Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๑๐. ธมฺมิกเตฺถรคาถาวณฺณนา
10. Dhammikattheragāthāvaṇṇanā
ธโมฺม หเวติอาทิกา อายสฺมโต ธมฺมิกเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต สิขิสฺส ภควโต กาเล มิคลุทฺทโก หุตฺวา เอกทิวสํ อรญฺญายตเน เทวปริสาย สตฺถุ ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส ‘‘ธโมฺม เอโส วุจฺจตี’’ติ เทสนาย นิมิตฺตํ คณฺหิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท โกสลรเฎฺฐ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา ธมฺมิโกติ ลทฺธนาโม วยปฺปโตฺต เชตวนปฎิคฺคหเณ ลทฺธปฺปสาโท ปพฺพชิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ คามกาวาเส อาวาสิโก หุตฺวา วิหรโนฺต อาคนฺตุกานํ ภิกฺขูนํ วตฺตาวเตฺตสุ อุชฺฌานพหุโล อกฺขโม อโหสิฯ เตน ภิกฺขู ตํ วิหารํ ฉเฑฺฑตฺวา ปกฺกมิํสุฯ โส เอกโกว อโหสิฯ วิหารสามิโก อุปาสโก ตํ การณํ สุตฺวา ภควโต ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ สตฺถา ตํ ภิกฺขุํ ปโกฺกเสตฺวา ตมตฺถํ ปุจฺฉิตฺวา เตน ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต – ‘‘นายํ อิทาเนว อกฺขโม, ปุเพฺพปิ อกฺขโม อโหสี’’ติ วตฺวา ภิกฺขูหิ ยาจิโต รุกฺขธมฺมํ (ชา. ๑.๑.๗๔) กเถตฺวา อุปริ ตสฺส โอวาทํ เทโนฺต –
Dhammo havetiādikā āyasmato dhammikattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave puññāni upacinanto sikhissa bhagavato kāle migaluddako hutvā ekadivasaṃ araññāyatane devaparisāya satthu dhammaṃ desentassa ‘‘dhammo eso vuccatī’’ti desanāya nimittaṃ gaṇhi. So tena puññakammena devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde kosalaraṭṭhe brāhmaṇakule nibbattitvā dhammikoti laddhanāmo vayappatto jetavanapaṭiggahaṇe laddhappasādo pabbajitvā aññatarasmiṃ gāmakāvāse āvāsiko hutvā viharanto āgantukānaṃ bhikkhūnaṃ vattāvattesu ujjhānabahulo akkhamo ahosi. Tena bhikkhū taṃ vihāraṃ chaḍḍetvā pakkamiṃsu. So ekakova ahosi. Vihārasāmiko upāsako taṃ kāraṇaṃ sutvā bhagavato taṃ pavattiṃ ārocesi. Satthā taṃ bhikkhuṃ pakkosetvā tamatthaṃ pucchitvā tena ‘‘evaṃ, bhante’’ti vutte – ‘‘nāyaṃ idāneva akkhamo, pubbepi akkhamo ahosī’’ti vatvā bhikkhūhi yācito rukkhadhammaṃ (jā. 1.1.74) kathetvā upari tassa ovādaṃ dento –
๓๐๓.
303.
‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ, ธโมฺม สุจิโณฺณ สุขมาวหาติ;
‘‘Dhammo have rakkhati dhammacāriṃ, dhammo suciṇṇo sukhamāvahāti;
เอสานิสํโส ธเมฺม สุจิเณฺณ, น ทุคฺคติํ คจฺฉติ ธมฺมจารีฯ
Esānisaṃso dhamme suciṇṇe, na duggatiṃ gacchati dhammacārī.
๓๐๔.
304.
‘‘น หิ ธโมฺม อธโมฺม จ, อุโภ สมวิปากิโน;
‘‘Na hi dhammo adhammo ca, ubho samavipākino;
อธโมฺม นิรยํ เนติ, ธโมฺม ปาเปติ สุคฺคติํฯ
Adhammo nirayaṃ neti, dhammo pāpeti suggatiṃ.
๓๐๕.
305.
‘‘ตสฺมา หิ ธเมฺมสุ กเรยฺย ฉนฺทํ, อิติ โมทมาโน สุคเตน ตาทินา;
‘‘Tasmā hi dhammesu kareyya chandaṃ, iti modamāno sugatena tādinā;
ธเมฺม ฐิตา สุคตวรสฺส สาวกา, นียนฺติ ธีรา สรณวรคฺคคามิโนฯ
Dhamme ṭhitā sugatavarassa sāvakā, nīyanti dhīrā saraṇavaraggagāmino.
๓๐๖.
306.
‘‘วิโปฺผฎิโต คณฺฑมูโล, ตณฺหาชาโล สมูหโต;
‘‘Vipphoṭito gaṇḍamūlo, taṇhājālo samūhato;
โส ขีณสํสาโร น จตฺถิ กิญฺจนํ,
So khīṇasaṃsāro na catthi kiñcanaṃ,
จโนฺท ยถา โทสินา ปุณฺณมาสิย’’นฺติฯ – จตโสฺส คาถา อภาสิ;
Cando yathā dosinā puṇṇamāsiya’’nti. – catasso gāthā abhāsi;
ตตฺถ ธโมฺมติ โลกิยโลกุตฺตโร สุจริตธโมฺมฯ รกฺขตีติ อปายทุกฺขโต รกฺขติ, สํสารทุกฺขโต จ วิวฎฺฎูปนิสฺสยภูโต รกฺขติเยวฯ ธมฺมจารินฺติ ตํ ธมฺมํ จรนฺตํ ปฎิปชฺชนฺตํฯ สุจิโณฺณติ สุฎฺฐุ จิโณฺณ กมฺมผลานิ สทฺทหิตฺวา สกฺกจฺจํ จิตฺตีกตฺวา อุปจิโตฯ สุขนฺติ โลกิยโลกุตฺตรสุขํฯ ตตฺถ โลกิยํ ตาว กามาวจราทิเภโท ธโมฺม ยถาสกํ สุขํ ทิเฎฺฐ วา ธเมฺม อุปปเชฺช วา อปเร วา ปริยาเย อาวหติ นิปฺผาเทติ, อิตรํ ปน วิวฎฺฎูปนิสฺสเย ฐตฺวา จิโณฺณ ปรมฺปราย อาวหตีติ วตฺตุํ วฎฺฎติ อนุปนิสฺสยสฺส ตทภาวโตฯ เอสานิสํโส ธเมฺม สุจิเณฺณ, น ทุคฺคติํ คจฺฉติ ธมฺมจารีติ ธมฺมจารี ปุคฺคโล ธเมฺม สุจิเณฺณ ตํนิมิตฺตํ ทุคฺคติํ น คจฺฉตีติ เอโส ธเมฺม สุจิเณฺณ อานิสํโส อุทฺรโยติ อโตฺถฯ
Tattha dhammoti lokiyalokuttaro sucaritadhammo. Rakkhatīti apāyadukkhato rakkhati, saṃsāradukkhato ca vivaṭṭūpanissayabhūto rakkhatiyeva. Dhammacārinti taṃ dhammaṃ carantaṃ paṭipajjantaṃ. Suciṇṇoti suṭṭhu ciṇṇo kammaphalāni saddahitvā sakkaccaṃ cittīkatvā upacito. Sukhanti lokiyalokuttarasukhaṃ. Tattha lokiyaṃ tāva kāmāvacarādibhedo dhammo yathāsakaṃ sukhaṃ diṭṭhe vā dhamme upapajje vā apare vā pariyāye āvahati nipphādeti, itaraṃ pana vivaṭṭūpanissaye ṭhatvā ciṇṇo paramparāya āvahatīti vattuṃ vaṭṭati anupanissayassa tadabhāvato. Esānisaṃso dhamme suciṇṇe, na duggatiṃ gacchati dhammacārīti dhammacārī puggalo dhamme suciṇṇe taṃnimittaṃ duggatiṃ na gacchatīti eso dhamme suciṇṇe ānisaṃso udrayoti attho.
ยสฺมา ธเมฺมเนว สุคติคมนํ, อธเมฺมเนว จ ทุคฺคติคมนํ, ตสฺมา ‘‘ธโมฺม อธโมฺม’’ติ อิเม อญฺญมญฺญํ อสํกิณฺณผลาติ ทเสฺสตุํ ‘‘น หิ ธโมฺม’’ติอาทินา ทุติยํ คาถมาหฯ ตตฺถ อธโมฺมติ ธมฺมปฎิปโกฺข ทุจฺจริตํฯ สมวิปากิโนติ สทิสวิปากา สมานผลาฯ
Yasmā dhammeneva sugatigamanaṃ, adhammeneva ca duggatigamanaṃ, tasmā ‘‘dhammo adhammo’’ti ime aññamaññaṃ asaṃkiṇṇaphalāti dassetuṃ ‘‘na hi dhammo’’tiādinā dutiyaṃ gāthamāha. Tattha adhammoti dhammapaṭipakkho duccaritaṃ. Samavipākinoti sadisavipākā samānaphalā.
ตสฺมาติ ยสฺมา ธมฺมาธมฺมานํ อยํ ยถาวุโตฺต วิปากเภโท, ตสฺมาฯ ฉนฺทนฺติ กตฺตุกมฺยตาฉนฺทํฯ อิติ โมทมาโน สุคเตน ตาทินาติ อิติ เอวํ วุตฺตปฺปกาเรน โอวาททาเนน สุคเตน สมฺมคฺคเตน สมฺมาปฎิปเนฺนน อิฎฺฐาทีสุ ตาทิภาวปฺปตฺติยา ตาทินามวตา เหตุภูเตน โมทมาโน ตุฎฺฐิํ อาปชฺชมาโน ธเมฺมสุ ฉนฺทํ กเรยฺยาติ โยชนาฯ เอตฺตาวตา วฎฺฎํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิวฎฺฎํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ธเมฺม ฐิตา’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺมา สุคตสฺส วรสฺส สุคเตสุ จ วรสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาวกา ตสฺส ธเมฺม ฐิตา ธีรา อติวิย อคฺคภูตสรณคามิโน เตเนว สรณคมนสงฺขาเต ธเมฺม ฐิตภาเวน สกลวฎฺฎทุกฺขโตปิ นียนฺติ นิสฺสรนฺติ, ตสฺมา หิ ธเมฺมสุ กเรยฺย ฉนฺทนฺติฯ
Tasmāti yasmā dhammādhammānaṃ ayaṃ yathāvutto vipākabhedo, tasmā. Chandanti kattukamyatāchandaṃ. Iti modamāno sugatena tādināti iti evaṃ vuttappakārena ovādadānena sugatena sammaggatena sammāpaṭipannena iṭṭhādīsu tādibhāvappattiyā tādināmavatā hetubhūtena modamāno tuṭṭhiṃ āpajjamāno dhammesu chandaṃ kareyyāti yojanā. Ettāvatā vaṭṭaṃ dassetvā idāni vivaṭṭaṃ dassento ‘‘dhamme ṭhitā’’tiādimāha. Tassattho – yasmā sugatassa varassa sugatesu ca varassa sammāsambuddhassa sāvakā tassa dhamme ṭhitā dhīrā ativiya aggabhūtasaraṇagāmino teneva saraṇagamanasaṅkhāte dhamme ṭhitabhāvena sakalavaṭṭadukkhatopi nīyanti nissaranti, tasmā hi dhammesu kareyya chandanti.
เอวํ สตฺถารา ตีหิ คาถาหิ ธเมฺม เทสิเต เทสนานุสาเรน ยถานิสิโนฺนว วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๒.๕๒.๔๔-๕๐) –
Evaṃ satthārā tīhi gāthāhi dhamme desite desanānusārena yathānisinnova vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 2.52.44-50) –
‘‘มิคลุโทฺท ปุเร อาสิํ, อรเญฺญ วิปิเน อหํ;
‘‘Migaluddo pure āsiṃ, araññe vipine ahaṃ;
อทฺทสํ วิรชํ พุทฺธํ, เทวสงฺฆปุรกฺขตํฯ
Addasaṃ virajaṃ buddhaṃ, devasaṅghapurakkhataṃ.
‘‘จตุสจฺจํ ปกาเสนฺตํ, เทเสนฺตํ อมตํ ปทํ;
‘‘Catusaccaṃ pakāsentaṃ, desentaṃ amataṃ padaṃ;
อโสฺสสิํ มธุรํ ธมฺมํ, สิขิโน โลกพนฺธุโนฯ
Assosiṃ madhuraṃ dhammaṃ, sikhino lokabandhuno.
‘‘โฆเส จิตฺตํ ปสาเทสิํ, อสมปฺปฎิปุคฺคเล;
‘‘Ghose cittaṃ pasādesiṃ, asamappaṭipuggale;
ตตฺถ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, อุตฺตริํ ทุตฺตรํ ภวํฯ
Tattha cittaṃ pasādetvā, uttariṃ duttaraṃ bhavaṃ.
‘‘เอกติํเส อิโต กเปฺป, ยํ สญฺญมลภิํ ตทา;
‘‘Ekatiṃse ito kappe, yaṃ saññamalabhiṃ tadā;
ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, โฆสสญฺญายิทํ ผลํฯ
Duggatiṃ nābhijānāmi, ghosasaññāyidaṃ phalaṃ.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
ตถา อรหเตฺต ปติฎฺฐิโตฯ อรหตฺตํ ปน ปตฺวา อตฺตนา อธิคตํ วิเสสํ สตฺถุ นิเวเทโนฺต จริมคาถาย อญฺญํ พฺยากาสิฯ
Tathā arahatte patiṭṭhito. Arahattaṃ pana patvā attanā adhigataṃ visesaṃ satthu nivedento carimagāthāya aññaṃ byākāsi.
ตตฺถ วิโปฺผฎิโตติ วิธุโต, มคฺคญาเณน ปฎินิสฺสโฎฺฐติ อโตฺถฯ คณฺฑมูโลติ อวิชฺชาฯ สา หิ คณฺฑติ สวติฯ ‘‘คโณฺฑติ โข, ภิกฺขุ, ปญฺจเนฺนตํ อุปาทานกฺขนฺธานํ อธิวจน’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๑๐๓; อ. นิ. ๖.๒๓; ๘.๕๖; ๙.๑๕; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๓๗) เอวํ สตฺถารา วุตฺตสฺส ทุกฺขมูลโยคโต, กิเลสาสุจิปคฺฆรณโต, อุปฺปาทชราภเงฺคหิ อุทฺธุมาตปกฺกปภิชฺชนโต จ, คณฺฑาภิธานสฺส อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกสฺส มูลํ การณํ ตณฺหาชาโล สมูหโตติ ตณฺหาสงฺขาโต ชาโล มเคฺคน สมุคฺฆาฎิโตฯ โส ขีณสํสาโร น จตฺถิ กิญฺจนนฺติ โส อหํ เอวํ ปหีนตณฺหาวิชฺชตาย ปริกฺขีณสํสาโร ปหีนภวมูลตฺตา เอว น จตฺถิ, น จ อุปลพฺภติ ราคาทิกิญฺจนํฯ จโนฺท ยถา โทสินา ปุณฺณมาสิยนฺติ ยถา นาม จโนฺท อพฺภมหิกาทิโทสรหิโต ปุณฺณมาสิยํ ปริปุณฺณกาเล เอวํ อหมฺปิ อรหตฺตาธิคเมน อเปตราคาทิกิญฺจโน ปริปุณฺณธมฺมโกฎฺฐาโส อโหสินฺติฯ
Tattha vipphoṭitoti vidhuto, maggañāṇena paṭinissaṭṭhoti attho. Gaṇḍamūloti avijjā. Sā hi gaṇḍati savati. ‘‘Gaṇḍoti kho, bhikkhu, pañcannetaṃ upādānakkhandhānaṃ adhivacana’’nti (saṃ. ni. 4.103; a. ni. 6.23; 8.56; 9.15; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 137) evaṃ satthārā vuttassa dukkhamūlayogato, kilesāsucipaggharaṇato, uppādajarābhaṅgehi uddhumātapakkapabhijjanato ca, gaṇḍābhidhānassa upādānakkhandhapañcakassa mūlaṃ kāraṇaṃ taṇhājālo samūhatoti taṇhāsaṅkhāto jālo maggena samugghāṭito. So khīṇasaṃsāro na catthi kiñcananti so ahaṃ evaṃ pahīnataṇhāvijjatāya parikkhīṇasaṃsāro pahīnabhavamūlattā eva na catthi, na ca upalabbhati rāgādikiñcanaṃ. Cando yathā dosinā puṇṇamāsiyanti yathā nāma cando abbhamahikādidosarahito puṇṇamāsiyaṃ paripuṇṇakāle evaṃ ahampi arahattādhigamena apetarāgādikiñcano paripuṇṇadhammakoṭṭhāso ahosinti.
ธมฺมิกเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dhammikattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑๐. ธมฺมิกเตฺถรคาถา • 10. Dhammikattheragāthā