Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๒๐] ๑๐. ธมฺมธชชาตกวณฺณนา

    [220] 10. Dhammadhajajātakavaṇṇanā

    สุขํ ชีวิตรูโปสีติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตสฺส วธาย ปริสกฺกนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา หิ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต มยฺหํ วธาย ปริสกฺกิเยว, สนฺตาสมตฺตมฺปิ ปน กาตุํ นาสกฺขี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Sukhaṃ jīvitarūposīti idaṃ satthā veḷuvane viharanto devadattassa vadhāya parisakkanaṃ ārabbha kathesi. Tadā hi satthā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto mayhaṃ vadhāya parisakkiyeva, santāsamattampi pana kātuṃ nāsakkhī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ ยสปาณิ นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิ, กาฬโก นามสฺส เสนาปติ อโหสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ตเสฺสว ปุโรหิโต อโหสิ นาเมน ธมฺมธโช นาม, รโญฺญ ปน สีสปฺปสาธนกปฺปโก ฉตฺตปาณิ นามฯ ราชา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรติ, เสนาปติ ปนสฺส วินิจฺฉยํ กโรโนฺต ลญฺชํ ขาทติ ปรปิฎฺฐิมํสิโก, ลญฺชํ คเหตฺวา อสฺสามิเก สามิเก กโรติฯ อเถกทิวสํ วินิจฺฉเย ปราชิโต มนุโสฺส พาหา ปคฺคยฺห กนฺทโนฺต วินิจฺฉยา นิกฺขโนฺต ราชุปฎฺฐานํ คจฺฉนฺตํ โพธิสตฺตํ ทิสฺวา ตสฺส ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘ตุมฺหาทิเสสุ นาม, สามิ, รโญฺญ อตฺถญฺจ ธมฺมญฺจ อนุสาสเนฺตสุ กาฬกเสนาปติ ลญฺชํ คเหตฺวา อสฺสามิเก สามิเก กโรตี’’ติ อตฺตโน ปราชิตภาวํ โพธิสตฺตสฺส กเถสิฯ โพธิสโตฺต การุญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘เอหิ ภเณ, อฑฺฑํ เต วินิจฺฉินิสฺสามี’’ติ ตํ คเหตฺวา วินิจฺฉยฎฺฐานํ อคมาสิฯ มหาชโน สนฺนิปติ, โพธิสโตฺต ตํ อฑฺฑํ ปฎิวินิจฺฉินิตฺวา สามิกเญฺญว สามิกํ อกาสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ yasapāṇi nāma rājā rajjaṃ kāresi, kāḷako nāmassa senāpati ahosi. Tadā bodhisatto tasseva purohito ahosi nāmena dhammadhajo nāma, rañño pana sīsappasādhanakappako chattapāṇi nāma. Rājā dhammena rajjaṃ kāreti, senāpati panassa vinicchayaṃ karonto lañjaṃ khādati parapiṭṭhimaṃsiko, lañjaṃ gahetvā assāmike sāmike karoti. Athekadivasaṃ vinicchaye parājito manusso bāhā paggayha kandanto vinicchayā nikkhanto rājupaṭṭhānaṃ gacchantaṃ bodhisattaṃ disvā tassa pādesu patitvā ‘‘tumhādisesu nāma, sāmi, rañño atthañca dhammañca anusāsantesu kāḷakasenāpati lañjaṃ gahetvā assāmike sāmike karotī’’ti attano parājitabhāvaṃ bodhisattassa kathesi. Bodhisatto kāruññaṃ uppādetvā ‘‘ehi bhaṇe, aḍḍaṃ te vinicchinissāmī’’ti taṃ gahetvā vinicchayaṭṭhānaṃ agamāsi. Mahājano sannipati, bodhisatto taṃ aḍḍaṃ paṭivinicchinitvā sāmikaññeva sāmikaṃ akāsi.

    มหาชโน สาธุการํ อทาสิ, โส สโทฺท มหา อโหสิฯ ราชา ตํ สุตฺวา ‘‘กิํ สโทฺท นาเมโส’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, ธมฺมธชปณฺฑิเตน ทุพฺพินิจฺฉิโต อโฑฺฑ สุวินิจฺฉิโต, ตเตฺรส สาธุการสโทฺท’’ติฯ ราชา ตุโฎฺฐ โพธิสตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อโฑฺฑ กิร เต อาจริย วินิจฺฉิโต’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, มหาราช, กาฬเกน ทุพฺพินิจฺฉิตํ อฑฺฑํ วินิจฺฉินิ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อิโต ทานิ ปฎฺฐาย ตุเมฺหว อฑฺฑํ วินิจฺฉินถ, มยฺหญฺจ กณฺณสุขํ ภวิสฺสติ โลกสฺส จ วุฑฺฒี’’ติ วตฺวา อนิจฺฉนฺตมฺปิ ตํ ‘‘สตฺตานุทฺทยาย วินิจฺฉเย นิสีทถา’’ติ ยาจิตฺวา สมฺปฎิจฺฉาเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย โพธิสโตฺต วินิจฺฉเย นิสีทติ, สามิเกเยว สามิเก กโรติฯ

    Mahājano sādhukāraṃ adāsi, so saddo mahā ahosi. Rājā taṃ sutvā ‘‘kiṃ saddo nāmeso’’ti pucchi. ‘‘Deva, dhammadhajapaṇḍitena dubbinicchito aḍḍo suvinicchito, tatresa sādhukārasaddo’’ti. Rājā tuṭṭho bodhisattaṃ pakkosāpetvā ‘‘aḍḍo kira te ācariya vinicchito’’ti pucchi. ‘‘Āma, mahārāja, kāḷakena dubbinicchitaṃ aḍḍaṃ vinicchini’’nti vutte ‘‘ito dāni paṭṭhāya tumheva aḍḍaṃ vinicchinatha, mayhañca kaṇṇasukhaṃ bhavissati lokassa ca vuḍḍhī’’ti vatvā anicchantampi taṃ ‘‘sattānuddayāya vinicchaye nisīdathā’’ti yācitvā sampaṭicchāpesi. Tato paṭṭhāya bodhisatto vinicchaye nisīdati, sāmikeyeva sāmike karoti.

    กาฬโก ตโต ปฎฺฐาย ลญฺชํ อลภโนฺต ลาภโต ปริหายิตฺวา โพธิสตฺตสฺส อาฆาตํ พนฺธิตฺวา ‘‘มหาราช, ธมฺมธชปณฺฑิโต ตว รชฺชํ ปเตฺถตี’’ติ โพธิสตฺตํ รโญฺญ อนฺตเร ปริภินฺทิฯ ราชา อสทฺทหโนฺต ‘‘มา เอวํ อวจา’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปุน เตน ‘‘สเจ เม น สทฺทหถ, ตสฺสาคมนกาเล วาตปาเนน โอโลเกถฯ อถาเนน สกลนครสฺส อตฺตโน หเตฺถ กตภาวํ ปสฺสิสฺสถา’’ติ วุเตฺต ราชา ตสฺส อฑฺฑการกปริสํ ทิสฺวา ‘‘เอตเสฺสว ปริสา’’ติ สญฺญาย ภิชฺชิตฺวา ‘‘กิํ กโรม เสนาปตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, เอตํ มาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ ฯ ‘‘โอฬาริกโทสํ อปสฺสนฺตา กถํ มาเรสฺสามา’’ติ? ‘‘อเตฺถโก อุปาโย’’ติฯ ‘‘กตรูปาโย’’ติฯ ‘‘อสยฺหมสฺส กมฺมํ อาโรเปตฺวา ตํ กาตุํ อสโกฺกนฺตํ ตํ เตน โทเสน มาเรสฺสามา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน อสยฺหกมฺม’’นฺติ? ‘‘มหาราช, อุยฺยานํ นาม สารภูมิยํ โรปิตํ ปฎิชคฺคิยมานํ ตีหิ จตูหิ สํวจฺฉเรหิ ผลํ เทติฯ ตุเมฺห ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘เสฺว อุยฺยานํ กีฬิสฺสาม, อุยฺยานํ เม มาเปหี’ติ วทถ, โส มาเปตุํ น สกฺขิสฺสติฯ อถ นํ ตสฺมิํ โทเส มาเรสฺสามา’’ติฯ

    Kāḷako tato paṭṭhāya lañjaṃ alabhanto lābhato parihāyitvā bodhisattassa āghātaṃ bandhitvā ‘‘mahārāja, dhammadhajapaṇḍito tava rajjaṃ patthetī’’ti bodhisattaṃ rañño antare paribhindi. Rājā asaddahanto ‘‘mā evaṃ avacā’’ti paṭikkhipitvā puna tena ‘‘sace me na saddahatha, tassāgamanakāle vātapānena oloketha. Athānena sakalanagarassa attano hatthe katabhāvaṃ passissathā’’ti vutte rājā tassa aḍḍakārakaparisaṃ disvā ‘‘etasseva parisā’’ti saññāya bhijjitvā ‘‘kiṃ karoma senāpatī’’ti pucchi. ‘‘Deva, etaṃ māretuṃ vaṭṭatī’’ti . ‘‘Oḷārikadosaṃ apassantā kathaṃ māressāmā’’ti? ‘‘Attheko upāyo’’ti. ‘‘Katarūpāyo’’ti. ‘‘Asayhamassa kammaṃ āropetvā taṃ kātuṃ asakkontaṃ taṃ tena dosena māressāmā’’ti. ‘‘Kiṃ pana asayhakamma’’nti? ‘‘Mahārāja, uyyānaṃ nāma sārabhūmiyaṃ ropitaṃ paṭijaggiyamānaṃ tīhi catūhi saṃvaccharehi phalaṃ deti. Tumhe taṃ pakkosāpetvā ‘sve uyyānaṃ kīḷissāma, uyyānaṃ me māpehī’ti vadatha, so māpetuṃ na sakkhissati. Atha naṃ tasmiṃ dose māressāmā’’ti.

    ราชา โพธิสตฺตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ปณฺฑิต, มยฺหํ ปุราณอุยฺยาเน จิรํ กีฬิมฺห, อิทานิ นวอุยฺยาเน กีฬิตุกามมฺห, เสฺว กีฬิสฺสาม, อุยฺยานํ โน มาเปหิ, สเจ มาเปตุํ น สกฺขิสฺสสิ, ชีวิตํ เต นตฺถี’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘กาฬเกน ลญฺชํ อลภมาเนน ราชา อนฺตเร ปริภิโนฺน ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘สโกฺกโนฺต ชานิสฺสามิ, มหาราชา’’ติ วตฺวา เคหํ คนฺตฺวา สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา จินฺตยมาโน สยเน นิปชฺชิ, สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต โพธิสตฺตสฺส จิตฺตํ ญตฺวา เวเคนาคนฺตฺวา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา อากาเส ฐตฺวา ‘‘กิํ จิเนฺตสิ ปณฺฑิตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘โกสิ ตฺว’’นฺติ? ‘‘สโกฺกหมสฺมี’’ติฯ ‘‘ราชา มํ ‘อุยฺยานํ มาเปหี’ติ อาห, ตํ จิเนฺตมี’’ติฯ ‘‘ปณฺฑิต, มา จินฺตยิ, อหํ เต นนฺทนวนจิตฺตลตาวนสทิสํ อุยฺยานํ มาเปสฺสามิ, กตรสฺมิํ ฐาเน มาเปมี’’ติ? ‘‘อสุกฎฺฐาเน มาเปหี’’ติฯ สโกฺก มาเปตฺวา เทวปุรเมว คโตฯ

    Rājā bodhisattaṃ āmantetvā ‘‘paṇḍita, mayhaṃ purāṇauyyāne ciraṃ kīḷimha, idāni navauyyāne kīḷitukāmamha, sve kīḷissāma, uyyānaṃ no māpehi, sace māpetuṃ na sakkhissasi, jīvitaṃ te natthī’’ti. Bodhisatto ‘‘kāḷakena lañjaṃ alabhamānena rājā antare paribhinno bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘sakkonto jānissāmi, mahārājā’’ti vatvā gehaṃ gantvā subhojanaṃ bhuñjitvā cintayamāno sayane nipajji, sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko āvajjento bodhisattassa cittaṃ ñatvā vegenāgantvā sirigabbhaṃ pavisitvā ākāse ṭhatvā ‘‘kiṃ cintesi paṇḍitā’’ti pucchi. ‘‘Kosi tva’’nti? ‘‘Sakkohamasmī’’ti. ‘‘Rājā maṃ ‘uyyānaṃ māpehī’ti āha, taṃ cintemī’’ti. ‘‘Paṇḍita, mā cintayi, ahaṃ te nandanavanacittalatāvanasadisaṃ uyyānaṃ māpessāmi, katarasmiṃ ṭhāne māpemī’’ti? ‘‘Asukaṭṭhāne māpehī’’ti. Sakko māpetvā devapurameva gato.

    ปุนทิวเส โพธิสโตฺต อุยฺยานํ ปจฺจกฺขโต ทิสฺวา คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ – ‘‘นิฎฺฐิตํ เต, มหาราช, อุยฺยานํ, กีฬสฺสู’’ติฯ ราชา คนฺตฺวา อฎฺฐารสหเตฺถน มโนสิลาวเณฺณน ปากาเรน ปริกฺขิตฺตํ ทฺวารฎฺฎาลกสมฺปนฺนํ ปุปฺผผลภารภริตนานารุกฺขปฎิมณฺฑิตํ อุยฺยานํ ทิสฺวา กาฬกํ ปุจฺฉิ – ‘‘ปณฺฑิเตน อมฺหากํ วจนํ กตํ, อิทานิ กิํ กโรมา’’ติฯ ‘‘มหาราช, เอกรเตฺตน อุยฺยานํ มาเปตุํ สโกฺกโนฺต รชฺชํ คเหตุํ กิํ น สโกฺกตี’’ติ? ‘‘อิทานิ กิํ กโรมา’’ติ? ‘‘อปรมฺปิ นํ อสยฺหกมฺมํ กาเรมา’’ติฯ ‘‘กิํ กมฺมํ นามา’’ติ? ‘‘สตฺตรตนมยํ โปกฺขรณิํ มาเปมา’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ โพธิสตฺตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘อาจริย, อุยฺยานํ ตาว เต มาปิตํ , เอตสฺส ปน อนุจฺฉวิกํ สตฺตรตนมยํ โปกฺขรณิํ มาเปหิฯ สเจ มาเปตุํ น สกฺขิสฺสสิ, ชีวิตํ เต นตฺถี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ‘‘สาธุ, มหาราช, สโกฺกโนฺต มาเปสฺสามี’’ติ อาหฯ อถสฺส สโกฺก โปกฺขรณิํ มาเปสิ โสภคฺคปฺปตฺตํ สตติตฺถํ สหสฺสวงฺกํ ปญฺจวณฺณปทุมสญฺฉนฺนํ นนฺทนโปกฺขรณิสทิสํฯ

    Punadivase bodhisatto uyyānaṃ paccakkhato disvā gantvā rañño ārocesi – ‘‘niṭṭhitaṃ te, mahārāja, uyyānaṃ, kīḷassū’’ti. Rājā gantvā aṭṭhārasahatthena manosilāvaṇṇena pākārena parikkhittaṃ dvāraṭṭālakasampannaṃ pupphaphalabhārabharitanānārukkhapaṭimaṇḍitaṃ uyyānaṃ disvā kāḷakaṃ pucchi – ‘‘paṇḍitena amhākaṃ vacanaṃ kataṃ, idāni kiṃ karomā’’ti. ‘‘Mahārāja, ekarattena uyyānaṃ māpetuṃ sakkonto rajjaṃ gahetuṃ kiṃ na sakkotī’’ti? ‘‘Idāni kiṃ karomā’’ti? ‘‘Aparampi naṃ asayhakammaṃ kāremā’’ti. ‘‘Kiṃ kammaṃ nāmā’’ti? ‘‘Sattaratanamayaṃ pokkharaṇiṃ māpemā’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti bodhisattaṃ āmantetvā ‘‘ācariya, uyyānaṃ tāva te māpitaṃ , etassa pana anucchavikaṃ sattaratanamayaṃ pokkharaṇiṃ māpehi. Sace māpetuṃ na sakkhissasi, jīvitaṃ te natthī’’ti āha. Bodhisatto ‘‘sādhu, mahārāja, sakkonto māpessāmī’’ti āha. Athassa sakko pokkharaṇiṃ māpesi sobhaggappattaṃ satatitthaṃ sahassavaṅkaṃ pañcavaṇṇapadumasañchannaṃ nandanapokkharaṇisadisaṃ.

    ปุนทิวเส โพธิสโตฺต ตมฺปิ ปจฺจกฺขํ กตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ – ‘‘มาปิตา, เทว, โปกฺขรณี’’ติฯ ราชา ตมฺปิ ทิสฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กโรมา’’ติ กาฬกํ ปุจฺฉิฯ ‘‘อุยฺยานสฺส อนุจฺฉวิกํ เคหํ มาเปตุํ อาณาเปหิ, เทวา’’ติฯ ราชา โพธิสตฺตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘อิทานิ, อาจริย, อิมสฺส อุยฺยานสฺส เจว โปกฺขรณิยา จ อนุจฺฉวิกํ สพฺพทนฺตมยํ เคหํ มาเปหิ, โน เจ มาเปสฺสสิ, ชีวิตํ เต นตฺถี’’ติ อาหฯ อถสฺส สโกฺก เคหมฺปิ มาเปสิฯ โพธิสโตฺต ปุนทิวเส ตมฺปิ ปจฺจกฺขํ กตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ตมฺปิ ทิสฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กโรมา’’ติ กาฬกํ ปุจฺฉิฯ ‘‘เคหสฺส อนุจฺฉวิกํ มณิํ มาเปตุํ อาณาเปหิ, มหาราชา’’ติ อาหฯ ราชา โพธิสตฺตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ปณฺฑิต, อิมสฺส ทนฺตมยเคหสฺส อนุจฺฉวิกํ มณิํ มาเปหิ, มณิอาโลเกน วิจริสฺสามฯ สเจ มาเปตุํ น สโกฺกสิ, ชีวิตํ เต นตฺถี’’ติ อาหฯ อถสฺส สโกฺก มณิมฺปิ มาเปสิฯ

    Punadivase bodhisatto tampi paccakkhaṃ katvā rañño ārocesi – ‘‘māpitā, deva, pokkharaṇī’’ti. Rājā tampi disvā ‘‘idāni kiṃ karomā’’ti kāḷakaṃ pucchi. ‘‘Uyyānassa anucchavikaṃ gehaṃ māpetuṃ āṇāpehi, devā’’ti. Rājā bodhisattaṃ āmantetvā ‘‘idāni, ācariya, imassa uyyānassa ceva pokkharaṇiyā ca anucchavikaṃ sabbadantamayaṃ gehaṃ māpehi, no ce māpessasi, jīvitaṃ te natthī’’ti āha. Athassa sakko gehampi māpesi. Bodhisatto punadivase tampi paccakkhaṃ katvā rañño ārocesi. Rājā tampi disvā ‘‘idāni kiṃ karomā’’ti kāḷakaṃ pucchi. ‘‘Gehassa anucchavikaṃ maṇiṃ māpetuṃ āṇāpehi, mahārājā’’ti āha. Rājā bodhisattaṃ āmantetvā ‘‘paṇḍita, imassa dantamayagehassa anucchavikaṃ maṇiṃ māpehi, maṇiālokena vicarissāma. Sace māpetuṃ na sakkosi, jīvitaṃ te natthī’’ti āha. Athassa sakko maṇimpi māpesi.

    โพธิสโตฺต ปุนทิวเส ตํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ ฯ ราชา ตมฺปิ ทิสฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กริสฺสามา’’ติ กาฬกํ ปุจฺฉิฯ ‘‘มหาราช, ธมฺมธชพฺราหฺมณสฺส อิจฺฉิติจฺฉิตทายิกา เทวตา อตฺถิ มเญฺญ, อิทานิ ยํ เทวตาปิ มาเปตุํ น สโกฺกติ, ตํ อาณาเปหิฯ จตุรงฺคสมนฺนาคตํ นาม มนุสฺสํ เทวตาปิ มาเปตุํ น สโกฺกติ, ตสฺมา ‘จตุรงฺคสมนฺนาคตํ เม อุยฺยานปาลํ มาเปหี’ติ ตํ วทาหี’’ติฯ ราชา โพธิสตฺตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘อาจริย, ตยา อมฺหากํ อุยฺยานํ, โปกฺขรณี, ทนฺตมยปาสาโท, ตสฺส อาโลกกรณตฺถาย มณิรตนญฺจ มาปิตํ, อิทานิ เม อุยฺยานรกฺขกํ จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อุยฺยานปาลํ มาเปหิ, โน เจ มาเปสฺสสิ, ชีวิตํ เต นตฺถี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ‘‘โหตุ, ลภมาโน ชานิสฺสามี’’ติ เคหํ คนฺตฺวา สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา นิปโนฺน ปจฺจูสกาเล ปพุชฺฌิตฺวา สยนปีเฐ นิสิโนฺน จิเนฺตสิ – ‘‘สโกฺก เทวราชา ยํ อตฺตนา สกฺกา มาเปตุํ, ตํ มาเปสิ, จตุรงฺคสมนฺนาคตํ ปน อุยฺยานปาลํ น สกฺกา มาเปตุํ, เอวํ สเนฺต ปเรสํ หเตฺถ มรณโต อรเญฺญ อนาถมรณเมว วรตร’’นฺติฯ โส กสฺสจิ อนาโรเจตฺวา ปาสาทา โอตริตฺวา อคฺคทฺวาเรเนว นครา นิกฺขมิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล สตํ ธมฺมํ อาวชฺชมาโน นิสีทิฯ

    Bodhisatto punadivase taṃ paccakkhaṃ katvā rañño ārocesi . Rājā tampi disvā ‘‘idāni kiṃ karissāmā’’ti kāḷakaṃ pucchi. ‘‘Mahārāja, dhammadhajabrāhmaṇassa icchiticchitadāyikā devatā atthi maññe, idāni yaṃ devatāpi māpetuṃ na sakkoti, taṃ āṇāpehi. Caturaṅgasamannāgataṃ nāma manussaṃ devatāpi māpetuṃ na sakkoti, tasmā ‘caturaṅgasamannāgataṃ me uyyānapālaṃ māpehī’ti taṃ vadāhī’’ti. Rājā bodhisattaṃ āmantetvā ‘‘ācariya, tayā amhākaṃ uyyānaṃ, pokkharaṇī, dantamayapāsādo, tassa ālokakaraṇatthāya maṇiratanañca māpitaṃ, idāni me uyyānarakkhakaṃ caturaṅgasamannāgataṃ uyyānapālaṃ māpehi, no ce māpessasi, jīvitaṃ te natthī’’ti āha. Bodhisatto ‘‘hotu, labhamāno jānissāmī’’ti gehaṃ gantvā subhojanaṃ bhuñjitvā nipanno paccūsakāle pabujjhitvā sayanapīṭhe nisinno cintesi – ‘‘sakko devarājā yaṃ attanā sakkā māpetuṃ, taṃ māpesi, caturaṅgasamannāgataṃ pana uyyānapālaṃ na sakkā māpetuṃ, evaṃ sante paresaṃ hatthe maraṇato araññe anāthamaraṇameva varatara’’nti. So kassaci anārocetvā pāsādā otaritvā aggadvāreneva nagarā nikkhamitvā araññaṃ pavisitvā aññatarasmiṃ rukkhamūle sataṃ dhammaṃ āvajjamāno nisīdi.

    สโกฺก ตํ การณํ ญตฺวา วนจรโก วิย หุตฺวา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, ตฺวํ สุขุมาโล, อทิฎฺฐปุพฺพทุกฺขรูโป วิย อิมํ อรญฺญํ ปวิสิตฺวา กิํ กโรโนฺต นิสิโนฺนสี’’ติ อิมมตฺถํ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Sakko taṃ kāraṇaṃ ñatvā vanacarako viya hutvā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘brāhmaṇa, tvaṃ sukhumālo, adiṭṭhapubbadukkharūpo viya imaṃ araññaṃ pavisitvā kiṃ karonto nisinnosī’’ti imamatthaṃ pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๓๖.

    136.

    ‘‘สุขํ ชีวิตรูโปสิ, รฎฺฐา วิวนมาคโต;

    ‘‘Sukhaṃ jīvitarūposi, raṭṭhā vivanamāgato;

    โส เอกโก รุกฺขมูเล, กปโณ วิย ฌายสี’’ติฯ

    So ekako rukkhamūle, kapaṇo viya jhāyasī’’ti.

    ตตฺถ สุขํ ชีวิตรูโปสีติ ตฺวํ สุเขน ชีวิตสทิโส สุเขธิโต สุขปริหโต วิยฯ รฎฺฐาติ อากิณฺณมนุสฺสฎฺฐานาฯ วิวนมาคโตติ นิรุทกฎฺฐานํ อรญฺญํ ปวิโฎฺฐฯ รุกฺขมูเลติ รุกฺขสมีเปฯ กปโณ วิย ฌายสีติ กปโณ วิย เอกโก นิสิโนฺน ฌายสิ ปชฺฌายสิ, กิํ นาเมตํ จิเนฺตสีติ ปุจฺฉิฯ

    Tattha sukhaṃ jīvitarūposīti tvaṃ sukhena jīvitasadiso sukhedhito sukhaparihato viya. Raṭṭhāti ākiṇṇamanussaṭṭhānā. Vivanamāgatoti nirudakaṭṭhānaṃ araññaṃ paviṭṭho. Rukkhamūleti rukkhasamīpe. Kapaṇo viyajhāyasīti kapaṇo viya ekako nisinno jhāyasi pajjhāyasi, kiṃ nāmetaṃ cintesīti pucchi.

    ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā bodhisatto dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๔๐.

    140.

    ‘‘สุขํ ชีวิตรูโปสฺมิ, รฎฺฐา วิวนมาคโต;

    ‘‘Sukhaṃ jīvitarūposmi, raṭṭhā vivanamāgato;

    โส เอกโก รุกฺขมูเล, กปโณ วิย ฌายามิ;

    So ekako rukkhamūle, kapaṇo viya jhāyāmi;

    สตํ ธมฺมํ อนุสฺสร’’นฺติฯ

    Sataṃ dhammaṃ anussara’’nti.

    ตตฺถ สตํ ธมฺมํ อนุสฺสรนฺติ, สมฺม, สจฺจเมตํ, อหํ สุขํ ชีวิตรูโป รฎฺฐา จ วิวนมาคโต, โสหํ เอกโกว อิมสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทิตฺวา กปโณ วิย ฌายามิฯ ยํ ปน วเทสิ ‘‘กิํ นาเมตํ จิเนฺตสี’’ติ, ตํ เต ปเวเทมิ ‘‘สตํ ธมฺม’’นฺติฯ อหญฺหิ สตํ ธมฺมํ อนุสฺสรโนฺต อิธ นิสิโนฺนฯ สตํ ธมฺมนฺติ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานํ สตํ สปฺปุริสานํ ปณฺฑิตานํ ธมฺมํฯ ลาโภ อลาโภ ยโส อยโส นินฺทา ปสํสา สุขํ ทุกฺขนฺติ อยญฺหิ อฎฺฐวิโธ โลกธโมฺมฯ อิมินา ปน อพฺภาหตา สโนฺต น กมฺปนฺติ น ปเวเธนฺติ, อยเมตฺถ อกมฺปนสงฺขาโต สตํ ธโมฺม อิมํ อนุสฺสรโนฺต นิสิโนฺนมฺหีติ ทีเปติฯ

    Tattha sataṃ dhammaṃ anussaranti, samma, saccametaṃ, ahaṃ sukhaṃ jīvitarūpo raṭṭhā ca vivanamāgato, sohaṃ ekakova imasmiṃ rukkhamūle nisīditvā kapaṇo viya jhāyāmi. Yaṃ pana vadesi ‘‘kiṃ nāmetaṃ cintesī’’ti, taṃ te pavedemi ‘‘sataṃ dhamma’’nti. Ahañhi sataṃ dhammaṃ anussaranto idha nisinno. Sataṃ dhammanti buddhapaccekabuddhabuddhasāvakānaṃ sataṃ sappurisānaṃ paṇḍitānaṃ dhammaṃ. Lābho alābho yaso ayaso nindā pasaṃsā sukhaṃ dukkhanti ayañhi aṭṭhavidho lokadhammo. Iminā pana abbhāhatā santo na kampanti na pavedhenti, ayamettha akampanasaṅkhāto sataṃ dhammo imaṃ anussaranto nisinnomhīti dīpeti.

    อถ นํ สโกฺก ‘‘เอวํ สเนฺต, พฺราหฺมณ, อิมสฺมิํ ฐาเน กสฺมา นิสิโนฺนสี’’ติฯ ‘‘ราชา จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อุยฺยานปาลํ อาหราเปติ, ตาทิสํ น สโกฺกมิ ลทฺธุํ, โสหํ ‘กิํ เม ปรสฺส หเตฺถ มรเณน, อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อนาถมรณํ มริสฺสามี’ติ จิเนฺตตฺวา อิธาคนฺตฺวา นิสิโนฺน’’ติฯ ‘‘พฺราหฺมณ, อหํ สโกฺก เทวราชา, มยา เต อุยฺยานาทีนิ มาปิตานิ, จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อุยฺยานปาลํ มาเปตุํ น สกฺกา, ตุมฺหากํ รโญฺญ สีสปฺปสาธนกปฺปโก ฉตฺตปาณิ นาม, โส จตุรงฺคสมนฺนาคโต, จตุรงฺคสมนฺนาคเตน อุยฺยานปาเลน อเตฺถ สติ เอตํ กปฺปกํ อุยฺยานปาลํ กาตุํ วเทหี’’ติฯ อิติ สโกฺก โพธิสตฺตสฺส โอวาทํ ทตฺวา ‘‘มา ภายี’’ติ สมสฺสาเสตฺวา อตฺตโน เทวปุรเมว คโตฯ

    Atha naṃ sakko ‘‘evaṃ sante, brāhmaṇa, imasmiṃ ṭhāne kasmā nisinnosī’’ti. ‘‘Rājā caturaṅgasamannāgataṃ uyyānapālaṃ āharāpeti, tādisaṃ na sakkomi laddhuṃ, sohaṃ ‘kiṃ me parassa hatthe maraṇena, araññaṃ pavisitvā anāthamaraṇaṃ marissāmī’ti cintetvā idhāgantvā nisinno’’ti. ‘‘Brāhmaṇa, ahaṃ sakko devarājā, mayā te uyyānādīni māpitāni, caturaṅgasamannāgataṃ uyyānapālaṃ māpetuṃ na sakkā, tumhākaṃ rañño sīsappasādhanakappako chattapāṇi nāma, so caturaṅgasamannāgato, caturaṅgasamannāgatena uyyānapālena atthe sati etaṃ kappakaṃ uyyānapālaṃ kātuṃ vadehī’’ti. Iti sakko bodhisattassa ovādaṃ datvā ‘‘mā bhāyī’’ti samassāsetvā attano devapurameva gato.

    โพธิสโตฺต เคหํ คนฺตฺวา ภุตฺตปาตราโส ราชทฺวารํ คนฺตฺวา ฉตฺตปาณิมฺปิ ตเตฺถว ทิสฺวา หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘ตฺวํ กิร, สมฺม ฉตฺตปาณิ, จตุรงฺคสมนฺนาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘โก เต มยฺหํ จตุรงฺคสมนฺนาคตภาวํ อาจิกฺขี’’ติ วุเตฺต ‘‘สโกฺก, เทวราชา’’ติ วตฺวา ‘‘กิํการณา อาจิกฺขี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘อิมินา นาม การเณนา’’ติ สพฺพํ อาจิกฺขิฯ โส ‘‘อาม, อหํ จตุรงฺคสมนฺนาคโต’’ติ อาหฯ อถ นํ โพธิสโตฺต หเตฺถ คเหตฺวาว รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อยํ, มหาราช, ฉตฺตปาณิ, จตุรงฺคสมนฺนาคโต, จตุรงฺคสมนฺนาคเตน อุยฺยานปาเลน อเตฺถ สติ อิมํ อุยฺยานปาลํ กโรถา’’ติ อาหฯ อถ นํ ราชา ‘‘ตฺวํ กิร จตุรงฺคสมนฺนาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘กตเมหิ จตุรเงฺคหิ สมนฺนาคโตสี’’ติ?

    Bodhisatto gehaṃ gantvā bhuttapātarāso rājadvāraṃ gantvā chattapāṇimpi tattheva disvā hatthe gahetvā ‘‘tvaṃ kira, samma chattapāṇi, caturaṅgasamannāgatosī’’ti pucchitvā ‘‘ko te mayhaṃ caturaṅgasamannāgatabhāvaṃ ācikkhī’’ti vutte ‘‘sakko, devarājā’’ti vatvā ‘‘kiṃkāraṇā ācikkhī’’ti puṭṭho ‘‘iminā nāma kāraṇenā’’ti sabbaṃ ācikkhi. So ‘‘āma, ahaṃ caturaṅgasamannāgato’’ti āha. Atha naṃ bodhisatto hatthe gahetvāva rañño santikaṃ gantvā ‘‘ayaṃ, mahārāja, chattapāṇi, caturaṅgasamannāgato, caturaṅgasamannāgatena uyyānapālena atthe sati imaṃ uyyānapālaṃ karothā’’ti āha. Atha naṃ rājā ‘‘tvaṃ kira caturaṅgasamannāgatosī’’ti pucchi. ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Katamehi caturaṅgehi samannāgatosī’’ti?

    ‘‘อนุสูยโก อหํ เทว, อมชฺชปายโก อหํ;

    ‘‘Anusūyako ahaṃ deva, amajjapāyako ahaṃ;

    นิเสฺนหโก อหํ เทว, อโกฺกธนํ อธิฎฺฐิโต’’ติฯ

    Nisnehako ahaṃ deva, akkodhanaṃ adhiṭṭhito’’ti.

    ‘‘มยฺหญฺหิ, มหาราช, อุสูยา นาม นตฺถิ, มชฺชํ เม น ปิวิตปุพฺพํ, ปเรสุ เม เสฺนโห วา โกโธ วา น ภูตปูโพฺพฯ อิเมหิ จตูหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคโตมฺหี’’ติฯ

    ‘‘Mayhañhi, mahārāja, usūyā nāma natthi, majjaṃ me na pivitapubbaṃ, paresu me sneho vā kodho vā na bhūtapūbbo. Imehi catūhi aṅgehi samannāgatomhī’’ti.

    อถ นํ ราชา, โภ ฉตฺตปาณิ, ‘‘อนุสูยโกสฺมี’’ติ วทสีติฯ ‘‘อาม, เทว, อนุสูยโกมฺหี’’ติฯ ‘‘กิํ อารมฺมณํ ทิสฺวา อนุสูยโก ชาโตสี’’ติ? ‘‘สุณาหิ เทวา’’ติ อตฺตโน อนุสูยกการณํ กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha naṃ rājā, bho chattapāṇi, ‘‘anusūyakosmī’’ti vadasīti. ‘‘Āma, deva, anusūyakomhī’’ti. ‘‘Kiṃ ārammaṇaṃ disvā anusūyako jātosī’’ti? ‘‘Suṇāhi devā’’ti attano anusūyakakāraṇaṃ kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อิตฺถิยา การณา ราช, พนฺธาเปสิํ ปุโรหิตํ;

    ‘‘Itthiyā kāraṇā rāja, bandhāpesiṃ purohitaṃ;

    โส มํ อเตฺถ นิเวเทสิ, ตสฺมาหํ อนุสูยโก’’ติฯ

    So maṃ atthe nivedesi, tasmāhaṃ anusūyako’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – อหํ, เทว, ปุเพฺพ อิมสฺมิํเยว พาราณสินคเร ตาทิโสว ราชา หุตฺวา อิตฺถิยา การณา ปุโรหิตํ พนฺธาเปสิํฯ

    Tassattho – ahaṃ, deva, pubbe imasmiṃyeva bārāṇasinagare tādisova rājā hutvā itthiyā kāraṇā purohitaṃ bandhāpesiṃ.

    ‘‘อพทฺธา ตตฺถ พชฺฌนฺติ, ยตฺถ พาลา ปภาสเร;

    ‘‘Abaddhā tattha bajjhanti, yattha bālā pabhāsare;

    พทฺธาปิ ตตฺถ มุจฺจนฺติ, ยตฺถ ธีรา ปภาสเร’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๑๒๐) –

    Baddhāpi tattha muccanti, yattha dhīrā pabhāsare’’ti. (jā. 1.1.120) –

    อิมสฺมิญฺหิ ชาตเก อาคตนเยเนว เอกสฺมิํ กาเล อยํ ฉตฺตปาณิ ราชา หุตฺวา จตุสฎฺฐิยา ปาทมูลิเกหิ สทฺธิํ สมฺปทุสฺสิตฺวา โพธิสตฺตํ อตฺตโน มโนรถํ อปูเรนฺตํ นาเสตุกามาย เทวิยา ปริภิโนฺน พนฺธาเปสิฯ ตทา นํ พนฺธิตฺวา อานีโต โพธิสโตฺต ยถาภูตํ เทวิยา โทสํ อาโรเปตฺวา สยํ มุโตฺต รญฺญา พนฺธาปิเต สเพฺพปิ เต ปาทมูลิเก โมเจตฺวา ‘‘เอเตสญฺจ เทวิยา จ อปราธํ ขมถ, มหาราชา’’ติ โอวทิฯ สพฺพํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว วิตฺถารโต เวทิตพฺพํฯ ตํ สนฺธายาห –

    Imasmiñhi jātake āgatanayeneva ekasmiṃ kāle ayaṃ chattapāṇi rājā hutvā catusaṭṭhiyā pādamūlikehi saddhiṃ sampadussitvā bodhisattaṃ attano manorathaṃ apūrentaṃ nāsetukāmāya deviyā paribhinno bandhāpesi. Tadā naṃ bandhitvā ānīto bodhisatto yathābhūtaṃ deviyā dosaṃ āropetvā sayaṃ mutto raññā bandhāpite sabbepi te pādamūlike mocetvā ‘‘etesañca deviyā ca aparādhaṃ khamatha, mahārājā’’ti ovadi. Sabbaṃ heṭṭhā vuttanayeneva vitthārato veditabbaṃ. Taṃ sandhāyāha –

    ‘‘อิตฺถิยา การณา ราช, พนฺธาเปสิํ ปุโรหิตํ;

    ‘‘Itthiyā kāraṇā rāja, bandhāpesiṃ purohitaṃ;

    โส มํ อเตฺถ นิเวเทสิ, ตสฺมาหํ อนุสูยโก’’ติฯ

    So maṃ atthe nivedesi, tasmāhaṃ anusūyako’’ti.

    ตทา ปน โสหํ จิเนฺตสิํ – ‘‘อหํ โสฬส สหสฺสอิตฺถิโย ปหาย เอตํ เอกเมว กิเลสวเสน สงฺคณฺหโนฺตปิ สนฺตเปฺปตุํ นาสกฺขิํ, เอวํ ทุปฺปูรณียานํ อิตฺถีนํ กุชฺฌนํ นาม นิวตฺถวเตฺถ กิลิสฺสเนฺต ‘กสฺมา กิลิสฺสสี’ติ กุชฺฌนสทิสํ โหติ, ภุตฺตภเตฺต คูถภาวํ อาปชฺชเนฺต ‘กสฺมา เอตํ สภาวํ อาปชฺชสี’ติ กุชฺฌนสทิสํ โหติฯ ‘อิโต ทานิ ปฎฺฐาย ยาว อรหตฺตํ น ปาปุณามิ, ตาว กิเลสํ นิสฺสาย มยิ อุสูยา มา อุปฺปชฺชตู’’’ติ อธิฎฺฐหิํฯ ตโต ปฎฺฐาย อนุสูยโก ชาโตฯ อิทํ สนฺธาย – ‘‘ตสฺมาหํ อนุสูยโก’’ติ อาหฯ

    Tadā pana sohaṃ cintesiṃ – ‘‘ahaṃ soḷasa sahassaitthiyo pahāya etaṃ ekameva kilesavasena saṅgaṇhantopi santappetuṃ nāsakkhiṃ, evaṃ duppūraṇīyānaṃ itthīnaṃ kujjhanaṃ nāma nivatthavatthe kilissante ‘kasmā kilissasī’ti kujjhanasadisaṃ hoti, bhuttabhatte gūthabhāvaṃ āpajjante ‘kasmā etaṃ sabhāvaṃ āpajjasī’ti kujjhanasadisaṃ hoti. ‘Ito dāni paṭṭhāya yāva arahattaṃ na pāpuṇāmi, tāva kilesaṃ nissāya mayi usūyā mā uppajjatū’’’ti adhiṭṭhahiṃ. Tato paṭṭhāya anusūyako jāto. Idaṃ sandhāya – ‘‘tasmāhaṃ anusūyako’’ti āha.

    อถ นํ ราชา ‘‘สมฺม ฉตฺตปาณิ, กิํ อารมฺมณํ ทิสฺวา อมชฺชโป ชาโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตํ การณํ อาจิกฺขโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha naṃ rājā ‘‘samma chattapāṇi, kiṃ ārammaṇaṃ disvā amajjapo jātosī’’ti pucchi. So taṃ kāraṇaṃ ācikkhanto imaṃ gāthamāha –

    ‘‘มโตฺต อหํ มหาราช, ปุตฺตมํสานิ ขาทยิํ;

    ‘‘Matto ahaṃ mahārāja, puttamaṃsāni khādayiṃ;

    ตสฺส โสเกนหํ ผุโฎฺฐ, มชฺชปานํ วิวชฺชยิ’’นฺติฯ

    Tassa sokenahaṃ phuṭṭho, majjapānaṃ vivajjayi’’nti.

    อหํ, มหาราช, ปุเพฺพ ตาทิโส พาราณสิราชา หุตฺวา มเชฺชน วินา วตฺติตุํ นาสกฺขิํ, อมํสกภตฺตมฺปิ ภุญฺชิตุํ นาสกฺขิํฯ นคเร อุโปสถทิวเสสุ มาฆาโต โหติ, ภตฺตการโก ปกฺขสฺส เตรสิยเญฺญว มํสํ คเหตฺวา ฐเปสิ, ตํ ทุนฺนิกฺขิตฺตํ สุนขา ขาทิํสุฯ ภตฺตการโก อุโปสถทิวเส มํสํ อลภิตฺวา รโญฺญ นานคฺครสโภชนํ ปจิตฺวา ปาสาทํ อาโรเปตฺวา อุปนาเมตุํ อสโกฺกโนฺต เทวิํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทวิ, อชฺช เม มํสํ น ลทฺธํ, อมํสกโภชนํ นาม อุปนาเมตุํ น สโกฺกมิ, กินฺติ กโรมี’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, มยฺหํ ปุโตฺต รญฺญา ปิโย มนาโป, ปุตฺตํ เม ทิสฺวา ราชา ตเมว จุมฺพโนฺต ปริสฺสชโนฺต อตฺตโน อตฺถิภาวมฺปิ น ชานาติ, อหํ ปุตฺตํ มเณฺฑตฺวา รโญฺญ อูรุมฺหิ นิสีทาเปยฺยํ, รโญฺญ ปุเตฺตน สทฺธิํ กีฬนกาเล ตฺวํ ภตฺตํ อุปเนยฺยาสี’’ติฯ สา เอวํ วตฺวา อตฺตโน ปุตฺตํ อลงฺกตาภรณํ มเณฺฑตฺวา รโญฺญ อูรุมฺหิ นิสีทาเปสิฯ รโญฺญ ปุเตฺตน สทฺธิํ กีฬนกาเล ภตฺตการโก ภตฺตํ อุปนาเมสิฯ ราชา สุรามทมโตฺต ปาติยํ มํสํ อทิสฺวา ‘‘มํสํ กห’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อชฺช, เทว, อุโปสถทิวสํ มาฆาตตาย มํสํ น ลทฺธ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘มยฺหํ มํสํ นาม ทุลฺลภ’’นฺติ วตฺวา อูรุมฺหิ นิสินฺนสฺส ปิยปุตฺตสฺส คีวํ วเฎฺฎตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ภตฺตการกสฺส ปุรโต ขิปิตฺวา ‘‘เวเคน สมฺปาเทตฺวา อาหรา’’ติ อาหฯ ภตฺตการโก ตถา อกาสิ, ราชา ปุตฺตมํเสน ภตฺตํ ภุญฺชิฯ รโญฺญ ภเยน เอโกปิ กนฺทิตุํ วา โรทิตุํ วา กเถตุํ วา สมโตฺถ นาม นาโหสิฯ

    Ahaṃ, mahārāja, pubbe tādiso bārāṇasirājā hutvā majjena vinā vattituṃ nāsakkhiṃ, amaṃsakabhattampi bhuñjituṃ nāsakkhiṃ. Nagare uposathadivasesu māghāto hoti, bhattakārako pakkhassa terasiyaññeva maṃsaṃ gahetvā ṭhapesi, taṃ dunnikkhittaṃ sunakhā khādiṃsu. Bhattakārako uposathadivase maṃsaṃ alabhitvā rañño nānaggarasabhojanaṃ pacitvā pāsādaṃ āropetvā upanāmetuṃ asakkonto deviṃ upasaṅkamitvā ‘‘devi, ajja me maṃsaṃ na laddhaṃ, amaṃsakabhojanaṃ nāma upanāmetuṃ na sakkomi, kinti karomī’’ti āha. ‘‘Tāta, mayhaṃ putto raññā piyo manāpo, puttaṃ me disvā rājā tameva cumbanto parissajanto attano atthibhāvampi na jānāti, ahaṃ puttaṃ maṇḍetvā rañño ūrumhi nisīdāpeyyaṃ, rañño puttena saddhiṃ kīḷanakāle tvaṃ bhattaṃ upaneyyāsī’’ti. Sā evaṃ vatvā attano puttaṃ alaṅkatābharaṇaṃ maṇḍetvā rañño ūrumhi nisīdāpesi. Rañño puttena saddhiṃ kīḷanakāle bhattakārako bhattaṃ upanāmesi. Rājā surāmadamatto pātiyaṃ maṃsaṃ adisvā ‘‘maṃsaṃ kaha’’nti pucchitvā ‘‘ajja, deva, uposathadivasaṃ māghātatāya maṃsaṃ na laddha’’nti vutte ‘‘mayhaṃ maṃsaṃ nāma dullabha’’nti vatvā ūrumhi nisinnassa piyaputtassa gīvaṃ vaṭṭetvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā bhattakārakassa purato khipitvā ‘‘vegena sampādetvā āharā’’ti āha. Bhattakārako tathā akāsi, rājā puttamaṃsena bhattaṃ bhuñji. Rañño bhayena ekopi kandituṃ vā rodituṃ vā kathetuṃ vā samattho nāma nāhosi.

    ราชา ภุญฺชิตฺวา สยนปิเฎฺฐ นิทฺทํ อุปคนฺตฺวา ปจฺจูสกาเล ปพุชฺฌิตฺวา วิคตมโท ‘‘ปุตฺตํ เม อาเนถา’’ติ อาหฯ ตสฺมิํ กาเล เทวี กนฺทมานา ปาทมูเล ปติฯ ‘‘กิํ, ภเทฺท’’ติ จ วุเตฺต , ‘‘เทว, หิโยฺย เต ปุตฺตํ มาเรตฺวา ปุตฺตมํเสน ภตฺตํ ภุตฺต’’นฺติ อาหฯ ราชา ปุตฺตโสเกน โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา ‘‘อิทํ เม ทุกฺขํ สุราปานํ นิสฺสาย อุปฺปนฺน’’นฺติ สุราปาเน โทสํ ทิสฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ยาว อรหตฺตํ น ปาปุณามิ, ตาว เอวรูปํ วินาสการกํ สุรํ นาม น ปิวิสฺสามี’’ติ ปํสุํ คเหตฺวา มุขํ ปุญฺฉิตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย มชฺชํ นาม น ปิวิํฯ อิมมตฺถํ สนฺธาย – ‘‘มโตฺต อหํ, มหาราชา’’ติ อิมํ คาถมาหฯ

    Rājā bhuñjitvā sayanapiṭṭhe niddaṃ upagantvā paccūsakāle pabujjhitvā vigatamado ‘‘puttaṃ me ānethā’’ti āha. Tasmiṃ kāle devī kandamānā pādamūle pati. ‘‘Kiṃ, bhadde’’ti ca vutte , ‘‘deva, hiyyo te puttaṃ māretvā puttamaṃsena bhattaṃ bhutta’’nti āha. Rājā puttasokena roditvā kanditvā ‘‘idaṃ me dukkhaṃ surāpānaṃ nissāya uppanna’’nti surāpāne dosaṃ disvā ‘‘ito paṭṭhāya yāva arahattaṃ na pāpuṇāmi, tāva evarūpaṃ vināsakārakaṃ suraṃ nāma na pivissāmī’’ti paṃsuṃ gahetvā mukhaṃ puñchitvā adhiṭṭhāsi. Tato paṭṭhāya majjaṃ nāma na piviṃ. Imamatthaṃ sandhāya – ‘‘matto ahaṃ, mahārājā’’ti imaṃ gāthamāha.

    อถ นํ ราชา ‘‘กิํ ปน, สมฺม ฉตฺตปาณิ, อารมฺมณํ ทิสฺวา นิเสฺนโห ชาโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตํ การณํ อาจิกฺขโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha naṃ rājā ‘‘kiṃ pana, samma chattapāṇi, ārammaṇaṃ disvā nisneho jātosī’’ti pucchi. So taṃ kāraṇaṃ ācikkhanto imaṃ gāthamāha –

    ‘‘กิตวาโส นามหํ ราช, ปุโตฺต ปเจฺจกโพธิ เม;

    ‘‘Kitavāso nāmahaṃ rāja, putto paccekabodhi me;

    ปตฺตํ ภินฺทิตฺวา จวิโต, นิเสฺนโห ตสฺส การณา’’ติฯ

    Pattaṃ bhinditvā cavito, nisneho tassa kāraṇā’’ti.

    มหาราช, ปุเพฺพ อหํ พาราณสิยํเยว กิตวาโส นาม ราชาฯ ตสฺส เม ปุโตฺต วิชายิฯ ลกฺขณปาฐกา ตํ ทิสฺวา ‘‘มหาราช, อยํ กุมาโร ปานียํ อลภิตฺวา มริสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ ‘‘ทุฎฺฐกุมาโร’’ติสฺส นามํ อโหสิฯ โส วิญฺญุตํ ปโตฺต โอปรชฺชํ กาเรสิ, ราชา กุมารํ ปุรโต วา ปจฺฉโต วา กตฺวา วิจริ, ปานียํ อลภิตฺวา มรณภเยน จสฺส จตูสุ ทฺวาเรสุ อโนฺตนคเรสุ จ ตตฺถ ตตฺถ โปกฺขรณิโย กาเรสิ, จตุกฺกาทีสุ มณฺฑเป กาเรตฺวา ปานียจาฎิโย ฐปาเปสิฯ โส เอกทิวเส อลงฺกตปฎิยโตฺต ปาโตว อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค ปเจฺจกพุทฺธํ ปสฺสิฯ มหาชโนปิ ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา ตเมว วนฺทติ ปสํสติ, อญฺชลิญฺจสฺส ปคฺคณฺหาติฯ

    Mahārāja, pubbe ahaṃ bārāṇasiyaṃyeva kitavāso nāma rājā. Tassa me putto vijāyi. Lakkhaṇapāṭhakā taṃ disvā ‘‘mahārāja, ayaṃ kumāro pānīyaṃ alabhitvā marissatī’’ti āhaṃsu. ‘‘Duṭṭhakumāro’’tissa nāmaṃ ahosi. So viññutaṃ patto oparajjaṃ kāresi, rājā kumāraṃ purato vā pacchato vā katvā vicari, pānīyaṃ alabhitvā maraṇabhayena cassa catūsu dvāresu antonagaresu ca tattha tattha pokkharaṇiyo kāresi, catukkādīsu maṇḍape kāretvā pānīyacāṭiyo ṭhapāpesi. So ekadivase alaṅkatapaṭiyatto pātova uyyānaṃ gacchanto antarāmagge paccekabuddhaṃ passi. Mahājanopi paccekabuddhaṃ disvā tameva vandati pasaṃsati, añjaliñcassa paggaṇhāti.

    กุมาโร จิเนฺตสิ – ‘‘มาทิเสน สทฺธิํ คจฺฉนฺตา อิมํ มุณฺฑกํ วนฺทนฺติ ปสํสนฺติ, อญฺชลิญฺจสฺส ปคฺคณฺหนฺตี’’ติฯ โส กุปิโต หตฺถิกฺขนฺธโต โอรุยฺห ปเจฺจกพุทฺธํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ลทฺธํ เต, สมณ, ภตฺต’’นฺติ วตฺวา ‘‘อาม, กุมารา’’ติ วุเตฺต ตสฺส หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา ภูมิยํ ปาเตตฺวา สทฺธิํ ภเตฺตน มทฺทิตฺวา ปาทปฺปหาเรน จุณฺณวิจุณฺณํ อกาสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ‘‘นโฎฺฐ วตายํ สโตฺต’’ติ ตสฺส มุขํ โอโลเกสิฯ กุมาโร ‘‘อหํ, สมณ, กิตวาสรโญฺญ ปุโตฺต, นาเมน ทุฎฺฐกุมาโร นาม, ตฺวํ เม กุโทฺธ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา โอโลเกโนฺต กิํ กริสฺสสี’’ติ อาหฯ

    Kumāro cintesi – ‘‘mādisena saddhiṃ gacchantā imaṃ muṇḍakaṃ vandanti pasaṃsanti, añjaliñcassa paggaṇhantī’’ti. So kupito hatthikkhandhato oruyha paccekabuddhaṃ upasaṅkamitvā ‘‘laddhaṃ te, samaṇa, bhatta’’nti vatvā ‘‘āma, kumārā’’ti vutte tassa hatthato pattaṃ gahetvā bhūmiyaṃ pātetvā saddhiṃ bhattena madditvā pādappahārena cuṇṇavicuṇṇaṃ akāsi. Paccekabuddho ‘‘naṭṭho vatāyaṃ satto’’ti tassa mukhaṃ olokesi. Kumāro ‘‘ahaṃ, samaṇa, kitavāsarañño putto, nāmena duṭṭhakumāro nāma, tvaṃ me kuddho akkhīni ummīletvā olokento kiṃ karissasī’’ti āha.

    ปเจฺจกพุโทฺธ ฉินฺนภโตฺต หุตฺวา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา อุตฺตรหิมวเนฺต นนฺทนมูลปพฺภารเมว คโตฯ กุมารสฺสาปิ ตงฺขณเญฺญว ปาปกมฺมํ ปริปจฺจิฯ โส ‘‘ฑยฺหามิ ฑยฺหามี’’ติ สมุคฺคตสรีรฑาโห ตเตฺถว ปติฯ ตตฺถ ตเตฺถว ยตฺตกํ ปานียํ, ตตฺตกํ ปานียํ สพฺพํ ฉิชฺชิ, มาติกา สุสฺสิํสุ, ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปตฺวา อวีจิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ ราชา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ปุตฺตโสเกน อภิภูโต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ เม โสโก ปิยวตฺถุโต อุปฺปชฺชิ, สเจ เม เสฺนโห นาภวิสฺส, โสโก น อุปฺปชฺชิสฺส, อิโต ทานิ เม ปฎฺฐาย สวิญฺญาณเก วา อวิญฺญาณเก วา กิสฺมิญฺจิ วตฺถุสฺมิํ เสฺนโห นาม มา อุปฺปชฺชตู’’ติ อธิฎฺฐาสิ, ตโต ปฎฺฐาย เสฺนโห นาม นตฺถิฯ ตํ สนฺธาย ‘‘กิตวาโส นามาห’’นฺติ คาถมาหฯ

    Paccekabuddho chinnabhatto hutvā vehāsaṃ abbhuggantvā uttarahimavante nandanamūlapabbhārameva gato. Kumārassāpi taṅkhaṇaññeva pāpakammaṃ paripacci. So ‘‘ḍayhāmi ḍayhāmī’’ti samuggatasarīraḍāho tattheva pati. Tattha tattheva yattakaṃ pānīyaṃ, tattakaṃ pānīyaṃ sabbaṃ chijji, mātikā sussiṃsu, tattheva jīvitakkhayaṃ patvā avīcimhi nibbatti. Rājā taṃ pavattiṃ sutvā puttasokena abhibhūto cintesi – ‘‘ayaṃ me soko piyavatthuto uppajji, sace me sneho nābhavissa, soko na uppajjissa, ito dāni me paṭṭhāya saviññāṇake vā aviññāṇake vā kismiñci vatthusmiṃ sneho nāma mā uppajjatū’’ti adhiṭṭhāsi, tato paṭṭhāya sneho nāma natthi. Taṃ sandhāya ‘‘kitavāso nāmāha’’nti gāthamāha.

    ตตฺถ ปุโตฺต ปเจฺจกโพธิ เมฯ ปตฺตํ ภินฺทิตฺวา จวิโตติ มม ปุโตฺต ปเจฺจกโพธิปตฺตํ ภินฺทิตฺวา จวิโตติ อโตฺถฯ นิเสฺนโห ตสฺส การณาติ ตทา อุปฺปนฺนเสฺนหวตฺถุสฺส การณา อหํ นิเสฺนโห ชาโตติ อโตฺถฯ

    Tattha putto paccekabodhi me. Pattaṃ bhinditvā cavitoti mama putto paccekabodhipattaṃ bhinditvā cavitoti attho. Nisneho tassa kāraṇāti tadā uppannasnehavatthussa kāraṇā ahaṃ nisneho jātoti attho.

    อถ นํ ราชา ‘‘กิํ ปน, สมฺม, อารมฺมณํ ทิสฺวา นิโกฺกโธ ชาโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตํ การณํ อาจิกฺขโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha naṃ rājā ‘‘kiṃ pana, samma, ārammaṇaṃ disvā nikkodho jātosī’’ti pucchi. So taṃ kāraṇaṃ ācikkhanto imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อรโก หุตฺวา เมตฺตจิตฺตํ, สตฺต วสฺสานิ ภาวยิํ;

    ‘‘Arako hutvā mettacittaṃ, satta vassāni bhāvayiṃ;

    สตฺต กเปฺป พฺรหฺมโลเก, ตสฺมา อโกฺกธโน อห’’นฺติฯ

    Satta kappe brahmaloke, tasmā akkodhano aha’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – อหํ, มหาราช, อรโก นาม ตาปโส หุตฺวา สตฺต วสฺสานิ เมตฺตจิตฺตํ ภาเวตฺวา สตฺต สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป พฺรหฺมโลเก วสิํ, ตสฺมา อหํ ทีฆรตฺตํ เมตฺตาภาวนาย อาจิณฺณปริจิณฺณตฺตา อโกฺกธโน ชาโตติฯ

    Tassattho – ahaṃ, mahārāja, arako nāma tāpaso hutvā satta vassāni mettacittaṃ bhāvetvā satta saṃvaṭṭavivaṭṭakappe brahmaloke vasiṃ, tasmā ahaṃ dīgharattaṃ mettābhāvanāya āciṇṇapariciṇṇattā akkodhano jātoti.

    เอวํ ฉตฺตปาณินา อตฺตโน จตูสุ อเงฺคสุ กถิเตสุ ราชา ปริสาย อิงฺคิตสญฺญํ อทาสิฯ ตงฺขณเญฺญว อมจฺจา จ พฺราหฺมณคหปติกาทโย จ อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘อเร ลญฺชขาทก ทุฎฺฐโจร, ตฺวํ ลญฺชํ อลภิตฺวา ปณฺฑิตํ อุปวทิตฺวา มาเรตุกาโม ชาโต’’ติ กาฬกํ เสนาปติํ หตฺถปาเทสุ คเหตฺวา ราชนิเวสนา โอตาเรตฺวา คหิตคหิเตเหว ปาสาณมุคฺคเรหิ สีสํ ภินฺทิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ปาเทสุ คเหตฺวา กฑฺฒนฺตา สงฺการฎฺฐาเน ฉเฑฺฑสุํฯ ตโต ปฎฺฐาย ราชา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรโนฺต ยถากมฺมํ คโตฯ

    Evaṃ chattapāṇinā attano catūsu aṅgesu kathitesu rājā parisāya iṅgitasaññaṃ adāsi. Taṅkhaṇaññeva amaccā ca brāhmaṇagahapatikādayo ca uṭṭhahitvā ‘‘are lañjakhādaka duṭṭhacora, tvaṃ lañjaṃ alabhitvā paṇḍitaṃ upavaditvā māretukāmo jāto’’ti kāḷakaṃ senāpatiṃ hatthapādesu gahetvā rājanivesanā otāretvā gahitagahiteheva pāsāṇamuggarehi sīsaṃ bhinditvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā pādesu gahetvā kaḍḍhantā saṅkāraṭṭhāne chaḍḍesuṃ. Tato paṭṭhāya rājā dhammena rajjaṃ kārento yathākammaṃ gato.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา กาฬกเสนาปติ เทวทโตฺต อโหสิ, ฉตฺตปาณิกปฺปโก สาริปุโตฺต, สโกฺก อนุรุโทฺธ, ธมฺมธโช ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kāḷakasenāpati devadatto ahosi, chattapāṇikappako sāriputto, sakko anuruddho, dhammadhajo pana ahameva ahosi’’nti.

    ธมฺมธชชาตกวณฺณนา ทสมาฯ

    Dhammadhajajātakavaṇṇanā dasamā.

    พีรณถมฺภวโคฺค สตฺตโมฯ

    Bīraṇathambhavaggo sattamo.

    ตสฺสุทฺทานํ –

    Tassuddānaṃ –

    โสมทตฺตญฺจ อุจฺฉิฎฺฐํ, กุรุ ปุณฺณนทีปิ จ;

    Somadattañca ucchiṭṭhaṃ, kuru puṇṇanadīpi ca;

    กจฺฉปมจฺฉเสคฺคุ จ, กูฎวาณิชครหิ;

    Kacchapamacchaseggu ca, kūṭavāṇijagarahi;

    ธมฺมธชนฺติ เต ทสฯ

    Dhammadhajanti te dasa.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๒๐. ธมฺมธชชาตกํ • 220. Dhammadhajajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact