Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi

    ๘. ธมฺมาภิสมยปโญฺห

    8. Dhammābhisamayapañho

    . ‘‘ภเนฺต นาคเสน, เย เต สมฺมา ปฎิปชฺชนฺติ, เตสํ สเพฺพสํ เยว ธมฺมาภิสมโย โหติ, อุทาหุ กสฺสจิ น โหตี’’ติ? ‘‘กสฺสจิ, มหาราช, โหติ, กสฺสจิ น โหตี’’ติฯ ‘‘กสฺส ภเนฺต โหติ, กสฺส น โหตี’’ติ? ‘‘ติรจฺฉานคตสฺส, มหาราช, สุปฺปฎิปนฺนสฺสาปิ ธมฺมาภิสมโย น โหติ, เปตฺติวิสยูปปนฺนสฺส…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐิกสฺส…เป.… กุหกสฺส…เป.… มาตุฆาตกสฺส…เป.… ปิตุฆาตกสฺส…เป.… อรหนฺตฆาตกสฺส…เป.… สงฺฆเภทกสฺส…เป.… โลหิตุปฺปาทกสฺส…เป.… เถยฺยสํวาสกสฺส…เป.… ติตฺถิยปกฺกนฺตสฺส…เป.… ภิกฺขุนิทูสกสฺส…เป.… เตรสนฺนํ ครุกาปตฺตีนํ อญฺญตรํ อาปชฺชิตฺวา อวุฎฺฐิตสฺส…เป.… ปณฺฑกสฺส…เป.… อุภโตพฺยญฺชนกสฺส สุปฺปฎิปนฺนสฺสาปิ ธมฺมาภิสมโย น โหติ…เป.… โยปิ มนุสฺสทหรโก อูนกสตฺตวสฺสิโก, ตสฺส สุปฺปฎิปนฺนสฺสาปิ ธมฺมาภิสมโย น โหติฯ อิเมสํ โข, มหาราช, โสฬสนฺนํ ปุคฺคลานํ สุปฺปฎิปนฺนานมฺปิ ธมฺมาภิสมโย น โหตี’’ติฯ

    8. ‘‘Bhante nāgasena, ye te sammā paṭipajjanti, tesaṃ sabbesaṃ yeva dhammābhisamayo hoti, udāhu kassaci na hotī’’ti? ‘‘Kassaci, mahārāja, hoti, kassaci na hotī’’ti. ‘‘Kassa bhante hoti, kassa na hotī’’ti? ‘‘Tiracchānagatassa, mahārāja, suppaṭipannassāpi dhammābhisamayo na hoti, pettivisayūpapannassa…pe… micchādiṭṭhikassa…pe… kuhakassa…pe… mātughātakassa…pe… pitughātakassa…pe… arahantaghātakassa…pe… saṅghabhedakassa…pe… lohituppādakassa…pe… theyyasaṃvāsakassa…pe… titthiyapakkantassa…pe… bhikkhunidūsakassa…pe… terasannaṃ garukāpattīnaṃ aññataraṃ āpajjitvā avuṭṭhitassa…pe… paṇḍakassa…pe… ubhatobyañjanakassa suppaṭipannassāpi dhammābhisamayo na hoti…pe… yopi manussadaharako ūnakasattavassiko, tassa suppaṭipannassāpi dhammābhisamayo na hoti. Imesaṃ kho, mahārāja, soḷasannaṃ puggalānaṃ suppaṭipannānampi dhammābhisamayo na hotī’’ti.

    ‘‘ภเนฺต นาคเสน, เย เต ปนฺนรส ปุคฺคลา วิรุทฺธา เยว, เตสํ ธมฺมาภิสมโย โหตุ วา มา วา โหตุ, อถ เกน การเณน มนุสฺสทหรกสฺส อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส สุปฺปฎิปนฺนสฺสาปิ ธมฺมาภิสมโย น โหติ? เอตฺถ ตาว ปโญฺห ภวติ ‘นนุ นาม ทหรกสฺส น ราโค โหติ, น โทโส โหติ, น โมโห โหติ, น มาโน โหติ, น มิจฺฉาทิฎฺฐิ โหติ, น อรติ โหติ, น กามวิตโกฺก โหติ, อมิสฺสิโต กิเลเสหิ, โส นาม ทหรโก ยุโตฺต จ ปโตฺต จ อรหติ จ จตฺตาริ สจฺจานิ เอกปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌิตุ’’’นฺติฯ

    ‘‘Bhante nāgasena, ye te pannarasa puggalā viruddhā yeva, tesaṃ dhammābhisamayo hotu vā mā vā hotu, atha kena kāraṇena manussadaharakassa ūnakasattavassikassa suppaṭipannassāpi dhammābhisamayo na hoti? Ettha tāva pañho bhavati ‘nanu nāma daharakassa na rāgo hoti, na doso hoti, na moho hoti, na māno hoti, na micchādiṭṭhi hoti, na arati hoti, na kāmavitakko hoti, amissito kilesehi, so nāma daharako yutto ca patto ca arahati ca cattāri saccāni ekapaṭivedhena paṭivijjhitu’’’nti.

    ‘‘ตเญฺญเวตฺถ , มหาราช, การณํ, เยนาหํ การเณน ภณามิ ‘อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส สุปฺปฎิปนฺนสฺสาปิ ธมฺมาภิสมโย น โหตี’ติฯ ยทิ, มหาราช, อูนกสตฺตวสฺสิโก รชนีเย รเชฺชยฺย, ทุสฺสนีเย ทุเสฺสยฺย, โมหนีเย มุเยฺหยฺย, มทนีเย มเชฺชยฺย, ทิฎฺฐิํ วิชาเนยฺย, รติญฺจ อรติญฺจ วิชาเนยฺย, กุสลากุสลํ วิตเกฺกยฺย, ภเวยฺย ตสฺส ธมฺมาภิสมโย, อปิ จ, มหาราช, อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส จิตฺตํ อพลํ ทุพฺพลํ ปริตฺตํ อปฺปํ โถกํ มนฺทํ อวิภูตํ, อสงฺขตา นิพฺพานธาตุ ครุกา ภาริกา วิปุลา มหตีฯ อูนกสตฺตวสฺสิโก, มหาราช, เตน ทุพฺพเลน จิเตฺตน ปริตฺตเกน มเนฺทน อวิภูเตน น สโกฺกติ ครุกํ ภาริกํ วิปุลํ มหติํ อสงฺขตํ นิพฺพานธาตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํฯ

    ‘‘Taññevettha , mahārāja, kāraṇaṃ, yenāhaṃ kāraṇena bhaṇāmi ‘ūnakasattavassikassa suppaṭipannassāpi dhammābhisamayo na hotī’ti. Yadi, mahārāja, ūnakasattavassiko rajanīye rajjeyya, dussanīye dusseyya, mohanīye muyheyya, madanīye majjeyya, diṭṭhiṃ vijāneyya, ratiñca aratiñca vijāneyya, kusalākusalaṃ vitakkeyya, bhaveyya tassa dhammābhisamayo, api ca, mahārāja, ūnakasattavassikassa cittaṃ abalaṃ dubbalaṃ parittaṃ appaṃ thokaṃ mandaṃ avibhūtaṃ, asaṅkhatā nibbānadhātu garukā bhārikā vipulā mahatī. Ūnakasattavassiko, mahārāja, tena dubbalena cittena parittakena mandena avibhūtena na sakkoti garukaṃ bhārikaṃ vipulaṃ mahatiṃ asaṅkhataṃ nibbānadhātuṃ paṭivijjhituṃ.

    ‘‘ยถา, มหาราช, สิเนรุปพฺพตราชา ครุโก ภาริโก วิปุโล มหโนฺต, อปิ นุ โข ตํ, มหาราช, ปุริโส อตฺตโน ปากติเกน ถามพลวีริเยน สกฺกุเณยฺย สิเนรุปพฺพตราชานํ อุทฺธริตุ’’นฺติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เกน การเณน มหาราชา’’ติ? ‘‘ทุพฺพลตฺตา, ภเนฺต, ปุริสสฺส, มหนฺตตฺตา สิเนรุปพฺพตราชสฺสา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส จิตฺตํ อพลํ ทุพฺพลํ ปริตฺตํ อปฺปํ โถกํ มนฺทํ อวิภูตํ, อสงฺขตา นิพฺพานธาตุ ครุกา ภาริกา วิปุลา มหตีฯ อูนกสตฺตวสฺสิโก เตน ทุพฺพเลน จิเตฺตน ปริเตฺตน มเนฺทน อวิภูเตน น สโกฺกติ ครุกํ ภาริกํ วิปุลํ มหติํ อสงฺขตํ นิพฺพานธาตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ, เตน การเณน อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส สุปฺปฎิปนฺนสฺสาปิ ธมฺมาภิสมโย น โหติฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, sinerupabbatarājā garuko bhāriko vipulo mahanto, api nu kho taṃ, mahārāja, puriso attano pākatikena thāmabalavīriyena sakkuṇeyya sinerupabbatarājānaṃ uddharitu’’nti? ‘‘Na hi, bhante’’ti. ‘‘Kena kāraṇena mahārājā’’ti? ‘‘Dubbalattā, bhante, purisassa, mahantattā sinerupabbatarājassā’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, ūnakasattavassikassa cittaṃ abalaṃ dubbalaṃ parittaṃ appaṃ thokaṃ mandaṃ avibhūtaṃ, asaṅkhatā nibbānadhātu garukā bhārikā vipulā mahatī. Ūnakasattavassiko tena dubbalena cittena parittena mandena avibhūtena na sakkoti garukaṃ bhārikaṃ vipulaṃ mahatiṃ asaṅkhataṃ nibbānadhātuṃ paṭivijjhituṃ, tena kāraṇena ūnakasattavassikassa suppaṭipannassāpi dhammābhisamayo na hoti.

    ‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, อยํ มหาปถวี ทีฆา อายตา ปุถุลา วิตฺถตา วิสาลา วิตฺถิณฺณา วิปุลา มหนฺตา, อปิ นุ โข ตํ, มหาราช, มหาปถวิํ สกฺกา ปริตฺตเกน อุทกพินฺทุเกน เตเมตฺวา อุทกจิกฺขลฺลํ กาตุ’’นฺติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เกน การเณน, มหาราชา’’ติ? ‘‘ปริตฺตตฺตา, ภเนฺต, อุทกพินฺทุสฺส, มหนฺตตฺตา มหาปถวิยา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส จิตฺตํ อพลํ ทุพฺพลํ ปริตฺตํ อปฺปํ โถกํ มนฺทํ อวิภูตํ, อสงฺขตา นิพฺพานธาตุ ทีฆา อายตา ปุถุลา วิตฺถตา วิสาลา วิตฺถิณฺณา วิปุลา มหนฺตาฯ อูนกสตฺตวสฺสิโก เตน ทุพฺพเลน จิเตฺตน ปริตฺตเกน มเนฺทน อวิภูเตน น สโกฺกติ มหติํ อสงฺขตํ นิพฺพานธาตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ, เตน การเณน อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส สุปฺปฎิปนฺนสฺสาปิ ธมฺมาภิสมโย น โหติฯ

    ‘‘Yathā vā pana, mahārāja, ayaṃ mahāpathavī dīghā āyatā puthulā vitthatā visālā vitthiṇṇā vipulā mahantā, api nu kho taṃ, mahārāja, mahāpathaviṃ sakkā parittakena udakabindukena temetvā udakacikkhallaṃ kātu’’nti? ‘‘Na hi, bhante’’ti. ‘‘Kena kāraṇena, mahārājā’’ti? ‘‘Parittattā, bhante, udakabindussa, mahantattā mahāpathaviyā’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, ūnakasattavassikassa cittaṃ abalaṃ dubbalaṃ parittaṃ appaṃ thokaṃ mandaṃ avibhūtaṃ, asaṅkhatā nibbānadhātu dīghā āyatā puthulā vitthatā visālā vitthiṇṇā vipulā mahantā. Ūnakasattavassiko tena dubbalena cittena parittakena mandena avibhūtena na sakkoti mahatiṃ asaṅkhataṃ nibbānadhātuṃ paṭivijjhituṃ, tena kāraṇena ūnakasattavassikassa suppaṭipannassāpi dhammābhisamayo na hoti.

    ‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, อพลทุพฺพลปริตฺตอปฺปโถกมนฺทคฺคิ ภเวยฺย, อปิ นุ โข, มหาราช, ตาวตเกน มเนฺทน อคฺคินา สกฺกา สเทวเก โลเก อนฺธการํ วิธมิตฺวา อาโลกํ ทเสฺสตุ’’นฺติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เกน การเณน มหาราชา’’ติ? ‘‘มนฺทตฺตา, ภเนฺต, อคฺคิสฺส, โลกสฺส มหนฺตตฺตา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส จิตฺตํ อพลํ ทุพฺพลํ ปริตฺตํ อปฺปํ โถกํ มนฺทํ อวิภูตํ, มหตา จ อวิชฺชนฺธกาเรน ปิหิตํฯ ตสฺมา ทุกฺกรํ ญาณาโลกํ ทสฺสยิตุํ, เตน การเณน อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส สุปฺปฎิปนฺนสฺสาปิ ธมฺมาภิสมโย น โหติฯ

    ‘‘Yathā vā pana, mahārāja, abaladubbalaparittaappathokamandaggi bhaveyya, api nu kho, mahārāja, tāvatakena mandena agginā sakkā sadevake loke andhakāraṃ vidhamitvā ālokaṃ dassetu’’nti? ‘‘Na hi, bhante’’ti. ‘‘Kena kāraṇena mahārājā’’ti? ‘‘Mandattā, bhante, aggissa, lokassa mahantattā’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, ūnakasattavassikassa cittaṃ abalaṃ dubbalaṃ parittaṃ appaṃ thokaṃ mandaṃ avibhūtaṃ, mahatā ca avijjandhakārena pihitaṃ. Tasmā dukkaraṃ ñāṇālokaṃ dassayituṃ, tena kāraṇena ūnakasattavassikassa suppaṭipannassāpi dhammābhisamayo na hoti.

    ‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, อาตุโร กิโส อณุปริมิตกาโย สาลกกิมิ หตฺถินาคํ ติธา ปภินฺนํ นวายตํ ติวิตฺถตํ ทสปริณาหํ อฎฺฐรตนิกํ สกฎฺฐานมุปคตํ ทิสฺวา คิลิตุํ ปริกเฑฺฒยฺย, อปิ นุ โข โส, มหาราช, สาลกกิมิ สกฺกุเณยฺย ตํ หตฺถินาคํ คิลิตุ’’นฺติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เกน การเณน, มหาราชา’’ติ? ‘‘ปริตฺตตฺตา, ภเนฺต, สาลกกิมิสฺส, มหนฺตตฺตา หตฺถินาคสฺสา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส จิตฺตํ อพลํ ทุพฺพลํ ปริตฺตํ อปฺปํ โถกํ มนฺทํ อวิภูตํ, มหตี อสงฺขตา นิพฺพานธาตุฯ โส เตน ทุพฺพเลน จิเตฺตน ปริตฺตเกน มเนฺทน อวิภูเตน น สโกฺกติ มหติํ อสงฺขตํ นิพฺพานธาตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ, เตน การเณน อูนกสตฺตวสฺสิกสฺส สุปฺปฎิปนฺนสฺสาปิ ธมฺมาภิสมโย น โหตี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต นาคเสน, เอวเมตํ ตถา สมฺปฎิจฺฉามี’’ติฯ

    ‘‘Yathā vā pana, mahārāja, āturo kiso aṇuparimitakāyo sālakakimi hatthināgaṃ tidhā pabhinnaṃ navāyataṃ tivitthataṃ dasapariṇāhaṃ aṭṭharatanikaṃ sakaṭṭhānamupagataṃ disvā gilituṃ parikaḍḍheyya, api nu kho so, mahārāja, sālakakimi sakkuṇeyya taṃ hatthināgaṃ gilitu’’nti? ‘‘Na hi, bhante’’ti. ‘‘Kena kāraṇena, mahārājā’’ti? ‘‘Parittattā, bhante, sālakakimissa, mahantattā hatthināgassā’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, ūnakasattavassikassa cittaṃ abalaṃ dubbalaṃ parittaṃ appaṃ thokaṃ mandaṃ avibhūtaṃ, mahatī asaṅkhatā nibbānadhātu. So tena dubbalena cittena parittakena mandena avibhūtena na sakkoti mahatiṃ asaṅkhataṃ nibbānadhātuṃ paṭivijjhituṃ, tena kāraṇena ūnakasattavassikassa suppaṭipannassāpi dhammābhisamayo na hotī’’ti. ‘‘Sādhu, bhante nāgasena, evametaṃ tathā sampaṭicchāmī’’ti.

    ธมฺมาภิสมยปโญฺห อฎฺฐโมฯ

    Dhammābhisamayapañho aṭṭhamo.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact