Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ๘-๙. เทวาสุรสงฺคามสุตฺตาทิวณฺณนา

    8-9. Devāsurasaṅgāmasuttādivaṇṇanā

    ๓๙-๔๐. อฎฺฐเม อภิยิํสูติ กทา อภิยิํสุ? ยทา พลวโนฺต อเหสุํ, ตทาฯ ตตฺรายมนุปุพฺพิกถา (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๔๗; สารตฺถ. ฎี. ๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา) – สโกฺก กิร มคธรเฎฺฐ มจลคามเก มโฆ นาม มาณโว หุตฺวา เตตฺติํส ปุริเส คเหตฺวา กลฺยาณกมฺมํ กโรโนฺต สตฺต วตปทานิ ปูเรตฺวา ตตฺถ กาลงฺกโต เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ ตํ พลวกมฺมานุภาเวน สปริสํ เสสเทวตา ทสหิ ฐาเนหิ อธิคณฺหนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อาคนฺตุกเทวปุตฺตา อาคตา’’ติ เนวาสิกา คนฺธปานํ สชฺชยิํสุฯ สโกฺก สกปริสาย สญฺญํ อทาสิ ‘‘มาริสา มา คนฺธปานํ ปิวิตฺถ, ปิวนาการมตฺตเมว ทเสฺสถา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ เนวาสิกเทวตา สุวณฺณสรเกหิ อุปนีตํ คนฺธปานํ ยาวทตฺถํ ปิวิตฺวา มตฺตา ตตฺถ ตตฺถ สุวณฺณปถวิยํ ปติตฺวา สยิํสุฯ สโกฺก ‘‘คณฺหถ ปุตฺตหตาย ปุเตฺต’’ติ เต ปาเทสุ คเหตฺวา สิเนรุปาเท ขิปาเปสิฯ สกฺกสฺส ปุญฺญเตเชน ตทนุวตฺตกาปิ สเพฺพ ตเตฺถว ปติํสุฯ เต สิเนรุเวมชฺฌกาเล สญฺญํ ลภิตฺวา, ‘‘ตาตา, สุรํ น ปิวิมฺห, สุรํ น ปิวิมฺหา’’ติ อาหํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย อสุรา นาม ชาตาฯ อถ เนสํ กมฺมปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ สิเนรุสฺส เหฎฺฐิมตเล ทสโยชนสหสฺสํ อสุรภวนํ นิพฺพตฺติฯ สโกฺก เตสํ นิวตฺติตฺวา อนาคมนตฺถาย อารกฺขํ ฐเปสิฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    39-40. Aṭṭhame abhiyiṃsūti kadā abhiyiṃsu? Yadā balavanto ahesuṃ, tadā. Tatrāyamanupubbikathā (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.247; sārattha. ṭī. 1.verañjakaṇḍavaṇṇanā) – sakko kira magadharaṭṭhe macalagāmake magho nāma māṇavo hutvā tettiṃsa purise gahetvā kalyāṇakammaṃ karonto satta vatapadāni pūretvā tattha kālaṅkato devaloke nibbatti. Taṃ balavakammānubhāvena saparisaṃ sesadevatā dasahi ṭhānehi adhigaṇhantaṃ disvā ‘‘āgantukadevaputtā āgatā’’ti nevāsikā gandhapānaṃ sajjayiṃsu. Sakko sakaparisāya saññaṃ adāsi ‘‘mārisā mā gandhapānaṃ pivittha, pivanākāramattameva dassethā’’ti. Te tathā akaṃsu. Nevāsikadevatā suvaṇṇasarakehi upanītaṃ gandhapānaṃ yāvadatthaṃ pivitvā mattā tattha tattha suvaṇṇapathaviyaṃ patitvā sayiṃsu. Sakko ‘‘gaṇhatha puttahatāya putte’’ti te pādesu gahetvā sinerupāde khipāpesi. Sakkassa puññatejena tadanuvattakāpi sabbe tattheva patiṃsu. Te sineruvemajjhakāle saññaṃ labhitvā, ‘‘tātā, suraṃ na pivimha, suraṃ na pivimhā’’ti āhaṃsu. Tato paṭṭhāya asurā nāma jātā. Atha nesaṃ kammapaccayautusamuṭṭhānaṃ sinerussa heṭṭhimatale dasayojanasahassaṃ asurabhavanaṃ nibbatti. Sakko tesaṃ nivattitvā anāgamanatthāya ārakkhaṃ ṭhapesi. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘อนฺตรา ทฺวินฺนํ อยุชฺฌปุรานํ,

    ‘‘Antarā dvinnaṃ ayujjhapurānaṃ,

    ปญฺจวิธา ฐปิตา อภิรกฺขา;

    Pañcavidhā ṭhapitā abhirakkhā;

    อุรค-กโรฎิ-ปยสฺส จ หารี,

    Uraga-karoṭi-payassa ca hārī,

    มทนยุตา จตุโร จ มหตฺถา’’ติฯ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๔๗; สารตฺถ. ฎี. ๑.๑ เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา);

    Madanayutā caturo ca mahatthā’’ti. (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.247; sārattha. ṭī. 1.1 verañjakaṇḍavaṇṇanā);

    เทฺว นครานิ หิ ยุเทฺธน คเหตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย อยุชฺฌปุรานิ นาม ชาตานิ เทวนครญฺจ อสุรนครญฺจฯ ยทา หิ อสุรา พลวโนฺต โหนฺติ, อถ เทเวหิ ปลายิตฺวา เทวนครํ ปวิสิตฺวา ทฺวาเร ปิทหิเต อสุรานํ สตสหสฺสมฺปิ กิญฺจิ กาตุํ น สโกฺกติฯ ยทา เทวา พลวโนฺต โหนฺติ, อถาสุเรหิ ปลายิตฺวา อสุรนครสฺส ทฺวาเร ปิทหิเต สกฺกานํ สตสหสฺสมฺปิ กิญฺจิ กาตุํ น สโกฺกติฯ อิติ อิมานิ เทฺว นครานิ อยุชฺฌปุรานิ นามฯ เตสํ อนฺตรา เอเตสุ อุรคาทีสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ สเกฺกน อารกฺขา ฐปิตาฯ ตตฺถ อุรคสเทฺทน นาคา คหิตาฯ เต หิ อุทเก พลวโนฺต โหนฺติ, ตสฺมา สิเนรุสฺส ปฐมาลิเนฺท เอเตสํ อารกฺขาฯ กโรฎิสเทฺทน สุปณฺณา คหิตาฯ เตสํ กิร กโรฎิ นาม ปานโภชนํ, เตน ตํ นามํ ลภิํสุ, ทุติยาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ ปยสฺสหาริสเทฺทน กุมฺภณฺฑา คหิตา, ทานวรกฺขสา กิร เต, ตติยาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ มทนยุตสเทฺทน ยกฺขา คหิตาฯ วิสมจาริโน กิร เต ยุชฺฌโสณฺฑา, จตุตฺถาลิเนฺท เตสํ อารกฺขาฯ จตุโร จ มหตฺตาติ จตฺตาโร มหาราชาโน วุตฺตา, ปญฺจมาลิเนฺท เตสํ อารกฺขา, ตสฺมา ยทิ อสุรา กุปิตาวิลจิตฺตา เทวปุรํ อุปยนฺติ ยุชฺฌิตุํฯ ยํ คิริโน ปฐมํ ปริภณฺฑํ, ตํ อุรคา ปฎิพาหยนฺติฯ เอวํ เสเสสุ เสสาฯ

    Dve nagarāni hi yuddhena gahetuṃ asakkuṇeyyatāya ayujjhapurāni nāma jātāni devanagarañca asuranagarañca. Yadā hi asurā balavanto honti, atha devehi palāyitvā devanagaraṃ pavisitvā dvāre pidahite asurānaṃ satasahassampi kiñci kātuṃ na sakkoti. Yadā devā balavanto honti, athāsurehi palāyitvā asuranagarassa dvāre pidahite sakkānaṃ satasahassampi kiñci kātuṃ na sakkoti. Iti imāni dve nagarāni ayujjhapurāni nāma. Tesaṃ antarā etesu uragādīsu pañcasu ṭhānesu sakkena ārakkhā ṭhapitā. Tattha uragasaddena nāgā gahitā. Te hi udake balavanto honti, tasmā sinerussa paṭhamālinde etesaṃ ārakkhā. Karoṭisaddena supaṇṇā gahitā. Tesaṃ kira karoṭi nāma pānabhojanaṃ, tena taṃ nāmaṃ labhiṃsu, dutiyālinde tesaṃ ārakkhā. Payassahārisaddena kumbhaṇḍā gahitā, dānavarakkhasā kira te, tatiyālinde tesaṃ ārakkhā. Madanayutasaddena yakkhā gahitā. Visamacārino kira te yujjhasoṇḍā, catutthālinde tesaṃ ārakkhā. Caturo ca mahattāti cattāro mahārājāno vuttā, pañcamālinde tesaṃ ārakkhā, tasmā yadi asurā kupitāvilacittā devapuraṃ upayanti yujjhituṃ. Yaṃ girino paṭhamaṃ paribhaṇḍaṃ, taṃ uragā paṭibāhayanti. Evaṃ sesesu sesā.

    เต ปน อสุรา อายุวณฺณยสอิสฺสริยสมฺปตฺตีหิ ตาวติํสสทิสาว, ตสฺมา อนฺตรา อตฺตานํ อชานิตฺวา ปาฎลิยา ปุปฺผิตาย ‘‘น อิทํ เทวนครํ, ตตฺถ ปาริจฺฉตฺตโก ปุปฺผติ, อิธ ปน จิตฺตปาฎลี, ชรสเกฺกนามฺหากํ สุรํ ปาเยตฺวา วญฺจิตา, เทวนครญฺจ โน คหิตํ, คจฺฉาม, เตน สทฺธิํ ยุชฺฌิสฺสามา’’ติ หตฺถิอสฺสรเถ อารุยฺห สุวณฺณรชตมณิผลกานิ คเหตฺวา ยุทฺธสชฺชา หุตฺวา อสุรเภริโย วาเทนฺตา มหาสมุเทฺท อุทกํ ทฺวิธา เภตฺวา อุฎฺฐหนฺติฯ เต เทเว วุเฎฺฐ วมฺมิกมกฺขิกา วมฺมิกํ วิย สิเนรุํ อารุหิตุํ อารภนฺติฯ อถ เนสํ ปฐมํ นาเคหิ สทฺธิํ ยุทฺธํ โหติฯ ตสฺมิํ โข ปน ยุเทฺธ น กสฺสจิ ฉวิ วา จมฺมํ วา ฉิชฺชติ, น โลหิตํ อุปฺปชฺชติ, เกวลํ กุมารกานํ ทารุเมณฺฑกยุทฺธํ วิย อญฺญมญฺญสนฺตาสนมตฺตเมว โหติฯ โกฎิสตาปิ โกฎิสหสฺสาปิ นาคา เตหิ สทฺธิํ ยุชฺฌิตฺวา เต อสุรปุรํเยว ปเวเสตฺวา นิวตฺตนฺติฯ ยทา ปน อสุรา พลวโนฺต โหนฺติ, อถ นาคา โอสกฺกิตฺวา ทุติเย อาลิเนฺท สุปเณฺณหิ สทฺธิํ เอกโตว หุตฺวา ยุชฺฌนฺติฯ เอส นโย สุปณฺณาทีสุปิฯ ยทา ปน ตานิ ปญฺจปิ ฐานานิ อสุรา มทฺทนฺติ, ตทา เอกโต สมฺปิณฺฑิตานิปิ ตานิ ปญฺจ พลานิ โอสกฺกนฺติฯ อถ จตฺตาโร มหาราชาโน คนฺตฺวา สกฺกสฺส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจนฺติฯ สโกฺก เตสํ วจนํ สุตฺวา ทิยฑฺฒโยชนสติกํ เวชยนฺตรถํ อารุยฺห สยํ วา นิกฺขมติ, เอกํ ปุตฺตํ วา เปเสติฯ ยทา เทวา ปุน อปจฺจาคมนาย อสุเร ชินิํสุ, ตทา สโกฺก อสุเร ปลาเปตฺวา ปญฺจสุ ฐาเนสุ อารกฺขํ ทตฺวา เวทิยปาเท วชิรหตฺถา อินฺทปฎิมาโย ฐเปสิฯ อสุรา กาเลน กาลํ อุฎฺฐหิตฺวา ปฎิมาโย ทิสฺวา ‘‘สโกฺก อปฺปมโตฺต ติฎฺฐตี’’ติ ตโตว นิวตฺตนฺติฯ อิธ ปน ยทา อสุรานํ ชโย อโหสิ, เทวานํ ปราชโย, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ – ‘‘ปราชิตา จ, ภิกฺขเว, เทวา อปยิํสุเยว อุตฺตเรนาภิมุขา, อภิยิํสุ อสุรา’’ติฯ

    Te pana asurā āyuvaṇṇayasaissariyasampattīhi tāvatiṃsasadisāva, tasmā antarā attānaṃ ajānitvā pāṭaliyā pupphitāya ‘‘na idaṃ devanagaraṃ, tattha pāricchattako pupphati, idha pana cittapāṭalī, jarasakkenāmhākaṃ suraṃ pāyetvā vañcitā, devanagarañca no gahitaṃ, gacchāma, tena saddhiṃ yujjhissāmā’’ti hatthiassarathe āruyha suvaṇṇarajatamaṇiphalakāni gahetvā yuddhasajjā hutvā asurabheriyo vādentā mahāsamudde udakaṃ dvidhā bhetvā uṭṭhahanti. Te deve vuṭṭhe vammikamakkhikā vammikaṃ viya sineruṃ āruhituṃ ārabhanti. Atha nesaṃ paṭhamaṃ nāgehi saddhiṃ yuddhaṃ hoti. Tasmiṃ kho pana yuddhe na kassaci chavi vā cammaṃ vā chijjati, na lohitaṃ uppajjati, kevalaṃ kumārakānaṃ dārumeṇḍakayuddhaṃ viya aññamaññasantāsanamattameva hoti. Koṭisatāpi koṭisahassāpi nāgā tehi saddhiṃ yujjhitvā te asurapuraṃyeva pavesetvā nivattanti. Yadā pana asurā balavanto honti, atha nāgā osakkitvā dutiye ālinde supaṇṇehi saddhiṃ ekatova hutvā yujjhanti. Esa nayo supaṇṇādīsupi. Yadā pana tāni pañcapi ṭhānāni asurā maddanti, tadā ekato sampiṇḍitānipi tāni pañca balāni osakkanti. Atha cattāro mahārājāno gantvā sakkassa taṃ pavattiṃ ārocenti. Sakko tesaṃ vacanaṃ sutvā diyaḍḍhayojanasatikaṃ vejayantarathaṃ āruyha sayaṃ vā nikkhamati, ekaṃ puttaṃ vā peseti. Yadā devā puna apaccāgamanāya asure jiniṃsu, tadā sakko asure palāpetvā pañcasu ṭhānesu ārakkhaṃ datvā vediyapāde vajirahatthā indapaṭimāyo ṭhapesi. Asurā kālena kālaṃ uṭṭhahitvā paṭimāyo disvā ‘‘sakko appamatto tiṭṭhatī’’ti tatova nivattanti. Idha pana yadā asurānaṃ jayo ahosi, devānaṃ parājayo, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ – ‘‘parājitā ca, bhikkhave, devā apayiṃsuyeva uttarenābhimukhā, abhiyiṃsu asurā’’ti.

    ทกฺขิณาภิมุขา หุตฺวาติ จกฺกวาฬปพฺพตาภิมุขา หุตฺวาฯ อสุรา กิร เทเวหิ ปราชิตา ปลายนฺตา จกฺกวาฬปพฺพตาภิมุขํ คนฺตฺวา จกฺกวาฬมหาสมุทฺทปิฎฺฐิยํ รชตปฎฺฎวเณฺณ วาลิกาปุลิเน ยตฺถ ปณฺณกุฎิโย มาเปตฺวา อิสโย วสนฺติ, ตตฺถ คนฺตฺวา อิสีนํ อสฺสมปเทน คจฺฉนฺตา ‘‘สโกฺก อิเมหิ สทฺธิํ มเนฺตตฺวา อเมฺห นาเสติ, คณฺหถ ปุตฺตหตาย ปุเตฺต’’ติ กุปิตา อสฺสมปเท ปานียฆฎจงฺกมนปณฺณสาลาทีนิ วิทฺธํเสนฺติฯ อิสโย อรญฺญโต ผลาผลํ อาทาย อาคตา ทิสฺวา ปุน ทุเกฺขน ปฎิปากติกํ กโรนฺติ, เตปิ ปุนปฺปุนํ ตเถว ปราชิตา คนฺตฺวา วินาเสนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปราชิตา จ โข, ภิกฺขเว, อสุรา อปยิํสุเยว ทกฺขิเณนาภิมุขา’’ติฯ นวมํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    Dakkhiṇābhimukhā hutvāti cakkavāḷapabbatābhimukhā hutvā. Asurā kira devehi parājitā palāyantā cakkavāḷapabbatābhimukhaṃ gantvā cakkavāḷamahāsamuddapiṭṭhiyaṃ rajatapaṭṭavaṇṇe vālikāpuline yattha paṇṇakuṭiyo māpetvā isayo vasanti, tattha gantvā isīnaṃ assamapadena gacchantā ‘‘sakko imehi saddhiṃ mantetvā amhe nāseti, gaṇhatha puttahatāya putte’’ti kupitā assamapade pānīyaghaṭacaṅkamanapaṇṇasālādīni viddhaṃsenti. Isayo araññato phalāphalaṃ ādāya āgatā disvā puna dukkhena paṭipākatikaṃ karonti, tepi punappunaṃ tatheva parājitā gantvā vināsenti. Tena vuttaṃ – ‘‘parājitā ca kho, bhikkhave, asurā apayiṃsuyeva dakkhiṇenābhimukhā’’ti. Navamaṃ uttānatthameva.

    เทวาสุรสงฺคามสุตฺตาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Devāsurasaṅgāmasuttādivaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya
    ๘. เทวาสุรสงฺคามสุตฺตํ • 8. Devāsurasaṅgāmasuttaṃ
    ๙. นาคสุตฺตํ • 9. Nāgasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)
    ๘. เทวาสุรสงฺคามสุตฺตวณฺณนา • 8. Devāsurasaṅgāmasuttavaṇṇanā
    ๙. นาคสุตฺตวณฺณนา • 9. Nāgasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact