Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๙. ธมฺมเจติยสุตฺตวณฺณนา
9. Dhammacetiyasuttavaṇṇanā
๓๖๔. เอวํ เม สุตนฺติ ธมฺมเจติยสุตฺตํฯ ตตฺถ เมทาฬุปนฺติ นาเมตํ ตสฺส, ตสฺส หิ นิคมสฺส เมทวณฺณา ปาสาณา กิเรตฺถ อุสฺสนฺนา อเหสุํ, ตสฺมา เมทาฬุปนฺติ สงฺขํ คตํฯ เสนาสนํ ปเนตฺถ อนิยตํ, ตสฺมา น ตํ วุตฺตํฯ นครกนฺติ เอวํนามกํ สกฺยานํ นิคมํฯ เกนจิเทว กรณีเยนาติ น อเญฺญน กรณีเยน, อยํ ปน พนฺธุลเสนาปติํ สทฺธิํ ทฺวตฺติํสาย ปุเตฺตหิ เอกทิวเสเนว คณฺหถาติ อาณาเปสิ, ตํทิวสญฺจสฺส ภริยาย มลฺลิกาย ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ ภควา นิมนฺติโต, พุทฺธปฺปมุเข ภิกฺขุสเงฺฆ ฆรํ อาคนฺตฺวา นิสินฺนมเตฺต ‘‘เสนาปติ กาลงฺกโต’’ติ สาสนํ อาหริตฺวา มลฺลิกาย อทํสุฯ สา ปณฺณํ คเหตฺวา มุขสาสนํ ปุจฺฉิฯ ‘‘รญฺญา อเยฺย เสนาปติ สทฺธิํ ทฺวตฺติํสาย ปุเตฺตหิ เอกปฺปหาเรเนว คหาปิโต’’ติ อาโรเจสุํฯ มหาชนคตํ มา กริตฺถาติ โอวฎฺฎิกาย ปณฺณํ กตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสิฯ ตสฺมิํ สมเย เอกา สปฺปิจาฎิ นีหริตา, สา อุมฺมาเร อาหจฺจ ภินฺนา, ตํ อปเนตฺวา อญฺญํ อาหราเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสิฯ
364.Evaṃme sutanti dhammacetiyasuttaṃ. Tattha medāḷupanti nāmetaṃ tassa, tassa hi nigamassa medavaṇṇā pāsāṇā kirettha ussannā ahesuṃ, tasmā medāḷupanti saṅkhaṃ gataṃ. Senāsanaṃ panettha aniyataṃ, tasmā na taṃ vuttaṃ. Nagarakanti evaṃnāmakaṃ sakyānaṃ nigamaṃ. Kenacideva karaṇīyenāti na aññena karaṇīyena, ayaṃ pana bandhulasenāpatiṃ saddhiṃ dvattiṃsāya puttehi ekadivaseneva gaṇhathāti āṇāpesi, taṃdivasañcassa bhariyāya mallikāya pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ bhagavā nimantito, buddhappamukhe bhikkhusaṅghe gharaṃ āgantvā nisinnamatte ‘‘senāpati kālaṅkato’’ti sāsanaṃ āharitvā mallikāya adaṃsu. Sā paṇṇaṃ gahetvā mukhasāsanaṃ pucchi. ‘‘Raññā ayye senāpati saddhiṃ dvattiṃsāya puttehi ekappahāreneva gahāpito’’ti ārocesuṃ. Mahājanagataṃ mā karitthāti ovaṭṭikāya paṇṇaṃ katvā bhikkhusaṅghaṃ parivisi. Tasmiṃ samaye ekā sappicāṭi nīharitā, sā ummāre āhacca bhinnā, taṃ apanetvā aññaṃ āharāpetvā bhikkhusaṅghaṃ parivisi.
สตฺถา กตภตฺตกิโจฺจ กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ – ‘‘สปฺปิจาฎิยา ภินฺนปจฺจยา น จิเนฺตตพฺพ’’นฺติ อาหฯ ตสฺมิํ สมเย มลฺลิกา ปณฺณํ นีหริตฺวา ภควโต ปุรโต ฐเปตฺวา – ‘‘ภควา อิมํ ทฺวตฺติํสาย ปุเตฺตหิ สทฺธิํ เสนาปติโน มตสาสนํ, อหํ เอตมฺปิ น จินฺตยามิ, สปฺปิจาฎิปจฺจยา กิํ จิเนฺตยฺยามี’’ติ อาหฯ ภควา – ‘‘มลฺลิเก, มา จินฺตยิ, อนมตเคฺค สํสาเร นาม วตฺตมานานํ โหติ เอต’’นฺติ อนิจฺจตาทิปฎิสํยุตฺตํ ธมฺมกถํ กตฺวา อคมาสิฯ มลฺลิกา ทฺวตฺติํสสุณิสาโย ปโกฺกสาเปตฺวา โอวาทํ อทาสิฯ ราชา มลฺลิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เสนาปติโน อมฺหากํ อนฺตเร ภินฺนโทโส อตฺถิ นตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ นตฺถิ สามีติฯ โส ตสฺสา วจเนน ตสฺส นิโทฺทสภาวํ ญตฺวา วิปฺปฎิสารี พลวโทมนสฺสํ อุปฺปาเทสิฯ โส – ‘‘เอวรูปํ นาม อโทสการกํ มํ สมฺภาวยิตฺวา อาคตํ สหายกํ วินาเสสิ’’นฺติ ตโต ปฎฺฐาย ปาสาเท วา นาฎเกสุ วา รชฺชสุเขสุ วา จิตฺตสฺสาทํ อลภมาโน ตตฺถ ตตฺถ วิจริตุํ อารโทฺธฯ เอตเทว กิจฺจํ อโหสิฯ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘เกนจิเทว กรณีเยนา’’ติฯ
Satthā katabhattakicco kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ – ‘‘sappicāṭiyā bhinnapaccayā na cintetabba’’nti āha. Tasmiṃ samaye mallikā paṇṇaṃ nīharitvā bhagavato purato ṭhapetvā – ‘‘bhagavā imaṃ dvattiṃsāya puttehi saddhiṃ senāpatino matasāsanaṃ, ahaṃ etampi na cintayāmi, sappicāṭipaccayā kiṃ cinteyyāmī’’ti āha. Bhagavā – ‘‘mallike, mā cintayi, anamatagge saṃsāre nāma vattamānānaṃ hoti eta’’nti aniccatādipaṭisaṃyuttaṃ dhammakathaṃ katvā agamāsi. Mallikā dvattiṃsasuṇisāyo pakkosāpetvā ovādaṃ adāsi. Rājā mallikaṃ pakkosāpetvā ‘‘senāpatino amhākaṃ antare bhinnadoso atthi natthī’’ti pucchi. Natthi sāmīti. So tassā vacanena tassa niddosabhāvaṃ ñatvā vippaṭisārī balavadomanassaṃ uppādesi. So – ‘‘evarūpaṃ nāma adosakārakaṃ maṃ sambhāvayitvā āgataṃ sahāyakaṃ vināsesi’’nti tato paṭṭhāya pāsāde vā nāṭakesu vā rajjasukhesu vā cittassādaṃ alabhamāno tattha tattha vicarituṃ āraddho. Etadeva kiccaṃ ahosi. Idaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘kenacideva karaṇīyenā’’ti.
ทีฆํ การายนนฺติ ทีฆการายโน นาม พนฺธุลเสนาปติสฺส ภาคิเนโยฺย ‘‘เอตสฺส เม มาตุโล อโทสการโก นิกฺการเณน ฆาติโต’’ติ รญฺญา เสนาปติฎฺฐาเน ฐปิโตฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ มหจฺจา ราชานุภาเวนาติ มหตา ราชานุภาเวน , ธรณิตลํ ภินฺทโนฺต วิย สาครํ ปริวเตฺตโนฺต วิย วิจิตฺตเวสโสเภน มหตา พลกาเยนาติ อโตฺถฯ ปาสาทิกานีติ ทสฺสเนเนว สห รญฺชนกานิฯ ปสาทนียานีติ ตเสฺสว เววจนํฯ อถ วา ปาสาทิกานีติ ปสาทชนกานิฯ อปฺปสทฺทานีติ นิสฺสทฺทานิฯ อปฺปนิโคฺฆสานีติ อวิภาวิตเตฺถน นิโคฺฆเสน รหิตานิฯ วิชนวาตานีติ วิคตชนวาตานิฯ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกานีติ มนุสฺสานํ รหสฺสกมฺมานุจฺฉวิกานิ, รหสฺสมนฺตํ มเนฺตนฺตานํ อนุรูปานีติ อโตฺถฯ ปฎิสลฺลานสารุปฺปานีติ นิลียนภาวสฺส เอกีภาวสฺส อนุจฺฉวิกานิฯ ยตฺถ สุทํ มยนฺติ น เตน ตตฺถ ภควา ปยิรุปาสิตปุโพฺพ, ตาทิเสสุ ปน ปยิรุปาสิตปุโพฺพ, ตสฺมา ยาทิเสสุ สุทํ มยนฺติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ
Dīghaṃkārāyananti dīghakārāyano nāma bandhulasenāpatissa bhāgineyyo ‘‘etassa me mātulo adosakārako nikkāraṇena ghātito’’ti raññā senāpatiṭṭhāne ṭhapito. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Mahaccā rājānubhāvenāti mahatā rājānubhāvena , dharaṇitalaṃ bhindanto viya sāgaraṃ parivattento viya vicittavesasobhena mahatā balakāyenāti attho. Pāsādikānīti dassaneneva saha rañjanakāni. Pasādanīyānīti tasseva vevacanaṃ. Atha vā pāsādikānīti pasādajanakāni. Appasaddānīti nissaddāni. Appanigghosānīti avibhāvitatthena nigghosena rahitāni. Vijanavātānīti vigatajanavātāni. Manussarāhasseyyakānīti manussānaṃ rahassakammānucchavikāni, rahassamantaṃ mantentānaṃ anurūpānīti attho. Paṭisallānasāruppānīti nilīyanabhāvassa ekībhāvassa anucchavikāni. Yattha sudaṃ mayanti na tena tattha bhagavā payirupāsitapubbo, tādisesu pana payirupāsitapubbo, tasmā yādisesu sudaṃ mayanti ayamettha attho.
อตฺถิ, มหาราชาติ ปณฺฑิโต เสนาปติ ‘‘ราชา ภควนฺตํ มมายตี’’ติ ชานาติ, โส สเจ มํ ราชา ‘‘กหํ ภควา’’ติ วเทยฺย, อทนฺธายเนฺตน อาจิกฺขิตุํ ยุตฺตนฺติ จรปุริเส ปโยเชตฺวา ภควโต นิวาสนฎฺฐานํ ญตฺวาว วิหรติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ อารามํ ปาวิสีติ พหินิคเม ขนฺธาวารํ พนฺธาเปตฺวา การายเนน สทฺธิํ ปาวิสิฯ
Atthi, mahārājāti paṇḍito senāpati ‘‘rājā bhagavantaṃ mamāyatī’’ti jānāti, so sace maṃ rājā ‘‘kahaṃ bhagavā’’ti vadeyya, adandhāyantena ācikkhituṃ yuttanti carapurise payojetvā bhagavato nivāsanaṭṭhānaṃ ñatvāva viharati. Tasmā evamāha. Ārāmaṃ pāvisīti bahinigame khandhāvāraṃ bandhāpetvā kārāyanena saddhiṃ pāvisi.
๓๖๖. วิหาโรติ คนฺธกุฎิํ สนฺธายาหํสุฯ อาฬินฺทนฺติ ปมุขํฯ อุกฺกาสิตฺวาติ อุกฺกาสิตสทฺทํ กตฺวาฯ อคฺคฬนฺติ กวาฎํฯ อาโกเฎหีติ อคฺคนเขน อีสกํ กุญฺจิกจฺฉิทฺทสมีเป โกเฎหีติ วุตฺตํ โหติฯ ทฺวารํ กิร อติอุปริ อมนุสฺสา, อติเหฎฺฐา ทีฆชาติกา โกเฎนฺติฯ ตถา อโกเฎตฺวา มเชฺฌ ฉิทฺทสมีเป โกเฎตพฺพํ, อิทํ ทฺวารโกฎฺฎกวตฺตนฺติ ทีเปนฺตา วทนฺติฯ ตเตฺถวาติ ภิกฺขูหิ วุตฺตฎฺฐาเนเยวฯ ขคฺคญฺจ อุณฺหีสญฺจาติ เทสนามตฺตเมตํ,
366.Vihāroti gandhakuṭiṃ sandhāyāhaṃsu. Āḷindanti pamukhaṃ. Ukkāsitvāti ukkāsitasaddaṃ katvā. Aggaḷanti kavāṭaṃ. Ākoṭehīti agganakhena īsakaṃ kuñcikacchiddasamīpe koṭehīti vuttaṃ hoti. Dvāraṃ kira atiupari amanussā, atiheṭṭhā dīghajātikā koṭenti. Tathā akoṭetvā majjhe chiddasamīpe koṭetabbaṃ, idaṃ dvārakoṭṭakavattanti dīpentā vadanti. Tatthevāti bhikkhūhi vuttaṭṭhāneyeva. Khaggañca uṇhīsañcāti desanāmattametaṃ,
วาลพีชนิมุณฺหีสํ, ขคฺคํ ฉตฺตญฺจุปาหนํ;
Vālabījanimuṇhīsaṃ, khaggaṃ chattañcupāhanaṃ;
โอรุยฺห ราชา ยานมฺหา, ฐปยิตฺวา ปฎิจฺฉทนฺติฯ –
Oruyha rājā yānamhā, ṭhapayitvā paṭicchadanti. –
อาคตานิ ปน ปญฺจปิ ราชกกุธภณฺฑานิ อทาสิฯ กสฺมา ปน อทาสีติฯ อติครุโน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติกํ อุทฺธตเวเสน คนฺตุํ น ยุตฺตนฺติ จ, เอกโกว อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตโน รุจิวเสน สโมฺมทิสฺสามิ จาติฯ ปญฺจสุ หิ ราชกกุธภเณฺฑสุ นิวตฺติเตสุ ตฺวํ นิวตฺตาติ วตฺตพฺพํ น โหติ, สเพฺพ สยเมว นิวตฺตนฺติฯ อิติ อิเมหิ ทฺวีหิ การเณหิ อทาสิฯ รหายตีติ รหสฺสํ กโรติ นิคูหติฯ อยํ กิรสฺส อธิปฺปาโย ‘‘ปุเพฺพปิ อยํ ราชา สมเณน โคตเมน สทฺธิํ จตุกฺกณฺณมนฺตํ มเนฺตตฺวา มยฺหํ มาตุลํ สทฺธิํ ทฺวตฺติํสาย ปุเตฺตหิ คณฺหาเปสิ, อิทานิปิ จตุกฺกณฺณมนฺตํ มเนฺตตุกาโม, กจฺจิ นุ โข มํ คณฺหาเปสฺสตี’’ติฯ เอวํ โกปวเสนสฺส เอตทโหสิฯ
Āgatāni pana pañcapi rājakakudhabhaṇḍāni adāsi. Kasmā pana adāsīti. Atigaruno sammāsambuddhassa santikaṃ uddhatavesena gantuṃ na yuttanti ca, ekakova upasaṅkamitvā attano rucivasena sammodissāmi cāti. Pañcasu hi rājakakudhabhaṇḍesu nivattitesu tvaṃ nivattāti vattabbaṃ na hoti, sabbe sayameva nivattanti. Iti imehi dvīhi kāraṇehi adāsi. Rahāyatīti rahassaṃ karoti nigūhati. Ayaṃ kirassa adhippāyo ‘‘pubbepi ayaṃ rājā samaṇena gotamena saddhiṃ catukkaṇṇamantaṃ mantetvā mayhaṃ mātulaṃ saddhiṃ dvattiṃsāya puttehi gaṇhāpesi, idānipi catukkaṇṇamantaṃ mantetukāmo, kacci nu kho maṃ gaṇhāpessatī’’ti. Evaṃ kopavasenassa etadahosi.
วิวริ ภควา ทฺวารนฺติ น ภควา อุฎฺฐาย ทฺวารํ วิวริ, วิวรตูติ ปน หตฺถํ ปสาเรสิฯ ตโต – ‘‘ภควา ตุเมฺหหิ อเนเกสุ กปฺปโกฎีสุ ทานํ ททมาเนหิ น สหตฺถา ทฺวารวิวรณกมฺมํ กต’’นฺติ สยเมว ทฺวารํ วิวฎํฯ ตํ ปน ยสฺมา ภควโต มเนน วิวฎํ, ตสฺมา ‘‘วิวริ ภควา ทฺวาร’’นฺติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ วิหารํ ปวิสิตฺวาติ คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวาฯ ตสฺมิํ ปน ปวิฎฺฐมเตฺตเยว การายโน ปญฺจ ราชกกุธภณฺฑานิ คเหตฺวา ขนฺธาวารํ คนฺตฺวา วิฎฎูภํ อามเนฺตสิ ‘‘ฉตฺตํ สมฺม อุสฺสาเปหี’’ติฯ มยฺหํ ปิตา กิํ คโตติ? ปิตรํ มา ปุจฺฉ, สเจ ตฺวํ น อุสฺสาเปสิ, ตํ คณฺหิตฺวา อหํ อุสฺสาเปมีติฯ ‘‘อุสฺสาเปมิ สมฺมา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ การายโน รโญฺญ เอกํ อสฺสญฺจ อสิญฺจ เอกเมว จ ปริจาริกํ อิตฺถิํ ฐเปตฺวา – ‘‘สเจ ราชา ชีวิเตน อตฺถิโก, มา อาคจฺฉตู’’ติ วิฎฎูภสฺส ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ตํ คเหตฺวา สาวตฺถิเมว คโตฯ
Vivaribhagavā dvāranti na bhagavā uṭṭhāya dvāraṃ vivari, vivaratūti pana hatthaṃ pasāresi. Tato – ‘‘bhagavā tumhehi anekesu kappakoṭīsu dānaṃ dadamānehi na sahatthā dvāravivaraṇakammaṃ kata’’nti sayameva dvāraṃ vivaṭaṃ. Taṃ pana yasmā bhagavato manena vivaṭaṃ, tasmā ‘‘vivari bhagavā dvāra’’nti vattuṃ vaṭṭati. Vihāraṃ pavisitvāti gandhakuṭiṃ pavisitvā. Tasmiṃ pana paviṭṭhamatteyeva kārāyano pañca rājakakudhabhaṇḍāni gahetvā khandhāvāraṃ gantvā viṭaṭūbhaṃ āmantesi ‘‘chattaṃ samma ussāpehī’’ti. Mayhaṃ pitā kiṃ gatoti? Pitaraṃ mā puccha, sace tvaṃ na ussāpesi, taṃ gaṇhitvā ahaṃ ussāpemīti. ‘‘Ussāpemi sammā’’ti sampaṭicchi. Kārāyano rañño ekaṃ assañca asiñca ekameva ca paricārikaṃ itthiṃ ṭhapetvā – ‘‘sace rājā jīvitena atthiko, mā āgacchatū’’ti viṭaṭūbhassa chattaṃ ussāpetvā taṃ gahetvā sāvatthimeva gato.
๓๖๗. ธมฺมนฺวโยติ ปจฺจกฺขญาณสงฺขาตสฺส ธมฺมสฺส อนุนโย อนุมานํ, อนุพุทฺธีติ อโตฺถฯ อิทานิ เยนสฺส ธมฺมนฺวเยน ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภควา’’ติอาทิ โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ อิธ ปนาหํ, ภเนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาปาณโกฎิกนฺติ ปาโณติ ชีวิตํ, ตํ มริยาทํ อโนฺต กริตฺวา, มรณสมเยปิ จรนฺติเยว, ตํ น วีติกฺกมนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อปาณโกฎิก’’นฺติปิ ปาโฐ, อาชีวิตปริยนฺตนฺติ อโตฺถฯ ยถา เอกเจฺจ ชีวิตเหตุ อติกฺกมนฺตา ปาณโกฎิกํ กตฺวา จรนฺติ, น เอวนฺติ อโตฺถฯ อยมฺปิ โข เม, ภเนฺตติ พุทฺธสุพุทฺธตาย ธมฺมสฺวากฺขาตตาย สงฺฆสุปฺปฎิปนฺนตาย จ เอตํ เอวํ โหติ, เอวญฺหิ เม, ภเนฺต, อยํ ภควติ ธมฺมนฺวโย โหตีติ ทีเปติฯ เอเสว นโย สพฺพตฺถฯ
367.Dhammanvayoti paccakkhañāṇasaṅkhātassa dhammassa anunayo anumānaṃ, anubuddhīti attho. Idāni yenassa dhammanvayena ‘‘sammāsambuddho bhagavā’’tiādi hoti, taṃ dassetuṃ idha panāhaṃ, bhantetiādimāha. Tattha āpāṇakoṭikanti pāṇoti jīvitaṃ, taṃ mariyādaṃ anto karitvā, maraṇasamayepi carantiyeva, taṃ na vītikkamantīti vuttaṃ hoti. ‘‘Apāṇakoṭika’’ntipi pāṭho, ājīvitapariyantanti attho. Yathā ekacce jīvitahetu atikkamantā pāṇakoṭikaṃ katvā caranti, na evanti attho. Ayampi kho me, bhanteti buddhasubuddhatāya dhammasvākkhātatāya saṅghasuppaṭipannatāya ca etaṃ evaṃ hoti, evañhi me, bhante, ayaṃ bhagavati dhammanvayo hotīti dīpeti. Eseva nayo sabbattha.
๓๖๙. น วิย มเญฺญ จกฺขุํ พนฺธเนฺตติ จกฺขุํ อพนฺธเนฺต วิยฯ อปาสาทิกญฺหิ ทิสฺวา ปุน โอโลกนกิจฺจํ น โหติ, ตสฺมา โส จกฺขุํ น พนฺธติ นามฯ ปาสาทิกํ ทิสฺวา ปุนปฺปุนํ โอโลกนกิจฺจํ โหติ, ตสฺมา โส จกฺขุํ พนฺธติ นามฯ อิเม จ อปาสาทิกา, ตสฺมา เอวมาหฯ พนฺธุกโรโค โนติ กุลโรโคฯ อมฺหากํ กุเล ชาตา เอวรูปา โหนฺตีติ วทนฺติฯ อุฬารนฺติ มเหสกฺขํฯ ปุเพฺพนาปรนฺติ ปุพฺพโต อปรํ วิเสสํฯ ตตฺถ กสิณปริกมฺมํ กตฺวา สมาปตฺติํ นิพฺพเตฺตโนฺต อุฬารํ ปุเพฺพ วิเสสํ สญฺชานาติ นาม, สมาปตฺติํ ปทฎฺฐานํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ คณฺหโนฺต อุฬารํ ปุพฺพโต อปรํ วิเสสํ สญฺชานาติ นามฯ
369.Naviya maññe cakkhuṃ bandhanteti cakkhuṃ abandhante viya. Apāsādikañhi disvā puna olokanakiccaṃ na hoti, tasmā so cakkhuṃ na bandhati nāma. Pāsādikaṃ disvā punappunaṃ olokanakiccaṃ hoti, tasmā so cakkhuṃ bandhati nāma. Ime ca apāsādikā, tasmā evamāha. Bandhukarogo noti kularogo. Amhākaṃ kule jātā evarūpā hontīti vadanti. Uḷāranti mahesakkhaṃ. Pubbenāparanti pubbato aparaṃ visesaṃ. Tattha kasiṇaparikammaṃ katvā samāpattiṃ nibbattento uḷāraṃ pubbe visesaṃ sañjānāti nāma, samāpattiṃ padaṭṭhānaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ gaṇhanto uḷāraṃ pubbato aparaṃ visesaṃ sañjānāti nāma.
๓๗๐. ฆาเตตายํ วา ฆาเตตุนฺติ ฆาเตตพฺพยุตฺตกํ ฆาเตตุํฯ ชาเปตายํ วา ชาเปตุนฺติ ธเนน วา ชาเปตพฺพยุตฺตกํ ชาเปตุํ ชานิตุํ อธนํ กาตุํฯ ปพฺพาเชตายํ วา ปพฺพาเชตุนฺติ รฎฺฐโต วา ปพฺพาเชตพฺพยุตฺตกํ ปพฺพาเชตุํฯ
370.Ghātetāyaṃ vā ghātetunti ghātetabbayuttakaṃ ghātetuṃ. Jāpetāyaṃ vā jāpetunti dhanena vā jāpetabbayuttakaṃ jāpetuṃ jānituṃ adhanaṃ kātuṃ. Pabbājetāyaṃ vā pabbājetunti raṭṭhato vā pabbājetabbayuttakaṃ pabbājetuṃ.
๓๗๓. อิสิทตฺตปุราณาติ อิสิทโตฺต จ ปุราโณ จฯ เตสุ เอโก พฺรหฺมจารี, เอโก สทารสนฺตุโฎฺฐฯ มมภตฺตาติ มม สนฺตกํ ภตฺตํ เอเตสนฺติ มมภตฺตาฯ มมยานาติ มม สนฺตกํ ยานํ เอเตสนฺติ มมยานาฯ ชีวิกาย ทาตาติ ชีวิตวุตฺติํ ทาตาฯ วีมํสมาโนติ อุปปริกฺขมาโนฯ ตทา กิร ราชา นิทฺทํ อโนกฺกโนฺตว โอกฺกโนฺต วิย หุตฺวา นิปชฺชิฯ อถ เต ถปตโย ‘‘กตรสฺมิํ ทิสาภาเค ภควา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อสุกสฺมิํ นามา’’ติ สุตฺวา มนฺตยิํสุ – ‘‘เยน สมฺมาสมฺพุโทฺธ, เตน สีเส กเต ราชา ปาทโต โหติฯ เยน ราชา, เตน สีเส กเต สตฺถา ปาทโต โหติ, กิํ กริสฺสามา’’ติ? ตโต เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘ราชา กุปฺปมาโน ยํ อมฺหากํ เทติ, ตํ อจฺฉิเนฺทยฺยฯ น โข ปน มยํ สโกฺกม ชานมานา สตฺถารํ ปาทโต กาตุ’’นฺติ ราชานํ ปาทโต กตฺวา นิปชฺชิํสุฯ ตํ สนฺธาย อยํ ราชา เอวมาหฯ
373.Isidattapurāṇāti isidatto ca purāṇo ca. Tesu eko brahmacārī, eko sadārasantuṭṭho. Mamabhattāti mama santakaṃ bhattaṃ etesanti mamabhattā. Mamayānāti mama santakaṃ yānaṃ etesanti mamayānā. Jīvikāya dātāti jīvitavuttiṃ dātā. Vīmaṃsamānoti upaparikkhamāno. Tadā kira rājā niddaṃ anokkantova okkanto viya hutvā nipajji. Atha te thapatayo ‘‘katarasmiṃ disābhāge bhagavā’’ti pucchitvā ‘‘asukasmiṃ nāmā’’ti sutvā mantayiṃsu – ‘‘yena sammāsambuddho, tena sīse kate rājā pādato hoti. Yena rājā, tena sīse kate satthā pādato hoti, kiṃ karissāmā’’ti? Tato nesaṃ etadahosi – ‘‘rājā kuppamāno yaṃ amhākaṃ deti, taṃ acchindeyya. Na kho pana mayaṃ sakkoma jānamānā satthāraṃ pādato kātu’’nti rājānaṃ pādato katvā nipajjiṃsu. Taṃ sandhāya ayaṃ rājā evamāha.
๓๗๔. ปกฺกามีติ คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา การายนสฺส ฐิตฎฺฐานํ คโต, ตํ ตตฺถ อทิสฺวา ขนฺธาวารฎฺฐานํ คโต, ตตฺถาปิ อญฺญํ อทิสฺวา ตํ อิตฺถิํ ปุจฺฉิฯ สา สพฺพํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ ราชา – ‘‘น อิทานิ มยา เอกเกน ตตฺถ คนฺตพฺพํ, ราชคหํ คนฺตฺวา ภาคิเนเยฺยน สทฺธิํ อาคนฺตฺวา มยฺหํ รชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ ราชคหํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค กณาชกภตฺตเญฺจว ภุญฺชิ, พหลอุทกญฺจ ปิวิฯ ตสฺส สุขุมาลปกติกสฺส อาหาโร น สมฺมา ปริณามิฯ โส ราชคหํ ปาปุณโนฺตปิ วิกาเล ทฺวาเรสุ ปิหิเตสุ ปาปุณิฯ ‘‘อชฺช สาลายํ สยิตฺวา เสฺว มยฺหํ ภาคิเนยฺยํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ พหินคเร สาลาย นิปชฺชิฯ ตสฺส รตฺติภาเค อุฎฺฐานานิ ปวตฺติํสุ, กติปยวาเร พหิ นิกฺขมิฯ ตโต ปฎฺฐาย ปทสา คนฺตุํ อสโกฺกโนฺต ตสฺสา อิตฺถิยา อเงฺก นิปชฺชิตฺวา พลวปจฺจูเส กาลมกาสิฯ สา ตสฺส มตภาวํ ญตฺวา – ‘‘ทฺวีสุ รเชฺชสุ รชฺชํ กาเรตฺวา อิทานิ ปรสฺส พหินคเร อนาถสาลาย อนาถกาลกิริยํ กตฺวา นิปโนฺน มยฺหํ สามิ โกสลราชา’’ติอาทีนิ วทมานา อุจฺจาสเทฺทน ปริเทวิตุํ อารภิฯ มนุสฺสา สุตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา อาคนฺตฺวา ทิสฺวา สญฺชานิตฺวา อาคตการณํ ญตฺวา มหาปริหาเรน สรีรกิจฺจํ กริตฺวา ‘‘วิฎฎูภํ คณฺหิสฺสามี’’ติ เภริํ จราเปตฺวา พลกายํ สนฺนิปาเตสิฯ อมจฺจา ปาเทสุ ปติตฺวา – ‘‘สเจ, เทว, ตุมฺหากํ มาตุโล อโรโค อสฺส, ตุมฺหากํ คนฺตุํ ยุตฺตํ ภเวยฺย, อิทานิ ปน วิฎฎูโภปิ ตุเมฺห นิสฺสาย ฉตฺตํ อุสฺสาเปตุํ อรหติเยวา’’ติ สญฺญาเปตฺวา นิวาเรสุํฯ
374.Pakkāmīti gandhakuṭito nikkhamitvā kārāyanassa ṭhitaṭṭhānaṃ gato, taṃ tattha adisvā khandhāvāraṭṭhānaṃ gato, tatthāpi aññaṃ adisvā taṃ itthiṃ pucchi. Sā sabbaṃ pavattiṃ ācikkhi. Rājā – ‘‘na idāni mayā ekakena tattha gantabbaṃ, rājagahaṃ gantvā bhāgineyyena saddhiṃ āgantvā mayhaṃ rajjaṃ gaṇhissāmī’’ti rājagahaṃ gacchanto antarāmagge kaṇājakabhattañceva bhuñji, bahalaudakañca pivi. Tassa sukhumālapakatikassa āhāro na sammā pariṇāmi. So rājagahaṃ pāpuṇantopi vikāle dvāresu pihitesu pāpuṇi. ‘‘Ajja sālāyaṃ sayitvā sve mayhaṃ bhāgineyyaṃ passissāmī’’ti bahinagare sālāya nipajji. Tassa rattibhāge uṭṭhānāni pavattiṃsu, katipayavāre bahi nikkhami. Tato paṭṭhāya padasā gantuṃ asakkonto tassā itthiyā aṅke nipajjitvā balavapaccūse kālamakāsi. Sā tassa matabhāvaṃ ñatvā – ‘‘dvīsu rajjesu rajjaṃ kāretvā idāni parassa bahinagare anāthasālāya anāthakālakiriyaṃ katvā nipanno mayhaṃ sāmi kosalarājā’’tiādīni vadamānā uccāsaddena paridevituṃ ārabhi. Manussā sutvā rañño ārocesuṃ. Rājā āgantvā disvā sañjānitvā āgatakāraṇaṃ ñatvā mahāparihārena sarīrakiccaṃ karitvā ‘‘viṭaṭūbhaṃ gaṇhissāmī’’ti bheriṃ carāpetvā balakāyaṃ sannipātesi. Amaccā pādesu patitvā – ‘‘sace, deva, tumhākaṃ mātulo arogo assa, tumhākaṃ gantuṃ yuttaṃ bhaveyya, idāni pana viṭaṭūbhopi tumhe nissāya chattaṃ ussāpetuṃ arahatiyevā’’ti saññāpetvā nivāresuṃ.
ธมฺมเจติยานีติ ธมฺมสฺส จิตฺตีการวจนานิฯ ตีสุ หิ รตเนสุ ยตฺถ กตฺถจิ จิตฺตีกาเร กเต สพฺพตฺถ กโตเยว โหติ, ตสฺมา ภควติ จิตฺตีกาเร กเต ธโมฺมปิ กโตว โหตีติ ภควา ‘‘ธมฺมเจติยานี’’ติ อาหฯ อาทิพฺรหฺมจริยกานีติ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส อาทิภูตานิ, ปุพฺพภาคปฎิปตฺติภูตานีติ อโตฺถฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Dhammacetiyānīti dhammassa cittīkāravacanāni. Tīsu hi ratanesu yattha katthaci cittīkāre kate sabbattha katoyeva hoti, tasmā bhagavati cittīkāre kate dhammopi katova hotīti bhagavā ‘‘dhammacetiyānī’’ti āha. Ādibrahmacariyakānīti maggabrahmacariyassa ādibhūtāni, pubbabhāgapaṭipattibhūtānīti attho. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
ธมฺมเจติยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dhammacetiyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๙. ธมฺมเจติยสุตฺตํ • 9. Dhammacetiyasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๙. ธมฺมเจติยสุตฺตวณฺณนา • 9. Dhammacetiyasuttavaṇṇanā