Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā |
๙. ธมฺมยมกํ
9. Dhammayamakaṃ
๑. ปณฺณตฺติวาโร
1. Paṇṇattivāro
อุเทฺทสวารวณฺณนา
Uddesavāravaṇṇanā
๑-๑๖. ธมฺมยมกวณฺณนายํ กุสลาทิธมฺมานํ มาติกํ ฐเปตฺวาติ ยถา มูลยมเก กุสลาทิธมฺมา เทสิตา, ยถา จ ขนฺธยมกาทีสุ ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา’’ติอาทินา อญฺญถา สงฺคเหตฺวา เทสิตา, ตถา อเทเสตฺวา ยา กุสลาทีนํ ธมฺมานํ ‘‘กุสลากุสลา ธมฺมา’’ติอาทิกา มาติกา, ตํ อิธ อาทิมฺหิ ฐเปตฺวา เทสิตสฺสาติ อโตฺถฯ
1-16. Dhammayamakavaṇṇanāyaṃ kusalādidhammānaṃ mātikaṃ ṭhapetvāti yathā mūlayamake kusalādidhammā desitā, yathā ca khandhayamakādīsu ‘‘pañcakkhandhā’’tiādinā aññathā saṅgahetvā desitā, tathā adesetvā yā kusalādīnaṃ dhammānaṃ ‘‘kusalākusalā dhammā’’tiādikā mātikā, taṃ idha ādimhi ṭhapetvā desitassāti attho.
อุเทฺทสวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Uddesavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
๒. ปวตฺติวารวณฺณนา
2. Pavattivāravaṇṇanā
๓๓-๓๔. ‘‘ยสฺส กุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติ, ตสฺส อพฺยากตา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ เอตสฺส วิสฺสชฺชเน ‘‘อพฺยากตา จาติ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปวเสน วุตฺต’’นฺติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ, อิมสฺมิํ ปน ปเญฺห กมฺมสมุฎฺฐานาทิรูปญฺจ ลพฺภติ, ตํ ปน ปฎิโลมวารสฺส วิสฺสชฺชเน สเพฺพสํ จวนฺตานํ, ปวเตฺต จิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ, อารุเปฺป อกุสลานํ อุปฺปาทกฺขเณ เตสํ กุสลา จ ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺติ อพฺยากตา จ ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺตีติ เอตฺถ ปวเตฺต จิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ อุปฺปชฺชมานมฺปิ กมฺมสมุฎฺฐานาทิรูปํ อคฺคเหตฺวา ‘‘อพฺยากตา จ ธมฺมา น อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ วุตฺตตฺตา จิตฺตสมุฎฺฐานรูปเมว อิธาธิเปฺปตํฯ กมฺมสมุฎฺฐานาทิรูเป น วิธานํ, นาปิ ปฎิเสโธติ เกจิ วทนฺติ, ตถา จิตฺตสมุฎฺฐานรูปเมว สนฺธาย ‘‘ยสฺส กุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติ, ตสฺส อพฺยากตา ธมฺมา นิรุชฺฌนฺตีติ? โน’’ติ (ยม. ๓.ธมฺมยมก.๑๖๓) วุตฺตนฺติฯ ตํ ปเนตํ เอวํ น สกฺกา วตฺตุํ จิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ กมฺมสมุฎฺฐานรูปาทีนมฺปิ อุปฺปาทสฺส อุปฺปาทกฺขเณ จ นิโรธสฺส เอวมาทีหิ เอว ปาฬีหิ ปฎิเสธสิทฺธิโตฯ
33-34. ‘‘Yassa kusalā dhammā uppajjanti, tassa abyākatā dhammā uppajjantī’’ti etassa vissajjane ‘‘abyākatā cāti cittasamuṭṭhānarūpavasena vutta’’nti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ, imasmiṃ pana pañhe kammasamuṭṭhānādirūpañca labbhati, taṃ pana paṭilomavārassa vissajjane sabbesaṃ cavantānaṃ, pavatte cittassa bhaṅgakkhaṇe, āruppe akusalānaṃ uppādakkhaṇe tesaṃ kusalā ca dhammā na uppajjanti abyākatā ca dhammā na uppajjantīti ettha pavatte cittassa bhaṅgakkhaṇe uppajjamānampi kammasamuṭṭhānādirūpaṃ aggahetvā ‘‘abyākatā ca dhammā na uppajjantī’’ti vuttattā cittasamuṭṭhānarūpameva idhādhippetaṃ. Kammasamuṭṭhānādirūpe na vidhānaṃ, nāpi paṭisedhoti keci vadanti, tathā cittasamuṭṭhānarūpameva sandhāya ‘‘yassa kusalā dhammā uppajjanti, tassa abyākatā dhammā nirujjhantīti? No’’ti (yama. 3.dhammayamaka.163) vuttanti. Taṃ panetaṃ evaṃ na sakkā vattuṃ cittassa bhaṅgakkhaṇe kammasamuṭṭhānarūpādīnampi uppādassa uppādakkhaṇe ca nirodhassa evamādīhi eva pāḷīhi paṭisedhasiddhito.
เย จ วทนฺติ ‘‘ยถา ปฎิสมฺภิทามเคฺค นิโรธกถายํ ‘โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ ชาตา ธมฺมา ฐเปตฺวา จิตฺตสมุฎฺฐานรูปํ สเพฺพปิ วิราคา เจว โหนฺติ วิราคารมฺมณา วิราคโคจรา วิราคสมุทาคตา วิราคปติฎฺฐา’ติอาทีสุ ‘ฐเปตฺวา รูป’นฺติ อวตฺวา จิตฺตปฎิพทฺธตฺตา จิตฺตชรูปานํ ‘ฐเปตฺวา จิตฺตสมุฎฺฐานรูป’นฺติ วุตฺตํ, เอวมิธาปิ จิตฺตปฎิพทฺธตฺตา จิตฺตชรูปเมว กถิต’’นฺติ, ตญฺจ ตถา น โหติฯ เยสญฺหิ โสตาปตฺติมโคฺค สหชาตปจฺจโย โหติ, เยสุ จ วิราคาทิอาสงฺกา โหติ, เต โสตาปตฺติมคฺคสหชาตา ธมฺมา โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ ชาตา ธมฺมาติ ตตฺถ วุตฺตาฯ โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ ชาตาติ หิ วจนํ มเคฺค ชาตตํ ทีเปติ, น จ กมฺมชาทีนิ อมเคฺค ชายมานานิ มคฺคกฺขเณ ชาตโวหารํ อรหนฺติ เตสํ ตสฺส โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ สหชาตปจฺจยตฺตาภาวโต, ตสฺมา มคฺคกฺขเณ ตํสหชาตธเมฺมสุ ฐเปตพฺพํ ฐเปตุํ ‘‘ฐเปตฺวา จิตฺตสมุฎฺฐานรูป’’นฺติ วุตฺตํ, อิธ ปน กุสลาทิธมฺมา ยสฺส ยตฺถ อุปฺปชฺชนฺติ นิรุชฺฌนฺติ จ, ตสฺส ปุคฺคลสฺส ตสฺมิญฺจ โอกาเส อพฺยากตธมฺมานํ อุปฺปาทนิโรธานํ กุสลาทิปฎิพทฺธตา อปฺปฎิพทฺธตา จ อามฎฺฐา, น จ กมฺมชาทิรูปํ อพฺยากตํ น โหติ, ตสฺมา สนฺนิฎฺฐาเนน คหิตสฺส ปุคฺคลสฺส โอกาเส วา อุปฺปาทนิโรเธสุ วิชฺชมาเนสุ อพฺยากตานํ เต เวทิตพฺพา, อวิชฺชมาเนสุ จ ปฎิเสเธตพฺพา, น จ อจิตฺตปฎิพทฺธา อพฺยากตาติ เอตฺถ น คหิตาติ สกฺกา วตฺตุํ นิโรธสมาปนฺนานํ อสญฺญสตฺตานญฺจ อุปฺปาทนิโรธวจนโตติฯ
Ye ca vadanti ‘‘yathā paṭisambhidāmagge nirodhakathāyaṃ ‘sotāpattimaggakkhaṇe jātā dhammā ṭhapetvā cittasamuṭṭhānarūpaṃ sabbepi virāgā ceva honti virāgārammaṇā virāgagocarā virāgasamudāgatā virāgapatiṭṭhā’tiādīsu ‘ṭhapetvā rūpa’nti avatvā cittapaṭibaddhattā cittajarūpānaṃ ‘ṭhapetvā cittasamuṭṭhānarūpa’nti vuttaṃ, evamidhāpi cittapaṭibaddhattā cittajarūpameva kathita’’nti, tañca tathā na hoti. Yesañhi sotāpattimaggo sahajātapaccayo hoti, yesu ca virāgādiāsaṅkā hoti, te sotāpattimaggasahajātā dhammā sotāpattimaggakkhaṇe jātā dhammāti tattha vuttā. Sotāpattimaggakkhaṇe jātāti hi vacanaṃ magge jātataṃ dīpeti, na ca kammajādīni amagge jāyamānāni maggakkhaṇe jātavohāraṃ arahanti tesaṃ tassa sotāpattimaggakkhaṇe sahajātapaccayattābhāvato, tasmā maggakkhaṇe taṃsahajātadhammesu ṭhapetabbaṃ ṭhapetuṃ ‘‘ṭhapetvā cittasamuṭṭhānarūpa’’nti vuttaṃ, idha pana kusalādidhammā yassa yattha uppajjanti nirujjhanti ca, tassa puggalassa tasmiñca okāse abyākatadhammānaṃ uppādanirodhānaṃ kusalādipaṭibaddhatā appaṭibaddhatā ca āmaṭṭhā, na ca kammajādirūpaṃ abyākataṃ na hoti, tasmā sanniṭṭhānena gahitassa puggalassa okāse vā uppādanirodhesu vijjamānesu abyākatānaṃ te veditabbā, avijjamānesu ca paṭisedhetabbā, na ca acittapaṭibaddhā abyākatāti ettha na gahitāti sakkā vattuṃ nirodhasamāpannānaṃ asaññasattānañca uppādanirodhavacanatoti.
จตุตฺถปเญฺห ปวเตฺต อกุสลาพฺยากตจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณติ อิทํ ‘‘ยสฺส วา ปน อพฺยากตา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ เอเตน สนฺนิฎฺฐาเนน คหิเตสุ ปญฺจโวกาเร อกุสลาพฺยากตจิตฺตานํ จตุโวกาเร จ อพฺยากตจิตฺตเสฺสว อุปฺปาทกฺขณสมงฺคิโน สนฺธาย วุตฺตํฯ เอวํ สพฺพตฺถ สนฺนิฎฺฐานวเสน วิเสโส เวทิตโพฺพฯ
Catutthapañhe pavatte akusalābyākatacittassa uppādakkhaṇeti idaṃ ‘‘yassa vā pana abyākatā dhammā uppajjantī’’ti etena sanniṭṭhānena gahitesu pañcavokāre akusalābyākatacittānaṃ catuvokāre ca abyākatacittasseva uppādakkhaṇasamaṅgino sandhāya vuttaṃ. Evaṃ sabbattha sanniṭṭhānavasena viseso veditabbo.
๗๙. ‘‘เอกาวชฺชเนน ๑๖๖ อุปฺปนฺนสฺสา’’ติ วุตฺตํ, นานาวชฺชเนนปิ ปน ตโต ปุริมตรชวนวีถีสุ อุปฺปนฺนสฺส ‘‘อุปฺปาทกฺขเณ เตสํ อกุสลา ธมฺมา นุปฺปชฺชิสฺสนฺติ, โน จ เตสํ กุสลา ธมฺมา นุปฺปชฺชนฺตี’’ติ อิทํ ลกฺขณํ ลพฺภเตว, ตสฺมา เอเตน ลกฺขเณน สมานลกฺขณํ สพฺพํ ยสฺส จิตฺตสฺส อนนฺตรา อคฺคมคฺคํ ปฎิลภิสฺสนฺติ, ตสฺส จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณติ เอเตเนว กุสลานาคตภาวปริโยสาเนน ตาย เอว สมานลกฺขณตาย ทีปิตํ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอส นโย อกุสลาตีตภาวสฺส อพฺยากตาตีตภาวสฺส จ อาทิมฺหิ ‘‘ทุติเย อกุสเล’’ติ, ‘‘ทุติเย จิเตฺต’’ติ จ วุตฺตฎฺฐาเนฯ ยถา หิ ภาวนาวาเร ภาวนาปหานานํ ปริโยสาเนน อคฺคมเคฺคน ตโต ปุริมตรานิปิ ภาวนาปหานานิ ทสฺสิตานิ โหนฺติ, เอวมิธาปิ ตํ ตํ เตน เตน อาทินา อเนฺตน จ ทสฺสิตนฺติฯ
79. ‘‘Ekāvajjanena 166 uppannassā’’ti vuttaṃ, nānāvajjanenapi pana tato purimatarajavanavīthīsu uppannassa ‘‘uppādakkhaṇe tesaṃ akusalā dhammā nuppajjissanti, no ca tesaṃ kusalā dhammā nuppajjantī’’ti idaṃ lakkhaṇaṃ labbhateva, tasmā etena lakkhaṇena samānalakkhaṇaṃ sabbaṃ yassa cittassa anantarā aggamaggaṃ paṭilabhissanti, tassa cittassa uppādakkhaṇeti eteneva kusalānāgatabhāvapariyosānena tāya eva samānalakkhaṇatāya dīpitaṃ hotīti daṭṭhabbaṃ. Esa nayo akusalātītabhāvassa abyākatātītabhāvassa ca ādimhi ‘‘dutiye akusale’’ti, ‘‘dutiye citte’’ti ca vuttaṭṭhāne. Yathā hi bhāvanāvāre bhāvanāpahānānaṃ pariyosānena aggamaggena tato purimatarānipi bhāvanāpahānāni dassitāni honti, evamidhāpi taṃ taṃ tena tena ādinā antena ca dassitanti.
๑๐๐. ปญฺจโวกาเร อกุสลานํ ภงฺคกฺขเณ เตสํ อกุสลา จ ธมฺมา นิรุชฺฌนฺติ อพฺยากตา จ ธมฺมา นิรุชฺฌนฺตีติ วจเนน ปฎิสนฺธิจิตฺตโต โสฬสมํ, ตโต ปรมฺปิ วา ภวนิกนฺติจิตฺตํ โหติ, น ตโต โอรนฺติ วิญฺญายตีติฯ
100. Pañcavokāre akusalānaṃ bhaṅgakkhaṇe tesaṃ akusalā ca dhammā nirujjhanti abyākatā ca dhammā nirujjhantīti vacanena paṭisandhicittato soḷasamaṃ, tato parampi vā bhavanikanticittaṃ hoti, na tato oranti viññāyatīti.
ปวตฺติวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pavattivāravaṇṇanā niṭṭhitā.
ธมฺมยมกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dhammayamakavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ยมกปาฬิ • Yamakapāḷi / ๗. อนุสยยมกํ • 7. Anusayayamakaṃ
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā / ๙. ธมฺมยมกํ • 9. Dhammayamakaṃ