’’ติอาทิ ปน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๓๙๗) ตถา วิตฺถาริตมฺปิ สุตฺตสํวณฺณนา โหตีติ กตฺวา, ‘‘อสฺสปุรสุเตฺต วิตฺถาริตเมวา’’ติ วุตฺตํฯ

    261.Dveagārātiādīti ādi-saddena ‘‘sadvārā…pe… anuvicarantepī’’ti etamatthaṃ saṅgaṇhāti. Ettakameva hi assapurasutte (ma. ni. 1.432; ma. ni. aṭṭha. 1.432) vitthāritaṃ veditabbaṃ. ‘‘Dibbena cakkhunā’’tiādi pana visuddhimagge (visuddhi. 2.397) tathā vitthāritampi suttasaṃvaṇṇanā hotīti katvā, ‘‘assapurasutte vitthāritamevā’’ti vuttaṃ.

    ๒๖๒. นิรยโต ปฎฺฐาย เทสนํ เทวโลเกน โอสาเปตีติ สํกิเลสธเมฺมหิ สํเวเชตฺวา โวทานธเมฺมหิ นิฎฺฐาเปโนฺตฯ ทุติยํ ปน วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ตทิทํ เวเนยฺยชฺฌาสยวิสิฎฺฐนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อิทานิ สงฺขิปิตฺวา วุตฺตมตฺถํ วิวริตุํ, ‘‘สเจ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ โสติ ภควาฯ

    262.Nirayato paṭṭhāya desanaṃ devalokena osāpetīti saṃkilesadhammehi saṃvejetvā vodānadhammehi niṭṭhāpento. Dutiyaṃ pana vuttavipariyāyena veditabbaṃ, tadidaṃ veneyyajjhāsayavisiṭṭhanti daṭṭhabbaṃ. Idāni saṅkhipitvā vuttamatthaṃ vivarituṃ, ‘‘sace’’tiādi vuttaṃ. Soti bhagavā.

    เอกเจฺจ เถราติ (กถา. อนุฎี. ๘๖๖-๘๖๘; อ. นิ. ฎี. ๒.๓.๓๖) อนฺธกาทิเก, วิญฺญาณวาทิโน จ สนฺธาย วทติฯ เนรยิเก นิรเย ปาเลนฺติ ตโต นิคฺคนฺตุมปฺปทานวเสน รกฺขนฺตีติ นิรยปาลาฯ เนรยิกานํ นรกทุเกฺขน ปริโยนทฺธาย อลํ สมตฺถาติ วา นิรยปาลาฯ ตนฺติ ‘‘นตฺถิ นิรยปาลา’’ติวจนํฯ ปฎิเสธิตเมวาติ ‘‘อตฺถิ นิรเย นิรยปาลา, อตฺถิ จ การณิกา’’ติอาทินา นเยน อภิธเมฺม (กถา. ๘๖๖) ปฎิเสธิตเมวฯ ยทิ นิรยปาลา นาม น สิยุํ, กมฺมการณาปิ น ภเวยฺยฯ สติ หิ การณิเก กมฺมการณาย ภวิตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘ยถา หี’’ติอาทิฯ เอตฺถาห – ‘‘กิํ ปเนเต นิรยปาลา เนรยิกา, อุทาหุ อเนรยิกา’’ติฯ กิเญฺจตฺถ – ยทิ ตาว เนรยิกา, อิเม นิรยสํวตฺตนิเยน กมฺมุนา นิพฺพตฺตาติ สยมฺปิ นิรยทุกฺขํ อนุภเวยฺยุํ, ตถา สติ อเญฺญสํ เนรยิกานํ ยาตนาย อสมตฺถา สิยุํ, ‘‘อิเม เนรยิกา, อิเม นิรยปาลา’’ติ ววตฺถานญฺจ น สิยา, เย จ เย ยาเตนฺติ, เตหิ สมานรูปพลปฺปมาเณหิ อิตเรสํ ภยสนฺตาสา น สิยุํฯ อถ อเนรยิกา, เนสํ ตตฺถ กถํ สมฺภโวติ วุจฺจเต – อเนรยิกา นิรยปาลา อนิรยคติสํวตฺตนิยกมฺมนิพฺพตฺติโตฯ นิรยูปปตฺติสํวตฺตนิยกมฺมโต หิ อเญฺญเนว กมฺมุนา เต นิพฺพตฺตนฺติ รกฺขสชาติกตฺตาฯ ตถา หิ วทนฺติ สพฺพตฺถิวาทิโน –

    Ekaccetherāti (kathā. anuṭī. 866-868; a. ni. ṭī. 2.3.36) andhakādike, viññāṇavādino ca sandhāya vadati. Nerayike niraye pālenti tato niggantumappadānavasena rakkhantīti nirayapālā. Nerayikānaṃ narakadukkhena pariyonaddhāya alaṃ samatthāti vā nirayapālā. Tanti ‘‘natthi nirayapālā’’tivacanaṃ. Paṭisedhitamevāti ‘‘atthi niraye nirayapālā, atthi ca kāraṇikā’’tiādinā nayena abhidhamme (kathā. 866) paṭisedhitameva. Yadi nirayapālā nāma na siyuṃ, kammakāraṇāpi na bhaveyya. Sati hi kāraṇike kammakāraṇāya bhavitabbanti adhippāyo. Tenāha ‘‘yathā hī’’tiādi. Etthāha – ‘‘kiṃ panete nirayapālā nerayikā, udāhu anerayikā’’ti. Kiñcettha – yadi tāva nerayikā, ime nirayasaṃvattaniyena kammunā nibbattāti sayampi nirayadukkhaṃ anubhaveyyuṃ, tathā sati aññesaṃ nerayikānaṃ yātanāya asamatthā siyuṃ, ‘‘ime nerayikā, ime nirayapālā’’ti vavatthānañca na siyā, ye ca ye yātenti, tehi samānarūpabalappamāṇehi itaresaṃ bhayasantāsā na siyuṃ. Atha anerayikā, nesaṃ tattha kathaṃ sambhavoti vuccate – anerayikā nirayapālā anirayagatisaṃvattaniyakammanibbattito. Nirayūpapattisaṃvattaniyakammato hi aññeneva kammunā te nibbattanti rakkhasajātikattā. Tathā hi vadanti sabbatthivādino –

    ‘‘โกธนา กุรูรกมฺมนฺตา, ปาปาภิรุจิโน สทา;

    ‘‘Kodhanā kurūrakammantā, pāpābhirucino sadā;

    ทุกฺขิเตสุ จ นนฺทนฺติ, ชายนฺติ ยมรกฺขสา’’ติฯ (กถา. อนุฎี. ๘๖๖-๘๖๘; อ. นิ. ฎี. ๒.๓.๓๖);

    Dukkhitesu ca nandanti, jāyanti yamarakkhasā’’ti. (kathā. anuṭī. 866-868; a. ni. ṭī. 2.3.36);

    ตตฺถ ยเทเก วทนฺติ ‘‘ยาตนาทุกฺขํ ปฎิสํเวเทยฺยุํ, อถ วา อญฺญมญฺญํ ยาเตยฺยุ’’นฺติอาทิ, ตยิทํ อสารํ นิรยปาลานํ เนรยิกภาวเสฺสว อภาวโตฯ ยทิปิ อเนรยิกา นิรยปาลา, อโยมยาย ปน อาทิตฺตาย สมฺปชฺชลิตาย สโชติภูตาย นิรยภูมิยา ปริกฺกมมานา กถํ ทาหทุกฺขํ นานุภวนฺตีติ? กมฺมานุภาวโตฯ ยถา หิ อิทฺธิมโนฺต เจโตวสิปฺปตฺตา มหาโมคฺคลฺลานาทโย เนรยิเก อนุกมฺปนฺตา อิทฺธิพเลน นิรยภูมิํ อุปคตา ทาหทุเกฺขน น พาธียนฺติ, เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Tattha yadeke vadanti ‘‘yātanādukkhaṃ paṭisaṃvedeyyuṃ, atha vā aññamaññaṃ yāteyyu’’ntiādi, tayidaṃ asāraṃ nirayapālānaṃ nerayikabhāvasseva abhāvato. Yadipi anerayikā nirayapālā, ayomayāya pana ādittāya sampajjalitāya sajotibhūtāya nirayabhūmiyā parikkamamānā kathaṃ dāhadukkhaṃ nānubhavantīti? Kammānubhāvato. Yathā hi iddhimanto cetovasippattā mahāmoggallānādayo nerayike anukampantā iddhibalena nirayabhūmiṃ upagatā dāhadukkhena na bādhīyanti, evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ.

    อิทฺธิวิสยสฺส อจิเนฺตยฺยภาวโตติ เจ? อิทมฺปิ ตํสมานํ กมฺมวิปากสฺส อจิเนฺตยฺยภาวโตฯ ตถารูเปน หิ กมฺมุนา เต นิพฺพตฺตาฯ ยถา นิรยทุเกฺขน อพาธิตา เอว หุตฺวา เนรยิเก ยาเตนฺติ, น เจตฺตเกน พาหิรวิสยาภาโว ยุชฺชติ อิฎฺฐานิฎฺฐตาย ปเจฺจกํ ทฺวารปุริเสสุ วิภตฺตสภาวตฺตาฯ ตถา หิ เอกจฺจสฺส ทฺวารสฺส ปุริสสฺส จ อิฎฺฐํ เอกจฺจสฺส อนิฎฺฐํ, เอกจฺจสฺส จ อนิฎฺฐํ เอกจฺจสฺส อิฎฺฐํ โหติฯ เอวญฺจ กตฺวา ยเทเก วทนฺติ – ‘‘นตฺถิ กมฺมวเสน เตชสา ปรูปตาปน’’นฺติอาทิ, ตทปาหตํ โหติฯ ยํ ปน วทนฺติ – ‘‘อเนรยิกานํ เนสํ กถํ ตตฺถ สมฺภโว’’ติ นิรเย เนรยิกานํ ยาตนาสพฺภาวโตฯ เนรยิกสตฺตยาตนาโยคฺยญฺหิ อตฺตภาวํ นิพฺพเตฺตนฺตํ กมฺมํ ตาทิสนิกนฺติวินามิตํ นิรยฎฺฐาเนเยว นิพฺพเตฺตติฯ เต จ เนรยิเกหิ อธิกตรพลาโรหปริณาหา อติวิย ภยานกทสฺสนา กุรูรตรปโยคา จ โหนฺติฯ เอเตเนว ตตฺถ เนรยิกานํ วิพาธกกากสุนขาทีนมฺปิ นิพฺพตฺติ สํวณฺณิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Iddhivisayassa acinteyyabhāvatoti ce? Idampi taṃsamānaṃ kammavipākassa acinteyyabhāvato. Tathārūpena hi kammunā te nibbattā. Yathā nirayadukkhena abādhitā eva hutvā nerayike yātenti, na cettakena bāhiravisayābhāvo yujjati iṭṭhāniṭṭhatāya paccekaṃ dvārapurisesu vibhattasabhāvattā. Tathā hi ekaccassa dvārassa purisassa ca iṭṭhaṃ ekaccassa aniṭṭhaṃ, ekaccassa ca aniṭṭhaṃ ekaccassa iṭṭhaṃ hoti. Evañca katvā yadeke vadanti – ‘‘natthi kammavasena tejasā parūpatāpana’’ntiādi, tadapāhataṃ hoti. Yaṃ pana vadanti – ‘‘anerayikānaṃ nesaṃ kathaṃ tattha sambhavo’’ti niraye nerayikānaṃ yātanāsabbhāvato. Nerayikasattayātanāyogyañhi attabhāvaṃ nibbattentaṃ kammaṃ tādisanikantivināmitaṃ nirayaṭṭhāneyeva nibbatteti. Te ca nerayikehi adhikatarabalārohapariṇāhā ativiya bhayānakadassanā kurūratarapayogā ca honti. Eteneva tattha nerayikānaṃ vibādhakakākasunakhādīnampi nibbatti saṃvaṇṇitāti daṭṭhabbaṃ.

    กถํ อญฺญคติเกหิ อญฺญคติกพาธนนฺติ จ น วตฺตพฺพํ อญฺญตฺถาปิ ตถา ทสฺสนโตฯ ยํ ปเนเก วทนฺติ – ‘‘อสตฺตสภาวา เอว นิรยปาลา นิรยสุนขาทโย จา’’ติ ตมฺปิ เตสํ มติมตฺตํ อญฺญตฺถ ตถา อทสฺสนโตฯ น หิ กาจิ อตฺถิ ตาทิสี ธมฺมปฺปวตฺติ, ยา อสตฺตสภาวา, สมฺปติสเตฺตหิ อปฺปโยชิตา จ สตฺตกิจฺจํ สาเธนฺตี ทิฎฺฐปุพฺพาฯ เปตานํ ปานียนิวารกานํ ทณฺฑาทิหตฺถปุริสานมฺปิ สพฺภาเว, อสตฺตภาเว จ วิเสสการณํ นตฺถิฯ สุปิโนปฆาโตปิ อตฺถิ, กิจฺจสมตฺถตา ปน อปฺปมาณํ ทสฺสนาทิมเตฺตนปิ ตทตฺถสิทฺธิโตฯ ตถา หิ สุปิเน อาหารูปโภคาทินา น อตฺถสิทฺธิ, อิทฺธินิมฺมานรูปํ ปเนตฺถ ลทฺธปริหารํ อิทฺธิวิสยสฺส อจิเนฺตยฺยภาวโตฯ อิธาปิ กมฺมวิปากสฺส อจิเนฺตยฺยภาวโตติ เจ? ตํ น, อสิทฺธตฺตาฯ เนรยิกานํ กมฺมวิปากโต นิรยปาลาติ อสิทฺธเมตํ, วุตฺตนเยน ปน ปาฬิโต จ เตสํ สตฺตภาโว เอว สิโทฺธติฯ สกฺกา หิ วตฺตุํ, ‘‘สตฺตสงฺขาตา นิรยปาลสญฺญิตา ธมฺมปฺปวตฺติ สาภิสนฺธิกปรูปฆาตี อตฺถิ กิจฺจสพฺภาวโต โอชาหาราทิรกฺขสสนฺตติ วิยา’’ติฯ อภิสนฺธิปุพฺพกตา เจตฺถ น สกฺกา ปฎิกฺขิปิตุํ ตถา ตถา อภิสนฺธิยา ยาตนโต, ตโต เอว น สงฺฆาตปพฺพตาทีหิ อเนกนฺติกตาฯ เย ปน วทนฺติ – ‘‘ภูตวิเสสา เอว เอเต วณฺณสณฺฐานาทิวิเสสวโนฺต เภรวาการา ‘นรกปาลา’ติ สมญฺญํ ลภนฺตี’’ติฯ ตทสิทฺธํ อุชุกเมว ปาฬิยํ, – ‘‘อตฺถิ นิรเยสุ นิรยปาลา’’ติ (กถา. ๘๖๖) วาทสฺส ปติฎฺฐาปิตตฺตาฯ

    Kathaṃ aññagatikehi aññagatikabādhananti ca na vattabbaṃ aññatthāpi tathā dassanato. Yaṃ paneke vadanti – ‘‘asattasabhāvā eva nirayapālā nirayasunakhādayo cā’’ti tampi tesaṃ matimattaṃ aññattha tathā adassanato. Na hi kāci atthi tādisī dhammappavatti, yā asattasabhāvā, sampatisattehi appayojitā ca sattakiccaṃ sādhentī diṭṭhapubbā. Petānaṃ pānīyanivārakānaṃ daṇḍādihatthapurisānampi sabbhāve, asattabhāve ca visesakāraṇaṃ natthi. Supinopaghātopi atthi, kiccasamatthatā pana appamāṇaṃ dassanādimattenapi tadatthasiddhito. Tathā hi supine āhārūpabhogādinā na atthasiddhi, iddhinimmānarūpaṃ panettha laddhaparihāraṃ iddhivisayassa acinteyyabhāvato. Idhāpi kammavipākassa acinteyyabhāvatoti ce? Taṃ na, asiddhattā. Nerayikānaṃ kammavipākato nirayapālāti asiddhametaṃ, vuttanayena pana pāḷito ca tesaṃ sattabhāvo eva siddhoti. Sakkā hi vattuṃ, ‘‘sattasaṅkhātā nirayapālasaññitā dhammappavatti sābhisandhikaparūpaghātī atthi kiccasabbhāvato ojāhārādirakkhasasantati viyā’’ti. Abhisandhipubbakatā cettha na sakkā paṭikkhipituṃ tathā tathā abhisandhiyā yātanato, tato eva na saṅghātapabbatādīhi anekantikatā. Ye pana vadanti – ‘‘bhūtavisesā eva ete vaṇṇasaṇṭhānādivisesavanto bheravākārā ‘narakapālā’ti samaññaṃ labhantī’’ti. Tadasiddhaṃ ujukameva pāḷiyaṃ, – ‘‘atthi nirayesu nirayapālā’’ti (kathā. 866) vādassa patiṭṭhāpitattā.

    อปิจ ยถา อริยวินเย นรกปาลานํ ภูตมตฺตตา อสิทฺธา, ตถา ปญฺญตฺติมตฺตวาทิโนปิ เตสํ ภูตมตฺตตา อสิทฺธาว สพฺพโส รูปธมฺมานํ อตฺถิ ภาวเสฺสว อปฺปฎิชานนโตฯ น หิ ตสฺส ภูตานิ นาม ปรมตฺถโต สนฺติฯ ยทิ ปรมตฺถํ คเหตฺวา โวหรติ, อถ กสฺมา จกฺขุรูปาทีนิ ปฎิกฺขิปตีติ? ติฎฺฐเตสา อนวฎฺฐิตตกฺกานํ อปฺปหีนสโมฺมหวิปลฺลาสานํ วาทวีมํสา, เอวํ, ‘‘อเตฺถว นิรเย นิรยปาลา’’ติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ สติ จ เนสํ สพฺภาเว, อสติปิ พาหิเร วิสเย นรเก วิย เทสาทินิยโม โหตีติ วาโท น สิชฺฌติ, สติ เอว ปน พาหิเร วิสเย เทสาทินิยโมติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Apica yathā ariyavinaye narakapālānaṃ bhūtamattatā asiddhā, tathā paññattimattavādinopi tesaṃ bhūtamattatā asiddhāva sabbaso rūpadhammānaṃ atthi bhāvasseva appaṭijānanato. Na hi tassa bhūtāni nāma paramatthato santi. Yadi paramatthaṃ gahetvā voharati, atha kasmā cakkhurūpādīni paṭikkhipatīti? Tiṭṭhatesā anavaṭṭhitatakkānaṃ appahīnasammohavipallāsānaṃ vādavīmaṃsā, evaṃ, ‘‘attheva niraye nirayapālā’’ti niṭṭhamettha gantabbaṃ. Sati ca nesaṃ sabbhāve, asatipi bāhire visaye narake viya desādiniyamo hotīti vādo na sijjhati, sati eva pana bāhire visaye desādiniyamoti daṭṭhabbaṃ.

    เทวทูตสราปนวเสน สเตฺต ยถูปจิเต ปุญฺญกเมฺม ยเมติ นิยเมตีติ ยโม, ตสฺส ยมสฺส เวมานิกเปตานํ ราชภาวโต รโญฺญฯ เตนาห – ‘‘ยมราชา นาม เวมานิกเปตราชา’’ติฯ กมฺมวิปากนฺติ อกุสลกมฺมวิปากํฯ เวมานิกเปตาติ กณฺหสุกฺกวเสน มิสฺสกกมฺมํ กตฺวา วินิปาติกเทวตา วิย สุเกฺกน กมฺมุนา ปฎิสนฺธิํ คณฺหนฺติฯ ตถา หิ เต มคฺคผลภาคิโนปิ โหนฺติ, ปวตฺติยํ ปน กมฺมานุรูปํ กทาจิ ปุญฺญผลํ, กทาจิ อปุญฺญผลํ ปจฺจนุภวนฺติฯ เยสํ ปน อริยมโคฺค อุปฺปชฺชติ, เตสํ มคฺคาธิคมโต ปฎฺฐาย ปุญฺญผลเมว อุปฺปชฺชตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ อปุญฺญผลํ ปุเพฺพ วิย กฎุกํ น โหติฯ มนุสฺสตฺตภาเว ฐิตานํ มุทุกเมว โหตีติ อปเรฯ ธมฺมิโก ราชาติ เอตฺถ ตสฺส ธมฺมิกภาโว ธมฺมเทวปุตฺตสฺส วิย อุปฺปตฺตินิยมิตธมฺมวเสเนว เวทิตโพฺพฯ ทฺวาเรสูติ อวีจิมหานรกสฺส จตูสุ ทฺวาเรสุฯ

    Devadūtasarāpanavasena satte yathūpacite puññakamme yameti niyametīti yamo, tassa yamassa vemānikapetānaṃ rājabhāvato rañño. Tenāha – ‘‘yamarājā nāma vemānikapetarājā’’ti. Kammavipākanti akusalakammavipākaṃ. Vemānikapetāti kaṇhasukkavasena missakakammaṃ katvā vinipātikadevatā viya sukkena kammunā paṭisandhiṃ gaṇhanti. Tathā hi te maggaphalabhāginopi honti, pavattiyaṃ pana kammānurūpaṃ kadāci puññaphalaṃ, kadāci apuññaphalaṃ paccanubhavanti. Yesaṃ pana ariyamaggo uppajjati, tesaṃ maggādhigamato paṭṭhāya puññaphalameva uppajjatīti daṭṭhabbaṃ. Apuññaphalaṃ pubbe viya kaṭukaṃ na hoti. Manussattabhāve ṭhitānaṃ mudukameva hotīti apare. Dhammiko rājāti ettha tassa dhammikabhāvo dhammadevaputtassa viya uppattiniyamitadhammavaseneva veditabbo. Dvāresūti avīcimahānarakassa catūsu dvāresu.

    ชาติธโมฺมติ กมฺมกิเลสวเสน ชาติปกติโกฯ เตนาห ‘‘ชาติสภาโว’’ติฯ สภาโว จ นาม เตโชธาตุยา อุณฺหตา วิย น กทาจิปิ วิคจฺฉตีติ อาห ‘‘อปริมุโตฺต ชาติยา’’ติอาทิฯ

    Jātidhammoti kammakilesavasena jātipakatiko. Tenāha ‘‘jātisabhāvo’’ti. Sabhāvo ca nāma tejodhātuyā uṇhatā viya na kadācipi vigacchatīti āha ‘‘aparimutto jātiyā’’tiādi.

    ๒๖๓. อิทานิ ชาติยา เทวทูตภาวํ นิทฺธาเรตฺวา ทเสฺสตุํ, ‘‘ทหรกุมาโร’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อตฺถโต เอวํ วทติ นามาติ วาจาย อวทโนฺตปิ อตฺถาปตฺติโต เอวํ วทโนฺต วิย โหติ วิญฺญูนนฺติ อโตฺถฯ เอวํ ตุมฺหากมฺปิ ชาติ อาคมิสฺสตีติ เอวํ สํกิลิฎฺฐเชคุจฺฉอสมตฺถทหราวตฺถา ชาติ ตุมฺหากํ อาคมิสฺสติฯ กามญฺจายํ อาคตา เอว, สา ปน อตีตานาคตาย อุปริปิ อาคมนาย ปโยโค อิจฺฉิตโพฺพ, อนาคตาย น อิจฺฉิตโพฺพติ อาห ‘‘ชาติ อาคมิสฺสตี’’ติฯ เตเนวาห – ‘‘อิติ ตสฺสา…เป.… กโรถา’’ติฯ เตนาติ เตน การเณน วิญฺญูนํ เวทวตฺถุภาเวนาติ อโตฺถฯ

    263. Idāni jātiyā devadūtabhāvaṃ niddhāretvā dassetuṃ, ‘‘daharakumāro’’tiādi vuttaṃ. Atthato evaṃ vadati nāmāti vācāya avadantopi atthāpattito evaṃ vadanto viya hoti viññūnanti attho. Evaṃ tumhākampi jāti āgamissatīti evaṃ saṃkiliṭṭhajegucchaasamatthadaharāvatthā jāti tumhākaṃ āgamissati. Kāmañcāyaṃ āgatā eva, sā pana atītānāgatāya uparipi āgamanāya payogo icchitabbo, anāgatāya na icchitabboti āha ‘‘jāti āgamissatī’’ti. Tenevāha – ‘‘iti tassā…pe… karothā’’ti. Tenāti tena kāraṇena viññūnaṃ vedavatthubhāvenāti attho.

    อูรุพลนฺติ อูรุพลีฯ เตน ทูเรปิ คมนาคมนลงฺฆนาทิสมตฺถตํ ทเสฺสติ, พาหุพลนฺติ ปน อิมินา หเตฺถหิ กาตพฺพกิจฺจสมตฺถตํ, ชวคฺคหเณน เวคสฺส ปวตฺติสมตฺถตํฯ อนฺตรหิตา นฎฺฐาฯ เสสํ ปฐมเทวทูเต วุตฺตนยเมวฯ

    Ūrubalanti ūrubalī. Tena dūrepi gamanāgamanalaṅghanādisamatthataṃ dasseti, bāhubalanti pana iminā hatthehi kātabbakiccasamatthataṃ, javaggahaṇena vegassa pavattisamatthataṃ. Antarahitā naṭṭhā. Sesaṃ paṭhamadevadūte vuttanayameva.

    วิวิธํ ทุกฺขํ อาทหตีติ พฺยาธิ, วิเสเสน วา อาธียติ เอเตนาติ พฺยาธิ, เตน พฺยาธินาฯ อภิหโตติ พาธิโต, อุปทฺทุโตติ อโตฺถฯ

    Vividhaṃ dukkhaṃ ādahatīti byādhi, visesena vā ādhīyati etenāti byādhi, tena byādhinā. Abhihatoti bādhito, upaddutoti attho.

    ๒๖๕. การณา นาม ‘‘หตฺถเจฺฉทาทิเภทา อธิกปีฬา กรียติ เอตายา’’ติ กตฺวา ยาตนา, สา เอว การณิเกหิ กาตพฺพเฎฺฐน กมฺมนฺติ กมฺมการณา ยาตนากมฺมนฺติ อโตฺถฯ

    265. Kāraṇā nāma ‘‘hatthacchedādibhedā adhikapīḷā karīyati etāyā’’ti katvā yātanā, sā eva kāraṇikehi kātabbaṭṭhena kammanti kammakāraṇā yātanākammanti attho.

    ๒๖๖. พหุํ ปาปํ กตนฺติ พหุโส ปาปํ กตํฯ เตน ปาปสฺส พหุลีกรณมาหฯ พหูติ วา มหนฺตํฯ มหโตฺถปิ หิ พหุสโทฺท ทิสฺสติ, ‘‘พหุ วต กตํ อสฺสา’’ติอาทีสุ, ครุกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โสติ ครุกํ พหุลํ วา ปาปํ กตฺวา ฐิโต นิรเย นิพฺพตฺตติเยว, น ยมปุริเสหิ ยมสฺส สนฺติกํ นียติฯ ปริตฺตนฺติ ปมาณปริตฺตตาย กาลปริตฺตตาย จ ปริตฺตํ, ปุริมสฺมิํ ปเกฺข อครุนฺติ อโตฺถ, ทุติยสฺมิํ อพหุลนฺติฯ ยถาวุตฺตมตฺถํ อุปมาย วิภาเวตุํ, ‘‘ยถา หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กตฺตพฺพเมวาติ ทณฺฑเมวฯ อนุวิชฺชิตฺวา วีมํสิตฺวาฯ วินิจฺฉยฎฺฐานนฺติ อฎฺฎกรณฎฺฐานํฯ ปริตฺตปาปกมฺมาติ ทุพฺพลปาปกมฺมาฯ เต หิ ปาปกมฺมสฺส ทุพฺพลภาวโต กตูปจิตสฺส จ โอกาสารหกุสลกมฺมสฺส พลวภาวโต อตฺตโน ธมฺมตายปิ สรนฺติฯ

    266.Bahuṃ pāpaṃ katanti bahuso pāpaṃ kataṃ. Tena pāpassa bahulīkaraṇamāha. Bahūti vā mahantaṃ. Mahatthopi hi bahusaddo dissati, ‘‘bahu vata kataṃ assā’’tiādīsu, garukanti vuttaṃ hoti. Soti garukaṃ bahulaṃ vā pāpaṃ katvā ṭhito niraye nibbattatiyeva, na yamapurisehi yamassa santikaṃ nīyati. Parittanti pamāṇaparittatāya kālaparittatāya ca parittaṃ, purimasmiṃ pakkhe agarunti attho, dutiyasmiṃ abahulanti. Yathāvuttamatthaṃ upamāya vibhāvetuṃ, ‘‘yathā hī’’tiādi vuttaṃ. Kattabbamevāti daṇḍameva. Anuvijjitvā vīmaṃsitvā. Vinicchayaṭṭhānanti aṭṭakaraṇaṭṭhānaṃ. Parittapāpakammāti dubbalapāpakammā. Te hi pāpakammassa dubbalabhāvato katūpacitassa ca okāsārahakusalakammassa balavabhāvato attano dhammatāyapi saranti.

    อากาสเจติยนฺติ คิริสิขเร วิวฎงฺคเณ กตเจติยํฯ อคฺคิชาลสทฺทนฺติ ‘‘ปฎปฎา’’ติ ปวตฺตมานํ อคฺคิชาลาย สทฺทํ สุตฺวา, ‘‘มยา ตทา อากาสเจติเย ปูชิตรตฺตปฎา วิยา’’ติ อตฺตโน ปูชิตปฎํ อนุสฺสริฯ ปญฺจหิปิ น สรตีติ พลวตา ปาปกเมฺมน พฺยาโมหิโต ปญฺจ สญฺญาณานิ น คณฺหาติฯ ตุณฺหี โหติ กมฺมารโห อยนฺติ ตตฺถ ปตีการํ อปสฺสโนฺตฯ

    Ākāsacetiyanti girisikhare vivaṭaṅgaṇe katacetiyaṃ. Aggijālasaddanti ‘‘paṭapaṭā’’ti pavattamānaṃ aggijālāya saddaṃ sutvā, ‘‘mayā tadā ākāsacetiye pūjitarattapaṭā viyā’’ti attano pūjitapaṭaṃ anussari. Pañcahipi na saratīti balavatā pāpakammena byāmohito pañca saññāṇāni na gaṇhāti. Tuṇhī hoti kammāraho ayanti tattha patīkāraṃ apassanto.

    ๒๖๗. อวีจิมหานิรโย อุเพฺพเธนปิ โยชนสตเมวาติ วทนฺติฯ นวนวโยชนิกา โหติ ปุถุลโตฯ มหานิรยสฺส มหนฺตตฺตา ตถาปิ ภิตฺติสตํ โยชนสหสฺสํ โหตีติ อุสฺสทสฺส สพฺพสฺส ปริเกฺขปโต ‘‘ทสโยชนสหสฺสํ โหตี’’ติ วุตฺตํฯ

    267. Avīcimahānirayo ubbedhenapi yojanasatamevāti vadanti. Navanavayojanikā hoti puthulato. Mahānirayassa mahantattā tathāpi bhittisataṃ yojanasahassaṃ hotīti ussadassa sabbassa parikkhepato ‘‘dasayojanasahassaṃ hotī’’ti vuttaṃ.

    ๒๖๘. ฌายตีติ ปฎิปากติกํ โหติฯ ตาทิสเมวาติ ปุริมสทิสตฺตา ‘‘อุพฺภตํ สทิสเมว โหตี’’ติ เอวํ วุตฺตํฯ พหุสมฺปโตฺตติ วา พหุฎฺฐานํ อติกฺกมิตฺวา ปุรตฺถิมทฺวารํ สมฺปโตฺต โหติฯ

    268.Jhāyatīti paṭipākatikaṃ hoti. Tādisamevāti purimasadisattā ‘‘ubbhataṃ sadisameva hotī’’ti evaṃ vuttaṃ. Bahusampattoti vā bahuṭṭhānaṃ atikkamitvā puratthimadvāraṃ sampatto hoti.

    ฉนฺนํ ชาลานนฺติ จตูหิ ทิสาหิ เหฎฺฐา อุปริ จ อุพฺภตานํ ฉนฺนํ ชาลานํฯ สตฺตานํ นิรนฺตรตา นิรยสํวตฺตนิยกมฺมกตานญฺจ พหุภาวโต ชาลานํ ตาว สตฺตานญฺจ นิรนฺตรตฺตา อวีจิ โหตุ; ทุกฺขสฺส ปน กถํ นิรนฺตรตาติ ตํ ทเสฺสโนฺต, ‘‘กายทฺวาเร…เป.… เอกํ ทุกฺขสหคต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาวชฺชนํ สมฺปฎิจฺฉนํ สนฺตีรณํ โวฎฺฐพฺพนํ เทฺว ตทารมฺมณจิตฺตานีติ ฉ อุเปกฺขาสหคตานิฯ เอวํ สเนฺตปีติ ยทิปิ ตตฺถ อุเปกฺขาสหคตจิตฺตานิปิ ปวตฺตนฺติ อุเปกฺขาเวทนาปิ ลทฺธาวสรา; ทุกฺขเวทนา ปน พลวตรา นิสิตนิสิเตน ติขิเณน สเตฺถน นิรนฺตรํ สรีรํ ฉินฺทนฺตี วิย ทุกฺขํ อุปเนนฺตี วิย ตา เวทนา อภิภวนฺตี อโชฺฌตฺถรนฺตี อุปฺปชฺชนฺตี นิรนฺตรา วิย โหติฯ เตนาห ‘‘อนุทหนพลวตายา’’ติอาทิฯ อุเปกฺขาเวทนาติ วา ตตฺถ อติวิย อนิฎฺฐผลตาย อนิฎฺฐารมฺมณา อุเปกฺขาเวทนา ทุกฺขาติ วุจฺจติ, ยถา อิฎฺฐผลพหุตาย อิฎฺฐารมฺมณา ฌานาทิปริยาปเนฺน จ สุคติภเว จ อุเปกฺขาเวทนา สุขาติ วุจฺจติ, เอวํ ทุกฺขสฺส นิรนฺตรตาย อวีจีติ เวทิตพฺพํฯ

    Channaṃ jālānanti catūhi disāhi heṭṭhā upari ca ubbhatānaṃ channaṃ jālānaṃ. Sattānaṃ nirantaratā nirayasaṃvattaniyakammakatānañca bahubhāvato jālānaṃ tāva sattānañca nirantarattā avīci hotu; dukkhassa pana kathaṃ nirantaratāti taṃ dassento, ‘‘kāyadvāre…pe… ekaṃ dukkhasahagata’’ntiādimāha. Tattha āvajjanaṃ sampaṭicchanaṃ santīraṇaṃ voṭṭhabbanaṃ dve tadārammaṇacittānīti cha upekkhāsahagatāni. Evaṃ santepīti yadipi tattha upekkhāsahagatacittānipi pavattanti upekkhāvedanāpi laddhāvasarā; dukkhavedanā pana balavatarā nisitanisitena tikhiṇena satthena nirantaraṃ sarīraṃ chindantī viya dukkhaṃ upanentī viya tā vedanā abhibhavantī ajjhottharantī uppajjantī nirantarā viya hoti. Tenāha ‘‘anudahanabalavatāyā’’tiādi. Upekkhāvedanāti vā tattha ativiya aniṭṭhaphalatāya aniṭṭhārammaṇā upekkhāvedanā dukkhāti vuccati, yathā iṭṭhaphalabahutāya iṭṭhārammaṇā jhānādipariyāpanne ca sugatibhave ca upekkhāvedanā sukhāti vuccati, evaṃ dukkhassa nirantaratāya avīcīti veditabbaṃ.

    ๒๖๙. เอโก ปาโท มหานิรเย โหติ, เอโก คูถนิรเย นิปตติ, กมฺมเวคุกฺขิโตฺต อนฺตรา ปทมาวหติ เสสารมฺภตายฯ หตฺถิคีวปฺปมาณา ปริณาเหนฯ เอกโทณิกนาวาปฺปมาณา อายาเมนฯ

    269.Ekopādo mahāniraye hoti, eko gūthaniraye nipatati, kammavegukkhitto antarā padamāvahati sesārambhatāya. Hatthigīvappamāṇā pariṇāhena. Ekadoṇikanāvāppamāṇā āyāmena.

    โปกฺขรปตฺตานีติ ขุรธาราสทิสานิ ติขิณคฺคานิ อโยสูลมยาเนว ปทุมปตฺตานิฯ เหฎฺฐา ขุรธาราติ เหฎฺฐาภูมิยํ นิกฺขิตฺตา, เวตฺตลตาโย จ ติขิณธารกณฺฎกา อโยมยา เอวฯ เตนาห – ‘‘โส ตตฺถ ทุกฺขา’’ติอาทิฯ กุสติณานีติ กุสติณชาติตาย ตถา วุตฺตานิฯ ขรวาลิกาติ ขรา ติขิณโกฎิกา สิงฺฆาฎกสณฺฐานา วาลิกาฯ

    Pokkharapattānīti khuradhārāsadisāni tikhiṇaggāni ayosūlamayāneva padumapattāni. Heṭṭhā khuradhārāti heṭṭhābhūmiyaṃ nikkhittā, vettalatāyo ca tikhiṇadhārakaṇṭakā ayomayā eva. Tenāha – ‘‘so tattha dukkhā’’tiādi. Kusatiṇānīti kusatiṇajātitāya tathā vuttāni. Kharavālikāti kharā tikhiṇakoṭikā siṅghāṭakasaṇṭhānā vālikā.

    ๒๗๐. ทเนฺต สมฺผุเสตีติ เหฎฺฐิมทเนฺต ยถา กิญฺจิ มุเข ปกฺขิปิตุํ น สกฺกา, เอวํ สุผุสิเต กโรติฯ ตมฺพโลหปานโต ปฎฺฐายาติ วุตฺตการณโต ปฎิโลมโตปิ เอวํ กมฺมการณานํ การณมาหฯ ทุติเยนาติ กุฐารีหิ ตจฺฉเนนฯ ตติเยนาติ วาสีหิ ตจฺฉเนนฯ อวิชหิตเมว สํเวคเหตุตาย โลกสฺส มหโต อตฺถสฺส สํวตฺตนโตฯ

    270.Dante samphusetīti heṭṭhimadante yathā kiñci mukhe pakkhipituṃ na sakkā, evaṃ suphusite karoti. Tambalohapānato paṭṭhāyāti vuttakāraṇato paṭilomatopi evaṃ kammakāraṇānaṃ kāraṇamāha. Dutiyenāti kuṭhārīhi tacchanena. Tatiyenāti vāsīhi tacchanena. Avijahitameva saṃvegahetutāya lokassa mahato atthassa saṃvattanato.

    ๒๗๑. หีนกายํ หีนํ วา อตฺตภาวํ อุปคตาฯ อุปาทาเนติ จตุพฺพิเธปิ อุปาทาเนฯ ตํ อตฺถโต ตณฺหาทิฎฺฐิคฺคาโหติ อาห ‘‘ตณฺหาทิฎฺฐิคหเณ’’ติฯ สมฺภวติ ชรามรณํ เอเตนาติ สมฺภโว, อุปาทานนฺติ อาห – ‘‘ชาติยา มรณสฺส จ การณภูเต’’ติฯ อนุปาทาติ อนุปาทายฯ เตนาห ‘‘อนุปาทิยิตฺวา’’ติฯ

    271.Hīnakāyaṃ hīnaṃ vā attabhāvaṃ upagatā. Upādāneti catubbidhepi upādāne. Taṃ atthato taṇhādiṭṭhiggāhoti āha ‘‘taṇhādiṭṭhigahaṇe’’ti. Sambhavati jarāmaraṇaṃ etenāti sambhavo, upādānanti āha – ‘‘jātiyā maraṇassa ca kāraṇabhūte’’ti. Anupādāti anupādāya. Tenāha ‘‘anupādiyitvā’’ti.

    สพฺพทุกฺขาติกฺกนฺตา นามาติ สกลมฺปิ วฎฺฎทุกฺขํ อติกฺกนฺตา เอว โหนฺติ จริมจิตฺตนิโรเธน วฎฺฎทุกฺขเลสสฺสปิ อสมฺภวโตฯ

    Sabbadukkhātikkantā nāmāti sakalampi vaṭṭadukkhaṃ atikkantā eva honti carimacittanirodhena vaṭṭadukkhalesassapi asambhavato.

    เทวทูตสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Devadūtasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.

    นิฎฺฐิตา จ สุญฺญตวคฺควณฺณนาฯ

    Niṭṭhitā ca suññatavaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. เทวทูตสุตฺตํ • 10. Devadūtasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. เทวทูตสุตฺตวณฺณนา • 10. Devadūtasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact