Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๑๒. ธมฺมิกสุตฺตํ
12. Dhammikasuttaṃ
๕๔. เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเตฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา ธมฺมิโก ชาติภูมิยํ อาวาสิโก โหติ สพฺพโส ชาติภูมิยํ สตฺตสุ อาวาเสสุฯ ตตฺร สุทํ อายสฺมา ธมฺมิโก อาคนฺตุเก ภิกฺขู อโกฺกสติ ปริภาสติ วิหิํสติ วิตุทติ โรเสติ วาจายฯ เต จ อาคนฺตุกา ภิกฺขู อายสฺมตา ธมฺมิเกน อโกฺกสิยมานา ปริภาสิยมานา วิเหสิยมานา วิตุทิยมานา โรสิยมานา วาจาย ปกฺกมนฺติ, น สณฺฐนฺติ 1, ริญฺจนฺติ อาวาสํฯ
54. Ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati gijjhakūṭe pabbate. Tena kho pana samayena āyasmā dhammiko jātibhūmiyaṃ āvāsiko hoti sabbaso jātibhūmiyaṃ sattasu āvāsesu. Tatra sudaṃ āyasmā dhammiko āgantuke bhikkhū akkosati paribhāsati vihiṃsati vitudati roseti vācāya. Te ca āgantukā bhikkhū āyasmatā dhammikena akkosiyamānā paribhāsiyamānā vihesiyamānā vitudiyamānā rosiyamānā vācāya pakkamanti, na saṇṭhanti 2, riñcanti āvāsaṃ.
อถ โข ชาติภูมกานํ 3 อุปาสกานํ เอตทโหสิ – ‘‘มยํ โข ภิกฺขุสงฺฆํ ปจฺจุปฎฺฐิตา จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรนฯ อถ จ ปน อาคนฺตุกา ภิกฺขู ปกฺกมนฺติ, น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาสํฯ โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย เยน อาคนฺตุกา ภิกฺขู ปกฺกมนฺติ, น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาส’’นฺติ? อถ โข ชาติภูมกานํ อุปาสกานํ เอตทโหสิ – ‘‘อยํ โข อายสฺมา ธมฺมิโก อาคนฺตุเก ภิกฺขู อโกฺกสติ ปริภาสติ วิหิํสติ วิตุทติ โรเสติ วาจายฯ เต จ อาคนฺตุกา ภิกฺขู อายสฺมตา ธมฺมิเกน อโกฺกสิยมานา ปริภาสิยมานา วิเหสิยมานา วิตุทิยมานา โรสิยมานา วาจาย ปกฺกมนฺติ , น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาสํฯ ยํนูน มยํ อายสฺมนฺตํ ธมฺมิกํ ปพฺพาเชยฺยามา’’ติฯ
Atha kho jātibhūmakānaṃ 4 upāsakānaṃ etadahosi – ‘‘mayaṃ kho bhikkhusaṅghaṃ paccupaṭṭhitā cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārena. Atha ca pana āgantukā bhikkhū pakkamanti, na saṇṭhanti, riñcanti āvāsaṃ. Ko nu kho hetu ko paccayo yena āgantukā bhikkhū pakkamanti, na saṇṭhanti, riñcanti āvāsa’’nti? Atha kho jātibhūmakānaṃ upāsakānaṃ etadahosi – ‘‘ayaṃ kho āyasmā dhammiko āgantuke bhikkhū akkosati paribhāsati vihiṃsati vitudati roseti vācāya. Te ca āgantukā bhikkhū āyasmatā dhammikena akkosiyamānā paribhāsiyamānā vihesiyamānā vitudiyamānā rosiyamānā vācāya pakkamanti , na saṇṭhanti, riñcanti āvāsaṃ. Yaṃnūna mayaṃ āyasmantaṃ dhammikaṃ pabbājeyyāmā’’ti.
อถ โข ชาติภูมกา อุปาสกา เยน อายสฺมา ธมฺมิโก เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ ธมฺมิกํ เอตทโวจุํ – ‘‘ปกฺกมตุ, ภเนฺต, อายสฺมา ธมฺมิโก อิมมฺหา อาวาสา; อลํ เต อิธ วาเสนา’’ติฯ อถ โข อายสฺมา ธมฺมิโก ตมฺหา อาวาสา อญฺญํ อาวาสํ อคมาสิฯ ตตฺรปิ สุทํ อายสฺมา ธมฺมิโก อาคนฺตุเก ภิกฺขู อโกฺกสติ ปริภาสติ วิหิํสติ วิตุทติ โรเสติ วาจายฯ เต จ อาคนฺตุกา ภิกฺขู อายสฺมตา ธมฺมิเกน อโกฺกสิยมานา ปริภาสิยมานา วิเหสิยมานา วิตุทิยมานา โรสิยมานา วาจาย ปกฺกมนฺติ, น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาสํฯ
Atha kho jātibhūmakā upāsakā yena āyasmā dhammiko tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ dhammikaṃ etadavocuṃ – ‘‘pakkamatu, bhante, āyasmā dhammiko imamhā āvāsā; alaṃ te idha vāsenā’’ti. Atha kho āyasmā dhammiko tamhā āvāsā aññaṃ āvāsaṃ agamāsi. Tatrapi sudaṃ āyasmā dhammiko āgantuke bhikkhū akkosati paribhāsati vihiṃsati vitudati roseti vācāya. Te ca āgantukā bhikkhū āyasmatā dhammikena akkosiyamānā paribhāsiyamānā vihesiyamānā vitudiyamānā rosiyamānā vācāya pakkamanti, na saṇṭhanti, riñcanti āvāsaṃ.
อถ โข ชาติภูมกานํ อุปาสกานํ เอตทโหสิ – ‘‘มยํ โข ภิกฺขุสงฺฆํ ปจฺจุปฎฺฐิตา จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรนฯ อถ จ ปน อาคนฺตุกา ภิกฺขู ปกฺกมนฺติ, น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาสํฯ โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย เยน อาคนฺตุกา ภิกฺขู ปกฺกมนฺติ, น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาส’’นฺติ? อถ โข ชาติภูมกานํ อุปาสกานํ เอตทโหสิ – ‘‘อยํ โข อายสฺมา ธมฺมิโก อาคนฺตุเก ภิกฺขู อโกฺกสติ ปริภาสติ วิหิํสติ วิตุทติ โรเสติ วาจายฯ เต จ อาคนฺตุกา ภิกฺขู อายสฺมตา ธมฺมิเกน อโกฺกสิยมานา ปริภาสิยมานา วิเหสิยมานา วิตุทิยมานา โรสิยมานา วาจาย ปกฺกมนฺติ, น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาสํฯ ยํนูน มยํ อายสฺมนฺตํ ธมฺมิกํ ปพฺพาเชยฺยามา’’ติฯ
Atha kho jātibhūmakānaṃ upāsakānaṃ etadahosi – ‘‘mayaṃ kho bhikkhusaṅghaṃ paccupaṭṭhitā cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārena. Atha ca pana āgantukā bhikkhū pakkamanti, na saṇṭhanti, riñcanti āvāsaṃ. Ko nu kho hetu ko paccayo yena āgantukā bhikkhū pakkamanti, na saṇṭhanti, riñcanti āvāsa’’nti? Atha kho jātibhūmakānaṃ upāsakānaṃ etadahosi – ‘‘ayaṃ kho āyasmā dhammiko āgantuke bhikkhū akkosati paribhāsati vihiṃsati vitudati roseti vācāya. Te ca āgantukā bhikkhū āyasmatā dhammikena akkosiyamānā paribhāsiyamānā vihesiyamānā vitudiyamānā rosiyamānā vācāya pakkamanti, na saṇṭhanti, riñcanti āvāsaṃ. Yaṃnūna mayaṃ āyasmantaṃ dhammikaṃ pabbājeyyāmā’’ti.
อถ โข ชาติภูมกา อุปาสกา เยนายสฺมา ธมฺมิโก เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ ธมฺมิกํ เอตทโวจุํ – ‘‘ปกฺกมตุ, ภเนฺต, อายสฺมา ธมฺมิโก อิมมฺหาปิ อาวาสา; อลํ เต อิธ วาเสนา’’ติฯ อถ โข อายสฺมา ธมฺมิโก ตมฺหาปิ อาวาสา อญฺญํ อาวาสํ อคมาสิ ฯ ตตฺรปิ สุทํ อายสฺมา ธมฺมิโก อาคนฺตุเก ภิกฺขู อโกฺกสติ ปริภาสติ วิหิํสติ วิตุทติ โรเสติ วาจายฯ เต จ อาคนฺตุกา ภิกฺขู อายสฺมตา ธมฺมิเกน อโกฺกสิยมานา ปริภาสิยมานา วิเหสิยมานา วิตุทิยมานา โรสิยมานา วาจาย ปกฺกมนฺติ, น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาสํฯ
Atha kho jātibhūmakā upāsakā yenāyasmā dhammiko tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ dhammikaṃ etadavocuṃ – ‘‘pakkamatu, bhante, āyasmā dhammiko imamhāpi āvāsā; alaṃ te idha vāsenā’’ti. Atha kho āyasmā dhammiko tamhāpi āvāsā aññaṃ āvāsaṃ agamāsi . Tatrapi sudaṃ āyasmā dhammiko āgantuke bhikkhū akkosati paribhāsati vihiṃsati vitudati roseti vācāya. Te ca āgantukā bhikkhū āyasmatā dhammikena akkosiyamānā paribhāsiyamānā vihesiyamānā vitudiyamānā rosiyamānā vācāya pakkamanti, na saṇṭhanti, riñcanti āvāsaṃ.
อถ โข ชาติภูมกานํ อุปาสกานํ เอตทโหสิ – ‘‘มยํ โข ภิกฺขุสงฺฆํ ปจฺจุปฎฺฐิตา จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรนฯ อถ จ ปน อาคนฺตุกา ภิกฺขู ปกฺกมนฺติ , น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาสํฯ โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย เยน อาคนฺตุกา ภิกฺขู ปกฺกมนฺติ, น สณฺฐนฺติ, ริญฺจนฺติ อาวาส’’นฺติ? อถ โข ชาติภูมกานํ อุปาสกานํ เอตทโหสิ – ‘‘อยํ โข อายสฺมา ธมฺมิโก อาคนฺตุเก ภิกฺขู อโกฺกสติ…เป.… ฯ ยํนูน มยํ อายสฺมนฺตํ ธมฺมิกํ ปพฺพาเชยฺยาม สพฺพโส ชาติภูมิยํ สตฺตหิ อาวาเสหี’’ติฯ อถ โข ชาติภูมกา อุปาสกา เยนายสฺมา ธมฺมิโก เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ ธมฺมิกํ เอตทโวจุํ – ‘‘ปกฺกมตุ, ภเนฺต, อายสฺมา ธมฺมิโก สพฺพโส ชาติภูมิยํ สตฺตหิ อาวาเสหี’’ติฯ อถ โข อายสฺมโต ธมฺมิกสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ปพฺพาชิโต โขมฺหิ ชาติภูมเกหิ อุปาสเกหิ สพฺพโส ชาติภูมิยํ สตฺตหิ อาวาเสหิฯ กหํ นุ โข ทานิ คจฺฉามี’’ติ? อถ โข อายสฺมโต ธมฺมิกสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ยํนูนาหํ เยน ภควา เตนุปสงฺกเมยฺย’’นฺติฯ
Atha kho jātibhūmakānaṃ upāsakānaṃ etadahosi – ‘‘mayaṃ kho bhikkhusaṅghaṃ paccupaṭṭhitā cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārena. Atha ca pana āgantukā bhikkhū pakkamanti , na saṇṭhanti, riñcanti āvāsaṃ. Ko nu kho hetu ko paccayo yena āgantukā bhikkhū pakkamanti, na saṇṭhanti, riñcanti āvāsa’’nti? Atha kho jātibhūmakānaṃ upāsakānaṃ etadahosi – ‘‘ayaṃ kho āyasmā dhammiko āgantuke bhikkhū akkosati…pe… . Yaṃnūna mayaṃ āyasmantaṃ dhammikaṃ pabbājeyyāma sabbaso jātibhūmiyaṃ sattahi āvāsehī’’ti. Atha kho jātibhūmakā upāsakā yenāyasmā dhammiko tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ dhammikaṃ etadavocuṃ – ‘‘pakkamatu, bhante, āyasmā dhammiko sabbaso jātibhūmiyaṃ sattahi āvāsehī’’ti. Atha kho āyasmato dhammikassa etadahosi – ‘‘pabbājito khomhi jātibhūmakehi upāsakehi sabbaso jātibhūmiyaṃ sattahi āvāsehi. Kahaṃ nu kho dāni gacchāmī’’ti? Atha kho āyasmato dhammikassa etadahosi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ yena bhagavā tenupasaṅkameyya’’nti.
อถ โข อายสฺมา ธมฺมิโก ปตฺตจีวรมาทาย เยน ราชคหํ เตน ปกฺกามิฯ อนุปุเพฺพน เยน ราชคหํ คิชฺฌกูโฎ ปพฺพโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ ธมฺมิกํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘หนฺท กุโต นุ ตฺวํ, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, อาคจฺฉสี’’ติ? ‘‘ปพฺพาชิโต อหํ, ภเนฺต, ชาติภูมเกหิ อุปาสเกหิ สพฺพโส ชาติภูมิยํ สตฺตหิ อาวาเสหี’’ติฯ ‘‘อลํ, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, กิํ เต อิมินา, ยํ ตํ ตโต ตโต ปพฺพาเชนฺติ, โส ตฺวํ ตโต ตโต ปพฺพาชิโต มเมว สนฺติเก อาคจฺฉสิ’’ฯ
Atha kho āyasmā dhammiko pattacīvaramādāya yena rājagahaṃ tena pakkāmi. Anupubbena yena rājagahaṃ gijjhakūṭo pabbato yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ dhammikaṃ bhagavā etadavoca – ‘‘handa kuto nu tvaṃ, brāhmaṇa dhammika, āgacchasī’’ti? ‘‘Pabbājito ahaṃ, bhante, jātibhūmakehi upāsakehi sabbaso jātibhūmiyaṃ sattahi āvāsehī’’ti. ‘‘Alaṃ, brāhmaṇa dhammika, kiṃ te iminā, yaṃ taṃ tato tato pabbājenti, so tvaṃ tato tato pabbājito mameva santike āgacchasi’’.
‘‘ภูตปุพฺพํ, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สามุทฺทิกา วาณิชา ตีรทสฺสิํ สกุณํ คเหตฺวา นาวาย สมุทฺทํ อโชฺฌคาหนฺติฯ เต อตีรทกฺขิณิยา 5 นาวาย ตีรทสฺสิํ สกุณํ มุญฺจนฺติฯ โส คจฺฉเตว ปุรตฺถิมํ ทิสํ, คจฺฉติ ปจฺฉิมํ ทิสํ, คจฺฉติ อุตฺตรํ ทิสํ, คจฺฉติ ทกฺขิณํ ทิสํ, คจฺฉติ อุทฺธํ, คจฺฉติ อนุทิสํฯ สเจ โส สมนฺตา ตีรํ ปสฺสติ, ตถาคตโกว 6 โหติฯ สเจ ปน โส สมนฺตา ตีรํ น ปสฺสติ ตเมว นาวํ ปจฺจาคจฺฉติฯ เอวเมวํ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, ยํ ตํ ตโต ตโต ปพฺพาเชนฺติ โส ตฺวํ ตโต ตโต ปพฺพาชิโต มเมว สนฺติเก อาคจฺฉสิฯ
‘‘Bhūtapubbaṃ, brāhmaṇa dhammika, sāmuddikā vāṇijā tīradassiṃ sakuṇaṃ gahetvā nāvāya samuddaṃ ajjhogāhanti. Te atīradakkhiṇiyā 7 nāvāya tīradassiṃ sakuṇaṃ muñcanti. So gacchateva puratthimaṃ disaṃ, gacchati pacchimaṃ disaṃ, gacchati uttaraṃ disaṃ, gacchati dakkhiṇaṃ disaṃ, gacchati uddhaṃ, gacchati anudisaṃ. Sace so samantā tīraṃ passati, tathāgatakova 8 hoti. Sace pana so samantā tīraṃ na passati tameva nāvaṃ paccāgacchati. Evamevaṃ kho, brāhmaṇa dhammika, yaṃ taṃ tato tato pabbājenti so tvaṃ tato tato pabbājito mameva santike āgacchasi.
‘‘ภูตปุพฺพํ , พฺราหฺมณ ธมฺมิก, รโญฺญ โกรพฺยสฺส สุปฺปติโฎฺฐ นาม นิโคฺรธราชา อโหสิ ปญฺจสาโข สีตจฺฉาโย มโนรโมฯ สุปฺปติฎฺฐสฺส โข ปน, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, นิโคฺรธราชสฺส ทฺวาทสโยชนานิ อภินิเวโส อโหสิ, ปญฺจ โยชนานิ มูลสนฺตานกานํฯ สุปฺปติฎฺฐสฺส โข ปน , พฺราหฺมณ ธมฺมิก, นิโคฺรธราชสฺส ตาว มหนฺตานิ ผลานิ อเหสุํ; เสยฺยถาปิ นาม อาฬฺหกถาลิกาฯ เอวมสฺส สาทูนิ ผลานิ อเหสุํ; เสยฺยถาปิ นาม ขุทฺทํ มธุํ อเนลกํฯ สุปฺปติฎฺฐสฺส โข ปน, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, นิโคฺรธราชสฺส เอกํ ขนฺธํ ราชา ปริภุญฺชติ สทฺธิํ อิตฺถาคาเรน, เอกํ ขนฺธํ พลกาโย ปริภุญฺชติ, เอกํ ขนฺธํ เนคมชานปทา ปริภุญฺชนฺติ, เอกํ ขนฺธํ สมณพฺราหฺมณา ปริภุญฺชนฺติ, เอกํ ขนฺธํ มิคา 9 ปริภุญฺชนฺติฯ สุปฺปติฎฺฐสฺส โข ปน, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, นิโคฺรธราชสฺส น โกจิ ผลานิ รกฺขติ, น จ สุทํ 10 อญฺญมญฺญสฺส ผลานิ หิํสนฺติฯ
‘‘Bhūtapubbaṃ , brāhmaṇa dhammika, rañño korabyassa suppatiṭṭho nāma nigrodharājā ahosi pañcasākho sītacchāyo manoramo. Suppatiṭṭhassa kho pana, brāhmaṇa dhammika, nigrodharājassa dvādasayojanāni abhiniveso ahosi, pañca yojanāni mūlasantānakānaṃ. Suppatiṭṭhassa kho pana , brāhmaṇa dhammika, nigrodharājassa tāva mahantāni phalāni ahesuṃ; seyyathāpi nāma āḷhakathālikā. Evamassa sādūni phalāni ahesuṃ; seyyathāpi nāma khuddaṃ madhuṃ anelakaṃ. Suppatiṭṭhassa kho pana, brāhmaṇa dhammika, nigrodharājassa ekaṃ khandhaṃ rājā paribhuñjati saddhiṃ itthāgārena, ekaṃ khandhaṃ balakāyo paribhuñjati, ekaṃ khandhaṃ negamajānapadā paribhuñjanti, ekaṃ khandhaṃ samaṇabrāhmaṇā paribhuñjanti, ekaṃ khandhaṃ migā 11 paribhuñjanti. Suppatiṭṭhassa kho pana, brāhmaṇa dhammika, nigrodharājassa na koci phalāni rakkhati, na ca sudaṃ 12 aññamaññassa phalāni hiṃsanti.
‘‘อถ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, อญฺญตโร ปุริโส สุปฺปติฎฺฐสฺส นิโคฺรธราชสฺส ยาวทตฺถํ ผลานิ ภกฺขิตฺวา สาขํ ภญฺชิตฺวา ปกฺกามิฯ อถ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สุปฺปติเฎฺฐ นิโคฺรธราเช อธิวตฺถาย เทวตาย เอตทโหสิ – ‘อจฺฉริยํ วต, โภ, อพฺภุตํ วต, โภ! ยาว ปาโป มนุโสฺส 13, ยตฺร หิ นาม สุปฺปติฎฺฐสฺส นิโคฺรธราชสฺส ยาวทตฺถํ ผลานิ ภกฺขิตฺวา สาขํ ภญฺชิตฺวา ปกฺกมิสฺสติ, ยํนูน สุปฺปติโฎฺฐ นิโคฺรธราชา อายติํ ผลํ น ทเทยฺยา’ติฯ อถ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สุปฺปติโฎฺฐ นิโคฺรธราชา อายติํ ผลํ น อทาสิฯ
‘‘Atha kho, brāhmaṇa dhammika, aññataro puriso suppatiṭṭhassa nigrodharājassa yāvadatthaṃ phalāni bhakkhitvā sākhaṃ bhañjitvā pakkāmi. Atha kho, brāhmaṇa dhammika, suppatiṭṭhe nigrodharāje adhivatthāya devatāya etadahosi – ‘acchariyaṃ vata, bho, abbhutaṃ vata, bho! Yāva pāpo manusso 14, yatra hi nāma suppatiṭṭhassa nigrodharājassa yāvadatthaṃ phalāni bhakkhitvā sākhaṃ bhañjitvā pakkamissati, yaṃnūna suppatiṭṭho nigrodharājā āyatiṃ phalaṃ na dadeyyā’ti. Atha kho, brāhmaṇa dhammika, suppatiṭṭho nigrodharājā āyatiṃ phalaṃ na adāsi.
‘‘อถ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, ราชา โกรโพฺย เยน สโกฺก เทวานมิโนฺท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา สกฺกํ เทวานมินฺทํ เอตทโวจ – ‘ยเคฺฆ, มาริส, ชาเนยฺยาสิ สุปฺปติโฎฺฐ นิโคฺรธราชา ผลํ น เทตี’ติ? อถ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สโกฺก เทวานมิโนฺท ตถารูปํ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาสิ 15, ยถา ภุสา วาตวุฎฺฐิ อาคนฺตฺวา สุปฺปติฎฺฐํ นิโคฺรธราชํ ปวเตฺตสิ 16 อุมฺมูลมกาสิฯ อถ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สุปฺปติเฎฺฐ นิโคฺรธราเช อธิวตฺถา เทวตา ทุกฺขี ทุมฺมนา อสฺสุมุขี รุทมานา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ
‘‘Atha kho, brāhmaṇa dhammika, rājā korabyo yena sakko devānamindo tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā sakkaṃ devānamindaṃ etadavoca – ‘yagghe, mārisa, jāneyyāsi suppatiṭṭho nigrodharājā phalaṃ na detī’ti? Atha kho, brāhmaṇa dhammika, sakko devānamindo tathārūpaṃ iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāsi 17, yathā bhusā vātavuṭṭhi āgantvā suppatiṭṭhaṃ nigrodharājaṃ pavattesi 18 ummūlamakāsi. Atha kho, brāhmaṇa dhammika, suppatiṭṭhe nigrodharāje adhivatthā devatā dukkhī dummanā assumukhī rudamānā ekamantaṃ aṭṭhāsi.
‘‘อถ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สโกฺก เทวานมิโนฺท เยน สุปฺปติเฎฺฐ นิโคฺรธราเช อธิวตฺถา เทวตา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา สุปฺปติเฎฺฐ นิโคฺรธราเช อธิวตฺถํ เทวตํ เอตทโวจ – ‘กิํ นุ ตฺวํ, เทวเต, ทุกฺขี ทุมฺมนา อสฺสุมุขี รุทมานา เอกมนฺตํ ฐิตา’ติ? ‘ตถา หิ ปน เม, มาริส, ภุสา วาตวุฎฺฐิ อาคนฺตฺวา ภวนํ ปวเตฺตสิ อุมฺมูลมกาสี’ติฯ ‘อปิ นุ ตฺวํ, เทวเต, รุกฺขธเมฺม ฐิตาย ภุสา วาตวุฎฺฐิ อาคนฺตฺวา ภวนํ ปวเตฺตสิ อุมฺมูลมกาสี’ติ? ‘กถํ ปน, มาริส , รุโกฺข รุกฺขธเมฺม ฐิโต โหตี’ติ? ‘อิธ, เทวเต, รุกฺขสฺส มูลํ มูลตฺถิกา หรนฺติ, ตจํ ตจตฺถิกา หรนฺติ, ปตฺตํ ปตฺตตฺถิกา หรนฺติ, ปุปฺผํ ปุปฺผตฺถิกา หรนฺติ, ผลํ ผลตฺถิกา หรนฺติฯ น จ เตน เทวตาย อนตฺตมนตา วา อนภินนฺทิ 19 วา กรณียาฯ เอวํ โข, เทวเต, รุโกฺข รุกฺขธเมฺม ฐิโต โหตี’ติฯ ‘อฎฺฐิตาเยว โข เม, มาริส, รุกฺขธเมฺม ภุสา วาตวุฎฺฐิ อาคนฺตฺวา ภวนํ ปวเตฺตสิ อุมฺมูลมกาสี’ติฯ ‘สเจ โข ตฺวํ, เทวเต, รุกฺขธเมฺม ติเฎฺฐยฺยาสิ, สิยา 20 เต ภวนํ ยถาปุเร’ติ? ‘ฐสฺสามหํ, 21 มาริส , รุกฺขธเมฺม, โหตุ เม ภวนํ ยถาปุเร’’’ติฯ
‘‘Atha kho, brāhmaṇa dhammika, sakko devānamindo yena suppatiṭṭhe nigrodharāje adhivatthā devatā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā suppatiṭṭhe nigrodharāje adhivatthaṃ devataṃ etadavoca – ‘kiṃ nu tvaṃ, devate, dukkhī dummanā assumukhī rudamānā ekamantaṃ ṭhitā’ti? ‘Tathā hi pana me, mārisa, bhusā vātavuṭṭhi āgantvā bhavanaṃ pavattesi ummūlamakāsī’ti. ‘Api nu tvaṃ, devate, rukkhadhamme ṭhitāya bhusā vātavuṭṭhi āgantvā bhavanaṃ pavattesi ummūlamakāsī’ti? ‘Kathaṃ pana, mārisa , rukkho rukkhadhamme ṭhito hotī’ti? ‘Idha, devate, rukkhassa mūlaṃ mūlatthikā haranti, tacaṃ tacatthikā haranti, pattaṃ pattatthikā haranti, pupphaṃ pupphatthikā haranti, phalaṃ phalatthikā haranti. Na ca tena devatāya anattamanatā vā anabhinandi 22 vā karaṇīyā. Evaṃ kho, devate, rukkho rukkhadhamme ṭhito hotī’ti. ‘Aṭṭhitāyeva kho me, mārisa, rukkhadhamme bhusā vātavuṭṭhi āgantvā bhavanaṃ pavattesi ummūlamakāsī’ti. ‘Sace kho tvaṃ, devate, rukkhadhamme tiṭṭheyyāsi, siyā 23 te bhavanaṃ yathāpure’ti? ‘Ṭhassāmahaṃ, 24 mārisa , rukkhadhamme, hotu me bhavanaṃ yathāpure’’’ti.
‘‘อถ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สโกฺก เทวานมิโนฺท ตถารูปํ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาสิ 25, ยถา ภุสา วาตวุฎฺฐิ อาคนฺตฺวา สุปฺปติฎฺฐํ นิโคฺรธราชํ อุสฺสาเปสิ, สจฺฉวีนิ มูลานิ อเหสุํฯ เอวเมวํ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, อปิ นุ ตํ สมณธเมฺม ฐิตํ ชาติภูมกา อุปาสกา ปพฺพาเชสุํ สพฺพโส ชาติภูมิยํ สตฺตหิ อาวาเสหี’’ติ? ‘‘กถํ ปน, ภเนฺต, สมโณ สมณธเมฺม ฐิโต โหตี’’ติ? ‘‘อิธ, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สมโณ อโกฺกสนฺตํ น ปจฺจโกฺกสติ, โรสนฺตํ น ปฎิโรสติ, ภณฺฑนฺตํ น ปฎิภณฺฑติฯ เอวํ โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สมโณ สมณธเมฺม ฐิโต โหตี’’ติฯ ‘‘อฎฺฐิตํเยว มํ, ภเนฺต, สมณธเมฺม ชาติภูมกา อุปาสกา ปพฺพาเชสุํ สพฺพโส ชาติภูมิยํ สตฺตหิ อาวาเสหี’’ติฯ
‘‘Atha kho, brāhmaṇa dhammika, sakko devānamindo tathārūpaṃ iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāsi 26, yathā bhusā vātavuṭṭhi āgantvā suppatiṭṭhaṃ nigrodharājaṃ ussāpesi, sacchavīni mūlāni ahesuṃ. Evamevaṃ kho, brāhmaṇa dhammika, api nu taṃ samaṇadhamme ṭhitaṃ jātibhūmakā upāsakā pabbājesuṃ sabbaso jātibhūmiyaṃ sattahi āvāsehī’’ti? ‘‘Kathaṃ pana, bhante, samaṇo samaṇadhamme ṭhito hotī’’ti? ‘‘Idha, brāhmaṇa dhammika, samaṇo akkosantaṃ na paccakkosati, rosantaṃ na paṭirosati, bhaṇḍantaṃ na paṭibhaṇḍati. Evaṃ kho, brāhmaṇa dhammika, samaṇo samaṇadhamme ṭhito hotī’’ti. ‘‘Aṭṭhitaṃyeva maṃ, bhante, samaṇadhamme jātibhūmakā upāsakā pabbājesuṃ sabbaso jātibhūmiyaṃ sattahi āvāsehī’’ti.
27 ‘‘ภูตปุพฺพํ , พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สุเนโตฺต นาม สตฺถา อโหสิ ติตฺถกโร กาเมสุ วีตราโคฯ สุเนตฺตสฺส โข ปน, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สตฺถุโน อเนกานิ สาวกสตานิ อเหสุํฯ สุเนโตฺต สตฺถา สาวกานํ พฺรหฺมโลกสหพฺยตาย ธมฺมํ เทเสสิฯ เย โข ปน, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สุเนตฺตสฺส สตฺถุโน พฺรหฺมโลกสหพฺยตาย ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส จิตฺตานิ น ปสาเทสุํ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิํสุฯ เย โข ปน, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สุเนตฺตสฺส สตฺถุโน พฺรหฺมโลกสหพฺยตาย ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส จิตฺตานิ ปสาเทสุํ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิํสุฯ
28 ‘‘Bhūtapubbaṃ , brāhmaṇa dhammika, sunetto nāma satthā ahosi titthakaro kāmesu vītarāgo. Sunettassa kho pana, brāhmaṇa dhammika, satthuno anekāni sāvakasatāni ahesuṃ. Sunetto satthā sāvakānaṃ brahmalokasahabyatāya dhammaṃ desesi. Ye kho pana, brāhmaṇa dhammika, sunettassa satthuno brahmalokasahabyatāya dhammaṃ desentassa cittāni na pasādesuṃ te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjiṃsu. Ye kho pana, brāhmaṇa dhammika, sunettassa satthuno brahmalokasahabyatāya dhammaṃ desentassa cittāni pasādesuṃ te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjiṃsu.
‘‘ภูตปุพฺพํ, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, มูคปโกฺข นาม สตฺถา อโหสิ…เป.… อรเนมิ นาม สตฺถา อโหสิ… กุทฺทาลโก นาม สตฺถา อโหสิ… หตฺถิปาโล นาม สตฺถา อโหสิ… โชติปาโล นาม สตฺถา อโหสิ ติตฺถกโร กาเมสุ วีตราโคฯ โชติปาลสฺส โข ปน, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สตฺถุโน อเนกานิ สาวกสตานิ อเหสุํฯ โชติปาโล สตฺถา สาวกานํ พฺรหฺมโลกสหพฺยตาย ธมฺมํ เทเสสิฯ เย โข ปน, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, โชติปาลสฺส สตฺถุโน พฺรหฺมโลกสหพฺยตาย ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส จิตฺตานิ น ปสาเทสุํ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิํสุฯ เย โข ปน, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, โชติปาลสฺส สตฺถุโน พฺรหฺมโลกสหพฺยตาย ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส จิตฺตานิ ปสาเทสุํ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิํสุฯ
‘‘Bhūtapubbaṃ, brāhmaṇa dhammika, mūgapakkho nāma satthā ahosi…pe… aranemi nāma satthā ahosi… kuddālako nāma satthā ahosi… hatthipālo nāma satthā ahosi… jotipālo nāma satthā ahosi titthakaro kāmesu vītarāgo. Jotipālassa kho pana, brāhmaṇa dhammika, satthuno anekāni sāvakasatāni ahesuṃ. Jotipālo satthā sāvakānaṃ brahmalokasahabyatāya dhammaṃ desesi. Ye kho pana, brāhmaṇa dhammika, jotipālassa satthuno brahmalokasahabyatāya dhammaṃ desentassa cittāni na pasādesuṃ te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjiṃsu. Ye kho pana, brāhmaṇa dhammika, jotipālassa satthuno brahmalokasahabyatāya dhammaṃ desentassa cittāni pasādesuṃ te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjiṃsu.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, โย อิเม ฉ สตฺถาเร ติตฺถกเร กาเมสุ วีตราเค, อเนกสตปริวาเร สสาวกสเงฺฆ ปทุฎฺฐจิโตฺต อโกฺกเสยฺย ปริภาเสยฺย, พหุํ โส อปุญฺญํ ปสเวยฺยา’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘โย โข, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, อิเม ฉ สตฺถาเร ติตฺถกเร กาเมสุ วีตราเค อเนกสตปริวาเร สสาวกสเงฺฆ ปทุฎฺฐจิโตฺต อโกฺกเสยฺย ปริภาเสยฺย, พหุํ โส อปุญฺญํ ปสเวยฺยฯ โย เอกํ ทิฎฺฐิสมฺปนฺนํ ปุคฺคลํ ปทุฎฺฐจิโตฺต อโกฺกสติ ปริภาสติ, อยํ ตโต พหุตรํ อปุญฺญํ ปสวติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? นาหํ, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, อิโต พหิทฺธา เอวรูปิํ ขนฺติํ 29 วทามิ, ยถามํ สพฺรหฺมจารีสุฯ ตสฺมาติห, พฺราหฺมณ ธมฺมิก , เอวํ สิกฺขิตพฺพํ – ‘น โน สมสพฺรหฺมจารีสุ 30 จิตฺตานิ ปทุฎฺฐานิ ภวิสฺสนฺตี’’’ติฯ เอวญฺหิ เต, พฺราหฺมณ ธมฺมิก, สิกฺขิตพฺพนฺติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, brāhmaṇa dhammika, yo ime cha satthāre titthakare kāmesu vītarāge, anekasataparivāre sasāvakasaṅghe paduṭṭhacitto akkoseyya paribhāseyya, bahuṃ so apuññaṃ pasaveyyā’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Yo kho, brāhmaṇa dhammika, ime cha satthāre titthakare kāmesu vītarāge anekasataparivāre sasāvakasaṅghe paduṭṭhacitto akkoseyya paribhāseyya, bahuṃ so apuññaṃ pasaveyya. Yo ekaṃ diṭṭhisampannaṃ puggalaṃ paduṭṭhacitto akkosati paribhāsati, ayaṃ tato bahutaraṃ apuññaṃ pasavati. Taṃ kissa hetu? Nāhaṃ, brāhmaṇa dhammika, ito bahiddhā evarūpiṃ khantiṃ 31 vadāmi, yathāmaṃ sabrahmacārīsu. Tasmātiha, brāhmaṇa dhammika , evaṃ sikkhitabbaṃ – ‘na no samasabrahmacārīsu 32 cittāni paduṭṭhāni bhavissantī’’’ti. Evañhi te, brāhmaṇa dhammika, sikkhitabbanti.
‘‘สุเนโตฺต มูคปโกฺข จ, อรเนมิ จ พฺราหฺมโณ;
‘‘Sunetto mūgapakkho ca, aranemi ca brāhmaṇo;
กุทฺทาลโก อหุ สตฺถา, หตฺถิปาโล จ มาณโวฯ
Kuddālako ahu satthā, hatthipālo ca māṇavo.
‘‘โชติปาโล จ โควิโนฺท, อหุ สตฺตปุโรหิโต;
‘‘Jotipālo ca govindo, ahu sattapurohito;
‘‘อเหสุํ สาวกา เตสํ, อเนกานิ สตานิปิ;
‘‘Ahesuṃ sāvakā tesaṃ, anekāni satānipi;
นิรามคนฺธา กรุเณธิมุตฺตา, กามสํโยชนาติคา;
Nirāmagandhā karuṇedhimuttā, kāmasaṃyojanātigā;
‘‘เยเต อิสี พาหิรเก, วีตราเค สมาหิเต;
‘‘Yete isī bāhirake, vītarāge samāhite;
ปทุฎฺฐมนสงฺกโปฺป, โย นโร ปริภาสติ;
Paduṭṭhamanasaṅkappo, yo naro paribhāsati;
พหุญฺจ โส ปสวติ, อปุญฺญํ ตาทิโส นโรฯ
Bahuñca so pasavati, apuññaṃ tādiso naro.
‘‘โย เจกํ ทิฎฺฐิสมฺปนฺนํ, ภิกฺขุํ พุทฺธสฺส สาวกํ;
‘‘Yo cekaṃ diṭṭhisampannaṃ, bhikkhuṃ buddhassa sāvakaṃ;
ปทุฎฺฐมนสงฺกโปฺป , โย นโร ปริภาสติ;
Paduṭṭhamanasaṅkappo , yo naro paribhāsati;
อยํ ตโต พหุตรํ, อปุญฺญํ ปสเว นโรฯ
Ayaṃ tato bahutaraṃ, apuññaṃ pasave naro.
‘‘น สาธุรูปํ อาสีเท, ทิฎฺฐิฎฺฐานปฺปหายินํ;
‘‘Na sādhurūpaṃ āsīde, diṭṭhiṭṭhānappahāyinaṃ;
สตฺตโม ปุคฺคโล เอโส, อริยสงฺฆสฺส วุจฺจติฯ
Sattamo puggalo eso, ariyasaṅghassa vuccati.
‘‘อวีตราโค กาเมสุ, ยสฺส ปญฺจินฺทฺริยา มุทู;
‘‘Avītarāgo kāmesu, yassa pañcindriyā mudū;
สทฺธา สติ จ วีริยํ, สมโถ จ วิปสฺสนาฯ
Saddhā sati ca vīriyaṃ, samatho ca vipassanā.
‘‘ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, ปุเพฺพว อุปหญฺญติ;
‘‘Tādisaṃ bhikkhumāsajja, pubbeva upahaññati;
อตฺตานํ อุปหนฺตฺวาน, ปจฺฉา อญฺญํ วิหิํสติฯ
Attānaṃ upahantvāna, pacchā aññaṃ vihiṃsati.
‘‘โย จ รกฺขติ อตฺตานํ, รกฺขิโต ตสฺส พาหิโร;
‘‘Yo ca rakkhati attānaṃ, rakkhito tassa bāhiro;
ตสฺมา รเกฺขยฺย อตฺตานํ, อกฺขโต ปณฺฑิโต สทา’’ติฯ ทฺวาทสมํ;
Tasmā rakkheyya attānaṃ, akkhato paṇḍito sadā’’ti. dvādasamaṃ;
ธมฺมิกวโคฺค ปญฺจโมฯ
Dhammikavaggo pañcamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
นาคมิคสาลา อิณํ, จุนฺทํ เทฺว สนฺทิฎฺฐิกา ทุเว;
Nāgamigasālā iṇaṃ, cundaṃ dve sandiṭṭhikā duve;
เขมอินฺทฺริย อานนฺท, ขตฺติยา อปฺปมาเทน ธมฺมิโกติฯ
Khemaindriya ānanda, khattiyā appamādena dhammikoti.
ปฐมปณฺณาสกํ สมตฺตํฯ
Paṭhamapaṇṇāsakaṃ samattaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๒. ธมฺมิกสุตฺตวณฺณนา • 12. Dhammikasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๒. ธมฺมิกสุตฺตวณฺณนา • 12. Dhammikasuttavaṇṇanā