Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๒. ธนิยสุตฺตวณฺณนา

    2. Dhaniyasuttavaṇṇanā

    ๑๘. ปโกฺกทโนติ ธนิยสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติฯ เตน สมเยน ธนิโย โคโป มหีตีเร ปฎิวสติฯ ตสฺสายํ ปุพฺพโยโค – กสฺสปสฺส ภควโต ปาวจเน ทิพฺพมาเน วีสติ วสฺสสหสฺสานิ ทิวเส ทิวเส สงฺฆสฺส วีสติ สลากภตฺตานิ อทาสิฯ โส ตโต จุโต เทเวสุ อุปฺปโนฺนฯ เอวํ เทวโลเก เอกํ พุทฺธนฺตรํ เขเปตฺวา อมฺหากํ ภควโต กาเล วิเทหรฎฺฐมเชฺฌ ปพฺพตรฎฺฐํ นาม อตฺถิ ตตฺถ ธมฺมโกรณฺฑํ นาม นครํ, ตสฺมิํ นคเร เสฎฺฐิปุโตฺต หุตฺวา อภินิพฺพโตฺต, โคยูถํ นิสฺสาย ชีวติฯ ตสฺส หิ ติํสมตฺตานิ โคสหสฺสานิ โหนฺติ, สตฺตวีสสหสฺสา คาโว ขีรํ ทุยฺหนฺติฯ โคปา นาม นิพทฺธวาสิโน น โหนฺติฯ วสฺสิเก จตฺตาโรมาเส ถเล วสนฺติ, อวเสเส อฎฺฐมาเส ยตฺถ ติโณทกํ สุขํ ลพฺภติ, ตตฺถ วสนฺติฯ ตญฺจ นทีตีรํ วา ชาตสฺสรตีรํ วา โหติฯ อถายมฺปิ วสฺสกาเล อตฺตโน วสิตคามโต นิกฺขมิตฺวา คุนฺนํ ผาสุวิหารตฺถาย โอกาสํ คเวสโนฺต มหามหี ภิชฺชิตฺวา เอกโต กาลมหี เอกโต มหามหิเจฺจว สงฺขํ คนฺตฺวา สนฺทมานา ปุน สมุทฺทสมีเป สมาคนฺตฺวา ปวตฺตาฯ ยํ โอกาสํ อนฺตรทีปํ อกาสิ, ตํ ปวิสิตฺวา วจฺฉานํ สาลํ อตฺตโน จ นิเวสนํ มาเปตฺวา วาสํ กเปฺปสิฯ ตสฺส สตฺต ปุตฺตา, สตฺต ธีตโร, สตฺต สุณิสา, อเนเก จ กมฺมการา โหนฺติฯ โคปา นาม วสฺสนิมิตฺตํ ชานนฺติฯ ยทา สกุณิกา กุลาวกานิ รุกฺขเคฺค กโรนฺติ, กกฺกฎกา อุทกสมีเป ทฺวารํ ปิทหิตฺวา ถลสมีปทฺวาเรน วฬเญฺชนฺติ, ตทา สุวุฎฺฐิกา ภวิสฺสตีติ คณฺหนฺติฯ ยทา ปน สกุณิกา กุลาวกานิ นีจฎฺฐาเน อุทกปิเฎฺฐ กโรนฺติ, กกฺกฎกา ถลสมีเป ทฺวารํ ปิทหิตฺวา อุทกสมีปทฺวาเรน วฬเญฺชนฺติ, ตทา ทุพฺพุฎฺฐิกา ภวิสฺสตีติ คณฺหนฺติฯ

    18.Pakkodanoti dhaniyasuttaṃ. Kā uppatti? Bhagavā sāvatthiyaṃ viharati. Tena samayena dhaniyo gopo mahītīre paṭivasati. Tassāyaṃ pubbayogo – kassapassa bhagavato pāvacane dibbamāne vīsati vassasahassāni divase divase saṅghassa vīsati salākabhattāni adāsi. So tato cuto devesu uppanno. Evaṃ devaloke ekaṃ buddhantaraṃ khepetvā amhākaṃ bhagavato kāle videharaṭṭhamajjhe pabbataraṭṭhaṃ nāma atthi tattha dhammakoraṇḍaṃ nāma nagaraṃ, tasmiṃ nagare seṭṭhiputto hutvā abhinibbatto, goyūthaṃ nissāya jīvati. Tassa hi tiṃsamattāni gosahassāni honti, sattavīsasahassā gāvo khīraṃ duyhanti. Gopā nāma nibaddhavāsino na honti. Vassike cattāromāse thale vasanti, avasese aṭṭhamāse yattha tiṇodakaṃ sukhaṃ labbhati, tattha vasanti. Tañca nadītīraṃ vā jātassaratīraṃ vā hoti. Athāyampi vassakāle attano vasitagāmato nikkhamitvā gunnaṃ phāsuvihāratthāya okāsaṃ gavesanto mahāmahī bhijjitvā ekato kālamahī ekato mahāmahicceva saṅkhaṃ gantvā sandamānā puna samuddasamīpe samāgantvā pavattā. Yaṃ okāsaṃ antaradīpaṃ akāsi, taṃ pavisitvā vacchānaṃ sālaṃ attano ca nivesanaṃ māpetvā vāsaṃ kappesi. Tassa satta puttā, satta dhītaro, satta suṇisā, aneke ca kammakārā honti. Gopā nāma vassanimittaṃ jānanti. Yadā sakuṇikā kulāvakāni rukkhagge karonti, kakkaṭakā udakasamīpe dvāraṃ pidahitvā thalasamīpadvārena vaḷañjenti, tadā suvuṭṭhikā bhavissatīti gaṇhanti. Yadā pana sakuṇikā kulāvakāni nīcaṭṭhāne udakapiṭṭhe karonti, kakkaṭakā thalasamīpe dvāraṃ pidahitvā udakasamīpadvārena vaḷañjenti, tadā dubbuṭṭhikā bhavissatīti gaṇhanti.

    อถ โส ธนิโย สุวุฎฺฐิกนิมิตฺตานิ อุปสลฺลเกฺขตฺวา อุปกเฎฺฐ วสฺสกาเล อนฺตรทีปา นิกฺขมิตฺวา มหามหิยา ปรตีเร สตฺตสตฺตาหมฺปิ เทเว วสฺสเนฺต อุทเกน อนโชฺฌตฺถรโณกาเส อตฺตโน วสโนกาสํ กตฺวา สมนฺตา ปริกฺขิปิตฺวา, วจฺฉสาลาโย มาเปตฺวา, ตตฺถ นิวาสํ กเปฺปสิฯ อถสฺส ทารุติณาทิสงฺคเห กเต สเพฺพสุ ปุตฺตทารกมฺมกรโปริเสสุ สมานิเยสุ ชาเตสุ นานปฺปกาเร ขชฺชโภเชฺช ปฎิยเตฺต สมนฺตา จตุทฺทิสา เมฆมณฺฑลานิ อุฎฺฐหิํสุฯ โส เธนุโย ทุหาเปตฺวา , วจฺฉสาลาสุ วเจฺฉ สณฺฐาเปตฺวา, คุนฺนํ จตุทฺทิสา ธูมํ การาเปตฺวา, สพฺพปริชนํ โภชาเปตฺวา, สพฺพกิจฺจานิ การาเปตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ทีเป อุชฺชาลาเปตฺวา, สยํ ขีเรน ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา, มหาสยเน สยโนฺต อตฺตโน สิริสมฺปตฺติํ ทิสฺวา, ตุฎฺฐจิโตฺต หุตฺวา, อปรทิสาย เมฆตฺถนิตสทฺทํ สุตฺวา นิปโนฺน อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ ‘‘ปโกฺกทโน ทุทฺธขีโรหมสฺมี’’ติฯ

    Atha so dhaniyo suvuṭṭhikanimittāni upasallakkhetvā upakaṭṭhe vassakāle antaradīpā nikkhamitvā mahāmahiyā paratīre sattasattāhampi deve vassante udakena anajjhottharaṇokāse attano vasanokāsaṃ katvā samantā parikkhipitvā, vacchasālāyo māpetvā, tattha nivāsaṃ kappesi. Athassa dārutiṇādisaṅgahe kate sabbesu puttadārakammakaraporisesu samāniyesu jātesu nānappakāre khajjabhojje paṭiyatte samantā catuddisā meghamaṇḍalāni uṭṭhahiṃsu. So dhenuyo duhāpetvā , vacchasālāsu vacche saṇṭhāpetvā, gunnaṃ catuddisā dhūmaṃ kārāpetvā, sabbaparijanaṃ bhojāpetvā, sabbakiccāni kārāpetvā tattha tattha dīpe ujjālāpetvā, sayaṃ khīrena bhattaṃ bhuñjitvā, mahāsayane sayanto attano sirisampattiṃ disvā, tuṭṭhacitto hutvā, aparadisāya meghatthanitasaddaṃ sutvā nipanno imaṃ udānaṃ udānesi ‘‘pakkodano duddhakhīrohamasmī’’ti.

    ตตฺรายํ อตฺถวณฺณนา – ปโกฺกทโนติ สิทฺธภโตฺตฯ ทุทฺธขีโรติ คาโว ทุหิตฺวา คหิตขีโรฯ อหนฺติ อตฺตานํ นิทเสฺสติ , อสฺมีติ อตฺตโน ตถาภาวํฯ ปโกฺกทโน ทุทฺธขีโร จ อหมสฺมิ ภวามีติ อโตฺถฯ อิตีติ เอวมาหาติ อโตฺถฯ นิเทฺทเส ปน ‘‘อิตีติ ปทสนฺธิ, ปทสํสโคฺค, ปทปาริปูริ, อกฺขรสมวาโย พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตา ปทานุปุพฺพตาเมต’’นฺติ (จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๑) เอวมสฺส อโตฺถ วณฺณิโตฯ โสปิ อิทเมว สนฺธายาติ เวทิตโพฺพฯ ยํ ยํ หิ ปทํ ปุพฺพปเทน วุตฺตํ, ตสฺส ตสฺส เอวมาหาติ เอตมตฺถํ ปกาเสโนฺตเยว อิติสโทฺท ปจฺฉิเมน ปเทน เมเตฺตโยฺย อิติ วา ภควา อิติ วา เอวมาทินา ปทสนฺธิ โหติ, นาญฺญถาฯ

    Tatrāyaṃ atthavaṇṇanā – pakkodanoti siddhabhatto. Duddhakhīroti gāvo duhitvā gahitakhīro. Ahanti attānaṃ nidasseti , asmīti attano tathābhāvaṃ. Pakkodano duddhakhīro ca ahamasmi bhavāmīti attho. Itīti evamāhāti attho. Niddese pana ‘‘itīti padasandhi, padasaṃsaggo, padapāripūri, akkharasamavāyo byañjanasiliṭṭhatā padānupubbatāmeta’’nti (cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 1) evamassa attho vaṇṇito. Sopi idameva sandhāyāti veditabbo. Yaṃ yaṃ hi padaṃ pubbapadena vuttaṃ, tassa tassa evamāhāti etamatthaṃ pakāsentoyeva itisaddo pacchimena padena metteyyo iti vā bhagavā iti vā evamādinā padasandhi hoti, nāññathā.

    ธนิโย โคโปติ ตสฺส เสฎฺฐิปุตฺตสฺส นามสโมธานํฯ โส หิ ยานิมานิ ถาวราทีนิ ปญฺจ ธนานิ, เตสุ ฐเปตฺวา ทานสีลาทิอนุคามิกธนํ, เขตฺตวตฺถุ-อารามาทิโต ถาวรธนโตปิ, ควสฺสาทิโต ชงฺคมธนโตปิ หิรญฺญสุวณฺณาทิโต สํหาริมธนโตปิ, สิปฺปายตนาทิโต องฺคสมธนโตปิ ยํ ตํ โลกสฺส ปญฺจโครสานุปฺปทาเนน พหูปการํ ตํ สนฺธาย ‘‘นตฺถิ โคสมิตํ ธน’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๑๓; เนตฺติ. ๑๒๓) เอวํ วิเสสิตํ โคธนํ, เตน สมนฺนาคตตฺตา ธนิโย, คุนฺนํ ปาลนโต โคโปฯ โย หิ อตฺตโน คาโว ปาเลติ, โส ‘‘โคโป’’ติ วุจฺจติฯ โย ปเรสํ เวตเนน ภโฎ หุตฺวา, โส โคปาลโกฯ อยํ ปน อตฺตโนเยว, เตน โคโปติ วุโตฺตฯ

    Dhaniyo gopoti tassa seṭṭhiputtassa nāmasamodhānaṃ. So hi yānimāni thāvarādīni pañca dhanāni, tesu ṭhapetvā dānasīlādianugāmikadhanaṃ, khettavatthu-ārāmādito thāvaradhanatopi, gavassādito jaṅgamadhanatopi hiraññasuvaṇṇādito saṃhārimadhanatopi, sippāyatanādito aṅgasamadhanatopi yaṃ taṃ lokassa pañcagorasānuppadānena bahūpakāraṃ taṃ sandhāya ‘‘natthi gosamitaṃ dhana’’nti (saṃ. ni. 1.13; netti. 123) evaṃ visesitaṃ godhanaṃ, tena samannāgatattā dhaniyo, gunnaṃ pālanato gopo. Yo hi attano gāvo pāleti, so ‘‘gopo’’ti vuccati. Yo paresaṃ vetanena bhaṭo hutvā, so gopālako. Ayaṃ pana attanoyeva, tena gopoti vutto.

    อนุตีเรติ ตีรสฺส สมีเปฯ มหิยาติ มหามหีนามิกาย นทิยาฯ สมาเนน อนุกูลวตฺตินา ปริชเนน สทฺธิํ วาโส ยสฺส โส สมานวาโส, อยญฺจ ตถาวิโธฯ เตนาห ‘‘สมานวาโส’’ติฯ ฉนฺนาติ ติณปณฺณจฺฉทเนหิ อโนวสฺสกา กตาฯ กุฎีติ วสนฆรเสฺสตํ อธิวจนํฯ อาหิโตติ อาภโต, ชาลิโต วาฯ คินีติ อคฺคิฯ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ อคฺคิ ‘‘คินี’’ติ โวหรียติฯ อถ เจ ปตฺถยสีติ อิทานิ ยทิ อิจฺฉสีติ วุตฺตํ โหติฯ ปวสฺสาติ สิญฺจ, ปคฺฆร, อุทกํ มุญฺจาติ อโตฺถฯ เทวาติ เมฆํ อาลปติฯ อยํ ตาเวตฺถ ปทวณฺณนาฯ

    Anutīreti tīrassa samīpe. Mahiyāti mahāmahīnāmikāya nadiyā. Samānena anukūlavattinā parijanena saddhiṃ vāso yassa so samānavāso, ayañca tathāvidho. Tenāha ‘‘samānavāso’’ti. Channāti tiṇapaṇṇacchadanehi anovassakā katā. Kuṭīti vasanagharassetaṃ adhivacanaṃ. Āhitoti ābhato, jālito vā. Ginīti aggi. Tesu tesu ṭhānesu aggi ‘‘ginī’’ti voharīyati. Atha ce patthayasīti idāni yadi icchasīti vuttaṃ hoti. Pavassāti siñca, pagghara, udakaṃ muñcāti attho. Devāti meghaṃ ālapati. Ayaṃ tāvettha padavaṇṇanā.

    อยํ ปน อตฺถวณฺณนา – เอวมยํ ธนิโย โคโป อตฺตโน สยนฆเร มหาสยเน นิปโนฺน เมฆตฺถนิตํ สุตฺวา ‘‘ปโกฺกทโนหมสฺมี’’ติ ภณโนฺต กายทุกฺขวูปสมูปายํ กายสุขเหตุญฺจ อตฺตโน สนฺนิหิตํ ทีเปติฯ ‘‘ทุทฺธขีโรหมสฺมี’’ติ ภณโนฺต จิตฺตทุกฺขวูปสมูปายํ จิตฺตสุขเหตุญฺจฯ ‘‘อนุตีเร มหิยา’’ติ นิวาสฎฺฐานสมฺปตฺติํ, ‘‘สมานวาโส’’ติ ตาทิเส กาเล ปิยวิปฺปโยคปทฎฺฐานสฺส โสกสฺสาภาวํฯ ‘‘ฉนฺนา กุฎี’’ติ กายทุกฺขาปคมปฎิฆาตํฯ ‘‘อาหิโต คินี’’ติ ยสฺมา โคปาลกา ปริเกฺขปธูมทารุอคฺคิวเสน ตโย อคฺคี กโรนฺติฯ เต จ ตสฺส เคเห สเพฺพ กตา, ตสฺมา สพฺพทิสาสุ ปริเกฺขปคฺคิํ สนฺธาย ‘‘อาหิโต คินี’’ติ ภณโนฺต วาฬมิคาคมนนิวารณํ ทีเปติ, คุนฺนํ มเชฺฌ โคมยาทีหิ ธูมคฺคิํ สนฺธาย ฑํสมกสาทีหิ คุนฺนํ อนาพาธํ, โคปาลกานํ สยนฎฺฐาเน ทารุอคฺคิํ สนฺธาย โคปาลกานํ สีตาพาธปฎิฆาตํฯ โส เอวํ ทีเปโนฺต อตฺตโน วา คุนฺนํ วา ปริชนสฺส วา วุฎฺฐิปจฺจยสฺส กสฺสจิ อาพาธสฺส อภาวโต ปีติโสมนสฺสชาโต อาห – ‘‘อถ เจ ปตฺถยสี ปวสฺส เทวา’’ติฯ

    Ayaṃ pana atthavaṇṇanā – evamayaṃ dhaniyo gopo attano sayanaghare mahāsayane nipanno meghatthanitaṃ sutvā ‘‘pakkodanohamasmī’’ti bhaṇanto kāyadukkhavūpasamūpāyaṃ kāyasukhahetuñca attano sannihitaṃ dīpeti. ‘‘Duddhakhīrohamasmī’’ti bhaṇanto cittadukkhavūpasamūpāyaṃ cittasukhahetuñca. ‘‘Anutīre mahiyā’’ti nivāsaṭṭhānasampattiṃ, ‘‘samānavāso’’ti tādise kāle piyavippayogapadaṭṭhānassa sokassābhāvaṃ. ‘‘Channā kuṭī’’ti kāyadukkhāpagamapaṭighātaṃ. ‘‘Āhito ginī’’ti yasmā gopālakā parikkhepadhūmadāruaggivasena tayo aggī karonti. Te ca tassa gehe sabbe katā, tasmā sabbadisāsu parikkhepaggiṃ sandhāya ‘‘āhito ginī’’ti bhaṇanto vāḷamigāgamananivāraṇaṃ dīpeti, gunnaṃ majjhe gomayādīhi dhūmaggiṃ sandhāya ḍaṃsamakasādīhi gunnaṃ anābādhaṃ, gopālakānaṃ sayanaṭṭhāne dāruaggiṃ sandhāya gopālakānaṃ sītābādhapaṭighātaṃ. So evaṃ dīpento attano vā gunnaṃ vā parijanassa vā vuṭṭhipaccayassa kassaci ābādhassa abhāvato pītisomanassajāto āha – ‘‘atha ce patthayasī pavassa devā’’ti.

    ๑๙. เอวํ ธนิยสฺส อิมํ คาถํ ภาสมานสฺส อโสฺสสิ ภควา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย เชตวนมหาวิหาเร คนฺธกุฎิยํ วิหรโนฺตฯ สุตฺวา จ ปน พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต อทฺทส ธนิยญฺจ ปชาปติญฺจสฺส ‘‘อิเม อุโภปิ เหตุสมฺปนฺนาฯ สเจ อหํ คนฺตฺวา ธมฺมํ เทเสสฺสามิ, อุโภปิ ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺติฯ โน เจ คมิสฺสามิ, เสฺว อุทโกเฆน วินสฺสิสฺสนฺตี’’ติ ตํ ขเณเยว สาวตฺถิโต สตฺต โยชนสตานิ ธนิยสฺส นิวาสฎฺฐานํ อากาเสน คนฺตฺวา ตสฺส กุฎิยา อุปริ อฎฺฐาสิฯ ธนิโย ตํ คาถํ ปุนปฺปุนํ ภาสติเยว , น นิฎฺฐาเปติ, ภควติ คเตปิ ภาสติฯ ภควา จ ตํ สุตฺวา ‘‘น เอตฺตเกน สนฺตุฎฺฐา วา วิสฺสตฺถา วา โหนฺติ, เอวํ ปน โหนฺตี’’ติ ทเสฺสตุํ –

    19. Evaṃ dhaniyassa imaṃ gāthaṃ bhāsamānassa assosi bhagavā dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya jetavanamahāvihāre gandhakuṭiyaṃ viharanto. Sutvā ca pana buddhacakkhunā lokaṃ volokento addasa dhaniyañca pajāpatiñcassa ‘‘ime ubhopi hetusampannā. Sace ahaṃ gantvā dhammaṃ desessāmi, ubhopi pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇissanti. No ce gamissāmi, sve udakoghena vinassissantī’’ti taṃ khaṇeyeva sāvatthito satta yojanasatāni dhaniyassa nivāsaṭṭhānaṃ ākāsena gantvā tassa kuṭiyā upari aṭṭhāsi. Dhaniyo taṃ gāthaṃ punappunaṃ bhāsatiyeva , na niṭṭhāpeti, bhagavati gatepi bhāsati. Bhagavā ca taṃ sutvā ‘‘na ettakena santuṭṭhā vā vissatthā vā honti, evaṃ pana hontī’’ti dassetuṃ –

    ‘‘อโกฺกธโน วิคตขิโลหมสฺมิ, อนุตีเร มหิเยกรตฺติวาโส;

    ‘‘Akkodhano vigatakhilohamasmi,anutīre mahiyekarattivāso;

    วิวฎา กุฎิ นิพฺพุโต คินิ, อถ เจ ปตฺถยสี ปวสฺส เทวา’’ติฯ –

    Vivaṭā kuṭi nibbuto gini,atha ce patthayasī pavassa devā’’ti. –

    อิมํ ปฎิคาถํ อภาสิ พฺยญฺชนสภาคํ โน อตฺถสภาคํฯ น หิ ‘‘ปโกฺกทโน’’ติ, ‘‘อโกฺกธโน’’ติ จ อาทีนิ ปทานิ อตฺถโต สเมนฺติ มหาสมุทฺทสฺส โอริมปาริมตีรานิ วิย, พฺยญฺชนํ ปเนตฺถ กิญฺจิ กิญฺจิ สเมตีติ พฺยญฺชนสภาคานิ โหนฺติฯ ตตฺถ ปุริมคาถาย สทิสปทานํ วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Imaṃ paṭigāthaṃ abhāsi byañjanasabhāgaṃ no atthasabhāgaṃ. Na hi ‘‘pakkodano’’ti, ‘‘akkodhano’’ti ca ādīni padāni atthato samenti mahāsamuddassa orimapārimatīrāni viya, byañjanaṃ panettha kiñci kiñci sametīti byañjanasabhāgāni honti. Tattha purimagāthāya sadisapadānaṃ vuttanayeneva attho veditabbo.

    วิเสสปทานํ ปนายํ ปทโต อตฺถโต จ วณฺณนา – อโกฺกธโนติ อกุชฺฌนสภาโวฯ โย หิ โส ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการอาฆาตวตฺถุสมฺภโว โกโธ เอกจฺจสฺส สุปริโตฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน หทยํ สนฺตาเปตฺวา วูปสมฺมติ, เยน จ ตโต พลวตรุปฺปเนฺนน เอกโจฺจ มุขวิกุณนมตฺตํ กโรติ, ตโต พลวตเรน เอกโจฺจ ผรุสํ วตฺตุกาโม หนุสญฺจลนมตฺตํ กโรติ, อปโร ตโต พลวตเรน ผรุสํ ภณติ, อปโร ตโต พลวตเรน ทณฺฑํ วา สตฺถํ วา คเวสโนฺต ทิสา วิโลเกติ, อปโร ตโต พลวตเรน ทณฺฑํ วา สตฺถํ วา อามสติ, อปโร ตโต พลวตเรน ทณฺฑาทีนิ คเหตฺวา อุปธาวติ, อปโร ตโต พลวตเรน เอกํ วา เทฺว วา ปหาเร เทติ, อปโร ตโต พลวตเรน อปิ ญาติสาโลหิตํ ชีวิตา โวโรเปติ, เอกโจฺจ ตโต พลวตเรน ปจฺฉา วิปฺปฎิสารี อตฺตานมฺปิ ชีวิตา โวโรเปติ สีหฬทีเป กาลคามวาสี อมโจฺจ วิยฯ เอตฺตาวตา จ โกโธ ปรมเวปุลฺลปฺปโตฺต โหติฯ โส ภควตา โพธิมเณฺฑเยว สพฺพโส ปหีโน อุจฺฉินฺนมูโล ตาลาวตฺถุกโต, ตสฺมา ภควา ‘‘อโกฺกธโนหมสฺมี’’ติ อาหฯ

    Visesapadānaṃ panāyaṃ padato atthato ca vaṇṇanā – akkodhanoti akujjhanasabhāvo. Yo hi so pubbe vuttappakāraāghātavatthusambhavo kodho ekaccassa suparittopi uppajjamāno hadayaṃ santāpetvā vūpasammati, yena ca tato balavataruppannena ekacco mukhavikuṇanamattaṃ karoti, tato balavatarena ekacco pharusaṃ vattukāmo hanusañcalanamattaṃ karoti, aparo tato balavatarena pharusaṃ bhaṇati, aparo tato balavatarena daṇḍaṃ vā satthaṃ vā gavesanto disā viloketi, aparo tato balavatarena daṇḍaṃ vā satthaṃ vā āmasati, aparo tato balavatarena daṇḍādīni gahetvā upadhāvati, aparo tato balavatarena ekaṃ vā dve vā pahāre deti, aparo tato balavatarena api ñātisālohitaṃ jīvitā voropeti, ekacco tato balavatarena pacchā vippaṭisārī attānampi jīvitā voropeti sīhaḷadīpe kālagāmavāsī amacco viya. Ettāvatā ca kodho paramavepullappatto hoti. So bhagavatā bodhimaṇḍeyeva sabbaso pahīno ucchinnamūlo tālāvatthukato, tasmā bhagavā ‘‘akkodhanohamasmī’’ti āha.

    วิคตขิโลติ อปคตขิโลฯ เย หิ เต จิตฺตพนฺธภาเวน ปญฺจ เจโตขิลา วุตฺตา, เย หิ จ ขิลภูเต จิเตฺต เสยฺยถาปิ นาม ขิเล ภูมิภาเค จตฺตาโร มาเส วสฺสเนฺตปิ เทเว สสฺสานิ น รุหนฺติ, เอวเมวํ สทฺธมฺมสฺสวนาทิกุสลเหตุวเสฺส วสฺสเนฺตปิ กุสลํ น รุหติ เต จ ภควตา โพธิมเณฺฑเยว สพฺพโส ปหีนา, ตสฺมา ภควา ‘‘วิคตขิโลหมสฺมี’’ติ อาหฯ

    Vigatakhiloti apagatakhilo. Ye hi te cittabandhabhāvena pañca cetokhilā vuttā, ye hi ca khilabhūte citte seyyathāpi nāma khile bhūmibhāge cattāro māse vassantepi deve sassāni na ruhanti, evamevaṃ saddhammassavanādikusalahetuvasse vassantepi kusalaṃ na ruhati te ca bhagavatā bodhimaṇḍeyeva sabbaso pahīnā, tasmā bhagavā ‘‘vigatakhilohamasmī’’ti āha.

    เอกรตฺติํ วาโส อสฺสาติ เอกรตฺติวาโส ฯ ยถา หิ ธนิโย ตตฺถ จตฺตาโร วสฺสิเก มาเส นิพทฺธวาสํ อุปคโต, น ตถา ภควาฯ ภควา หิ ตํเยว รตฺติํ ตสฺส อตฺถกามตาย ตตฺถ วาสํ อุปคโตฯ ตสฺมา ‘‘เอกรตฺติวาโส’’ติ อาหฯ วิวฎาติ อปนีตจฺฉทนาฯ กุฎีติ อตฺตภาโวฯ อตฺตภาโว หิ ตํ ตํ อตฺถวสํ ปฎิจฺจ กาโยติปิ คุหาติปิ เทโหติปิ สเนฺทโหติปิ นาวาติปิ รโถติปิ วโณติปิ ธโชติปิ วมฺมิโกติปิ กุฎีติปิ กุฎิกาติปิ วุจฺจติฯ อิธ ปน กฎฺฐาทีนิ ปฎิจฺจ เคหนามิกา กุฎิ วิย อฎฺฐิอาทีนิ ปฎิจฺจ สงฺขฺยํ คตตฺตา ‘‘กุฎี’’ติ วุโตฺตฯ ยถาห –

    Ekarattiṃ vāso assāti ekarattivāso . Yathā hi dhaniyo tattha cattāro vassike māse nibaddhavāsaṃ upagato, na tathā bhagavā. Bhagavā hi taṃyeva rattiṃ tassa atthakāmatāya tattha vāsaṃ upagato. Tasmā ‘‘ekarattivāso’’ti āha. Vivaṭāti apanītacchadanā. Kuṭīti attabhāvo. Attabhāvo hi taṃ taṃ atthavasaṃ paṭicca kāyotipi guhātipi dehotipi sandehotipi nāvātipi rathotipi vaṇotipi dhajotipi vammikotipi kuṭītipi kuṭikātipi vuccati. Idha pana kaṭṭhādīni paṭicca gehanāmikā kuṭi viya aṭṭhiādīni paṭicca saṅkhyaṃ gatattā ‘‘kuṭī’’ti vutto. Yathāha –

    ‘‘เสยฺยถาปิ, อาวุโส, กฎฺฐญฺจ ปฎิจฺจ, วลฺลิญฺจ ปฎิจฺจ, มตฺติกญฺจ ปฎิจฺจ, ติณญฺจ ปฎิจฺจ, อากาโส ปริวาริโต อคารํเตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ; เอวเมว โข, อาวุโส, อฎฺฐิญฺจ ปฎิจฺจ, นฺหารุญฺจ ปฎิจฺจ, มํสญฺจ ปฎิจฺจ, จมฺมญฺจ ปฎิจฺจ, อากาโส ปริวาริโต รูปเนฺตฺวว สงฺขํ คจฺฉตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐๖)ฯ

    ‘‘Seyyathāpi, āvuso, kaṭṭhañca paṭicca, valliñca paṭicca, mattikañca paṭicca, tiṇañca paṭicca, ākāso parivārito agāraṃtveva saṅkhaṃ gacchati; evameva kho, āvuso, aṭṭhiñca paṭicca, nhāruñca paṭicca, maṃsañca paṭicca, cammañca paṭicca, ākāso parivārito rūpantveva saṅkhaṃ gacchatī’’ti (ma. ni. 1.306).

    จิตฺตมกฺกฎสฺส นิวาสโต วา กุฎิฯ ยถาห –

    Cittamakkaṭassa nivāsato vā kuṭi. Yathāha –

    ‘‘อฎฺฐิกงฺกลกุฎิ เจ สา, มกฺกฎาวสโถ อิติ;

    ‘‘Aṭṭhikaṅkalakuṭi ce sā, makkaṭāvasatho iti;

    มกฺกโฎ ปญฺจทฺวาราย, กุฎิกาย ปสกฺกิย;

    Makkaṭo pañcadvārāya, kuṭikāya pasakkiya;

    ทฺวาเรน อนุปริยาติ, ฆฎฺฎยโนฺต ปุนปฺปุน’’นฺติฯ (เถรคา. ๑๒๕);

    Dvārena anupariyāti, ghaṭṭayanto punappuna’’nti. (theragā. 125);

    สา กุฎิ เยน ตณฺหามานทิฎฺฐิฉทเนน สตฺตานํ ฉนฺนตฺตา ปุนปฺปุนํ ราคาทิกิเลสวสฺสํ อติวสฺสติฯ ยถาห –

    Sā kuṭi yena taṇhāmānadiṭṭhichadanena sattānaṃ channattā punappunaṃ rāgādikilesavassaṃ ativassati. Yathāha –

    ‘‘ฉนฺนมติวสฺสติ, วิวฎํ นาติวสฺสติ;

    ‘‘Channamativassati, vivaṭaṃ nātivassati;

    ตสฺมา ฉนฺนํ วิวเรถ, เอวํ ตํ นาติวสฺสตี’’ติฯ (อุทา. ๔๕; เถรคา. ๔๔๗; ปริ. ๓๓๙);

    Tasmā channaṃ vivaretha, evaṃ taṃ nātivassatī’’ti. (udā. 45; theragā. 447; pari. 339);

    อยํ คาถา ทฺวีสุ ฐาเนสุ วุตฺตา ขนฺธเก เถรคาถายญฺจฯ ขนฺธเก หิ ‘‘โย อาปตฺติํ ปฎิจฺฉาเทติ, ตสฺส กิเลสา จ ปุนปฺปุนํ อาปตฺติโย จ อติวสฺสนฺติ, โย ปน น ปฎิจฺฉาเทติ, ตสฺส นาติวสฺสนฺตี’’ติ อิมํ อตฺถํ ปฎิจฺจ วุตฺตาฯ เถรคาถายํ ‘‘ยสฺส ราคาทิจฺฉทนํ อตฺถิ, ตสฺส ปุน อิฎฺฐารมฺมณาทีสุ ราคาทิสมฺภวโต ฉนฺนมติวสฺสติ ฯ โย วา อุปฺปเนฺน กิเลเส อธิวาเสติ, ตเสฺสว อธิวาสิตกิเลสจฺฉทนจฺฉนฺนา อตฺตภาวกุฎิ ปุนปฺปุนํ กิเลสวสฺสํ อติวสฺสติฯ ยสฺส ปน อรหตฺตมคฺคญาณวาเตน กิเลสจฺฉทนสฺส วิทฺธํสิตตฺตา วิวฎา, ตสฺส นาติวสฺสตี’’ติฯ อยมโตฺถ อิธ อธิเปฺปโตฯ ภควตา หิ ยถาวุตฺตํ ฉทนํ ยถาวุเตฺตเนว นเยน วิทฺธํสิตํ, ตสฺมา ‘‘วิวฎา กุฎี’’ติ อาหฯ นิพฺพุโตติ อุปสโนฺตฯ คินีติ อคฺคิฯ เยน หิ เอกาทสวิเธน อคฺคินา สพฺพมิทํ อาทิตฺตํฯ ยถาห – ‘‘อาทิตฺตํ ราคคฺคินา’’ติ วิตฺถาโรฯ โส อคฺคิ ภควโต โพธิมูเลเยว อริยมคฺคสลิลเสเกน นิพฺพุโต, ตสฺมา ‘‘นิพฺพุโต คินี’’ติ อาหฯ

    Ayaṃ gāthā dvīsu ṭhānesu vuttā khandhake theragāthāyañca. Khandhake hi ‘‘yo āpattiṃ paṭicchādeti, tassa kilesā ca punappunaṃ āpattiyo ca ativassanti, yo pana na paṭicchādeti, tassa nātivassantī’’ti imaṃ atthaṃ paṭicca vuttā. Theragāthāyaṃ ‘‘yassa rāgādicchadanaṃ atthi, tassa puna iṭṭhārammaṇādīsu rāgādisambhavato channamativassati . Yo vā uppanne kilese adhivāseti, tasseva adhivāsitakilesacchadanacchannā attabhāvakuṭi punappunaṃ kilesavassaṃ ativassati. Yassa pana arahattamaggañāṇavātena kilesacchadanassa viddhaṃsitattā vivaṭā, tassa nātivassatī’’ti. Ayamattho idha adhippeto. Bhagavatā hi yathāvuttaṃ chadanaṃ yathāvutteneva nayena viddhaṃsitaṃ, tasmā ‘‘vivaṭā kuṭī’’ti āha. Nibbutoti upasanto. Ginīti aggi. Yena hi ekādasavidhena agginā sabbamidaṃ ādittaṃ. Yathāha – ‘‘ādittaṃ rāgagginā’’ti vitthāro. So aggi bhagavato bodhimūleyeva ariyamaggasalilasekena nibbuto, tasmā ‘‘nibbuto ginī’’ti āha.

    เอวํ วทโนฺต จ ธนิยํ อตุฎฺฐเพฺพน ตุสฺสมานํ อญฺญาปเทเสเนว ปริภาสติ, โอวทติ, อนุสาสติฯ กถํ? ‘‘อโกฺกธโน’’ติ หิ วทมาโน, ธนิย, ตฺวํ ‘‘ปโกฺกทโนหมสฺมี’’ติ ตุโฎฺฐ, โอทนปาโก จ ยาวชีวํ ธนปริกฺขเยน กตฺตโพฺพ, ธนปริกฺขโย จ อารกฺขาทิทุกฺขปทฎฺฐาโน, เอวํ สเนฺต ทุเกฺขเนว ตุโฎฺฐ โหสิฯ อหํ ปน ‘‘อโกฺกธโนหมสฺมี’’ติ ตุสฺสโนฺต สนฺทิฎฺฐิกสมฺปรายิกทุกฺขาภาเวน ตุโฎฺฐ โหมีติ ทีเปติฯ ‘‘วิคตขิโล’’ติ วทมาโน ตฺวํ ‘‘ทุทฺธขีโรหมสฺมี’’ติ ตุสฺสโนฺต อกตกิโจฺจว ‘‘กตกิโจฺจหมสฺมี’’ติ มนฺตฺวา ตุโฎฺฐ, อหํ ปน ‘‘วิคตขิโลหมสฺมี’’ติ ตุสฺสโนฺต กตกิโจฺจว ตุโฎฺฐ โหมีติ ทีเปติฯ ‘‘อนุตีเร มหิเยกรตฺติวาโส’’ติ วทมาโน ตฺวํ อนุตีเร มหิยา สมานวาโสติ ตุสฺสโนฺต จตุมาสนิพทฺธวาเสน ตุโฎฺฐฯ นิพทฺธวาโส จ อาวาสสเงฺคน โหติ, โส จ ทุโกฺข, เอวํ สเนฺต ทุเกฺขเนว ตุโฎฺฐ โหสิฯ อหํ ปน เอกรตฺติวาโสติ ตุสฺสโนฺต อนิพทฺธวาเสน ตุโฎฺฐ, อนิพทฺธวาโส จ อาวาสสงฺคาภาเวน โหติ, อาวาสสงฺคาภาโว จ สุโขติ สุเขเนว ตุโฎฺฐ โหมีติ ทีเปติฯ

    Evaṃ vadanto ca dhaniyaṃ atuṭṭhabbena tussamānaṃ aññāpadeseneva paribhāsati, ovadati, anusāsati. Kathaṃ? ‘‘Akkodhano’’ti hi vadamāno, dhaniya, tvaṃ ‘‘pakkodanohamasmī’’ti tuṭṭho, odanapāko ca yāvajīvaṃ dhanaparikkhayena kattabbo, dhanaparikkhayo ca ārakkhādidukkhapadaṭṭhāno, evaṃ sante dukkheneva tuṭṭho hosi. Ahaṃ pana ‘‘akkodhanohamasmī’’ti tussanto sandiṭṭhikasamparāyikadukkhābhāvena tuṭṭho homīti dīpeti. ‘‘Vigatakhilo’’ti vadamāno tvaṃ ‘‘duddhakhīrohamasmī’’ti tussanto akatakiccova ‘‘katakiccohamasmī’’ti mantvā tuṭṭho, ahaṃ pana ‘‘vigatakhilohamasmī’’ti tussanto katakiccova tuṭṭho homīti dīpeti. ‘‘Anutīre mahiyekarattivāso’’ti vadamāno tvaṃ anutīre mahiyā samānavāsoti tussanto catumāsanibaddhavāsena tuṭṭho. Nibaddhavāso ca āvāsasaṅgena hoti, so ca dukkho, evaṃ sante dukkheneva tuṭṭho hosi. Ahaṃ pana ekarattivāsoti tussanto anibaddhavāsena tuṭṭho, anibaddhavāso ca āvāsasaṅgābhāvena hoti, āvāsasaṅgābhāvo ca sukhoti sukheneva tuṭṭho homīti dīpeti.

    ‘‘วิวฎา กุฎี’’ติ วทมาโน ตฺวํ ฉนฺนา กุฎีติ ตุสฺสโนฺต ฉนฺนเคหตาย ตุโฎฺฐ, เคเห จ เต ฉเนฺนปิ อตฺตภาวกุฎิกํ กิเลสวสฺสํ อติวสฺสติ, เยน สญฺชนิเตหิ จตูหิ มโหเฆหิ วุยฺหมาโน อนยพฺยสนํ ปาปุเณยฺยาสิ, เอวํ สเนฺต อตุฎฺฐเพฺพเนว ตุโฎฺฐ โหสิฯ อหํ ปน ‘‘วิวฎา กุฎี’’ติ ตุสฺสโนฺต อตฺตภาวกุฎิยา กิเลสจฺฉทนาภาเวน ตุโฎฺฐฯ เอวญฺจ เม วิวฎาย กุฎิยา น ตํ กิเลสวสฺสํ อติวสฺสติ, เยน สญฺชนิเตหิ จตูหิ มโหเฆหิ วุยฺหมาโน อนยพฺยสนํ ปาปุเณยฺยํ, เอวํ สเนฺต ตุฎฺฐเพฺพเนว ตุโฎฺฐ โหมีติ ทีเปติฯ ‘‘นิพฺพุโต คินี’’ติ วทมาโน ตฺวํ อาหิโต คินีติ ตุสฺสโนฺต อกตูปทฺทวนิวารโณว กตูปทฺทวนิวารโณสฺมีติ มนฺตฺวา ตุโฎฺฐฯ อหํ ปน นิพฺพุโต คินีติ ตุสฺสโนฺต เอกาทสคฺคิปริฬาหาภาวโต กตูปทฺทวนิวารณตาเยว ตุโฎฺฐติ ทีเปติฯ ‘‘อถ เจ ปตฺถยสี ปวสฺส เทวา’’ติ วทมาโน เอวํ วิคตทุกฺขานํ อนุปฺปตฺตสุขานํ กตสพฺพกิจฺจานํ อมฺหาทิสานํ เอตํ วจนํ โสภติ, อถ เจ ปตฺถยสิ, ปวสฺส เทว, น โน ตยิ วสฺสเนฺต วา อวสฺสเนฺต วา วุฑฺฒิ วา หานิ วา อตฺถิ, ตฺวํ ปน กสฺมา เอวํ วทสีติ ทีเปติฯ ตสฺมา ยํ วุตฺตํ ‘‘เอวํ วทโนฺต จ ธนิย อตุฎฺฐเพฺพเนว ตุสฺสมานํ อญฺญาปเทเสเนว ปริภาสติ โอวทติ, อนุสาสตี’’ติ, ตํ สมฺมเทว วุตฺตนฺติฯ

    ‘‘Vivaṭā kuṭī’’ti vadamāno tvaṃ channā kuṭīti tussanto channagehatāya tuṭṭho, gehe ca te channepi attabhāvakuṭikaṃ kilesavassaṃ ativassati, yena sañjanitehi catūhi mahoghehi vuyhamāno anayabyasanaṃ pāpuṇeyyāsi, evaṃ sante atuṭṭhabbeneva tuṭṭho hosi. Ahaṃ pana ‘‘vivaṭā kuṭī’’ti tussanto attabhāvakuṭiyā kilesacchadanābhāvena tuṭṭho. Evañca me vivaṭāya kuṭiyā na taṃ kilesavassaṃ ativassati, yena sañjanitehi catūhi mahoghehi vuyhamāno anayabyasanaṃ pāpuṇeyyaṃ, evaṃ sante tuṭṭhabbeneva tuṭṭho homīti dīpeti. ‘‘Nibbuto ginī’’ti vadamāno tvaṃ āhito ginīti tussanto akatūpaddavanivāraṇova katūpaddavanivāraṇosmīti mantvā tuṭṭho. Ahaṃ pana nibbuto ginīti tussanto ekādasaggipariḷāhābhāvato katūpaddavanivāraṇatāyeva tuṭṭhoti dīpeti. ‘‘Atha ce patthayasī pavassa devā’’ti vadamāno evaṃ vigatadukkhānaṃ anuppattasukhānaṃ katasabbakiccānaṃ amhādisānaṃ etaṃ vacanaṃ sobhati, atha ce patthayasi, pavassa deva, na no tayi vassante vā avassante vā vuḍḍhi vā hāni vā atthi, tvaṃ pana kasmā evaṃ vadasīti dīpeti. Tasmā yaṃ vuttaṃ ‘‘evaṃ vadanto ca dhaniya atuṭṭhabbeneva tussamānaṃ aññāpadeseneva paribhāsati ovadati, anusāsatī’’ti, taṃ sammadeva vuttanti.

    ๒๐. เอวมิมํ ภควตา วุตฺตํ คาถํ สุตฺวาปิ ธนิโย โคโป ‘‘โก อยํ คาถํ ภาสตี’’ติ อวตฺวา เตน สุภาสิเตน ปริตุโฎฺฐ ปุนปิ ตถารูปํ โสตุกาโม อปรมฺปิ คาถมาห ‘‘อนฺธกมกสา’’ติฯ ตตฺถ อนฺธกาติ กาฬมกฺขิกานํ อธิวจนํ, ปิงฺคลมกฺขิกานนฺติปิ เอเกฯ มกสาติ มกสาเยวฯ น วิชฺชเรติ นตฺถิฯ กเจฺฉติ เทฺว กจฺฉา – นทีกโจฺฉ จ ปพฺพตกโจฺฉ จฯ อิธ นทีกโจฺฉฯ รุฬฺหติเณติ สญฺชาตติเณฯ จรนฺตีติ ภตฺตกิจฺจํ กโรนฺติฯ วุฎฺฐิมฺปีติ วาตวุฎฺฐิอาทิกา อเนกา วุฎฺฐิโย, ตา อาฬวกสุเตฺต ปกาสยิสฺสามฯ อิธ ปน วสฺสวุฎฺฐิํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สเหยฺยุนฺติ ขเมยฺยุํฯ เสสํ ปากฎเมวฯ เอตฺถ ธนิโย เย อนฺธกมกสา สนฺนิปติตฺวา รุธิเร ปิวนฺตา มุหุเตฺตเนว คาโว อนยพฺยสนํ ปาเปนฺติ, ตสฺมา วุฎฺฐิตมเตฺตเยว เต โคปาลกา ปํสุนา จ สาขาหิ จ มาเรนฺติ, เตสํ อภาเวน คุนฺนํ เขมตํ, กเจฺฉ รุฬฺหติณจรเณน อทฺธานคมนปริสฺสมาภาวํ วตฺวา ขุทากิลมถาภาวญฺจ ทีเปโนฺต ‘‘ยถา อเญฺญสํ คาโว อนฺธกมกสสมฺผเสฺสหิ ทิสฺสมานา อทฺธานคมเนน กิลนฺตา ขุทาย มิลายมานา เอกวุฎฺฐินิปาตมฺปิ น สเหยฺยุํ, น เม ตถา คาโว, มยฺหํ ปน คาโว วุตฺตปฺปการาภาวา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา ติกฺขตุํ วา วุฎฺฐิมฺปิ สเหยฺยุ’’นฺติ ทีเปติฯ

    20. Evamimaṃ bhagavatā vuttaṃ gāthaṃ sutvāpi dhaniyo gopo ‘‘ko ayaṃ gāthaṃ bhāsatī’’ti avatvā tena subhāsitena parituṭṭho punapi tathārūpaṃ sotukāmo aparampi gāthamāha ‘‘andhakamakasā’’ti. Tattha andhakāti kāḷamakkhikānaṃ adhivacanaṃ, piṅgalamakkhikānantipi eke. Makasāti makasāyeva. Na vijjareti natthi. Kaccheti dve kacchā – nadīkaccho ca pabbatakaccho ca. Idha nadīkaccho. Ruḷhatiṇeti sañjātatiṇe. Carantīti bhattakiccaṃ karonti. Vuṭṭhimpīti vātavuṭṭhiādikā anekā vuṭṭhiyo, tā āḷavakasutte pakāsayissāma. Idha pana vassavuṭṭhiṃ sandhāya vuttaṃ. Saheyyunti khameyyuṃ. Sesaṃ pākaṭameva. Ettha dhaniyo ye andhakamakasā sannipatitvā rudhire pivantā muhutteneva gāvo anayabyasanaṃ pāpenti, tasmā vuṭṭhitamatteyeva te gopālakā paṃsunā ca sākhāhi ca mārenti, tesaṃ abhāvena gunnaṃ khemataṃ, kacche ruḷhatiṇacaraṇena addhānagamanaparissamābhāvaṃ vatvā khudākilamathābhāvañca dīpento ‘‘yathā aññesaṃ gāvo andhakamakasasamphassehi dissamānā addhānagamanena kilantā khudāya milāyamānā ekavuṭṭhinipātampi na saheyyuṃ, na me tathā gāvo, mayhaṃ pana gāvo vuttappakārābhāvā dvikkhattuṃ vā tikkhatuṃ vā vuṭṭhimpi saheyyu’’nti dīpeti.

    ๒๑. ตโต ภควา ยสฺมา ธนิโย อนฺตรทีเป วสโนฺต ภยํ ทิสฺวา, กุลฺลํ พนฺธิตฺวา, มหามหิํ ตริตฺวา, ตํ กจฺฉํ อาคมฺม ‘‘อหํ สุฎฺฐุ อาคโต, นิพฺภเยว ฐาเน ฐิโต’’ติ มญฺญมาโน เอวมาห, สภเย เอว จ โส ฐาเน ฐิโต, ตสฺมา ตสฺส อาคมนฎฺฐานา อตฺตโน อาคมนฎฺฐานํ อุตฺตริตรญฺจ ปณีตตรญฺจ วเณฺณโนฺต ‘‘พทฺธาสิ ภิสี’’ติ อิมํ คาถมภาสิ, อตฺถสภาคํ โน พฺยญฺชนสภาคํฯ

    21. Tato bhagavā yasmā dhaniyo antaradīpe vasanto bhayaṃ disvā, kullaṃ bandhitvā, mahāmahiṃ taritvā, taṃ kacchaṃ āgamma ‘‘ahaṃ suṭṭhu āgato, nibbhayeva ṭhāne ṭhito’’ti maññamāno evamāha, sabhaye eva ca so ṭhāne ṭhito, tasmā tassa āgamanaṭṭhānā attano āgamanaṭṭhānaṃ uttaritarañca paṇītatarañca vaṇṇento ‘‘baddhāsi bhisī’’ti imaṃ gāthamabhāsi, atthasabhāgaṃ no byañjanasabhāgaṃ.

    ตตฺถ ภิสีติ ปตฺถริตฺวา ปุถุลํ กตฺวา พทฺธกุโลฺล วุจฺจติ โลเกฯ อริยสฺส ปน ธมฺมวินเย อริยมคฺคเสฺสตํ อธิวจนํฯ อริยมโคฺค หิ –

    Tattha bhisīti pattharitvā puthulaṃ katvā baddhakullo vuccati loke. Ariyassa pana dhammavinaye ariyamaggassetaṃ adhivacanaṃ. Ariyamaggo hi –

    ‘‘มโคฺค ปโชฺช ปโถ ปโนฺถ, อญฺชสํ วฎุมายนํ;

    ‘‘Maggo pajjo patho pantho, añjasaṃ vaṭumāyanaṃ;

    นาวา อุตฺตรเสตุ จ, กุโลฺล จ ภิสิ สงฺกโม’’ฯ (จูฬนิ. ปารายนตฺถุติคาถานิเทฺทส ๑๐๑);

    Nāvā uttarasetu ca, kullo ca bhisi saṅkamo’’. (cūḷani. pārāyanatthutigāthāniddesa 101);

    ‘‘อทฺธานํ ปภโว เจว, ตตฺถ ตตฺถ ปกาสิโต’’ฯ

    ‘‘Addhānaṃ pabhavo ceva, tattha tattha pakāsito’’.

    อิมายปิ คาถาย ภควา ปุริมนเยเนว ตํ โอวทโนฺต อิมํ อตฺถํ อาหาติ เวทิตโพฺพ – ธนิย, ตฺวํ กุลฺลํ พนฺธิตฺวา, มหิํ ตริตฺวา, อิมํ ฐานมาคโต, ปุนปิ จ เต กุโลฺล พนฺธิตโพฺพ เอว ภวิสฺสติ, นที จ ตริตพฺพา, น เจตํ ฐานํ เขมํฯ มยา ปน เอกจิเตฺต มคฺคงฺคานิ สโมธาเนตฺวา ญาณพนฺธเนน พทฺธา อโหสิ ภิสิฯ สา จ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยธมฺมปริปุณฺณตาย เอกรสภาวูปคตตฺตา อญฺญมญฺญํ อนติวตฺตเนน ปุน พนฺธิตพฺพปฺปโยชนาภาเวน เทวมนุเสฺสสุ เกนจิ โมเจตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย จ สุสงฺขตาฯ ตาย จมฺหิ ติโณฺณ, ปุเพฺพ ปตฺถิตํ ตีรปฺปเทสํ คโตฯ คจฺฉโนฺตปิ จ น โสตาปนฺนาทโย วิย กญฺจิเทว ปเทสํ คโตฯ อถ โข ปารคโต สพฺพาสวกฺขยํ สพฺพธมฺมปารํ ปรมํ เขมํ นิพฺพานํ คโต, ติโณฺณติ วา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต, ปารคโตติ อรหตฺตํ ปโตฺต ฯ กิํ วิเนยฺย ปารคโตติ เจ? วิเนยฺย โอฆํ, กาโมฆาทิจตุพฺพิธํ โอฆํ ตริตฺวา อติกฺกมฺม ตํ ปารํ คโตติฯ อิทานิ จ ปน เม ปุน ตริตพฺพาภาวโต อโตฺถ ภิสิยา น วิชฺชติ, ตสฺมา มเมว ยุตฺตํ วตฺตุํ ‘‘อถ เจ ปตฺถยสี ปวสฺส เทวา’’ติฯ

    Imāyapi gāthāya bhagavā purimanayeneva taṃ ovadanto imaṃ atthaṃ āhāti veditabbo – dhaniya, tvaṃ kullaṃ bandhitvā, mahiṃ taritvā, imaṃ ṭhānamāgato, punapi ca te kullo bandhitabbo eva bhavissati, nadī ca taritabbā, na cetaṃ ṭhānaṃ khemaṃ. Mayā pana ekacitte maggaṅgāni samodhānetvā ñāṇabandhanena baddhā ahosi bhisi. Sā ca sattatiṃsabodhipakkhiyadhammaparipuṇṇatāya ekarasabhāvūpagatattā aññamaññaṃ anativattanena puna bandhitabbappayojanābhāvena devamanussesu kenaci mocetuṃ asakkuṇeyyatāya ca susaṅkhatā. Tāya camhi tiṇṇo, pubbe patthitaṃ tīrappadesaṃ gato. Gacchantopi ca na sotāpannādayo viya kañcideva padesaṃ gato. Atha kho pāragato sabbāsavakkhayaṃ sabbadhammapāraṃ paramaṃ khemaṃ nibbānaṃ gato, tiṇṇoti vā sabbaññutaṃ patto, pāragatoti arahattaṃ patto . Kiṃ vineyya pāragatoti ce? Vineyya oghaṃ, kāmoghādicatubbidhaṃ oghaṃ taritvā atikkamma taṃ pāraṃ gatoti. Idāni ca pana me puna taritabbābhāvato attho bhisiyā na vijjati, tasmā mameva yuttaṃ vattuṃ ‘‘atha ce patthayasī pavassa devā’’ti.

    ๒๒. ตมฺปิ สุตฺวา ธนิโย ปุริมนเยเนว ‘‘โคปี มม อสฺสวา’’ติ อิมํ คาถํ อภาสิฯ ตตฺถ โคปีติ ภริยํ นิทฺทิสติฯ อสฺสวาติ วจนกรา กิํการปฎิสาวินีฯ อโลลาติ มาตุคาโม หิ ปญฺจหิ โลลตาหิ โลโล โหติ – อาหารโลลตาย, อลงฺการโลลตาย, ปรปุริสโลลตาย, ธนโลลตาย, ปาทโลลตายฯ ตถา หิ มาตุคาโม ภตฺตปูวสุราทิเภเท อาหาเร โลลตาย อนฺตมโส ปาริวาสิกภตฺตมฺปิ ภุญฺชติ, หโตฺถตาปกมฺปิ ขาทติ, ทิคุณํ ธนมนุปฺปทตฺวาปิ สุรํ ปิวติฯ อลงฺการโลลตาย อญฺญํ อลงฺการํ อลภมาโน อนฺตมโส อุทกเตลเกนปิ เกเส โอสเณฺฑตฺวา มุขํ ปริมชฺชติฯ ปรปุริสโลลตาย อนฺตมโส ปุเตฺตนปิ ตาทิเส ปเทเส ปโกฺกสิยมาโน ปฐมํ อสทฺธมฺมวเสน จิเนฺตติฯ ธนโลลตาย ‘‘หํสราชํ คเหตฺวาน สุวณฺณา ปริหายถ’’ฯ ปาทโลลตาย อารามาทิคมนสีโล หุตฺวา สพฺพํ ธนํ วินาเสติฯ ตตฺถ ธนิโย ‘‘เอกาปิ โลลตา มยฺหํ โคปิยา นตฺถี’’ติ ทเสฺสโนฺต อโลลาติ อาหฯ

    22. Tampi sutvā dhaniyo purimanayeneva ‘‘gopī mama assavā’’ti imaṃ gāthaṃ abhāsi. Tattha gopīti bhariyaṃ niddisati. Assavāti vacanakarā kiṃkārapaṭisāvinī. Alolāti mātugāmo hi pañcahi lolatāhi lolo hoti – āhāralolatāya, alaṅkāralolatāya, parapurisalolatāya, dhanalolatāya, pādalolatāya. Tathā hi mātugāmo bhattapūvasurādibhede āhāre lolatāya antamaso pārivāsikabhattampi bhuñjati, hatthotāpakampi khādati, diguṇaṃ dhanamanuppadatvāpi suraṃ pivati. Alaṅkāralolatāya aññaṃ alaṅkāraṃ alabhamāno antamaso udakatelakenapi kese osaṇḍetvā mukhaṃ parimajjati. Parapurisalolatāya antamaso puttenapi tādise padese pakkosiyamāno paṭhamaṃ asaddhammavasena cinteti. Dhanalolatāya ‘‘haṃsarājaṃ gahetvāna suvaṇṇā parihāyatha’’. Pādalolatāya ārāmādigamanasīlo hutvā sabbaṃ dhanaṃ vināseti. Tattha dhaniyo ‘‘ekāpi lolatā mayhaṃ gopiyā natthī’’ti dassento alolāti āha.

    ทีฆรตฺตํ สํวาสิยาติ ทีฆกาลํ สทฺธิํ วสมานา โกมารภาวโต ปภุติ เอกโต วฑฺฒิตาฯ เตน ปรปุริเส น ชานาตีติ ทเสฺสติฯ มนาปาติ เอวํ ปรปุริเส อชานนฺตี มเมว มนํ อลฺลียตีติ ทเสฺสติฯ ตสฺสา น สุณามิ กิญฺจิ ปาปนฺติ ‘‘อิตฺถนฺนาเมน นาม สทฺธิํ อิมาย หสิตํ วา ลปิตํ วา’’ติ เอวํ ตสฺสา น สุณามิ, กญฺจิ อติจารโทสนฺติ ทเสฺสติฯ

    Dīgharattaṃ saṃvāsiyāti dīghakālaṃ saddhiṃ vasamānā komārabhāvato pabhuti ekato vaḍḍhitā. Tena parapurise na jānātīti dasseti. Manāpāti evaṃ parapurise ajānantī mameva manaṃ allīyatīti dasseti. Tassā na suṇāmi kiñci pāpanti ‘‘itthannāmena nāma saddhiṃ imāya hasitaṃ vā lapitaṃ vā’’ti evaṃ tassā na suṇāmi, kañci aticāradosanti dasseti.

    ๒๓. อถ ภควา เอเตหิ คุเณหิ โคปิยา ตุฎฺฐํ ธนิยํ โอวทโนฺต ปุริมนเยเนว ‘‘จิตฺตํ มม อสฺสว’’นฺติ อิมํ คาถมภาสิ, อตฺถสภาคํ, พฺยญฺชนสภาคญฺจฯ ตตฺถ อุตฺตานตฺถาเนว ปทานิฯ อยํ ปน อธิปฺปาโย – ธนิย, ตฺวํ ‘‘โคปี มม อสฺสวา’’ติ ตุโฎฺฐ, สา ปน เต อสฺสวา ภเวยฺย วา น วา; ทุชฺชานํ ปรจิตฺตํ, วิเสสโต มาตุคามสฺสฯ มาตุคามญฺหิ กุจฺฉิยา ปริหรนฺตาปิ รกฺขิตุํ น สโกฺกนฺติ, เอวํ ทุรกฺขจิตฺตตฺตา เอว น สกฺกา ตุมฺหาทิเสหิ อิตฺถี อโลลาติ วา สํวาสิยาติ วา มนาปาติ วา นิปฺปาปาติ วา ชานิตุํฯ มยฺหํ ปน จิตฺตํ อสฺสวํ โอวาทปฎิกรํ มม วเส วตฺตติ, นาหํ ตสฺส วเส วตฺตามิฯ โส จสฺส อสฺสวภาโว ยมกปาฎิหาริเย ฉนฺนํ วณฺณานํ อคฺคิธาราสุ จ อุทกธาราสุ จ ปวตฺตมานาสุ สพฺพชนสฺส ปากโฎ อโหสิฯ อคฺคินิมฺมาเน หิ เตโชกสิณํ สมาปชฺชิตพฺพํ อุทกนิมฺมาเน อาโปกสิณํ, นีลาทินิมฺมาเน นีลาทิกสิณานิฯ พุทฺธานมฺปิ หิ เทฺว จิตฺตานิ เอกโต นปฺปวตฺตนฺติ, เอกเมว ปน อสฺสวภาเวน เอวํ วสวตฺติ อโหสิฯ ตญฺจ โข ปน สพฺพกิเลสพนฺธนาปคมา วิมุตฺตํ, วิมุตฺตตฺตา ตเทว อโลลํ, น ตว โคปีฯ ทีปงฺกรพุทฺธกาลโต จ ปภุติ ทานสีลาทีหิ ทีฆรตฺตํ ปริภาวิตตฺตา สํวาสิยํ, น ตว โคปีฯ ตเทตํ อนุตฺตเรน ทมเถน ทมิตตฺตา สุทนฺตํ, สุทนฺตตฺตา อตฺตโน วเสน ฉทฺวารวิเสวนํ ปหาย มเมว อธิปฺปายมนสฺส วเสนานุวตฺตนโต มนาปํ, น ตว โคปีฯ

    23. Atha bhagavā etehi guṇehi gopiyā tuṭṭhaṃ dhaniyaṃ ovadanto purimanayeneva ‘‘cittaṃ mama assava’’nti imaṃ gāthamabhāsi, atthasabhāgaṃ, byañjanasabhāgañca. Tattha uttānatthāneva padāni. Ayaṃ pana adhippāyo – dhaniya, tvaṃ ‘‘gopī mama assavā’’ti tuṭṭho, sā pana te assavā bhaveyya vā na vā; dujjānaṃ paracittaṃ, visesato mātugāmassa. Mātugāmañhi kucchiyā pariharantāpi rakkhituṃ na sakkonti, evaṃ durakkhacittattā eva na sakkā tumhādisehi itthī alolāti vā saṃvāsiyāti vā manāpāti vā nippāpāti vā jānituṃ. Mayhaṃ pana cittaṃ assavaṃ ovādapaṭikaraṃ mama vase vattati, nāhaṃ tassa vase vattāmi. So cassa assavabhāvo yamakapāṭihāriye channaṃ vaṇṇānaṃ aggidhārāsu ca udakadhārāsu ca pavattamānāsu sabbajanassa pākaṭo ahosi. Agginimmāne hi tejokasiṇaṃ samāpajjitabbaṃ udakanimmāne āpokasiṇaṃ, nīlādinimmāne nīlādikasiṇāni. Buddhānampi hi dve cittāni ekato nappavattanti, ekameva pana assavabhāvena evaṃ vasavatti ahosi. Tañca kho pana sabbakilesabandhanāpagamā vimuttaṃ, vimuttattā tadeva alolaṃ, na tava gopī. Dīpaṅkarabuddhakālato ca pabhuti dānasīlādīhi dīgharattaṃ paribhāvitattā saṃvāsiyaṃ, na tava gopī. Tadetaṃ anuttarena damathena damitattā sudantaṃ, sudantattā attano vasena chadvāravisevanaṃ pahāya mameva adhippāyamanassa vasenānuvattanato manāpaṃ, na tava gopī.

    ปาปํ ปน เม น วิชฺชตีติ อิมินา ปน ภควา ตสฺส อตฺตโน จิตฺตสฺส ปาปาภาวํ ทเสฺสติ, ธนิโย วิย โคปิยาฯ โส จสฺส ปาปาภาโว น เกวลํ สมฺมาสมฺพุทฺธกาเลเยว, เอกูนติํส วสฺสานิ สราคาทิกาเล อคารมเชฺฌ วสนฺตสฺสาปิ เวทิตโพฺพฯ ตทาปิ หิสฺส อคาริยภาวานุรูปํ วิญฺญุปฎิกุฎฺฐํ กายทุจฺจริตํ วา วจีทุจฺจริตํ วา มโนทุจฺจริตํ วา น อุปฺปนฺนปุพฺพํฯ ตโต ปรํ มาโรปิ ฉพฺพสฺสานิ อนภิสมฺพุทฺธํ, เอกํ วสฺสํ อภิสมฺพุทฺธนฺติ สตฺต วสฺสานิ ตถาคตํ อนุพนฺธิ ‘‘อเปฺปว นาม วาลคฺคนิตุทนมตฺตมฺปิสฺส ปาปสมาจารํ ปเสฺสยฺย’’นฺติฯ โส อทิสฺวาว นิพฺพิโนฺน อิมํ คาถํ อภาสิ –

    Pāpaṃ pana me na vijjatīti iminā pana bhagavā tassa attano cittassa pāpābhāvaṃ dasseti, dhaniyo viya gopiyā. So cassa pāpābhāvo na kevalaṃ sammāsambuddhakāleyeva, ekūnatiṃsa vassāni sarāgādikāle agāramajjhe vasantassāpi veditabbo. Tadāpi hissa agāriyabhāvānurūpaṃ viññupaṭikuṭṭhaṃ kāyaduccaritaṃ vā vacīduccaritaṃ vā manoduccaritaṃ vā na uppannapubbaṃ. Tato paraṃ māropi chabbassāni anabhisambuddhaṃ, ekaṃ vassaṃ abhisambuddhanti satta vassāni tathāgataṃ anubandhi ‘‘appeva nāma vālagganitudanamattampissa pāpasamācāraṃ passeyya’’nti. So adisvāva nibbinno imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘สตฺต วสฺสานิ ภควนฺตํ, อนุพนฺธิํ ปทาปทํ;

    ‘‘Satta vassāni bhagavantaṃ, anubandhiṃ padāpadaṃ;

    โอตารํ นาธิคจฺฉิสฺสํ, สมฺพุทฺธสฺส สตีมโต’’ติฯ (สุ. นิ. ๔๔๘);

    Otāraṃ nādhigacchissaṃ, sambuddhassa satīmato’’ti. (su. ni. 448);

    พุทฺธกาเลปิ นํ อุตฺตรมาณโว สตฺต มาสานิ อนุพนฺธิ อาภิสมาจาริกํ ทฎฺฐุกาโมฯ โส กิญฺจิ วชฺชํ อทิสฺวาว ปริสุทฺธสมาจาโร ภควาติ คโตฯ จตฺตาริ หิ ตถาคตสฺส อรเกฺขยฺยานิฯ ยถาห –

    Buddhakālepi naṃ uttaramāṇavo satta māsāni anubandhi ābhisamācārikaṃ daṭṭhukāmo. So kiñci vajjaṃ adisvāva parisuddhasamācāro bhagavāti gato. Cattāri hi tathāgatassa arakkheyyāni. Yathāha –

    ‘‘จตฺตาริมานิ , ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส อรเกฺขยฺยานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? ปริสุทฺธกายสมาจาโร, ภิกฺขเว, ตถาคโต, นตฺถิ ตถาคตสฺส กายทุจฺจริตํ, ยํ ตถาคโต รเกฺขยฺย ‘มา เม อิทํ ปโร อญฺญาสี’ติ, ปริสุทฺธวจีสมาจาโร…เป.… ปริสุทฺธมโนสมาจาโร…เป.… ปริสุทฺธาชีโว, ภิกฺขเว, ตถาคโต, นตฺถิ ตถาคตสฺส มิจฺฉาชีโว, ยํ ตถาคโต รเกฺขยฺย ‘มา เม อิทํ ปโร อญฺญาสี’’’ติ (อ. นิ. ๗.๕๘)ฯ

    ‘‘Cattārimāni , bhikkhave, tathāgatassa arakkheyyāni. Katamāni cattāri? Parisuddhakāyasamācāro, bhikkhave, tathāgato, natthi tathāgatassa kāyaduccaritaṃ, yaṃ tathāgato rakkheyya ‘mā me idaṃ paro aññāsī’ti, parisuddhavacīsamācāro…pe… parisuddhamanosamācāro…pe… parisuddhājīvo, bhikkhave, tathāgato, natthi tathāgatassa micchājīvo, yaṃ tathāgato rakkheyya ‘mā me idaṃ paro aññāsī’’’ti (a. ni. 7.58).

    เอวํ ยสฺมา ตถาคตสฺส จิตฺตสฺส น เกวลํ สมฺมาสมฺพุทฺธกาเล, ปุเพฺพปิ ปาปํ นตฺถิ เอว, ตสฺมา อาห – ‘‘ปาปํ ปน เม น วิชฺชตี’’ติฯ ตสฺสาธิปฺปาโย – มเมว จิตฺตสฺส ปาปํ น สกฺกา สุณิตุํ, น ตว โคปิยาฯ ตสฺมา ยทิ เอเตหิ คุเณหิ ตุเฎฺฐน ‘‘อถ เจ ปตฺถยสี ปวสฺส เทวา’’ติ วตฺตพฺพํ, มยาเวตํ วตฺตพฺพนฺติฯ

    Evaṃ yasmā tathāgatassa cittassa na kevalaṃ sammāsambuddhakāle, pubbepi pāpaṃ natthi eva, tasmā āha – ‘‘pāpaṃ pana me na vijjatī’’ti. Tassādhippāyo – mameva cittassa pāpaṃ na sakkā suṇituṃ, na tava gopiyā. Tasmā yadi etehi guṇehi tuṭṭhena ‘‘atha ce patthayasī pavassa devā’’ti vattabbaṃ, mayāvetaṃ vattabbanti.

    ๒๔. ตมฺปิ สุตฺวา ธนิโย ตตุตฺตริปิ สุภาสิตรสายนํ ปิวิตุกาโม อตฺตโน ภุชิสฺสภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อตฺตเวตนภโตหมสฺมี’’ติฯ ตตฺถ อตฺตเวตนภโตติ อตฺตนิเยเนว ฆาสจฺฉาทเนน ภโต, อตฺตโนเยว กมฺมํ กตฺวา ชีวามิ, น ปรสฺส เวตนํ คเหตฺวา ปรสฺส กมฺมํ กโรมีติ ทเสฺสติฯ ปุตฺตาติ ธีตโร จ ปุตฺตา จ, เต สเพฺพ ปุตฺตาเตฺวว เอกชฺฌํ วุจฺจนฺติฯ สมานิยาติ สนฺนิหิตา อวิปฺปวุฎฺฐาฯ อโรคาติ นิราพาธา, สเพฺพว อูรุพาหุพลาติ ทเสฺสติฯ เตสํ น สุณามิ กิญฺจิ ปาปนฺติ เตสํ โจราติ วา ปรทาริกาติ วา ทุสฺสีลาติ วา กิญฺจิ ปาปํ น สุณามีติฯ

    24. Tampi sutvā dhaniyo tatuttaripi subhāsitarasāyanaṃ pivitukāmo attano bhujissabhāvaṃ dassento āha ‘‘attavetanabhatohamasmī’’ti. Tattha attavetanabhatoti attaniyeneva ghāsacchādanena bhato, attanoyeva kammaṃ katvā jīvāmi, na parassa vetanaṃ gahetvā parassa kammaṃ karomīti dasseti. Puttāti dhītaro ca puttā ca, te sabbe puttātveva ekajjhaṃ vuccanti. Samāniyāti sannihitā avippavuṭṭhā. Arogāti nirābādhā, sabbeva ūrubāhubalāti dasseti. Tesaṃ na suṇāmi kiñci pāpanti tesaṃ corāti vā paradārikāti vā dussīlāti vā kiñci pāpaṃ na suṇāmīti.

    ๒๕. เอวํ วุเตฺต ภควา ปุริมนเยเนว ธนิยํ โอวทโนฺต อิมํ คาถํ อภาสิ – ‘‘นาหํ ภตโก’’ติฯ อตฺราปิ อุตฺตานตฺถาเนว ปทานิฯ อยํ ปน อธิปฺปาโย – ตฺวํ ‘‘ภุชิโสฺสหมสฺมี’’ติ มนฺตฺวา ตุโฎฺฐ, ปรมตฺถโต จ อตฺตโน กมฺมํ กริตฺวา ชีวโนฺตปิ ทาโส เอวาสิ ตณฺหาทาสตฺตา, ภตกวาทา จ น ปริมุจฺจสิฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อูโน โลโก อติโตฺต ตณฺหาทาโส’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๐๕)ฯ ปรมตฺถโต ปน นาหํ ภตโกสฺมิ กสฺสจิฯ อหญฺหิ กสฺสจิ ปรสฺส วา อตฺตโน วา ภตโก น โหมิฯ กิํ การณา? ยสฺมา นิพฺพิเฎฺฐน จรามิ สพฺพโลเกฯ อหญฺหิ ทีปงฺกรปาทมูลโต ยาว โพธิ, ตาว สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ภตโก อโหสิํฯ สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต ปน นิพฺพิโฎฺฐ นิพฺพิโส ราชภโต วิยฯ เตเนว นิพฺพิเฎฺฐน สพฺพญฺญุภาเวน โลกุตฺตรสมาธิสุเขน จ ชีวามิฯ ตสฺส เม อิทานิ อุตฺตริกรณียสฺส กตปริจยสฺส วา อภาวโต อปฺปหีนปฎิสนฺธิกานํ ตาทิสานํ วิย ปตฺตโพฺพ โกจิ อโตฺถ ภติยา น วิชฺชติฯ ‘‘ภฎิยา’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺมา ยทิ ภุชิสฺสตาย ตุเฎฺฐน ‘‘อถ เจ ปตฺถยสี ปวสฺส เทวา’’ติ วตฺตพฺพํ, มยาเวตํ วตฺตพฺพนฺติฯ

    25. Evaṃ vutte bhagavā purimanayeneva dhaniyaṃ ovadanto imaṃ gāthaṃ abhāsi – ‘‘nāhaṃ bhatako’’ti. Atrāpi uttānatthāneva padāni. Ayaṃ pana adhippāyo – tvaṃ ‘‘bhujissohamasmī’’ti mantvā tuṭṭho, paramatthato ca attano kammaṃ karitvā jīvantopi dāso evāsi taṇhādāsattā, bhatakavādā ca na parimuccasi. Vuttañhetaṃ ‘‘ūno loko atitto taṇhādāso’’ti (ma. ni. 2.305). Paramatthato pana nāhaṃ bhatakosmi kassaci. Ahañhi kassaci parassa vā attano vā bhatako na homi. Kiṃ kāraṇā? Yasmā nibbiṭṭhena carāmi sabbaloke. Ahañhi dīpaṅkarapādamūlato yāva bodhi, tāva sabbaññutaññāṇassa bhatako ahosiṃ. Sabbaññutaṃ patto pana nibbiṭṭho nibbiso rājabhato viya. Teneva nibbiṭṭhena sabbaññubhāvena lokuttarasamādhisukhena ca jīvāmi. Tassa me idāni uttarikaraṇīyassa kataparicayassa vā abhāvato appahīnapaṭisandhikānaṃ tādisānaṃ viya pattabbo koci attho bhatiyā na vijjati. ‘‘Bhaṭiyā’’tipi pāṭho. Tasmā yadi bhujissatāya tuṭṭhena ‘‘atha ce patthayasī pavassa devā’’ti vattabbaṃ, mayāvetaṃ vattabbanti.

    ๒๖. ตมฺปิ สุตฺวา ธนิโย อติโตฺตว สุภาสิตามเตน อตฺตโน ปญฺจปฺปการโคมณฺฑลปริปุณฺณภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อตฺถิ วสา’’ติฯ ตตฺถ วสาติ อทมิตวุฑฺฒวจฺฉกาฯ เธนุปาติ เธนุํ ปิวนฺตา ตรุณวจฺฉกา, ขีรทายิกา วา คาโวฯ โคธรณิโยติ คพฺภินิโยฯ ปเวณิโยติ วยปฺปตฺตา พลีพเทฺทหิ สทฺธิํ เมถุนปตฺถนกคาโวฯ อุสโภปิ ควมฺปตีติ โย โคปาลเกหิ ปาโต เอว นฺหาเปตฺวา, โภเชตฺวา, ปญฺจงฺคุลํ ทตฺวา, มาลํ พนฺธิตฺวา – ‘‘เอหิ, ตาต, คาโว โคจรํ ปาเปตฺวา รกฺขิตฺวา อาเนหี’’ติ เปสียติ, เอวํ เปสิโต จ ตา คาโว อโคจรํ ปริหริตฺวา, โคจเร จาเรตฺวา, สีหพฺยคฺฆาทิภยา ปริตฺตายิตฺวา อาเนติ, ตถารูโป อุสโภปิ ควมฺปติ อิธ มยฺหํ โคมณฺฑเล อตฺถีติ ทเสฺสสิฯ

    26. Tampi sutvā dhaniyo atittova subhāsitāmatena attano pañcappakāragomaṇḍalaparipuṇṇabhāvaṃ dassento āha ‘‘atthi vasā’’ti. Tattha vasāti adamitavuḍḍhavacchakā. Dhenupāti dhenuṃ pivantā taruṇavacchakā, khīradāyikā vā gāvo. Godharaṇiyoti gabbhiniyo. Paveṇiyoti vayappattā balībaddehi saddhiṃ methunapatthanakagāvo. Usabhopi gavampatīti yo gopālakehi pāto eva nhāpetvā, bhojetvā, pañcaṅgulaṃ datvā, mālaṃ bandhitvā – ‘‘ehi, tāta, gāvo gocaraṃ pāpetvā rakkhitvā ānehī’’ti pesīyati, evaṃ pesito ca tā gāvo agocaraṃ pariharitvā, gocare cāretvā, sīhabyagghādibhayā parittāyitvā āneti, tathārūpo usabhopi gavampati idha mayhaṃ gomaṇḍale atthīti dassesi.

    ๒๗. เอวํ วุเตฺต ภควา ตเถว ธนิยํ โอวทโนฺต อิมํ ปจฺจนีกคาถํ อาห ‘‘นตฺถิ วสา’’ติฯ เอตฺถ เจส อธิปฺปาโย – อิธ อมฺหากํ สาสเน อทมิตเฎฺฐน วุฑฺฒเฎฺฐน จ วสาสงฺขาตา ปริยุฎฺฐานา วา, ตรุณวจฺฉเก สนฺธาย วสานํ มูลเฎฺฐน ขีรทายินิโย สนฺธาย ปคฺฆรณเฎฺฐน เธนุปาสงฺขาตา อนุสยา วา, ปฎิสนฺธิคพฺภธารณเฎฺฐน โคธรณิสงฺขาตา ปุญฺญาปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขารเจตนา วา, สํโยคปตฺถนเฎฺฐน ปเวณิสงฺขาตา ปตฺถนา ตณฺหา วา, อาธิปจฺจเฎฺฐน ปุพฺพงฺคมเฎฺฐน เสฎฺฐเฎฺฐน จ ควมฺปติอุสภสงฺขาตํ อภิสงฺขารวิญฺญาณํ วา นตฺถิ, สฺวาหํ อิมาย สพฺพโยคเกฺขมภูตาย นตฺถิตาย ตุโฎฺฐฯ ตฺวํ ปน โสกาทิวตฺถุภูตาย อตฺถิตาย ตุโฎฺฐ ฯ ตสฺมา สพฺพโยคเกฺขมตาย ตุฎฺฐสฺส มเมเวตํ ยุตฺตํ วตฺตุํ ‘‘อถ เจ ปตฺถยสี ปวสฺส เทวา’’ติฯ

    27. Evaṃ vutte bhagavā tatheva dhaniyaṃ ovadanto imaṃ paccanīkagāthaṃ āha ‘‘natthi vasā’’ti. Ettha cesa adhippāyo – idha amhākaṃ sāsane adamitaṭṭhena vuḍḍhaṭṭhena ca vasāsaṅkhātā pariyuṭṭhānā vā, taruṇavacchake sandhāya vasānaṃ mūlaṭṭhena khīradāyiniyo sandhāya paggharaṇaṭṭhena dhenupāsaṅkhātā anusayā vā, paṭisandhigabbhadhāraṇaṭṭhena godharaṇisaṅkhātā puññāpuññāneñjābhisaṅkhāracetanā vā, saṃyogapatthanaṭṭhena paveṇisaṅkhātā patthanā taṇhā vā, ādhipaccaṭṭhena pubbaṅgamaṭṭhena seṭṭhaṭṭhena ca gavampatiusabhasaṅkhātaṃ abhisaṅkhāraviññāṇaṃ vā natthi, svāhaṃ imāya sabbayogakkhemabhūtāya natthitāya tuṭṭho. Tvaṃ pana sokādivatthubhūtāya atthitāya tuṭṭho . Tasmā sabbayogakkhematāya tuṭṭhassa mamevetaṃ yuttaṃ vattuṃ ‘‘atha ce patthayasī pavassa devā’’ti.

    ๒๘. ตมฺปิ สุตฺวา ธนิโย ตตุตฺตริปิ สุภาสิตํ อมตรสํ อธิคนฺตุกาโม อตฺตโน โคคณสฺส ขิลพนฺธนสมฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ขิลา นิขาตา’’ติฯ ตตฺถ ขิลาติ คุนฺนํ พนฺธนตฺถมฺภาฯ นิขาตาติ อาโกเฎตฺวา ภูมิยํ ปเวสิตา ขุทฺทกา มหนฺตา ขณิตฺวา ฐปิตาฯ อสมฺปเวธีติ อกมฺปกาฯ ทามาติ วจฺฉกานํ พนฺธนตฺถาย กตา คนฺถิตปาสยุตฺตา รชฺชุพนฺธนวิเสสาฯ มุญฺชมยาติ มุญฺชติณมยาฯ นวาติ อจิรกตาฯ สุสณฺฐานาติ สุฎฺฐุ สณฺฐานา, สุวฎฺฎิตสณฺฐานา วาฯ น หิ สกฺขินฺตีติ เนว สกฺขิสฺสนฺติฯ เธนุปาปิ เฉตฺตุนฺติ ตรุณวจฺฉกาปิ ฉินฺทิตุํฯ

    28. Tampi sutvā dhaniyo tatuttaripi subhāsitaṃ amatarasaṃ adhigantukāmo attano gogaṇassa khilabandhanasampattiṃ dassento āha ‘‘khilā nikhātā’’ti. Tattha khilāti gunnaṃ bandhanatthambhā. Nikhātāti ākoṭetvā bhūmiyaṃ pavesitā khuddakā mahantā khaṇitvā ṭhapitā. Asampavedhīti akampakā. Dāmāti vacchakānaṃ bandhanatthāya katā ganthitapāsayuttā rajjubandhanavisesā. Muñjamayāti muñjatiṇamayā. Navāti acirakatā. Susaṇṭhānāti suṭṭhu saṇṭhānā, suvaṭṭitasaṇṭhānā vā. Na hi sakkhintīti neva sakkhissanti. Dhenupāpi chettunti taruṇavacchakāpi chindituṃ.

    ๒๙. เอวํ วุเตฺต ภควา ธนิยสฺส อินฺทฺริย-ปริปากกาลํ ญตฺวา ปุริมนเยเนว ตํ โอวทโนฺต อิมํ จตุสจฺจทีปิกํ คาถํ อภาสิ ‘‘อุสโภริว เฉตฺวา’’ติฯ ตตฺถ อุสโภติ โคปิตา โคปริณายโก โคยูถปติ พลีพโทฺทฯ เกจิ ปน ภณนฺติ ‘‘ควสตเชโฎฺฐ อุสโภ, สหสฺสเชโฎฺฐ วสโภ, สตสหสฺสเชโฎฺฐ นิสโภ’’ติฯ อปเร ‘‘เอกคามเขเตฺต เชโฎฺฐ อุสโภ, ทฺวีสุ เชโฎฺฐ วสโภ, สพฺพตฺถ อปฺปฎิหโต นิสโภ’’ติฯ สเพฺพเปเต ปปญฺจา, อปิจ โข ปน อุสโภติ วา วสโภติ วา นิสโภติ วา สเพฺพเปเต อปฺปฎิสมเฎฺฐน เวทิตพฺพาฯ ยถาห – ‘‘นิสโภ วต โภ สมโณ โคตโม’’ติ (สํ. นิ. ๑.๓๘)ฯ ร-กาโร ปทสนฺธิกโรฯ พนฺธนานีติ รชฺชุพนฺธนานิ กิเลสพนฺธนานิ จฯ นาโคติ หตฺถีฯ ปูติลตนฺติ คโฬจีลตํฯ ยถา หิ สุวณฺณวโณฺณปิ กาโย ปูติกาโย, วสฺสสติโกปิ สุนโข กุกฺกุโร, ตทหุชาโตปิ สิงฺคาโล ‘‘ชรสิงฺคาโล’’ติ วุจฺจติ, เอวํ อภินวาปิ คโฬจีลตา อสารกเตฺตน ‘‘ปูติลตา’’ติ วุจฺจติฯ ทาลยิตฺวาติ ฉินฺทิตฺวาฯ คพฺภญฺจ เสยฺยญฺจ คพฺภเสยฺยํฯ ตตฺถ คพฺภคฺคหเณน ชลาพุชโยนิ, เสยฺยคฺคหเณน อวเสสาฯ คพฺภเสยฺยมุเขน วา สพฺพาปิ ตา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ เสสเมตฺถ ปทตฺถโต อุตฺตานเมวฯ

    29. Evaṃ vutte bhagavā dhaniyassa indriya-paripākakālaṃ ñatvā purimanayeneva taṃ ovadanto imaṃ catusaccadīpikaṃ gāthaṃ abhāsi ‘‘usabhoriva chetvā’’ti. Tattha usabhoti gopitā gopariṇāyako goyūthapati balībaddo. Keci pana bhaṇanti ‘‘gavasatajeṭṭho usabho, sahassajeṭṭho vasabho, satasahassajeṭṭho nisabho’’ti. Apare ‘‘ekagāmakhette jeṭṭho usabho, dvīsu jeṭṭho vasabho, sabbattha appaṭihato nisabho’’ti. Sabbepete papañcā, apica kho pana usabhoti vā vasabhoti vā nisabhoti vā sabbepete appaṭisamaṭṭhena veditabbā. Yathāha – ‘‘nisabho vata bho samaṇo gotamo’’ti (saṃ. ni. 1.38). Ra-kāro padasandhikaro. Bandhanānīti rajjubandhanāni kilesabandhanāni ca. Nāgoti hatthī. Pūtilatanti gaḷocīlataṃ. Yathā hi suvaṇṇavaṇṇopi kāyo pūtikāyo, vassasatikopi sunakho kukkuro, tadahujātopi siṅgālo ‘‘jarasiṅgālo’’ti vuccati, evaṃ abhinavāpi gaḷocīlatā asārakattena ‘‘pūtilatā’’ti vuccati. Dālayitvāti chinditvā. Gabbhañca seyyañca gabbhaseyyaṃ. Tattha gabbhaggahaṇena jalābujayoni, seyyaggahaṇena avasesā. Gabbhaseyyamukhena vā sabbāpi tā vuttāti veditabbā. Sesamettha padatthato uttānameva.

    อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – ธนิย, ตฺวํ พนฺธเนน ตุโฎฺฐ, อหํ ปน พนฺธเนน อฎฺฎียโนฺต ถามวีริยูเปโต มหาอุสโภริว พนฺธนานิ ปญฺจุทฺธมฺภาคิยสํโยชนานิ จตุตฺถอริยมคฺคถามวีริเยน เฉตฺวา, นาโค ปูติลตํว ปโญฺจรมฺภาคิยสํโยชนพนฺธนานิ เหฎฺฐามคฺคตฺตยถามวีริเยน ทาลยิตฺวา, อถ วา อุสโภริว พนฺธนานิ อนุสเย นาโค ปูติลตํว ปริยุฎฺฐานานิ เฉตฺวา ทาลยิตฺวาว ฐิโตฯ ตสฺมา น ปุน คพฺภเสยฺยํ อุเปสฺสํฯ โสหํ ชาติทุกฺขวตฺถุเกหิ สพฺพทุเกฺขหิ ปริมุโตฺต โสภามิ – ‘‘อถ เจ ปตฺถยสี ปวสฺส เทวา’’ติ วทมาโนฯ ตสฺมา สเจ ตฺวมฺปิ อหํ วิย วตฺตุมิจฺฉสิ, ฉินฺท ตานิ พนฺธนานีติฯ เอตฺถ จ พนฺธนานิ สมุทยสจฺจํ, คพฺภเสยฺยา ทุกฺขสจฺจํ, ‘‘น อุเปสฺส’’นฺติ เอตฺถ อนุปคโม อนุปาทิเสสวเสน, ‘‘เฉตฺวา ทาลยิตฺวา’’ติ เอตฺถ เฉโท ปทาลนญฺจ สอุปาทิเสสวเสน นิโรธสจฺจํ, เยน ฉินฺทติ ปทาเลติ จ, ตํ มคฺคสจฺจนฺติฯ

    Ayaṃ panettha adhippāyo – dhaniya, tvaṃ bandhanena tuṭṭho, ahaṃ pana bandhanena aṭṭīyanto thāmavīriyūpeto mahāusabhoriva bandhanāni pañcuddhambhāgiyasaṃyojanāni catutthaariyamaggathāmavīriyena chetvā, nāgo pūtilataṃva pañcorambhāgiyasaṃyojanabandhanāni heṭṭhāmaggattayathāmavīriyena dālayitvā, atha vā usabhoriva bandhanāni anusaye nāgo pūtilataṃva pariyuṭṭhānāni chetvā dālayitvāva ṭhito. Tasmā na puna gabbhaseyyaṃ upessaṃ. Sohaṃ jātidukkhavatthukehi sabbadukkhehi parimutto sobhāmi – ‘‘atha ce patthayasī pavassa devā’’ti vadamāno. Tasmā sace tvampi ahaṃ viya vattumicchasi, chinda tāni bandhanānīti. Ettha ca bandhanāni samudayasaccaṃ, gabbhaseyyā dukkhasaccaṃ, ‘‘na upessa’’nti ettha anupagamo anupādisesavasena, ‘‘chetvā dālayitvā’’ti ettha chedo padālanañca saupādisesavasena nirodhasaccaṃ, yena chindati padāleti ca, taṃ maggasaccanti.

    เอวเมตํ จตุสจฺจทีปิกํ คาถํ สุตฺวา คาถาปริโยสาเน ธนิโย จ ปชาปติ จสฺส เทฺว จ ธีตโรติ จตฺตาโร ชนา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ อถ ธนิโย อเวจฺจปฺปสาทโยเคน ตถาคเต มูลชาตาย ปติฎฺฐิตาย สทฺธาย ปญฺญาจกฺขุนา ภควโต ธมฺมกายํ ทิสฺวา ธมฺมตาย โจทิตหทโย จิเนฺตสิ – ‘‘พนฺธนานิ ฉินฺทิํ, คพฺภเสโยฺย จ เม นตฺถี’’ติ อวีจิํ ปริยนฺตํ กตฺวา ยาว ภวคฺคา โก อโญฺญ เอวํ สีหนาทํ นทิสฺสติ อญฺญตฺร ภควตา, อาคโต นุ โข เม สตฺถาติฯ ตโต ภควา ฉพฺพณฺณรสฺมิชาลวิจิตฺรํ สุวณฺณรสเสกปิญฺชรํ วิย สรีราภํ ธนิยสฺส นิเวสเน มุญฺจิ ‘‘ปสฺส ทานิ ยถาสุข’’นฺติฯ

    Evametaṃ catusaccadīpikaṃ gāthaṃ sutvā gāthāpariyosāne dhaniyo ca pajāpati cassa dve ca dhītaroti cattāro janā sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu. Atha dhaniyo aveccappasādayogena tathāgate mūlajātāya patiṭṭhitāya saddhāya paññācakkhunā bhagavato dhammakāyaṃ disvā dhammatāya coditahadayo cintesi – ‘‘bandhanāni chindiṃ, gabbhaseyyo ca me natthī’’ti avīciṃ pariyantaṃ katvā yāva bhavaggā ko añño evaṃ sīhanādaṃ nadissati aññatra bhagavatā, āgato nu kho me satthāti. Tato bhagavā chabbaṇṇarasmijālavicitraṃ suvaṇṇarasasekapiñjaraṃ viya sarīrābhaṃ dhaniyassa nivesane muñci ‘‘passa dāni yathāsukha’’nti.

    ๓๐. อถ ธนิโย อโนฺต ปวิฎฺฐจนฺทิมสูริยํ วิย สมนฺตา ปชฺชลิตปทีปสหสฺสสมุชฺชลิตมิว จ นิเวสนํ ทิสฺวา ‘‘อาคโต ภควา’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ ตสฺมิํเยว จ สมเย เมโฆปิ ปาวสฺสิฯ เตนาหุ สงฺคีติการา ‘‘นินฺนญฺจ ถลญฺจ ปูรยโนฺต’’ติฯ ตตฺถ นินฺนนฺติ ปลฺลลํฯ ถลนฺติ อุกฺกูลํฯ เอวเมตํ อุกฺกูลวิกูลํ สพฺพมฺปิ สมํ กตฺวา ปูรยโนฺต มหาเมโฆ ปาวสฺสิ, วสฺสิตุํ อารภีติ วุตฺตํ โหติฯ ตาวเทวาติ ยํ ขณํ ภควา สรีราภํ มุญฺจิ, ธนิโย จ ‘‘สตฺถา เม อาคโต’’ติ สทฺธามยํ จิตฺตาภํ มุญฺจิ, ตํ ขณํ ปาวสฺสีติฯ เกจิ ปน ‘‘สูริยุคฺคมนมฺปิ ตสฺมิํเยว ขเณ’’ติ วณฺณยนฺติฯ

    30. Atha dhaniyo anto paviṭṭhacandimasūriyaṃ viya samantā pajjalitapadīpasahassasamujjalitamiva ca nivesanaṃ disvā ‘‘āgato bhagavā’’ti cittaṃ uppādesi. Tasmiṃyeva ca samaye meghopi pāvassi. Tenāhu saṅgītikārā ‘‘ninnañca thalañca pūrayanto’’ti. Tattha ninnanti pallalaṃ. Thalanti ukkūlaṃ. Evametaṃ ukkūlavikūlaṃ sabbampi samaṃ katvā pūrayanto mahāmegho pāvassi, vassituṃ ārabhīti vuttaṃ hoti. Tāvadevāti yaṃ khaṇaṃ bhagavā sarīrābhaṃ muñci, dhaniyo ca ‘‘satthā me āgato’’ti saddhāmayaṃ cittābhaṃ muñci, taṃ khaṇaṃ pāvassīti. Keci pana ‘‘sūriyuggamanampi tasmiṃyeva khaṇe’’ti vaṇṇayanti.

    ๓๑-๓๒. เอวํ ตสฺมิํ ธนิยสฺส สทฺธุปฺปาทตถาคโตภาสผรณสูริยุคฺคมนกฺขเณ วสฺสโต เทวสฺส สทฺทํ สุตฺวา ธนิโย ปีติโสมนสฺสชาโต อิมมตฺถํ อภาสถ ‘‘ลาภา วต โน อนปฺปกา’’ติ เทฺว คาถา วตฺตพฺพาฯ

    31-32. Evaṃ tasmiṃ dhaniyassa saddhuppādatathāgatobhāsapharaṇasūriyuggamanakkhaṇe vassato devassa saddaṃ sutvā dhaniyo pītisomanassajāto imamatthaṃ abhāsatha ‘‘lābhā vata no anappakā’’ti dve gāthā vattabbā.

    ตตฺถ ยสฺมา ธนิโย สปุตฺตทาโร ภควโต อริยมคฺคปฎิเวเธน ธมฺมกายํ ทิสฺวา, โลกุตฺตรจกฺขุนา รูปกายํ ทิสฺวา, โลกิยจกฺขุนา สทฺธาปฎิลาภํ ลภิฯ ตสฺมา อาห – ‘‘ลาภา วต โน อนปฺปกา, เย มยํ ภควนฺตํ อทฺทสามา’’ติฯ ตตฺถ วต อิติ วิมฺหยเตฺถ นิปาโตฯ โน อิติ อมฺหากํฯ อนปฺปกาติ วิปุลาฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ สรณํ ตํ อุเปมาติ เอตฺถ ปน กิญฺจาปิ มคฺคปฎิเวเธเนวสฺส สิทฺธํ สรณคมนํ, ตตฺถ ปน นิจฺฉยคมนเมว คโต, อิทานิ วาจาย อตฺตสนฺนิยฺยาตนํ กโรติฯ มคฺควเสน วา สนฺนิยฺยาตนสรณตํ อจลสรณตํ ปโตฺต, ตํ ปเรสํ วาจาย ปากฎํ กโรโนฺต ปณิปาตสรณคมนํ คจฺฉติฯ จกฺขุมาติ ภควา ปกติทิพฺพปญฺญาสมนฺตพุทฺธจกฺขูหิ ปญฺจหิ จกฺขูหิ จกฺขุมาฯ ตํ อาลปโนฺต อาห – ‘‘สรณํ ตํ อุเปม จกฺขุมา’’ติฯ ‘‘สตฺถา โน โหหิ ตุวํ มหามุนี’’ติ อิทํ ปน วจนํ สิสฺสภาวูปคมเนนาปิ สรณคมนํ ปูเรตุํ ภณติ, โคปี จ อหญฺจ อสฺสวา, พฺรหฺมจริยํ สุคเต จรามเสติ อิทํ สมาทานวเสนฯ

    Tattha yasmā dhaniyo saputtadāro bhagavato ariyamaggapaṭivedhena dhammakāyaṃ disvā, lokuttaracakkhunā rūpakāyaṃ disvā, lokiyacakkhunā saddhāpaṭilābhaṃ labhi. Tasmā āha – ‘‘lābhā vata no anappakā, ye mayaṃ bhagavantaṃ addasāmā’’ti. Tattha vata iti vimhayatthe nipāto. No iti amhākaṃ. Anappakāti vipulā. Sesaṃ uttānameva. Saraṇaṃ taṃ upemāti ettha pana kiñcāpi maggapaṭivedhenevassa siddhaṃ saraṇagamanaṃ, tattha pana nicchayagamanameva gato, idāni vācāya attasanniyyātanaṃ karoti. Maggavasena vā sanniyyātanasaraṇataṃ acalasaraṇataṃ patto, taṃ paresaṃ vācāya pākaṭaṃ karonto paṇipātasaraṇagamanaṃ gacchati. Cakkhumāti bhagavā pakatidibbapaññāsamantabuddhacakkhūhi pañcahi cakkhūhi cakkhumā. Taṃ ālapanto āha – ‘‘saraṇaṃ taṃ upema cakkhumā’’ti. ‘‘Satthā no hohi tuvaṃ mahāmunī’’ti idaṃ pana vacanaṃ sissabhāvūpagamanenāpi saraṇagamanaṃ pūretuṃ bhaṇati, gopī ca ahañca assavā, brahmacariyaṃsugate carāmaseti idaṃ samādānavasena.

    ตตฺถ พฺรหฺมจริยนฺติ เมถุนวิรติมคฺคสมณธมฺมสาสนสทารสโนฺตสานเมตํ อธิวจนํฯ ‘‘พฺรหฺมจารี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๘๓) หิ เมถุนวิรติ พฺรหฺมจริยนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘อิทํ โข ปน เม ปญฺจสิข, พฺรหฺมจริยํ เอกนฺตนิพฺพิทายา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๒๙) มโคฺคฯ ‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, จตุรงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมจริยํ จริตา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๕๕) สมณธโมฺมฯ ‘‘ตยิทํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธเญฺจว ผีตญฺจา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๓.๑๗๔) สาสนํฯ

    Tattha brahmacariyanti methunaviratimaggasamaṇadhammasāsanasadārasantosānametaṃ adhivacanaṃ. ‘‘Brahmacārī’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.83) hi methunavirati brahmacariyanti vuccati. ‘‘Idaṃ kho pana me pañcasikha, brahmacariyaṃ ekantanibbidāyā’’ti evamādīsu (dī. ni. 2.329) maggo. ‘‘Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, caturaṅgasamannāgataṃ brahmacariyaṃ caritā’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.155) samaṇadhammo. ‘‘Tayidaṃ brahmacariyaṃ iddhañceva phītañcā’’ti evamādīsu (dī. ni. 3.174) sāsanaṃ.

    ‘‘มยญฺจ ภริยา นาติกฺกมาม, อเมฺห จ ภริยา นาติกฺกมนฺติ;

    ‘‘Mayañca bhariyā nātikkamāma, amhe ca bhariyā nātikkamanti;

    อญฺญตฺร ตาหิ พฺรหฺมจริยํ จราม, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเร’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๙๗) –

    Aññatra tāhi brahmacariyaṃ carāma, tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare’’ti. (jā. 1.10.97) –

    เอวมาทีสุ สทารสโนฺตโสฯ อิธ ปน สมณธมฺมพฺรหฺมจริยปุพฺพงฺคมํ อุปริมคฺคพฺรหฺมจริยมธิเปฺปตํฯ สุคเตติ สุคตสฺส สนฺติเกฯ ภควา หิ อนฺตทฺวยมนุปคฺคมฺม สุฎฺฐุ คตตฺตา, โสภเณน จ อริยมคฺคคมเนน สมนฺนาคตตฺตา, สุนฺทรญฺจ นิพฺพานสงฺขาตํ ฐานํ คตตฺตา สุคโตติ วุจฺจติฯ สมีปเตฺถ เจตฺถ ภุมฺมวจนํ, ตสฺมา สุคตสฺส สนฺติเกติ อโตฺถฯ จรามเสติ จรามฯ ยญฺหิ ตํ สกฺกเต จรามสีติ วุจฺจติ, ตํ อิธ จรามเสติฯ อฎฺฐกถาจริยา ปน ‘‘เสติ นิปาโต’’ติ ภณนฺติฯ เตเนว เจตฺถ อายาจนตฺถํ สนฺธาย ‘‘จเรม เส’’ติปิ ปาฐํ วิกเปฺปนฺติฯ ยํ รุจฺจติ, ตํ คเหตพฺพํฯ

    Evamādīsu sadārasantoso. Idha pana samaṇadhammabrahmacariyapubbaṅgamaṃ uparimaggabrahmacariyamadhippetaṃ. Sugateti sugatassa santike. Bhagavā hi antadvayamanupaggamma suṭṭhu gatattā, sobhaṇena ca ariyamaggagamanena samannāgatattā, sundarañca nibbānasaṅkhātaṃ ṭhānaṃ gatattā sugatoti vuccati. Samīpatthe cettha bhummavacanaṃ, tasmā sugatassa santiketi attho. Carāmaseti carāma. Yañhi taṃ sakkate carāmasīti vuccati, taṃ idha carāmaseti. Aṭṭhakathācariyā pana ‘‘seti nipāto’’ti bhaṇanti. Teneva cettha āyācanatthaṃ sandhāya ‘‘carema se’’tipi pāṭhaṃ vikappenti. Yaṃ ruccati, taṃ gahetabbaṃ.

    เอวํ ธนิโย พฺรหฺมจริยจรณาปเทเสน ภควนฺตํ ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปพฺพชฺชปโยชนํ ทีเปโนฺต อาห ‘‘ชาตีมรณสฺส ปารคู, ทุกฺขสฺสนฺตกรา ภวามเส’’ติฯ ชาติมรณสฺส ปารํ นาม นิพฺพานํ, ตํ อรหตฺตมเคฺคน คจฺฉามฯ ทุกฺขสฺสาติ วฎฺฎทุกฺขสฺสฯ อนฺตกราติ อภาวกราฯ ภวามเสติ ภวาม, อถ วา อโห วต มยํ ภเวยฺยามาติฯ ‘‘จรามเส’’ติ เอตฺถ วุตฺตนเยเนว ตํ เวทิตพฺพํฯ เอวํ วตฺวาปิ จ ปุน อุโภปิ กิร ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ‘‘ปพฺพาเชถ โน ภควา’’ติ เอวํ ปพฺพชฺชํ ยาจิํสูติฯ

    Evaṃ dhaniyo brahmacariyacaraṇāpadesena bhagavantaṃ pabbajjaṃ yācitvā pabbajjapayojanaṃ dīpento āha ‘‘jātīmaraṇassa pāragū, dukkhassantakarā bhavāmase’’ti. Jātimaraṇassa pāraṃ nāma nibbānaṃ, taṃ arahattamaggena gacchāma. Dukkhassāti vaṭṭadukkhassa. Antakarāti abhāvakarā. Bhavāmaseti bhavāma, atha vā aho vata mayaṃ bhaveyyāmāti. ‘‘Carāmase’’ti ettha vuttanayeneva taṃ veditabbaṃ. Evaṃ vatvāpi ca puna ubhopi kira bhagavantaṃ vanditvā ‘‘pabbājetha no bhagavā’’ti evaṃ pabbajjaṃ yāciṃsūti.

    ๓๓. อถ มาโร ปาปิมา เอวํ เต อุโภปิ วนฺทิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจเนฺต ทิสฺวา – ‘‘อิเม มม วิสยํ อติกฺกมิตุกามา, หนฺท เนสํ อนฺตรายํ กโรมี’’ติ อาคนฺตฺวา ฆราวาเส คุณํ ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมาห ‘‘นนฺทติ ปุเตฺตหิ ปุตฺติมา’’ติฯ ตตฺถ นนฺทตีติ ตุสฺสติ โมทติฯ ปุเตฺตหีติ ปุเตฺตหิปิ ธีตเรหิปิ, สหโยคเตฺถ, กรณเตฺถ วา กรณวจนํ, ปุเตฺตหิ สห นนฺทติ, ปุเตฺตหิ กรณภูเตหิ นนฺทตีติ วุตฺตํ โหติฯ ปุตฺติมาติ ปุตฺตวา ปุคฺคโลฯ อิตีติ เอวมาหฯ มาโรติ วสวตฺติภูมิยํ อญฺญตโร ทามริกเทวปุโตฺตฯ โส หิ สฎฺฐานาติกฺกมิตุกามํ ชนํ ยํ สโกฺกติ, ตํ มาเรติฯ ยํ น สโกฺกติ, ตสฺสปิ มรณํ อิจฺฉติฯ เตน ‘‘มาโร’’ติ วุจฺจติฯ ปาปิมาติ ลามกปุคฺคโล, ปาปสมาจาโร วาฯ สงฺคีติการานเมตํ วจนํ, สพฺพคาถาสุ จ อีทิสานิฯ ยถา จ ปุเตฺตหิ ปุตฺติมา, โคปิโย โคหิ ตเถว นนฺทติฯ ยสฺส คาโว อตฺถิ, โสปิ โคปิโย, โคหิ สห, โคหิ วา กรณภูเตหิ ตเถว นนฺทตีติ อโตฺถฯ

    33. Atha māro pāpimā evaṃ te ubhopi vanditvā pabbajjaṃ yācante disvā – ‘‘ime mama visayaṃ atikkamitukāmā, handa nesaṃ antarāyaṃ karomī’’ti āgantvā gharāvāse guṇaṃ dassento imaṃ gāthamāha ‘‘nandati puttehi puttimā’’ti. Tattha nandatīti tussati modati. Puttehīti puttehipi dhītarehipi, sahayogatthe, karaṇatthe vā karaṇavacanaṃ, puttehi saha nandati, puttehi karaṇabhūtehi nandatīti vuttaṃ hoti. Puttimāti puttavā puggalo. Itīti evamāha. Māroti vasavattibhūmiyaṃ aññataro dāmarikadevaputto. So hi saṭṭhānātikkamitukāmaṃ janaṃ yaṃ sakkoti, taṃ māreti. Yaṃ na sakkoti, tassapi maraṇaṃ icchati. Tena ‘‘māro’’ti vuccati. Pāpimāti lāmakapuggalo, pāpasamācāro vā. Saṅgītikārānametaṃ vacanaṃ, sabbagāthāsu ca īdisāni. Yathā ca puttehi puttimā, gopiyo gohi tatheva nandati. Yassa gāvo atthi, sopi gopiyo, gohi saha, gohi vā karaṇabhūtehi tatheva nandatīti attho.

    เอวํ วตฺวา อิทานิ ตสฺสตฺถสฺส สาธกการณํ นิทฺทิสติ, ‘‘อุปธี หิ นรสฺส นนฺทนา’’ติฯ ตตฺถ อุปธีติ จตฺตาโร อุปธโย – กามูปธิ, ขนฺธูปธิ, กิเลสูปธิ, อภิสงฺขารูปธีติฯ กามา หิ ‘‘ยํ ปญฺจกามคุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ, อยํ กามานํ อสฺสาโท’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๖๖) เอวํ วุตฺตสฺส สุขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต อุปธียติ เอตฺถ สุขนฺติ อิมินา วจนเตฺถน อุปธีติ วุจฺจนฺติฯ ขนฺธาปิ ขนฺธมูลกทุกฺขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต, กิเลสาปิ อปายทุกฺขสฺส อธิฎฺฐานภาวโต, อภิสงฺขาราปิ ภวทุกฺขสฺส อธิฎฺฐานภาวโตติฯ อิธ ปน กามูปธิ อธิเปฺปโตฯ โส สตฺตสงฺขารวเสน ทุวิโธฯ ตตฺถ สตฺตปฎิพโทฺธ ปธาโน, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปุเตฺตหิ โคหี’’ติ วตฺวา การณมาห – ‘‘อุปธี หิ นรสฺส นนฺทนา’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺมา อิเม กามูปธี นรสฺส นนฺทนา, นนฺทยนฺติ นรํ ปีติโสมนสฺสํ อุปสํหรนฺตา, ตสฺมา เวทิตพฺพเมตํ ‘‘นนฺทติ ปุเตฺตหิ ปุตฺติมา, โคปิโย โคหิ ตเถว นนฺทติ, ตฺวญฺจ ปุตฺติมา โคปิโย จ, ตสฺมา เอเตหิ, นนฺท, มา ปพฺพชฺชํ ปาฎิกงฺขิฯ ปพฺพชิตสฺส หิ เอเต อุปธโย น สนฺติ, เอวํ สเนฺต ตฺวํ ทุกฺขสฺสนฺตํ ปเตฺถโนฺตปิ ทุกฺขิโตว ภวิสฺสสี’’ติฯ

    Evaṃ vatvā idāni tassatthassa sādhakakāraṇaṃ niddisati, ‘‘upadhī hi narassa nandanā’’ti. Tattha upadhīti cattāro upadhayo – kāmūpadhi, khandhūpadhi, kilesūpadhi, abhisaṅkhārūpadhīti. Kāmā hi ‘‘yaṃ pañcakāmaguṇe paṭicca uppajjati sukhaṃ somanassaṃ, ayaṃ kāmānaṃ assādo’’ti (ma. ni. 1.166) evaṃ vuttassa sukhassa adhiṭṭhānabhāvato upadhīyati ettha sukhanti iminā vacanatthena upadhīti vuccanti. Khandhāpi khandhamūlakadukkhassa adhiṭṭhānabhāvato, kilesāpi apāyadukkhassa adhiṭṭhānabhāvato, abhisaṅkhārāpi bhavadukkhassa adhiṭṭhānabhāvatoti. Idha pana kāmūpadhi adhippeto. So sattasaṅkhāravasena duvidho. Tattha sattapaṭibaddho padhāno, taṃ dassento ‘‘puttehi gohī’’ti vatvā kāraṇamāha – ‘‘upadhī hi narassa nandanā’’ti. Tassattho – yasmā ime kāmūpadhī narassa nandanā, nandayanti naraṃ pītisomanassaṃ upasaṃharantā, tasmā veditabbametaṃ ‘‘nandati puttehi puttimā, gopiyo gohi tatheva nandati, tvañca puttimā gopiyo ca, tasmā etehi, nanda, mā pabbajjaṃ pāṭikaṅkhi. Pabbajitassa hi ete upadhayo na santi, evaṃ sante tvaṃ dukkhassantaṃ patthentopi dukkhitova bhavissasī’’ti.

    อิทานิ ตสฺสปิ อตฺถสฺส สาธกการณํ นิทฺทิสติ ‘‘น หิ โส นนฺทติ, โย นิรูปธี’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺมา ยเสฺสเต อุปธโย นตฺถิ, โส ปิเยหิ ญาตีหิ วิปฺปยุโตฺต นิโพฺภคูปกรโณ น นนฺทติ, ตสฺมา ตฺวํ อิเม อุปธโย วเชฺชตฺวา ปพฺพชิโต ทุกฺขิโตว ภวิสฺสสีติฯ

    Idāni tassapi atthassa sādhakakāraṇaṃ niddisati ‘‘na hi so nandati, yo nirūpadhī’’ti. Tassattho – yasmā yassete upadhayo natthi, so piyehi ñātīhi vippayutto nibbhogūpakaraṇo na nandati, tasmā tvaṃ ime upadhayo vajjetvā pabbajito dukkhitova bhavissasīti.

    ๓๔. อถ ภควา ‘‘มาโร อยํ ปาปิมา อิเมสํ อนฺตรายาย อาคโต’’ติ วิทิตฺวา ผเลน ผลํ ปาเตโนฺต วิย ตาเยว มาเรนาภตาย อุปมาย มารวาทํ ภินฺทโนฺต ตเมว คาถํ ปริวเตฺตตฺวา ‘‘อุปธิ โสกวตฺถู’’ติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘โสจติ ปุเตฺตหิ ปุตฺติมา’’ติฯ ตตฺถ สพฺพํ ปทตฺถโต อุตฺตานเมวฯ อยํ ปน อธิปฺปาโย – มา, ปาปิม, เอวํ อวจ ‘‘นนฺทติ ปุเตฺตหิ ปุตฺติมา’’ติฯ สเพฺพเหว หิ ปิเยหิ, มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว, อนติกฺกมนีโย อยํ วิธิ, เตสญฺจ ปิยมนาปานํ ปุตฺตทารานํ ควาสฺสวฬวหิรญฺญสุวณฺณาทีนํ วินาภาเวน อธิมตฺตโสกสลฺลสมปฺปิตหทยา สตฺตา อุมฺมตฺตกาปิ โหนฺติ ขิตฺตจิตฺตา, มรณมฺปิ นิคจฺฉนฺติ มรณมตฺตมฺปิ ทุกฺขํฯ ตสฺมา เอวํ คณฺห – โสจติ ปุเตฺตหิ ปุตฺติมาฯ ยถา จ ปุเตฺตหิ ปุตฺติมา, โคปิโย โคหิ ตเถว โสจตีติฯ กิํ การณา? อุปธี หิ นรสฺส โสจนาฯ ยสฺมา จ อุปธี หิ นรสฺส โสจนา, ตสฺมา เอว ‘‘น หิ โส โสจติ, โย นิรูปธิ’’ฯ โย อุปธีสุ สงฺคปฺปหาเนน นิรุปธิ โหติ, โส สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน, กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตน, เยน เยเนว ปกฺกมติ, สมาทาเยว ปกฺกมติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปกฺขี สกุโณ …เป.… นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติฯ เอวํ สพฺพโสกสมุคฺฆาตา ‘‘น หิ โส โสจติ, โย นิรุปธี’’ติฯ อิติ ภควา อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ โวสาเปสิฯ อถ วา โย นิรุปธิ, โย นิกฺกิเลโส, โส น โสจติฯ ยาวเทว หิ กิเลสา สนฺติ, ตาวเทว สเพฺพ อุปธโย โสกปฺผลาว โหนฺติฯ กิเลสปฺปหานา ปน นตฺถิ โสโกติฯ เอวมฺปิ อรหตฺตนิกูเฎเนว เทสนํ โวสาเปสิฯ เทสนาปริโยสาเน ธนิโย จ โคปี จ อุโภปิ ปพฺพชิํสุฯ ภควา อากาเสเนว เชตวนํ อคมาสิฯ เต ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉิกริํสุฯ วสนฎฺฐาเน จ เนสํ โคปาลกา วิหารํ กาเรสุํฯ โส อชฺชาปิ โคปาลกวิหาโรเตฺวว ปญฺญายตีติฯ

    34. Atha bhagavā ‘‘māro ayaṃ pāpimā imesaṃ antarāyāya āgato’’ti viditvā phalena phalaṃ pātento viya tāyeva mārenābhatāya upamāya māravādaṃ bhindanto tameva gāthaṃ parivattetvā ‘‘upadhi sokavatthū’’ti dassento āha ‘‘socati puttehi puttimā’’ti. Tattha sabbaṃ padatthato uttānameva. Ayaṃ pana adhippāyo – mā, pāpima, evaṃ avaca ‘‘nandati puttehi puttimā’’ti. Sabbeheva hi piyehi, manāpehi nānābhāvo vinābhāvo, anatikkamanīyo ayaṃ vidhi, tesañca piyamanāpānaṃ puttadārānaṃ gavāssavaḷavahiraññasuvaṇṇādīnaṃ vinābhāvena adhimattasokasallasamappitahadayā sattā ummattakāpi honti khittacittā, maraṇampi nigacchanti maraṇamattampi dukkhaṃ. Tasmā evaṃ gaṇha – socati puttehi puttimā. Yathā ca puttehi puttimā, gopiyo gohi tatheva socatīti. Kiṃ kāraṇā? Upadhī hi narassa socanā. Yasmā ca upadhī hi narassa socanā, tasmā eva ‘‘na hi so socati, yo nirūpadhi’’. Yo upadhīsu saṅgappahānena nirupadhi hoti, so santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarena, kucchiparihārikena piṇḍapātena, yena yeneva pakkamati, samādāyeva pakkamati. Seyyathāpi nāma pakkhī sakuṇo …pe… nāparaṃ itthattāyāti pajānāti. Evaṃ sabbasokasamugghātā ‘‘na hi so socati, yo nirupadhī’’ti. Iti bhagavā arahattanikūṭena desanaṃ vosāpesi. Atha vā yo nirupadhi, yo nikkileso, so na socati. Yāvadeva hi kilesā santi, tāvadeva sabbe upadhayo sokapphalāva honti. Kilesappahānā pana natthi sokoti. Evampi arahattanikūṭeneva desanaṃ vosāpesi. Desanāpariyosāne dhaniyo ca gopī ca ubhopi pabbajiṃsu. Bhagavā ākāseneva jetavanaṃ agamāsi. Te pabbajitvā arahattaṃ sacchikariṃsu. Vasanaṭṭhāne ca nesaṃ gopālakā vihāraṃ kāresuṃ. So ajjāpi gopālakavihārotveva paññāyatīti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ธนิยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya dhaniyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๒. ธนิยสุตฺตํ • 2. Dhaniyasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact