Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๗. ธนญฺชานิสุตฺตํ
7. Dhanañjānisuttaṃ
๔๔๕. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา สาริปุโตฺต ทกฺขิณาคิริสฺมิํ จาริกํ จรติ มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํฯ อถ โข อญฺญตโร ภิกฺขุ ราชคเห วสฺสํวุโฎฺฐ 1 เยน ทกฺขิณาคิริ เยนายสฺมา สาริปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา สาริปุเตฺตน สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข ตํ ภิกฺขุํ อายสฺมา สาริปุโตฺต เอตทโวจ – ‘‘กจฺจาวุโส, ภควา อโรโค จ พลวา จา’’ติ? ‘‘อโรโค จาวุโส, ภควา พลวา จา’’ติฯ ‘‘กจฺจิ ปนาวุโส, ภิกฺขุสโงฺฆ อโรโค จ พลวา จา’’ติ? ‘‘ภิกฺขุสโงฺฆปิ โข, อาวุโส, อโรโค จ พลวา จา’’ติฯ ‘‘เอตฺถ, อาวุโส, ตณฺฑุลปาลิทฺวาราย ธนญฺชานิ 2 นาม พฺราหฺมโณ อตฺถิฯ กจฺจาวุโส , ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ อโรโค จ พลวา จา’’ติ? ‘‘ธนญฺชานิปิ โข, อาวุโส, พฺราหฺมโณ อโรโค จ พลวา จา’’ติฯ ‘‘กจฺจิ ปนาวุโส, ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ อปฺปมโตฺต’’ติ? ‘‘กุโต ปนาวุโส, ธนญฺชานิสฺส พฺราหฺมณสฺส อปฺปมาโท? ธนญฺชานิ, อาวุโส, พฺราหฺมโณ ราชานํ นิสฺสาย พฺราหฺมณคหปติเก วิลุมฺปติ, พฺราหฺมณคหปติเก นิสฺสาย ราชานํ วิลุมฺปติ ฯ ยาปิสฺส ภริยา สทฺธา สทฺธกุลา อานีตา สาปิ กาลงฺกตา; อญฺญาสฺส ภริยา อสฺสทฺธา อสฺสทฺธกุลา อานีตา’’ฯ ‘‘ทุสฺสุตํ วตาวุโส, อสฺสุมฺห, ทุสฺสุตํ วตาวุโส, อสฺสุมฺห; เย มยํ ธนญฺชานิํ พฺราหฺมณํ ปมตฺตํ อสฺสุมฺหฯ อเปฺปว จ นาม มยํ กทาจิ กรหจิ ธนญฺชานินา พฺราหฺมเณน สทฺธิํ สมาคเจฺฉยฺยาม, อเปฺปว นาม สิยา โกจิเทว กถาสลฺลาโป’’ติ?
445. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena kho pana samayena āyasmā sāriputto dakkhiṇāgirismiṃ cārikaṃ carati mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ. Atha kho aññataro bhikkhu rājagahe vassaṃvuṭṭho 3 yena dakkhiṇāgiri yenāyasmā sāriputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā sāriputtena saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho taṃ bhikkhuṃ āyasmā sāriputto etadavoca – ‘‘kaccāvuso, bhagavā arogo ca balavā cā’’ti? ‘‘Arogo cāvuso, bhagavā balavā cā’’ti. ‘‘Kacci panāvuso, bhikkhusaṅgho arogo ca balavā cā’’ti? ‘‘Bhikkhusaṅghopi kho, āvuso, arogo ca balavā cā’’ti. ‘‘Ettha, āvuso, taṇḍulapālidvārāya dhanañjāni 4 nāma brāhmaṇo atthi. Kaccāvuso , dhanañjāni brāhmaṇo arogo ca balavā cā’’ti? ‘‘Dhanañjānipi kho, āvuso, brāhmaṇo arogo ca balavā cā’’ti. ‘‘Kacci panāvuso, dhanañjāni brāhmaṇo appamatto’’ti? ‘‘Kuto panāvuso, dhanañjānissa brāhmaṇassa appamādo? Dhanañjāni, āvuso, brāhmaṇo rājānaṃ nissāya brāhmaṇagahapatike vilumpati, brāhmaṇagahapatike nissāya rājānaṃ vilumpati . Yāpissa bhariyā saddhā saddhakulā ānītā sāpi kālaṅkatā; aññāssa bhariyā assaddhā assaddhakulā ānītā’’. ‘‘Dussutaṃ vatāvuso, assumha, dussutaṃ vatāvuso, assumha; ye mayaṃ dhanañjāniṃ brāhmaṇaṃ pamattaṃ assumha. Appeva ca nāma mayaṃ kadāci karahaci dhanañjāninā brāhmaṇena saddhiṃ samāgaccheyyāma, appeva nāma siyā kocideva kathāsallāpo’’ti?
๔๔๖. อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ทกฺขิณาคิริสฺมิํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา เยน ราชคหํ เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน ราชคหํ ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ อายสฺมา สาริปุโตฺต ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิ ฯ เตน โข ปน สมเยน ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ พหินคเร คาโว โคเฎฺฐ ทุหาเปติฯ อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ราชคเห ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต เยน ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ เตนุปสงฺกมิฯ อทฺทสา โข ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน เยนายสฺมา สาริปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อิโต, โภ สาริปุตฺต, ปโย, ปียตํ ตาว ภตฺตสฺส กาโล ภวิสฺสตี’’ติฯ ‘‘อลํ, พฺราหฺมณฯ กตํ เม อชฺช ภตฺตกิจฺจํฯ อมุกสฺมิํ เม รุกฺขมูเล ทิวาวิหาโร ภวิสฺสติฯ ตตฺถ อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติฯ ‘‘เอวํ, โภ’’ติ โข ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ ปจฺฉาภตฺตํ ภุตฺตปาตราโส เยนายสฺมา สาริปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา สาริปุเตฺตน สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข ธนญฺชานิํ พฺราหฺมณํ อายสฺมา สาริปุโตฺต เอตทโวจ – ‘‘กจฺจาสิ, ธนญฺชานิ, อปฺปมโตฺต’’ติ? ‘‘กุโต, โภ สาริปุตฺต, อมฺหากํ อปฺปมาโท เยสํ โน มาตาปิตโร โปเสตพฺพา, ปุตฺตทาโร โปเสตโพฺพ, ทาสกมฺมกรา โปเสตพฺพา, มิตฺตามจฺจานํ มิตฺตามจฺจกรณียํ กาตพฺพํ, ญาติสาโลหิตานํ ญาติสาโลหิตกรณียํ กาตพฺพํ, อติถีนํ อติถิกรณียํ กาตพฺพํ, ปุพฺพเปตานํ ปุพฺพเปตกรณียํ กาตพฺพํ, เทวตานํ เทวตากรณียํ กาตพฺพํ, รโญฺญ ราชกรณียํ กาตพฺพํ, อยมฺปิ กาโย ปีเณตโพฺพ พฺรูเหตโพฺพ’’ติ?
446. Atha kho āyasmā sāriputto dakkhiṇāgirismiṃ yathābhirantaṃ viharitvā yena rājagahaṃ tena cārikaṃ pakkāmi. Anupubbena cārikaṃ caramāno yena rājagahaṃ tadavasari. Tatra sudaṃ āyasmā sāriputto rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Atha kho āyasmā sāriputto pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi . Tena kho pana samayena dhanañjāni brāhmaṇo bahinagare gāvo goṭṭhe duhāpeti. Atha kho āyasmā sāriputto rājagahe piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto yena dhanañjāni brāhmaṇo tenupasaṅkami. Addasā kho dhanañjāni brāhmaṇo āyasmantaṃ sāriputtaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna yenāyasmā sāriputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘‘ito, bho sāriputta, payo, pīyataṃ tāva bhattassa kālo bhavissatī’’ti. ‘‘Alaṃ, brāhmaṇa. Kataṃ me ajja bhattakiccaṃ. Amukasmiṃ me rukkhamūle divāvihāro bhavissati. Tattha āgaccheyyāsī’’ti. ‘‘Evaṃ, bho’’ti kho dhanañjāni brāhmaṇo āyasmato sāriputtassa paccassosi. Atha kho dhanañjāni brāhmaṇo pacchābhattaṃ bhuttapātarāso yenāyasmā sāriputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā sāriputtena saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho dhanañjāniṃ brāhmaṇaṃ āyasmā sāriputto etadavoca – ‘‘kaccāsi, dhanañjāni, appamatto’’ti? ‘‘Kuto, bho sāriputta, amhākaṃ appamādo yesaṃ no mātāpitaro posetabbā, puttadāro posetabbo, dāsakammakarā posetabbā, mittāmaccānaṃ mittāmaccakaraṇīyaṃ kātabbaṃ, ñātisālohitānaṃ ñātisālohitakaraṇīyaṃ kātabbaṃ, atithīnaṃ atithikaraṇīyaṃ kātabbaṃ, pubbapetānaṃ pubbapetakaraṇīyaṃ kātabbaṃ, devatānaṃ devatākaraṇīyaṃ kātabbaṃ, rañño rājakaraṇīyaṃ kātabbaṃ, ayampi kāyo pīṇetabbo brūhetabbo’’ti?
๔๔๗. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ มาตาปิตูนํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข มาตาปิตูนํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ , มาตาปิตโร วา ปนสฺส ลเภยฺยุํ ‘เอโส โข อมฺหากํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ, มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
447. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco mātāpitūnaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho mātāpitūnaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti , mātāpitaro vā panassa labheyyuṃ ‘eso kho amhākaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosi, mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ ปุตฺตทารสฺส เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข ปุตฺตทารสฺส เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ, ปุตฺตทาโร วา ปนสฺส ลเภยฺย ‘เอโส โข อมฺหากํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco puttadārassa hetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho puttadārassa hetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti, puttadāro vā panassa labheyya ‘eso kho amhākaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosi mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ ทาสกมฺมกรโปริสสฺส เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข ทาสกมฺมกรโปริสสฺส เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ, ทาสกมฺมกรโปริสา วา ปนสฺส ลเภยฺยุํ ‘เอโส โข อมฺหากํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ, มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco dāsakammakaraporisassa hetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho dāsakammakaraporisassa hetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti, dāsakammakaraporisā vā panassa labheyyuṃ ‘eso kho amhākaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosi, mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ มิตฺตามจฺจานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข มิตฺตามจฺจานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ, มิตฺตามจฺจา วา ปนสฺส ลเภยฺยุํ ‘เอโส โข อมฺหากํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ, มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco mittāmaccānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho mittāmaccānaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti, mittāmaccā vā panassa labheyyuṃ ‘eso kho amhākaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosi, mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ ญาติสาโลหิตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข ญาติสาโลหิตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ, ญาติสาโลหิตา วา ปนสฺส ลเภยฺยุํ ‘เอโส โข อมฺหากํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ, มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco ñātisālohitānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho ñātisālohitānaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti, ñātisālohitā vā panassa labheyyuṃ ‘eso kho amhākaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosi, mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ อติถีนํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข อติถีนํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ, อติถี วา ปนสฺส ลเภยฺยุํ ‘เอโส โข อมฺหากํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ, มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco atithīnaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho atithīnaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti, atithī vā panassa labheyyuṃ ‘eso kho amhākaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosi, mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ ปุพฺพเปตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข ปุพฺพเปตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ, ปุพฺพเปตา วา ปนสฺส ลเภยฺยุํ ‘เอโส โข อมฺหากํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ, มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco pubbapetānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho pubbapetānaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti, pubbapetā vā panassa labheyyuṃ ‘eso kho amhākaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosi, mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ เทวตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข เทวตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ, เทวตา วา ปนสฺส ลเภยฺยุํ ‘เอโส โข อมฺหากํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ, มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco devatānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho devatānaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti, devatā vā panassa labheyyuṃ ‘eso kho amhākaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosi, mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ รโญฺญ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข รโญฺญ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ, ราชา วา ปนสฺส ลเภยฺย ‘เอโส โข อมฺหากํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ, มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco rañño hetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho rañño hetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti, rājā vā panassa labheyya ‘eso kho amhākaṃ hetu adhammacārī visamacārī ahosi, mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, อิเธกโจฺจ กายสฺส ปีณนาเหตุ พฺรูหนาเหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, ตเมนํ อธมฺมจริยาวิสมจริยาเหตุ นิรยํ นิรยปาลา อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส ‘อหํ โข กายสฺส ปีณนาเหตุ พฺรูหนาเหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิํ, มา มํ นิรยํ นิรยปาลา’ติ, ปเร วา ปนสฺส ลเภยฺยุํ ‘เอโส โข กายสฺส ปีณนาเหตุ พฺรูหนาเหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อโหสิ, มา นํ นิรยํ นิรยปาลา’’’ติ? ‘‘โน หิทํ, โภ สาริปุตฺตฯ อถ โข นํ วิกฺกนฺทนฺตํเยว นิรเย นิรยปาลา ปกฺขิเปยฺยุํ’’ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, idhekacco kāyassa pīṇanāhetu brūhanāhetu adhammacārī visamacārī assa, tamenaṃ adhammacariyāvisamacariyāhetu nirayaṃ nirayapālā upakaḍḍheyyuṃ. Labheyya nu kho so ‘ahaṃ kho kāyassa pīṇanāhetu brūhanāhetu adhammacārī visamacārī ahosiṃ, mā maṃ nirayaṃ nirayapālā’ti, pare vā panassa labheyyuṃ ‘eso kho kāyassa pīṇanāhetu brūhanāhetu adhammacārī visamacārī ahosi, mā naṃ nirayaṃ nirayapālā’’’ti? ‘‘No hidaṃ, bho sāriputta. Atha kho naṃ vikkandantaṃyeva niraye nirayapālā pakkhipeyyuṃ’’.
๔๔๘. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา มาตาปิตูนํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา มาตาปิตูนํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ, โภ สาริปุตฺต, มาตาปิตูนํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, มาตาปิตูนํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺยฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ, โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา, เยหิ สกฺกา มาตาปิตโร เจว โปเสตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุํฯ
448. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā mātāpitūnaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā mātāpitūnaṃ hetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi, bho sāriputta, mātāpitūnaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, mātāpitūnaṃ hetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo. Adhammacariyāvisamacariyāhi, bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā, yehi sakkā mātāpitaro ceva posetuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjituṃ.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา ปุตฺตทารสฺส เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา ปุตฺตทารสฺส เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ, โภ สาริปุตฺต, ปุตฺตทารสฺส เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, ปุตฺตทารสฺส เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺยฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ, โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา เยหิ สกฺกา ปุตฺตทารเญฺจว โปเสตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā puttadārassa hetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā puttadārassa hetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi, bho sāriputta, puttadārassa hetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, puttadārassa hetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo. Adhammacariyāvisamacariyāhi, bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā yehi sakkā puttadārañceva posetuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjituṃ.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา ทาสกมฺมกรโปริสสฺส เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา ทาสกมฺมกรโปริสสฺส เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ, โภ สาริปุตฺต, ทาสกมฺมกรโปริสสฺส เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, ทาสกมฺมกรโปริสสฺส เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺยฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ, โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา, เยหิ สกฺกา ทาสกมฺมกรโปริเส เจว โปเสตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā dāsakammakaraporisassa hetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā dāsakammakaraporisassa hetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi, bho sāriputta, dāsakammakaraporisassa hetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, dāsakammakaraporisassa hetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo. Adhammacariyāvisamacariyāhi, bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā, yehi sakkā dāsakammakaraporise ceva posetuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjituṃ.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา มิตฺตามจฺจานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา มิตฺตามจฺจานํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ , โภ สาริปุตฺต, มิตฺตามจฺจานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, มิตฺตามจฺจานํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺยฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ, โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา, เยหิ สกฺกา มิตฺตามจฺจานเญฺจว มิตฺตามจฺจกรณียํ กาตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā mittāmaccānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā mittāmaccānaṃ hetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi , bho sāriputta, mittāmaccānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, mittāmaccānaṃ hetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo. Adhammacariyāvisamacariyāhi, bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā, yehi sakkā mittāmaccānañceva mittāmaccakaraṇīyaṃ kātuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjituṃ.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา ญาติสาโลหิตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา ญาติสาโลหิตานํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ, โภ สาริปุตฺต, ญาติสาโลหิตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, ญาติสาโลหิตานํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺยฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ, โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา, เยหิ สกฺกา ญาติสาโลหิตานเญฺจว ญาติสาโลหิตกรณียํ กาตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā ñātisālohitānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā ñātisālohitānaṃ hetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi, bho sāriputta, ñātisālohitānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, ñātisālohitānaṃ hetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo. Adhammacariyāvisamacariyāhi, bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā, yehi sakkā ñātisālohitānañceva ñātisālohitakaraṇīyaṃ kātuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjituṃ.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา อติถีนํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา อติถีนํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ, โภ สาริปุตฺต, อติถีนํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, อติถีนํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺยฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ, โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา, เยหิ สกฺกา อติถีนเญฺจว อติถิกรณียํ กาตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā atithīnaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā atithīnaṃ hetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi, bho sāriputta, atithīnaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, atithīnaṃ hetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo. Adhammacariyāvisamacariyāhi, bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā, yehi sakkā atithīnañceva atithikaraṇīyaṃ kātuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjituṃ.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา ปุพฺพเปตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา ปุพฺพเปตานํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ, โภ สาริปุตฺต, ปุพฺพเปตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, ปุพฺพเปตานํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺยฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ , โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา, เยหิ สกฺกา ปุพฺพเปตานเญฺจว ปุพฺพเปตกรณียํ กาตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā pubbapetānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā pubbapetānaṃ hetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi, bho sāriputta, pubbapetānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, pubbapetānaṃ hetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo. Adhammacariyāvisamacariyāhi , bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā, yehi sakkā pubbapetānañceva pubbapetakaraṇīyaṃ kātuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjituṃ.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา เทวตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา เทวตานํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ, โภ สาริปุตฺต, เทวตานํ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, เทวตานํ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺย ฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ, โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา, เยหิ สกฺกา เทวตานเญฺจว เทวตากรณียํ กาตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā devatānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā devatānaṃ hetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi, bho sāriputta, devatānaṃ hetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, devatānaṃ hetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo . Adhammacariyāvisamacariyāhi, bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā, yehi sakkā devatānañceva devatākaraṇīyaṃ kātuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjituṃ.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา รโญฺญ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา รโญฺญ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ, โภ สาริปุตฺต, รโญฺญ เหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, รโญฺญ เหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺยฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ, โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา, เยหิ สกฺกา รโญฺญ เจว ราชกรณียํ กาตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā rañño hetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā rañño hetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi, bho sāriputta, rañño hetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, rañño hetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo. Adhammacariyāvisamacariyāhi, bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā, yehi sakkā rañño ceva rājakaraṇīyaṃ kātuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjituṃ.
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, โย วา กายสฺส ปีณนาเหตุ พฺรูหนาเหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, โย วา กายสฺส ปีณนาเหตุ พฺรูหนาเหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส; กตมํ เสโยฺย’’ติ? ‘‘โย หิ, โภ สาริปุตฺต, กายสฺส ปีณนาเหตุ พฺรูหนาเหตุ อธมฺมจารี วิสมจารี อสฺส, น ตํ เสโยฺย; โย จ โข, โภ สาริปุตฺต, กายสฺส ปีณนาเหตุ พฺรูหนาเหตุ ธมฺมจารี สมจารี อสฺส, ตเทเวตฺถ เสโยฺยฯ อธมฺมจริยาวิสมจริยาหิ, โภ สาริปุตฺต, ธมฺมจริยาสมจริยา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘อตฺถิ โข, ธนญฺชานิ, อเญฺญสํ เหตุกา ธมฺมิกา กมฺมนฺตา , เยหิ สกฺกา กายเญฺจว ปีเณตุํ พฺรูเหตุํ, น จ ปาปกมฺมํ กาตุํ, ปุญฺญญฺจ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตุ’’นฺติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, yo vā kāyassa pīṇanāhetu brūhanāhetu adhammacārī visamacārī assa, yo vā kāyassa pīṇanāhetu brūhanāhetu dhammacārī samacārī assa; katamaṃ seyyo’’ti? ‘‘Yo hi, bho sāriputta, kāyassa pīṇanāhetu brūhanāhetu adhammacārī visamacārī assa, na taṃ seyyo; yo ca kho, bho sāriputta, kāyassa pīṇanāhetu brūhanāhetu dhammacārī samacārī assa, tadevettha seyyo. Adhammacariyāvisamacariyāhi, bho sāriputta, dhammacariyāsamacariyā seyyo’’ti. ‘‘Atthi kho, dhanañjāni, aññesaṃ hetukā dhammikā kammantā , yehi sakkā kāyañceva pīṇetuṃ brūhetuṃ, na ca pāpakammaṃ kātuṃ, puññañca paṭipadaṃ paṭipajjitu’’nti.
๔๔๙. อถ โข ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ อถ โข ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ อปเรน สมเยน อาพาธิโก อโหสิ ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ อถ โข ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ อญฺญตรํ ปุริสํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ, อโมฺภ ปุริส , เยน ภควา เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทาหิ – ‘ธนญฺชานิ, ภเนฺต, พฺราหฺมโณ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ โส ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทตี’ติฯ เยน จายสฺมา สาริปุโตฺต เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปาเท สิรสา วนฺทาหิ – ‘ธนญฺชานิ, ภเนฺต, พฺราหฺมโณ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ โส อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปาเท สิรสา วนฺทตี’ติฯ เอวญฺจ วเทหิ – ‘สาธุ กิร, ภเนฺต, อายสฺมา สาริปุโตฺต เยน ธนญฺชานิสฺส พฺราหฺมณสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’’ติฯ ‘‘เอวํ , ภเนฺต’’ติ โข โส ปุริโส ธนญฺชานิสฺส พฺราหฺมณสฺส ปฎิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โส ปุริโส ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ธนญฺชานิ, ภเนฺต, พฺราหฺมโณ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ โส ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทตี’’ติฯ เยน จายสฺมา สาริปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โส ปุริโส อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ธนญฺชานิ, ภเนฺต, พฺราหฺมโณ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ โส อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ, เอวญฺจ วเทติ – ‘สาธุ กิร, ภเนฺต, อายสฺมา สาริปุโตฺต เยน ธนญฺชานิสฺส พฺราหฺมณสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’’ติฯ อธิวาเสสิ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ตุณฺหีภาเวนฯ
449. Atha kho dhanañjāni brāhmaṇo āyasmato sāriputtassa bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Atha kho dhanañjāni brāhmaṇo aparena samayena ābādhiko ahosi dukkhito bāḷhagilāno. Atha kho dhanañjāni brāhmaṇo aññataraṃ purisaṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ, ambho purisa , yena bhagavā tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā mama vacanena bhagavato pāde sirasā vandāhi – ‘dhanañjāni, bhante, brāhmaṇo ābādhiko dukkhito bāḷhagilāno. So bhagavato pāde sirasā vandatī’ti. Yena cāyasmā sāriputto tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā mama vacanena āyasmato sāriputtassa pāde sirasā vandāhi – ‘dhanañjāni, bhante, brāhmaṇo ābādhiko dukkhito bāḷhagilāno. So āyasmato sāriputtassa pāde sirasā vandatī’ti. Evañca vadehi – ‘sādhu kira, bhante, āyasmā sāriputto yena dhanañjānissa brāhmaṇassa nivesanaṃ tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’’ti. ‘‘Evaṃ , bhante’’ti kho so puriso dhanañjānissa brāhmaṇassa paṭissutvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho so puriso bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘dhanañjāni, bhante, brāhmaṇo ābādhiko dukkhito bāḷhagilāno. So bhagavato pāde sirasā vandatī’’ti. Yena cāyasmā sāriputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ sāriputtaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho so puriso āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘‘dhanañjāni, bhante, brāhmaṇo ābādhiko dukkhito bāḷhagilāno. So āyasmato sāriputtassa pāde sirasā vandati, evañca vadeti – ‘sādhu kira, bhante, āyasmā sāriputto yena dhanañjānissa brāhmaṇassa nivesanaṃ tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’’ti. Adhivāsesi kho āyasmā sāriputto tuṇhībhāvena.
๔๕๐. อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน ธนญฺชานิสฺส พฺราหฺมณสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ธนญฺชานิํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ – ‘‘กจฺจิ เต, ธนญฺชานิ, ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนียํ? กจฺจิ ทุกฺขา เวทนา ปฎิกฺกมนฺติ, โน อภิกฺกมนฺติ? ปฎิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ , โน อภิกฺกโม’’ติ? ‘‘น เม, โภ สาริปุตฺต, ขมนียํ น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฎิกฺกมนฺติฯ อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน ปฎิกฺกโมฯ เสยฺยถาปิ, โภ สาริปุตฺต , พลวา ปุริโส ติเณฺหน สิขเรน มุทฺธนิ 5 อภิมเตฺถยฺย; เอวเมว โข , โภ สาริปุตฺต, อธิมตฺตา วาตา มุทฺธนิ จ อูหนนฺติฯ น เม, โภ สาริปุตฺต, ขมนียํ, น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฎิกฺกมนฺติฯ อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน ปฎิกฺกโมฯ เสยฺยถาปิ, โภ สาริปุตฺต, พลวา ปุริโส ทเฬฺหน วรตฺตกฺขเณฺฑน 6 สีเส สีสเวฐํ ทเทยฺย; เอวเมว โข, โภ สาริปุตฺต, อธิมตฺตา สีเส สีสเวทนาฯ น เม, โภ สาริปุตฺต, ขมนียํ น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฎิกฺกมนฺติฯ อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน ปฎิกฺกโมฯ เสยฺยถาปิ, โภ สาริปุตฺต, ทโกฺข โคฆาตโก วา โคฆาตกเนฺตวาสี วา ติเณฺหน โควิกนฺตเนน กุจฺฉิํ ปริกเนฺตยฺย; เอวเมว โข, โภ สาริปุตฺต, อธิมตฺตา วาตา กุจฺฉิํ ปริกนฺตนฺติฯ น เม, โภ สาริปุตฺต, ขมนียํ, น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฎิกฺกมนฺติฯ อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ, โน ปฎิกฺกโมฯ เสยฺยถาปิ, โภ สาริปุตฺต, เทฺว พลวโนฺต ปุริสา ทุพฺพลตรํ ปุริสํ นานาพาหาสุ คเหตฺวา องฺคารกาสุยา สนฺตาเปยฺยุํ สมฺปริตาเปยฺยุํ; เอวเมว โข, โภ สาริปุตฺต, อธิมโตฺต กายสฺมิํ ฑาโหฯ น เม, โภ สาริปุตฺต, ขมนียํ น ยาปนียํฯ พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฎิกฺกมนฺติฯ อภิกฺกโมสานํ ปญฺญายติ , โน ปฎิกฺกโม’’ติฯ
450. Atha kho āyasmā sāriputto nivāsetvā pattacīvaramādāya yena dhanañjānissa brāhmaṇassa nivesanaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi. Nisajja kho āyasmā sāriputto dhanañjāniṃ brāhmaṇaṃ etadavoca – ‘‘kacci te, dhanañjāni, khamanīyaṃ, kacci yāpanīyaṃ? Kacci dukkhā vedanā paṭikkamanti, no abhikkamanti? Paṭikkamosānaṃ paññāyati , no abhikkamo’’ti? ‘‘Na me, bho sāriputta, khamanīyaṃ na yāpanīyaṃ. Bāḷhā me dukkhā vedanā abhikkamanti, no paṭikkamanti. Abhikkamosānaṃ paññāyati, no paṭikkamo. Seyyathāpi, bho sāriputta , balavā puriso tiṇhena sikharena muddhani 7 abhimattheyya; evameva kho , bho sāriputta, adhimattā vātā muddhani ca ūhananti. Na me, bho sāriputta, khamanīyaṃ, na yāpanīyaṃ. Bāḷhā me dukkhā vedanā abhikkamanti, no paṭikkamanti. Abhikkamosānaṃ paññāyati, no paṭikkamo. Seyyathāpi, bho sāriputta, balavā puriso daḷhena varattakkhaṇḍena 8 sīse sīsaveṭhaṃ dadeyya; evameva kho, bho sāriputta, adhimattā sīse sīsavedanā. Na me, bho sāriputta, khamanīyaṃ na yāpanīyaṃ. Bāḷhā me dukkhā vedanā abhikkamanti, no paṭikkamanti. Abhikkamosānaṃ paññāyati, no paṭikkamo. Seyyathāpi, bho sāriputta, dakkho goghātako vā goghātakantevāsī vā tiṇhena govikantanena kucchiṃ parikanteyya; evameva kho, bho sāriputta, adhimattā vātā kucchiṃ parikantanti. Na me, bho sāriputta, khamanīyaṃ, na yāpanīyaṃ. Bāḷhā me dukkhā vedanā abhikkamanti, no paṭikkamanti. Abhikkamosānaṃ paññāyati, no paṭikkamo. Seyyathāpi, bho sāriputta, dve balavanto purisā dubbalataraṃ purisaṃ nānābāhāsu gahetvā aṅgārakāsuyā santāpeyyuṃ samparitāpeyyuṃ; evameva kho, bho sāriputta, adhimatto kāyasmiṃ ḍāho. Na me, bho sāriputta, khamanīyaṃ na yāpanīyaṃ. Bāḷhā me dukkhā vedanā abhikkamanti, no paṭikkamanti. Abhikkamosānaṃ paññāyati , no paṭikkamo’’ti.
๔๕๑. ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, กตมํ เสโยฺย – นิรโย วา ติรจฺฉานโยนิ วา’’ติ? ‘‘นิรยา, โภ สาริปุตฺต, ติรจฺฉานโยนิ เสโยฺย’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, กตมํ เสโยฺย – ติรจฺฉานโยนิ วา เปตฺติวิสโย วา’’ติ? ‘‘ติรจฺฉานโยนิยา, โภ สาริปุตฺต, เปตฺติวิสโย เสโยฺย’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, กตมํ เสโยฺย – เปตฺติวิสโย วา มนุสฺสา วา’’ติ? ‘‘เปตฺติวิสยา, โภ สาริปุตฺต, มนุสฺสา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ , กตมํ เสโยฺย – มนุสฺสา วา จาตุมหาราชิกา 9 วา เทวา’’ติ? ‘‘มนุเสฺสหิ , โภ สาริปุตฺต, จาตุมหาราชิกา เทวา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, กตมํ เสโยฺย – จาตุมหาราชิกา วา เทวา ตาวติํสา วา เทวา’’ติ? ‘‘จาตุมหาราชิเกหิ, โภ สาริปุตฺต, เทเวหิ ตาวติํสา เทวา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, กตมํ เสโยฺย – ตาวติํสา วา เทวา ยามา วา เทวา’’ติ? ‘‘ตาวติํเสหิ, โภ สาริปุตฺต, เทเวหิ ยามา เทวา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, กตมํ เสโยฺย – ยามา วา เทวา ตุสิตา วา เทวา’’ติ? ‘‘ยาเมหิ, โภ สาริปุตฺต, เทเวหิ ตุสิตา เทวา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, กตมํ เสโยฺย – ตุสิตา วา เทวา นิมฺมานรตี วา เทวา’’ติ? ‘‘ตุสิเตหิ, โภ สาริปุตฺต, เทเวหิ นิมฺมานรตี เทวา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, กตมํ เสโยฺย – นิมฺมานรตี วา เทวา ปรนิมฺมิตวสวตฺตี วา เทวา’’ติ? ‘‘นิมฺมานรตีหิ , โภ สาริปุตฺต, เทเวหิ ปรนิมฺมิตวสวตฺตี เทวา เสโยฺย’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ธนญฺชานิ, กตมํ เสโยฺย ปรนิมฺมิตวสวตฺตี วา เทวา พฺรหฺมโลโก วา’’ติ? ‘‘‘พฺรหฺมโลโก’ติ 10 – ภวํ สาริปุโตฺต อาห; ‘พฺรหฺมโลโก’ติ – ภวํ สาริปุโตฺต อาหา’’ติ 11ฯ
451. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, katamaṃ seyyo – nirayo vā tiracchānayoni vā’’ti? ‘‘Nirayā, bho sāriputta, tiracchānayoni seyyo’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, katamaṃ seyyo – tiracchānayoni vā pettivisayo vā’’ti? ‘‘Tiracchānayoniyā, bho sāriputta, pettivisayo seyyo’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, katamaṃ seyyo – pettivisayo vā manussā vā’’ti? ‘‘Pettivisayā, bho sāriputta, manussā seyyo’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni , katamaṃ seyyo – manussā vā cātumahārājikā 12 vā devā’’ti? ‘‘Manussehi , bho sāriputta, cātumahārājikā devā seyyo’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, katamaṃ seyyo – cātumahārājikā vā devā tāvatiṃsā vā devā’’ti? ‘‘Cātumahārājikehi, bho sāriputta, devehi tāvatiṃsā devā seyyo’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, katamaṃ seyyo – tāvatiṃsā vā devā yāmā vā devā’’ti? ‘‘Tāvatiṃsehi, bho sāriputta, devehi yāmā devā seyyo’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, katamaṃ seyyo – yāmā vā devā tusitā vā devā’’ti? ‘‘Yāmehi, bho sāriputta, devehi tusitā devā seyyo’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, katamaṃ seyyo – tusitā vā devā nimmānaratī vā devā’’ti? ‘‘Tusitehi, bho sāriputta, devehi nimmānaratī devā seyyo’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, katamaṃ seyyo – nimmānaratī vā devā paranimmitavasavattī vā devā’’ti? ‘‘Nimmānaratīhi , bho sāriputta, devehi paranimmitavasavattī devā seyyo’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, dhanañjāni, katamaṃ seyyo paranimmitavasavattī vā devā brahmaloko vā’’ti? ‘‘‘Brahmaloko’ti 13 – bhavaṃ sāriputto āha; ‘brahmaloko’ti – bhavaṃ sāriputto āhā’’ti 14.
อถ โข อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อิเม โข พฺราหฺมณา พฺรหฺมโลกาธิมุตฺตาฯ ยํนูนาหํ ธนญฺชานิสฺส พฺราหฺมณสฺส พฺรหฺมานํ สหพฺยตาย มคฺคํ เทเสยฺย’’นฺติฯ ‘‘พฺรหฺมานํ เต, ธนญฺชานิ, สหพฺยตาย มคฺคํ เทเสสฺสามิ; ตํ สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ, ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, โภ’’ติ โข ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อายสฺมา สาริปุโตฺต เอตทโวจ – ‘‘กตโม จ, ธนญฺชานิ, พฺรหฺมานํ สหพฺยตาย มโคฺค? อิธ, ธนญฺชานิ, ภิกฺขุ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหรติฯ อยํ โข, ธนญฺชานิ, พฺรหฺมานํ สหพฺยตาย มโคฺค’’ฯ
Atha kho āyasmato sāriputtassa etadahosi – ‘‘ime kho brāhmaṇā brahmalokādhimuttā. Yaṃnūnāhaṃ dhanañjānissa brāhmaṇassa brahmānaṃ sahabyatāya maggaṃ deseyya’’nti. ‘‘Brahmānaṃ te, dhanañjāni, sahabyatāya maggaṃ desessāmi; taṃ suṇāhi, sādhukaṃ manasi karohi, bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bho’’ti kho dhanañjāni brāhmaṇo āyasmato sāriputtassa paccassosi. Āyasmā sāriputto etadavoca – ‘‘katamo ca, dhanañjāni, brahmānaṃ sahabyatāya maggo? Idha, dhanañjāni, bhikkhu mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā viharati. Ayaṃ kho, dhanañjāni, brahmānaṃ sahabyatāya maggo’’.
๔๕๒. ‘‘ปุน จปรํ, ธนญฺชานิ, ภิกฺขุ กรุณาสหคเตน เจตสา…เป.… มุทิตาสหคเตน เจตสา… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํ; อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหรติฯ อยํ โข, ธนญฺชานิ, พฺรหฺมานํ สหพฺยตาย มโคฺค’’ติฯ เตน หิ, โภ สาริปุตฺต, มม วจเนน ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทาหิ – ‘ธนญฺชานิ , ภเนฺต, พฺราหฺมโณ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโนฯ โส ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทตี’ติฯ อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ธนญฺชานิํ พฺราหฺมณํ สติ อุตฺตริกรณีเย หีเน พฺรหฺมโลเก ปติฎฺฐาเปตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ อถ โข ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ อจิรปกฺกเนฺต อายสฺมเนฺต สาริปุเตฺต กาลมกาสิ, พฺรหฺมโลกญฺจ อุปปชฺชิฯ
452. ‘‘Puna caparaṃ, dhanañjāni, bhikkhu karuṇāsahagatena cetasā…pe… muditāsahagatena cetasā… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ; iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā viharati. Ayaṃ kho, dhanañjāni, brahmānaṃ sahabyatāya maggo’’ti. Tena hi, bho sāriputta, mama vacanena bhagavato pāde sirasā vandāhi – ‘dhanañjāni , bhante, brāhmaṇo ābādhiko dukkhito bāḷhagilāno. So bhagavato pāde sirasā vandatī’ti. Atha kho āyasmā sāriputto dhanañjāniṃ brāhmaṇaṃ sati uttarikaraṇīye hīne brahmaloke patiṭṭhāpetvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Atha kho dhanañjāni brāhmaṇo acirapakkante āyasmante sāriputte kālamakāsi, brahmalokañca upapajji.
๔๕๓. อถ โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘เอโส, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต ธนญฺชานิํ พฺราหฺมณํ สติ อุตฺตริกรณีเย หีเน พฺรหฺมโลเก ปติฎฺฐาเปตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกโนฺต’’ติฯ อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ธนญฺชานิ, ภเนฺต, พฺราหฺมโณ อาพาธิโก ทุกฺขิโต พาฬฺหคิลาโน, โส ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทตี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ สาริปุตฺต ธนญฺชานิํ พฺราหฺมณํ สติ อุตฺตริกรณีเย หีเน พฺรหฺมโลเก ปติฎฺฐาเปตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกโนฺต’’ติ? ‘‘มยฺหํ โข, ภเนฺต, เอวํ อโหสิ – ‘อิเม โข พฺราหฺมณา พฺรหฺมโลกาธิมุตฺตา, ยํนูนาหํ ธนญฺชานิสฺส พฺราหฺมณสฺส พฺรหฺมานํ สหพฺยตาย มคฺคํ เทเสยฺย’นฺติฯ ‘‘กาลงฺกโตจ 15, สาริปุตฺต, ธนญฺชานิ พฺราหฺมโณ, พฺรหฺมโลกญฺจ อุปปโนฺน’’ติฯ
453. Atha kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘eso, bhikkhave, sāriputto dhanañjāniṃ brāhmaṇaṃ sati uttarikaraṇīye hīne brahmaloke patiṭṭhāpetvā uṭṭhāyāsanā pakkanto’’ti. Atha kho āyasmā sāriputto yena bhagavā tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi, ekamantaṃ nisinno kho āyasmā sāriputto bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘dhanañjāni, bhante, brāhmaṇo ābādhiko dukkhito bāḷhagilāno, so bhagavato pāde sirasā vandatī’’ti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ sāriputta dhanañjāniṃ brāhmaṇaṃ sati uttarikaraṇīye hīne brahmaloke patiṭṭhāpetvā uṭṭhāyāsanā pakkanto’’ti? ‘‘Mayhaṃ kho, bhante, evaṃ ahosi – ‘ime kho brāhmaṇā brahmalokādhimuttā, yaṃnūnāhaṃ dhanañjānissa brāhmaṇassa brahmānaṃ sahabyatāya maggaṃ deseyya’nti. ‘‘Kālaṅkatoca 16, sāriputta, dhanañjāni brāhmaṇo, brahmalokañca upapanno’’ti.
ธนญฺชานิสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ สตฺตมํฯ
Dhanañjānisuttaṃ niṭṭhitaṃ sattamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๗. ธนญฺชานิสุตฺตวณฺณนา • 7. Dhanañjānisuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๗. ธนญฺชานิสุตฺตวณฺณนา • 7. Dhanañjānisuttavaṇṇanā