Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi

    ๑๐. ธมฺมเทสนาย อโปฺปสฺสุกฺกปโญฺห

    10. Dhammadesanāya appossukkapañho

    ๑๐. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, ตุเมฺห ภณถ ‘ตถาคเตน จตูหิ จ อสเงฺขฺยเยฺยหิ กปฺปานํ สตสหเสฺสน จ เอตฺถนฺตเร สพฺพญฺญุตญาณํ ปริปาจิตํ มหโต ชนกายสฺส สมุทฺธรณายา’ติฯ ปุน จ ‘สพฺพญฺญุตํ ปตฺตสฺส อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ, โน ธมฺมเทสนายา’ติฯ

    10. ‘‘Bhante nāgasena, tumhe bhaṇatha ‘tathāgatena catūhi ca asaṅkhyeyyehi kappānaṃ satasahassena ca etthantare sabbaññutañāṇaṃ paripācitaṃ mahato janakāyassa samuddharaṇāyā’ti. Puna ca ‘sabbaññutaṃ pattassa appossukkatāya cittaṃ nami, no dhammadesanāyā’ti.

    ‘‘ยถา นาม, ภเนฺต นาคเสน, อิสฺสาโส วา อิสฺสาสเนฺตวาสี วา พหุเก ทิวเส สงฺคามตฺถาย อุปาสนํ สิกฺขิตฺวา สมฺปเตฺต มหายุเทฺธ โอสเกฺกยฺย, เอวเมว โข, ภเนฺต นาคเสน, ตถาคเตน จตูหิ จ อสเงฺขฺยเยฺยหิ กปฺปานํ สตสหเสฺสน จ เอตฺถนฺตเร สพฺพญฺญุตญาณํ ปริปาเจตฺวา มหโต ชนกายสฺส สมุทฺธรณาย สพฺพญฺญุตํ ปเตฺตน ธมฺมเทสนาย โอสกฺกิตํฯ

    ‘‘Yathā nāma, bhante nāgasena, issāso vā issāsantevāsī vā bahuke divase saṅgāmatthāya upāsanaṃ sikkhitvā sampatte mahāyuddhe osakkeyya, evameva kho, bhante nāgasena, tathāgatena catūhi ca asaṅkhyeyyehi kappānaṃ satasahassena ca etthantare sabbaññutañāṇaṃ paripācetvā mahato janakāyassa samuddharaṇāya sabbaññutaṃ pattena dhammadesanāya osakkitaṃ.

    ‘‘ยถา วา ปน, ภเนฺต นาคเสน, มโลฺล วา มลฺลเนฺตวาสี วา พหุเก ทิวเส นิพฺพุทฺธํ สิกฺขิตฺวา สมฺปเตฺต มลฺลยุเทฺธ โอสเกฺกยฺย, เอวเมว โข, ภเนฺต นาคเสน, ตถาคเตน จตูหิ จ อสเงฺขฺยเยฺยหิ กปฺปานํ สตสหเสฺสน จ เอตฺถนฺตเร สพฺพญฺญุตญาณํ ปริปาเจตฺวา มหโต ชนกายสฺส สมุทฺธรณาย สพฺพญฺญุตํ ปเตฺตน ธมฺมเทสนาย โอสกฺกิตํฯ

    ‘‘Yathā vā pana, bhante nāgasena, mallo vā mallantevāsī vā bahuke divase nibbuddhaṃ sikkhitvā sampatte mallayuddhe osakkeyya, evameva kho, bhante nāgasena, tathāgatena catūhi ca asaṅkhyeyyehi kappānaṃ satasahassena ca etthantare sabbaññutañāṇaṃ paripācetvā mahato janakāyassa samuddharaṇāya sabbaññutaṃ pattena dhammadesanāya osakkitaṃ.

    ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต นาคเสน, ตถาคเตน ภยา โอสกฺกิตํ, อุทาหุ อปากฎตาย โอสกฺกิตํ, อุทาหุ ทุพฺพลตาย โอสกฺกิตํ, อุทาหุ อสพฺพญฺญุตาย โอสกฺกิตํ, กิํ ตตฺถ การณํ, อิงฺฆ เม ตฺวํ การณํ พฺรูหิ กงฺขาวิตรณายฯ ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, ตถาคเตน จตูหิ จ อสเงฺขฺยเยฺยหิ กปฺปานํ สตสหเสฺสน จ เอตฺถนฺตเร สพฺพญฺญุตญาณํ ปริปาจิตํ มหโต ชนกายสฺส สมุทฺธรณาย, เตน หิ ‘สพฺพญฺญุตํ ปตฺตสฺส อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ, โน ธมฺมเทสนายา’ติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉาฯ ยทิ สพฺพญฺญุตํ ปตฺตสฺส อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ โน ธมฺมเทสนาย, เตน หิ ‘ตถาคเตน จตูหิ จ อสเงฺขฺยเยฺยติ กปฺปานํ สตสหเสฺสน จ เอตฺถนฺตเร สพฺพญฺญุตญาณํ ปริปาจิตํ มหโต ชนกายสฺส สมุทฺธรณายา’ติ ตมฺปิ วจนํ มิจฺฉาฯ อยมฺปิ อุภโต โกฎิโก ปโญฺห คมฺภีโร ทุนฺนิเพฺพโฐ ตวานุปฺปโตฺต, โส ตยา นิพฺพาหิตโพฺพ’’ติฯ

    ‘‘Kiṃ nu kho, bhante nāgasena, tathāgatena bhayā osakkitaṃ, udāhu apākaṭatāya osakkitaṃ, udāhu dubbalatāya osakkitaṃ, udāhu asabbaññutāya osakkitaṃ, kiṃ tattha kāraṇaṃ, iṅgha me tvaṃ kāraṇaṃ brūhi kaṅkhāvitaraṇāya. Yadi, bhante nāgasena, tathāgatena catūhi ca asaṅkhyeyyehi kappānaṃ satasahassena ca etthantare sabbaññutañāṇaṃ paripācitaṃ mahato janakāyassa samuddharaṇāya, tena hi ‘sabbaññutaṃ pattassa appossukkatāya cittaṃ nami, no dhammadesanāyā’ti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā. Yadi sabbaññutaṃ pattassa appossukkatāya cittaṃ nami no dhammadesanāya, tena hi ‘tathāgatena catūhi ca asaṅkhyeyyeti kappānaṃ satasahassena ca etthantare sabbaññutañāṇaṃ paripācitaṃ mahato janakāyassa samuddharaṇāyā’ti tampi vacanaṃ micchā. Ayampi ubhato koṭiko pañho gambhīro dunnibbeṭho tavānuppatto, so tayā nibbāhitabbo’’ti.

    ‘‘ปริปาจิตญฺจ, มหาราช, ตถาคเตน จตูหิ จ อสเงฺขฺยเยฺยหิ กปฺปานํ สตสหเสฺสน จ เอตฺถนฺตเร สพฺพญฺญุตญาณํ มหโต ชนกายสฺส สมุทฺธรณาย, ปตฺตสพฺพญฺญุตสฺส จ อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ, โน ธมฺมเทสนายฯ ตญฺจ ปน ธมฺมสฺส คมฺภีรนิปุณทุทฺทสทุรนุโพธสุขุมทุปฺปฎิเวธตํ สตฺตานญฺจ อาลยารามตํ สกฺกายทิฎฺฐิยา ทฬฺหสุคฺคหิตตญฺจ ทิสฺวา ‘กิํ นุ โข, กถํ นุ โข’ติ อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ, โน ธมฺมเทสนาย, สตฺตานํ ปฎิเวธจินฺตนมานสํ เยเวตํฯ

    ‘‘Paripācitañca, mahārāja, tathāgatena catūhi ca asaṅkhyeyyehi kappānaṃ satasahassena ca etthantare sabbaññutañāṇaṃ mahato janakāyassa samuddharaṇāya, pattasabbaññutassa ca appossukkatāya cittaṃ nami, no dhammadesanāya. Tañca pana dhammassa gambhīranipuṇaduddasaduranubodhasukhumaduppaṭivedhataṃ sattānañca ālayārāmataṃ sakkāyadiṭṭhiyā daḷhasuggahitatañca disvā ‘kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho’ti appossukkatāya cittaṃ nami, no dhammadesanāya, sattānaṃ paṭivedhacintanamānasaṃ yevetaṃ.

    ‘‘ยถา, มหาราช, ภิสโกฺก สลฺลกโตฺต อเนกพฺยาธิปริปีฬิตํ นรํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ จินฺตยติ ‘เกน นุ โข อุปกฺกเมน กตเมน วา เภสเชฺชน อิมสฺส พฺยาธิ วูปสเมยฺยา’ติ, เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคตสฺส สพฺพกิเลสพฺยาธิปริปีฬิตํ ชนํ ธมฺมสฺส จ คมฺภีรนิปุณทุทฺทสทุรนุโพธสุขุมทุปฺปฎิเวธตํ ทิสฺวา ‘กิํ นุ โข, กถํ นุ โข’ติ อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ, โน ธมฺมเทสนาย, สตฺตานํ ปฎิเวธจินฺตนมานสํ เยเวตํฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, bhisakko sallakatto anekabyādhiparipīḷitaṃ naraṃ upasaṅkamitvā evaṃ cintayati ‘kena nu kho upakkamena katamena vā bhesajjena imassa byādhi vūpasameyyā’ti, evameva kho, mahārāja, tathāgatassa sabbakilesabyādhiparipīḷitaṃ janaṃ dhammassa ca gambhīranipuṇaduddasaduranubodhasukhumaduppaṭivedhataṃ disvā ‘kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho’ti appossukkatāya cittaṃ nami, no dhammadesanāya, sattānaṃ paṭivedhacintanamānasaṃ yevetaṃ.

    ‘‘ยถา, มหาราช, รโญฺญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาวสิตฺตสฺส โทวาริกอนีกฎฺฐปาริสชฺชเนคมภฎพล 1 อมจฺจราชญฺญราชูปชีวิเน ชเน ทิสฺวา เอวํ จิตฺตมุปฺปเชฺชยฺย ‘กิํ นุ โข, กถํ นุ โข อิเม สงฺคณฺหิสฺสามี’ติ, เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคตสฺส ธมฺมสฺส คมฺภีรนิปุณทุทฺทสทุรนุโพธสุขุมทุปฺปฎิเวธตํ สตฺตานญฺจ อาลยารามตํ สกฺกายทิฎฺฐิยา ทฬฺหสุคฺคหิตตญฺจ ทิสฺวา ‘กิํ นุ โข, กถํ นุ โข’ติ อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ, โน ธมฺมเทสนาย, สตฺตานํ ปฎิเวธจินฺตนมานสํ เยเวตํฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, rañño khattiyassa muddhāvasittassa dovārikaanīkaṭṭhapārisajjanegamabhaṭabala 2 amaccarājaññarājūpajīvine jane disvā evaṃ cittamuppajjeyya ‘kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho ime saṅgaṇhissāmī’ti, evameva kho, mahārāja, tathāgatassa dhammassa gambhīranipuṇaduddasaduranubodhasukhumaduppaṭivedhataṃ sattānañca ālayārāmataṃ sakkāyadiṭṭhiyā daḷhasuggahitatañca disvā ‘kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho’ti appossukkatāya cittaṃ nami, no dhammadesanāya, sattānaṃ paṭivedhacintanamānasaṃ yevetaṃ.

    ‘‘อปิ จ, มหาราช, สเพฺพสํ ตถาคตานํ ธมฺมตา เอสา, ยํ พฺรหฺมุนา อายาจิตา ธมฺมํ เทเสนฺติฯ ตตฺถ ปน กิํ การณํ? เย เตน สมเยน มนุสฺสา ตาปสปริพฺพาชกา สมณพฺราหฺมณา, สเพฺพเต พฺรหฺมเทวตา โหนฺติ พฺรหฺมครุกา พฺรหฺมปรายณา, ตสฺมา ตสฺส พลวโต ยสวโต ญาตสฺส ปญฺญาตสฺส อุตฺตรสฺส อจฺจุคฺคตสฺส โอนมเนน สเทวโก โลโก โอนมิสฺสติ โอกเปฺปสฺสติ อธิมุจฺจิสฺสตีติ อิมินา จ, มหาราช, การเณน ตถาคตา พฺรหฺมุนา อายาจิตา ธมฺมํ เทเสนฺติฯ

    ‘‘Api ca, mahārāja, sabbesaṃ tathāgatānaṃ dhammatā esā, yaṃ brahmunā āyācitā dhammaṃ desenti. Tattha pana kiṃ kāraṇaṃ? Ye tena samayena manussā tāpasaparibbājakā samaṇabrāhmaṇā, sabbete brahmadevatā honti brahmagarukā brahmaparāyaṇā, tasmā tassa balavato yasavato ñātassa paññātassa uttarassa accuggatassa onamanena sadevako loko onamissati okappessati adhimuccissatīti iminā ca, mahārāja, kāraṇena tathāgatā brahmunā āyācitā dhammaṃ desenti.

    ‘‘ยถา, มหาราช, โกจิ ราชา วา ราชมหามโตฺต วา ยสฺส โอนมติ อปจิติํ กโรติ, พลวตรสฺส ตสฺส โอนมเนน อวเสสา ชนตา โอนมติ อปจิติํ กโรติ, เอวเมว โข, มหาราช, พฺรเหฺม โอนมิเต ตถาคตานํ สเทวโก โลโก โอนมิสฺสติ, ปูชิตปูชโก มหาราช, โลโก, ตสฺมา โส พฺรหฺมา สเพฺพสํ ตถาคตานํ อายาจติ ธมฺมเทสนาย, เตน จ การเณน ตถาคตา พฺรหฺมุนา อายาจิตา ธมฺมํ เทเสนฺตี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต นาคเสน, สุนิเพฺพฐิโต ปโญฺห, อติภทฺรกํ เวยฺยากรณํ, เอวเมตํ ตถา สมฺปฎิจฺฉามี’’ติฯ

    ‘‘Yathā, mahārāja, koci rājā vā rājamahāmatto vā yassa onamati apacitiṃ karoti, balavatarassa tassa onamanena avasesā janatā onamati apacitiṃ karoti, evameva kho, mahārāja, brahme onamite tathāgatānaṃ sadevako loko onamissati, pūjitapūjako mahārāja, loko, tasmā so brahmā sabbesaṃ tathāgatānaṃ āyācati dhammadesanāya, tena ca kāraṇena tathāgatā brahmunā āyācitā dhammaṃ desentī’’ti. ‘‘Sādhu, bhante nāgasena, sunibbeṭhito pañho, atibhadrakaṃ veyyākaraṇaṃ, evametaṃ tathā sampaṭicchāmī’’ti.

    ธมฺมเทสนาย อโปฺปสฺสุกฺกปโญฺห ทสโมฯ

    Dhammadesanāya appossukkapañho dasamo.







    Footnotes:
    1. พลตฺถ (สี. ปี.)
    2. balattha (sī. pī.)

    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact