Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๗. พฺราหฺมณสํยุตฺตํ

    7. Brāhmaṇasaṃyuttaṃ

    ๑. อรหนฺตวโคฺค

    1. Arahantavaggo

    ๑. ธนญฺชานีสุตฺตวณฺณนา

    1. Dhanañjānīsuttavaṇṇanā

    ๑๘๗. พฺราหฺมณสํยุตฺตสฺส ปฐเม ธนญฺชานีติ ธนญฺชานิโคตฺตาฯ อุกฺกฎฺฐโคตฺตา กิเรสาฯ เสสพฺราหฺมณา กิร พฺรหฺมุโน มุขโต ชาตา, ธนญฺชานิโคตฺตา มตฺถกํ ภินฺทิตฺวา นิกฺขนฺตาติ เตสํ ลทฺธิฯ อุทานํ อุทาเนสีติ กสฺมา อุทาเนสิ? โส กิร พฺราหฺมโณ มิจฺฉาทิฎฺฐิโก ‘‘พุโทฺธ ธโมฺม สโงฺฆ’’ติ วุเตฺต กเณฺณ ปิทหติ, ถโทฺธ ขทิรขาณุสทิโสฯ พฺราหฺมณี ปน โสตาปนฺนา อริยสาวิกาฯ พฺราหฺมโณ ทานํ เทโนฺต ปญฺจสตานํ พฺราหฺมณานํ อโปฺปทกํ ปายาสํ เทติ, พฺราหฺมณี พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส นานารสโภชนํฯ พฺราหฺมณสฺส ทานทิวเส พฺราหฺมณี ตสฺส วสวตฺติตาย ปหีนมเจฺฉรตาย จ สหตฺถา ปริวิสติฯ พฺราหฺมณิยา ปน ทานทิวเส พฺราหฺมโณ ปาโตว ฆรา นิกฺขมิตฺวา ปลายติฯ อเถกทิวสํ พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณิยา สทฺธิํ อสมฺมเนฺตตฺวา ปญฺจสเต พฺราหฺมเณ นิมเนฺตตฺวา พฺราหฺมณิํ อาห – ‘‘เสฺว โภติ อมฺหากํ ฆเร ปญฺจสตา พฺราหฺมณา ภุญฺชิสฺสนฺตี’’ติฯ มยา กิํ กาตพฺพํ พฺราหฺมณาติ? ตยา อญฺญํ กิญฺจิ กาตพฺพํ นตฺถิ, สพฺพํ ปจนปริเวสนํ อเญฺญ กริสฺสนฺติฯ ยํ ปน ตฺวํ ฐิตาปิ นิสินฺนาปิ ขิปิตฺวาปิ อุกฺกาสิตฺวาปิ ‘‘นโม พุทฺธสฺสา’’ติ ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส นมกฺการํ กโรสิ, ตํ เสฺว เอกทิวสมตฺตํ มา อกาสิฯ ตํ หิ สุตฺวา พฺราหฺมณา อนตฺตมนา โหนฺติ, มา มํ พฺราหฺมเณหิ ภินฺทสีติฯ ตฺวํ พฺราหฺมเณหิ วา ภิชฺช เทเวหิ วา, อหํ ปน สตฺถารํ อนุสฺสริตฺวา น สโกฺกมิ อนมสฺสมานา สณฺฐาตุนฺติฯ โภติ กุลสติเก คาเม คามทฺวารมฺปิ ตาว ปิทหิตุํ วายมนฺติ, ตฺวํ ทฺวีหงฺคุเลหิ ปิทหิตพฺพํ มุขํ พฺราหฺมณานํ โภชนกาลมตฺตํ ปิทหิตุํ น สโกฺกสีติฯ เอวํ ปุนปฺปุนํ กเถตฺวาปิ โส นิวาเรตุํ อสโกฺกโนฺต อุสฺสีสเก ฐปิตํ มณฺฑลคฺคขคฺคํ คเหตฺวา – ‘‘โภติ สเจ เสฺว พฺราหฺมเณสุ นิสิเนฺนสุ ตํ มุณฺฑสมณกํ นมสฺสสิ, อิมินา ตํ ขเคฺคน ปาทตลโต ปฎฺฐาย ยาว เกสมตฺถกา กฬีรํ วิย โกเฎฺฎตฺวา ราสิํ กริสฺสามี’’ติ อิมํ คาถํ อภาสิ –

    187. Brāhmaṇasaṃyuttassa paṭhame dhanañjānīti dhanañjānigottā. Ukkaṭṭhagottā kiresā. Sesabrāhmaṇā kira brahmuno mukhato jātā, dhanañjānigottā matthakaṃ bhinditvā nikkhantāti tesaṃ laddhi. Udānaṃ udānesīti kasmā udānesi? So kira brāhmaṇo micchādiṭṭhiko ‘‘buddho dhammo saṅgho’’ti vutte kaṇṇe pidahati, thaddho khadirakhāṇusadiso. Brāhmaṇī pana sotāpannā ariyasāvikā. Brāhmaṇo dānaṃ dento pañcasatānaṃ brāhmaṇānaṃ appodakaṃ pāyāsaṃ deti, brāhmaṇī buddhappamukhassa saṅghassa nānārasabhojanaṃ. Brāhmaṇassa dānadivase brāhmaṇī tassa vasavattitāya pahīnamaccheratāya ca sahatthā parivisati. Brāhmaṇiyā pana dānadivase brāhmaṇo pātova gharā nikkhamitvā palāyati. Athekadivasaṃ brāhmaṇo brāhmaṇiyā saddhiṃ asammantetvā pañcasate brāhmaṇe nimantetvā brāhmaṇiṃ āha – ‘‘sve bhoti amhākaṃ ghare pañcasatā brāhmaṇā bhuñjissantī’’ti. Mayā kiṃ kātabbaṃ brāhmaṇāti? Tayā aññaṃ kiñci kātabbaṃ natthi, sabbaṃ pacanaparivesanaṃ aññe karissanti. Yaṃ pana tvaṃ ṭhitāpi nisinnāpi khipitvāpi ukkāsitvāpi ‘‘namo buddhassā’’ti tassa muṇḍakassa samaṇakassa namakkāraṃ karosi, taṃ sve ekadivasamattaṃ mā akāsi. Taṃ hi sutvā brāhmaṇā anattamanā honti, mā maṃ brāhmaṇehi bhindasīti. Tvaṃ brāhmaṇehi vā bhijja devehi vā, ahaṃ pana satthāraṃ anussaritvā na sakkomi anamassamānā saṇṭhātunti. Bhoti kulasatike gāme gāmadvārampi tāva pidahituṃ vāyamanti, tvaṃ dvīhaṅgulehi pidahitabbaṃ mukhaṃ brāhmaṇānaṃ bhojanakālamattaṃ pidahituṃ na sakkosīti. Evaṃ punappunaṃ kathetvāpi so nivāretuṃ asakkonto ussīsake ṭhapitaṃ maṇḍalaggakhaggaṃ gahetvā – ‘‘bhoti sace sve brāhmaṇesu nisinnesu taṃ muṇḍasamaṇakaṃ namassasi, iminā taṃ khaggena pādatalato paṭṭhāya yāva kesamatthakā kaḷīraṃ viya koṭṭetvā rāsiṃ karissāmī’’ti imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘อิมินา มณฺฑลเคฺคน, ปาทโต ยาว มตฺถกา;

    ‘‘Iminā maṇḍalaggena, pādato yāva matthakā;

    กฬีรมิว เฉชฺชามิ, ยทิ มิจฺฉํ น กาหสิฯ

    Kaḷīramiva chejjāmi, yadi micchaṃ na kāhasi.

    ‘‘สเจ พุโทฺธติ ภณสิ, สเจ ธโมฺมติ ภาสสิ;

    ‘‘Sace buddhoti bhaṇasi, sace dhammoti bhāsasi;

    สเจ สโงฺฆติ กิเตฺตสิ, ชีวนฺตี เม นิเวสเน’’ติฯ

    Sace saṅghoti kittesi, jīvantī me nivesane’’ti.

    อริยสาวิกา ปน ปถวี วิย ทุปฺปกมฺปา, สิเนรุ วิย ทุปฺปริวตฺติยาฯ สา เตน นํ เอวมาห –

    Ariyasāvikā pana pathavī viya duppakampā, sineru viya dupparivattiyā. Sā tena naṃ evamāha –

    ‘‘สเจ เม องฺคมงฺคานิ, กามํ เฉชฺชสิ พฺราหฺมณ;

    ‘‘Sace me aṅgamaṅgāni, kāmaṃ chejjasi brāhmaṇa;

    เนวาหํ วิรมิสฺสามิ, พุทฺธเสฎฺฐสฺส สาสนาฯ

    Nevāhaṃ viramissāmi, buddhaseṭṭhassa sāsanā.

    ‘‘นาหํ โอกฺกา วรธรา, สกฺกา โรธยิตุํ ชินา;

    ‘‘Nāhaṃ okkā varadharā, sakkā rodhayituṃ jinā;

    ธีตาหํ พุทฺธเสฎฺฐสฺส, ฉินฺท วา มํ วธสฺสุ วา’’ติฯ

    Dhītāhaṃ buddhaseṭṭhassa, chinda vā maṃ vadhassu vā’’ti.

    เอวํ ธนญฺชานิคชฺชิตํ นาม คชฺชนฺตี ปญฺจ คาถาสตานิ อภาสิฯ พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณิํ ปรามสิตุํ วา ปหริตุํ วา อสโกฺกโนฺต ‘‘โภติ ยํ เต รุจฺจติ, ตํ กโรหี’’ติ วตฺวา ขคฺคํ สยเน ขิปิฯ ปุนทิวเส เคหํ หริตุปลิตฺตํ การาเปตฺวา ลาชาปุณฺณฆฎมาลาคนฺธาทีหิ ตตฺถ ตตฺถ อลงฺการาเปตฺวา ปญฺจนฺนํ พฺราหฺมณสตานํ นวสปฺปิสกฺขรมธุยุตฺตํ อโปฺปทกปายาสํ ปฎิยาทาเปตฺวา กาลํ อาโรจาเปสิฯ

    Evaṃ dhanañjānigajjitaṃ nāma gajjantī pañca gāthāsatāni abhāsi. Brāhmaṇo brāhmaṇiṃ parāmasituṃ vā paharituṃ vā asakkonto ‘‘bhoti yaṃ te ruccati, taṃ karohī’’ti vatvā khaggaṃ sayane khipi. Punadivase gehaṃ haritupalittaṃ kārāpetvā lājāpuṇṇaghaṭamālāgandhādīhi tattha tattha alaṅkārāpetvā pañcannaṃ brāhmaṇasatānaṃ navasappisakkharamadhuyuttaṃ appodakapāyāsaṃ paṭiyādāpetvā kālaṃ ārocāpesi.

    พฺราหฺมณีปิ ปาโตว คโนฺธทเกน สยํ นฺหายิตฺวา สหสฺสคฺฆนกํ อหตวตฺถํ นิวาเสตฺวา ปญฺจสตคฺฆนกํ เอกํสํ กตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา สุวณฺณกฎจฺฉุํ คเหตฺวา ภตฺตเคฺค พฺราหฺมเณ ปริวิสมานา เตหิ สทฺธิํ เอกปนฺติยํ นิสินฺนสฺส ตสฺส พฺราหฺมณสฺส ภตฺตํ อุปสํหรนฺตี ทุนฺนิกฺขิเตฺต ทารุภเณฺฑ ปกฺขลิฯ ปกฺขลนฆฎฺฎนาย ทุกฺขา เวทนา อุปฺปชฺชิฯ ตสฺมิํ สมเย ทสพลํ สริฯ สติสมฺปนฺนตาย ปน ปายาสปาติํ อฉเฑฺฑตฺวา สณิกํ โอตาเรตฺวา ภูมิยํ สณฺฐเปตฺวา ปญฺจนฺนํ พฺราหฺมณสตานํ มเชฺฌ สิรสิ อญฺชลิํ ฐเปตฺวา เยน เวฬุวนํ, เตนญฺชลิํ ปณาเมตฺวา อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Brāhmaṇīpi pātova gandhodakena sayaṃ nhāyitvā sahassagghanakaṃ ahatavatthaṃ nivāsetvā pañcasatagghanakaṃ ekaṃsaṃ katvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā suvaṇṇakaṭacchuṃ gahetvā bhattagge brāhmaṇe parivisamānā tehi saddhiṃ ekapantiyaṃ nisinnassa tassa brāhmaṇassa bhattaṃ upasaṃharantī dunnikkhitte dārubhaṇḍe pakkhali. Pakkhalanaghaṭṭanāya dukkhā vedanā uppajji. Tasmiṃ samaye dasabalaṃ sari. Satisampannatāya pana pāyāsapātiṃ achaḍḍetvā saṇikaṃ otāretvā bhūmiyaṃ saṇṭhapetvā pañcannaṃ brāhmaṇasatānaṃ majjhe sirasi añjaliṃ ṭhapetvā yena veḷuvanaṃ, tenañjaliṃ paṇāmetvā imaṃ udānaṃ udānesi.

    ตสฺมิญฺจ สมเย เตสุ พฺราหฺมเณสุ เกจิ ภุตฺตา โหนฺติ, เกจิ ภุญฺชมานา, เกจิ หเตฺถ โอตาริตมตฺตา, เกสญฺจิ โภชนํ ปุรโต ฐปิตมตฺตํ โหติฯ เต ตํ สทฺทํ สุตฺวาว สิเนรุมเตฺตน มุคฺคเรน สีเส ปหฎา วิย กเณฺณสุ สูเลน วิทฺธา วิย ทุกฺขโทมนสฺสํ ปฎิสํเวทิยมานา ‘‘อิมินา อญฺญลทฺธิเกน มยํ ฆรํ ปเวสิตา’’ติ กุชฺฌิตฺวา หเตฺถ ปิณฺฑํ ฉเฑฺฑตฺวา มุเขน คหิตํ นิฎฺฐุภิตฺวา ธนุํ ทิสฺวา กากา วิย พฺราหฺมณํ อโกฺกสมานา ทิสาวิทิสา ปกฺกมิํสุฯ พฺราหฺมโณ เอวํ ภิชฺชิตฺวา คจฺฉเนฺต พฺราหฺมเณ ทิสฺวา พฺราหฺมณิํ สีสโต ปฎฺฐาย โอโลเกตฺวา, ‘‘อิทเมว ภยํ สมฺปสฺสมานา มยํ หิโยฺย ปฎฺฐาย โภติํ ยาจนฺตา น ลภิมฺหา’’ติ นานปฺปกาเรหิ พฺราหฺมณิํ อโกฺกสิตฺวา, เอตํ ‘‘เอวเมวํ ปนา’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ

    Tasmiñca samaye tesu brāhmaṇesu keci bhuttā honti, keci bhuñjamānā, keci hatthe otāritamattā, kesañci bhojanaṃ purato ṭhapitamattaṃ hoti. Te taṃ saddaṃ sutvāva sinerumattena muggarena sīse pahaṭā viya kaṇṇesu sūlena viddhā viya dukkhadomanassaṃ paṭisaṃvediyamānā ‘‘iminā aññaladdhikena mayaṃ gharaṃ pavesitā’’ti kujjhitvā hatthe piṇḍaṃ chaḍḍetvā mukhena gahitaṃ niṭṭhubhitvā dhanuṃ disvā kākā viya brāhmaṇaṃ akkosamānā disāvidisā pakkamiṃsu. Brāhmaṇo evaṃ bhijjitvā gacchante brāhmaṇe disvā brāhmaṇiṃ sīsato paṭṭhāya oloketvā, ‘‘idameva bhayaṃ sampassamānā mayaṃ hiyyo paṭṭhāya bhotiṃ yācantā na labhimhā’’ti nānappakārehi brāhmaṇiṃ akkositvā, etaṃ ‘‘evamevaṃ panā’’tiādivacanaṃ avoca.

    อุปสงฺกมีติ ‘‘สมโณ โคตโม คามนิคมรฎฺฐปูชิโต, น สกฺกา คนฺตฺวา ยํ วา ตํ วา วตฺวา สนฺตเชฺชตุํ, เอกเมว นํ ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ คจฺฉโนฺตว ‘‘กิํสุ เฉตฺวา’’ติ คาถํ อภิสงฺขริตฺวา – ‘‘สเจ ‘อสุกสฺส นาม วธํ โรเจมี’ติ วกฺขติ, อถ นํ ‘เย ตุยฺหํ น รุจฺจนฺติ, เต มาเรตุกาโมสิ, โลกวธาย อุปฺปโนฺน, กิํ ตุยฺหํ สมณภาเวนา’ติ? นิคฺคเหสฺสามิฯ สเจ ‘น กสฺสจิ วธํ โรเจมี’ติ วกฺขติ, อถ นํ ‘ตฺวํ ราคาทีนมฺปิ วธํ น อิจฺฉสิฯ กสฺมา สมโณ หุตฺวา อาหิณฺฑสี’ติ? นิคฺคเหสฺสามีฯ อิติ อิมํ อุภโตโกฎิกํ ปญฺหํ สมโณ โคตโม เนว คิลิตุํ น อุคฺคิลิตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุปสงฺกมิ ฯ สโมฺมทีติ อตฺตโน ปณฺฑิตตาย กุทฺธภาวํ อทเสฺสตฺวา มธุรกถํ กเถโนฺต สโมฺมทิฯ ปโญฺห เทวตาสํยุเตฺต กถิโตฯ เสสมฺปิ เหฎฺฐา วิตฺถาริตเมวาติฯ ปฐมํฯ

    Upasaṅkamīti ‘‘samaṇo gotamo gāmanigamaraṭṭhapūjito, na sakkā gantvā yaṃ vā taṃ vā vatvā santajjetuṃ, ekameva naṃ pañhaṃ pucchissāmī’’ti gacchantova ‘‘kiṃsu chetvā’’ti gāthaṃ abhisaṅkharitvā – ‘‘sace ‘asukassa nāma vadhaṃ rocemī’ti vakkhati, atha naṃ ‘ye tuyhaṃ na ruccanti, te māretukāmosi, lokavadhāya uppanno, kiṃ tuyhaṃ samaṇabhāvenā’ti? Niggahessāmi. Sace ‘na kassaci vadhaṃ rocemī’ti vakkhati, atha naṃ ‘tvaṃ rāgādīnampi vadhaṃ na icchasi. Kasmā samaṇo hutvā āhiṇḍasī’ti? Niggahessāmī. Iti imaṃ ubhatokoṭikaṃ pañhaṃ samaṇo gotamo neva gilituṃ na uggilituṃ sakkhissatī’’ti cintetvā upasaṅkami . Sammodīti attano paṇḍitatāya kuddhabhāvaṃ adassetvā madhurakathaṃ kathento sammodi. Pañho devatāsaṃyutte kathito. Sesampi heṭṭhā vitthāritamevāti. Paṭhamaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑. ธนญฺชานีสุตฺตํ • 1. Dhanañjānīsuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑. ธนญฺชานีสุตฺตวณฺณนา • 1. Dhanañjānīsuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact