Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๓. ธมฺมทายาทสุตฺตวณฺณนา
3. Dhammadāyādasuttavaṇṇanā
๒๙. เอวํ เม สุตนฺติ ธมฺมทายาทสุตฺตํฯ ยสฺมา ปนสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติโก นิเกฺขโป, ตสฺมา ตํ ทเสฺสตฺวา วสฺส อปุพฺพปทวณฺณนํ กริสฺสามฯ กตราย จ ปนิทํ อฎฺฐุปฺปตฺติยา นิกฺขิตฺตนฺติฯ ลาภสกฺกาเรฯ ภควโต กิร มหาลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชิฯ ยถา ตํ จตฺตาโร อสเงฺขฺยเยฺย ปูริตทานปารมีสญฺจยสฺสฯ สพฺพทิสาสุ ยมกมหาเมโฆ วุฎฺฐหิตฺวา มโหฆํ วิย สพฺพปารมิโย เอกสฺมิํ อตฺตภาเว วิปากํ ทสฺสามาติ สมฺปิณฺฑิตา วิย ลาภสกฺการมโหฆํ นิพฺพตฺตยิํสุฯ ตโต ตโต อนฺนปานยานวตฺถมาลาคนฺธวิเลปนาทิหตฺถา ขตฺติยพฺราหฺมณาทโย อาคนฺตฺวา – ‘‘กหํ พุโทฺธ, กหํ ภควา, กหํ เทวเทโว, นราสโภ, ปุริสสีโห’’ติ ภควนฺตํ ปริเยสนฺติฯ สกฎสเตหิปิ ปจฺจเย อาหริตฺวา โอกาสํ อลภมานา สมนฺตา คาวุตปฺปมาณมฺปิ สกฎธุเรน สกฎธุรมาหจฺจติฎฺฐนฺติ เจว อนุพนฺธนฺติ จฯ อนฺธกวินฺทพฺราหฺมณาทโย วิยฯ สพฺพํ ขนฺธเก เตสุ เตสุ สุเตฺตสุ จ อาคตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ยถา จ ภควโต, เอวํ ภิกฺขุสงฺฆสฺสาปิฯ
29.Evaṃme sutanti dhammadāyādasuttaṃ. Yasmā panassa aṭṭhuppattiko nikkhepo, tasmā taṃ dassetvā vassa apubbapadavaṇṇanaṃ karissāma. Katarāya ca panidaṃ aṭṭhuppattiyā nikkhittanti. Lābhasakkāre. Bhagavato kira mahālābhasakkāro uppajji. Yathā taṃ cattāro asaṅkhyeyye pūritadānapāramīsañcayassa. Sabbadisāsu yamakamahāmegho vuṭṭhahitvā mahoghaṃ viya sabbapāramiyo ekasmiṃ attabhāve vipākaṃ dassāmāti sampiṇḍitā viya lābhasakkāramahoghaṃ nibbattayiṃsu. Tato tato annapānayānavatthamālāgandhavilepanādihatthā khattiyabrāhmaṇādayo āgantvā – ‘‘kahaṃ buddho, kahaṃ bhagavā, kahaṃ devadevo, narāsabho, purisasīho’’ti bhagavantaṃ pariyesanti. Sakaṭasatehipi paccaye āharitvā okāsaṃ alabhamānā samantā gāvutappamāṇampi sakaṭadhurena sakaṭadhuramāhaccatiṭṭhanti ceva anubandhanti ca. Andhakavindabrāhmaṇādayo viya. Sabbaṃ khandhake tesu tesu suttesu ca āgatanayeneva veditabbaṃ. Yathā ca bhagavato, evaṃ bhikkhusaṅghassāpi.
วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต ลาภี จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํ, ภิกฺขุสโงฺฆปิ โข สกฺกโต โหติ…เป.… ปริกฺขาราน’’นฺติ (อุทา. ๑๔)ฯ ตถา – ‘‘ยาวตา โข, จุนฺท, เอตรหิ สโงฺฆ วา คโณ วา โลเก อุปฺปโนฺน, นาหํ, จุนฺท, อญฺญํ เอกสงฺฆมฺปิ สมนุปสฺสามิ, เอวํ ลาภคฺคยสคฺคปตฺตํ, ยถริว, จุนฺท, ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๗๖)ฯ
Vuttampi cetaṃ – ‘‘tena kho pana samayena bhagavā sakkato hoti garukato mānito pūjito apacito lābhī cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārānaṃ, bhikkhusaṅghopi kho sakkato hoti…pe… parikkhārāna’’nti (udā. 14). Tathā – ‘‘yāvatā kho, cunda, etarahi saṅgho vā gaṇo vā loke uppanno, nāhaṃ, cunda, aññaṃ ekasaṅghampi samanupassāmi, evaṃ lābhaggayasaggapattaṃ, yathariva, cunda, bhikkhusaṅgho’’ti (dī. ni. 3.176).
สฺวายํ ภควโต จ ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ อุปฺปโนฺน ลาภสกฺกาโร เอกโต หุตฺวา ทฺวินฺนํ มหานทีนํ อุทกมิว อปฺปเมโยฺย อโหสิฯ กเมน ภิกฺขู ปจฺจยครุกา ปจฺจยพาหุลิกา อเหสุํฯ ปจฺฉาภตฺตมฺปิ เตลมธุผาณิตาทีสุ อาหเฎสุ คณฺฑิํเยว ปหริตฺวา ‘‘อมฺหากํ อาจริยสฺส เทถ, อุปชฺฌายสฺส เทถา’’ติ อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทํ กโรนฺติฯ สา จ เนสํ ปวตฺติ ภควโตปิ ปากฎา อโหสิฯ ตโต ภควา อนนุจฺฉวิกนฺติ ธมฺมสํเวคํ อุปฺปาเทตฺวา จิเนฺตสิ –
Svāyaṃ bhagavato ca bhikkhusaṅghassa ca uppanno lābhasakkāro ekato hutvā dvinnaṃ mahānadīnaṃ udakamiva appameyyo ahosi. Kamena bhikkhū paccayagarukā paccayabāhulikā ahesuṃ. Pacchābhattampi telamadhuphāṇitādīsu āhaṭesu gaṇḍiṃyeva paharitvā ‘‘amhākaṃ ācariyassa detha, upajjhāyassa dethā’’ti uccāsaddamahāsaddaṃ karonti. Sā ca nesaṃ pavatti bhagavatopi pākaṭā ahosi. Tato bhagavā ananucchavikanti dhammasaṃvegaṃ uppādetvā cintesi –
‘‘ปจฺจยา อกปฺปิยาติ น สกฺกา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตุํฯ ปจฺจยปฎิพทฺธา หิ กุลปุตฺตานํ สมณธมฺมวุตฺติฯ หนฺทาหํ ธมฺมทายาทปฎิปทํ เทเสมิฯ สา สิกฺขากามานํ กุลปุตฺตานํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติ วิย ภวิสฺสติ นครทฺวาเร ฐปิตสพฺพกายิกอาทาโส วิย จ, ยถา หิ นครทฺวาเร ฐปิเต สพฺพกายิเก อาทาเส จตฺตาโร วณฺณา อตฺตโน ฉายํ ทิสฺวา วชฺชํ ปหาย นิโทฺทสา โหนฺติ, เอวเมว สิกฺขากามา กุลปุตฺตา ปโยคมณฺฑเนน อตฺตานํ มเณฺฑตุกามา อิมํ สพฺพกายิกาทาสูปมํ เทสนํ อาวชฺชิตฺวา อามิสทายาทปฎิปทํ วเชฺชตฺวา ธมฺมทายาทปฎิปทํ ปูเรนฺตา ขิปฺปเมว ชาติชรามรณสฺส อนฺตํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา อิทํ สุตฺตํ อภาสิฯ
‘‘Paccayā akappiyāti na sakkā sikkhāpadaṃ paññapetuṃ. Paccayapaṭibaddhā hi kulaputtānaṃ samaṇadhammavutti. Handāhaṃ dhammadāyādapaṭipadaṃ desemi. Sā sikkhākāmānaṃ kulaputtānaṃ sikkhāpadapaññatti viya bhavissati nagaradvāre ṭhapitasabbakāyikaādāso viya ca, yathā hi nagaradvāre ṭhapite sabbakāyike ādāse cattāro vaṇṇā attano chāyaṃ disvā vajjaṃ pahāya niddosā honti, evameva sikkhākāmā kulaputtā payogamaṇḍanena attānaṃ maṇḍetukāmā imaṃ sabbakāyikādāsūpamaṃ desanaṃ āvajjitvā āmisadāyādapaṭipadaṃ vajjetvā dhammadāyādapaṭipadaṃ pūrentā khippameva jātijarāmaraṇassa antaṃ karissantī’’ti. Imissā aṭṭhuppattiyā idaṃ suttaṃ abhāsi.
ตตฺถ ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถ, มา อามิสทายาทาติ ธมฺมสฺส เม ทายาทา, ภิกฺขเว, ภวถ, มา อามิสสฺสฯ โย มยฺหํ ธโมฺม, ตสฺส ปฎิคฺคาหกา ภวถ, ยญฺจ โข มยฺหํ อามิสํ, ตสฺส มา ปฎิคฺคาหกา ภวถาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ ธโมฺมปิ ทุวิโธ – นิปฺปริยายธโมฺม, ปริยายธโมฺมติฯ อามิสมฺปิ ทุวิธํ – นิปฺปริยายามิสํ, ปริยายามิสนฺติฯ กถํ? มคฺคผลนิพฺพานเภโท หิ นววิโธปิ โลกุตฺตรธโมฺม นิปฺปริยายธโมฺม นิพฺพตฺติตธโมฺม, น เยน เกนจิ ปริยาเยน การเณน วา เลเสน วา ธโมฺมฯ ยํ ปนิทํ วิวฎฺฎูปนิสฺสิตํ กุสลํ, เสยฺยถิทํ, อิเธกโจฺจ วิวฎฺฎํ ปเตฺถโนฺต ทานํ เทติ, สีลํ สมาทิยติ, อุโปสถกมฺมํ กโรติ, คนฺธมาลาทีหิ วตฺถุปูชํ กโรติ, ธมฺมํ สุณาติ เทเสติ ฌานสมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตติ, เอวํ กโรโนฺต อนุปุเพฺพน นิปฺปริยายธมฺมํ อมตํ นิพฺพานํ ปฎิลภติ, อยํ ปริยายธโมฺมฯ ตถา จีวราทโย จตฺตาโร ปจฺจยา นิปฺปริยายามิสเมว, น อเญฺญน ปริยาเยน การเณน วา เลเสน วา อามิสํฯ ยํ ปนิทํ วฎฺฎคามิกุสลํ, เสยฺยถิทํ, อิเธกโจฺจ วฎฺฎํ ปเตฺถโนฺต สมฺปตฺติภวํ อิจฺฉมาโน ทานํ เทติ…เป.… สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตติ, เอวํ กโรโนฺต อนุปุเพฺพน เทวมนุสฺสสมฺปตฺติํ ปฎิลภติ, อิทํ ปริยายามิสํ นามฯ
Tattha dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavatha, mā āmisadāyādāti dhammassa me dāyādā, bhikkhave, bhavatha, mā āmisassa. Yo mayhaṃ dhammo, tassa paṭiggāhakā bhavatha, yañca kho mayhaṃ āmisaṃ, tassa mā paṭiggāhakā bhavathāti vuttaṃ hoti. Tattha dhammopi duvidho – nippariyāyadhammo, pariyāyadhammoti. Āmisampi duvidhaṃ – nippariyāyāmisaṃ, pariyāyāmisanti. Kathaṃ? Maggaphalanibbānabhedo hi navavidhopi lokuttaradhammo nippariyāyadhammo nibbattitadhammo, na yena kenaci pariyāyena kāraṇena vā lesena vā dhammo. Yaṃ panidaṃ vivaṭṭūpanissitaṃ kusalaṃ, seyyathidaṃ, idhekacco vivaṭṭaṃ patthento dānaṃ deti, sīlaṃ samādiyati, uposathakammaṃ karoti, gandhamālādīhi vatthupūjaṃ karoti, dhammaṃ suṇāti deseti jhānasamāpattiyo nibbatteti, evaṃ karonto anupubbena nippariyāyadhammaṃ amataṃ nibbānaṃ paṭilabhati, ayaṃ pariyāyadhammo. Tathā cīvarādayo cattāro paccayā nippariyāyāmisameva, na aññena pariyāyena kāraṇena vā lesena vā āmisaṃ. Yaṃ panidaṃ vaṭṭagāmikusalaṃ, seyyathidaṃ, idhekacco vaṭṭaṃ patthento sampattibhavaṃ icchamāno dānaṃ deti…pe… samāpattiyo nibbatteti, evaṃ karonto anupubbena devamanussasampattiṃ paṭilabhati, idaṃ pariyāyāmisaṃ nāma.
ตตฺถ นิปฺปริยายธโมฺมปิ ภควโตเยว สนฺตโกฯ ภควตา หิ กถิตตฺตา ภิกฺขู มคฺคผลนิพฺพานานิ อธิคจฺฉนฺติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘โส หิ พฺราหฺมณ ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา, อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชเนตา, อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา, มคฺคญฺญู มคฺควิทู มคฺคโกวิโทฯ มคฺคานุคา จ ปน เอตรหิ สาวกา วิหรนฺติ ปจฺฉา สมนฺนาคตา’’ติ (ม. นิ. ๓.๗๙) จ – ‘‘โส หาวุโส, ภควา ชานํ ชานาติ, ปสฺสํ ปสฺสติ จกฺขุภูโต ญาณภูโต ธมฺมภูโต พฺรหฺมภูโต วตฺตา ปวตฺตา อตฺถสฺส นิเนฺนตา อมตสฺส ทาตา ธมฺมสฺสามี ตถาคโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๐๓) จฯ ปริยายธโมฺมปิ ภควโตเยว สนฺตโกฯ ภควตา หิ กถิตตฺตา เอวํ ชานนฺติ ‘‘วิวฎฺฎํ ปเตฺถตฺวา ทานํ เทโนฺต…เป.… สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตโนฺต อนุกฺกเมน อมตํ นิพฺพานํ ปฎิลภตี’’ติฯ นิปฺปริยายามิสมฺปิ จ ภควโตเยว สนฺตกํฯ ภควตา หิ อนุญฺญาตตฺตาเยว ภิกฺขูหิ ชีวกวตฺถุํ อาทิํ กตฺวา ปณีตจีวรํ ลทฺธํฯ ยถาห ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, คหปติจีวรํฯ โย อิจฺฉติ, ปํสุกูลิโก โหตุ, โย อิจฺฉติ, คหปติจีวรํ สาทิยตุฯ อิตรีตเรนปาหํ, ภิกฺขเว, สนฺตุฎฺฐิํเยว วเณฺณมี’’ติ (มหาว. ๓๓๗)ฯ
Tattha nippariyāyadhammopi bhagavatoyeva santako. Bhagavatā hi kathitattā bhikkhū maggaphalanibbānāni adhigacchanti. Vuttampi cetaṃ ‘‘so hi brāhmaṇa bhagavā anuppannassa maggassa uppādetā, asañjātassa maggassa sañjanetā, anakkhātassa maggassa akkhātā, maggaññū maggavidū maggakovido. Maggānugā ca pana etarahi sāvakā viharanti pacchā samannāgatā’’ti (ma. ni. 3.79) ca – ‘‘so hāvuso, bhagavā jānaṃ jānāti, passaṃ passati cakkhubhūto ñāṇabhūto dhammabhūto brahmabhūto vattā pavattā atthassa ninnetā amatassa dātā dhammassāmī tathāgato’’ti (ma. ni. 1.203) ca. Pariyāyadhammopi bhagavatoyeva santako. Bhagavatā hi kathitattā evaṃ jānanti ‘‘vivaṭṭaṃ patthetvā dānaṃ dento…pe… samāpattiyo nibbattento anukkamena amataṃ nibbānaṃ paṭilabhatī’’ti. Nippariyāyāmisampi ca bhagavatoyeva santakaṃ. Bhagavatā hi anuññātattāyeva bhikkhūhi jīvakavatthuṃ ādiṃ katvā paṇītacīvaraṃ laddhaṃ. Yathāha ‘‘anujānāmi, bhikkhave, gahapaticīvaraṃ. Yo icchati, paṃsukūliko hotu, yo icchati, gahapaticīvaraṃ sādiyatu. Itarītarenapāhaṃ, bhikkhave, santuṭṭhiṃyeva vaṇṇemī’’ti (mahāva. 337).
ปุเพฺพ จ ภิกฺขู ปณีตปิณฺฑปาตํ นาลตฺถุํฯ สปทานปิณฺฑิยาโลปโภชนา เอวาเหสุํฯ เตหิ ราชคเห วิหรเนฺตน ภควตา – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, สงฺฆภตฺตํ อุเทฺทสภตฺตํ นิมนฺตนํ สลากภตฺตํ ปกฺขิกํ อุโปสถิกํ ปาฎิปทิก’’นฺติ (จูฬว. ๓๒๕) เอวํ อนุญฺญาตตฺตาเยว ปณีตโภชนํ ลทฺธํฯ ตถา เสนาสนํฯ ปุเพฺพ หิ อกตปพฺภารรุกฺขมูลาทิเสนาสนาเยว ภิกฺขู อเหสุํฯ เต ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจ เลณานี’’ติ (จูฬว. ๒๙๔) เอวํ ภควตา อนุญฺญาตตฺตาเยว วิหาโร อฑฺฒโยโค ปาสาโท หมฺมิยํ คุหาติ อิมานิ เสนาสนานิ ลภิํสุฯ ปุเพฺพ จ มุตฺตหรีตเกเนว เภสชฺชํ อกํสุฯ เต ภควตาเยว – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจ เภสชฺชานิ, เสยฺยถิทํ, สปฺปิ, นวนีตํ, เตลํ, มธุ, ผาณิต’’นฺติ (มหาว. ๒๖๐) เอวมาทินา นเยน อนุญฺญาตตฺตา นานาเภสชฺชานิ ลภิํสุฯ
Pubbe ca bhikkhū paṇītapiṇḍapātaṃ nālatthuṃ. Sapadānapiṇḍiyālopabhojanā evāhesuṃ. Tehi rājagahe viharantena bhagavatā – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, saṅghabhattaṃ uddesabhattaṃ nimantanaṃ salākabhattaṃ pakkhikaṃ uposathikaṃ pāṭipadika’’nti (cūḷava. 325) evaṃ anuññātattāyeva paṇītabhojanaṃ laddhaṃ. Tathā senāsanaṃ. Pubbe hi akatapabbhārarukkhamūlādisenāsanāyeva bhikkhū ahesuṃ. Te ‘‘anujānāmi, bhikkhave, pañca leṇānī’’ti (cūḷava. 294) evaṃ bhagavatā anuññātattāyeva vihāro aḍḍhayogo pāsādo hammiyaṃ guhāti imāni senāsanāni labhiṃsu. Pubbe ca muttaharītakeneva bhesajjaṃ akaṃsu. Te bhagavatāyeva – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, pañca bhesajjāni, seyyathidaṃ, sappi, navanītaṃ, telaṃ, madhu, phāṇita’’nti (mahāva. 260) evamādinā nayena anuññātattā nānābhesajjāni labhiṃsu.
ปริยายามิสมฺปิ ภควโตเยว สนฺตกํฯ ภควตา หิ กถิตตฺตา เยว ชานนฺติ – ‘‘สมฺปตฺติภวํ ปเตฺถโนฺต ทานํ ทตฺวา สีลํ…เป.… สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา อนุกฺกเมน ปริยายามิสํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ มนุสฺสสมฺปตฺติํ ปฎิลภตี’’ติฯ ตเทว, ยสฺมา นิปฺปริยายธโมฺมปิ ปริยายธโมฺมปิ นิปฺปริยายามิสมฺปิ ปริยายามิสมฺปิ ภควโตเยว สนฺตกํ, ตสฺมา ตตฺถ อตฺตโน สามิภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถ มา อามิสทายาทา’’ติฯ
Pariyāyāmisampi bhagavatoyeva santakaṃ. Bhagavatā hi kathitattā yeva jānanti – ‘‘sampattibhavaṃ patthento dānaṃ datvā sīlaṃ…pe… samāpattiyo nibbattetvā anukkamena pariyāyāmisaṃ dibbasampattiṃ manussasampattiṃ paṭilabhatī’’ti. Tadeva, yasmā nippariyāyadhammopi pariyāyadhammopi nippariyāyāmisampi pariyāyāmisampi bhagavatoyeva santakaṃ, tasmā tattha attano sāmibhāvaṃ dassento āha – ‘‘dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavatha mā āmisadāyādā’’ti.
โย มยฺหํ สนฺตโก ทุวิโธปิ ธโมฺม, ตสฺส ทายาทา ภวถฯ ยญฺจ โข เอตํ มยฺหเมว สนฺตกํ อามิสํ, ตสฺส ทายาทา มา ภวถฯ ธมฺมโกฎฺฐาสเสฺสว สามิโน ภวถ, มา อามิสโกฎฺฐาสสฺสฯ โย หิ ชินสาสเน ปพฺพชิตฺวา ปจฺจยปรโม วิหรติ จตูสุ ตณฺหุปฺปาเทสุ สนฺทิสฺสมาโน นิกฺขิตฺตธุโร ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปตฺติยํ, อยํ อามิสทายาโท นามฯ ตาทิสา มา ภวถฯ โย ปน อนุญฺญาตปจฺจเยสุ อปฺปิจฺฉตาทีนิ นิสฺสาย ปฎิสงฺขา เสวมาโน ปฎิปตฺติปรโม วิหรติ จตูสุ อริยวํเสสุ สนฺทิสฺสมาโน, อยํ ธมฺมทายาโท นามฯ ตาทิสา ภวถาติ วุตฺตํ โหติฯ
Yo mayhaṃ santako duvidhopi dhammo, tassa dāyādā bhavatha. Yañca kho etaṃ mayhameva santakaṃ āmisaṃ, tassa dāyādā mā bhavatha. Dhammakoṭṭhāsasseva sāmino bhavatha, mā āmisakoṭṭhāsassa. Yo hi jinasāsane pabbajitvā paccayaparamo viharati catūsu taṇhuppādesu sandissamāno nikkhittadhuro dhammānudhammappaṭipattiyaṃ, ayaṃ āmisadāyādo nāma. Tādisā mā bhavatha. Yo pana anuññātapaccayesu appicchatādīni nissāya paṭisaṅkhā sevamāno paṭipattiparamo viharati catūsu ariyavaṃsesu sandissamāno, ayaṃ dhammadāyādo nāma. Tādisā bhavathāti vuttaṃ hoti.
อิทานิ เยสํ ตตฺถ เอตทโหสิ, ภวิสฺสติ วา อนาคตมทฺธานํ ‘‘กิํ นุ โข ภควา สาวกานํ อลาภตฺถิโก เอวมาหา’’ติ, เตสํ อติปณีตลาภตฺถิโก อหํ เอวํ วทามีติ ทเสฺสตุมาห อตฺถิ เม ตุเมฺหสุ…เป.… โน อามิสทายาทาติฯ
Idāni yesaṃ tattha etadahosi, bhavissati vā anāgatamaddhānaṃ ‘‘kiṃ nu kho bhagavā sāvakānaṃ alābhatthiko evamāhā’’ti, tesaṃ atipaṇītalābhatthiko ahaṃ evaṃ vadāmīti dassetumāha atthi me tumhesu…pe… no āmisadāyādāti.
ตสฺสายมโตฺถ – อตฺถิ เม ตุเมฺหสุ อนุกมฺปา อนุทฺทยา หิเตสิตา, เกน นุ โข การเณน เกน อุปาเยน สาวกา ธมฺมทายาทา อสฺสุ ธมฺมโกฎฺฐาสสามิโน, โน อามิสทายาทาติฯ อยํ ปน อธิปฺปาโย, ปสฺสติ กิร ภควา อามิสครุกานํ อามิเส อุปกฺขลิตานํ อตีตกาเล ตาว กปิลสฺส ภิกฺขุโน, ‘‘สงฺฆาฎิปิ อาทิตฺตา โหตี’’ติอาทินา (ปารา. ๒๓๐; สํ. นิ. ๒.๒๑๘) นเยน อาคตปาปภิกฺขุภิกฺขุนีสิกฺขมานาทีนญฺจ อเนกสตานํ อปายปริปูรณตฺตํ อตฺตโน สาสเน ปพฺพชิตานญฺจ เทวทตฺตาทีนํฯ ธมฺมครุกานํ ปน สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานมหากสฺสปาทีนํ อภิญฺญาปฎิสมฺภิทาทิคุณปฺปฎิลาภํฯ ตสฺมา เตสํ อปายา ปริมุตฺติํ สพฺพคุณสมฺปตฺติญฺจ อิจฺฉโนฺต อาห – ‘‘อตฺถิ เม ตุเมฺหสุ อนุกมฺปา กินฺติ เม สาวกา ธมฺมทายาทา ภเวยฺยุํ, โน อามิสทายาทา’’ติฯ ปจฺจยครุโก จ จตุปริสนฺตเร กูฎกหาปโณ วิย นิพฺพุตงฺคาโร วิย จ นิเตฺตโช นิปฺปโภ โหติฯ ตโต วิวตฺติตจิโตฺต ธมฺมครุโก เตชวา สีโหว อภิภุยฺยจารี, ตสฺมาปิ เอวมาห – ‘‘อตฺถิ เม…เป.… โน อามิสทายาทา’’ติฯ
Tassāyamattho – atthi me tumhesu anukampā anuddayā hitesitā, kena nu kho kāraṇena kena upāyena sāvakā dhammadāyādā assu dhammakoṭṭhāsasāmino, no āmisadāyādāti. Ayaṃ pana adhippāyo, passati kira bhagavā āmisagarukānaṃ āmise upakkhalitānaṃ atītakāle tāva kapilassa bhikkhuno, ‘‘saṅghāṭipi ādittā hotī’’tiādinā (pārā. 230; saṃ. ni. 2.218) nayena āgatapāpabhikkhubhikkhunīsikkhamānādīnañca anekasatānaṃ apāyaparipūraṇattaṃ attano sāsane pabbajitānañca devadattādīnaṃ. Dhammagarukānaṃ pana sāriputtamoggallānamahākassapādīnaṃ abhiññāpaṭisambhidādiguṇappaṭilābhaṃ. Tasmā tesaṃ apāyā parimuttiṃ sabbaguṇasampattiñca icchanto āha – ‘‘atthi me tumhesu anukampā kinti me sāvakā dhammadāyādā bhaveyyuṃ, no āmisadāyādā’’ti. Paccayagaruko ca catuparisantare kūṭakahāpaṇo viya nibbutaṅgāro viya ca nittejo nippabho hoti. Tato vivattitacitto dhammagaruko tejavā sīhova abhibhuyyacārī, tasmāpi evamāha – ‘‘atthi me…pe… no āmisadāyādā’’ti.
เอวํ ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถ, มา อามิสทายาทา’’ติ อิทํ อนุกมฺปาย ปณีตตรํ ลาภํ อิจฺฉเนฺตน วุตฺตํ, โน อลาภตฺถิเกนาติ สาเวตฺวา อิทานิ อิมสฺส โอวาทสฺส อกรเณ อาทีนวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ตุเมฺห จ เม, ภิกฺขเว…เป.… โน ธมฺมทายาทา’’ติฯ ตตฺถ ตุเมฺหปิ เตน อาทิยา ภเวยฺยาถาติ ตุเมฺหปิ เตน อามิสทายาทภาเวน โน ธมฺมทายาทภาเวน อาทิยา ภเวยฺยาถฯ อปทิสิตพฺพา วิสุํ กาตพฺพา ววตฺถเปตพฺพา, วิญฺญูหิ คารยฺหา ภเวยฺยาถาติ วุตฺตํ โหติฯ กินฺติ? อามิสทายาทา สตฺถุสาวกา วิหรนฺติ, โน ธมฺมทายาทาติฯ
Evaṃ ‘‘dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavatha, mā āmisadāyādā’’ti idaṃ anukampāya paṇītataraṃ lābhaṃ icchantena vuttaṃ, no alābhatthikenāti sāvetvā idāni imassa ovādassa akaraṇe ādīnavaṃ dassento āha ‘‘tumhe ca me, bhikkhave…pe… no dhammadāyādā’’ti. Tattha tumhepi tena ādiyā bhaveyyāthāti tumhepi tena āmisadāyādabhāvena no dhammadāyādabhāvena ādiyā bhaveyyātha. Apadisitabbā visuṃ kātabbā vavatthapetabbā, viññūhi gārayhā bhaveyyāthāti vuttaṃ hoti. Kinti? Āmisadāyādā satthusāvakā viharanti, no dhammadāyādāti.
อหมฺปิ เตน อาทิโย ภเวยฺยนฺติ อหมฺปิ เตน ตุมฺหากํ อามิสทายาทภาเวน โน ธมฺมทายาทภาเวน คารโยฺห ภเวยฺยํฯ กินฺติ? อามิส…เป.… ทายาทาติฯ อิทํ ภควา เตสํ อตีว มุทุกรณตฺถมาหฯ อยญฺหิ เอตฺถ อธิปฺปาโย – สเจ, ภิกฺขเว, ตุเมฺห อามิสโลลา จริสฺสถ, ตตฺถ วิญฺญู มํ ครหิสฺสนฺติ ‘‘กถญฺหิ นาม สพฺพญฺญู สมาโน อตฺตโน สาวเก ธมฺมทายาเท โน อามิสทายาเท กาตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ เสยฺยถาปิ นาม อนากปฺปสมฺปเนฺน ภิกฺขู ทิสฺวา อาจริยุปชฺฌาเย ครหนฺติ ‘‘กสฺสิเม สทฺธิวิหาริกา, กสฺสเนฺตวาสิกา’’ติ; เสยฺยถา วา ปน กุลกุมารเก วา กุลกุมาริกาโย วา ทุสฺสีเล ปาปธเมฺม ทิสฺวา มาตาปิตโร ครหนฺติ ‘‘กสฺสิเม ปุตฺตา, กสฺส ธีตโร’’ติ; เอวเมว มํ วิญฺญู ครหิสฺสนฺติ ‘‘กถญฺหิ นาม สพฺพญฺญู สมาโน อตฺตโน สาวเก ธมฺมทายาเท โน อามิสทายาเท กาตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ
Ahampi tena ādiyo bhaveyyanti ahampi tena tumhākaṃ āmisadāyādabhāvena no dhammadāyādabhāvena gārayho bhaveyyaṃ. Kinti? Āmisa…pe… dāyādāti. Idaṃ bhagavā tesaṃ atīva mudukaraṇatthamāha. Ayañhi ettha adhippāyo – sace, bhikkhave, tumhe āmisalolā carissatha, tattha viññū maṃ garahissanti ‘‘kathañhi nāma sabbaññū samāno attano sāvake dhammadāyāde no āmisadāyāde kātuṃ na sakkotī’’ti. Seyyathāpi nāma anākappasampanne bhikkhū disvā ācariyupajjhāye garahanti ‘‘kassime saddhivihārikā, kassantevāsikā’’ti; seyyathā vā pana kulakumārake vā kulakumārikāyo vā dussīle pāpadhamme disvā mātāpitaro garahanti ‘‘kassime puttā, kassa dhītaro’’ti; evameva maṃ viññū garahissanti ‘‘kathañhi nāma sabbaññū samāno attano sāvake dhammadāyāde no āmisadāyāde kātuṃ na sakkotī’’ti.
เอวํ อิมสฺส โอวาทสฺส อกรเณ อาทีนวํ ทเสฺสตฺวา กรเณ อานิสํสํ ทเสฺสโนฺต ตุเมฺห จ เมติอาทิมาหฯ ตตฺถ อหมฺปิ เตน น อาทิโย ภเวยฺยนฺติ เสยฺยถาปิ นาม วตฺตปริปูรเก ทหรภิกฺขู อุเทฺทสปริปุจฺฉาสมฺปเนฺน วสฺสสติกเตฺถเร วิย อากปฺปสมฺปเนฺน ทิสฺวา, กสฺส สทฺธิวิหาริกา, กสฺสเนฺตวาสิกาติ, อสุกสฺสาติ, ‘‘ปติรูปํ เถรสฺส, ปฎิพโล วต โอวทิตุํ อนุสาสิตุ’’นฺติ อาจริยุปชฺฌายา น อาทิยา น คารยฺหา ภวนฺติ, เอวเมว อหมฺปิ เตน ตุมฺหากํ ธมฺมทายาทภาเวน โน อามิสทายาทภาเวน กสฺส สาวกา นาลกปฎิปทํ ตุวฎฺฎกปฎิปทํ จนฺทูปมปฎิปทํ รถวินีตปฎิปทํ มหาโคสิงฺคสาลปฎิปทํ มหาสุญฺญตปฎิปทํ ปฎิปนฺนา จตุปจฺจยสโนฺตสภาวนารามอริยวํเสสุ สกฺขิภูตา ปจฺจยเคธโต วิวตฺตมานสา อพฺภา มุตฺตจนฺทสมา วิหรนฺตีติ; ‘‘สมณสฺส โคตมสฺสา’’ติ วุเตฺต ‘‘สพฺพญฺญู วต ภควา, อสกฺขิ วต สาวเก อามิสทายาทปฎิปทํ ฉฑฺฑาเปตฺวา ธมฺมทายาทปฎิปตฺติปูรเก กาตุ’’นฺติ วิญฺญูนํ น อาทิโย น คารโยฺห ภเวยฺยนฺติฯ เอวมิมสฺมิํ ปเท อธิปฺปายํ ญตฺวา เสสํ กณฺหปเกฺข วุตฺตนยปจฺจนีเกน เวทิตพฺพํฯ เอวํ อิมสฺส โอวาทสฺส กรเณ อานิสํสํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตํ โอวาทํ นิยฺยาเตโนฺต อาห – ‘‘ตสฺมา ติห เม, ภิกฺขเว…เป.… โน อามิสทายาทา’’ติฯ
Evaṃ imassa ovādassa akaraṇe ādīnavaṃ dassetvā karaṇe ānisaṃsaṃ dassento tumhe ca metiādimāha. Tattha ahampi tena na ādiyo bhaveyyanti seyyathāpi nāma vattaparipūrake daharabhikkhū uddesaparipucchāsampanne vassasatikatthere viya ākappasampanne disvā, kassa saddhivihārikā, kassantevāsikāti, asukassāti, ‘‘patirūpaṃ therassa, paṭibalo vata ovadituṃ anusāsitu’’nti ācariyupajjhāyā na ādiyā na gārayhā bhavanti, evameva ahampi tena tumhākaṃ dhammadāyādabhāvena no āmisadāyādabhāvena kassa sāvakā nālakapaṭipadaṃ tuvaṭṭakapaṭipadaṃ candūpamapaṭipadaṃ rathavinītapaṭipadaṃ mahāgosiṅgasālapaṭipadaṃ mahāsuññatapaṭipadaṃ paṭipannā catupaccayasantosabhāvanārāmaariyavaṃsesu sakkhibhūtā paccayagedhato vivattamānasā abbhā muttacandasamā viharantīti; ‘‘samaṇassa gotamassā’’ti vutte ‘‘sabbaññū vata bhagavā, asakkhi vata sāvake āmisadāyādapaṭipadaṃ chaḍḍāpetvā dhammadāyādapaṭipattipūrake kātu’’nti viññūnaṃ na ādiyo na gārayho bhaveyyanti. Evamimasmiṃ pade adhippāyaṃ ñatvā sesaṃ kaṇhapakkhe vuttanayapaccanīkena veditabbaṃ. Evaṃ imassa ovādassa karaṇe ānisaṃsaṃ dassetvā idāni taṃ ovādaṃ niyyātento āha – ‘‘tasmā tiha me, bhikkhave…pe… no āmisadāyādā’’ti.
๓๐. เอวมิมํ โอวาทํ นิยฺยาเตตฺวา อิทานิ ตสฺสา ธมฺมทายาทปฎิปตฺติยา ปริปูรการิํ โถเมตุํ อิธาหํ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ภควโต หิ โถมนํ สุตฺวาปิ โหนฺติเยว ตทตฺถาย ปฎิปชฺชิตาโรฯ
30. Evamimaṃ ovādaṃ niyyātetvā idāni tassā dhammadāyādapaṭipattiyā paripūrakāriṃ thometuṃ idhāhaṃ, bhikkhavetiādimāha. Bhagavato hi thomanaṃ sutvāpi hontiyeva tadatthāya paṭipajjitāro.
ตตฺถ อิธาติ นิปาตปทเมตํฯ ภุตฺตาวีติ ภุตฺตวา, กตภตฺตกิโจฺจติ วุตฺตํ โหติฯ ปวาริโตติ ยาวทตฺถปวารณาย ปวาริโต, ยาวทตฺถํ ภุญฺชิตฺวา ปฎิกฺขิตฺตโภชโน ติโตฺตวาติ วุตฺตํ โหติฯ จตุพฺพิธา หิ ปวารณา วสฺสํวุฎฺฐปวารณา ปจฺจยปวารณา อนติริตฺตปวารณา ยาวทตฺถปวารณาติฯ ตตฺถ, ‘‘อนุชานามิ ภิกฺขเว, วสฺสํวุฎฺฐานํ ภิกฺขูนํ ตีหิ ฐาเนหิ ปวาเรตุ’’นฺติ (มหาว. ๒๐๙) อยํ วสฺสํวุฎฺฐปวารณาฯ ‘‘อิจฺฉามหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ จตุมาสํ เภสเชฺชน ปวาเรตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๓๐๓) จ ‘‘อญฺญตฺร ปุนปวารณาย อญฺญตฺร นิจฺจปวารณายา’’ติ (ปาจิ. ๓๐๗) จ อยํ ปจฺจยปวารณาฯ ‘‘ปวาริโต นาม อสนํ ปญฺญายติ, โภชนํ ปญฺญายติ, หตฺถปาเส ฐิโต อภิหรติ, ปฎิเกฺขโป ปญฺญายติ, เอโส ปวาริโต นามา’’ติ (ปาจิ. ๒๓๙) อยํ อนติริตฺตปวารณาฯ ‘‘ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปสิ สมฺปวาเรสี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๙๗, ๓๕๘) อยํ ยาวทตฺถปวารณาฯ อยมิธ อธิเปฺปตาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปวาริโตติ ยาวทตฺถปวารณาย ปวาริโต’’ติฯ
Tattha idhāti nipātapadametaṃ. Bhuttāvīti bhuttavā, katabhattakiccoti vuttaṃ hoti. Pavāritoti yāvadatthapavāraṇāya pavārito, yāvadatthaṃ bhuñjitvā paṭikkhittabhojano tittovāti vuttaṃ hoti. Catubbidhā hi pavāraṇā vassaṃvuṭṭhapavāraṇā paccayapavāraṇā anatirittapavāraṇā yāvadatthapavāraṇāti. Tattha, ‘‘anujānāmi bhikkhave, vassaṃvuṭṭhānaṃ bhikkhūnaṃ tīhi ṭhānehi pavāretu’’nti (mahāva. 209) ayaṃ vassaṃvuṭṭhapavāraṇā. ‘‘Icchāmahaṃ, bhante, saṅghaṃ catumāsaṃ bhesajjena pavāretu’’nti (pāci. 303) ca ‘‘aññatra punapavāraṇāya aññatra niccapavāraṇāyā’’ti (pāci. 307) ca ayaṃ paccayapavāraṇā. ‘‘Pavārito nāma asanaṃ paññāyati, bhojanaṃ paññāyati, hatthapāse ṭhito abhiharati, paṭikkhepo paññāyati, eso pavārito nāmā’’ti (pāci. 239) ayaṃ anatirittapavāraṇā. ‘‘Paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappesi sampavāresī’’ti (dī. ni. 1.297, 358) ayaṃ yāvadatthapavāraṇā. Ayamidha adhippetā. Tena vuttaṃ ‘‘pavāritoti yāvadatthapavāraṇāya pavārito’’ti.
ปริปุโณฺณติ โภชเนน ปริปุโณฺณฯ ปริโยสิโตติ ปริโยสิตโภชโน, อุตฺตรปทโลโป ทฎฺฐโพฺพ ฯ ยาวตกํ ภุญฺชิตพฺพํ, ตาวตกํ ภุตฺตํ โหติ, อวสิตา เม โภชนกิริยาติ อโตฺถฯ สุหิโตติ ธาโต, ชิฆจฺฉาทุกฺขาภาเวน วา สุขิโตติ วุตฺตํ โหติฯ ยาวทโตฺถติ ยาวตโก เม โภชเนน อโตฺถ, โส สโพฺพ ปโตฺตติฯ เอตฺถ จ ปุริมานํ ติณฺณํ ปจฺฉิมานิ สาธกานิฯ โย หิ ปริโยสิโต, โส ภุตฺตาวี โหติฯ โย จ สุหิโต, โส ยาวทตฺถปวารณาย ปวาริโตฯ โย ยาวทโตฺถ, โส ปริปุโณฺณติฯ ปุริมานิ วา ปจฺฉิมานํฯ ยสฺมา หิ ภุตฺตาวี, ตสฺมา ปริโยสิโตฯ ยสฺมา ปวาริโต, ตสฺมา สุหิโตฯ ยสฺมา ปริปุโณฺณ, ตสฺมา ยาวทโตฺถติฯ สพฺพเญฺจตํ ปริกเปฺปตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Paripuṇṇoti bhojanena paripuṇṇo. Pariyositoti pariyositabhojano, uttarapadalopo daṭṭhabbo . Yāvatakaṃ bhuñjitabbaṃ, tāvatakaṃ bhuttaṃ hoti, avasitā me bhojanakiriyāti attho. Suhitoti dhāto, jighacchādukkhābhāvena vā sukhitoti vuttaṃ hoti. Yāvadatthoti yāvatako me bhojanena attho, so sabbo pattoti. Ettha ca purimānaṃ tiṇṇaṃ pacchimāni sādhakāni. Yo hi pariyosito, so bhuttāvī hoti. Yo ca suhito, so yāvadatthapavāraṇāya pavārito. Yo yāvadattho, so paripuṇṇoti. Purimāni vā pacchimānaṃ. Yasmā hi bhuttāvī, tasmā pariyosito. Yasmā pavārito, tasmā suhito. Yasmā paripuṇṇo, tasmā yāvadatthoti. Sabbañcetaṃ parikappetvā vuttanti veditabbaṃ.
สิยาติ เอกํเส จ วิกปฺปเน จฯ ‘‘ปถวีธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา, สิยา พาหิรา’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๔๙) เอกํเสฯ ‘‘สิยา อญฺญตรสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺติ วีติกฺกโม’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๙) วิกปฺปเนฯ อิธ อุภยมฺปิ วฎฺฎติฯ อติเรโกว อติเรกธโมฺมฯ ตถา ฉฑฺฑนีย ธโมฺมฯ อธิโก จ ฉเฑฺฑตโพฺพ จ, น อญฺญํ กิญฺจิ กาตโพฺพติ อโตฺถฯ อถาติ ตมฺหิ กาเลฯ ชิฆจฺฉาทุพฺพลฺยปเรตาติ ชิฆจฺฉาย จ ทุพฺพเลฺยน จ ปเรตา ผุฎฺฐา อนุคตา จ อฎฺฐปิ ทสปิ ทิวสานิฯ ตตฺถ เกจิ ชิฆจฺฉิตาปิ น ทุพฺพลา โหนฺติ, สโกฺกนฺติ ชิฆจฺฉํ สหิตุํฯ อิเม ปน น ตาทิสาติ ทเสฺสตุํ อุภยมาหฯ ตฺยาหนฺติ เต อหํฯ สเจ อากงฺขถาติ ยทิ อิจฺฉถฯ
Siyāti ekaṃse ca vikappane ca. ‘‘Pathavīdhātu siyā ajjhattikā, siyā bāhirā’’ti (ma. ni. 3.349) ekaṃse. ‘‘Siyā aññatarassa bhikkhuno āpatti vītikkamo’’ti (ma. ni. 3.39) vikappane. Idha ubhayampi vaṭṭati. Atirekova atirekadhammo. Tathā chaḍḍanīya dhammo. Adhiko ca chaḍḍetabbo ca, na aññaṃ kiñci kātabboti attho. Athāti tamhi kāle. Jighacchādubbalyaparetāti jighacchāya ca dubbalyena ca paretā phuṭṭhā anugatā ca aṭṭhapi dasapi divasāni. Tattha keci jighacchitāpi na dubbalā honti, sakkonti jighacchaṃ sahituṃ. Ime pana na tādisāti dassetuṃ ubhayamāha. Tyāhanti te ahaṃ. Sace ākaṅkhathāti yadi icchatha.
อปฺปหริเตติ อปฺปรุฬฺหหริเต, ยสฺมิํ ฐาเน ปิณฺฑปาตโชฺฌตฺถรเณน วินสฺสนธมฺมานิ ติณานิ นตฺถิ, ตสฺมินฺติ อโตฺถฯ เตน นิตฺติณญฺจ มหาติณคหนํ จ, ยตฺถ สกเฎนปิ ฉฑฺฑิเต ปิณฺฑปาเต ติณานิ น วินสฺสนฺติ, ตญฺจ ฐานํ ปริคฺคหิตํ โหติฯ ภูตคามสิกฺขาปทสฺส หิ อวิโกปนตฺถเมตํ วุตฺตํฯ
Appahariteti apparuḷhaharite, yasmiṃ ṭhāne piṇḍapātajjhottharaṇena vinassanadhammāni tiṇāni natthi, tasminti attho. Tena nittiṇañca mahātiṇagahanaṃ ca, yattha sakaṭenapi chaḍḍite piṇḍapāte tiṇāni na vinassanti, tañca ṭhānaṃ pariggahitaṃ hoti. Bhūtagāmasikkhāpadassa hi avikopanatthametaṃ vuttaṃ.
อปฺปาณเกติ นิปฺปาณเก ปิณฺฑปาตโชฺฌตฺถรเณน มริตพฺพปาณกรหิเต วา มหาอุทกกฺขเนฺธฯ ปริโตฺตทเก เอว หิ ภตฺตปเกฺขเปน อาฬุลิเต สุขุมปาณกา มรนฺติ, น มหาตฬากาทีสูติฯ ปาณกานุรกฺขณตฺถญฺหิ เอตํ วุตฺตํฯ โอปิลาเปสฺสามีติ นิมุชฺชาเปสฺสามิฯ
Appāṇaketi nippāṇake piṇḍapātajjhottharaṇena maritabbapāṇakarahite vā mahāudakakkhandhe. Parittodake eva hi bhattapakkhepena āḷulite sukhumapāṇakā maranti, na mahātaḷākādīsūti. Pāṇakānurakkhaṇatthañhi etaṃ vuttaṃ. Opilāpessāmīti nimujjāpessāmi.
ตเตฺรกสฺสาติ เตสุ ทฺวีสุ เอกสฺสฯ โย อิมํ ธมฺมเทสนํ สุฎฺฐุ สุตวา ปุนปฺปุนํ อาวเชฺชติ จ , ตํ สนฺธายาห วุตฺตํ โข ปเนตนฺติฯ อยํ วุตฺต-สโทฺท เกโสหารเณปิ ทิสฺสติ ‘‘กาปฎิโก มาณโว ทหโร วุตฺตสิโร’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๔๒๖)ฯ โรปิเตปิ ‘‘ยถา สารทิกํ พีชํ, เขเตฺต วุตฺตํ วิรูหตี’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๓.๓๑)ฯ กถิเตปิ ‘‘วุตฺตมิทํ ภควตา, วุตฺตมิทํ อรหตา’’ติอาทีสุฯ อิธ ปน กถิเต ทฎฺฐโพฺพฯ กถิตํ โข ปเนตนฺติ อยญฺหิสฺส อโตฺถฯ อามิสญฺญตรนฺติ จตุนฺนํ ปจฺจยามิสานํ อญฺญตรํ, เอกนฺติ อโตฺถฯ ยทิทนฺติ นิปาโต, สพฺพลิงฺควิภตฺติวจเนสุ ตาทิโสว ตตฺถ ตตฺถ อตฺถโต ปริณาเมตโพฺพฯ อิธ ปนาสฺส โย เอโสติ อโตฺถฯ โย เอโส ปิณฺฑปาโต นามฯ อิทํ อามิสญฺญตรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยํนูนาหนฺติ สาธุ วตาหํฯ เอวนฺติ ยถา อิทานิ อิมํ ขณํ วีตินาเมมิ, เอวเมว รตฺตินฺทิวํฯ วีตินาเมยฺยนฺติ เขเปยฺยํ อติวตฺตาเปยฺยํฯ
Tatrekassāti tesu dvīsu ekassa. Yo imaṃ dhammadesanaṃ suṭṭhu sutavā punappunaṃ āvajjeti ca , taṃ sandhāyāha vuttaṃ kho panetanti. Ayaṃ vutta-saddo kesohāraṇepi dissati ‘‘kāpaṭiko māṇavo daharo vuttasiro’’tiādīsu (ma. ni. 2.426). Ropitepi ‘‘yathā sāradikaṃ bījaṃ, khette vuttaṃ virūhatī’’tiādīsu (jā. 1.3.31). Kathitepi ‘‘vuttamidaṃ bhagavatā, vuttamidaṃ arahatā’’tiādīsu. Idha pana kathite daṭṭhabbo. Kathitaṃ kho panetanti ayañhissa attho. Āmisaññataranti catunnaṃ paccayāmisānaṃ aññataraṃ, ekanti attho. Yadidanti nipāto, sabbaliṅgavibhattivacanesu tādisova tattha tattha atthato pariṇāmetabbo. Idha panāssa yo esoti attho. Yo eso piṇḍapāto nāma. Idaṃ āmisaññataranti vuttaṃ hoti. Yaṃnūnāhanti sādhu vatāhaṃ. Evanti yathā idāni imaṃ khaṇaṃ vītināmemi, evameva rattindivaṃ. Vītināmeyyanti khepeyyaṃ ativattāpeyyaṃ.
โส ตํ ปิณฺฑปาตนฺติ โส ตํ สเทวเกน โลเกน สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตพฺพรูปํ สุคตาติริตฺตมฺปิ ปิณฺฑปาตํ อภุญฺชิตฺวา ธมฺมทายาทภาวํ อากงฺขมาโน อาทิตฺตสีสูปมํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา เตเนว ชิฆจฺฉาทุพฺพเลฺยน เอวํ ตํ รตฺตินฺทิวํ วีตินาเมยฺยฯ
So taṃ piṇḍapātanti so taṃ sadevakena lokena sirasā sampaṭicchitabbarūpaṃ sugatātirittampi piṇḍapātaṃ abhuñjitvā dhammadāyādabhāvaṃ ākaṅkhamāno ādittasīsūpamaṃ paccavekkhitvā teneva jighacchādubbalyena evaṃ taṃ rattindivaṃ vītināmeyya.
อถ ทุติยสฺสาติ อิมสฺมิํ ปน วาเร เอส สเงฺขโป, สเจ โส ภิกฺขุ, ยํนูนาหํ…เป.… วีตินาเมยฺยนฺติ จิเนฺตโนฺต เอวมฺปิ จิเนฺตยฺย, ปพฺพชิเตน โข วาฬมิคากุเล อรเญฺญ เภสชฺชํ วิย ปญฺจกามคุณวาฬากุเล คาเม ปิณฺฑปาโตปิ ทุกฺขํ ปริเยสิตุํฯ อยํ ปน ปิณฺฑปาโต อิติ ปริเยสนาทีนววิมุโตฺต จ สุคตาติริโตฺต จาติ อุภโต สุชาตขตฺติยกุมาโร วิย โหติ, เยหิ จ ปญฺจหิ การเณหิ ปิณฺฑปาโต น ปริภุญฺชิตโพฺพ โหติฯ เสยฺยถิทํ, ปุคฺคลํ ครหิตฺวา น ปริภุญฺชิตโพฺพ โหติ ‘‘อลชฺชิปุคฺคลสฺส สนฺตโก’’ติฯ อปริสุทฺธอุปฺปตฺติตาย น ปริภุญฺชิตโพฺพ โหติ ‘‘ภิกฺขุนิปริปาจนอสนฺตสมฺภาวนุปฺปโนฺน’’ติฯ สามิกานุกมฺปาย น ปริภุญฺชิตโพฺพ โหติ ‘‘ปิณฺฑปาตสามิโก ภิกฺขุ ชิฆจฺฉิโต’’ติฯ โส ธาโต ตเสฺสว อเนฺตวาสิกาทีสุ อนุกมฺปาย น ปริภุญฺชิตโพฺพ โหติ ‘‘อเนฺตวาสิกา อเญฺญ วา ตปฺปฎิพทฺธา ชิฆจฺฉิตา’’ติ, เตปิ ธาตา สุหิตา, อปิจ โข อสฺสทฺธตาย น ปริภุญฺชิตโพฺพ โหติ ‘‘ปิณฺฑปาตสามิโก ภิกฺขุ อสฺสโทฺธ’’ติฯ เตหิ จ การเณหิ อยํ วิมุโตฺตฯ ภควา หิ ลชฺชีนํ อโคฺค, ปริสุทฺธุปฺปตฺติโก ปิณฺฑปาโต, ภควา จ ธาโต สุหิโต, ปจฺจาสีสโกปิ อโญฺญ ปุคฺคโล นตฺถิ, เย โลเก สทฺธา, ภควา เตสํ อโคฺคติ เอวํ จิเนฺตตฺวา จ โส ตํ ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา…เป.… วีตินาเมยฺยฯ เอตฺตาวตา โยปิ อภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรติ, โสปิ ภุญฺชิตพฺพกเมว ปิณฺฑปาตํ น ภุโตฺต โหติฯ โยปิ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรติ, โสปิ ภุญฺชิตพฺพกเมว ภุโตฺต โหติฯ นตฺถิ ปิณฺฑปาเต วิเสโสฯ ปุคฺคเล ปน อตฺถิ วิเสโสฯ ตสฺมา ตํ ทเสฺสโนฺต กิญฺจาปิ โสติอาทิมาหฯ
Atha dutiyassāti imasmiṃ pana vāre esa saṅkhepo, sace so bhikkhu, yaṃnūnāhaṃ…pe… vītināmeyyanti cintento evampi cinteyya, pabbajitena kho vāḷamigākule araññe bhesajjaṃ viya pañcakāmaguṇavāḷākule gāme piṇḍapātopi dukkhaṃ pariyesituṃ. Ayaṃ pana piṇḍapāto iti pariyesanādīnavavimutto ca sugatātiritto cāti ubhato sujātakhattiyakumāro viya hoti, yehi ca pañcahi kāraṇehi piṇḍapāto na paribhuñjitabbo hoti. Seyyathidaṃ, puggalaṃ garahitvā na paribhuñjitabbo hoti ‘‘alajjipuggalassa santako’’ti. Aparisuddhauppattitāya na paribhuñjitabbo hoti ‘‘bhikkhuniparipācanaasantasambhāvanuppanno’’ti. Sāmikānukampāya na paribhuñjitabbo hoti ‘‘piṇḍapātasāmiko bhikkhu jighacchito’’ti. So dhāto tasseva antevāsikādīsu anukampāya na paribhuñjitabbo hoti ‘‘antevāsikā aññe vā tappaṭibaddhā jighacchitā’’ti, tepi dhātā suhitā, apica kho assaddhatāya na paribhuñjitabbo hoti ‘‘piṇḍapātasāmiko bhikkhu assaddho’’ti. Tehi ca kāraṇehi ayaṃ vimutto. Bhagavā hi lajjīnaṃ aggo, parisuddhuppattiko piṇḍapāto, bhagavā ca dhāto suhito, paccāsīsakopi añño puggalo natthi, ye loke saddhā, bhagavā tesaṃ aggoti evaṃ cintetvā ca so taṃ piṇḍapātaṃ bhuñjitvā…pe… vītināmeyya. Ettāvatā yopi abhuñjitvā samaṇadhammaṃ karoti, sopi bhuñjitabbakameva piṇḍapātaṃ na bhutto hoti. Yopi bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karoti, sopi bhuñjitabbakameva bhutto hoti. Natthi piṇḍapāte viseso. Puggale pana atthi viseso. Tasmā taṃ dassento kiñcāpi sotiādimāha.
ตตฺถ กิญฺจาปีติ อนุชานนปฺปสํสนเตฺถ นิปาโตฯ กิํ อนุชานาติ? ตสฺส ภิกฺขุโน ตํ อนวชฺชปริโภคํฯ กิํ ปสํสติ? ภุตฺวา สมณธมฺมกรณํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ยทิปิ โส ภิกฺขุ เอวํ ภุญฺชิตพฺพเมว ภุญฺชิตฺวา กาตพฺพเมว กเรยฺยฯ อถ โข อสุเยว เม ปุริโม ภิกฺขูติ โย ปุริโม ภิกฺขุ ตมฺปิ ปิณฺฑปาตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา สมณธมฺมํ กโรติ, โสเยว มม ทฺวีสุ สูเรสุ สูรตโร วิย ทฺวีสุ ปณฺฑิเตสุ ปณฺฑิตตโร วิย จ ปุชฺชตโร จ ปาสํสตโร จ, ทุติยภิกฺขุโต อติเรเกน ปูชนีโย จ ปสํสนีโย จาติ วุตฺตํ โหติฯ
Tattha kiñcāpīti anujānanappasaṃsanatthe nipāto. Kiṃ anujānāti? Tassa bhikkhuno taṃ anavajjaparibhogaṃ. Kiṃ pasaṃsati? Bhutvā samaṇadhammakaraṇaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti yadipi so bhikkhu evaṃ bhuñjitabbameva bhuñjitvā kātabbameva kareyya. Atha kho asuyeva me purimo bhikkhūti yo purimo bhikkhu tampi piṇḍapātaṃ paṭikkhipitvā samaṇadhammaṃ karoti, soyeva mama dvīsu sūresu sūrataro viya dvīsu paṇḍitesu paṇḍitataro viya ca pujjataro ca pāsaṃsataro ca, dutiyabhikkhuto atirekena pūjanīyo ca pasaṃsanīyo cāti vuttaṃ hoti.
อิทานิ ตมตฺถํ การเณน สาเธโนฺต ตํ กิสฺส เหตูติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ, ตตฺถ สิยา ตุมฺหากํ, กสฺมา โส ภิกฺขุ ภควโต ปุชฺชตโร จ ปาสํสตโร จาติ? ตญฺหิ ตสฺสาติ ยสฺมา ตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺขิปนํ ตสฺส ภิกฺขุโน ทีฆรตฺตํ อปฺปิจฺฉตาย…เป.… วีริยารมฺภาย สํวตฺติสฺสติฯ กถํ? ตสฺส หิ สเจ อปเรน สมเยน ปจฺจเยสุ อตฺริจฺฉตา วา ปาปิจฺฉตา วา มหิจฺฉตา วา อุปฺปชฺชิสฺสติฯ ตโต นํ อิมินา ปิณฺฑปาตปฎิเกฺขปงฺกุเสน นิวาเรสฺสติ ‘‘อเร ตฺวํ สุคตาติริตฺตมฺปิ ปิณฺฑปาตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อีทิสํ อิจฺฉํ อุปฺปาเทสี’’ติ เอวํ ปจฺจเวกฺขมาโนฯ เอส นโย อสนฺตุฎฺฐิยา อสํเลขสฺส จุปฺปนฺนสฺส นิวารเณฯ เอวํ ตาวสฺส อปฺปิจฺฉตาย สนฺตุฎฺฐิยา สํเลขาย สํวตฺติสฺสติฯ
Idāni tamatthaṃ kāraṇena sādhento taṃ kissa hetūtiādimāha. Tassattho, tattha siyā tumhākaṃ, kasmā so bhikkhu bhagavato pujjataro ca pāsaṃsataro cāti? Tañhi tassāti yasmā taṃ piṇḍapātapaṭikkhipanaṃ tassa bhikkhuno dīgharattaṃ appicchatāya…pe… vīriyārambhāya saṃvattissati. Kathaṃ? Tassa hi sace aparena samayena paccayesu atricchatā vā pāpicchatā vā mahicchatā vā uppajjissati. Tato naṃ iminā piṇḍapātapaṭikkhepaṅkusena nivāressati ‘‘are tvaṃ sugatātirittampi piṇḍapātaṃ paṭikkhipitvā īdisaṃ icchaṃ uppādesī’’ti evaṃ paccavekkhamāno. Esa nayo asantuṭṭhiyā asaṃlekhassa cuppannassa nivāraṇe. Evaṃ tāvassa appicchatāya santuṭṭhiyā saṃlekhāya saṃvattissati.
สุภรตายาติ เอตฺถ อยํ สํวณฺณนา – อิเธกโจฺจ อตฺตโนปิ อุปฎฺฐากานมฺปิ ทุพฺภโร โหติ ทุโปฺปโสฯ เอกโจฺจ อตฺตโนปิ อุปฎฺฐากานมฺปิ สุภโร โหติ สุโปโสฯ กถํ? โย หิ อมฺพิลาทีนิ ลทฺธา อนมฺพิลาทีนิ ปริเยสติ, อญฺญสฺส ฆเร ลทฺธํ อญฺญสฺส ฆเร ฉเฑฺฑโนฺต สพฺพํ คามํ วิจริตฺวา ริตฺตปโตฺตว วิหารํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชติ, อยํ อตฺตโน ทุพฺภโรฯ โย ปน สาลิมํโสทนาทีนํ ปเตฺต ปูเรตฺวา ทิเนฺนปิ ทุมฺมุขภาวํ อนตฺตมนภาวเมว จ ทเสฺสติ, เตสํ วา สมฺมุขาว ตํ ปิณฺฑปาตํ ‘‘กิํ ตุเมฺหหิ ทินฺน’’นฺติ อปสาเทโนฺต สามเณรคหฎฺฐาทีนมฺปิ เทติ , อยํ อุปฎฺฐากานํ ทุพฺภโรฯ เอตํ ทิสฺวา มนุสฺสา ทูรโต ปริวชฺชนฺติ ทุพฺภโร ภิกฺขุ น สกฺกา โปสิตุนฺติฯ โย ปน ยํกิญฺจิ ลูขํ วา ปณีตํ วา ลทฺธา ตุฎฺฐจิโตฺตว ภุญฺชิตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา อตฺตโน กมฺมํ กโรติ, อยํ อตฺตโน สุภโรฯ โย จ ปเรสมฺปิ อปฺปํ วา พหุํ วา ลูขํ วา ปณีตํ วา ทานํ อหีเฬตฺวา อตฺตมโน วิปฺปสนฺนมุโข หุตฺวา เตสํ สมฺมุขาว ปริภุญฺชิตฺวา ยาติ, อยํ อุปฎฺฐากานํ สุภโรฯ เอตํ ทิสฺวา มนุสฺสา อติวิย วิสฺสตฺถา โหนฺติ – ‘‘อมฺหากํ ภทโนฺต สุภโร โถเกนปิ ตุสฺสติ, มยเมว นํ โปสิสฺสามา’’ติ ปฎิญฺญํ กตฺวา โปเสนฺติฯ
Subharatāyāti ettha ayaṃ saṃvaṇṇanā – idhekacco attanopi upaṭṭhākānampi dubbharo hoti dupposo. Ekacco attanopi upaṭṭhākānampi subharo hoti suposo. Kathaṃ? Yo hi ambilādīni laddhā anambilādīni pariyesati, aññassa ghare laddhaṃ aññassa ghare chaḍḍento sabbaṃ gāmaṃ vicaritvā rittapattova vihāraṃ pavisitvā nipajjati, ayaṃ attano dubbharo. Yo pana sālimaṃsodanādīnaṃ patte pūretvā dinnepi dummukhabhāvaṃ anattamanabhāvameva ca dasseti, tesaṃ vā sammukhāva taṃ piṇḍapātaṃ ‘‘kiṃ tumhehi dinna’’nti apasādento sāmaṇeragahaṭṭhādīnampi deti , ayaṃ upaṭṭhākānaṃ dubbharo. Etaṃ disvā manussā dūrato parivajjanti dubbharo bhikkhu na sakkā positunti. Yo pana yaṃkiñci lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā laddhā tuṭṭhacittova bhuñjitvā vihāraṃ gantvā attano kammaṃ karoti, ayaṃ attano subharo. Yo ca paresampi appaṃ vā bahuṃ vā lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā dānaṃ ahīḷetvā attamano vippasannamukho hutvā tesaṃ sammukhāva paribhuñjitvā yāti, ayaṃ upaṭṭhākānaṃ subharo. Etaṃ disvā manussā ativiya vissatthā honti – ‘‘amhākaṃ bhadanto subharo thokenapi tussati, mayameva naṃ posissāmā’’ti paṭiññaṃ katvā posenti.
ตตฺถ สเจ อปเรน สมเยน อสฺส อตฺตโน วา อุปฎฺฐากานํ วา ทุพฺภรตานเยน จิตฺตํ อุปฺปชฺชิสฺสติฯ ตโต นํ อิมินา ปิณฺฑปาตปฎิเกฺขปงฺกุเสน นิวาเรสฺสติ – ‘‘อเร ตฺวํ สุคตาติริตฺตมฺปิ ปิณฺฑปาตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อีทิสํ จิตฺตํ อุปฺปาเทสี’’ติ เอวํ ปจฺจเวกฺขมาโน, เอวมสฺส สุภรตาย สํวตฺติสฺสติฯ สเจ ปนสฺส โกสชฺชํ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตมฺปิ เอเตเนวงฺกุเสน นิวาเรสฺสติ – ‘‘อเร ตฺวํ นาม ตทา สุคตาติริตฺตมฺปิ ปิณฺฑปาตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ตถา ชิฆจฺฉาทุพฺพลฺยปเรโตปิ สมณธมฺมํ กตฺวา อชฺช โกสชฺชมนุยุญฺชสี’’ติ เอวํ ปจฺจเวกฺขมาโน, เอวมสฺส วีริยารมฺภาย สํวตฺติสฺสติฯ เอวมสฺส อิทํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺขิปนํ ทีฆรตฺตํ อปฺปิจฺฉตาย…เป.… วีริยารมฺภาย สํวตฺติสฺสติฯ เอวมสฺสิเม ปญฺจ คุณา ปริปูรา ทส กถาวตฺถูนิ ปริปูเรสฺสนฺติฯ
Tattha sace aparena samayena assa attano vā upaṭṭhākānaṃ vā dubbharatānayena cittaṃ uppajjissati. Tato naṃ iminā piṇḍapātapaṭikkhepaṅkusena nivāressati – ‘‘are tvaṃ sugatātirittampi piṇḍapātaṃ paṭikkhipitvā īdisaṃ cittaṃ uppādesī’’ti evaṃ paccavekkhamāno, evamassa subharatāya saṃvattissati. Sace panassa kosajjaṃ uppajjissati, tampi etenevaṅkusena nivāressati – ‘‘are tvaṃ nāma tadā sugatātirittampi piṇḍapātaṃ paṭikkhipitvā tathā jighacchādubbalyaparetopi samaṇadhammaṃ katvā ajja kosajjamanuyuñjasī’’ti evaṃ paccavekkhamāno, evamassa vīriyārambhāya saṃvattissati. Evamassa idaṃ piṇḍapātapaṭikkhipanaṃ dīgharattaṃ appicchatāya…pe… vīriyārambhāya saṃvattissati. Evamassime pañca guṇā paripūrā dasa kathāvatthūni paripūressanti.
กถํ? อตฺร หิ ปาฬิยํเยว อปฺปิจฺฉตาสนฺตุฎฺฐิตาวีริยารมฺภวเสน ตีณิ อาคตานิ, เสสานิ สเลฺลเขน สงฺคหิตานิฯ อิทญฺหิ สพฺพกถาวตฺถูนํ นามเมว, ยทิทํ สเลฺลโขฯ ยถาห – ‘‘ยา จ โข อยํ, อานนฺท, กถา อภิสเลฺลขิกา เจโตวินีวรณสปฺปายา เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สโมฺพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติฯ เสยฺยถิทํ, อปฺปิจฺฉกถา’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๘๙, ๑๙๒) วิตฺถาโรฯ เอวํ อิเม ปญฺจ คุณา ปริปูรา ทส กถาวตฺถูนิ ปริปูเรสฺสนฺติฯ ทส กถาวตฺถูนิ ปริปูรานิ ติโสฺส สิกฺขา ปริปูเรสฺสนฺติฯ
Kathaṃ? Atra hi pāḷiyaṃyeva appicchatāsantuṭṭhitāvīriyārambhavasena tīṇi āgatāni, sesāni sallekhena saṅgahitāni. Idañhi sabbakathāvatthūnaṃ nāmameva, yadidaṃ sallekho. Yathāha – ‘‘yā ca kho ayaṃ, ānanda, kathā abhisallekhikā cetovinīvaraṇasappāyā ekantanibbidāya virāgāya nirodhāya upasamāya abhiññāya sambodhāya nibbānāya saṃvattati. Seyyathidaṃ, appicchakathā’’ti (ma. ni. 3.189, 192) vitthāro. Evaṃ ime pañca guṇā paripūrā dasa kathāvatthūni paripūressanti. Dasa kathāvatthūni paripūrāni tisso sikkhā paripūressanti.
กถํ? เอเตสุ หิ อปฺปิจฺฉกถา สโนฺตสกถา อสํสคฺคกถา สีลกถาติ อิมา จตโสฺส กถา อธิสีลสิกฺขาสงฺคหิตาเยว ฯ ปวิเวกกถา วีริยารมฺภกถา สมาธิกถาติ อิมา ติโสฺส อธิจิตฺตสิกฺขสงฺคหิตา ฯ ปญฺญากถา วิมุตฺติกถา วิมุตฺติญาณทสฺสนกถาติ อิมา ติโสฺส อธิปญฺญาสิกฺขาสงฺคหิตาติฯ เอวํ ทส กถาวตฺถูนิ ปริปูรานิ ติโสฺส สิกฺขา ปริปูเรสฺสนฺติฯ ติโสฺส สิกฺขา ปริปูรา ปญฺจ อเสกฺขธมฺมกฺขเนฺธ ปริปูเรสฺสนฺติฯ
Kathaṃ? Etesu hi appicchakathā santosakathā asaṃsaggakathā sīlakathāti imā catasso kathā adhisīlasikkhāsaṅgahitāyeva . Pavivekakathā vīriyārambhakathā samādhikathāti imā tisso adhicittasikkhasaṅgahitā . Paññākathā vimuttikathā vimuttiñāṇadassanakathāti imā tisso adhipaññāsikkhāsaṅgahitāti. Evaṃ dasa kathāvatthūni paripūrāni tisso sikkhā paripūressanti. Tisso sikkhā paripūrā pañca asekkhadhammakkhandhe paripūressanti.
กถํ? ปริปูรา หิ อธิสีลสิกฺขา อเสโกฺข สีลกฺขโนฺธเยว โหติ, อธิจิตฺตสิกฺขา อเสโกฺข สมาธิกฺขโนฺธ, อธิปญฺญาสิกฺขา อเสกฺขา ปญฺญา-วิมุตฺติ-วิมุตฺติญาณทสฺสนกฺขนฺธา เอวาติ เอวํ ติโสฺส สิกฺขา ปริปูรา ปญฺจ อเสกฺขธมฺมกฺขเนฺธ ปริปูเรสฺสนฺติฯ ปญฺจ ธมฺมกฺขนฺธา ปริปูรา อมตํ นิพฺพานํ ปริปูเรสฺสนฺติฯ เสยฺยถาปิ อุปริปพฺพเต ปาวุสฺสโก มหาเมโฆ อภิวุโฎฺฐ ปพฺพตกนฺทรสรสาขา ปริปูเรติฯ ตา ปริปูรา กุโสเพฺภ, กุโสพฺภา มหาโสเพฺภ, มหาโสพฺภา กุนฺนทิโย, กุนฺนทิโย มหานทิโย, มหานทิโย มหาสมุทฺทสาครํ ปริปูเรนฺติ; เอวเมว ตสฺส ภิกฺขุโน อิเม ปญฺจ คุณา ปริปูรา ทส กถาวตฺถุนิ อาทิํ กตฺวา ยาว อมตํ นิพฺพานํ ปริปูเรสฺสนฺติฯ เอวมยํ ภิกฺขุ ธมฺมทายาทปฎิปทํ ปฎิปโนฺน ปรมธมฺมทายาทํ ลภตีติ เอตมตฺถํ สมฺปสฺสมาโน ภควา ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ ตญฺหิ ตสฺส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน’’ติอาทิมาหฯ
Kathaṃ? Paripūrā hi adhisīlasikkhā asekkho sīlakkhandhoyeva hoti, adhicittasikkhā asekkho samādhikkhandho, adhipaññāsikkhā asekkhā paññā-vimutti-vimuttiñāṇadassanakkhandhā evāti evaṃ tisso sikkhā paripūrā pañca asekkhadhammakkhandhe paripūressanti. Pañca dhammakkhandhā paripūrā amataṃ nibbānaṃ paripūressanti. Seyyathāpi uparipabbate pāvussako mahāmegho abhivuṭṭho pabbatakandarasarasākhā paripūreti. Tā paripūrā kusobbhe, kusobbhā mahāsobbhe, mahāsobbhā kunnadiyo, kunnadiyo mahānadiyo, mahānadiyo mahāsamuddasāgaraṃ paripūrenti; evameva tassa bhikkhuno ime pañca guṇā paripūrā dasa kathāvatthuni ādiṃ katvā yāva amataṃ nibbānaṃ paripūressanti. Evamayaṃ bhikkhu dhammadāyādapaṭipadaṃ paṭipanno paramadhammadāyādaṃ labhatīti etamatthaṃ sampassamāno bhagavā ‘‘taṃ kissa hetu tañhi tassa, bhikkhave, bhikkhuno’’tiādimāha.
เอวํ ตสฺส ภิกฺขุโน ปุชฺชตรปาสํสตรภาวํ การเณน สาเธตฺวา อิทานิ เต ภิกฺขู ตถตฺตาย สนฺนิโยเชโนฺต ตสฺมา ติห เม ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ กิํ วุตฺตํ โหติ, ยสฺมา โย ตํ ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กเรยฺย, โส อิเมหิ ปญฺจหิ มูลคุเณหิ ปริพาหิโรฯ โย ปน อภุญฺชิตฺวา กเรยฺย, โส อิเมสํ ภาคี โหติ – ‘‘ตสฺมา ติห เม, ภิกฺขเว…เป.… โน อามิสทายาทา’’ติฯ
Evaṃ tassa bhikkhuno pujjatarapāsaṃsatarabhāvaṃ kāraṇena sādhetvā idāni te bhikkhū tathattāya sanniyojento tasmā tiha me bhikkhavetiādimāha. Kiṃ vuttaṃ hoti, yasmā yo taṃ piṇḍapātaṃ bhuñjitvā samaṇadhammaṃ kareyya, so imehi pañcahi mūlaguṇehi paribāhiro. Yo pana abhuñjitvā kareyya, so imesaṃ bhāgī hoti – ‘‘tasmā tiha me, bhikkhave…pe… no āmisadāyādā’’ti.
อิทมโวจ ภควาติ อิทํ นิทานปริโยสานโต ปภุติ ยาว โน อามิสทายาทาติ สุตฺตปฺปเทสํ ภควา อโวจฯ อิทํ วตฺวาน สุคโตติ อิทญฺจ สุตฺตปฺปเทสํ วตฺวาว โสภนาย ปฎิปทาย คตตฺตา สุคโตติ สงฺขํ ปโตฺตเยว ภควาฯ อุฎฺฐายาสนา วิหารํ ปาวิสี ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสนโต อุฎฺฐหิตฺวา วิหารํ อตฺตโน มหาคนฺธกุฎิํ ปาวิสิ อสมฺภินฺนาย เอว ปริสายฯ กสฺมา ธมฺมโถมนตฺถํฯ
Idamavoca bhagavāti idaṃ nidānapariyosānato pabhuti yāva no āmisadāyādāti suttappadesaṃ bhagavā avoca. Idaṃ vatvāna sugatoti idañca suttappadesaṃ vatvāva sobhanāya paṭipadāya gatattā sugatoti saṅkhaṃ pattoyeva bhagavā. Uṭṭhāyāsanā vihāraṃ pāvisī paññattavarabuddhāsanato uṭṭhahitvā vihāraṃ attano mahāgandhakuṭiṃ pāvisi asambhinnāya eva parisāya. Kasmā dhammathomanatthaṃ.
พุทฺธา กิร อปรินิฎฺฐิตาย เทสนาย วิหารํ ปวิสนฺตา ทฺวีหิ การเณหิ ปวิสนฺติ ปุคฺคลโถมนตฺถํ วา ธมฺมโถมนตฺถํ วาฯ ปุคฺคลโถมนตฺถํ ปวิสโนฺต เอวํ จิเนฺตสิ – ‘‘อิมํ มยา สํขิเตฺตน อุเทฺทสํ อุทฺทิฎฺฐํ, วิตฺถาเรน อวิภตฺตํ, ธมฺมปฎิคฺคาหกา ภิกฺขู อุคฺคเหตฺวา อานนฺทํ วา กจฺจานํ วา อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิสฺสนฺติ, เต มยฺหํ ญาเณน สํสเนฺทตฺวา กเถสฺสนฺติ, ตโต ธมฺมปฎิคฺคาหกา ปุน มํ ปุจฺฉิสฺสนฺติ, เตสํ อหํ สุกถิตํ, ภิกฺขเว, อานเนฺทน สุกถิตํ กจฺจาเนน, มํ เจปิ ตุเมฺห เอตมตฺถํ ปุเจฺฉยฺยาถ, อหมฺปิ นํ เอวเมว พฺยากเรยฺยนฺติ เอวํ เต ปุคฺคเล โถเมสฺสามิ, ตโต เตสุ คารวํ ชเนตฺวา ภิกฺขู อุปสงฺกมิสฺสนฺติ, เตปิ ภิกฺขู อเตฺถ จ ธเมฺม จ นิโยเชสฺสนฺติ, เต เตหิ นิโยชิตา ติโสฺส สิกฺขา ปริปูเรนฺตา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ
Buddhā kira apariniṭṭhitāya desanāya vihāraṃ pavisantā dvīhi kāraṇehi pavisanti puggalathomanatthaṃ vā dhammathomanatthaṃ vā. Puggalathomanatthaṃ pavisanto evaṃ cintesi – ‘‘imaṃ mayā saṃkhittena uddesaṃ uddiṭṭhaṃ, vitthārena avibhattaṃ, dhammapaṭiggāhakā bhikkhū uggahetvā ānandaṃ vā kaccānaṃ vā upasaṅkamitvā pucchissanti, te mayhaṃ ñāṇena saṃsandetvā kathessanti, tato dhammapaṭiggāhakā puna maṃ pucchissanti, tesaṃ ahaṃ sukathitaṃ, bhikkhave, ānandena sukathitaṃ kaccānena, maṃ cepi tumhe etamatthaṃ puccheyyātha, ahampi naṃ evameva byākareyyanti evaṃ te puggale thomessāmi, tato tesu gāravaṃ janetvā bhikkhū upasaṅkamissanti, tepi bhikkhū atthe ca dhamme ca niyojessanti, te tehi niyojitā tisso sikkhā paripūrentā dukkhassantaṃ karissantī’’ti.
ธมฺมโถมนตฺถํ ปวิสโนฺต เอวํ จิเนฺตสิ, ยถา อิเธว จิเนฺตสิ – ‘‘มยิ วิหารํ ปวิเฎฺฐ ตเมว อามิสทายาทํ ครหโนฺต ธมฺมทายาทญฺจ โถเมโนฺต อิมิสฺสํเยว ปริสติ นิสิโนฺน สาริปุโตฺต ธมฺมํ เทเสสฺสติ, เอวํ ทฺวินฺนมฺปิ อมฺหากํ เอกชฺฌาสยาย มติยา เทสิตา อยํ เทสนา อคฺคา จ ครุกา จ ภวิสฺสติ ปาสาณจฺฉตฺตสทิสาฯ จตุโรฆนิตฺถรณเฎฺฐน ติเตฺถ ฐปิตา นาวา วิย มคฺคคมนเฎฺฐน จตุยุตฺตอาชญฺญรโถ วิย จ ภวิสฺสติฯ ยถา จ ‘เอวํ กโรนฺตสฺส อยํ ทโณฺฑ’ติ ปริสติ อาณํ ฐเปตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปาสาทํ อารุเฬฺห ราชินิ ตเตฺถว นิสิโนฺน เสนาปติ ตํ รญฺญา ฐปิตํ อาณํ ปวเตฺตติ; เอวมฺปิ มยา ฐปิตํ เทสนํ อิมิสฺสํเยว ปริสติ นิสิโนฺน สาริปุโตฺต โถเมตฺวา เทเสสฺสติ, เอวํ ทฺวินฺนมฺปิ อมฺหากํ มติยา เทสิตา อยํ เทสนา พลวตรา มชฺฌนฺหิกสูริโย วิย ปชฺชลิสฺสตี’’ติฯ เอวมิธ ธมฺมโถมนตฺถํ อุฎฺฐายาสนา วิหารํ ปาวิสิฯ
Dhammathomanatthaṃ pavisanto evaṃ cintesi, yathā idheva cintesi – ‘‘mayi vihāraṃ paviṭṭhe tameva āmisadāyādaṃ garahanto dhammadāyādañca thomento imissaṃyeva parisati nisinno sāriputto dhammaṃ desessati, evaṃ dvinnampi amhākaṃ ekajjhāsayāya matiyā desitā ayaṃ desanā aggā ca garukā ca bhavissati pāsāṇacchattasadisā. Caturoghanittharaṇaṭṭhena titthe ṭhapitā nāvā viya maggagamanaṭṭhena catuyuttaājaññaratho viya ca bhavissati. Yathā ca ‘evaṃ karontassa ayaṃ daṇḍo’ti parisati āṇaṃ ṭhapetvā uṭṭhāyāsanā pāsādaṃ āruḷhe rājini tattheva nisinno senāpati taṃ raññā ṭhapitaṃ āṇaṃ pavatteti; evampi mayā ṭhapitaṃ desanaṃ imissaṃyeva parisati nisinno sāriputto thometvā desessati, evaṃ dvinnampi amhākaṃ matiyā desitā ayaṃ desanā balavatarā majjhanhikasūriyo viya pajjalissatī’’ti. Evamidha dhammathomanatthaṃ uṭṭhāyāsanā vihāraṃ pāvisi.
อีทิเสสุ จ ฐาเนสุ ภควา นิสินฺนาสเนเยว อนฺตรหิโต จิตฺตคติยา วิหารํ ปวิสตีติ เวทิตโพฺพฯ ยทิ หิ กายคติยา คเจฺฉยฺย, สพฺพา ปริสา ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา คเจฺฉยฺย, สา เอกวารํ ภินฺนา ปุน ทุสฺสนฺนิปาตา ภเวยฺยาติ ภควา จิตฺตคติยา เอว ปาวิสิฯ
Īdisesu ca ṭhānesu bhagavā nisinnāsaneyeva antarahito cittagatiyā vihāraṃ pavisatīti veditabbo. Yadi hi kāyagatiyā gaccheyya, sabbā parisā bhagavantaṃ parivāretvā gaccheyya, sā ekavāraṃ bhinnā puna dussannipātā bhaveyyāti bhagavā cittagatiyā eva pāvisi.
๓๑. เอวํ ปวิเฎฺฐ ปน ภควติ ภควโต อธิปฺปายานุรูปํ ตํ ธมฺมํ โถเมตุกาโม ตตฺร โข อายสฺมา สาริปุโตฺต…เป.…เอตทโวจฯ ตตฺถ อายสฺมาติ ปิยวจนเมตํฯ สาริปุโตฺตติ ตสฺส เถรสฺส นามํ, ตญฺจ โข มาติโต, น ปิติโตฯ รูปสาริยา หิ พฺราหฺมณิยา โส ปุโตฺต, ตสฺมา สาริปุโตฺตติ วุจฺจติฯ อจิรปกฺกนฺตสฺสาติ ปกฺกนฺตสฺส สโต นจิเรนฯ อาวุโส, ภิกฺขเวติ เอตฺถ ปน พุทฺธา ภควโนฺต สาวเก อาลปนฺตา ภิกฺขเวติ อาลปนฺติฯ สาวกา ปน พุเทฺธหิ สทิสา มา โหมาติ อาวุโสติ ปฐมํ วตฺวา ปจฺฉา ภิกฺขเวติ ภณนฺติฯ พุเทฺธหิ จ อาลปิโต ภิกฺขุสโงฺฆ ภทเนฺตติ ปฎิวจนํ เทติ, สาวเกหิ อาวุโสติฯ
31. Evaṃ paviṭṭhe pana bhagavati bhagavato adhippāyānurūpaṃ taṃ dhammaṃ thometukāmo tatra khoāyasmā sāriputto…pe…etadavoca. Tattha āyasmāti piyavacanametaṃ. Sāriputtoti tassa therassa nāmaṃ, tañca kho mātito, na pitito. Rūpasāriyā hi brāhmaṇiyā so putto, tasmā sāriputtoti vuccati. Acirapakkantassāti pakkantassa sato nacirena. Āvuso, bhikkhaveti ettha pana buddhā bhagavanto sāvake ālapantā bhikkhaveti ālapanti. Sāvakā pana buddhehi sadisā mā homāti āvusoti paṭhamaṃ vatvā pacchā bhikkhaveti bhaṇanti. Buddhehi ca ālapito bhikkhusaṅgho bhadanteti paṭivacanaṃ deti, sāvakehi āvusoti.
กิตฺตาวตา นุ โข, อาวุโสติ เอตฺถ กิตฺตาวตาติ ปริเจฺฉทวจนํ, กิตฺตเกนาติ วุตฺตํ โหติฯ นุกาโร ปุจฺฉายํฯ โขกาโร นิปาตมตฺตํฯ สตฺถุ ปวิวิตฺตสฺส วิหรโตติ, ตีหิ วิเวเกหิ กายจิตฺตอุปธิวิเวเกหิ สตฺถุโน วิหรนฺตสฺสฯ วิเวกํ นานุสิกฺขนฺตีติ ติณฺณํ วิเวกานํ อญฺญตรมฺปิ นานุสิกฺขนฺติ, อามิสทายาทาว โหนฺตีติ อิมมตฺถํ อายสฺมา สาริปุโตฺต ภิกฺขู ปุจฺฉิฯ เอส นโย สุกฺกปเกฺขปิฯ
Kittāvatānu kho, āvusoti ettha kittāvatāti paricchedavacanaṃ, kittakenāti vuttaṃ hoti. Nukāro pucchāyaṃ. Khokāro nipātamattaṃ. Satthu pavivittassa viharatoti, tīhi vivekehi kāyacittaupadhivivekehi satthuno viharantassa. Vivekaṃ nānusikkhantīti tiṇṇaṃ vivekānaṃ aññatarampi nānusikkhanti, āmisadāyādāva hontīti imamatthaṃ āyasmā sāriputto bhikkhū pucchi. Esa nayo sukkapakkhepi.
เอวํ วุเตฺต ตมตฺถํ โสตุกามา ภิกฺขู ทูรโตปิ โขติอาทิมาหํสุฯ ตตฺถ ทูรโตปีติ ติโรรฎฺฐโตปิ ติโรชนปทโตปิ อเนกโยชนคณนโตปีติ วุตฺตํ โหติฯ สนฺติเกติ สมีเปฯ อญฺญาตุนฺติ ชานิตุํ พุชฺฌิตุํฯ อายสฺมนฺตํเยว สาริปุตฺตํ ปฎิภาตูติ อายสฺมโตเยว สาริปุตฺตสฺส ภาโค โหตุ, อายสฺมา ปน สาริปุโตฺต อตฺตโน ภาคํ กตฺวา วิภชตูติ วุตฺตํ โหติฯ อายสฺมโต หิ ภาโค ยทิทํ อตฺถกฺขานํ, อมฺหากํ ปน สวนํ ภาโคติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโย, เอวํ สทฺทลกฺขเณน สเมติฯ เกจิ ปน ภณนฺติ ‘‘ปฎิภาตูติ ทิสฺสตู’’ติฯ อปเร ‘‘อุปฎฺฐาตู’’ติฯ ธาเรสฺสนฺตีติ อุคฺคเหสฺสนฺติ ปริยาปุณิสฺสนฺติฯ ตโต เนสํ กเถตุกาโม เถโร เตน หีติอาทิมาหฯ ตตฺถ เตนาติ การณวจนํฯ หิกาโร นิปาโตฯ ยสฺมา โสตุกามาตฺถ, ยสฺมา จ มยฺหํ ภารํ อาโรปยิตฺถ, ตสฺมา สุณาถาติ วุตฺตํ โหติฯ เตปิ ภิกฺขู เถรสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิํสุ, เตนาห ‘‘เอวมาวุโสติ…เป.…ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติฯ
Evaṃ vutte tamatthaṃ sotukāmā bhikkhū dūratopi khotiādimāhaṃsu. Tattha dūratopīti tiroraṭṭhatopi tirojanapadatopi anekayojanagaṇanatopīti vuttaṃ hoti. Santiketi samīpe. Aññātunti jānituṃ bujjhituṃ. Āyasmantaṃyeva sāriputtaṃ paṭibhātūti āyasmatoyeva sāriputtassa bhāgo hotu, āyasmā pana sāriputto attano bhāgaṃ katvā vibhajatūti vuttaṃ hoti. Āyasmato hi bhāgo yadidaṃ atthakkhānaṃ, amhākaṃ pana savanaṃ bhāgoti ayamettha adhippāyo, evaṃ saddalakkhaṇena sameti. Keci pana bhaṇanti ‘‘paṭibhātūti dissatū’’ti. Apare ‘‘upaṭṭhātū’’ti. Dhāressantīti uggahessanti pariyāpuṇissanti. Tato nesaṃ kathetukāmo thero tena hītiādimāha. Tattha tenāti kāraṇavacanaṃ. Hikāro nipāto. Yasmā sotukāmāttha, yasmā ca mayhaṃ bhāraṃ āropayittha, tasmā suṇāthāti vuttaṃ hoti. Tepi bhikkhū therassa vacanaṃ sampaṭicchiṃsu, tenāha ‘‘evamāvusoti…pe…paccassosu’’nti.
อถ เนสํ, อามิสทายาทํ ครหเนฺตน ภควตา ‘‘ตุเมฺหปิ เตน อาทิยา ภเวยฺยาถา’’ติ เอเกเนวากาเรน วุตฺตมตฺถํ ตีหิ อากาเรหิ ทเสฺสโนฺต อายสฺมา สาริปุโตฺต เอตทโวจ – ‘‘อิธาวุโส , สตฺถุ ปวิวิตฺตสฺส วิหรโต…เป.… เอตฺตาวตา โข, อาวุโส, สตฺถุ ปวิวิตฺตสฺส วิหรโต สาวกา วิเวกํ นานุสิกฺขนฺตี’’ติฯ
Atha nesaṃ, āmisadāyādaṃ garahantena bhagavatā ‘‘tumhepi tena ādiyā bhaveyyāthā’’ti ekenevākārena vuttamatthaṃ tīhi ākārehi dassento āyasmā sāriputto etadavoca – ‘‘idhāvuso , satthu pavivittassa viharato…pe… ettāvatā kho, āvuso, satthu pavivittassa viharato sāvakā vivekaṃ nānusikkhantī’’ti.
เอตฺตาวตา ยญฺจ ภควา อามิสทายาทปฎิปทํ ครหโนฺต ‘‘ตุเมฺหปิ เตน อาทิยา ภเวยฺยาถา’’ติ อาห, ยญฺจ อตฺตนา ปุจฺฉํ ปุจฺฉิ ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข…เป.… นานุสิกฺขนฺตี’’ติ, ตสฺส วิตฺถารโต อโตฺถ สุวิภโตฺต โหติฯ โส จ โข ภควโต อาทิยภาวํ อนามสิตฺวาวฯ ภควโตเยว หิ ยุตฺตํ สาวเก อนุคฺคณฺหนฺตสฺส ‘‘อหมฺปิ เตน อาทิโย ภวิสฺสามี’’ติ วตฺตุํ, น สาวกานํฯ เอส นโย สุกฺกปเกฺขปิ, อยํ ตาเวตฺถ อนุสนฺธิกฺกมโยชนาฯ
Ettāvatā yañca bhagavā āmisadāyādapaṭipadaṃ garahanto ‘‘tumhepi tena ādiyā bhaveyyāthā’’ti āha, yañca attanā pucchaṃ pucchi ‘‘kittāvatā nu kho…pe… nānusikkhantī’’ti, tassa vitthārato attho suvibhatto hoti. So ca kho bhagavato ādiyabhāvaṃ anāmasitvāva. Bhagavatoyeva hi yuttaṃ sāvake anuggaṇhantassa ‘‘ahampi tena ādiyo bhavissāmī’’ti vattuṃ, na sāvakānaṃ. Esa nayo sukkapakkhepi, ayaṃ tāvettha anusandhikkamayojanā.
อยํ ปนตฺถวณฺณนา อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเน, สตฺถุ ปวิวิตฺตสฺสาติ สตฺถุโน ตีหิ วิเวเกหิ อจฺจนฺตปวิวิตฺตสฺสฯ วิเวกํ นานุสิกฺขนฺตีติ กายวิเวกํ นานุสิกฺขนฺติ, น ปริปูเรนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยทิ ปน ติวิธํ วิเวกํ สนฺธาย วเทยฺย, ปุจฺฉาย อวิเสโส สิยาฯ พฺยากรณปโกฺข หิ อยํฯ ตสฺมา อิมินา ปเทน กายวิเวกํ, ‘‘เยสญฺจ ธมฺมาน’’นฺติอาทินา จิตฺตวิเวกํ, ‘‘พาหุลิกา’’ติอาทินา อุปธิวิเวกญฺจ ทเสฺสตีติ เอวเมตฺถ สเงฺขปโต อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Ayaṃ panatthavaṇṇanā idhāti imasmiṃ sāsane, satthu pavivittassāti satthuno tīhi vivekehi accantapavivittassa. Vivekaṃ nānusikkhantīti kāyavivekaṃ nānusikkhanti, na paripūrentīti vuttaṃ hoti. Yadi pana tividhaṃ vivekaṃ sandhāya vadeyya, pucchāya aviseso siyā. Byākaraṇapakkho hi ayaṃ. Tasmā iminā padena kāyavivekaṃ, ‘‘yesañca dhammāna’’ntiādinā cittavivekaṃ, ‘‘bāhulikā’’tiādinā upadhivivekañca dassetīti evamettha saṅkhepato attho veditabbo.
เยสญฺจ ธมฺมานนฺติ โลภาทโย สนฺธายาห, เย ปรโต ‘‘ตตฺราวุโส โลโภ จ ปาปโก’’ติอาทินา นเยน วกฺขติฯ นปฺปชหนฺตีติ น ปริจฺจชนฺติ, จิตฺตวิเวกํ น ปริปูเรนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ พาหุลิกาติ จีวราทิพาหุลฺลาย ปฎิปนฺนาฯ สาสนํ สิถิลํ คณฺหนฺตีติ สาถลิกาฯ โอกฺกมเน ปุพฺพงฺคมาติ เอตฺถ โอกฺกมนํ วุจฺจนฺติ อวคมนเฎฺฐน ปญฺจ นีวรณานิ, เตน ปญฺจนีวรณปุพฺพงฺคมาติ วุตฺตํ โหติฯ ปวิเวเกติ อุปธิวิเวเก นิพฺพาเนฯ นิกฺขิตฺตธุราติ โอโรปิตธุรา, ตทธิคมาย อารมฺภมฺปิ อกุรุมานาติ, เอตฺตาวตา อุปธิวิเวกํ น ปริปูเรนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ
Yesañca dhammānanti lobhādayo sandhāyāha, ye parato ‘‘tatrāvuso lobho ca pāpako’’tiādinā nayena vakkhati. Nappajahantīti na pariccajanti, cittavivekaṃ na paripūrentīti vuttaṃ hoti. Bāhulikāti cīvarādibāhullāya paṭipannā. Sāsanaṃ sithilaṃ gaṇhantīti sāthalikā. Okkamane pubbaṅgamāti ettha okkamanaṃ vuccanti avagamanaṭṭhena pañca nīvaraṇāni, tena pañcanīvaraṇapubbaṅgamāti vuttaṃ hoti. Paviveketi upadhiviveke nibbāne. Nikkhittadhurāti oropitadhurā, tadadhigamāya ārambhampi akurumānāti, ettāvatā upadhivivekaṃ na paripūrentīti vuttaṃ hoti.
เอตฺตาวตา อนิยเมเนว วตฺวา อิทานิ เทสนํ นิยเมโนฺต ‘‘ตตฺราวุโส’’ติอาทิมาหฯ กสฺมา? สาวกา ‘‘ตีหิ ฐาเนหี’’ติ เอวญฺหิ อนิยเมตฺวาว วุจฺจมาเน ‘‘กมฺปิ มเญฺญ ภณติ , น อเมฺห’’ติ อุทาสินาปิ โหนฺติฯ ‘‘เถรา นวา มชฺฌิมา’’ติ เอวํ ปน นิยเมตฺวา วุจฺจมาเน อเมฺห ภณตีติ อาทรํ กโรนฺติ ฯ ยถา รญฺญา ‘‘อมเจฺจหิ นครวีถิโย โสเธตพฺพา’’ติ วุเตฺตปิ ‘‘เกน นุ โข โสเธตพฺพา’’ติ มญฺญมานา น โสเธนฺติ, อตฺตโน อตฺตโน ฆรทฺวารํ โสเธตพฺพนฺติ ปน เภริยา นิกฺขนฺตาย สเพฺพ มุหุเตฺตน โสเธนฺติ จ อลงฺกโรนฺติ จ, เอวํสมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํฯ
Ettāvatā aniyameneva vatvā idāni desanaṃ niyamento ‘‘tatrāvuso’’tiādimāha. Kasmā? Sāvakā ‘‘tīhi ṭhānehī’’ti evañhi aniyametvāva vuccamāne ‘‘kampi maññe bhaṇati , na amhe’’ti udāsināpi honti. ‘‘Therā navā majjhimā’’ti evaṃ pana niyametvā vuccamāne amhe bhaṇatīti ādaraṃ karonti . Yathā raññā ‘‘amaccehi nagaravīthiyo sodhetabbā’’ti vuttepi ‘‘kena nu kho sodhetabbā’’ti maññamānā na sodhenti, attano attano gharadvāraṃ sodhetabbanti pana bheriyā nikkhantāya sabbe muhuttena sodhenti ca alaṅkaronti ca, evaṃsampadamidaṃ veditabbaṃ.
ตตฺถ ตตฺราติ เตสุ สาวเกสุฯ เถราติ ทสวเสฺส อุปาทาย วุจฺจนฺติฯ ตีหิ ฐาเนหีติ ตีหิ การเณหิฯ อยญฺหิ ฐานสโทฺท อิสฺสริยฎฺฐิติขณการเณสุ ทิสฺสติฯ ‘‘กิํ ปนายสฺมา เทวานมิโนฺท กมฺมํ กตฺวา อิมํ ฐานํ ปโตฺต’’ติอาทีสุ หิ อิสฺสริเย ทิสฺสติฯ ‘‘ฐานกุสโล โหติ อกฺขณเวธี’’ติอาทีสุ ฐิติยํฯ ‘‘ฐานโสเวตํ ตถาคตํ ปฎิภาตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๘๗) ขเณฯ ‘‘ฐานญฺจ ฐานโต อฎฺฐานญฺจ อฎฺฐานโต’’ติอาทีสุ (วิภ. ๘๐๙; ม. นิ. ๑.๑๔๘) การเณฯ อิธ ปน การเณเยวฯ การณญฺหิ ยสฺมา ตตฺถ ผลํ ติฎฺฐติ ตทายตฺตวุตฺติภาเวน, ตสฺมา ฐานนฺติ วุจฺจติฯ
Tattha tatrāti tesu sāvakesu. Therāti dasavasse upādāya vuccanti. Tīhi ṭhānehīti tīhi kāraṇehi. Ayañhi ṭhānasaddo issariyaṭṭhitikhaṇakāraṇesu dissati. ‘‘Kiṃ panāyasmā devānamindo kammaṃ katvā imaṃ ṭhānaṃ patto’’tiādīsu hi issariye dissati. ‘‘Ṭhānakusalo hoti akkhaṇavedhī’’tiādīsu ṭhitiyaṃ. ‘‘Ṭhānasovetaṃ tathāgataṃ paṭibhātī’’tiādīsu (ma. ni. 2.87) khaṇe. ‘‘Ṭhānañca ṭhānato aṭṭhānañca aṭṭhānato’’tiādīsu (vibha. 809; ma. ni. 1.148) kāraṇe. Idha pana kāraṇeyeva. Kāraṇañhi yasmā tattha phalaṃ tiṭṭhati tadāyattavuttibhāvena, tasmā ṭhānanti vuccati.
อิมินา ปฐเมน ฐาเนน เถรา ภิกฺขู คารยฺหาติ เอตฺถ คารยฺหาติ ครหิตพฺพาฯ เถรา นาม สมานา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ น อุเปนฺติ, คามนฺตเสนาสนํ น มุญฺจนฺติ, สงฺคณิการามตํ วเฑฺฒนฺตา วิหรนฺติ, กายวิเวกมฺปิ น ปริปูเรนฺติ, นวมชฺฌิมกาเล กีทิสา อเหสุนฺติ เอวํ นินฺทิตพฺพา โหนฺติ, อิมํ นินฺทํ อาวุโส ลภนฺตีติ ทเสฺสติฯ ทุติเยน ฐาเนนาติ เอตฺถาปิ อิเม นาม อาวุโส เถราปิ สมานา เยสํ ธมฺมานํ สตฺถา ปหานมาห, เต โลภาทิธเมฺม น ชหนฺติ, อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตมฺปิ เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา จิเตฺตกคฺคตํ น ลภนฺติ, นวมชฺฌิมกาเล กีทิสา อเหสุนฺติ เอวํ นินฺทิตพฺพา โหนฺติ, อิมํ นินฺทํ อาวุโส ลภนฺตีติ ทเสฺสตีติ เอวํ โยชนา กาตพฺพาฯ ตติเยน ฐาเนนาติ เอตฺถาปิ อิเม นามาวุโส, เถราปิ สมานา อิตรีตเรน น ยาเปนฺติ, จีวรปตฺตเสนาสนปูติกายมณฺฑนานุโยคมนุยุตฺตา วิหรนฺติ อุปธิวิเวกํ อปูรยมานา, นวมชฺฌิมกาเล กีทิสา อเหสุนฺติ เอวํ นินฺทิตพฺพา โหนฺติ, อิมํ นินฺทํ, อาวุโส, ลภนฺตีติ ทเสฺสตีติ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ เอส นโย มชฺฌิมนววาเรสุฯ
Iminā paṭhamena ṭhānena therā bhikkhū gārayhāti ettha gārayhāti garahitabbā. Therā nāma samānā araññavanapatthāni pantāni senāsanāni na upenti, gāmantasenāsanaṃ na muñcanti, saṅgaṇikārāmataṃ vaḍḍhentā viharanti, kāyavivekampi na paripūrenti, navamajjhimakāle kīdisā ahesunti evaṃ ninditabbā honti, imaṃ nindaṃ āvuso labhantīti dasseti. Dutiyena ṭhānenāti etthāpi ime nāma āvuso therāpi samānā yesaṃ dhammānaṃ satthā pahānamāha, te lobhādidhamme na jahanti, accharāsaṅghātamattampi ekamantaṃ nisīditvā cittekaggataṃ na labhanti, navamajjhimakāle kīdisā ahesunti evaṃ ninditabbā honti, imaṃ nindaṃ āvuso labhantīti dassetīti evaṃ yojanā kātabbā. Tatiyena ṭhānenāti etthāpi ime nāmāvuso, therāpi samānā itarītarena na yāpenti, cīvarapattasenāsanapūtikāyamaṇḍanānuyogamanuyuttā viharanti upadhivivekaṃ apūrayamānā, navamajjhimakāle kīdisā ahesunti evaṃ ninditabbā honti, imaṃ nindaṃ, āvuso, labhantīti dassetīti evaṃ yojanā veditabbā. Esa nayo majjhimanavavāresu.
อยํ ปน วิเสโสฯ มชฺฌิมาติ ปญฺจวเสฺส อุปาทาย ยาว นว วสฺสา วุจฺจนฺติฯ นวาติ อูนปญฺจวสฺสา วุจฺจนฺติฯ ยถา จ ตตฺถ นวมชฺฌิมกาเล กีทิสา อเหสุนฺติ วุตฺตํ, เอวมิธ นวกาเล กีทิสา อเหสุํ, เถรกาเล กีทิสา ภวิสฺสนฺติ, มชฺฌิมเถรกาเล กีทิสา ภวิสฺสนฺตีติ วตฺวา โยเชตพฺพํฯ
Ayaṃ pana viseso. Majjhimāti pañcavasse upādāya yāva nava vassā vuccanti. Navāti ūnapañcavassā vuccanti. Yathā ca tattha navamajjhimakāle kīdisā ahesunti vuttaṃ, evamidha navakāle kīdisā ahesuṃ, therakāle kīdisā bhavissanti, majjhimatherakāle kīdisā bhavissantīti vatvā yojetabbaṃ.
๓๒. อิมสฺมิญฺจ กณฺหปเกฺข วุตฺตปจฺจนีกนเยน สุกฺกปเกฺข อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโปฯ อิเม วต เถราปิ สมานา โยชนปรมฺปราย อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ เสวนฺติ, คามนฺตเสนาสนํ อุปคนฺตุํ ยุตฺตกาเลปิ น อุปคจฺฉนฺติ, เอวํ ชิณฺณสรีราปิ อารทฺธวีริยา ปจฺจยทายกานํ ปสาทํ ชเนนฺติ, นวมชฺฌิมกาเล กีทิสา อเหสุนฺติ อิมินา ปฐเมน ฐาเนน เถรา ปาสํสา ภวนฺติ, ปสํสํ ลภนฺติฯ โลภาทโย ปหาย จิตฺตวิเวกํ ปูเรนฺติ, อยมฺปิ มหาเถโร สทฺธิวิหาริกอเนฺตวาสิกปริวาริโต หุตฺวา นิสีทิตุํ ยุตฺตกาเลปิ อีทิเสปิ วเย วตฺตมาเน ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ปวิโฎฺฐ สายํ นิกฺขมติ, สายํ ปวิโฎฺฐ ปาโต นิกฺขมติ, กสิณปริกมฺมํ กโรติ, สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตติ, มคฺคผลานิ อธิคจฺฉติ, สพฺพถาปิ จิตฺตวิเวกํ ปูเรตีติ อิมินา ทุติเยน ฐาเนน เถรา ภิกฺขู ปาสํสา ภวนฺติ, ปสํสํ ลภนฺติฯ ยสฺมิํ กาเล เถรสฺส ปฎฺฎทุกูลโกเสยฺยาทีนิ สุขสมฺผสฺสานิ ลหุจีวราทีนิ ยุตฺตานิ, ตสฺมิมฺปิ นาม กาเล อยํ มหาเถโร ปํสุกูลานิ ธาเรติ, อสิถิลํ สาสนํ คเหตฺวา วิคตนีวรโณ ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา อุปธิวิเวกํ ปริปูรยมาโน วิหรติ, นวมชฺฌิมกาเล กีทิโส อโหสีติ อิมินา ตติเยน ฐาเนน เถรา ปาสํสา ภวนฺติ, ปสํสํ ลภนฺตีติฯ เอส นโย มชฺฌิมนววาเรสุฯ
32. Imasmiñca kaṇhapakkhe vuttapaccanīkanayena sukkapakkhe attho veditabbo. Ayaṃ panettha saṅkhepo. Ime vata therāpi samānā yojanaparamparāya araññavanapatthāni pantāni senāsanāni sevanti, gāmantasenāsanaṃ upagantuṃ yuttakālepi na upagacchanti, evaṃ jiṇṇasarīrāpi āraddhavīriyā paccayadāyakānaṃ pasādaṃ janenti, navamajjhimakāle kīdisā ahesunti iminā paṭhamena ṭhānena therā pāsaṃsā bhavanti, pasaṃsaṃ labhanti. Lobhādayo pahāya cittavivekaṃ pūrenti, ayampi mahāthero saddhivihārikaantevāsikaparivārito hutvā nisīdituṃ yuttakālepi īdisepi vaye vattamāne bhattakiccaṃ katvā paviṭṭho sāyaṃ nikkhamati, sāyaṃ paviṭṭho pāto nikkhamati, kasiṇaparikammaṃ karoti, samāpattiyo nibbatteti, maggaphalāni adhigacchati, sabbathāpi cittavivekaṃ pūretīti iminā dutiyena ṭhānena therā bhikkhū pāsaṃsā bhavanti, pasaṃsaṃ labhanti. Yasmiṃ kāle therassa paṭṭadukūlakoseyyādīni sukhasamphassāni lahucīvarādīni yuttāni, tasmimpi nāma kāle ayaṃ mahāthero paṃsukūlāni dhāreti, asithilaṃ sāsanaṃ gahetvā vigatanīvaraṇo phalasamāpattiṃ appetvā upadhivivekaṃ paripūrayamāno viharati, navamajjhimakāle kīdiso ahosīti iminā tatiyena ṭhānena therā pāsaṃsā bhavanti, pasaṃsaṃ labhantīti. Esa nayo majjhimanavavāresu.
๓๓. ตตฺราวุโสติ โก อนุสนฺธิ, เอวํ นวหากาเรหิ อามิสทายาทปฎิปทํ ครหโนฺต, นวหิ ธมฺมทายาทปฎิปทํ โถเมโนฺต, อฎฺฐารสหากาเรหิ เทสนํ นิฎฺฐาเปตฺวา, เย เต ‘‘เยสญฺจ ธมฺมานํ สตฺถา ปหานมาห, เต จ ธเมฺม น ปชหนฺตี’’ติ เอวํ ปหาตพฺพธมฺมา วุตฺตาฯ เต สรูปโต ‘‘อิเม เต’’ติ ทเสฺสตุมิทํ ‘‘ตตฺราวุโส, โลโภ จา’’ติอาทิมาห, อยํ อนุสนฺธิฯ
33.Tatrāvusoti ko anusandhi, evaṃ navahākārehi āmisadāyādapaṭipadaṃ garahanto, navahi dhammadāyādapaṭipadaṃ thomento, aṭṭhārasahākārehi desanaṃ niṭṭhāpetvā, ye te ‘‘yesañca dhammānaṃ satthā pahānamāha, te ca dhamme na pajahantī’’ti evaṃ pahātabbadhammā vuttā. Te sarūpato ‘‘ime te’’ti dassetumidaṃ ‘‘tatrāvuso, lobho cā’’tiādimāha, ayaṃ anusandhi.
อปิจ เหฎฺฐา ปริยาเยเนว ธโมฺม กถิโตฯ อามิสํ ปน ปริยาเยนปิ นิปฺปริยาเยนปิ กถิตํฯ อิทานิ นิปฺปริยายธมฺมํ โลกุตฺตรมคฺคํ กเถตุมิทมาหฯ อยํ เปตฺถ อนุสนฺธิฯ
Apica heṭṭhā pariyāyeneva dhammo kathito. Āmisaṃ pana pariyāyenapi nippariyāyenapi kathitaṃ. Idāni nippariyāyadhammaṃ lokuttaramaggaṃ kathetumidamāha. Ayaṃ pettha anusandhi.
ตตฺถ ตตฺราติ อตีตเทสนานิทสฺสนํ, ‘‘สตฺถุ ปวิวิตฺตสฺส วิหรโต สาวกา วิเวกํ นานุสิกฺขนฺตี’’ติอาทินา นเยน วุตฺตเทสนายนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โลโภ จ ปาปโก, โทโส จ ปาปโกติ อิเม เทฺว ธมฺมา ปาปกา ลามกา, อิเม ปหาตพฺพาติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ ลุพฺภนลกฺขโณ โลโภฯ ทุสฺสนลกฺขโณ โทโสฯ เตสุ โลโภ อามิสทายาทสฺส ปจฺจยานํ ลาเภ โหติ, โทโส อลาเภฯ โลเภน อลทฺธํ ปเตฺถติ, โทเสน อลภโนฺต วิฆาตวา โหติฯ โลโภ จ เทยฺยธเมฺม โหติ, โทโส อทายเก วา อมนุญฺญทายเก วาฯ โลเภน นวตณฺหามูลเก ธเมฺม ปริปูเรติ, โทเสน ปญฺจ มจฺฉริยานิฯ
Tattha tatrāti atītadesanānidassanaṃ, ‘‘satthu pavivittassa viharato sāvakā vivekaṃ nānusikkhantī’’tiādinā nayena vuttadesanāyanti vuttaṃ hoti. Lobho ca pāpako, doso ca pāpakoti ime dve dhammā pāpakā lāmakā, ime pahātabbāti dasseti. Tattha lubbhanalakkhaṇo lobho. Dussanalakkhaṇo doso. Tesu lobho āmisadāyādassa paccayānaṃ lābhe hoti, doso alābhe. Lobhena aladdhaṃ pattheti, dosena alabhanto vighātavā hoti. Lobho ca deyyadhamme hoti, doso adāyake vā amanuññadāyake vā. Lobhena navataṇhāmūlake dhamme paripūreti, dosena pañca macchariyāni.
อิทานิ เตสํ ปหานูปายํ ทเสฺสโนฺต โลภสฺส จ ปหานายาติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ, ตสฺส ปน ปาปกสฺส โลภสฺส จ โทสสฺส จ ปหานายฯ อตฺถิ มชฺฌิมา ปฎิปทาติ มคฺคํ สนฺธาย อิทํ วุตฺตํฯ มโคฺค หิ โลโภ เอโก อโนฺต, โทโส เอโก อโนฺตติ เอเต เทฺว อเนฺต น อุเปติ, น อุปคจฺฉติ, วิมุโตฺต เอเตหิ อเนฺตหิ, ตสฺมา ‘‘มชฺฌิมา ปฎิปทา’’ติ วุจฺจติฯ เอเตสํ มเชฺฌ ภวตฺตา ‘‘มชฺฌิมา, ปฎิปชฺชิตพฺพโต จ ปฎิปทาติฯ ตถา กามสุขลฺลิกานุโยโค เอโก อโนฺต, อตฺตกิลมถานุโยโค เอโก อโนฺต, สสฺสตํ เอโก อโนฺต, อุเจฺฉโท เอโก อโนฺตติ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ
Idāni tesaṃ pahānūpāyaṃ dassento lobhassa ca pahānāyātiādimāha. Tassattho, tassa pana pāpakassa lobhassa ca dosassa ca pahānāya. Atthi majjhimā paṭipadāti maggaṃ sandhāya idaṃ vuttaṃ. Maggo hi lobho eko anto, doso eko antoti ete dve ante na upeti, na upagacchati, vimutto etehi antehi, tasmā ‘‘majjhimā paṭipadā’’ti vuccati. Etesaṃ majjhe bhavattā ‘‘majjhimā, paṭipajjitabbato ca paṭipadāti. Tathā kāmasukhallikānuyogo eko anto, attakilamathānuyogo eko anto, sassataṃ eko anto, ucchedo eko antoti purimanayeneva vitthāretabbaṃ.
จกฺขุกรณีติอาทีหิ ปน ตเมว ปฎิปทํ โถเมติฯ สา หิ สจฺจานํ ทสฺสนาย สํวตฺตติ ทสฺสนปริณายกเฎฺฐนาติ จกฺขุกรณีฯ สจฺจานํ ญาณาย สํวตฺตติ วิทิตกรณเฎฺฐนาติ ญาณกรณีฯ ราคาทีนญฺจ วูปสมนโต อุปสมาย สํวตฺตติฯ จตุนฺนมฺปิ สจฺจานํ อภิเญฺญยฺยภาวทสฺสนโต อภิญฺญาย สํวตฺตติฯ สโมฺพโธติ มโคฺค, ตสฺสตฺถาย สํวตฺตนโต สโมฺพธาย สํวตฺตติฯ มโคฺคเยว หิ มคฺคตฺถาย สํวตฺตติ มเคฺคน กาตพฺพกิจฺจกรณโตฯ นิพฺพานํ นาม อปฺปจฺจยํ ตสฺส ปน สจฺฉิกิริยาย ปจฺจกฺขกมฺมาย สํวตฺตนโต นิพฺพานาย สํวตฺตตีติ วุจฺจติฯ อยเมตฺถ สาโรฯ อิโต อญฺญถา วณฺณนา ปปญฺจาฯ
Cakkhukaraṇītiādīhi pana tameva paṭipadaṃ thometi. Sā hi saccānaṃ dassanāya saṃvattati dassanapariṇāyakaṭṭhenāti cakkhukaraṇī. Saccānaṃ ñāṇāya saṃvattati viditakaraṇaṭṭhenāti ñāṇakaraṇī. Rāgādīnañca vūpasamanato upasamāya saṃvattati. Catunnampi saccānaṃ abhiññeyyabhāvadassanato abhiññāya saṃvattati. Sambodhoti maggo, tassatthāya saṃvattanato sambodhāya saṃvattati. Maggoyeva hi maggatthāya saṃvattati maggena kātabbakiccakaraṇato. Nibbānaṃ nāma appaccayaṃ tassa pana sacchikiriyāya paccakkhakammāya saṃvattanato nibbānāya saṃvattatīti vuccati. Ayamettha sāro. Ito aññathā vaṇṇanā papañcā.
อิทานิ ตํ มชฺฌิมํ ปฎิปทํ สรูปโต ทเสฺสตุกาโม ‘‘กตมา จ สา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อยเมวา’’ติอาทินา นเยน วิสฺสเชฺชติฯ
Idāni taṃ majjhimaṃ paṭipadaṃ sarūpato dassetukāmo ‘‘katamā ca sā’’ti pucchitvā ‘‘ayamevā’’tiādinā nayena vissajjeti.
ตตฺถ อยเมวาติ อวธารณวจนํ, อญฺญมคฺคปฺปฎิเสธนตฺถํ, พุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานํ สาธารณภาวทสฺสนตฺถญฺจฯ วุตฺตเญฺจตํ ‘‘เอเสว มโคฺค นตฺถโญฺญ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา’’ติ (ธ. ป. ๒๗๔)ฯ สฺวายํ กิเลสานํ อารกตฺตาปิ อริโยฯ อริปหานาย สํวตฺตตีติปิ อริเยน เทสิโตติปิ อริยภาวปฺปฎิลาภาย สํวตฺตตีติปิ อริโยฯ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ อุเปตตฺตา อฎฺฐงฺคิโก, น จ องฺควินิมุโตฺต ปญฺจงฺคิกตูริยาทีนิ วิยฯ กิเลเส มาเรโนฺต คจฺฉติ, มคฺคติ วา นิพฺพานํ, มคฺคียติ วา นิพฺพานตฺถิเกหิ, คมฺมติ วา เตหิ ปฎิปชฺชียตีติ มโคฺคฯ เสยฺยถิทนฺติ นิปาโต, ตสฺส กตโม โส อิติ เจติ อโตฺถ, กตมานิ วา ตานิ อฎฺฐงฺคานีติฯ เอกเมกญฺหิ องฺคํ มโคฺคเยวฯ ยถาห ‘‘สมฺมาทิฎฺฐิ มโคฺค เจว เหตุ จา’’ติ (ธ. ส. ๑๐๓๙)ฯ โปราณาปิ ภณนฺติ – ‘‘ทสฺสนมโคฺค สมฺมาทิฎฺฐิ, อภินิโรปนมโคฺค สมฺมาสงฺกโปฺป…เป.… อวิเกฺขปมโคฺค สมฺมาสมาธี’’ติฯ
Tattha ayamevāti avadhāraṇavacanaṃ, aññamaggappaṭisedhanatthaṃ, buddhapaccekabuddhabuddhasāvakānaṃ sādhāraṇabhāvadassanatthañca. Vuttañcetaṃ ‘‘eseva maggo natthañño dassanassa visuddhiyā’’ti (dha. pa. 274). Svāyaṃ kilesānaṃ ārakattāpi ariyo. Aripahānāya saṃvattatītipi ariyena desitotipi ariyabhāvappaṭilābhāya saṃvattatītipi ariyo. Aṭṭhahi aṅgehi upetattā aṭṭhaṅgiko, na ca aṅgavinimutto pañcaṅgikatūriyādīni viya. Kilese mārento gacchati, maggati vā nibbānaṃ, maggīyati vā nibbānatthikehi, gammati vā tehi paṭipajjīyatīti maggo. Seyyathidanti nipāto, tassa katamo so iti ceti attho, katamāni vā tāni aṭṭhaṅgānīti. Ekamekañhi aṅgaṃ maggoyeva. Yathāha ‘‘sammādiṭṭhi maggo ceva hetu cā’’ti (dha. sa. 1039). Porāṇāpi bhaṇanti – ‘‘dassanamaggo sammādiṭṭhi, abhiniropanamaggo sammāsaṅkappo…pe… avikkhepamaggo sammāsamādhī’’ti.
สมฺมาทิฎฺฐาทีสุ เจเตสุ สมฺมา ทสฺสนลกฺขณา สมฺมาทิฎฺฐิฯ สมฺมา อภินิโรปนลกฺขโณ สมฺมาสงฺกโปฺปฯ สมฺมา ปริคฺคหลกฺขณา สมฺมาวาจาฯ สมฺมา สมุฎฺฐานลกฺขโณ สมฺมากมฺมโนฺตฯ สมฺมา โวทานลกฺขโณ สมฺมาอาชีโวฯ สมฺมา ปคฺคหลกฺขโณ สมฺมาวายาโมฯ สมฺมา อุปฎฺฐานลกฺขณา สมฺมาสติฯ สมฺมา สมาธานลกฺขโณ สมฺมาสมาธิฯ นิพฺพจนมฺปิ เนสํ สมฺมา ปสฺสตีติ สมฺมาทิฎฺฐีติ เอเตเนว นเยน เวทิตพฺพํฯ
Sammādiṭṭhādīsu cetesu sammā dassanalakkhaṇā sammādiṭṭhi. Sammā abhiniropanalakkhaṇo sammāsaṅkappo. Sammā pariggahalakkhaṇā sammāvācā. Sammā samuṭṭhānalakkhaṇo sammākammanto. Sammā vodānalakkhaṇo sammāājīvo. Sammā paggahalakkhaṇo sammāvāyāmo. Sammā upaṭṭhānalakkhaṇā sammāsati. Sammā samādhānalakkhaṇo sammāsamādhi. Nibbacanampi nesaṃ sammā passatīti sammādiṭṭhīti eteneva nayena veditabbaṃ.
ตตฺถ สมฺมาทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชมานา มิจฺฉาทิฎฺฐิํ ตปฺปจฺจนียกิเลเส จ อวิชฺชญฺจ ปชหติ, นิพฺพานญฺจ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ ปสฺสติ, เต จ โข อสโมฺมหโต, โน อารมฺมณโต, ตสฺมา ‘‘สมฺมาทิฎฺฐี’’ติ วุจฺจติฯ
Tattha sammādiṭṭhi uppajjamānā micchādiṭṭhiṃ tappaccanīyakilese ca avijjañca pajahati, nibbānañca ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca passati, te ca kho asammohato, no ārammaṇato, tasmā ‘‘sammādiṭṭhī’’ti vuccati.
สมฺมาสงฺกโปฺป มิจฺฉาสงฺกปฺปํ ตปฺปจฺจนียกิเลเส จ ปชหติ, นิพฺพานญฺจ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ สมฺมา อภินิโรเปติ, ตสฺมา ‘‘สมฺมาสงฺกโปฺป’’ติ วุจฺจติฯ
Sammāsaṅkappo micchāsaṅkappaṃ tappaccanīyakilese ca pajahati, nibbānañca ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca sammā abhiniropeti, tasmā ‘‘sammāsaṅkappo’’ti vuccati.
สมฺมาวาจา มิจฺฉาวาจํ ตปฺปจฺจนียกิเลเส จ ปชหติ, นิพฺพานญฺจ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ สมฺมา ปริคฺคณฺหาติ, ตสฺมา ‘‘สมฺมาวาจา’’ติ วุจฺจติฯ
Sammāvācā micchāvācaṃ tappaccanīyakilese ca pajahati, nibbānañca ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca sammā pariggaṇhāti, tasmā ‘‘sammāvācā’’ti vuccati.
สมฺมากมฺมโนฺต มิจฺฉากมฺมนฺตํ ตปฺปจฺจนียกิเลเส จ ปชหติ, นิพฺพานญฺจ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ สมฺมา สมุฎฺฐาเปติ, ตสฺมา ‘‘สมฺมากมฺมโนฺต’’ติ วุจฺจติฯ
Sammākammanto micchākammantaṃ tappaccanīyakilese ca pajahati, nibbānañca ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca sammā samuṭṭhāpeti, tasmā ‘‘sammākammanto’’ti vuccati.
สมฺมาอาชีโว มิจฺฉาอาชีวํ ตปฺปจฺจนียกิเลเส จ ปชหติ, นิพฺพานญฺจ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ สมฺมา โวทาเปติ, ตสฺมา ‘‘สมฺมาอาชีโว’’ติ วุจฺจติฯ
Sammāājīvo micchāājīvaṃ tappaccanīyakilese ca pajahati, nibbānañca ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca sammā vodāpeti, tasmā ‘‘sammāājīvo’’ti vuccati.
สมฺมาวายาโม มิจฺฉาวายามํ ตปฺปจฺจนียกิเลเส จ โกสชฺชญฺจ ปชหติ, นิพฺพานญฺจ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ สมฺมา ปคฺคณฺหาติ, ตสฺมา ‘‘สมฺมาวายาโม’’ติ วุจฺจติฯ
Sammāvāyāmo micchāvāyāmaṃ tappaccanīyakilese ca kosajjañca pajahati, nibbānañca ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca sammā paggaṇhāti, tasmā ‘‘sammāvāyāmo’’ti vuccati.
สมฺมาสติ มิจฺฉาสติํ ตปฺปจฺจนียกิเลเส จ ปชหติ, นิพฺพานญฺจ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ สมฺมา อุปฎฺฐาเปติ, ตสฺมา ‘‘สมฺมาสตี’’ติ วุจฺจติฯ
Sammāsati micchāsatiṃ tappaccanīyakilese ca pajahati, nibbānañca ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca sammā upaṭṭhāpeti, tasmā ‘‘sammāsatī’’ti vuccati.
สมฺมาสมาธิ มิจฺฉาสมาธิํ ตปฺปจฺจนียกิเลเส จ อุทฺธจฺจญฺจ ปชหติ, นิพฺพานญฺจ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ สมฺมา สมาธิยติ, ตสฺมา ‘‘สมฺมาสมาธี’’ติ วุจฺจติฯ
Sammāsamādhi micchāsamādhiṃ tappaccanīyakilese ca uddhaccañca pajahati, nibbānañca ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca sammā samādhiyati, tasmā ‘‘sammāsamādhī’’ti vuccati.
อิทานิ อยํ โข สา, อาวุโสติ ตเมว ปฎิปทํ นิคเมโนฺต อาหฯ ตสฺสโตฺถ, ยฺวายํ จตฺตาโรปิ โลกุตฺตรมเคฺค เอกโต กตฺวา กถิโต ‘‘อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’, อยํ โข สา, อาวุโส…เป.… นิพฺพานาย สํวตฺตตีติฯ
Idāni ayaṃ kho sā, āvusoti tameva paṭipadaṃ nigamento āha. Tassattho, yvāyaṃ cattāropi lokuttaramagge ekato katvā kathito ‘‘aṭṭhaṅgiko maggo’’, ayaṃ kho sā, āvuso…pe… nibbānāya saṃvattatīti.
เอวํ ปหาตพฺพธเมฺมสุ โลภโทเส ตปฺปหานุปายญฺจ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อเญฺญปิ ปหาตพฺพธเมฺม เตสํ ปหานุปายญฺจ ทเสฺสโนฺต ตตฺราวุโส, โกโธ จาติอาทิมาหฯ ตตฺถ กุชฺฌนลกฺขโณ โกโธ, จณฺฑิกฺกลกฺขโณ วา, อาฆาตกรณรโส, ทุสฺสนปจฺจุปฎฺฐาโนฯ อุปนนฺธนลกฺขโณ อุปนาโห, เวร อปฺปฎินิสฺสชฺชนรโส, โกธานุปพนฺธภาวปจฺจุปฎฺฐาโนฯ วุตฺตเญฺจตํ – ‘‘ปุพฺพกาเล โกโธ, อปรกาเล อุปนาโห’’ติอาทิ (วิภ. ๘๙๑)ฯ
Evaṃ pahātabbadhammesu lobhadose tappahānupāyañca dassetvā idāni aññepi pahātabbadhamme tesaṃ pahānupāyañca dassento tatrāvuso, kodho cātiādimāha. Tattha kujjhanalakkhaṇo kodho, caṇḍikkalakkhaṇo vā, āghātakaraṇaraso, dussanapaccupaṭṭhāno. Upanandhanalakkhaṇo upanāho, vera appaṭinissajjanaraso, kodhānupabandhabhāvapaccupaṭṭhāno. Vuttañcetaṃ – ‘‘pubbakāle kodho, aparakāle upanāho’’tiādi (vibha. 891).
ปรคุณมกฺขนลกฺขโณ มโกฺข, เตสํ วินาสนรโส, ตทวจฺฉาทนปจฺจุปฎฺฐาโนฯ ยุคคฺคาหลกฺขโณ ปฬาโส, ปรคุเณหิ อตฺตโน คุณานํ สมีกรณรโส, ปเรสํ คุณปฺปมาเณน อุปฎฺฐานปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
Paraguṇamakkhanalakkhaṇo makkho, tesaṃ vināsanaraso, tadavacchādanapaccupaṭṭhāno. Yugaggāhalakkhaṇo paḷāso, paraguṇehi attano guṇānaṃ samīkaraṇaraso, paresaṃ guṇappamāṇena upaṭṭhānapaccupaṭṭhāno.
ปรสมฺปตฺติขียนลกฺขณา อิสฺสา, ตสฺสา อกฺขมนลกฺขณา วา, ตตฺถ อนภิรติรสา, ตโต วิมุขภาวปจฺจุปฎฺฐานาฯ อตฺตโน สมฺปตฺตินิคูหนลกฺขณํ มเจฺฉรํ, อตฺตโน สมฺปตฺติยา ปเรหิ สาธารณภาวอสุขายนรสํ, สโงฺกจนปจฺจุปฎฺฐานํฯ
Parasampattikhīyanalakkhaṇā issā, tassā akkhamanalakkhaṇā vā, tattha anabhiratirasā, tato vimukhabhāvapaccupaṭṭhānā. Attano sampattinigūhanalakkhaṇaṃ maccheraṃ, attano sampattiyā parehi sādhāraṇabhāvaasukhāyanarasaṃ, saṅkocanapaccupaṭṭhānaṃ.
กตปาปปฎิจฺฉาทนลกฺขณา มายา, ตสฺส นิคูหนรสา, ตทาวรณปจฺจุปฎฺฐานาฯ อตฺตโน อวิชฺชมานคุณปกาสนลกฺขณํ สาเฐยฺยํ, เตสํ สมุทาหรณรสํ, สรีรากาเรหิปิ เตสํ วิภูตกรณปจฺจุปฎฺฐานํฯ
Katapāpapaṭicchādanalakkhaṇā māyā, tassa nigūhanarasā, tadāvaraṇapaccupaṭṭhānā. Attano avijjamānaguṇapakāsanalakkhaṇaṃ sāṭheyyaṃ, tesaṃ samudāharaṇarasaṃ, sarīrākārehipi tesaṃ vibhūtakaraṇapaccupaṭṭhānaṃ.
จิตฺตสฺส อุทฺธุมาตภาวลกฺขโณ ถโมฺภ, อปฺปติสฺสยวุตฺติรโส, อมทฺทวตาปจฺจุปฎฺฐาโนฯ กรณุตฺตริยลกฺขโณ สารโมฺภ, วิปจฺจนีกตารโส, อคารวปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
Cittassa uddhumātabhāvalakkhaṇo thambho, appatissayavuttiraso, amaddavatāpaccupaṭṭhāno. Karaṇuttariyalakkhaṇo sārambho, vipaccanīkatāraso, agāravapaccupaṭṭhāno.
อุณฺณติลกฺขโณ มาโน, อหํการรโส, อุทฺธุมาตภาวปจฺจุปฎฺฐาโนฯ อพฺภุณฺณติลกฺขโณ อติมาโน, อติวิย อหงฺการรโสฯ อจฺจุทฺธุมาตภาวปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
Uṇṇatilakkhaṇo māno, ahaṃkāraraso, uddhumātabhāvapaccupaṭṭhāno. Abbhuṇṇatilakkhaṇo atimāno, ativiya ahaṅkāraraso. Accuddhumātabhāvapaccupaṭṭhāno.
มตฺตภาวลกฺขโณ มโท, มทคฺคาหณรโส, อุมฺมาทปจฺจุปฎฺฐาโนฯ ปญฺจสุ กามคุเณสุ จิตฺตโวสฺสคฺคลกฺขโณ ปมาโท, โวสฺสคฺคานุปฺปทานรโส, สติวิปฺปวาสปจฺจุปฎฺฐาโนติ เอวํ อิเมสํ ธมฺมานํ ลกฺขณาทีนิ เวทิตพฺพานิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ‘‘ตตฺถ กตโม โกโธ’’ติอาทินา วิภเงฺค (วิภ. ๘๙๑) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Mattabhāvalakkhaṇo mado, madaggāhaṇaraso, ummādapaccupaṭṭhāno. Pañcasu kāmaguṇesu cittavossaggalakkhaṇo pamādo, vossaggānuppadānaraso, sativippavāsapaccupaṭṭhānoti evaṃ imesaṃ dhammānaṃ lakkhaṇādīni veditabbāni. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana ‘‘tattha katamo kodho’’tiādinā vibhaṅge (vibha. 891) vuttanayeneva veditabbo.
วิเสสโต เจตฺถ อามิสทายาโท อตฺตนา อลภโนฺต อญฺญสฺส ลาภิโน กุชฺฌติ, ตสฺส สกิํ อุปฺปโนฺน โกโธ โกโธเยว, ตตุตฺตริ อุปนาโหฯ โส เอวํ กุโทฺธ อุปนยฺหโนฺต จ สเนฺตปิ อญฺญสฺส ลาภิโน คุเณ มเกฺขติ, อหมฺปิ ตาทิโสติ จ ยุคคฺคาหํ คณฺหาติ, อยมสฺส มโกฺข จ ปฬาโส จ, เอวํ มกฺขี ปฬาสี ตสฺส ลาภสกฺการาทีสุ กิํ อิมสฺส อิมินาติ อิสฺสติ ปทุสฺสติ, อยมสฺส อิสฺสาฯ สเจ ปนสฺส กาจิ สมฺปตฺติ โหติ, ตสฺสา เตน สาธารณภาวํ น สหติ, อิทมสฺส มเจฺฉรํฯ ลาภเหตุ โข ปน อตฺตโน สเนฺตปิ โทเส ปฎิจฺฉาเทติ, อยมสฺส มายาฯ อสเนฺตปิ คุเณ ปกาเสติฯ อิทมสฺส สาเฐยฺยํฯ โส เอวํ ปฎิปโนฺน สเจ ยถาธิปฺปายํ ลาภํ ลภติ, เตน ถโทฺธ โหติ อมุทุจิโตฺต, นยิทํ เอวํ กาตพฺพนฺติ โอวทิตุํ อสกฺกุเณโยฺย, อยมสฺส ถโมฺภฯ สเจ ปน นํ โกจิ กิญฺจิ วทติ ‘‘นยิทํ เอวํ กาตพฺพ’’นฺติ, เตน สารทฺธจิโตฺต โหติ ภากุฎิกมุโข ‘‘โก เม ตฺว’’นฺติ ปสยฺห ภาณี, อยมสฺส สารโมฺภฯ ตโต ถเมฺภน ‘‘อหเมว เสโยฺย’’ติ อตฺตานํ มญฺญโนฺต มานี โหติฯ สารเมฺภน ‘‘เก อิเม’’ติ ปเร อติมญฺญโนฺต อติมานี, อยมสฺส มาโน จ อติมาโน จฯ โส เตหิ มานาติมาเนหิ ชาติมทาทิอเนกรูปํ มทํ ชเนติฯ มโตฺต สมาโน กามคุณาทิเภเทสุ วตฺถูสุ ปมชฺชติ, อยมสฺส มโท จ ปมาโท จาติฯ
Visesato cettha āmisadāyādo attanā alabhanto aññassa lābhino kujjhati, tassa sakiṃ uppanno kodho kodhoyeva, tatuttari upanāho. So evaṃ kuddho upanayhanto ca santepi aññassa lābhino guṇe makkheti, ahampi tādisoti ca yugaggāhaṃ gaṇhāti, ayamassa makkho ca paḷāso ca, evaṃ makkhī paḷāsī tassa lābhasakkārādīsu kiṃ imassa imināti issati padussati, ayamassa issā. Sace panassa kāci sampatti hoti, tassā tena sādhāraṇabhāvaṃ na sahati, idamassa maccheraṃ. Lābhahetu kho pana attano santepi dose paṭicchādeti, ayamassa māyā. Asantepi guṇe pakāseti. Idamassa sāṭheyyaṃ. So evaṃ paṭipanno sace yathādhippāyaṃ lābhaṃ labhati, tena thaddho hoti amuducitto, nayidaṃ evaṃ kātabbanti ovadituṃ asakkuṇeyyo, ayamassa thambho. Sace pana naṃ koci kiñci vadati ‘‘nayidaṃ evaṃ kātabba’’nti, tena sāraddhacitto hoti bhākuṭikamukho ‘‘ko me tva’’nti pasayha bhāṇī, ayamassa sārambho. Tato thambhena ‘‘ahameva seyyo’’ti attānaṃ maññanto mānī hoti. Sārambhena ‘‘ke ime’’ti pare atimaññanto atimānī, ayamassa māno ca atimāno ca. So tehi mānātimānehi jātimadādianekarūpaṃ madaṃ janeti. Matto samāno kāmaguṇādibhedesu vatthūsu pamajjati, ayamassa mado ca pamādo cāti.
เอวํ อามิสทายาโท อปริมุโตฺต โหติ อิเมหิ ปาปเกหิ ธเมฺมหิ อเญฺญหิ จ เอวรูเปหิฯ เอวํ ตาเวตฺถ ปหาตพฺพธมฺมา เวทิตพฺพาฯ ปหานุปาโย ปาฐโต จ อตฺถโต จ สพฺพตฺถ นิพฺพิเสโสเยวฯ
Evaṃ āmisadāyādo aparimutto hoti imehi pāpakehi dhammehi aññehi ca evarūpehi. Evaṃ tāvettha pahātabbadhammā veditabbā. Pahānupāyo pāṭhato ca atthato ca sabbattha nibbisesoyeva.
ญาณปริจยปาฎวตฺถํ ปเนตฺถ อยํ เภโท จ กโม จ ภาวนานโย จ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ เภโท ตาว, อยญฺหิ มชฺฌิมา ปฎิปทา กทาจิ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค โหติ, กทาจิ สตฺตงฺคิโกฯ อยญฺหิ โลกุตฺตรปฐมชฺฌานวเสน อุปฺปชฺชมาโน อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค โหติ, อวเสสชฺฌานวเสน สตฺตงฺคิโกฯ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทสโต ปนิธ อฎฺฐงฺคิโกติ วุโตฺตฯ อิโต ปรญฺหิ มคฺคงฺคํ นตฺถิฯ เอวํ ตาเวตฺถ เภโท เวทิตโพฺพฯ
Ñāṇaparicayapāṭavatthaṃ panettha ayaṃ bhedo ca kamo ca bhāvanānayo ca veditabbo. Tattha bhedo tāva, ayañhi majjhimā paṭipadā kadāci ariyo aṭṭhaṅgiko maggo hoti, kadāci sattaṅgiko. Ayañhi lokuttarapaṭhamajjhānavasena uppajjamāno aṭṭhaṅgiko maggo hoti, avasesajjhānavasena sattaṅgiko. Ukkaṭṭhaniddesato panidha aṭṭhaṅgikoti vutto. Ito parañhi maggaṅgaṃ natthi. Evaṃ tāvettha bhedo veditabbo.
ยสฺมา ปน สพฺพกุสลานํ สมฺมาทิฎฺฐิ เสฎฺฐา, ยถาห ‘‘ปญฺญา หิ เสฎฺฐา กุสลา วทนฺตี’’ติ (ชา. ๒.๑๗.๘๑)ฯ กุสลวาเร จ ปุพฺพงฺคมา, ยถาห ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, สมฺมาทิฎฺฐิ ปุพฺพงฺคมา โหติ, สมฺมาทิฎฺฐิํ สมฺมาทิฎฺฐีติ ปชานาติ, มิจฺฉาทิฎฺฐิํ มิจฺฉาทิฎฺฐีติ ปชานาตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๓๖) วิตฺถาโรฯ ยถา จาห ‘‘วิชฺชา จ โข, ภิกฺขเว, ปุพฺพงฺคมา กุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺติยา’’ติฯ ตปฺปภวาภินิพฺพตฺตานิ เสสงฺคานิ, ยถาห ‘‘สมฺมาทิฎฺฐิสฺส สมฺมาสงฺกโปฺป ปโหติ…เป.… สมฺมาสติสฺส สมฺมาสมาธิ ปโหตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๔๑)ฯ ตสฺมา อิมินา กเมน เอตานิ องฺคานิ วุตฺตานีติ เอวเมตฺถ กโม เวทิตโพฺพฯ
Yasmā pana sabbakusalānaṃ sammādiṭṭhi seṭṭhā, yathāha ‘‘paññā hi seṭṭhā kusalā vadantī’’ti (jā. 2.17.81). Kusalavāre ca pubbaṅgamā, yathāha ‘‘kathañca, bhikkhave, sammādiṭṭhi pubbaṅgamā hoti, sammādiṭṭhiṃ sammādiṭṭhīti pajānāti, micchādiṭṭhiṃ micchādiṭṭhīti pajānātī’’ti (ma. ni. 3.136) vitthāro. Yathā cāha ‘‘vijjā ca kho, bhikkhave, pubbaṅgamā kusalānaṃ dhammānaṃ samāpattiyā’’ti. Tappabhavābhinibbattāni sesaṅgāni, yathāha ‘‘sammādiṭṭhissa sammāsaṅkappo pahoti…pe… sammāsatissa sammāsamādhi pahotī’’ti (ma. ni. 3.141). Tasmā iminā kamena etāni aṅgāni vuttānīti evamettha kamo veditabbo.
ภาวนานโยติ โกจิ สมถปุพฺพงฺคมํ วิปสฺสนํ ภาเวติ, โกจิ วิปสฺสนาปุพฺพงฺคมํ สมถํฯ กถํ? อิเธกโจฺจ ปฐมํ อุปจารสมาธิํ วา อปฺปนาสมาธิํ วา อุปฺปาเทติ, อยํ สมโถ; โส ตญฺจ ตํสมฺปยุเตฺต จ ธเมฺม อนิจฺจาทีหิ วิปสฺสติ, อยํ วิปสฺสนาฯ อิติ ปฐมํ สมโถ, ปจฺฉา วิปสฺสนาฯ เตน วุจฺจติ ‘‘สมถปุพฺพงฺคมํ วิปสฺสนํ ภาเวตี’’ติฯ ตสฺส สมถปุพฺพงฺคมํ วิปสฺสนํ ภาวยโต มโคฺค สญฺชายติ, โส ตํ มคฺคํ อาเสวติ ภาเวติ พหุลีกโรติ, ตสฺส ตํ มคฺคํ อาเสวโต ภาวยโต พหุลีกโรโต สํโยชนานิ ปหียนฺติ, อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติ, เอวํ สมถปุพฺพงฺคมํ วิปสฺสนํ ภาเวติฯ
Bhāvanānayoti koci samathapubbaṅgamaṃ vipassanaṃ bhāveti, koci vipassanāpubbaṅgamaṃ samathaṃ. Kathaṃ? Idhekacco paṭhamaṃ upacārasamādhiṃ vā appanāsamādhiṃ vā uppādeti, ayaṃ samatho; so tañca taṃsampayutte ca dhamme aniccādīhi vipassati, ayaṃ vipassanā. Iti paṭhamaṃ samatho, pacchā vipassanā. Tena vuccati ‘‘samathapubbaṅgamaṃ vipassanaṃ bhāvetī’’ti. Tassa samathapubbaṅgamaṃ vipassanaṃ bhāvayato maggo sañjāyati, so taṃ maggaṃ āsevati bhāveti bahulīkaroti, tassa taṃ maggaṃ āsevato bhāvayato bahulīkaroto saṃyojanāni pahīyanti, anusayā byantīhonti, evaṃ samathapubbaṅgamaṃ vipassanaṃ bhāveti.
อิธ ปเนกโจฺจ วุตฺตปฺปการํ สมถํ อนุปฺปาเทตฺวาว ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธ อนิจฺจาทีหิ วิปสฺสติ, อยํ วิปสฺสนาฯ ตสฺส วิปสฺสนาปาริปูริยา ตตฺถ ชาตานํ ธมฺมานํ โวสฺสคฺคารมฺมณโต อุปฺปชฺชติ จิตฺตสฺส เอกคฺคตา, อยํ สมโถฯ อิติ ปฐมํ วิปสฺสนา ปจฺฉา สมโถฯ เตน วุจฺจติ ‘‘วิปสฺสนาปุพฺพงฺคมํ สมถํ ภาเวตี’’ติฯ ตสฺส วิปสฺสนาปุพฺพงฺคมํ สมถํ ภาวยโต มโคฺค สญฺชายติ, โส ตํ มคฺคํ อาเสวติ…เป.… พหุลีกโรติ, ตสฺส ตํ มคฺคํ อาเสวโต…เป.… อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติ (อ. นิ. ๔.๑๗๐; ปฎิ. ม. ๒.๑), เอวํ วิปสฺสนาปุพฺพงฺคมํ สมถํ ภาเวติฯ
Idha panekacco vuttappakāraṃ samathaṃ anuppādetvāva pañcupādānakkhandhe aniccādīhi vipassati, ayaṃ vipassanā. Tassa vipassanāpāripūriyā tattha jātānaṃ dhammānaṃ vossaggārammaṇato uppajjati cittassa ekaggatā, ayaṃ samatho. Iti paṭhamaṃ vipassanā pacchā samatho. Tena vuccati ‘‘vipassanāpubbaṅgamaṃ samathaṃ bhāvetī’’ti. Tassa vipassanāpubbaṅgamaṃ samathaṃ bhāvayato maggo sañjāyati, so taṃ maggaṃ āsevati…pe… bahulīkaroti, tassa taṃ maggaṃ āsevato…pe… anusayā byantīhonti (a. ni. 4.170; paṭi. ma. 2.1), evaṃ vipassanāpubbaṅgamaṃ samathaṃ bhāveti.
สมถปุพฺพงฺคมํ ปน วิปสฺสนํ ภาวยโตปิ วิปสฺสนาปุพฺพงฺคมํ สมถํ ภาวยโตปิ โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ สมถวิปสฺสนา ยุคนทฺธาว โหนฺติฯ เอวเมตฺถ ภาวนานโย เวทิตโพฺพติฯ
Samathapubbaṅgamaṃ pana vipassanaṃ bhāvayatopi vipassanāpubbaṅgamaṃ samathaṃ bhāvayatopi lokuttaramaggakkhaṇe samathavipassanā yuganaddhāva honti. Evamettha bhāvanānayo veditabboti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
ธมฺมทายาทสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dhammadāyādasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๓. ธมฺมทายาทสุตฺตํ • 3. Dhammadāyādasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๓. ธมฺมทายาทสุตฺตวณฺณนา • 3. Dhammadāyādasuttavaṇṇanā