Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๘. ธมฺมสุตฺต-(นาวาสุตฺต)-วณฺณนา
8. Dhammasutta-(nāvāsutta)-vaṇṇanā
๓๑๙. ยสฺมา หิ ธมฺมนฺติ ธมฺมสุตฺตํ, ‘‘นาวาสุตฺต’’นฺติปิ วุจฺจติฯ กา อุปฺปตฺติ? อิทํ สุตฺตํ อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตเตฺถรํ อารพฺภ วุตฺตํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ อุปฺปตฺติโต ปภุติ เวทิตโพฺพฯ เสยฺยถิทํ – อนุปฺปเนฺน กิร ภควติ เทฺว อคฺคสาวกา เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺตาฯ เตสํ ปฐโม จวิตฺวา ราชคหสฺส อวิทูเร อุปติสฺสคาโม นาม พฺราหฺมณานํ โภคคาโม อตฺถิ, ตตฺถ สฎฺฐิอธิกปญฺจโกฎิสตธนวิภวสฺส คามสามิโน พฺราหฺมณสฺส รูปสารี นาม พฺราหฺมณี, ตสฺสา กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ ทุติโย ตเสฺสวาวิทูเร โกลิตคาโม นาม พฺราหฺมณานํ โภคคาโม อตฺถิฯ ตตฺถ ตถารูปวิภวเสฺสว คามสามิโน พฺราหฺมณสฺส โมคฺคลฺลานี นาม พฺราหฺมณี, ตสฺสา กุจฺฉิยํ ตํ ทิวสเมว ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ เอวํ เตสํ เอกทิวสเมว ปฎิสนฺธิคฺคหณญฺจ คพฺภวุฎฺฐานญฺจ อโหสิฯ เอกทิวเสเยว จ เนสํ เอกสฺส อุปติสฺสคาเม ชาตตฺตา อุปติโสฺส, เอกสฺส โกลิตคาเม ชาตตฺตา โกลิโตติ นามมกํสุฯ
319.Yasmāhi dhammanti dhammasuttaṃ, ‘‘nāvāsutta’’ntipi vuccati. Kā uppatti? Idaṃ suttaṃ āyasmantaṃ sāriputtattheraṃ ārabbha vuttaṃ. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana dvinnaṃ aggasāvakānaṃ uppattito pabhuti veditabbo. Seyyathidaṃ – anuppanne kira bhagavati dve aggasāvakā ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā devaloke nibbattā. Tesaṃ paṭhamo cavitvā rājagahassa avidūre upatissagāmo nāma brāhmaṇānaṃ bhogagāmo atthi, tattha saṭṭhiadhikapañcakoṭisatadhanavibhavassa gāmasāmino brāhmaṇassa rūpasārī nāma brāhmaṇī, tassā kucchiyaṃ paṭisandhiṃ aggahesi. Dutiyo tassevāvidūre kolitagāmo nāma brāhmaṇānaṃ bhogagāmo atthi. Tattha tathārūpavibhavasseva gāmasāmino brāhmaṇassa moggallānī nāma brāhmaṇī, tassā kucchiyaṃ taṃ divasameva paṭisandhiṃ aggahesi. Evaṃ tesaṃ ekadivasameva paṭisandhiggahaṇañca gabbhavuṭṭhānañca ahosi. Ekadivaseyeva ca nesaṃ ekassa upatissagāme jātattā upatisso, ekassa kolitagāme jātattā kolitoti nāmamakaṃsu.
เต สหปํสุํ กีฬนฺตา สหายกา อนุปุเพฺพน วุฑฺฒิํ ปาปุณิํสุ, เอกเมกสฺส จ ปญฺจปญฺจมาณวกสตานิ ปริวารา อเหสุํฯ เต อุยฺยานํ วา นทีติตฺถํ วา คจฺฉนฺตา สปริวาราเยว คจฺฉนฺติฯ เอโก ปญฺจหิ สุวณฺณสิวิกาสเตหิ, ทุติโย ปญฺจหิ อาชญฺญรถสเตหิฯ ตทา จ ราชคเห กาลานุกาลํ คิรคฺคสมโชฺช นาม โหติฯ สายนฺหสมเย นครเวมเชฺฌ ยตฺถ สกลองฺคมคธวาสิโน อภิญฺญาตา ขตฺติยกุมาราทโย สนฺนิปติตฺวา สุปญฺญเตฺตสุ มญฺจปีฐาทีสุ นิสินฺนา สมชฺชวิภูติํ ปสฺสนฺติฯ อถ เต สหายกา เตน ปริวาเรน สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเนสุ นิสีทิํสุฯ ตโต อุปติโสฺส สมชฺชวิภูติํ ปสฺสโนฺต มหาชนกายํ สนฺนิปติตํ ทิสฺวา ‘‘เอตฺตโก ชนกาโย วสฺสสตํ อปฺปตฺวาว มริสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตสฺส มรณํ อาคนฺตฺวา นลาฎเนฺต ปติฎฺฐิตํ วิย อโหสิ, ตถา โกลิตสฺสฯ เตสํ อเนกปฺปกาเรสุ นเฎสุ นจฺจเนฺตสุ ทสฺสนมเตฺตปิ จิตฺตํ น นมิ, อญฺญทตฺถุ สํเวโคเยว อุทปาทิฯ
Te sahapaṃsuṃ kīḷantā sahāyakā anupubbena vuḍḍhiṃ pāpuṇiṃsu, ekamekassa ca pañcapañcamāṇavakasatāni parivārā ahesuṃ. Te uyyānaṃ vā nadītitthaṃ vā gacchantā saparivārāyeva gacchanti. Eko pañcahi suvaṇṇasivikāsatehi, dutiyo pañcahi ājaññarathasatehi. Tadā ca rājagahe kālānukālaṃ giraggasamajjo nāma hoti. Sāyanhasamaye nagaravemajjhe yattha sakalaaṅgamagadhavāsino abhiññātā khattiyakumārādayo sannipatitvā supaññattesu mañcapīṭhādīsu nisinnā samajjavibhūtiṃ passanti. Atha te sahāyakā tena parivārena saddhiṃ tattha gantvā paññattāsanesu nisīdiṃsu. Tato upatisso samajjavibhūtiṃ passanto mahājanakāyaṃ sannipatitaṃ disvā ‘‘ettako janakāyo vassasataṃ appatvāva marissatī’’ti cintesi. Tassa maraṇaṃ āgantvā nalāṭante patiṭṭhitaṃ viya ahosi, tathā kolitassa. Tesaṃ anekappakāresu naṭesu naccantesu dassanamattepi cittaṃ na nami, aññadatthu saṃvegoyeva udapādi.
อถ วุฎฺฐิเต สมเชฺช ปกฺกนฺตาย ปริสาย สกปริวาเรน ปกฺกเนฺตสุ เตสุ สหาเยสุ โกลิโต อุปติสฺสํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ, สมฺม, นาฎกาทิทสฺสเนน ตว ปโมทนมตฺตมฺปิ นาโหสี’’ติ? โส ตสฺส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ตมฺปิ ตเถว ปฎิปุจฺฉิฯ โสปิ ตสฺส อตฺตโน ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘เอหิ, สมฺม, ปพฺพชิตฺวา อมตํ คเวสามา’’ติ อาหฯ ‘‘สาธุ สมฺมา’’ติ อุปติโสฺส ตํ สมฺปฎิจฺฉิฯ ตโต เทฺวปิ ชนา ตํ สมฺปตฺติํ ฉเฑฺฑตฺวา ปุนเทว ราชคหมนุปฺปตฺตาฯ เตน จ สมเยน ราชคเห สญฺจโย นาม ปริพฺพาชโก ปฎิวสติฯ เต ตสฺส สนฺติเก ปญฺจหิ มาณวกสเตหิ สทฺธิํ ปพฺพชิตฺวา กติปาเหเนว ตโย เวเท สพฺพญฺจ ปริพฺพาชกสมยํ อุคฺคเหสุํฯ เต เตสํ สตฺถานํ อาทิมชฺฌปริโยสานํ อุปปริกฺขนฺตา ปริโยสานํ อทิสฺวา อาจริยํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘อิเมสํ สตฺถานํ อาทิมชฺฌํ ทิสฺสติ, ปริโยสานํ ปน น ทิสฺสติ ‘อิทํ นาม อิเมหิ สเตฺถหิ ปาปุเณยฺยาติ, ยโต อุตฺตริ ปาปุณิตพฺพํ นตฺถี’’’ติฯ โสปิ อาห – ‘‘อหมฺปิ เตสํ ตถาวิธํ ปริโยสานํ น ปสฺสามี’’ติฯ เต อาหํสุ – ‘‘เตน หิ มยํ อิเมสํ ปริโยสานํ คเวสามา’’ติฯ เต อาจริโย ‘‘ยถาสุขํ คเวสถา’’ติ อาหฯ เอวํ เต เตน อนุญฺญาตา อมตํ คเวสมานา อาหิณฺฑนฺตา ชมฺพุทีเป ปากฎา อเหสุํฯ เตหิ ขตฺติยปณฺฑิตาทโย ปญฺหํ ปุฎฺฐา อุตฺตรุตฺตริํ น สมฺปายนฺติฯ ‘‘อุปติโสฺส โกลิโต’’ติ วุเตฺต ปน ‘‘เก เอเต, น โข มยํ ชานามา’’ติ ภณนฺตา นตฺถิ, เอวํ วิสฺสุตา อเหสุํฯ
Atha vuṭṭhite samajje pakkantāya parisāya sakaparivārena pakkantesu tesu sahāyesu kolito upatissaṃ pucchi – ‘‘kiṃ, samma, nāṭakādidassanena tava pamodanamattampi nāhosī’’ti? So tassa taṃ pavattiṃ ārocetvā tampi tatheva paṭipucchi. Sopi tassa attano pavattiṃ ārocetvā ‘‘ehi, samma, pabbajitvā amataṃ gavesāmā’’ti āha. ‘‘Sādhu sammā’’ti upatisso taṃ sampaṭicchi. Tato dvepi janā taṃ sampattiṃ chaḍḍetvā punadeva rājagahamanuppattā. Tena ca samayena rājagahe sañcayo nāma paribbājako paṭivasati. Te tassa santike pañcahi māṇavakasatehi saddhiṃ pabbajitvā katipāheneva tayo vede sabbañca paribbājakasamayaṃ uggahesuṃ. Te tesaṃ satthānaṃ ādimajjhapariyosānaṃ upaparikkhantā pariyosānaṃ adisvā ācariyaṃ pucchiṃsu – ‘‘imesaṃ satthānaṃ ādimajjhaṃ dissati, pariyosānaṃ pana na dissati ‘idaṃ nāma imehi satthehi pāpuṇeyyāti, yato uttari pāpuṇitabbaṃ natthī’’’ti. Sopi āha – ‘‘ahampi tesaṃ tathāvidhaṃ pariyosānaṃ na passāmī’’ti. Te āhaṃsu – ‘‘tena hi mayaṃ imesaṃ pariyosānaṃ gavesāmā’’ti. Te ācariyo ‘‘yathāsukhaṃ gavesathā’’ti āha. Evaṃ te tena anuññātā amataṃ gavesamānā āhiṇḍantā jambudīpe pākaṭā ahesuṃ. Tehi khattiyapaṇḍitādayo pañhaṃ puṭṭhā uttaruttariṃ na sampāyanti. ‘‘Upatisso kolito’’ti vutte pana ‘‘ke ete, na kho mayaṃ jānāmā’’ti bhaṇantā natthi, evaṃ vissutā ahesuṃ.
เอวํ เตสุ อมตปริเยสนํ จรมาเนสุ อมฺหากํ ภควา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน ราชคหมนุปฺปโตฺตฯ เต จ ปริพฺพาชกา สกลชมฺพุทีปํ จริตฺวา ติฎฺฐตุ อมตํ, อนฺตมโส ปริโยสานปญฺหวิสฺสชฺชนมตฺตมฺปิ อลภนฺตา ปุนเทว ราชคหํ อคมํสุฯ อถ โข อายสฺมา อสฺสชิ ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวาติ ยาว เตสํ ปพฺพชฺชา, ตาว สพฺพํ ปพฺพชฺชากฺขนฺธเก (มหาว. ๖๐) อาคตนเยเนว วิตฺถารโต ทฎฺฐพฺพํฯ
Evaṃ tesu amatapariyesanaṃ caramānesu amhākaṃ bhagavā loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakko anupubbena rājagahamanuppatto. Te ca paribbājakā sakalajambudīpaṃ caritvā tiṭṭhatu amataṃ, antamaso pariyosānapañhavissajjanamattampi alabhantā punadeva rājagahaṃ agamaṃsu. Atha kho āyasmā assaji pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvāti yāva tesaṃ pabbajjā, tāva sabbaṃ pabbajjākkhandhake (mahāva. 60) āgatanayeneva vitthārato daṭṭhabbaṃ.
เอวํ ปพฺพชิเตสุ เตสุ ทฺวีสุ สหายเกสุ อายสฺมา สาริปุโตฺต อฑฺฒมาเสน สาวกปารมีญาณํ สจฺฉากาสิฯ โส ยทา อสฺสชิเตฺถเรน สทฺธิํ เอกวิหาเร วสติ, ตทา ภควโต อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา อนนฺตรํ เถรสฺส อุปฎฺฐานํ คจฺฉติ ‘‘ปุพฺพาจริโย เม อยมายสฺมา, เอตมหํ นิสฺสาย ภควโต สาสนํ อญฺญาสิ’’นฺติ คารเวนฯ ยทา ปน อสฺสชิเตฺถเรน สทฺธิํ เอกวิหาเร น วสติ, ตทา ยสฺสํ ทิสายํ เถโร วสติ, ตํ ทิสํ โอโลเกตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห นมสฺสติฯ ตํ ทิสฺวา เกจิ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘สาริปุโตฺต อคฺคสาวโก หุตฺวา ทิสํ นมสฺสติ, อชฺชาปิ มเญฺญ พฺราหฺมณทิฎฺฐิ อปฺปหีนา’’ติฯ อถ ภควา ทิพฺพาย โสตธาตุยา ตํ กถาสลฺลาปํ สุตฺวา ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสินฺนํเยว อตฺตานํ ทเสฺสโนฺต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ? เต ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิํสุฯ ตโต ภควา ‘‘น, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต ทิสํ นมสฺสติ, ยํ นิสฺสาย สาสนํ อญฺญาสิ, ตํ อตฺตโน อาจริยํ วนฺทติ นมสฺสติ สมฺมาเนติ, อาจริยปูชโก, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต’’ติ วตฺวา ตตฺถ สนฺนิปติตานํ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ สุตฺตมภาสิฯ
Evaṃ pabbajitesu tesu dvīsu sahāyakesu āyasmā sāriputto aḍḍhamāsena sāvakapāramīñāṇaṃ sacchākāsi. So yadā assajittherena saddhiṃ ekavihāre vasati, tadā bhagavato upaṭṭhānaṃ gantvā anantaraṃ therassa upaṭṭhānaṃ gacchati ‘‘pubbācariyo me ayamāyasmā, etamahaṃ nissāya bhagavato sāsanaṃ aññāsi’’nti gāravena. Yadā pana assajittherena saddhiṃ ekavihāre na vasati, tadā yassaṃ disāyaṃ thero vasati, taṃ disaṃ oloketvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā añjaliṃ paggayha namassati. Taṃ disvā keci bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘sāriputto aggasāvako hutvā disaṃ namassati, ajjāpi maññe brāhmaṇadiṭṭhi appahīnā’’ti. Atha bhagavā dibbāya sotadhātuyā taṃ kathāsallāpaṃ sutvā paññattavarabuddhāsane nisinnaṃyeva attānaṃ dassento bhikkhū āmantesi – ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti ? Te taṃ pavattiṃ ācikkhiṃsu. Tato bhagavā ‘‘na, bhikkhave, sāriputto disaṃ namassati, yaṃ nissāya sāsanaṃ aññāsi, taṃ attano ācariyaṃ vandati namassati sammāneti, ācariyapūjako, bhikkhave, sāriputto’’ti vatvā tattha sannipatitānaṃ dhammadesanatthaṃ imaṃ suttamabhāsi.
ตตฺถ ยสฺมา หิ ธมฺมํ ปุริโส วิชญฺญาติ ยโต ปุคฺคลา ปิฎกตฺตยปฺปเภทํ ปริยตฺติธมฺมํ วา, ปริยตฺติํ สุตฺวา อธิคนฺตพฺพํ นวโลกุตฺตรปฺปเภทํ ปฎิเวธธมฺมํ วา ปุริโส วิชญฺญา ชาเนยฺย เวเทยฺยฯ ‘‘ยสฺสา’’ติปิ ปาโฐ, โส เอวโตฺถฯ อินฺทํว นํ เทวตา ปูชเยยฺยาติ ยถา สกฺกํ เทวานมินฺทํ ทฺวีสุ เทวโลเกสุ เทวตา ปูเชนฺติ, เอวํ โส ปุคฺคโล ตํ ปุคฺคลํ กาลเสฺสว วุฎฺฐาย อุปาหนโอมุญฺจนาทิํ สพฺพํ วตฺตปฎิวตฺตํ กโรโนฺต ปูเชยฺย สกฺกเรยฺย ครุกเรยฺยฯ กิํ การณํ? โส ปูชิโต…เป.… ปาตุกโรติ ธมฺมํ, โส อาจริโย เอวํ ปูชิโต ตสฺมิํ อเนฺตวาสิมฺหิ ปสนฺนจิโตฺต ปริยตฺติปฎิเวธวเสน พหุสฺสุโต เทสนาวเสเนว ปริยตฺติธมฺมญฺจ, เทสนํ สุตฺวา ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปตฺติยา อธิคนฺตพฺพํ ปฎิเวธธมฺมญฺจ ปาตุกโรติ เทเสติ, เทสนาย วา ปริยตฺติธมฺมํ, อุปมาวเสน อตฺตนา อธิคตปฎิเวธธมฺมํ ปาตุกโรติฯ
Tattha yasmā hi dhammaṃ puriso vijaññāti yato puggalā piṭakattayappabhedaṃ pariyattidhammaṃ vā, pariyattiṃ sutvā adhigantabbaṃ navalokuttarappabhedaṃ paṭivedhadhammaṃ vā puriso vijaññā jāneyya vedeyya. ‘‘Yassā’’tipi pāṭho, so evattho. Indaṃva naṃ devatā pūjayeyyāti yathā sakkaṃ devānamindaṃ dvīsu devalokesu devatā pūjenti, evaṃ so puggalo taṃ puggalaṃ kālasseva vuṭṭhāya upāhanaomuñcanādiṃ sabbaṃ vattapaṭivattaṃ karonto pūjeyya sakkareyya garukareyya. Kiṃ kāraṇaṃ? So pūjito…pe… pātukaroti dhammaṃ, so ācariyo evaṃ pūjito tasmiṃ antevāsimhi pasannacitto pariyattipaṭivedhavasena bahussuto desanāvaseneva pariyattidhammañca, desanaṃ sutvā yathānusiṭṭhaṃ paṭipattiyā adhigantabbaṃ paṭivedhadhammañca pātukaroti deseti, desanāya vā pariyattidhammaṃ, upamāvasena attanā adhigatapaṭivedhadhammaṃ pātukaroti.
๓๒๐. ตทฎฺฐิกตฺวาน นิสมฺม ธีโรติ เอวํ ปสเนฺนน อาจริเยน ปาตุกตํ ธมฺมํ อฎฺฐิกตฺวาน สุณิตฺวา อุปธารณสมตฺถตาย ธีโร ปุริโสฯ ธมฺมานุธมฺมํ ปฎิปชฺชมาโนติ โลกุตฺตรธมฺมสฺส อนุโลมตฺตา อนุธมฺมภูตํ วิปสฺสนํ ภาวยมาโนฯ วิญฺญู วิภาวี นิปุโณ จ โหตีติ วิญฺญุตาสงฺขาตาย ปญฺญาย อธิคเมน วิญฺญู, วิภาเวตฺวา ปเรสมฺปิ ปากฎํ กตฺวา ญาปนสมตฺถตาย วิภาวี, ปรมสุขุมตฺถปฎิเวธตาย นิปุโณ จ โหติฯ โย ตาทิสํ ภชติ อปฺปมโตฺตติ โย ตาทิสํ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการํ พหุสฺสุตํ อปฺปมโตฺต ตปฺปสาทนปโร หุตฺวา ภชติฯ
320.Tadaṭṭhikatvāna nisamma dhīroti evaṃ pasannena ācariyena pātukataṃ dhammaṃ aṭṭhikatvāna suṇitvā upadhāraṇasamatthatāya dhīro puriso. Dhammānudhammaṃ paṭipajjamānoti lokuttaradhammassa anulomattā anudhammabhūtaṃ vipassanaṃ bhāvayamāno. Viññū vibhāvī nipuṇo ca hotīti viññutāsaṅkhātāya paññāya adhigamena viññū, vibhāvetvā paresampi pākaṭaṃ katvā ñāpanasamatthatāya vibhāvī, paramasukhumatthapaṭivedhatāya nipuṇo ca hoti. Yo tādisaṃ bhajati appamattoti yo tādisaṃ pubbe vuttappakāraṃ bahussutaṃ appamatto tappasādanaparo hutvā bhajati.
๓๒๑. เอวํ ปณฺฑิตาจริยเสวนํ ปสํสิตฺวา อิทานิ พาลาจริยเสวนํ นินฺทโนฺต ‘‘ขุทฺทญฺจ พาล’’นฺติ อิมํ คาถมาหฯ ตตฺถ ขุทฺทนฺติ ขุเทฺทน กายกมฺมาทินา สมนฺนาคตํ, ปญฺญาภาวโต พาลํฯ อนาคตตฺถนฺติ อนธิคตปริยตฺติปฎิเวธตฺถํฯ อุสูยกนฺติ อิสฺสามนกตาย อเนฺตวาสิกสฺส วุฑฺฒิํ อสหมานํฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมว ปทโตฯ อธิปฺปายโต ปน โย พหุจีวราทิลาภี อาจริโย อเนฺตวาสิกานํ จีวราทีนิ น สโกฺกติ ทาตุํ, ธมฺมทาเน ปน อนิจฺจทุกฺขานตฺตวจนมตฺตมฺปิ น สโกฺกติฯ เอเตหิ ขุทฺทตาทิธเมฺมหิ สมนฺนาคตตฺตา ตํ ขุทฺทํ พาลํ อนาคตตฺถํ อุสูยกํ อาจริยํ อุปเสวมาโน ‘‘ปูติมจฺฉํ กุสเคฺคนา’’ติ (อิติวุ. ๗๖; ชา. ๑.๑๕.๑๘๓) วุตฺตนเยน สยมฺปิ พาโล โหติฯ ตสฺมา อิธ สาสเน กิญฺจิ อปฺปมตฺตกมฺปิ ปริยตฺติธมฺมํ ปฎิเวธธมฺมํ วา อวิภาวยิตฺวา จ อวิชานิตฺวา จ ยสฺส ธเมฺมสุ กงฺขา, ตํ อตริตฺวา มรณํ อุเปตีติ เอวมสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
321. Evaṃ paṇḍitācariyasevanaṃ pasaṃsitvā idāni bālācariyasevanaṃ nindanto ‘‘khuddañca bāla’’nti imaṃ gāthamāha. Tattha khuddanti khuddena kāyakammādinā samannāgataṃ, paññābhāvato bālaṃ. Anāgatatthanti anadhigatapariyattipaṭivedhatthaṃ. Usūyakanti issāmanakatāya antevāsikassa vuḍḍhiṃ asahamānaṃ. Sesamettha pākaṭameva padato. Adhippāyato pana yo bahucīvarādilābhī ācariyo antevāsikānaṃ cīvarādīni na sakkoti dātuṃ, dhammadāne pana aniccadukkhānattavacanamattampi na sakkoti. Etehi khuddatādidhammehi samannāgatattā taṃ khuddaṃ bālaṃ anāgatatthaṃ usūyakaṃ ācariyaṃ upasevamāno ‘‘pūtimacchaṃ kusaggenā’’ti (itivu. 76; jā. 1.15.183) vuttanayena sayampi bālo hoti. Tasmā idha sāsane kiñci appamattakampi pariyattidhammaṃ paṭivedhadhammaṃ vā avibhāvayitvā ca avijānitvā ca yassa dhammesu kaṅkhā, taṃ ataritvā maraṇaṃ upetīti evamassa attho veditabbo.
๓๒๒-๓. อิทานิ ตเสฺสวตฺถสฺส ปากฎกรณตฺถํ ‘‘ยถา นโร’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ อาปคนฺติ นทิํฯ มโหทกนฺติ พหุอุทกํฯ สลิลนฺติ อิโต จิโต จ คตํ, วิตฺถิณฺณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘สริต’’นฺติปิ ปาโฐ, โส เอวโตฺถฯ สีฆโสตนฺติ หารหาริกํ, เวควตินฺติ วุตฺตํ โหติฯ กิํ โสติ เอตฺถ ‘‘โส วุยฺหมาโน’’ติ อิมินา จ โสกาเรน ตสฺส นรสฺส นิทฺทิฎฺฐตฺตา นิปาตมโตฺต โสกาโรฯ กิํ สูติ วุตฺตํ โหติ ยถา ‘‘น ภวิสฺสามิ นาม โส, วินสฺสิสฺสามิ นาม โส’’ติฯ ธมฺมนฺติ ปุเพฺพ วุตฺตํ ทุวิธเมวฯ อนิสามยตฺถนฺติ อนิสาเมตฺวา อตฺถํฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมว ปทโตฯ
322-3. Idāni tassevatthassa pākaṭakaraṇatthaṃ ‘‘yathā naro’’ti gāthādvayamāha. Tattha āpaganti nadiṃ. Mahodakanti bahuudakaṃ. Salilanti ito cito ca gataṃ, vitthiṇṇanti vuttaṃ hoti. ‘‘Sarita’’ntipi pāṭho, so evattho. Sīghasotanti hārahārikaṃ, vegavatinti vuttaṃ hoti. Kiṃ soti ettha ‘‘so vuyhamāno’’ti iminā ca sokārena tassa narassa niddiṭṭhattā nipātamatto sokāro. Kiṃ sūti vuttaṃ hoti yathā ‘‘na bhavissāmi nāma so, vinassissāmi nāma so’’ti. Dhammanti pubbe vuttaṃ duvidhameva. Anisāmayatthanti anisāmetvā atthaṃ. Sesamettha pākaṭameva padato.
อธิปฺปายโต ปน ยถา โย โกจิเทว นโร วุตฺตปฺปการํ นทิํ โอตริตฺวา ตาย นทิยา วุยฺหมาโน อนุโสตคามี โสตเมว อนุคจฺฉโนฺต ปเร ปารตฺถิเก กิํ สกฺขติ ปารํ เนตุํฯ ‘‘สกฺกตี’’ติปิ ปาโฐฯ ตเถว ทุวิธมฺปิ ธมฺมํ อตฺตโน ปญฺญาย อวิภาวยิตฺวา พหุสฺสุตานญฺจ สนฺติเก อตฺถํ อนิสาเมตฺวา สยํ อวิภาวิตตฺตา อชานโนฺต อนิสามิตตฺตา จ อวิติณฺณกโงฺข ปเร กิํ สกฺขติ นิชฺฌาเปตุํ เปกฺขาเปตุนฺติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘โส วต, จุนฺท, อตฺตนา ปลิปปลิปโนฺน’’ติอาทิกเญฺจตฺถ (ม. นิ. ๑.๘๗) สุตฺตปทํ อนุสฺสริตพฺพํฯ
Adhippāyato pana yathā yo kocideva naro vuttappakāraṃ nadiṃ otaritvā tāya nadiyā vuyhamāno anusotagāmī sotameva anugacchanto pare pāratthike kiṃ sakkhati pāraṃ netuṃ. ‘‘Sakkatī’’tipi pāṭho. Tatheva duvidhampi dhammaṃ attano paññāya avibhāvayitvā bahussutānañca santike atthaṃ anisāmetvā sayaṃ avibhāvitattā ajānanto anisāmitattā ca avitiṇṇakaṅkho pare kiṃ sakkhati nijjhāpetuṃ pekkhāpetunti evamettha attho daṭṭhabbo. ‘‘So vata, cunda, attanā palipapalipanno’’tiādikañcettha (ma. ni. 1.87) suttapadaṃ anussaritabbaṃ.
๓๒๔-๕. เอวํ พาลเสวนาย พาลสฺส ปรํ นิชฺฌาเปตุํ อสมตฺถตาย ปากฎกรณตฺถํ อุปมํ วตฺวา อิทานิ ‘‘โย ตาทิสํ ภชติ อปฺปมโตฺต’’ติ เอตฺถ วุตฺตสฺส ปณฺฑิตสฺส ปเร นิชฺฌาเปตุํ สมตฺถตาย ปากฎกรณตฺถํ ‘‘ยถาปิ นาว’’นฺติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ ผิเยนาติ ทพฺพิปทเรนฯ ริเตฺตนาติ เวฬุทเณฺฑนฯ ตตฺถาติ ตสฺสํ นาวายํฯ ตตฺรูปยญฺญูติ ตสฺสา นาวาย อาหรณปฎิหรณาทิอุปายชานเนน มคฺคปฎิปาทเนน อุปายญฺญูฯ สิกฺขิตสิกฺขตาย สุกุสลหตฺถตาย จ กุสโลฯ อุปฺปนฺนุปทฺทวปฎิการสมตฺถตาย มุตีมาฯ เวทคูติ เวทสงฺขาเตหิ จตูหิ มคฺคญาเณหิ คโตฯ ภาวิตโตฺตติ ตาเยว มคฺคภาวนาย ภาวิตจิโตฺตฯ พหุสฺสุโตติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนวฯ อเวธธโมฺมติ อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ อกมฺปนิยสภาโวฯ โสตาวธานูปนิสูปปเนฺนติ โสตโอทหเนน จ มคฺคผลานํ อุปนิสฺสเยน จ อุปปเนฺนฯ เสสํ อุตฺตานปทตฺถเมวฯ อธิปฺปายโยชนาปิ สกฺกา ปุริมนเยเนว ชานิตุนฺติ น วิตฺถาริตาฯ
324-5. Evaṃ bālasevanāya bālassa paraṃ nijjhāpetuṃ asamatthatāya pākaṭakaraṇatthaṃ upamaṃ vatvā idāni ‘‘yo tādisaṃ bhajati appamatto’’ti ettha vuttassa paṇḍitassa pare nijjhāpetuṃ samatthatāya pākaṭakaraṇatthaṃ ‘‘yathāpi nāva’’nti gāthādvayamāha. Tattha phiyenāti dabbipadarena. Rittenāti veḷudaṇḍena. Tatthāti tassaṃ nāvāyaṃ. Tatrūpayaññūti tassā nāvāya āharaṇapaṭiharaṇādiupāyajānanena maggapaṭipādanena upāyaññū. Sikkhitasikkhatāya sukusalahatthatāya ca kusalo. Uppannupaddavapaṭikārasamatthatāya mutīmā. Vedagūti vedasaṅkhātehi catūhi maggañāṇehi gato. Bhāvitattoti tāyeva maggabhāvanāya bhāvitacitto. Bahussutoti pubbe vuttanayeneva. Avedhadhammoti aṭṭhahi lokadhammehi akampaniyasabhāvo. Sotāvadhānūpanisūpapanneti sotaodahanena ca maggaphalānaṃ upanissayena ca upapanne. Sesaṃ uttānapadatthameva. Adhippāyayojanāpi sakkā purimanayeneva jānitunti na vitthāritā.
๓๒๖. เอวํ ปณฺฑิตสฺส ปเร นิชฺฌาเปตุํ สมตฺถภาวปากฎกรณตฺถํ อุปมํ วตฺวา ตสฺสา ปณฺฑิตเสวนาย นิโยเชโนฺต ‘‘ตสฺมา หเว’’ติ อิมํ อวสานคาถมาหฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – ยสฺมา อุปนิสฺสยสมฺปนฺนา ปณฺฑิตเสวเนน วิเสสํ ปาปุณนฺติ, ตสฺมา หเว สปฺปุริสํ ภเชถฯ กีทิสํ สปฺปุริสํ ภเชถ? เมธาวินเญฺจว พหุสฺสุตญฺจ, ปญฺญาสมฺปตฺติยา จ เมธาวินํ วุตฺตปฺปการสุตทฺวเยน จ พหุสฺสุตํฯ ตาทิสญฺหิ ภชมาโน เตน ภาสิตสฺส ธมฺมสฺส อญฺญาย อตฺถํ เอวํ ญตฺวา จ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาโน ตาย ปฎิปตฺติยา ปฎิเวธวเสน วิญฺญาตธโมฺม โส มคฺคผลนิพฺพานปฺปเภทํ โลกุตฺตรสุขํ ลเภถ อธิคเจฺฉยฺย ปาปุเณยฺยาติ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ สมาเปสีติฯ
326. Evaṃ paṇḍitassa pare nijjhāpetuṃ samatthabhāvapākaṭakaraṇatthaṃ upamaṃ vatvā tassā paṇḍitasevanāya niyojento ‘‘tasmā have’’ti imaṃ avasānagāthamāha. Tatrāyaṃ saṅkhepattho – yasmā upanissayasampannā paṇḍitasevanena visesaṃ pāpuṇanti, tasmā have sappurisaṃ bhajetha. Kīdisaṃ sappurisaṃ bhajetha? Medhāvinañceva bahussutañca, paññāsampattiyā ca medhāvinaṃ vuttappakārasutadvayena ca bahussutaṃ. Tādisañhi bhajamāno tena bhāsitassa dhammassa aññāya atthaṃ evaṃ ñatvā ca yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāno tāya paṭipattiyā paṭivedhavasena viññātadhammo so maggaphalanibbānappabhedaṃ lokuttarasukhaṃ labhetha adhigaccheyya pāpuṇeyyāti arahattanikūṭena desanaṃ samāpesīti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ธมฺมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya dhammasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๘. นาวาสุตฺตํ • 8. Nāvāsuttaṃ