Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā |
๒. ธมฺมุทฺธจฺจวารนิเทฺทสวณฺณนา
2. Dhammuddhaccavāraniddesavaṇṇanā
๖. ธมฺมุทฺธจฺจวาเร อนิจฺจโต มนสิกโรโต โอภาโส อุปฺปชฺชตีติ อุทยพฺพยานุปสฺสนาย ฐิตสฺส ตีหิ อนุปสฺสนาหิ ปุนปฺปุนํ สงฺขาเร วิปสฺสนฺตสฺส วิปสฺสนฺตสฺส วิปสฺสนาญาเณสุ ปริปากคเตสุ ตทงฺควเสน กิเลสปฺปหาเนน ปริสุทฺธจิตฺตสฺส อนิจฺจโต วา ทุกฺขโต วา อนตฺตโต วา มนสิการกฺขเณ วิปสฺสนาญาณานุภาเวน ปกติยาว โอภาโส อุปฺปชฺชตีติ ปฐมํ ตาว อนิจฺจโต มนสิกโรโต โอภาโส กถิโตฯ อกุสโล วิปสฺสโก ตสฺมิํ โอภาเส อุปฺปเนฺน ‘‘น จ วต เม อิโต ปุเพฺพ เอวรูโป โอภาโส อุปฺปนฺนปุโพฺพ, อทฺธา มคฺคํ ปโตฺตมฺหิ, ผลํ ปโตฺตมฺหี’’ติ อมคฺคํเยว ‘‘มโคฺค’’ติ, อผลเมว ‘‘ผล’’นฺติ คณฺหาติฯ ตสฺส อมคฺคํ ‘‘มโคฺค’’ติ, อผลํ ‘‘ผล’’นฺติ คณฺหโต วิปสฺสนาวีถิ อุกฺกนฺตา โหติฯ โส อตฺตโน วิปสฺสนาวีถิํ วิสฺสเชฺชตฺวา วิเกฺขปมาปโนฺน วา โอภาสเมว ตณฺหาทิฎฺฐิมญฺญนาหิ มญฺญมาโน วา นิสีทติฯ โส โข ปนายํ โอภาโส กสฺสจิ ภิกฺขุโน ปลฺลงฺกฎฺฐานมตฺตเมว โอภาเสโนฺต อุปฺปชฺชติ, กสฺสจิ อโนฺตคพฺภํ, กสฺสจิ พหิคพฺภมฺปิ, กสฺสจิ สกลวิหารํ, คาวุตํ อฑฺฒโยชนํ โยชนํ ทฺวิโยชนํ…เป.… กสฺสจิ ปถวิตลโต ยาว อกนิฎฺฐพฺรหฺมโลกา เอกาโลกํ กุรุมาโนฯ ภควโต ปน ทสสหสฺสิโลกธาตุํ โอภาเสโนฺต อุทปาทิฯ อยญฺหิ โอภาโส จตุรงฺคสมนฺนาคเตปิ อนฺธกาเร ตํ ตํ ฐานํ โอภาเสโนฺต อุปฺปชฺชติฯ
6. Dhammuddhaccavāre aniccato manasikaroto obhāso uppajjatīti udayabbayānupassanāya ṭhitassa tīhi anupassanāhi punappunaṃ saṅkhāre vipassantassa vipassantassa vipassanāñāṇesu paripākagatesu tadaṅgavasena kilesappahānena parisuddhacittassa aniccato vā dukkhato vā anattato vā manasikārakkhaṇe vipassanāñāṇānubhāvena pakatiyāva obhāso uppajjatīti paṭhamaṃ tāva aniccato manasikaroto obhāso kathito. Akusalo vipassako tasmiṃ obhāse uppanne ‘‘na ca vata me ito pubbe evarūpo obhāso uppannapubbo, addhā maggaṃ pattomhi, phalaṃ pattomhī’’ti amaggaṃyeva ‘‘maggo’’ti, aphalameva ‘‘phala’’nti gaṇhāti. Tassa amaggaṃ ‘‘maggo’’ti, aphalaṃ ‘‘phala’’nti gaṇhato vipassanāvīthi ukkantā hoti. So attano vipassanāvīthiṃ vissajjetvā vikkhepamāpanno vā obhāsameva taṇhādiṭṭhimaññanāhi maññamāno vā nisīdati. So kho panāyaṃ obhāso kassaci bhikkhuno pallaṅkaṭṭhānamattameva obhāsento uppajjati, kassaci antogabbhaṃ, kassaci bahigabbhampi, kassaci sakalavihāraṃ, gāvutaṃ aḍḍhayojanaṃ yojanaṃ dviyojanaṃ…pe… kassaci pathavitalato yāva akaniṭṭhabrahmalokā ekālokaṃ kurumāno. Bhagavato pana dasasahassilokadhātuṃ obhāsento udapādi. Ayañhi obhāso caturaṅgasamannāgatepi andhakāre taṃ taṃ ṭhānaṃ obhāsento uppajjati.
โอภาโส ธโมฺมติ โอภาสํ อาวชฺชตีติ อยํ โอภาโส มคฺคธโมฺม ผลธโมฺมติ วา ตํ ตํ โอภาสํ มนสิ กโรติฯ ตโต วิเกฺขโป อุทฺธจฺจนฺติ ตโต โอภาสโต ธโมฺมติ อาวชฺชนกรณโต วา โย อุปฺปชฺชติ วิเกฺขโป, โส อุทฺธจฺจํ นามาติ อโตฺถฯ เตน อุทฺธเจฺจน วิคฺคหิตมานโสติ เตน เอวํ อุปฺปชฺชมาเนน อุทฺธเจฺจน วิโรธิตจิโตฺต, เตน วา อุทฺธเจฺจน การณภูเตน ตมฺมูลกกิเลสุปฺปตฺติยา วิโรธิตจิโตฺต วิปสฺสโก วิปสฺสนาวีถิํ โอกฺกมิตฺวา วิเกฺขปํ วา ตมฺมูลกกิเลเสสุ วา ฐิตตฺตา อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต อุปฎฺฐานานิ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ ‘‘เตน วุจฺจติ ธมฺมุทฺธจฺจวิคฺคหิตมานโส’’ติ เอวํ อิติ-สโทฺท โยเชตโพฺพฯ โหติ โส สมโยติ เอวํ อสฺสาทวเสน อุปกฺกิลิฎฺฐจิตฺตสฺสาปิ โยคิโน สเจ อุปปริกฺขา อุปฺปชฺชติ, โส เอวํ ปชานาติ – ‘‘วิปสฺสนา นาม สงฺขารารมฺมณา, มคฺคผลานิ นิพฺพานารมฺมณานิ, อิมานิ จ จิตฺตานิ สงฺขารารมฺมณานิ, ตสฺมา นายโมภาโส มโคฺค, อุทยพฺพยานุปสฺสนาเยว นิพฺพานสฺส โลกิโก มโคฺค’’ติ มคฺคามคฺคํ ววตฺถเปตฺวา ตํ วิเกฺขปํ ปริวชฺชยิตฺวา อุทยพฺพยานุปสฺสนาย ฐตฺวา สาธุกํ สงฺขาเร อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต วิปสฺสติฯ เอวํ อุปปริกฺขนฺตสฺส โส สมโย โหติฯ เอวํ อปสฺสโนฺต ปน ‘‘มคฺคผลปฺปโตฺตมฺหี’’ติ อธิมานิโก โหติฯ
Obhāso dhammoti obhāsaṃ āvajjatīti ayaṃ obhāso maggadhammo phaladhammoti vā taṃ taṃ obhāsaṃ manasi karoti. Tato vikkhepo uddhaccanti tato obhāsato dhammoti āvajjanakaraṇato vā yo uppajjati vikkhepo, so uddhaccaṃ nāmāti attho. Tena uddhaccena viggahitamānasoti tena evaṃ uppajjamānena uddhaccena virodhitacitto, tena vā uddhaccena kāraṇabhūtena tammūlakakilesuppattiyā virodhitacitto vipassako vipassanāvīthiṃ okkamitvā vikkhepaṃ vā tammūlakakilesesu vā ṭhitattā aniccato dukkhato anattato upaṭṭhānāni yathābhūtaṃ nappajānāti. ‘‘Tena vuccati dhammuddhaccaviggahitamānaso’’ti evaṃ iti-saddo yojetabbo. Hoti so samayoti evaṃ assādavasena upakkiliṭṭhacittassāpi yogino sace upaparikkhā uppajjati, so evaṃ pajānāti – ‘‘vipassanā nāma saṅkhārārammaṇā, maggaphalāni nibbānārammaṇāni, imāni ca cittāni saṅkhārārammaṇāni, tasmā nāyamobhāso maggo, udayabbayānupassanāyeva nibbānassa lokiko maggo’’ti maggāmaggaṃ vavatthapetvā taṃ vikkhepaṃ parivajjayitvā udayabbayānupassanāya ṭhatvā sādhukaṃ saṅkhāre aniccato dukkhato anattato vipassati. Evaṃ upaparikkhantassa so samayo hoti. Evaṃ apassanto pana ‘‘maggaphalappattomhī’’ti adhimāniko hoti.
ยํ ตํ จิตฺตนฺติ ยํ ตํ วิปสฺสนาจิตฺตํฯ อชฺฌตฺตเมวาติ อนิจฺจานุปสฺสนาย อารมฺมเณ โคจรชฺฌเตฺตเยวฯ ญาณํ อุปฺปชฺชตีติ ตเสฺสว โยคาวจรสฺส รูปารูปธเมฺม ตุลยนฺตสฺส ตีรยนฺตสฺส วิสฺสฎฺฐอินฺทวชิรมิว อวิหตเวคํ ติขิณํ สูรมติวิสทํ วิปสฺสนาญาณํ อุปฺปชฺชติฯ ปีติ อุปฺปชฺชตีติ ตเสฺสว ตสฺมิํ สมเย ขุทฺทิกา ปีติ, ขณิกา ปีติ, โอกฺกนฺติกา ปีติ, อุเพฺพคา ปีติ, ผรณา ปีตีติ อยํ ปญฺจวิธา วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตา ปีติ สกลสรีรํ ปูรยมานา อุปฺปชฺชติฯ ปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชตีติ ตเสฺสว ตสฺมิํ สมเย กายจิตฺตานํ เนว ทรโถ, น คารวตา, น กกฺขฬตา , น อกมฺมญฺญตา, น เคลญฺญตา, น วงฺกตา โหติฯ อถ โข ปนสฺส กายจิตฺตานิ ปสฺสทฺธานิ ลหูนิ มุทูนิ กมฺมญฺญานิ ปคุณานิ สุวิสทานิ อุชุกานิเยว โหนฺติฯ โส อิเมหิ ปสฺสทฺธาทีหิ อนุคฺคหิตกายจิโตฺต ตสฺมิํ สมเย อมานุสิํ นาม รติํ อนุภวติฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Yaṃ taṃ cittanti yaṃ taṃ vipassanācittaṃ. Ajjhattamevāti aniccānupassanāya ārammaṇe gocarajjhatteyeva. Ñāṇaṃ uppajjatīti tasseva yogāvacarassa rūpārūpadhamme tulayantassa tīrayantassa vissaṭṭhaindavajiramiva avihatavegaṃ tikhiṇaṃ sūramativisadaṃ vipassanāñāṇaṃ uppajjati. Pīti uppajjatīti tasseva tasmiṃ samaye khuddikā pīti, khaṇikā pīti, okkantikā pīti, ubbegā pīti, pharaṇā pītīti ayaṃ pañcavidhā vipassanāsampayuttā pīti sakalasarīraṃ pūrayamānā uppajjati. Passaddhi uppajjatīti tasseva tasmiṃ samaye kāyacittānaṃ neva daratho, na gāravatā, na kakkhaḷatā , na akammaññatā, na gelaññatā, na vaṅkatā hoti. Atha kho panassa kāyacittāni passaddhāni lahūni mudūni kammaññāni paguṇāni suvisadāni ujukāniyeva honti. So imehi passaddhādīhi anuggahitakāyacitto tasmiṃ samaye amānusiṃ nāma ratiṃ anubhavati. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘สุญฺญาคารํ ปวิฎฺฐสฺส, สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขุโน;
‘‘Suññāgāraṃ paviṭṭhassa, santacittassa bhikkhuno;
อมานุสี รตี โหติ, สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสโตฯ
Amānusī ratī hoti, sammā dhammaṃ vipassato.
‘‘ยโต ยโต สมฺมสติ, ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ;
‘‘Yato yato sammasati, khandhānaṃ udayabbayaṃ;
ลภตี ปีติปาโมชฺชํ, อมตํ ตํ วิชานต’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๗๓-๔) –
Labhatī pītipāmojjaṃ, amataṃ taṃ vijānata’’nti. (dha. pa. 373-4) –
เอวมสฺส อิมํ อมานุสิํ รติํ สาธยมานา ลหุตาทีหิ สหิตา วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตา กายจิตฺตปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชติฯ สุขํ อุปฺปชฺชตีติ ตเสฺสว ตสฺมิํ สมเย สกลสรีรํ อภิสนฺทยมานํ วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตํ สุขํ อุปฺปชฺชติฯ อธิโมโกฺข อุปฺปชฺชตีติ ตเสฺสว ตสฺมิํ สมเย จิตฺตเจตสิกานํ อติสยปสาทภูตา วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตา สทฺธา อุปฺปชฺชติฯ ปคฺคโห อุปฺปชฺชตีติ ตเสฺสว ตสฺมิํ สมเย อสิถิลมนจฺจารทฺธํ สุปคฺคหิตํ วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตํ วีริยํ อุปฺปชฺชติฯ อุปฎฺฐานํ อุปฺปชฺชตีติ ตเสฺสว ตสฺมิํ สมเย สูปฎฺฐิตา สุปฺปติฎฺฐิตา นิขาตา อจลา ปพฺพตราชสทิสา วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตา สติ อุปฺปชฺชติฯ โส ยํ ยํ ฐานํ อาวชฺชติ สมนฺนาหรติ มนสิ กโรติ ปจฺจเวกฺขติ, ตํ ตํ ฐานมสฺส โอกฺกนฺติตฺวา ปกฺขนฺทิตฺวา ทิพฺพจกฺขุโน ปรโลโก วิย สติยา อุปฎฺฐาติ (วิสุทฺธิ. ๒.๗๓๔)ฯ
Evamassa imaṃ amānusiṃ ratiṃ sādhayamānā lahutādīhi sahitā vipassanāsampayuttā kāyacittapassaddhi uppajjati. Sukhaṃ uppajjatīti tasseva tasmiṃ samaye sakalasarīraṃ abhisandayamānaṃ vipassanāsampayuttaṃ sukhaṃ uppajjati. Adhimokkho uppajjatīti tasseva tasmiṃ samaye cittacetasikānaṃ atisayapasādabhūtā vipassanāsampayuttā saddhā uppajjati. Paggaho uppajjatīti tasseva tasmiṃ samaye asithilamanaccāraddhaṃ supaggahitaṃ vipassanāsampayuttaṃ vīriyaṃ uppajjati. Upaṭṭhānaṃ uppajjatīti tasseva tasmiṃ samaye sūpaṭṭhitā suppatiṭṭhitā nikhātā acalā pabbatarājasadisā vipassanāsampayuttā sati uppajjati. So yaṃ yaṃ ṭhānaṃ āvajjati samannāharati manasi karoti paccavekkhati, taṃ taṃ ṭhānamassa okkantitvā pakkhanditvā dibbacakkhuno paraloko viya satiyā upaṭṭhāti (visuddhi. 2.734).
อุเปกฺขาติ วิปสฺสนุเปกฺขา เจว อาวชฺชนุเปกฺขา จฯ ตสฺมิญฺหิ สมเย สพฺพสงฺขาเรสุ มชฺฌตฺตภูตา วิปสฺสนุเปกฺขาปิ พลวตี อุปฺปชฺชติ, มโนทฺวาเร อาวชฺชนุเปกฺขาปิฯ สา หิสฺส ตํ ตํ ฐานํ อาวชฺชนฺตสฺส วิสฺสฎฺฐอินฺทวชิรมิว ปตฺตปุเฎ ปกฺขนฺทตตฺตนาราโจ วิย จ สูรา ติขิณา หุตฺวา วหติ ฯ เอวญฺหิ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๗๓๔) วุตฺตํฯ วิปสฺสนุเปกฺขาติ เจตฺถ ‘‘วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตา ตตฺรมชฺฌตฺตุเปกฺขา’’ติ อาจริยา วทนฺติฯ วิปสฺสนาญาเณ หิ คยฺหมาเน ‘‘ญาณํ อุปฺปชฺชตี’’ติ วิปสฺสนาญาณสฺส อาคตตฺตา ปุนรุตฺติโทโส โหติฯ ตติยชฺฌานวณฺณนายญฺจ ‘‘สงฺขารุเปกฺขาวิปสฺสนุเปกฺขานมฺปิ อตฺถโต เอกีภาโวฯ ปญฺญา เอว หิ สา, กิจฺจวเสน ทฺวิธา ภินฺนา’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺมา วิปสฺสนาสมฺปยุตฺตาย ตตฺรมชฺฌตฺตุเปกฺขาย วุจฺจมานาย ปุนรุตฺติโทโส จ น โหติ, ตติยชฺฌานวณฺณนาย จ สเมติฯ ยสฺมา จ ปญฺจสุ อินฺทฺริเยสุ ‘‘ญาณํ อธิโมโกฺข ปคฺคโห อุปฎฺฐาน’’นฺติ ปญฺญินฺทฺริยสทฺธินฺทฺริยวีริยินฺทฺริยสตินฺทฺริยานิ นิทฺทิฎฺฐานิ, สมาธินฺทฺริยํ ปน อนิทฺทิฎฺฐํ โหติ, ยุคนทฺธวเสนาปิ จ สมาธินฺทฺริยํ นิทฺทิสิตพฺพเมว โหติ, ตสฺมา สมปฺปวโตฺต สมาธิ ปุน สมาธาเน พฺยาปารปฺปหานกรเณน ‘‘อุเปกฺขา’’ติ วุโตฺตติ เวทิตพฺพํฯ
Upekkhāti vipassanupekkhā ceva āvajjanupekkhā ca. Tasmiñhi samaye sabbasaṅkhāresu majjhattabhūtā vipassanupekkhāpi balavatī uppajjati, manodvāre āvajjanupekkhāpi. Sā hissa taṃ taṃ ṭhānaṃ āvajjantassa vissaṭṭhaindavajiramiva pattapuṭe pakkhandatattanārāco viya ca sūrā tikhiṇā hutvā vahati . Evañhi visuddhimagge (visuddhi. 2.734) vuttaṃ. Vipassanupekkhāti cettha ‘‘vipassanāsampayuttā tatramajjhattupekkhā’’ti ācariyā vadanti. Vipassanāñāṇe hi gayhamāne ‘‘ñāṇaṃ uppajjatī’’ti vipassanāñāṇassa āgatattā punaruttidoso hoti. Tatiyajjhānavaṇṇanāyañca ‘‘saṅkhārupekkhāvipassanupekkhānampi atthato ekībhāvo. Paññā eva hi sā, kiccavasena dvidhā bhinnā’’ti vuttaṃ. Tasmā vipassanāsampayuttāya tatramajjhattupekkhāya vuccamānāya punaruttidoso ca na hoti, tatiyajjhānavaṇṇanāya ca sameti. Yasmā ca pañcasu indriyesu ‘‘ñāṇaṃ adhimokkho paggaho upaṭṭhāna’’nti paññindriyasaddhindriyavīriyindriyasatindriyāni niddiṭṭhāni, samādhindriyaṃ pana aniddiṭṭhaṃ hoti, yuganaddhavasenāpi ca samādhindriyaṃ niddisitabbameva hoti, tasmā samappavatto samādhi puna samādhāne byāpārappahānakaraṇena ‘‘upekkhā’’ti vuttoti veditabbaṃ.
นิกนฺติ อุปฺปชฺชตีติ เอวํ โอภาสาทิปฎิมณฺฑิตาย วิปสฺสนาย อาลยํ กุรุมานา สุขุมา สนฺตาการา นิกนฺติ อุปฺปชฺชติ, ยา กิเลโสติ ปริคฺคเหตุมฺปิ น สกฺกา โหติฯ ยถา จ โอภาเส, เอวํ เอเตสุปิ อญฺญตรสฺมิํ อุปฺปเนฺน โยคาวจโร ‘‘น จ วต เม อิโต ปุเพฺพ เอวรูปํ ญาณํ อุปฺปนฺนปุพฺพํ, เอวรูปา ปีติ ปสฺสทฺธิ สุขํ อธิโมโกฺข ปคฺคโห อุปฎฺฐานํ อุเปกฺขา นิกนฺติ อุปฺปนฺนปุพฺพา, อทฺธา มคฺคํ ปโตฺตมฺหิ, ผลํ ปโตฺตมฺหี’’ติ อมคฺคเมว ‘‘มโคฺค’’ติ, อผลเมว ‘‘ผล’’นฺติ คณฺหาติฯ ตสฺส อมคฺคํ ‘‘มโคฺค’’ติ, อผลญฺจ ‘‘ผล’’นฺติ คณฺหโต วิปสฺสนาวีถิ อุกฺกนฺตา โหติฯ โส อตฺตโน มูลกมฺมฎฺฐานํ วิสฺสเชฺชตฺวา นิกนฺติเมว อสฺสาเทโนฺต นิสีทติฯ เอตฺถ จ โอภาสาทโย อุปกฺกิเลสวตฺถุตาย อุปกฺกิเลสาติ วุตฺตา, น อกุสลตฺตาฯ นิกนฺติ ปน อุปกฺกิเลโส เจว อุปกฺกิเลสวตฺถุ จฯ วตฺถุวเสเนว เจเต ทส, คาหวเสน ปน สมติํส โหนฺติฯ กถํ? ‘‘มม โอภาโส อุปฺปโนฺน’’ติ คณฺหโต หิ ทิฎฺฐิคฺคาโห โหติ, ‘‘มนาโป วต โอภาโส อุปฺปโนฺน’’ติ คณฺหโต มานคฺคาโห, โอภาสํ อสฺสาทยโต ตณฺหาคฺคาโหฯ อิติ โอภาเส ทิฎฺฐิมานตณฺหาวเสน ตโย คาหาฯ ตถา เสเสสุปีติ เอวํ คาหวเสน สมติํส อุปกฺกิเลสา โหนฺติฯ ทุกฺขโต มนสิกโรโต, อนตฺตโต มนสิกโรโตติ วาเรสุปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอเกกอนุปสฺสนาวเสน เหตฺถ เอเกกสฺส วิปสฺสนุปกฺกิเลสุปฺปตฺติ เวทิตพฺพา, น เอกเสฺสวฯ
Nikantiuppajjatīti evaṃ obhāsādipaṭimaṇḍitāya vipassanāya ālayaṃ kurumānā sukhumā santākārā nikanti uppajjati, yā kilesoti pariggahetumpi na sakkā hoti. Yathā ca obhāse, evaṃ etesupi aññatarasmiṃ uppanne yogāvacaro ‘‘na ca vata me ito pubbe evarūpaṃ ñāṇaṃ uppannapubbaṃ, evarūpā pīti passaddhi sukhaṃ adhimokkho paggaho upaṭṭhānaṃ upekkhā nikanti uppannapubbā, addhā maggaṃ pattomhi, phalaṃ pattomhī’’ti amaggameva ‘‘maggo’’ti, aphalameva ‘‘phala’’nti gaṇhāti. Tassa amaggaṃ ‘‘maggo’’ti, aphalañca ‘‘phala’’nti gaṇhato vipassanāvīthi ukkantā hoti. So attano mūlakammaṭṭhānaṃ vissajjetvā nikantimeva assādento nisīdati. Ettha ca obhāsādayo upakkilesavatthutāya upakkilesāti vuttā, na akusalattā. Nikanti pana upakkileso ceva upakkilesavatthu ca. Vatthuvaseneva cete dasa, gāhavasena pana samatiṃsa honti. Kathaṃ? ‘‘Mama obhāso uppanno’’ti gaṇhato hi diṭṭhiggāho hoti, ‘‘manāpo vata obhāso uppanno’’ti gaṇhato mānaggāho, obhāsaṃ assādayato taṇhāggāho. Iti obhāse diṭṭhimānataṇhāvasena tayo gāhā. Tathā sesesupīti evaṃ gāhavasena samatiṃsa upakkilesā honti. Dukkhato manasikaroto, anattato manasikarototi vāresupi imināva nayena attho veditabbo. Ekekaanupassanāvasena hettha ekekassa vipassanupakkilesuppatti veditabbā, na ekasseva.
ตีสุ อนุปสฺสนาสุฯ เอวํ อเภทโต วิปสฺสนาวเสน อุปกฺกิเลเส ทเสฺสตฺวา ปุน เภทวเสน ทเสฺสโนฺต รูปํ อนิจฺจโต มนสิกโรโตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ชรามรณํ อนิจฺจโต อุปฎฺฐานนฺติ ชรามรณสฺส อนิจฺจโต อุปฎฺฐานํฯ
Tīsu anupassanāsu. Evaṃ abhedato vipassanāvasena upakkilese dassetvā puna bhedavasena dassento rūpaṃ aniccato manasikarototiādimāha. Tattha jarāmaraṇaṃ aniccato upaṭṭhānanti jarāmaraṇassa aniccato upaṭṭhānaṃ.
๗. ยสฺมา ปุเพฺพ วุตฺตานํ สมติํสาย อุปกฺกิเลสานํ วเสน อกุสโล อพฺยโตฺต โยคาวจโร โอภาสาทีสุ วิกมฺปติ, โอภาสาทีสุ เอเกกํ ‘‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ สมนุปสฺสติ, ตสฺมา ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต โอภาเส เจว ญาเณ จาติอาทิคาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ วิกมฺปตีติ โอภาสาทิเก อารมฺมเณ นานากิเลสวเสน วิวิธา กมฺปติ เวธติฯ เยหิ จิตฺตํ ปเวธตีติ เยหิ ปสฺสทฺธิสุเขหิ จิตฺตํ นานากิเลสวเสน นานปฺปกาเรน เวธติ กมฺปติฯ ตสฺมา ปสฺสทฺธิยา สุเข เจว โยคาวจโร วิกมฺปตีติ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ อุเปกฺขาวชฺชนาย เจวาติ อุเปกฺขาสงฺขาตาย อาวชฺชนาย เจว วิกมฺปติ, อาวชฺชนุเปกฺขาย เจว วิกมฺปตีติ อโตฺถฯ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๗๓๖) ปน ‘‘อุเปกฺขาวชฺชนายญฺจา’’ติ วุตฺตํฯ อุเปกฺขาย จาติ เหฎฺฐา วุตฺตปฺปการาย อุเปกฺขาย จ วิกมฺปติ, นิกนฺติยา จ วิกมฺปตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ทฺวินฺนํ อุเปกฺขานํ นิทฺทิฎฺฐตฺตา เหฎฺฐา ‘‘อุเปกฺขา อุปฺปชฺชตี’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน จ อุภยถา อโตฺถ วุโตฺตฯ อนิจฺจานุปสฺสนาทีสุ จ เอเกกิสฺสาเยว อาวชฺชนุเปกฺขาย สพฺภาวโต เอเกกาเยว อนุปสฺสนา อนิจฺจํ อนิจฺจํ, ทุกฺขํ ทุกฺขํ, อนตฺตา อนตฺตาติ ปุนปฺปุนํ ภาวียตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยสฺมา ปน กุสโล ปณฺฑิโต พฺยโตฺต พุทฺธิสมฺปโนฺน โยคาวจโร โอภาสาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ‘‘อยํ โข เม โอภาโส อุปฺปโนฺน, โส โข ปนายํ อนิโจฺจ สงฺขโต ปฎิจฺจสมุปฺปโนฺน ขยธโมฺม วยธโมฺม วิราคธโมฺม นิโรธธโมฺม’’ติ อิติ วา นํ ปญฺญาย ปริจฺฉินฺทติ อุปปริกฺขติฯ อถ วา ปนสฺส เอวํ โหติ – สเจ โอภาโส อตฺตา ภเวยฺย, ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตุํ วเฎฺฎยฺยฯ อนตฺตาว ปนายํ ‘‘อตฺตา’’ติ คหิโตฯ ตสฺมายํ อวสวตฺตนเฎฺฐน อนตฺตาติ ปสฺสโนฺต ทิฎฺฐิํ อุคฺฆาเฎติฯ สเจ โอภาโส นิโจฺจ ภเวยฺย, ‘‘นิโจฺจ’’ติ คเหตุํ วเฎฺฎยฺยฯ อนิโจฺจว ปนายํ ‘‘นิโจฺจ’’ติ คหิโตฯ ตสฺมายํ หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิโจฺจติ ปสฺสโนฺต มานํ สมุคฺฆาเฎติฯ สเจ โอภาโส สุโข ภเวยฺย, ‘‘สุโข’’ติ คเหตุํ วเฎฺฎยฺยฯ ทุโกฺขว ปนายํ ‘‘สุโข’’ติ คหิโตฯ ตสฺมายํ อุปฺปาทวยปฎิปีฬนเฎฺฐน ทุโกฺขติ ปสฺสโนฺต นิกนฺติํ ปริยาทิยติฯ ยถา จ โอภาเส, เอวํ เสเสสุปิฯ
7. Yasmā pubbe vuttānaṃ samatiṃsāya upakkilesānaṃ vasena akusalo abyatto yogāvacaro obhāsādīsu vikampati, obhāsādīsu ekekaṃ ‘‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti samanupassati, tasmā tamatthaṃ dassento obhāse ceva ñāṇe cātiādigāthādvayamāha. Tattha vikampatīti obhāsādike ārammaṇe nānākilesavasena vividhā kampati vedhati. Yehi cittaṃ pavedhatīti yehi passaddhisukhehi cittaṃ nānākilesavasena nānappakārena vedhati kampati. Tasmā passaddhiyā sukhe ceva yogāvacaro vikampatīti sambandho veditabbo. Upekkhāvajjanāya cevāti upekkhāsaṅkhātāya āvajjanāya ceva vikampati, āvajjanupekkhāya ceva vikampatīti attho. Visuddhimagge (visuddhi. 2.736) pana ‘‘upekkhāvajjanāyañcā’’ti vuttaṃ. Upekkhāya cāti heṭṭhā vuttappakārāya upekkhāya ca vikampati, nikantiyā ca vikampatīti attho. Ettha ca dvinnaṃ upekkhānaṃ niddiṭṭhattā heṭṭhā ‘‘upekkhā uppajjatī’’ti vuttaṭṭhāne ca ubhayathā attho vutto. Aniccānupassanādīsu ca ekekissāyeva āvajjanupekkhāya sabbhāvato ekekāyeva anupassanā aniccaṃ aniccaṃ, dukkhaṃ dukkhaṃ, anattā anattāti punappunaṃ bhāvīyatīti vuttaṃ hoti. Yasmā pana kusalo paṇḍito byatto buddhisampanno yogāvacaro obhāsādīsu uppannesu ‘‘ayaṃ kho me obhāso uppanno, so kho panāyaṃ anicco saṅkhato paṭiccasamuppanno khayadhammo vayadhammo virāgadhammo nirodhadhammo’’ti iti vā naṃ paññāya paricchindati upaparikkhati. Atha vā panassa evaṃ hoti – sace obhāso attā bhaveyya, ‘‘attā’’ti gahetuṃ vaṭṭeyya. Anattāva panāyaṃ ‘‘attā’’ti gahito. Tasmāyaṃ avasavattanaṭṭhena anattāti passanto diṭṭhiṃ ugghāṭeti. Sace obhāso nicco bhaveyya, ‘‘nicco’’ti gahetuṃ vaṭṭeyya. Aniccova panāyaṃ ‘‘nicco’’ti gahito. Tasmāyaṃ hutvā abhāvaṭṭhena aniccoti passanto mānaṃ samugghāṭeti. Sace obhāso sukho bhaveyya, ‘‘sukho’’ti gahetuṃ vaṭṭeyya. Dukkhova panāyaṃ ‘‘sukho’’ti gahito. Tasmāyaṃ uppādavayapaṭipīḷanaṭṭhena dukkhoti passanto nikantiṃ pariyādiyati. Yathā ca obhāse, evaṃ sesesupi.
เอวํ อุปปริกฺขิตฺวา โอภาสํ ‘‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’’ติ สมนุปสฺสติฯ ญาณํ…เป.… นิกนฺติํ ‘‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’’ติ สมนุปสฺสติฯ เอวํ สมนุปสฺสโนฺต โอภาสาทีสุ น กมฺปติ น เวธติฯ ตสฺมา ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อิมานิ ทส ฐานานีติ คาถมาหฯ ตตฺถ ทส ฐานานีติ โอภาสาทีนิฯ ปญฺญา ยสฺส ปริจฺจิตาติ ยสฺส อุปกฺกิเลสวิมุตฺตาย ปญฺญาย ปริจิตานิ ปุนปฺปุนํ ผุฎฺฐานิ ปริภาวิตานิฯ ธมฺมุทฺธจฺจกุสโล โหตีติ โส ปญฺญาย ปริจิตทสฎฺฐาโน โยคาวจโร ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการสฺส ธมฺมุทฺธจฺจสฺส ยถาสภาวปฎิเวเธน เฉโก โหติฯ น จ สโมฺมห คจฺฉตีติ ธมฺมุทฺธจฺจกุสลตฺตาเยว ตณฺหามานทิฎฺฐุคฺฆาฎวเสน สโมฺมหญฺจ น คจฺฉติฯ
Evaṃ upaparikkhitvā obhāsaṃ ‘‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’’ti samanupassati. Ñāṇaṃ…pe… nikantiṃ ‘‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’’ti samanupassati. Evaṃ samanupassanto obhāsādīsu na kampati na vedhati. Tasmā tamatthaṃ dassento imāni dasa ṭhānānīti gāthamāha. Tattha dasa ṭhānānīti obhāsādīni. Paññā yassa pariccitāti yassa upakkilesavimuttāya paññāya paricitāni punappunaṃ phuṭṭhāni paribhāvitāni. Dhammuddhaccakusalo hotīti so paññāya paricitadasaṭṭhāno yogāvacaro pubbe vuttappakārassa dhammuddhaccassa yathāsabhāvapaṭivedhena cheko hoti. Na ca sammoha gacchatīti dhammuddhaccakusalattāyeva taṇhāmānadiṭṭhugghāṭavasena sammohañca na gacchati.
อิทานิ ปุเพฺพ วุตฺตเมว วิธิํ อปเรน ปริยาเยน วิภาเวตฺวา ทเสฺสโนฺต วิกฺขิปติ เจว กิลิสฺสติ จาติอาทิคาถมาหฯ ตตฺถ มนฺทปโญฺญ โยคาวจโร โอภาสาทีสุ วิเกฺขปญฺจ อวเสสกิเลสุปฺปตฺติญฺจ ปาปุณาติฯ มชฺฌิมปโญฺญ วิเกฺขปเมว ปาปุณาติ, นาวเสสกิเลสุปฺปตฺติํ, โส อธิมานิโก โหติฯ ติกฺขปโญฺญ วิเกฺขปํ ปาปุณิตฺวาปิ ตํ อธิมานํ ปหาย วิปสฺสนํ อารภติฯ อติติกฺขปโญฺญ น วิเกฺขปํ ปาปุณาติ, น จาวเสสกิเลสุปฺปตฺติํฯ วิกฺขิปฺปติ เจวาติ เตสุ มนฺทปโญฺญ ธมฺมุทฺธจฺจสงฺขาตํ วิเกฺขปเญฺจว ปาปุณียติฯ กิลิสฺสติ จาติ ตณฺหามานทิฎฺฐิกิเลเสหิ กิเลสียติ จ, อุปตาปียติ วิพาธียตีติ อโตฺถฯ จวติ จิตฺตภาวนาติ ตสฺส มนฺทปญฺญสฺส วิปสฺสนาจิตฺตภาวนา กิเลเสสุเยว ฐานโต ปฎิปกฺขาวิหตตฺตา จวติ, ปริปตตีติ อโตฺถฯ วิกฺขิปติ น กิลิสฺสตีติ มชฺฌิมปโญฺญ วิเกฺขเปน วิกฺขิปติ, กิเลเสหิ น กิลิสฺสติฯ ภาวนา ปริหายตีติ ตสฺส มชฺฌิมปญฺญสฺส อธิมานิกตฺตา วิปสฺสนารมฺภาภาเวน วิปสฺสนา ปริหายติ, นปฺปวตฺตตีติ อโตฺถฯ วิกฺขิปติ น กิลิสฺสตีติ ติกฺขปโญฺญปิ วิเกฺขเปน วิกฺขิปติ, กิเลเสหิ น กิลิสฺสติฯ ภาวนา น ปริหายตีติ ตสฺส ติกฺขปญฺญสฺส สเนฺตปิ วิเกฺขเป ตํ อธิมานวิเกฺขปํ ปหาย วิปสฺสนารมฺภสพฺภาเวน วิปสฺสนาภาวนา น ปริหายติ, ปวตฺตตีติ อโตฺถฯ น จ วิกฺขิปเต จิตฺตํ น กิลิสฺสตีติ อติติกฺขปญฺญสฺส จิตฺตํ น วิเกฺขเปน วิกฺขิปติ, น จ กิเลเสหิ กิลิสฺสติฯ น จวติ จิตฺตภาวนาติ ตสฺส วิปสฺสนาจิตฺตภาวนา น จวติ, วิเกฺขปกิเลสาภาเวน ยถาฐาเน ติฎฺฐตีติ อโตฺถฯ
Idāni pubbe vuttameva vidhiṃ aparena pariyāyena vibhāvetvā dassento vikkhipati ceva kilissati cātiādigāthamāha. Tattha mandapañño yogāvacaro obhāsādīsu vikkhepañca avasesakilesuppattiñca pāpuṇāti. Majjhimapañño vikkhepameva pāpuṇāti, nāvasesakilesuppattiṃ, so adhimāniko hoti. Tikkhapañño vikkhepaṃ pāpuṇitvāpi taṃ adhimānaṃ pahāya vipassanaṃ ārabhati. Atitikkhapañño na vikkhepaṃ pāpuṇāti, na cāvasesakilesuppattiṃ. Vikkhippati cevāti tesu mandapañño dhammuddhaccasaṅkhātaṃ vikkhepañceva pāpuṇīyati. Kilissati cāti taṇhāmānadiṭṭhikilesehi kilesīyati ca, upatāpīyati vibādhīyatīti attho. Cavati cittabhāvanāti tassa mandapaññassa vipassanācittabhāvanā kilesesuyeva ṭhānato paṭipakkhāvihatattā cavati, paripatatīti attho. Vikkhipati na kilissatīti majjhimapañño vikkhepena vikkhipati, kilesehi na kilissati. Bhāvanā parihāyatīti tassa majjhimapaññassa adhimānikattā vipassanārambhābhāvena vipassanā parihāyati, nappavattatīti attho. Vikkhipati na kilissatīti tikkhapaññopi vikkhepena vikkhipati, kilesehi na kilissati. Bhāvanā na parihāyatīti tassa tikkhapaññassa santepi vikkhepe taṃ adhimānavikkhepaṃ pahāya vipassanārambhasabbhāvena vipassanābhāvanā na parihāyati, pavattatīti attho. Na ca vikkhipate cittaṃ na kilissatīti atitikkhapaññassa cittaṃ na vikkhepena vikkhipati, na ca kilesehi kilissati. Na cavati cittabhāvanāti tassa vipassanācittabhāvanā na cavati, vikkhepakilesābhāvena yathāṭhāne tiṭṭhatīti attho.
อิเมหิ จตูหิ ฐาเนหีติอาทีสุ อิทานิ วุเตฺตหิ อิเมหิ จตูหิ ฐาเนหิ เหตุภูเตหิ, กรณภูเตหิ วา โอภาสาทิเก ทส ฐาเน จิตฺตสฺส สเงฺขเปน จ วิเกฺขเปน จ วิคฺคหิตํ มานสํ วิเกฺขปกิเลสุปฺปตฺติวิรหิโต จตุโตฺถ กุสโล มหาปโญฺญ โยคาวจโร มนฺทปญฺญาทีนํ ติณฺณํ โยคาวจรานํ มานสํ เอวญฺจ เอวญฺจ โหตีติ นานปฺปการโต ชานาตีติ สมฺพนฺธโต อตฺถวณฺณนา เวทิตพฺพาฯ สเงฺขโปติ เจตฺถ วิเกฺขปสฺส เจว กิเลสานญฺจ อุปฺปตฺติวเสน จิตฺตสฺส ลีนภาโว เวทิตโพฺพฯ วิเกฺขโปติ ‘‘วิกฺขิปติ น กิลิสฺสตี’’ติ ทฺวีสุ ฐาเนสุ วุตฺตวิเกฺขปวเสน จิตฺตสฺส อุทฺธตภาโว เวทิตโพฺพติฯ
Imehi catūhi ṭhānehītiādīsu idāni vuttehi imehi catūhi ṭhānehi hetubhūtehi, karaṇabhūtehi vā obhāsādike dasa ṭhāne cittassa saṅkhepena ca vikkhepena ca viggahitaṃ mānasaṃ vikkhepakilesuppattivirahito catuttho kusalo mahāpañño yogāvacaro mandapaññādīnaṃ tiṇṇaṃ yogāvacarānaṃ mānasaṃ evañca evañca hotīti nānappakārato jānātīti sambandhato atthavaṇṇanā veditabbā. Saṅkhepoti cettha vikkhepassa ceva kilesānañca uppattivasena cittassa līnabhāvo veditabbo. Vikkhepoti ‘‘vikkhipati na kilissatī’’ti dvīsu ṭhānesu vuttavikkhepavasena cittassa uddhatabhāvo veditabboti.
ยุคนทฺธกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Yuganaddhakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๒. ธมฺมุทฺธจฺจวารนิเทฺทโส • 2. Dhammuddhaccavāraniddeso