Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๑๔. ธมฺมิกสุตฺตวณฺณนา
14. Dhammikasuttavaṇṇanā
เอวํ เม สุตนฺติ ธมฺมิกสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ติฎฺฐมาเน กิร ภควติ โลกนาเถ ธมฺมิโก นาม อุปาสโก อโหสิ นาเมน จ ปฎิปตฺติยา จฯ โส กิร สรณสมฺปโนฺน สีลสมฺปโนฺน พหุสฺสุโต ปิฎกตฺตยธโร อนาคามี อภิญฺญาลาภี อากาสจารี อโหสิฯ ตสฺส ปริวารา ปญฺจสตา อุปาสกา, เตปิ ตาทิสา เอว อเหสุํฯ ตเสฺสกทิวสํ อุโปสถิกสฺส รโหคตสฺส ปฎิสลฺลีนสฺส มชฺฌิมยามาวสานสมเย เอวํ ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘‘ยํนูนาหํ อคาริยอนคาริยานํ ปฎิปทํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ โส ปญฺจหิ อุปาสกสเตหิ ปริวุโต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ตมตฺถํ ปุจฺฉิ, ภควา จสฺส พฺยากาสิฯ ตตฺถ ปุเพฺพ วณฺณิตสทิสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํ, อปุพฺพํ วณฺณยิสฺสามฯ
Evaṃme sutanti dhammikasuttaṃ. Kā uppatti? Tiṭṭhamāne kira bhagavati lokanāthe dhammiko nāma upāsako ahosi nāmena ca paṭipattiyā ca. So kira saraṇasampanno sīlasampanno bahussuto piṭakattayadharo anāgāmī abhiññālābhī ākāsacārī ahosi. Tassa parivārā pañcasatā upāsakā, tepi tādisā eva ahesuṃ. Tassekadivasaṃ uposathikassa rahogatassa paṭisallīnassa majjhimayāmāvasānasamaye evaṃ parivitakko udapādi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ agāriyaanagāriyānaṃ paṭipadaṃ puccheyya’’nti. So pañcahi upāsakasatehi parivuto bhagavantaṃ upasaṅkamitvā tamatthaṃ pucchi, bhagavā cassa byākāsi. Tattha pubbe vaṇṇitasadisaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ, apubbaṃ vaṇṇayissāma.
๓๗๙. ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาว กถํกโรติ กถํ กโรโนฺต กถํ ปฎิปชฺชโนฺตฯ สาธุ โหตีติ สุนฺทโร อนวโชฺช อตฺถสาธโน โหติฯ อุปาสกาเสติ อุปาสกาอิเจฺจว วุตฺตํ โหติฯ เสสมตฺถโต ปากฎเมวฯ อยํ ปน โยชนา – โย วา อคารา อนคารเมติ ปพฺพชติ, เย วา อคาริโน อุปาสกา, เอเตสุ ทุวิเธสุ สาวเกสุ กถํกโร สาวโก สาธุ โหตีติฯ
379. Tattha paṭhamagāthāya tāva kathaṃkaroti kathaṃ karonto kathaṃ paṭipajjanto. Sādhu hotīti sundaro anavajjo atthasādhano hoti. Upāsakāseti upāsakāicceva vuttaṃ hoti. Sesamatthato pākaṭameva. Ayaṃ pana yojanā – yo vā agārā anagārameti pabbajati, ye vā agārino upāsakā, etesu duvidhesu sāvakesu kathaṃkaro sāvako sādhu hotīti.
๓๘๐-๑. อิทานิ เอวํ ปุฎฺฐสฺส ภควโต พฺยากรณสมตฺถตํ ทีเปโนฺต ‘‘ตุวญฺหี’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ คตินฺติ อชฺฌาสยคติํฯ ปรายณนฺติ นิปฺผตฺติํฯ อถ วา คตินฺติ นิรยาทิปญฺจปฺปเภทํฯ ปรายณนฺติ คติโต ปรํ อยนํ คติวิปฺปโมกฺขํ ปรินิพฺพานํ, น จตฺถิ ตุโลฺยติ ตยา สทิโส นตฺถิฯ สพฺพํ ตุวํ ญาณมเวจฺจ ธมฺมํ, ปกาเสสิ สเตฺต อนุกมฺปมาโนติ ตฺวํ ภควา ยทตฺถิ เญยฺยํ นาม, ตํ อนวเสสํ อเวจฺจ ปฎิวิชฺฌิตฺวา สเตฺต อนุกมฺปมาโน สพฺพํ ญาณญฺจ ธมฺมญฺจ ปกาเสสิฯ ยํ ยํ ยสฺส หิตํ โหติ, ตํ ตํ ตสฺส อาวิกาสิเยว เทเสสิเยว, น เต อตฺถิ อาจริยมุฎฺฐีติ วุตฺตํ โหติฯ วิโรจสิ วิมโลติ ธูมรชาทิวิรหิโต วิย จโนฺท, ราคาทิมลาภาเวน วิมโล วิโรจสิฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ
380-1. Idāni evaṃ puṭṭhassa bhagavato byākaraṇasamatthataṃ dīpento ‘‘tuvañhī’’ti gāthādvayamāha. Tattha gatinti ajjhāsayagatiṃ. Parāyaṇanti nipphattiṃ. Atha vā gatinti nirayādipañcappabhedaṃ. Parāyaṇanti gatito paraṃ ayanaṃ gativippamokkhaṃ parinibbānaṃ, na catthi tulyoti tayā sadiso natthi. Sabbaṃ tuvaṃ ñāṇamavecca dhammaṃ, pakāsesi satte anukampamānoti tvaṃ bhagavā yadatthi ñeyyaṃ nāma, taṃ anavasesaṃ avecca paṭivijjhitvā satte anukampamāno sabbaṃ ñāṇañca dhammañca pakāsesi. Yaṃ yaṃ yassa hitaṃ hoti, taṃ taṃ tassa āvikāsiyeva desesiyeva, na te atthi ācariyamuṭṭhīti vuttaṃ hoti. Virocasi vimaloti dhūmarajādivirahito viya cando, rāgādimalābhāvena vimalo virocasi. Sesamettha uttānatthameva.
๓๘๒. อิทานิ เยสํ ตทา ภควา ธมฺมํ เทเสสิ, เต เทวปุเตฺต กิเตฺตตฺวา ภควนฺตํ ปสํสโนฺต ‘‘อาคญฺฉี เต สนฺติเก’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ นาคราชา เอราวโณ นามาติ อยํ กิร เอราวโณ นาม เทวปุโตฺต กามรูปี ทิเพฺพ วิมาเน วสติฯ โส ยทา สโกฺก อุยฺยานกีฬํ คจฺฉติ, ตทา ทิยฑฺฒสตโยชนํ กายํ อภินิมฺมินิตฺวา เตตฺติํส กุเมฺภ มาเปตฺวา เอราวโณ นาม หตฺถี โหติฯ ตสฺส เอเกกสฺมิํ กุเมฺภ เทฺว เทฺว ทนฺตา โหนฺติ, เอเกกสฺมิํ ทเนฺต สตฺต สตฺต โปกฺขรณิโย, เอเกกิสฺสา โปกฺขรณิยา สตฺต สตฺต ปทุมินิโย, เอเกกิสฺสา ปทุมินิยา สตฺต สตฺต ปุปฺผานิ, เอเกกสฺมิํ ปุเปฺผ สตฺต สตฺต ปตฺตานิ, เอเกกสฺมิํ ปเตฺต สตฺต สตฺต อจฺฉราโย นจฺจนฺติ ปทุมจฺฉราโยเตฺวว วิสฺสุตา สกฺกสฺส นาฎกิตฺถิโย, ยา จ วิมานวตฺถุสฺมิมฺปิ ‘‘ภมนฺติ กญฺญา ปทุเมสุ สิกฺขิตา’’ติ (วิ. ว. ๑๐๓๔) อาคตาฯ เตสํ ปน เตตฺติสํกุมฺภานํ มเชฺฌ สุทสฺสนกุโมฺภ นาม ติํสโยชนมโตฺต โหติ, ตตฺถ โยชนปฺปมาโณ มณิปลฺลโงฺก ติโยชนุเพฺพเธ ปุปฺผมณฺฑเป อตฺถรียติฯ ตตฺถ สโกฺก เทวานมิโนฺท อจฺฉราสงฺฆปริวุโต ทิพฺพสมฺปตฺติํ ปจฺจนุโภติฯ สเกฺก ปน เทวานมิเนฺท อุยฺยานกีฬาโต ปฎินิวเตฺต ปุน ตํ รูปํ สํหริตฺวาน เทวปุโตฺตว โหติฯ ตํ สนฺธายาห – ‘‘อาคญฺฉิ เต สนฺติเก นาคราชา เอราวโณ นามา’’ติฯ ชิโนติ สุตฺวาติ ‘‘วิชิตปาปธโมฺม เอส ภควา’’ติ เอวํ สุตฺวาฯ โสปิ ตยา มนฺตยิตฺวาติ ตยา สทฺธิํ มนฺตยิตฺวา, ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ อชฺฌคมาติ อธิอคมา, คโตติ วุตฺตํ โหติฯ สาธูติ สุตฺวาน ปตีตรูโปติ ตํ ปญฺหํ สุตฺวา ‘‘สาธุ ภเนฺต’’ติ อภินนฺทิตฺวา ตุฎฺฐรูโป คโตติ อโตฺถฯ
382. Idāni yesaṃ tadā bhagavā dhammaṃ desesi, te devaputte kittetvā bhagavantaṃ pasaṃsanto ‘‘āgañchī te santike’’ti gāthādvayamāha. Tattha nāgarājā erāvaṇo nāmāti ayaṃ kira erāvaṇo nāma devaputto kāmarūpī dibbe vimāne vasati. So yadā sakko uyyānakīḷaṃ gacchati, tadā diyaḍḍhasatayojanaṃ kāyaṃ abhinimminitvā tettiṃsa kumbhe māpetvā erāvaṇo nāma hatthī hoti. Tassa ekekasmiṃ kumbhe dve dve dantā honti, ekekasmiṃ dante satta satta pokkharaṇiyo, ekekissā pokkharaṇiyā satta satta paduminiyo, ekekissā paduminiyā satta satta pupphāni, ekekasmiṃ pupphe satta satta pattāni, ekekasmiṃ patte satta satta accharāyo naccanti padumaccharāyotveva vissutā sakkassa nāṭakitthiyo, yā ca vimānavatthusmimpi ‘‘bhamanti kaññā padumesu sikkhitā’’ti (vi. va. 1034) āgatā. Tesaṃ pana tettisaṃkumbhānaṃ majjhe sudassanakumbho nāma tiṃsayojanamatto hoti, tattha yojanappamāṇo maṇipallaṅko tiyojanubbedhe pupphamaṇḍape attharīyati. Tattha sakko devānamindo accharāsaṅghaparivuto dibbasampattiṃ paccanubhoti. Sakke pana devānaminde uyyānakīḷāto paṭinivatte puna taṃ rūpaṃ saṃharitvāna devaputtova hoti. Taṃ sandhāyāha – ‘‘āgañchi te santike nāgarājā erāvaṇo nāmā’’ti. Jinoti sutvāti ‘‘vijitapāpadhammo esa bhagavā’’ti evaṃ sutvā. Sopi tayā mantayitvāti tayā saddhiṃ mantayitvā, pañhaṃ pucchitvāti adhippāyo. Ajjhagamāti adhiagamā, gatoti vuttaṃ hoti. Sādhūti sutvāna patītarūpoti taṃ pañhaṃ sutvā ‘‘sādhu bhante’’ti abhinanditvā tuṭṭharūpo gatoti attho.
๓๘๓. ราชาปิ ตํ เวสฺสวโณ กุเวโรติ เอตฺถ โส ยโกฺข รญฺชนเฎฺฐน ราชา, วิสาณาย ราชธานิยา รชฺชํ กาเรตีติ เวสฺสวโณ, ปุริมนาเมน กุเวโรติ เวทิตโพฺพฯ โส กิร กุเวโร นาม พฺราหฺมณมหาสาโล หุตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา วิสาณาย ราชธานิยา อธิปติ หุตฺวา นิพฺพโตฺตฯ ตสฺมา ‘‘กุเวโร เวสฺสวโณ’’ติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺจตํ อาฎานาฎิยสุเตฺต –
383.Rājāpi taṃ vessavaṇo kuveroti ettha so yakkho rañjanaṭṭhena rājā, visāṇāya rājadhāniyā rajjaṃ kāretīti vessavaṇo, purimanāmena kuveroti veditabbo. So kira kuvero nāma brāhmaṇamahāsālo hutvā dānādīni puññāni katvā visāṇāya rājadhāniyā adhipati hutvā nibbatto. Tasmā ‘‘kuvero vessavaṇo’’ti vuccati. Vuttañcetaṃ āṭānāṭiyasutte –
‘‘กุเวรสฺส โข ปน, มาริส, มหาราชสฺส วิสาณา นาม ราชธานี, ตสฺมา กุเวโร มหาราชา ‘เวสฺสวโณ’ติ ปวุจฺจตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๙๑) –
‘‘Kuverassa kho pana, mārisa, mahārājassa visāṇā nāma rājadhānī, tasmā kuvero mahārājā ‘vessavaṇo’ti pavuccatī’’ti (dī. ni. 3.291) –
เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ
Sesamettha pākaṭameva.
ตตฺถ สิยา – กสฺมา ปน ทูรตเร ตาวติํสภวเน วสโนฺต เอราวโณ ปฐมํ อาคโต, เวสฺสวโณ ปจฺฉา, เอกนคเรว วสโนฺต อยํ อุปาสโก สพฺพปจฺฉา, กถญฺจ โส เตสํ อาคมนํ อญฺญาสิ, เยน เอวมาหาติ? วุจฺจเต – เวสฺสวโณ กิร ตทา อเนกสหสฺสปวาฬปลฺลงฺกํ ทฺวาทสโยชนํ นาริวาหนํ อภิรุยฺห ปวาฬกุนฺตํ อุจฺจาเรตฺวา ทสสหสฺสโกฎิยเกฺขหิ ปริวุโต ‘‘ภควนฺตํ ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ อากาสฎฺฐกวิมานานิ ปริหริตฺวา มเคฺคน มคฺคํ อาคจฺฉโนฺต เวฬุกณฺฑกนคเร นนฺทมาตาย อุปาสิกาย นิเวสนสฺส อุปริภาคํ สมฺปโตฺตฯ อุปาสิกาย อยมานุภาโว – ปริสุทฺธสีลา โหติ, นิจฺจํ วิกาลโภชนา ปฎิวิรตา, ปิฎกตฺตยธารินี, อนาคามิผเล ปติฎฺฐิตาฯ สา ตมฺหิ สมเย สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา อุตุคฺคหณตฺถาย มาลุเตริโตกาเส ฐตฺวา อฎฺฐกปารายนวเคฺค ปริมณฺฑเลหิ ปทพฺยญฺชเนหิ มธุเรน สเรน ภาสติฯ เวสฺสวโณ ตเตฺถว ยานานิ ฐเปตฺวา ยาว อุปาสิกา ‘‘อิทมโวจ ภควา มคเธสุ วิหรโนฺต ปาสาณเก เจติเย ปริจารกโสฬสนฺนํ พฺราหฺมณาน’’นฺติ นิคมนํ อภาสิ, ตาว สพฺพํ สุตฺวา วคฺคปริโยสาเน สุวณฺณมุรชสทิสํ มหนฺตํ คีวํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘สาธุ สาธุ ภคินี’’ติ สาธุการมทาสิฯ สา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ ภคินิ เวสฺสวโณ’’ติฯ อุปาสิกา กิร ปฐมํ โสตาปนฺนา อโหสิ, ปจฺฉา เวสฺสวโณฯ ตํ โส ธมฺมโต สโหทรภาวํ สนฺธาย อุปาสิกํ ภคินิวาเทน สมุทาจรติฯ อุปาสิกาย จ ‘‘วิกาโล, ภาติก ภทฺรมุข, ยสฺส ทานิ กาลํ มญฺญสี’’ติ วุโตฺต ‘‘อหํ ภคินิ ตยิ ปสโนฺน ปสนฺนาการํ กโรมี’’ติ อาหฯ เตน หิ ภทฺรมุข, มม เขเตฺต นิปฺผนฺนํ สาลิํ กมฺมกรา อาหริตุํ น สโกฺกนฺติ, ตํ ตว ปริสาย อาณาเปหีติฯ โส ‘‘สาธุ ภคินี’’ติ ยเกฺข อาณาเปสิฯ เต อฑฺฒเตรส โกฎฺฐาคารสตานิ ปูเรสุํฯ ตโต ปภุติ โกฎฺฐาคารํ อูนํ นาม นาโหสิ, ‘‘นนฺทมาตุ โกฎฺฐาคารํ วิยา’’ติ โลเก นิทสฺสนํ อโหสิฯ เวสฺสวโณ โกฎฺฐาคารานิ ปูเรตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิฯ ภควา ‘‘วิกาเล อาคโตสี’’ติ อาหฯ อถ ภควโต สพฺพํ อาโรเจสิฯ อิมินา การเณน อาสนฺนตเรปิ จาตุมหาราชิกภวเน วสโนฺต เวสฺสวโณ ปจฺฉา อาคโตฯ เอราวณสฺส ปน น กิญฺจิ อนฺตรา กรณียํ อโหสิ, เตน โส ปฐมตรํ อาคโตฯ
Tattha siyā – kasmā pana dūratare tāvatiṃsabhavane vasanto erāvaṇo paṭhamaṃ āgato, vessavaṇo pacchā, ekanagareva vasanto ayaṃ upāsako sabbapacchā, kathañca so tesaṃ āgamanaṃ aññāsi, yena evamāhāti? Vuccate – vessavaṇo kira tadā anekasahassapavāḷapallaṅkaṃ dvādasayojanaṃ nārivāhanaṃ abhiruyha pavāḷakuntaṃ uccāretvā dasasahassakoṭiyakkhehi parivuto ‘‘bhagavantaṃ pañhaṃ pucchissāmī’’ti ākāsaṭṭhakavimānāni pariharitvā maggena maggaṃ āgacchanto veḷukaṇḍakanagare nandamātāya upāsikāya nivesanassa uparibhāgaṃ sampatto. Upāsikāya ayamānubhāvo – parisuddhasīlā hoti, niccaṃ vikālabhojanā paṭiviratā, piṭakattayadhārinī, anāgāmiphale patiṭṭhitā. Sā tamhi samaye sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā utuggahaṇatthāya māluteritokāse ṭhatvā aṭṭhakapārāyanavagge parimaṇḍalehi padabyañjanehi madhurena sarena bhāsati. Vessavaṇo tattheva yānāni ṭhapetvā yāva upāsikā ‘‘idamavoca bhagavā magadhesu viharanto pāsāṇake cetiye paricārakasoḷasannaṃ brāhmaṇāna’’nti nigamanaṃ abhāsi, tāva sabbaṃ sutvā vaggapariyosāne suvaṇṇamurajasadisaṃ mahantaṃ gīvaṃ paggahetvā ‘‘sādhu sādhu bhaginī’’ti sādhukāramadāsi. Sā ‘‘ko etthā’’ti āha. ‘‘Ahaṃ bhagini vessavaṇo’’ti. Upāsikā kira paṭhamaṃ sotāpannā ahosi, pacchā vessavaṇo. Taṃ so dhammato sahodarabhāvaṃ sandhāya upāsikaṃ bhaginivādena samudācarati. Upāsikāya ca ‘‘vikālo, bhātika bhadramukha, yassa dāni kālaṃ maññasī’’ti vutto ‘‘ahaṃ bhagini tayi pasanno pasannākāraṃ karomī’’ti āha. Tena hi bhadramukha, mama khette nipphannaṃ sāliṃ kammakarā āharituṃ na sakkonti, taṃ tava parisāya āṇāpehīti. So ‘‘sādhu bhaginī’’ti yakkhe āṇāpesi. Te aḍḍhaterasa koṭṭhāgārasatāni pūresuṃ. Tato pabhuti koṭṭhāgāraṃ ūnaṃ nāma nāhosi, ‘‘nandamātu koṭṭhāgāraṃ viyā’’ti loke nidassanaṃ ahosi. Vessavaṇo koṭṭhāgārāni pūretvā bhagavantaṃ upasaṅkami. Bhagavā ‘‘vikāle āgatosī’’ti āha. Atha bhagavato sabbaṃ ārocesi. Iminā kāraṇena āsannatarepi cātumahārājikabhavane vasanto vessavaṇo pacchā āgato. Erāvaṇassa pana na kiñci antarā karaṇīyaṃ ahosi, tena so paṭhamataraṃ āgato.
อยํ ปน อุปาสโก กิญฺจาปิ อนาคามี ปกติยาว เอกภตฺติโก, ตถาปิ ตทา อุโปสถทิวโสติ กตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย สายนฺหสมยํ สุนิวโตฺถ สุปารุโต ปญฺจสตอุปาสกปริวุโต เชตวนํ คนฺตฺวา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา อตฺตโน ฆรํ อาคมฺม เตสํ อุปาสกานํ สรณสีลอุโปสถานิสํสาทิเภทํ อุปาสกธมฺมํ กเถตฺวา เต อุปาสเก อุโยฺยเชสิฯ เตสญฺจ ตเสฺสว ฆเร มุฎฺฐิหตฺถปฺปมาณปาทกานิ ปญฺจ กปฺปิยมญฺจสตานิ ปาเฎโกฺกวรเกสุ ปญฺญตฺตานิ โหนฺติฯ เต อตฺตโน อตฺตโน โอวรกํ ปวิสิตฺวา สมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทิํสุ, อุปาสโกปิ ตเถวากาสิฯ เตน จ สมเยน สาวตฺถินคเร สตฺตปญฺญาส กุลสตสหสฺสานิ วสนฺติ, มนุสฺสคณนาย อฎฺฐารสโกฎิมนุสฺสาฯ เตน ปฐมยาเม หตฺถิอสฺสมนุสฺสเภริสทฺทาทีหิ สาวตฺถินครํ มหาสมุโทฺท วิย เอกสทฺทํ โหติฯ มชฺฌิมยามสมนนฺตเร โส สโทฺท ปฎิปฺปสฺสมฺภติ ฯ ตมฺหิ กาเล อุปาสโก สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย อตฺตโน คุเณ อาวเชฺชตฺวา ‘‘เยนาหํ มคฺคสุเขน ผลสุเขน สุขิโต วิหรามิ, อิทํ สุขํ กํ นิสฺสาย ลทฺธ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ภควนฺตํ นิสฺสายา’’ติ ภควติ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา ‘‘ภควา เอตรหิ กตเมน วิหาเรน วิหรตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ทิเพฺพน จกฺขุนา เอราวณเวสฺสวเณ ทิสฺวา ทิพฺพาย โสตธาตุยา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เจโตปริยญาเณน เตสํ ปสนฺนจิตฺตตํ ญตฺวา ‘‘ยํนูนาหมฺปิ ภควนฺตํ อุภยหิตํ ปฎิปทํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ จิเนฺตสิฯ ตสฺมา โส เอกนคเร วสโนฺตปิ สพฺพปจฺฉา อาคโต, เอวญฺจ เนสํ อาคมนํ อญฺญาสิฯ เตนาห – ‘‘อาคญฺฉิ เต สนฺติเก นาคราชา…เป.… โส จาปิ สุตฺวาน ปตีตรูโป’’ติฯ
Ayaṃ pana upāsako kiñcāpi anāgāmī pakatiyāva ekabhattiko, tathāpi tadā uposathadivasoti katvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya sāyanhasamayaṃ sunivattho supāruto pañcasataupāsakaparivuto jetavanaṃ gantvā dhammadesanaṃ sutvā attano gharaṃ āgamma tesaṃ upāsakānaṃ saraṇasīlauposathānisaṃsādibhedaṃ upāsakadhammaṃ kathetvā te upāsake uyyojesi. Tesañca tasseva ghare muṭṭhihatthappamāṇapādakāni pañca kappiyamañcasatāni pāṭekkovarakesu paññattāni honti. Te attano attano ovarakaṃ pavisitvā samāpattiṃ appetvā nisīdiṃsu, upāsakopi tathevākāsi. Tena ca samayena sāvatthinagare sattapaññāsa kulasatasahassāni vasanti, manussagaṇanāya aṭṭhārasakoṭimanussā. Tena paṭhamayāme hatthiassamanussabherisaddādīhi sāvatthinagaraṃ mahāsamuddo viya ekasaddaṃ hoti. Majjhimayāmasamanantare so saddo paṭippassambhati . Tamhi kāle upāsako samāpattito vuṭṭhāya attano guṇe āvajjetvā ‘‘yenāhaṃ maggasukhena phalasukhena sukhito viharāmi, idaṃ sukhaṃ kaṃ nissāya laddha’’nti cintetvā ‘‘bhagavantaṃ nissāyā’’ti bhagavati cittaṃ pasādetvā ‘‘bhagavā etarahi katamena vihārena viharatī’’ti āvajjento dibbena cakkhunā erāvaṇavessavaṇe disvā dibbāya sotadhātuyā dhammadesanaṃ sutvā cetopariyañāṇena tesaṃ pasannacittataṃ ñatvā ‘‘yaṃnūnāhampi bhagavantaṃ ubhayahitaṃ paṭipadaṃ puccheyya’’nti cintesi. Tasmā so ekanagare vasantopi sabbapacchā āgato, evañca nesaṃ āgamanaṃ aññāsi. Tenāha – ‘‘āgañchi te santike nāgarājā…pe… so cāpi sutvāna patītarūpo’’ti.
๓๘๔. อิทานิ อิโต พหิทฺธา โลกสมฺมเตหิ สมณพฺราหฺมเณหิ อุกฺกฎฺฐภาเวน ภควนฺตํ ปสํสโนฺต ‘‘เย เกจิเม’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ ติตฺถิยาติ นนฺทวจฺฉสํกิเจฺจหิ อาทิปุคฺคเลหิ ตีหิ ติตฺถกเรหิ กเต ทิฎฺฐิติเตฺถ ชาตา, เตสํ สาสเน ปพฺพชิตา ปูรณาทโย ฉ สตฺถาโรฯ ตตฺถ นาฎปุโตฺต นิคโณฺฐ, อวเสสา อาชีวกาติ เต สเพฺพ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เย เกจิเม ติตฺถิยา วาทสีลา’’ติ, ‘‘มยํ สมฺมา ปฎิปนฺนา, อเญฺญ มิจฺฉา ปฎิปนฺนา’’ติ เอวํ วาทกรณสีลา โลกํ มุขสตฺตีหิ วิตุทนฺตา วิจรนฺติฯ อาชีวกา วาติ เต เอกชฺฌมุทฺทิเฎฺฐ ภินฺทิตฺวา ทเสฺสติฯ นาติตรนฺตีติ นาติกฺกมนฺติฯ สเพฺพติ อเญฺญปิ เย เกจิ ติตฺถิยสาวกาทโย, เตปิ ปริคฺคณฺหโนฺต อาหฯ ‘‘ฐิโต วชนฺตํ วิยา’’ติ ยถา โกจิ ฐิโต คติวิกโล สีฆคามินํ ปุริสํ คจฺฉนฺตํ นาติตเรยฺย, เอวํ เต ปญฺญาคติยา อภาเวน เต เต อตฺถปฺปเภเท พุชฺฌิตุํ อสโกฺกนฺตา ฐิตา, อติชวนปญฺญํ ภควนฺตํ นาติตรนฺตีติ อโตฺถฯ
384. Idāni ito bahiddhā lokasammatehi samaṇabrāhmaṇehi ukkaṭṭhabhāvena bhagavantaṃ pasaṃsanto ‘‘ye kecime’’ti gāthādvayamāha. Tattha titthiyāti nandavacchasaṃkiccehi ādipuggalehi tīhi titthakarehi kate diṭṭhititthe jātā, tesaṃ sāsane pabbajitā pūraṇādayo cha satthāro. Tattha nāṭaputto nigaṇṭho, avasesā ājīvakāti te sabbe dassento āha ‘‘ye kecime titthiyā vādasīlā’’ti, ‘‘mayaṃ sammā paṭipannā, aññe micchā paṭipannā’’ti evaṃ vādakaraṇasīlā lokaṃ mukhasattīhi vitudantā vicaranti. Ājīvakā vāti te ekajjhamuddiṭṭhe bhinditvā dasseti. Nātitarantīti nātikkamanti. Sabbeti aññepi ye keci titthiyasāvakādayo, tepi pariggaṇhanto āha. ‘‘Ṭhito vajantaṃ viyā’’ti yathā koci ṭhito gativikalo sīghagāminaṃ purisaṃ gacchantaṃ nātitareyya, evaṃ te paññāgatiyā abhāvena te te atthappabhede bujjhituṃ asakkontā ṭhitā, atijavanapaññaṃ bhagavantaṃ nātitarantīti attho.
๓๘๕. พฺราหฺมณา วาทสีลา วุทฺธา จาติ เอตฺตาวตา จงฺกีตารุกฺขโปกฺขรสาติชาณุโสฺสณิอาทโย ทเสฺสติ, อปิ พฺราหฺมณา สนฺติ เกจีติ อิมินา มชฺฌิมาปิ ทหราปิ เกวลํ พฺราหฺมณา สนฺติ อตฺถิ อุปลพฺภนฺติ เกจีติ เอวํ อสฺสลายนวาเสฎฺฐอมฺพฎฺฐอุตฺตรมาณวกาทโย ทเสฺสติฯ อตฺถพทฺธาติ ‘‘อปิ นุ โข อิมํ ปญฺหํ พฺยากเรยฺย, อิมํ กงฺขํ ฉิเนฺทยฺยา’’ติ เอวํ อตฺถพทฺธา ภวนฺติฯ เย จาปิ อเญฺญติ อเญฺญปิ เย ‘‘มยํ วาทิโน’’ติ เอวํ มญฺญมานา วิจรนฺติ ขตฺติยปณฺฑิตพฺราหฺมณพฺรหฺมเทวยกฺขาทโย อปริมาณาฯ เตปิ สเพฺพ ตยิ อตฺถพทฺธา ภวนฺตีติ ทเสฺสติฯ
385.Brāhmaṇā vādasīlā vuddhā cāti ettāvatā caṅkītārukkhapokkharasātijāṇussoṇiādayo dasseti, api brāhmaṇā santi kecīti iminā majjhimāpi daharāpi kevalaṃ brāhmaṇā santi atthi upalabbhanti kecīti evaṃ assalāyanavāseṭṭhaambaṭṭhauttaramāṇavakādayo dasseti. Atthabaddhāti ‘‘api nu kho imaṃ pañhaṃ byākareyya, imaṃ kaṅkhaṃ chindeyyā’’ti evaṃ atthabaddhā bhavanti. Ye cāpi aññeti aññepi ye ‘‘mayaṃ vādino’’ti evaṃ maññamānā vicaranti khattiyapaṇḍitabrāhmaṇabrahmadevayakkhādayo aparimāṇā. Tepi sabbe tayi atthabaddhā bhavantīti dasseti.
๓๘๖-๗. เอวํ นานปฺปกาเรหิ ภควนฺตํ ปสํสิตฺวา อิทานิ ธเมฺมเนว ตํ ปสํสิตฺวา ธมฺมกถํ ยาจโนฺต ‘‘อยญฺหิ ธโมฺม’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ อยญฺหิ ธโมฺมติ สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธเมฺม สนฺธายาหฯ นิปุโณติ สโณฺห ทุปฺปฎิวิโชฺฌฯ สุโขติ ปฎิวิโทฺธ สมาโน โลกุตฺตรสุขมาวหติ, ตสฺมา สุขาวหตฺตา ‘‘สุโข’’ติ วุจฺจติฯ สุปฺปวุโตฺตติ สุเทสิโตฯ สุสฺสูสมานาติ โสตุกามมฺหาติ อโตฺถฯ ตํ โน วทาติ ตํ ธมฺมํ อมฺหากํ วทฯ ‘‘ตฺวํ โน’’ติปิ ปาโฐ, ตฺวํ อมฺหากํ วทาติ อโตฺถฯ สเพฺพปิเม ภิกฺขโวติ ตงฺขณํ นิสินฺนานิ กิร ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ โหนฺติ, ตานิ ทเสฺสโนฺต ยาจติฯ อุปาสกา จาปีติ อตฺตโน ปริวาเร อเญฺญ จ ทเสฺสติฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ
386-7. Evaṃ nānappakārehi bhagavantaṃ pasaṃsitvā idāni dhammeneva taṃ pasaṃsitvā dhammakathaṃ yācanto ‘‘ayañhi dhammo’’ti gāthādvayamāha. Tattha ayañhi dhammoti sattatiṃsa bodhipakkhiyadhamme sandhāyāha. Nipuṇoti saṇho duppaṭivijjho. Sukhoti paṭividdho samāno lokuttarasukhamāvahati, tasmā sukhāvahattā ‘‘sukho’’ti vuccati. Suppavuttoti sudesito. Sussūsamānāti sotukāmamhāti attho. Taṃ no vadāti taṃ dhammaṃ amhākaṃ vada. ‘‘Tvaṃ no’’tipi pāṭho, tvaṃ amhākaṃ vadāti attho. Sabbepime bhikkhavoti taṅkhaṇaṃ nisinnāni kira pañca bhikkhusatāni honti, tāni dassento yācati. Upāsakā cāpīti attano parivāre aññe ca dasseti. Sesamettha pākaṭameva.
๓๘๘. อถ ภควา อนคาริยปฎิปทํ ตาว ทเสฺสตุํ ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘สุณาถ เม ภิกฺขโว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ธมฺมํ ธุตํ ตญฺจ จราถ สเพฺพติ กิเลเส ธุนาตีติ ธุโต, เอวรูปํ กิเลสธุนนกํ ปฎิปทาธมฺมํ สาวยามิ โว, ตญฺจ มยา สาวิตํ สเพฺพ จรถ ปฎิปชฺชถ, มา ปมาทิตฺถาติ วุตฺตํ โหติฯ อิริยาปถนฺติ คมนาทิจตุพฺพิธํฯ ปพฺพชิตานุโลมิกนฺติ สมณสารุปฺปํ สติสมฺปชญฺญยุตฺตํฯ อรเญฺญ กมฺมฎฺฐานานุโยควเสน ปวตฺตเมวาติ อปเรฯ เสเวถ นนฺติ ตํ อิริยาปถํ ภเชยฺย ฯ อตฺถทโสติ หิตานุปสฺสีฯ มุตีมาติ พุทฺธิมาฯ เสสเมตฺถ คาถาย ปากฎเมวฯ
388. Atha bhagavā anagāriyapaṭipadaṃ tāva dassetuṃ bhikkhū āmantetvā ‘‘suṇātha me bhikkhavo’’tiādimāha. Tattha dhammaṃ dhutaṃ tañca carātha sabbeti kilese dhunātīti dhuto, evarūpaṃ kilesadhunanakaṃ paṭipadādhammaṃ sāvayāmi vo, tañca mayā sāvitaṃ sabbe caratha paṭipajjatha, mā pamāditthāti vuttaṃ hoti. Iriyāpathanti gamanādicatubbidhaṃ. Pabbajitānulomikanti samaṇasāruppaṃ satisampajaññayuttaṃ. Araññe kammaṭṭhānānuyogavasena pavattamevāti apare. Sevetha nanti taṃ iriyāpathaṃ bhajeyya . Atthadasoti hitānupassī. Mutīmāti buddhimā. Sesamettha gāthāya pākaṭameva.
๓๘๙. โน เว วิกาเลติ เอวํ ปพฺพชิตานุโลมิกํ อิริยาปถํ เสวมาโน จ ทิวามชฺฌนฺหิกวีติกฺกมํ อุปาทาย วิกาเล น จเรยฺย ภิกฺขุ, ยุตฺตกาเล เอว ปน คามํ ปิณฺฑาย จเรยฺยฯ กิํ การณํ? อกาลจาริญฺหิ สชนฺติ สงฺคา, อกาลจาริํ ปุคฺคลํ ราคสงฺคาทโย อเนเก สงฺคา สชนฺติ ปริสฺสชนฺติ อุปคุหนฺติ อลฺลียนฺติฯ ตสฺมา วิกาเล น จรนฺติ พุทฺธา, ตสฺมา เย จตุสจฺจพุทฺธา อริยปุคฺคลา, น เต วิกาเล ปิณฺฑาย จรนฺตีติฯ เตน กิร สมเยน วิกาลโภชนสิกฺขาปทํ อปฺปญฺญตฺตํ โหติ, ตสฺมา ธมฺมเทสนาวเสเนเวตฺถ ปุถุชฺชนานํ อาทีนวํ ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมาหฯ อริยา ปน สห มคฺคปฎิลาภา เอว ตโต ปฎิวิรตา โหนฺติ, เอสา ธมฺมตาฯ
389.No ve vikāleti evaṃ pabbajitānulomikaṃ iriyāpathaṃ sevamāno ca divāmajjhanhikavītikkamaṃ upādāya vikāle na careyya bhikkhu, yuttakāle eva pana gāmaṃ piṇḍāya careyya. Kiṃ kāraṇaṃ? Akālacāriñhi sajanti saṅgā, akālacāriṃ puggalaṃ rāgasaṅgādayo aneke saṅgā sajanti parissajanti upaguhanti allīyanti. Tasmā vikāle nacaranti buddhā, tasmā ye catusaccabuddhā ariyapuggalā, na te vikāle piṇḍāya carantīti. Tena kira samayena vikālabhojanasikkhāpadaṃ appaññattaṃ hoti, tasmā dhammadesanāvasenevettha puthujjanānaṃ ādīnavaṃ dassento imaṃ gāthamāha. Ariyā pana saha maggapaṭilābhā eva tato paṭiviratā honti, esā dhammatā.
๓๙๐. เอวํ วิกาลจริยํ ปฎิเสเธตฺวา ‘‘กาเล จรเนฺตนปิ เอวํ จริตพฺพ’’นฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘รูปา จ สทฺทา จา’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – เย เต รูปาทโย นานปฺปการกํ มทํ ชเนนฺตา สเตฺต สมฺมทยนฺติ, เตสุ ปิณฺฑปาตปาริสุทฺธิสุตฺตาทีสุ (ม. นิ. ๓.๔๓๘ อาทโย) วุตฺตนเยน ฉนฺทํ วิโนเทตฺวา ยุตฺตกาเลเนว ปาตราสํ ปวิเสยฺยาติฯ เอตฺถ จ ปาโต อสิตโพฺพติ ปาตราโส, ปิณฺฑปาตเสฺสตํ นามํฯ โย ยตฺถ ลพฺภติ, โส ปเทโสปิ ตํ โยเคน ‘‘ปาตราโส’’ติ อิธ วุโตฺตฯ ยโต ปิณฺฑปาตํ ลภติ, ตํ โอกาสํ คเจฺฉยฺยาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
390. Evaṃ vikālacariyaṃ paṭisedhetvā ‘‘kāle carantenapi evaṃ caritabba’’nti dassento āha ‘‘rūpā ca saddā cā’’ti. Tassattho – ye te rūpādayo nānappakārakaṃ madaṃ janentā satte sammadayanti, tesu piṇḍapātapārisuddhisuttādīsu (ma. ni. 3.438 ādayo) vuttanayena chandaṃ vinodetvā yuttakāleneva pātarāsaṃ paviseyyāti. Ettha ca pāto asitabboti pātarāso, piṇḍapātassetaṃ nāmaṃ. Yo yattha labbhati, so padesopi taṃ yogena ‘‘pātarāso’’ti idha vutto. Yato piṇḍapātaṃ labhati, taṃ okāsaṃ gaccheyyāti evamettha attho veditabbo.
๓๙๑. เอวํ ปวิโฎฺฐ –
391. Evaṃ paviṭṭho –
‘‘ปิณฺฑญฺจ ภิกฺขุ สมเยน ลทฺธา,
‘‘Piṇḍañca bhikkhu samayena laddhā,
เอโก ปฎิกฺกมฺม รโห นิสีเท;
Eko paṭikkamma raho nisīde;
อชฺฌตฺตจินฺตี น มโน พหิทฺธา,
Ajjhattacintī na mano bahiddhā,
นิจฺฉารเย สงฺคหิตตฺตภาโว’’ฯ
Nicchāraye saṅgahitattabhāvo’’.
ตตฺถ ปิณฺฑนฺติ มิสฺสกภิกฺขํ, สา หิ ตโต ตโต สโมธาเนตฺวา สมฺปิณฺฑิตเฎฺฐน ‘‘ปิโณฺฑ’’ติ วุจฺจติฯ สมเยนาติ อโนฺตมชฺฌนฺหิกกาเลฯ เอโก ปฎิกฺกมฺมาติ กายวิเวกํ สมฺปาเทโนฺต อทุติโย นิวตฺติตฺวาฯ อชฺฌตฺตจินฺตีติ ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา ขนฺธสนฺตานํ จิเนฺตโนฺตฯ น มโน พหิทฺธา นิจฺฉารเยติ พหิทฺธา รูปาทีสุ ราควเสน จิตฺตํ น นีหเรฯ สงฺคหิตตฺตภาโวติ สุฎฺฐุ คหิตจิโตฺตฯ
Tattha piṇḍanti missakabhikkhaṃ, sā hi tato tato samodhānetvā sampiṇḍitaṭṭhena ‘‘piṇḍo’’ti vuccati. Samayenāti antomajjhanhikakāle. Eko paṭikkammāti kāyavivekaṃ sampādento adutiyo nivattitvā. Ajjhattacintīti tilakkhaṇaṃ āropetvā khandhasantānaṃ cintento. Na mano bahiddhānicchārayeti bahiddhā rūpādīsu rāgavasena cittaṃ na nīhare. Saṅgahitattabhāvoti suṭṭhu gahitacitto.
๓๙๒. เอวํ วิหรโนฺต จ –
392. Evaṃ viharanto ca –
‘‘สเจปิ โส สลฺลเป สาวเกน,
‘‘Sacepi so sallape sāvakena,
อเญฺญน วา เกนจิ ภิกฺขุนา วา;
Aññena vā kenaci bhikkhunā vā;
ธมฺมํ ปณีตํ ตมุทาหเรยฺย,
Dhammaṃ paṇītaṃ tamudāhareyya,
น เปสุณํ โนปิ ปรูปวาทํ’’ฯ
Na pesuṇaṃ nopi parūpavādaṃ’’.
กิํ วุตฺตํ โหติ? โส โยคาวจโร กิญฺจิเทว โสตุกามตาย อุปคเตน สาวเกน วา เกนจิ อญฺญติตฺถิยคหฎฺฐาทินา วา อิเธว ปพฺพชิเตน ภิกฺขุนา วา สทฺธิํ สเจปิ สลฺลเป, อถ ยฺวายํ มคฺคผลาทิปฎิสํยุโตฺต ทสกถาวตฺถุเภโท วา อตปฺปกเฎฺฐน ปณีโต ธโมฺมฯ ตํ ธมฺมํ ปณีตํ อุทาหเรยฺย, อญฺญํ ปน ปิสุณวจนํ วา ปรูปวาทํ วา อปฺปมตฺตกมฺปิ น อุทาหเรยฺยาติฯ
Kiṃ vuttaṃ hoti? So yogāvacaro kiñcideva sotukāmatāya upagatena sāvakena vā kenaci aññatitthiyagahaṭṭhādinā vā idheva pabbajitena bhikkhunā vā saddhiṃ sacepi sallape, atha yvāyaṃ maggaphalādipaṭisaṃyutto dasakathāvatthubhedo vā atappakaṭṭhena paṇīto dhammo. Taṃ dhammaṃ paṇītaṃ udāhareyya, aññaṃ pana pisuṇavacanaṃ vā parūpavādaṃ vā appamattakampi na udāhareyyāti.
๓๙๓. อิทานิ ตสฺมิํ ปรูปวาเท โทสํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘วาทญฺหิ เอเก’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – อิเธกเจฺจ โมฆปุริสา ปรูปวาทสญฺหิตํ นานปฺปการํ วิคฺคาหิกกถาเภทํ วาทํ ปฎิเสนิยนฺติ วิรุชฺฌนฺติ, ยุชฺฌิตุกามา หุตฺวา เสนาย ปฎิมุขํ คจฺฉนฺตา วิย โหนฺติ, เต มยํ ลามกปเญฺญ น ปสํสามฯ กิํ การณํ? ตโต ตโต เน ปสชนฺติ สงฺคา, ยสฺมา เต ตาทิสเก ปุคฺคเล ตโต ตโต วจนปถโต สมุฎฺฐาย วิวาทสงฺคา สชนฺติ อลฺลียนฺติฯ กิํ การณา สชนฺตีติ? จิตฺตญฺหิ เต ตตฺถ คเมนฺติ ทูเร, ยสฺมา เต ปฎิเสนิยนฺตา จิตฺตํ ตตฺถ คเมนฺติ, ยตฺถ คตํ สมถวิปสฺสนานํ ทูเร โหตีติฯ
393. Idāni tasmiṃ parūpavāde dosaṃ dassento āha ‘‘vādañhi eke’’ti. Tassattho – idhekacce moghapurisā parūpavādasañhitaṃ nānappakāraṃ viggāhikakathābhedaṃ vādaṃ paṭiseniyanti virujjhanti, yujjhitukāmā hutvā senāya paṭimukhaṃ gacchantā viya honti, te mayaṃ lāmakapaññe na pasaṃsāma. Kiṃ kāraṇaṃ? Tato tato ne pasajanti saṅgā, yasmā te tādisake puggale tato tato vacanapathato samuṭṭhāya vivādasaṅgā sajanti allīyanti. Kiṃ kāraṇā sajantīti? Cittañhi te tattha gamenti dūre, yasmā te paṭiseniyantā cittaṃ tattha gamenti, yattha gataṃ samathavipassanānaṃ dūre hotīti.
๓๙๔-๕. เอวํ ปริตฺตปญฺญานํ ปวตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ มหาปญฺญานํ ปวตฺติํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ปิณฺฑํ วิหารํ…เป.… สาวโก’’ติฯ ตตฺถ วิหาเรน ปติสฺสโย, สยนาสเนน มญฺจปีฐนฺติ ตีหิปิ ปเทหิ เสนาสนเมว วุตฺตํฯ อาปนฺติ อุทกํฯ สงฺฆาฎิรชูปวาหนนฺติ ปํสุมลาทิโน สงฺฆาฎิรชสฺส โธวนํฯ สุตฺวาน ธมฺมํ สุคเตน เทสิตนฺติ สพฺพาสวสํวราทีสุ ‘‘ปฎิสงฺขา โยนิโส จีวรํ ปฎิเสวติ สีตสฺส ปฎิฆาตายา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓; อ. นิ. ๖.๕๘) นเยน ภควตา เทสิตํ ธมฺมํ สุตฺวาฯ สงฺขาย เสเว วรปญฺญสาวโกติ เอตํ อิธ ปิณฺฑนฺติ วุตฺตํ ปิณฺฑปาตํ, วิหาราทีหิ วุตฺตํ เสนาสนํ, อาปมุเขน ทสฺสิตํ คิลานปจฺจยํ, สงฺฆาฎิยา จีวรนฺติ จตุพฺพิธมฺปิ ปจฺจยํ สงฺขาย ‘‘ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓; อ. นิ. ๖.๕๘) นเยน ปจฺจเวกฺขิตฺวา เสเว วรปญฺญสาวโก, เสวิตุํ สกฺกุเณยฺย วรปญฺญสฺส ตถาคตสฺส สาวโก เสโกฺข วา ปุถุชฺชโน วา, นิปฺปริยาเยน จ อรหาฯ โส หิ จตุราปเสฺสโน ‘‘สงฺขาเยกํ ปฎิเสวติ, สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ, สงฺขาเยกํ ปริวเชฺชติ, สงฺขาเยกํ วิโนเทตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๐๘; ม. นิ. ๒.๑๖๘; อ. นิ. ๑๐.๒๐) วุโตฺตฯ ยสฺสา จ สงฺขาย เสเว วรปญฺญสาวโก, ตสฺมา หิ ปิเณฺฑ…เป.… ยถา โปกฺขเร วาริพินฺทุ, ตถา โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
394-5. Evaṃ parittapaññānaṃ pavattiṃ dassetvā idāni mahāpaññānaṃ pavattiṃ dassento āha ‘‘piṇḍaṃ vihāraṃ…pe… sāvako’’ti. Tattha vihārena patissayo, sayanāsanena mañcapīṭhanti tīhipi padehi senāsanameva vuttaṃ. Āpanti udakaṃ. Saṅghāṭirajūpavāhananti paṃsumalādino saṅghāṭirajassa dhovanaṃ. Sutvāna dhammaṃ sugatena desitanti sabbāsavasaṃvarādīsu ‘‘paṭisaṅkhā yoniso cīvaraṃ paṭisevati sītassa paṭighātāyā’’tiādinā (ma. ni. 1.23; a. ni. 6.58) nayena bhagavatā desitaṃ dhammaṃ sutvā. Saṅkhāya sevevarapaññasāvakoti etaṃ idha piṇḍanti vuttaṃ piṇḍapātaṃ, vihārādīhi vuttaṃ senāsanaṃ, āpamukhena dassitaṃ gilānapaccayaṃ, saṅghāṭiyā cīvaranti catubbidhampi paccayaṃ saṅkhāya ‘‘yāvadeva imassa kāyassa ṭhitiyā’’tiādinā (ma. ni. 1.23; a. ni. 6.58) nayena paccavekkhitvā seve varapaññasāvako, sevituṃ sakkuṇeyya varapaññassa tathāgatassa sāvako sekkho vā puthujjano vā, nippariyāyena ca arahā. So hi caturāpasseno ‘‘saṅkhāyekaṃ paṭisevati, saṅkhāyekaṃ adhivāseti, saṅkhāyekaṃ parivajjeti, saṅkhāyekaṃ vinodetī’’ti (dī. ni. 3.308; ma. ni. 2.168; a. ni. 10.20) vutto. Yassā ca saṅkhāya seve varapaññasāvako, tasmā hi piṇḍe…pe… yathā pokkhare vāribindu, tathā hotīti veditabbo.
๓๙๖. เอวํ ขีณาสวปฎิปตฺติํ ทเสฺสโนฺต อรหตฺตนิกูเฎน อนคาริยปฎิปทํ นิฎฺฐาเปตฺวา อิทานิ อคาริยปฎิปทํ ทเสฺสตุํ ‘‘คหฎฺฐวตฺตํ ปน โว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาว สาวโกติ อคาริยสาวโกฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ อยํ ปน โยชนา – โย มยา อิโต ปุเพฺพ เกวโล อพฺยามิโสฺส สกโล ปริปุโณฺณ ภิกฺขุธโมฺม กถิโตฯ เอส เขตฺตวตฺถุอาทิปริคฺคเหหิ สปริคฺคเหน น ลพฺภา ผเสฺสตุํ น สกฺกา อธิคนฺตุนฺติฯ
396. Evaṃ khīṇāsavapaṭipattiṃ dassento arahattanikūṭena anagāriyapaṭipadaṃ niṭṭhāpetvā idāni agāriyapaṭipadaṃ dassetuṃ ‘‘gahaṭṭhavattaṃ pana vo’’tiādimāha. Tattha paṭhamagāthāya tāva sāvakoti agāriyasāvako. Sesaṃ uttānatthameva. Ayaṃ pana yojanā – yo mayā ito pubbe kevalo abyāmisso sakalo paripuṇṇo bhikkhudhammo kathito. Esa khettavatthuādipariggahehi sapariggahena na labbhā phassetuṃ na sakkā adhigantunti.
๓๙๗. เอวํ ตสฺส ภิกฺขุธมฺมํ ปฎิเสเธตฺวา คหฎฺฐธมฺมเมว ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ปาณํ น หเน’’ติฯ ตตฺถ ปุริมเฑฺฒน ติโกฎิปริสุทฺธา ปาณาติปาตาเวรมณิ วุตฺตา, ปจฺฉิมเฑฺฒน สเตฺตสุ หิตปฎิปตฺติฯ ตติยปาโท เจตฺถ ขคฺควิสาณสุเตฺต (สุ. นิ. ๓๕ อาทโย) จตุตฺถปาเท ถาวรตสเภโท เมตฺตสุตฺตวณฺณนายํ (สุ. นิ. ๑๔๓ อาทโย) สพฺพปฺปการโต วณฺณิโตฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ อุปฺปฎิปาฎิยา ปน โยชนา กาตพฺพา – ตสถาวเรสุ สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ น หเน น ฆาตเยยฺย นานุชญฺญาติฯ ‘‘นิธาย ทณฺฑ’’นฺติ อิโต วา ปรํ ‘‘วเตฺตยฺยา’’ติ ปาฐเสโส อาหริตโพฺพฯ อิตรถา หิ น ปุเพฺพนาปรํ สนฺธิยติฯ
397. Evaṃ tassa bhikkhudhammaṃ paṭisedhetvā gahaṭṭhadhammameva dassento āha ‘‘pāṇaṃ na hane’’ti. Tattha purimaḍḍhena tikoṭiparisuddhā pāṇātipātāveramaṇi vuttā, pacchimaḍḍhena sattesu hitapaṭipatti. Tatiyapādo cettha khaggavisāṇasutte (su. ni. 35 ādayo) catutthapāde thāvaratasabhedo mettasuttavaṇṇanāyaṃ (su. ni. 143 ādayo) sabbappakārato vaṇṇito. Sesaṃ uttānatthameva. Uppaṭipāṭiyā pana yojanā kātabbā – tasathāvaresu sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍaṃ na hane na ghātayeyya nānujaññāti. ‘‘Nidhāya daṇḍa’’nti ito vā paraṃ ‘‘vatteyyā’’ti pāṭhaseso āharitabbo. Itarathā hi na pubbenāparaṃ sandhiyati.
๓๙๘. เอวํ ปฐมสิกฺขาปทํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ทุติยสิกฺขาปทํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ตโต อทินฺน’’นฺติฯ ตตฺถ กิญฺจีติ อปฺปํ วา พหุํ วาฯ กฺวจีติ คาเม วา อรเญฺญ วาฯ สาวโกติ อคาริยสาวโกฯ พุชฺฌมาโนติ ‘‘ปรสนฺตกมิท’’นฺติ ชานมาโนฯ สพฺพํ อทินฺนํ ปริวชฺชเยยฺยาติ เอวญฺหิ ปฎิปชฺชมาโน สพฺพํ อทินฺนํ ปริวเชฺชยฺย, โน อญฺญถาติ ทีเปติฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยญฺจ ปากฎญฺจาติฯ
398. Evaṃ paṭhamasikkhāpadaṃ dassetvā idāni dutiyasikkhāpadaṃ dassento āha ‘‘tato adinna’’nti. Tattha kiñcīti appaṃ vā bahuṃ vā. Kvacīti gāme vā araññe vā. Sāvakoti agāriyasāvako. Bujjhamānoti ‘‘parasantakamida’’nti jānamāno. Sabbaṃ adinnaṃ parivajjayeyyāti evañhi paṭipajjamāno sabbaṃ adinnaṃ parivajjeyya, no aññathāti dīpeti. Sesamettha vuttanayañca pākaṭañcāti.
๓๙๙. เอวํ ทุติยสิกฺขาปทมฺปิ ติโกฎิปริสุทฺธํ ทเสฺสตฺวา อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทโต ปภุติ ตติยํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อพฺรหฺมจริย’’นฺติฯ ตตฺถ อสมฺภุณโนฺตติ อสโกฺกโนฺตฯ
399. Evaṃ dutiyasikkhāpadampi tikoṭiparisuddhaṃ dassetvā ukkaṭṭhaparicchedato pabhuti tatiyaṃ dassento āha ‘‘abrahmacariya’’nti. Tattha asambhuṇantoti asakkonto.
๔๐๐. อิทานิ จตุตฺถสิกฺขาปทํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘สภคฺคโต วา’’ติฯ ตตฺถ สภคฺคโตติ สนฺถาคาราทิคโตฯ ปริสคฺคโตติ ปูคมชฺชคโตฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยญฺจ ปากฎญฺจาติฯ
400. Idāni catutthasikkhāpadaṃ dassento āha ‘‘sabhaggato vā’’ti. Tattha sabhaggatoti santhāgārādigato. Parisaggatoti pūgamajjagato. Sesamettha vuttanayañca pākaṭañcāti.
๔๐๑. เอวํ จตุตฺถสิกฺขาปทมฺปิ ติโกฎิปริสุทฺธํ ทเสฺสตฺวา ปญฺจมํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘มชฺชญฺจ ปาน’’นฺติฯ ตตฺถ มชฺชญฺจ ปานนฺติ คาถาพนฺธสุขตฺถํ เอวํ วุตฺตํฯ อยํ ปนโตฺถ ‘‘มชฺชปานญฺจ น สมาจเรยฺยา’’ติฯ ธมฺมํ อิมนฺติ อิมํ มชฺชปานเวรมณีธมฺมํฯ อุมฺมาทนนฺตนฺติ อุมฺมาทนปริโยสานํฯ โย หิ สพฺพลหุโก มชฺชปานสฺส วิปาโก, โส มนุสฺสภูตสฺส อุมฺมตฺตกสํวตฺตนิโก โหติฯ อิติ นํ วิทิตฺวาติ อิติ นํ มชฺชปานํ ญตฺวาฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยญฺจ ปากฎญฺจาติฯ
401. Evaṃ catutthasikkhāpadampi tikoṭiparisuddhaṃ dassetvā pañcamaṃ dassento āha ‘‘majjañca pāna’’nti. Tattha majjañca pānanti gāthābandhasukhatthaṃ evaṃ vuttaṃ. Ayaṃ panattho ‘‘majjapānañca na samācareyyā’’ti. Dhammaṃ imanti imaṃ majjapānaveramaṇīdhammaṃ. Ummādanantanti ummādanapariyosānaṃ. Yo hi sabbalahuko majjapānassa vipāko, so manussabhūtassa ummattakasaṃvattaniko hoti. Iti naṃ viditvāti iti naṃ majjapānaṃ ñatvā. Sesamettha vuttanayañca pākaṭañcāti.
๔๐๒. เอวํ ปญฺจมสิกฺขาปทมฺปิ ติโกฎิปริสุทฺธํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปุริมสิกฺขาปทานมฺปิ มชฺชปานเมว สํกิเลสกรญฺจ เภทกรญฺจ ทเสฺสตฺวา ทฬฺหตรํ ตโต เวรมณิยํ นิโยเชโนฺต อาห ‘‘มทา หิ ปาปานิ กโรนฺตี’’ติฯ ตตฺถ มทาติ มทเหตุฯ หิกาโร ปทปูรณมเตฺต นิปาโตฯ ปาปานิ กโรนฺตีติ ปาณาติปาตาทีนิ สพฺพากุสลานิ กโรนฺติฯ อุมฺมาทนํ โมหนนฺติ ปรโลเก อุมฺมาทนํ อิหโลเก โมหนํฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
402. Evaṃ pañcamasikkhāpadampi tikoṭiparisuddhaṃ dassetvā idāni purimasikkhāpadānampi majjapānameva saṃkilesakarañca bhedakarañca dassetvā daḷhataraṃ tato veramaṇiyaṃ niyojento āha ‘‘madā hi pāpāni karontī’’ti. Tattha madāti madahetu. Hikāro padapūraṇamatte nipāto. Pāpāni karontīti pāṇātipātādīni sabbākusalāni karonti. Ummādanaṃ mohananti paraloke ummādanaṃ ihaloke mohanaṃ. Sesaṃ uttānatthameva.
๔๐๓-๔. เอตฺตาวตา อคาริยสาวกสฺส นิจฺจสีลํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อุโปสถงฺคานิ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปาณํ น หเน’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ อพฺรหฺมจริยาติ อเสฎฺฐจริยภูตาฯ เมถุนาติ เมถุนธมฺมสมาปตฺติโตฯ รตฺติํ น ภุเญฺชยฺย วิกาลโภชนนฺติ รตฺติมฺปิ น ภุเญฺชยฺย, ทิวาปิ กาลาติกฺกนฺตโภชนํ น ภุเญฺชยฺยฯ น จ คนฺธนฺติ เอตฺถ คนฺธคฺคหเณน วิเลปนจุณฺณาทีนิปิ คหิตาเนวาติ เวทิตพฺพานิฯ มเญฺจติ กปฺปิยมเญฺจฯ สนฺถเตติ ตฎฺฎิกาทีหิ กปฺปิยตฺถรเณหิ อตฺถเตฯ ฉมายํ ปน โคนกาทิสนฺถตายปิ วฎฺฎติฯ อฎฺฐงฺคิกนฺติ ปญฺจงฺคิกํ วิย ตูริยํ, น องฺควินิมุตฺตํฯ ทุกฺขนฺตคุนาติ วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตคเตนฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ ปจฺฉิมฑฺฒุํ ปน สงฺคีติการเกหิ วุตฺตนฺติปิ อาหุฯ
403-4. Ettāvatā agāriyasāvakassa niccasīlaṃ dassetvā idāni uposathaṅgāni dassento ‘‘pāṇaṃ na hane’’ti gāthādvayamāha. Tattha abrahmacariyāti aseṭṭhacariyabhūtā. Methunāti methunadhammasamāpattito. Rattiṃ na bhuñjeyya vikālabhojananti rattimpi na bhuñjeyya, divāpi kālātikkantabhojanaṃ na bhuñjeyya. Na ca gandhanti ettha gandhaggahaṇena vilepanacuṇṇādīnipi gahitānevāti veditabbāni. Mañceti kappiyamañce. Santhateti taṭṭikādīhi kappiyattharaṇehi atthate. Chamāyaṃ pana gonakādisanthatāyapi vaṭṭati. Aṭṭhaṅgikanti pañcaṅgikaṃ viya tūriyaṃ, na aṅgavinimuttaṃ. Dukkhantagunāti vaṭṭadukkhassa antagatena. Sesamettha pākaṭameva. Pacchimaḍḍhuṃ pana saṅgītikārakehi vuttantipi āhu.
๔๐๕. เอวํ อุโปสถงฺคานิ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อุโปสถกาลํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ตโต จ ปกฺขสฺสา’’ติฯ ตตฺถ ตโตติ ปทปูรณมเตฺต นิปาโตฯ ปกฺขสฺสุปวสฺสุโปสถนฺติ เอวํ ปรปเทน โยเชตพฺพํ ‘‘ปกฺขสฺส จาตุทฺทสิํ ปญฺจทสิํ อฎฺฐมินฺติ เอเต ตโย ทิวเส อุปวสฺส อุโปสถํ, เอตํ อฎฺฐงฺคิกอุโปสถํ อุปคมฺม วสิตฺวา’’ติฯ ปาฎิหาริยปกฺขญฺจาติ เอตฺถ ปน วสฺสูปนายิกาย ปุริมภาเค อาสาฬฺหมาโส, อโนฺตวสฺสํ ตโย มาสา, กตฺติกมาโสติ อิเม ปญฺจ มาสา ‘‘ปาฎิหาริยปโกฺข’’ติ วุจฺจนฺติฯ อาสาฬฺหกตฺติกผคฺคุณมาสา ตโย เอวาติ อปเรฯ ปกฺขุโปสถทิวสานํ ปุริมปจฺฉิมทิวสวเสน ปเกฺข ปเกฺข เตรสีปาฎิปทสตฺตมีนวมีสงฺขาตา จตฺตาโร จตฺตาโร ทิวสาติ อปเรฯ ยํ รุจฺจติ, ตํ คเหตพฺพํฯ สพฺพํ วา ปน ปุญฺญกามีนํ ภาสิตพฺพํฯ เอวเมตํ ปาฎิหาริยปกฺขญฺจ ปสนฺนมานโส สุสมตฺตรูปํ สุปริปุณฺณรูปํ เอกมฺปิ ทิวสํ อปริจฺจชโนฺต อฎฺฐงฺคุเปตํ อุโปสถํ อุปวสฺสาติ สมฺพนฺธิตพฺพํฯ
405. Evaṃ uposathaṅgāni dassetvā idāni uposathakālaṃ dassento āha ‘‘tato ca pakkhassā’’ti. Tattha tatoti padapūraṇamatte nipāto. Pakkhassupavassuposathanti evaṃ parapadena yojetabbaṃ ‘‘pakkhassa cātuddasiṃ pañcadasiṃ aṭṭhaminti ete tayo divase upavassa uposathaṃ, etaṃ aṭṭhaṅgikauposathaṃ upagamma vasitvā’’ti. Pāṭihāriyapakkhañcāti ettha pana vassūpanāyikāya purimabhāge āsāḷhamāso, antovassaṃ tayo māsā, kattikamāsoti ime pañca māsā ‘‘pāṭihāriyapakkho’’ti vuccanti. Āsāḷhakattikaphagguṇamāsā tayo evāti apare. Pakkhuposathadivasānaṃ purimapacchimadivasavasena pakkhe pakkhe terasīpāṭipadasattamīnavamīsaṅkhātā cattāro cattāro divasāti apare. Yaṃ ruccati, taṃ gahetabbaṃ. Sabbaṃ vā pana puññakāmīnaṃ bhāsitabbaṃ. Evametaṃ pāṭihāriyapakkhañca pasannamānaso susamattarūpaṃ suparipuṇṇarūpaṃ ekampi divasaṃ apariccajanto aṭṭhaṅgupetaṃ uposathaṃ upavassāti sambandhitabbaṃ.
๔๐๖. เอวํ อุโปสถกาลํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เตสุ กาเลสุ เอตํ อุโปสถํ อุปวสฺส ยํ กาตพฺพํ, ตํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ตโต จ ปาโต’’ติฯ เอตฺถาปิ ตโตติ ปทปูรณมเตฺต นิปาโต, อนนฺตรเตฺถ วา, อถาติ วุตฺตํ โหติฯ ปาโตติ อปรชฺชุทิวสปุพฺพภาเคฯ อุปวุตฺถุโปสโถติ อุปวสิตอุโปสโถฯ อเนฺนนาติ ยาคุภตฺตาทินาฯ ปาเนนาติ อฎฺฐวิธปาเนนฯ อนุโมทมาโนติ อนุปโมทมาโน, นิรนฺตรํ โมทมาโนติ อโตฺถฯ ยถารหนฺติ อตฺตโน อนุรูเปน, ยถาสตฺติ ยถาพลนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สํวิภเชถาติ ภาเชยฺย ปติมาเนยฺยฯ เสสํ ปากฎเมวฯ
406. Evaṃ uposathakālaṃ dassetvā idāni tesu kālesu etaṃ uposathaṃ upavassa yaṃ kātabbaṃ, taṃ dassento āha ‘‘tato ca pāto’’ti. Etthāpi tatoti padapūraṇamatte nipāto, anantaratthe vā, athāti vuttaṃ hoti. Pātoti aparajjudivasapubbabhāge. Upavutthuposathoti upavasitauposatho. Annenāti yāgubhattādinā. Pānenāti aṭṭhavidhapānena. Anumodamānoti anupamodamāno, nirantaraṃ modamānoti attho. Yathārahanti attano anurūpena, yathāsatti yathābalanti vuttaṃ hoti. Saṃvibhajethāti bhājeyya patimāneyya. Sesaṃ pākaṭameva.
๔๐๗. เอวํ อุปวุตฺถุโปสถสฺส กิจฺจํ วตฺวา อิทานิ ยาวชีวิกํ ครุวตฺตํ อาชีวปาริสุทฺธิญฺจ กเถตฺวา ตาย ปฎิปทาย อธิคนฺตพฺพฎฺฐานํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ธเมฺมน มาตาปิตโร’’ติฯ ตตฺถ ธเมฺมนาติ ธมฺมลเทฺธน โภเคน ฯ ภเรยฺยาติ โปเสยฺยฯ ธมฺมิกํ โส วณิชฺชนฺติ สตฺตวณิชฺชา, สตฺถวณิชฺชา, วิสวณิชฺชา, มํสวณิชฺชา, สุราวณิชฺชาติ อิมา ปญฺจ อธมฺมวณิชฺชา วเชฺชตฺวา อวเสสา ธมฺมิกวณิชฺชาฯ วณิชฺชามุเขน เจตฺถ กสิโครกฺขาทิ อปโรปิ ธมฺมิโก โวหาโร สงฺคหิโตฯ เสสมุตฺตานตฺถเมวฯ อยํ ปน โยชนา – โส นิจฺจสีลอุโปสถสีลทานธมฺมสมนฺนาคโต อริยสาวโก ปโยชเย ธมฺมิกํ วณิชฺชํ, ตโต ลเทฺธน จ ธมฺมโต อนเปตตฺตา ธเมฺมน โภเคน มาตาปิตโร ภเรยฺยฯ อถ โส คิหี เอวํ อปฺปมโตฺต อาทิโต ปภุติ วุตฺตํ อิมํ วตฺตํ วตฺตยโนฺต กายสฺส เภทา เย เต อตฺตโน อาภาย อนฺธการํ วิธเมตฺวา อาโลกกรเณน สยมฺปภาติ ลทฺธนามา ฉ กามาวจรเทวา, เต สยมฺปเภ นาม เทเว อุเปติ ภชติ อลฺลียติ, เตสํ นิพฺพตฺตฎฺฐาเน นิพฺพตฺตตีติฯ
407. Evaṃ upavutthuposathassa kiccaṃ vatvā idāni yāvajīvikaṃ garuvattaṃ ājīvapārisuddhiñca kathetvā tāya paṭipadāya adhigantabbaṭṭhānaṃ dassento āha ‘‘dhammena mātāpitaro’’ti. Tattha dhammenāti dhammaladdhena bhogena . Bhareyyāti poseyya. Dhammikaṃ so vaṇijjanti sattavaṇijjā, satthavaṇijjā, visavaṇijjā, maṃsavaṇijjā, surāvaṇijjāti imā pañca adhammavaṇijjā vajjetvā avasesā dhammikavaṇijjā. Vaṇijjāmukhena cettha kasigorakkhādi aparopi dhammiko vohāro saṅgahito. Sesamuttānatthameva. Ayaṃ pana yojanā – so niccasīlauposathasīladānadhammasamannāgato ariyasāvako payojaye dhammikaṃ vaṇijjaṃ, tato laddhena ca dhammato anapetattā dhammena bhogena mātāpitaro bhareyya. Atha so gihī evaṃ appamatto ādito pabhuti vuttaṃ imaṃ vattaṃ vattayanto kāyassa bhedā ye te attano ābhāya andhakāraṃ vidhametvā ālokakaraṇena sayampabhāti laddhanāmā cha kāmāvacaradevā, te sayampabhe nāma deve upeti bhajati allīyati, tesaṃ nibbattaṭṭhāne nibbattatīti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ธมฺมิกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya dhammikasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
นิฎฺฐิโต จ ทุติโย วโคฺค อตฺถวณฺณนานยโต, นาเมน
Niṭṭhito ca dutiyo vaggo atthavaṇṇanānayato, nāmena
จูฬวโคฺคติฯ
Cūḷavaggoti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๔. ธมฺมิกสุตฺตํ • 14. Dhammikasuttaṃ