Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā |
๑๘. ธมฺมหทยวิภโงฺค
18. Dhammahadayavibhaṅgo
๑. สพฺพสงฺคาหิกวารวณฺณนา
1. Sabbasaṅgāhikavāravaṇṇanā
๙๗๘. ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา’’ติอาทินา ขนฺธาทีนํ ธาตุสมฺภวปริยาปนฺนปาตุภาว ภูมนฺตรตีสุ ธาตูสุอุปฺปาทกทานาทิกุสล กมฺมตพฺพิปากอภิเญฺญยฺยาทิอารมฺมณทุกทฺวยทิฎฺฐาทิกุสลตฺติกาทิติกปญฺจกรูปโลกิยทุกทฺวยเภทภินฺนานํ นิรวเสสโต สงฺคหิตตฺตา ทุติยวาราทีนญฺจ เอตฺถ อนุปฺปเวสโต สพฺพสามเญฺญน วุโตฺต ปฐโม สพฺพสงฺคาหิกวาโร นาม, ทุติโย อุปฺปตฺตานุปฺปตฺติทสฺสนวาโร นามาติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปน ‘‘กามธาตุยา กติ ขนฺธา กติ อายตนานี’’ติอาทินา (วิภ. ๙๙๑) เตสํ อตฺถิตา เอว วุตฺตา, กิริยาวิเสสสฺส อปฺปโยโค ‘‘อตฺถิ ภวติ สํวิชฺชตี’’ติ สามญฺญกิริยาย วิเญฺญยฺยภาวโต, เตนายํ ‘‘สมฺภวาสมฺภวทสฺสนวาโร’’ติ วตฺตุํ ยุโตฺต, จตุโตฺถ จ อุปปตฺติกฺขเณ อุปฺปตฺตานุปฺปตฺติทสฺสนวาโรติ ตตฺถ ปาตุภาวาปาตุภาววจนโตฯ
978. ‘‘Pañcakkhandhā’’tiādinā khandhādīnaṃ dhātusambhavapariyāpannapātubhāva bhūmantaratīsu dhātūsuuppādakadānādikusala kammatabbipākaabhiññeyyādiārammaṇadukadvayadiṭṭhādikusalattikāditikapañcakarūpalokiyadukadvayabhedabhinnānaṃ niravasesato saṅgahitattā dutiyavārādīnañca ettha anuppavesato sabbasāmaññena vutto paṭhamo sabbasaṅgāhikavāro nāma, dutiyo uppattānuppattidassanavāro nāmāti vuttaṃ. Tattha pana ‘‘kāmadhātuyā kati khandhā kati āyatanānī’’tiādinā (vibha. 991) tesaṃ atthitā eva vuttā, kiriyāvisesassa appayogo ‘‘atthi bhavati saṃvijjatī’’ti sāmaññakiriyāya viññeyyabhāvato, tenāyaṃ ‘‘sambhavāsambhavadassanavāro’’ti vattuṃ yutto, catuttho ca upapattikkhaṇe uppattānuppattidassanavāroti tattha pātubhāvāpātubhāvavacanato.
๙๗๙. ยถาปุจฺฉนฺติ ปุจฺฉานุรูปํ อวิตถพฺยากรณํ ปเรหิ กตมฺปิ สพฺพญฺญุวจนํ วิญฺญาย กตตฺตา สพฺพญฺญุพฺยากรณเมว นาม โหติ, โก ปน วาโท สพฺพญฺญุนา เอว กเตติ อธิปฺปาโยฯ
979. Yathāpucchanti pucchānurūpaṃ avitathabyākaraṇaṃ parehi katampi sabbaññuvacanaṃ viññāya katattā sabbaññubyākaraṇameva nāma hoti, ko pana vādo sabbaññunā eva kateti adhippāyo.
๒. อุปฺปตฺตานุปฺปตฺติวารวณฺณนา
2. Uppattānuppattivāravaṇṇanā
๙๙๑. กามธาตุสมฺภูตานญฺจาติ อิทฺธิยา รูปธาตุคตานํ กามาวจรสตฺตานญฺจาติ อโตฺถฯ ฆานายตนาทีนํ อภาเวนาติ เอตฺถ ยทิ ตทภาเวน คนฺธายตนาทีนิ อายตนาทิกิจฺจํ น กโรนฺติ , อสญฺญสเตฺตสุ จกฺขายตนสฺส อภาเวน รูปายตนํ อายตนาทิกิจฺจํ น กเรยฺยฯ ตโต ‘‘อสญฺญสตฺตานํ เทวานํ อุปปตฺติกฺขเณ ทฺวายตนานิ ปาตุภวนฺตี’’ติอาทิวจนํ น วตฺตพฺพํ สิยาฯ กามาวจราทิโอกาสา ตตฺถ อุปฺปชฺชมานสตฺตานํ, ตตฺถ ปริยาปนฺนธมฺมานํ วา อธิฎฺฐานภาเวน ‘‘ธาตู’’ติ วุจฺจนฺติ, ตถา เยสุ กามาวจราทิสตฺตนิกาเยสุ กามาวจราทิสตฺตา อุปฺปชฺชนฺติ, เตสํ สตฺตานํ อุปฺปตฺติ เอตฺถาติ สตฺตุปฺปตฺตีติ วุจฺจมานา เต สตฺตนิกายา จ, น ปเนตฺถ อปริยาปโนฺนกาโส อปริยาปนฺนสตฺตนิกาโย จ อตฺถิ, โย ‘‘ธาตู’’ติ วุเจฺจยฺยาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โอกาสวเสน วา สตฺตุปฺปตฺติวเสน วา อปริยาปนฺนธาตุ นาม นตฺถี’’ติ อาหฯ สตฺตุปฺปตฺติวเสนาติ อิมินา วา โอกาสสตฺตโลกทฺวยํ สห คเหตฺวา ตาทิสาย อปริยาปนฺนธาตุยา อภาวํ ทเสฺสติ, สตฺตภาเวน วา อุปฺปตฺติ สตฺตุปฺปตฺติ, สตฺตาวาสวเสน ตํตํภววเสน อุปฺปชฺชมานา อุปาทินฺนกกฺขนฺธา ตํตํปริยาปนฺนานํ สทิสาธิฎฺฐานภาเวน ธาตูติ วุจฺจนฺตีติ เอวํ อปริยาปนฺนธาตุ นตฺถีติ อโตฺถฯ
991. Kāmadhātusambhūtānañcāti iddhiyā rūpadhātugatānaṃ kāmāvacarasattānañcāti attho. Ghānāyatanādīnaṃ abhāvenāti ettha yadi tadabhāvena gandhāyatanādīni āyatanādikiccaṃ na karonti , asaññasattesu cakkhāyatanassa abhāvena rūpāyatanaṃ āyatanādikiccaṃ na kareyya. Tato ‘‘asaññasattānaṃ devānaṃ upapattikkhaṇe dvāyatanāni pātubhavantī’’tiādivacanaṃ na vattabbaṃ siyā. Kāmāvacarādiokāsā tattha uppajjamānasattānaṃ, tattha pariyāpannadhammānaṃ vā adhiṭṭhānabhāvena ‘‘dhātū’’ti vuccanti, tathā yesu kāmāvacarādisattanikāyesu kāmāvacarādisattā uppajjanti, tesaṃ sattānaṃ uppatti etthāti sattuppattīti vuccamānā te sattanikāyā ca, na panettha apariyāpannokāso apariyāpannasattanikāyo ca atthi, yo ‘‘dhātū’’ti vucceyyāti imamatthaṃ dassento ‘‘okāsavasena vā sattuppattivasena vā apariyāpannadhātu nāma natthī’’ti āha. Sattuppattivasenāti iminā vā okāsasattalokadvayaṃ saha gahetvā tādisāya apariyāpannadhātuyā abhāvaṃ dasseti, sattabhāvena vā uppatti sattuppatti, sattāvāsavasena taṃtaṃbhavavasena uppajjamānā upādinnakakkhandhā taṃtaṃpariyāpannānaṃ sadisādhiṭṭhānabhāvena dhātūti vuccantīti evaṃ apariyāpannadhātu natthīti attho.
๓. ปริยาปนฺนาปริยาปนฺนวารวณฺณนา
3. Pariyāpannāpariyāpannavāravaṇṇanā
๙๙๙. ภววเสน โอกาสวเสน จ ปริจฺฉินฺนาติ ตตฺถ อญฺญตฺถ จ อุปฺปชฺชมานา อุปาทินฺนกกฺขนฺธา ตํตํปริยาปนฺนา สเพฺพ ทฎฺฐพฺพาฯ
999. Bhavavasena okāsavasena ca paricchinnāti tattha aññattha ca uppajjamānā upādinnakakkhandhā taṃtaṃpariyāpannā sabbe daṭṭhabbā.
๖. อุปฺปาทกกมฺมอายุปฺปมาณวาโร
6. Uppādakakammaāyuppamāṇavāro
(๑.) อุปฺปาทกกมฺมวณฺณนา
(1.) Uppādakakammavaṇṇanā
๑๐๒๑. ขนฺธาทีนํ ธาตุสมฺภวาทิวเสน ปเภทํ วตฺวา เย สตฺตา ธาตุปฺปเภทวโนฺต, ยญฺจ เตสํ อุปฺปาทกกมฺมํ, โย จ ตสฺส วิปาโก, เตสํ วเสน ปเภทํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตโย เทวา’’ติอาทิโก ฉฎฺฐวาโร อารโทฺธฯ ขนฺธาทโย เอว หิ ธาตุตฺตยภูตเทววเสน ทานาทิกมฺมวเสน ตํตํอายุปฺปมาณปริจฺฉินฺนอุปาทินฺนกกฺขนฺธวเสน จ ภินฺนาติฯ จตุโทณํ อมฺพณํ, ฉโทณนฺติ เอเกฯ
1021. Khandhādīnaṃ dhātusambhavādivasena pabhedaṃ vatvā ye sattā dhātuppabhedavanto, yañca tesaṃ uppādakakammaṃ, yo ca tassa vipāko, tesaṃ vasena pabhedaṃ dassetuṃ ‘‘tayo devā’’tiādiko chaṭṭhavāro āraddho. Khandhādayo eva hi dhātuttayabhūtadevavasena dānādikammavasena taṃtaṃāyuppamāṇaparicchinnaupādinnakakkhandhavasena ca bhinnāti. Catudoṇaṃ ambaṇaṃ, chadoṇanti eke.
อุปฺปาทกกมฺมวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Uppādakakammavaṇṇanā niṭṭhitā.
(๒.) อายุปฺปมาณวณฺณนา
(2.) Āyuppamāṇavaṇṇanā
๑๐๒๔. ตโยปิ ชนาติ ตโย ชนสมูหาติ อธิปฺปาโยฯ
1024. Tayopijanāti tayo janasamūhāti adhippāyo.
๑๐๒๕. อาภาติ โสภนา ปภาฯ
1025. Ābhāti sobhanā pabhā.
๑๐๒๖. กญฺจนปิโณฺฑ วิย สสฺสิริกา กญฺจนปิณฺฑสสฺสิริกาฯ ตตฺถ ปน โสภนปภาย กิณฺณา สุภากิณฺณาติ วตฺตเพฺพ อา-การสฺส รสฺสตฺตํ อนฺติมณ-การสฺส ห-การญฺจ กตฺวา ‘‘สุภกิณฺหา’’ติ วุตฺตา, อถ ปน สุเภน กิณฺณา สุภกิณฺณาฯ ปุริมปเทสุปิ ปริตฺตํ สุภํ เอเตสนฺติ ปริตฺตสุภา, อปฺปมาณํ สุภํ เอเตสนฺติ อปฺปมาณสุภาติ สุภ-สเทฺทน สมาโส โยเชตโพฺพ โหติฯ
1026. Kañcanapiṇḍo viya sassirikā kañcanapiṇḍasassirikā. Tattha pana sobhanapabhāya kiṇṇā subhākiṇṇāti vattabbe ā-kārassa rassattaṃ antimaṇa-kārassa ha-kārañca katvā ‘‘subhakiṇhā’’ti vuttā, atha pana subhena kiṇṇā subhakiṇṇā. Purimapadesupi parittaṃ subhaṃ etesanti parittasubhā, appamāṇaṃ subhaṃ etesanti appamāṇasubhāti subha-saddena samāso yojetabbo hoti.
๑๐๒๗. อารมฺมณมนสิการา ปุพฺพภาเคน กถิตาติ ฌานกฺขเณ ตโต ปจฺฉา วา ปริตฺตาทิกสิณารมฺมณภาวนาย อาวชฺชเนน จ ฌานสฺส อารมฺมณมนสิการนานตฺตตา น โหติ, ปุพฺพภาคภาวนาย ปน ปุพฺพภาคาวชฺชเนน จ โหตีติ อโตฺถฯ ปุพฺพภาคภาวนาย วเสน หิ ฌานํ ปริตฺตปถวีกสิณาทีสุ ตํตทารมฺมณํ โหติ, ปุพฺพภาเคน ตํตํกสิณาวชฺชเนน ตํตํมนสิการนฺติฯ ฉนฺทาทโย ปน อปฺปนากฺขเณปิ วิชฺชนฺติฯ ตตฺถ ปณิธีติ น ตณฺหาปตฺถนา, อถ โข ฉนฺทปตฺถนาว ทฎฺฐพฺพาฯ อธิโมโกฺข นิจฺฉโยฯ อภินีหาโร จิตฺตปฺปวตฺติเยวฯ ยทิ ปน ภวฉนฺทภวปตฺถนาทโย ตํตํภววิเสสนิยามกา อธิเปฺปตาฯ ‘‘อปฺปนายปิ วฎฺฎนฺตี’’ติ เอตสฺส อปฺปนาย ปวตฺตาย ตโต ปจฺฉาปิ วฎฺฎนฺตีติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ สญฺญาวิราคาทีหิ ปน วิเสสิยมานํ อารมฺมณํ ตถา ตถา ตตฺถ ปวโตฺต มนสิกาโร จ ภววิเสสนิยามโก ปุพฺพภาโคว วฎฺฎตีติ ‘‘อารมฺมณมนสิการา ปุพฺพภาเคน กถิตา’’ติ วุตฺตํฯ
1027. Ārammaṇamanasikārā pubbabhāgena kathitāti jhānakkhaṇe tato pacchā vā parittādikasiṇārammaṇabhāvanāya āvajjanena ca jhānassa ārammaṇamanasikāranānattatā na hoti, pubbabhāgabhāvanāya pana pubbabhāgāvajjanena ca hotīti attho. Pubbabhāgabhāvanāya vasena hi jhānaṃ parittapathavīkasiṇādīsu taṃtadārammaṇaṃ hoti, pubbabhāgena taṃtaṃkasiṇāvajjanena taṃtaṃmanasikāranti. Chandādayo pana appanākkhaṇepi vijjanti. Tattha paṇidhīti na taṇhāpatthanā, atha kho chandapatthanāva daṭṭhabbā. Adhimokkho nicchayo. Abhinīhāro cittappavattiyeva. Yadi pana bhavachandabhavapatthanādayo taṃtaṃbhavavisesaniyāmakā adhippetā. ‘‘Appanāyapi vaṭṭantī’’ti etassa appanāya pavattāya tato pacchāpi vaṭṭantīti attho daṭṭhabbo. Saññāvirāgādīhi pana visesiyamānaṃ ārammaṇaṃ tathā tathā tattha pavatto manasikāro ca bhavavisesaniyāmako pubbabhāgova vaṭṭatīti ‘‘ārammaṇamanasikārā pubbabhāgena kathitā’’ti vuttaṃ.
วิปุลา ผลาติ วิปุลสนฺตสุขายุวณฺณาทิผลาฯ สุฎฺฐุ ปสฺสนฺติ ปญฺญาจกฺขุนา มํสทิพฺพจกฺขูหิ จฯ
Vipulā phalāti vipulasantasukhāyuvaṇṇādiphalā. Suṭṭhu passanti paññācakkhunā maṃsadibbacakkhūhi ca.
๑๐๒๘. ‘‘ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตี โหตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๕๐) วจนโต ‘‘กมฺมเมว ปมาณ’’นฺติ อาห, อพฺพุทาทิอายุปฺปมาณปริเจฺฉโท ปน กมฺมวเสเนว กโตติ อธิปฺปาโยฯ
1028. ‘‘Yāva na taṃ pāpakammaṃ byantī hotī’’ti (ma. ni. 3.250) vacanato ‘‘kammamevapamāṇa’’nti āha, abbudādiāyuppamāṇaparicchedo pana kammavaseneva katoti adhippāyo.
นิลียโนกาสสฺส อภาวาติ สมานชาติเกน อจฺฉราคเณน สพฺพทา ปริวาริยมานสฺส กามคุณากิณฺณสฺส ตพฺพิรหิตฎฺฐานสฺส อภาวาติ อโตฺถฯ
Nilīyanokāsassa abhāvāti samānajātikena accharāgaṇena sabbadā parivāriyamānassa kāmaguṇākiṇṇassa tabbirahitaṭṭhānassa abhāvāti attho.
กิํ นิยเมตีติ กิํ ฌานํ อุปปตฺติํ นิยเมตีติ อโตฺถฯ นว พฺรหฺมโลเกติ พฺรหฺมปาริสชฺชาทโย นวปิ โสเธตฺวาฯ มตฺถเกติ เวหปฺผเลสูติ อโตฺถฯ เสฎฺฐภวา นามาติ ตโต ปรํ อคมนโต อุตฺตมภวาติ อธิปฺปาโยฯ เตเนว ภวสีสานีติ คหิตาฯ อิเมสุ ตีสุ ฐาเนสูติ เวหปฺผลาทิฎฺฐานานิ เอว สนฺธาย วุตฺตํฯ เวหปฺผลโต ปน ปุริเมสุ นวสุ นิพฺพตฺตอนาคามี อรูปธาตุํ อุปปชฺชตีติ กตฺวา ‘‘รูปธาตุยา จุตสฺส อรูปธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺส กสฺสจิ สตฺต อนุสยา อนุเสนฺติ, กสฺสจิ ปญฺจ, กสฺสจิ ตโย อนุเสนฺตี’’ติ (ยม. ๒.อนุสยยมก.๓๑๑) อิทํ วุตฺตํ, น เวหปฺผลาทีสุ อุปปนฺนํ สนฺธายาติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโย สิยาฯ ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘นวสุ พฺรหฺมโลเกสุ นิพฺพตฺตอริยสาวกานํ ตตฺรูปปตฺติเยว โหติ, น เหฎฺฐูปปตฺตี’’ติ, เอเตน เหฎฺฐูปปตฺติ เอว นิวาริตา, น เตเสฺวว อุปรูปริ เวหปฺผเล จ อุปปตฺติ อรูปธาตูปปตฺติ จฯ ‘‘ปฐมชฺฌานภูมิยํ นิพฺพโตฺต อนาคามี นว พฺรหฺมโลเก โสเธตฺวา มตฺถเก ฐิโต ปรินิพฺพาตี’’ติ อิทมฺปิ อนุปุเพฺพน อาโรหนฺตํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ น เตน ตสฺส มตฺถกํ อปฺปตฺตสฺส อรูปธาตุํ อุปปตฺติ นิวาริตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ
Kiṃ niyametīti kiṃ jhānaṃ upapattiṃ niyametīti attho. Nava brahmaloketi brahmapārisajjādayo navapi sodhetvā. Matthaketi vehapphalesūti attho. Seṭṭhabhavā nāmāti tato paraṃ agamanato uttamabhavāti adhippāyo. Teneva bhavasīsānīti gahitā. Imesu tīsu ṭhānesūti vehapphalādiṭṭhānāni eva sandhāya vuttaṃ. Vehapphalato pana purimesu navasu nibbattaanāgāmī arūpadhātuṃ upapajjatīti katvā ‘‘rūpadhātuyā cutassa arūpadhātuṃ upapajjantassa kassaci satta anusayā anusenti, kassaci pañca, kassaci tayo anusentī’’ti (yama. 2.anusayayamaka.311) idaṃ vuttaṃ, na vehapphalādīsu upapannaṃ sandhāyāti ayamettha adhippāyo siyā. Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘navasu brahmalokesu nibbattaariyasāvakānaṃ tatrūpapattiyeva hoti, na heṭṭhūpapattī’’ti, etena heṭṭhūpapatti eva nivāritā, na tesveva uparūpari vehapphale ca upapatti arūpadhātūpapatti ca. ‘‘Paṭhamajjhānabhūmiyaṃ nibbatto anāgāmī nava brahmaloke sodhetvā matthake ṭhito parinibbātī’’ti idampi anupubbena ārohantaṃ sandhāya vuttanti na tena tassa matthakaṃ appattassa arūpadhātuṃ upapatti nivāritāti daṭṭhabbā.
โย วา อญฺญตฺถ ตตฺถ วา มคฺคํ ภาเวตฺวา จวิตฺวา ตตฺถ อุปปโนฺน อวิกฺขมฺภิตรูปราโค อริยสาวโก, ตํ สนฺธาย อยํ อฎฺฐกถา วุตฺตาฯ เตเนว ‘‘นวสุ พฺรหฺมโลเกสุ นิพฺพตฺตอริยสาวกาน’’นฺติ, ‘‘ปฐมชฺฌานภูมิยํ นิพฺพโตฺต อนาคามี’’ติ, ‘‘อิเมสุ ตีสุ ฐาเนสุ นิพฺพตฺตอนาคามิโน’’ติ จ สพฺพตฺถ นิพฺพตฺตคฺคหณํ กตํฯ ตสฺส ปน เยน ตตฺถ อุปปโนฺน, ตสฺมิํ รูปราเค วิกฺขมฺภิเต ปุน ภวาภิลาโส น ภวิสฺสตีติ อรูปราคุปเจฺฉโท จ ภวิสฺสติเยวฯ โย ปน ปุถุชฺชโน ตตฺถ นิพฺพโตฺต อริยมคฺคํ ภาเวตฺวา อรูเปหิ วิกฺขมฺภิตรูปราโค อุปฺปเนฺน มเคฺค นิพฺพตฺตภวาทีนวทสฺสนวเสน อนิวตฺติตภวาภิลาโส, ตสฺส วเสน ยมกปาฬิ ปวตฺตาติ วา อยมโตฺถ อธิเปฺปโต สิยาฯ
Yo vā aññattha tattha vā maggaṃ bhāvetvā cavitvā tattha upapanno avikkhambhitarūparāgo ariyasāvako, taṃ sandhāya ayaṃ aṭṭhakathā vuttā. Teneva ‘‘navasu brahmalokesu nibbattaariyasāvakāna’’nti, ‘‘paṭhamajjhānabhūmiyaṃ nibbatto anāgāmī’’ti, ‘‘imesu tīsu ṭhānesu nibbattaanāgāmino’’ti ca sabbattha nibbattaggahaṇaṃ kataṃ. Tassa pana yena tattha upapanno, tasmiṃ rūparāge vikkhambhite puna bhavābhilāso na bhavissatīti arūparāgupacchedo ca bhavissatiyeva. Yo pana puthujjano tattha nibbatto ariyamaggaṃ bhāvetvā arūpehi vikkhambhitarūparāgo uppanne magge nibbattabhavādīnavadassanavasena anivattitabhavābhilāso, tassa vasena yamakapāḷi pavattāti vā ayamattho adhippeto siyā.
อายุปฺปมาณวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Āyuppamāṇavaṇṇanā niṭṭhitā.
๗. อภิเญฺญยฺยาทิวารวณฺณนา
7. Abhiññeyyādivāravaṇṇanā
๑๐๓๐. ‘‘รุปฺปนลกฺขณํ รูปํ, ผุสนลกฺขโณ ผโสฺส’’ติอาทินา สามญฺญวิเสสลกฺขณปริคฺคาหิกา สลกฺขณปริคฺคาหิกา ทิฎฺฐิกงฺขาวิตรณวิสุทฺธิโย ญาตปริญฺญา, ตโต ปรํ ยาว อนุโลมา ตีรณปริญฺญา, อุทยพฺพยานุปสฺสนโต ปฎฺฐาย ยาว มคฺคา ปหานปริญฺญาฯ
1030. ‘‘Ruppanalakkhaṇaṃ rūpaṃ, phusanalakkhaṇo phasso’’tiādinā sāmaññavisesalakkhaṇapariggāhikā salakkhaṇapariggāhikā diṭṭhikaṅkhāvitaraṇavisuddhiyo ñātapariññā, tato paraṃ yāva anulomā tīraṇapariññā, udayabbayānupassanato paṭṭhāya yāva maggā pahānapariññā.
ตตฺถ ตตฺถาติ ขนฺธาทีนํ ตาว ขนฺธวิภงฺคาทีสุ ปญฺหปุจฺฉกวาเร วตฺตพฺพํ วุตฺตํ, เหตุอาทีนญฺจ ขนฺธาทีสุ อโนฺตคธตฺตา ตตฺถ ตตฺถ ปญฺหปุจฺฉกวาเร วตฺตพฺพํ วุตฺตเมวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tattha tatthāti khandhādīnaṃ tāva khandhavibhaṅgādīsu pañhapucchakavāre vattabbaṃ vuttaṃ, hetuādīnañca khandhādīsu antogadhattā tattha tattha pañhapucchakavāre vattabbaṃ vuttamevāti daṭṭhabbaṃ.
อภิเญฺญยฺยาทิวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Abhiññeyyādivāravaṇṇanā niṭṭhitā.
ธมฺมหทยวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dhammahadayavibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.
อิติ สโมฺมหวิโนทนิยา ลีนตฺถปทวณฺณนา
Iti sammohavinodaniyā līnatthapadavaṇṇanā
วิภงฺค-มูลฎีกา สมตฺตาฯ
Vibhaṅga-mūlaṭīkā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑๘. ธมฺมหทยวิภโงฺค • 18. Dhammahadayavibhaṅgo
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā
๑. สพฺพสงฺคาหิกวารวณฺณนา • 1. Sabbasaṅgāhikavāravaṇṇanā
๒. อุปฺปตฺตานุปฺปตฺติวารวณฺณนา • 2. Uppattānuppattivāravaṇṇanā
๓. ปริยาปนฺนาปริยาปนฺนวารวณฺณนา • 3. Pariyāpannāpariyāpannavāravaṇṇanā
๖. อุปฺปาทกกมฺมอายุปฺปมาณวารวณฺณนา • 6. Uppādakakammaāyuppamāṇavāravaṇṇanā
๗. อภิเญฺญยฺยาทิวารวณฺณนา • 7. Abhiññeyyādivāravaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๑๘. ธมฺมหทยวิภโงฺค • 18. Dhammahadayavibhaṅgo