Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๑๐. ธาตุวิภงฺคสุตฺตํ
10. Dhātuvibhaṅgasuttaṃ
๓๔๒. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา มคเธสุ จาริกํ จรมาโน เยน ราชคหํ ตทวสริ; เยน ภคฺคโว กุมฺภกาโร เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภคฺควํ กุมฺภการํ เอตทโวจ – ‘‘สเจ เต, ภคฺคว, อครุ วิหเรมุ อาเวสเน 1 เอกรตฺต’’นฺติฯ ‘‘น โข เม, ภเนฺต, ครุฯ อตฺถิ เจตฺถ ปพฺพชิโต ปฐมํ วาสูปคโตฯ สเจ โส อนุชานาติ, วิหรถ 2, ภเนฺต, ยถาสุข’’นฺติฯ
342. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā magadhesu cārikaṃ caramāno yena rājagahaṃ tadavasari; yena bhaggavo kumbhakāro tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhaggavaṃ kumbhakāraṃ etadavoca – ‘‘sace te, bhaggava, agaru viharemu āvesane 3 ekaratta’’nti. ‘‘Na kho me, bhante, garu. Atthi cettha pabbajito paṭhamaṃ vāsūpagato. Sace so anujānāti, viharatha 4, bhante, yathāsukha’’nti.
เตน โข ปน สมเยน ปุกฺกุสาติ นาม กุลปุโตฺต ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส สทฺธาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ โส ตสฺมิํ กุมฺภการาเวสเน 5 ปฐมํ วาสูปคโต โหติฯ อถ โข ภควา เยนายสฺมา ปุกฺกุสาติ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ ปุกฺกุสาติํ เอตทโวจ – ‘‘สเจ เต, ภิกฺขุ, อครุ วิหเรมุ อาเวสเน เอกรตฺต’’นฺติฯ ‘‘อุรุนฺทํ, อาวุโส 6, กุมฺภการาเวสนํฯ วิหรตายสฺมา ยถาสุข’’นฺติฯ
Tena kho pana samayena pukkusāti nāma kulaputto bhagavantaṃ uddissa saddhāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. So tasmiṃ kumbhakārāvesane 7 paṭhamaṃ vāsūpagato hoti. Atha kho bhagavā yenāyasmā pukkusāti tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ pukkusātiṃ etadavoca – ‘‘sace te, bhikkhu, agaru viharemu āvesane ekaratta’’nti. ‘‘Urundaṃ, āvuso 8, kumbhakārāvesanaṃ. Viharatāyasmā yathāsukha’’nti.
อถ โข ภควา กุมฺภการาเวสนํ ปวิสิตฺวา เอกมนฺตํ ติณสนฺถารกํ 9 ปญฺญาเปตฺวา นิสีทิ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาฯ อถ โข ภควา พหุเทว รตฺติํ นิสชฺชาย วีตินาเมสิฯ อายสฺมาปิ โข ปุกฺกุสาติ พหุเทว รตฺติํ นิสชฺชาย วีตินาเมสิฯ
Atha kho bhagavā kumbhakārāvesanaṃ pavisitvā ekamantaṃ tiṇasanthārakaṃ 10 paññāpetvā nisīdi pallaṅkaṃ ābhujitvā ujuṃ kāyaṃ paṇidhāya parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā. Atha kho bhagavā bahudeva rattiṃ nisajjāya vītināmesi. Āyasmāpi kho pukkusāti bahudeva rattiṃ nisajjāya vītināmesi.
อถ โข ภควโต เอตทโหสิ – ‘‘ปาสาทิกํ โข อยํ กุลปุโตฺต อิริยติฯ ยํนูนาหํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ ปุกฺกุสาติํ เอตทโวจ – ‘‘กํสิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต? โก วา เต สตฺถา? กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสี’’ติ? ‘‘อตฺถาวุโส, สมโณ โคตโม สกฺยปุโตฺต สกฺยกุลา ปพฺพชิโตฯ ตํ โข ปน ภควนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต – ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา’ติ ฯ ตาหํ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโตฯ โส จ เม ภควา สตฺถาฯ ตสฺส จาหํ ภควโต ธมฺมํ โรเจมี’’ติฯ ‘‘กหํ ปน, ภิกฺขุ, เอตรหิ โส ภควา วิหรติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติฯ ‘‘อตฺถาวุโส, อุตฺตเรสุ ชนปเทสุ สาวตฺถิ นาม นครํฯ ตตฺถ โส ภควา เอตรหิ วิหรติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติฯ ‘‘ทิฎฺฐปุโพฺพ ปน เต, ภิกฺขุ, โส ภควา; ทิสฺวา จ ปน ชาเนยฺยาสี’’ติ? ‘‘น โข เม, อาวุโส, ทิฎฺฐปุโพฺพ โส ภควา; ทิสฺวา จาหํ น ชาเนยฺย’’นฺติฯ
Atha kho bhagavato etadahosi – ‘‘pāsādikaṃ kho ayaṃ kulaputto iriyati. Yaṃnūnāhaṃ puccheyya’’nti. Atha kho bhagavā āyasmantaṃ pukkusātiṃ etadavoca – ‘‘kaṃsi tvaṃ, bhikkhu, uddissa pabbajito? Ko vā te satthā? Kassa vā tvaṃ dhammaṃ rocesī’’ti? ‘‘Atthāvuso, samaṇo gotamo sakyaputto sakyakulā pabbajito. Taṃ kho pana bhagavantaṃ gotamaṃ evaṃ kalyāṇo kittisaddo abbhuggato – ‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā’ti . Tāhaṃ bhagavantaṃ uddissa pabbajito. So ca me bhagavā satthā. Tassa cāhaṃ bhagavato dhammaṃ rocemī’’ti. ‘‘Kahaṃ pana, bhikkhu, etarahi so bhagavā viharati arahaṃ sammāsambuddho’’ti. ‘‘Atthāvuso, uttaresu janapadesu sāvatthi nāma nagaraṃ. Tattha so bhagavā etarahi viharati arahaṃ sammāsambuddho’’ti. ‘‘Diṭṭhapubbo pana te, bhikkhu, so bhagavā; disvā ca pana jāneyyāsī’’ti? ‘‘Na kho me, āvuso, diṭṭhapubbo so bhagavā; disvā cāhaṃ na jāneyya’’nti.
อถ โข ภควโต เอตทโหสิ – ‘‘มมญฺจ ขฺวายํ 11 กุลปุโตฺต อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโตฯ ยํนูนสฺสาหํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติฯ อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ ปุกฺกุสาติํ อามเนฺตสิ – ‘‘ธมฺมํ เต, ภิกฺขุ, เทเสสฺสามิฯ ตํ สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ; ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวมาวุโส’’ติ โข อายสฺมา ปุกฺกุสาติ ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ –
Atha kho bhagavato etadahosi – ‘‘mamañca khvāyaṃ 12 kulaputto uddissa pabbajito. Yaṃnūnassāhaṃ dhammaṃ deseyya’’nti. Atha kho bhagavā āyasmantaṃ pukkusātiṃ āmantesi – ‘‘dhammaṃ te, bhikkhu, desessāmi. Taṃ suṇāhi, sādhukaṃ manasi karohi; bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evamāvuso’’ti kho āyasmā pukkusāti bhagavato paccassosi. Bhagavā etadavoca –
๓๔๓. ‘‘‘ฉธาตุโร 13 อยํ, ภิกฺขุ, ปุริโส ฉผสฺสายตโน อฎฺฐารสมโนปวิจาโร จตุราธิฎฺฐาโน; ยตฺถ ฐิตํ มญฺญสฺสวา นปฺปวตฺตนฺติ, มญฺญสฺสเว โข ปน นปฺปวตฺตมาเน มุนิ สโนฺตติ วุจฺจติฯ ปญฺญํ นปฺปมเชฺชยฺย, สจฺจมนุรเกฺขยฺย, จาคมนุพฺรูเหยฺย, สนฺติเมว โส สิเกฺขยฺยา’ติ – อยมุเทฺทโส ธาตุวิภงฺคสฺส 14ฯ
343. ‘‘‘Chadhāturo 15 ayaṃ, bhikkhu, puriso chaphassāyatano aṭṭhārasamanopavicāro caturādhiṭṭhāno; yattha ṭhitaṃ maññassavā nappavattanti, maññassave kho pana nappavattamāne muni santoti vuccati. Paññaṃ nappamajjeyya, saccamanurakkheyya, cāgamanubrūheyya, santimeva so sikkheyyā’ti – ayamuddeso dhātuvibhaṅgassa 16.
๓๔๔. ‘‘‘ฉธาตุโร อยํ, ภิกฺขุ, ปุริโส’ติ – อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? (ฉยิมา, ภิกฺขุ, ธาตุโย) 17 – ปถวีธาตุ, อาโปธาตุ, เตโชธาตุ, วาโยธาตุ, อากาสธาตุ, วิญฺญาณธาตุฯ ‘ฉธาตุโร อยํ, ภิกฺขุ, ปุริโส’ติ – อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ
344. ‘‘‘Chadhāturo ayaṃ, bhikkhu, puriso’ti – iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? (Chayimā, bhikkhu, dhātuyo) 18 – pathavīdhātu, āpodhātu, tejodhātu, vāyodhātu, ākāsadhātu, viññāṇadhātu. ‘Chadhāturo ayaṃ, bhikkhu, puriso’ti – iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vuttaṃ.
๓๔๕. ‘‘‘ฉผสฺสายตโน อยํ, ภิกฺขุ, ปุริโส’ติ – อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? จกฺขุสมฺผสฺสายตนํ, โสตสมฺผสฺสายตนํ, ฆานสมฺผสฺสายตนํ, ชิวฺหาสมฺผสฺสายตนํ, กายสมฺผสฺสายตนํ, มโนสมฺผสฺสายตนํฯ ‘ฉผสฺสายตโน อยํ, ภิกฺขุ, ปุริโส’ติ – อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ
345. ‘‘‘Chaphassāyatano ayaṃ, bhikkhu, puriso’ti – iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? Cakkhusamphassāyatanaṃ, sotasamphassāyatanaṃ, ghānasamphassāyatanaṃ, jivhāsamphassāyatanaṃ, kāyasamphassāyatanaṃ, manosamphassāyatanaṃ. ‘Chaphassāyatano ayaṃ, bhikkhu, puriso’ti – iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vuttaṃ.
๓๔๖. ‘‘‘อฎฺฐารสมโนปวิจาโร อยํ, ภิกฺขุ, ปุริโส’ติ – อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา โสมนสฺสฎฺฐานียํ รูปํ อุปวิจรติ, โทมนสฺสฎฺฐานียํ รูปํ อุปวิจรติ, อุเปกฺขาฎฺฐานียํ รูปํ อุปวิจรติ; โสเตน สทฺทํ สุตฺวา…เป.… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย โสมนสฺสฎฺฐานียํ ธมฺมํ อุปวิจรติ, โทมนสฺสฎฺฐานียํ ธมฺมํ อุปวิจรติ , อุเปกฺขาฎฺฐานียํ ธมฺมํ อุปวิจรติ – อิติ ฉ โสมนสฺสุปวิจารา, ฉ โทมนสฺสุปวิจารา, ฉ อุเปกฺขุปวิจาราฯ ‘อฎฺฐารสมโนปวิจาโร อยํ, ภิกฺขุ, ปุริโส’ติ – อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ
346. ‘‘‘Aṭṭhārasamanopavicāro ayaṃ, bhikkhu, puriso’ti – iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? Cakkhunā rūpaṃ disvā somanassaṭṭhānīyaṃ rūpaṃ upavicarati, domanassaṭṭhānīyaṃ rūpaṃ upavicarati, upekkhāṭṭhānīyaṃ rūpaṃ upavicarati; sotena saddaṃ sutvā…pe… ghānena gandhaṃ ghāyitvā… jivhāya rasaṃ sāyitvā… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā… manasā dhammaṃ viññāya somanassaṭṭhānīyaṃ dhammaṃ upavicarati, domanassaṭṭhānīyaṃ dhammaṃ upavicarati , upekkhāṭṭhānīyaṃ dhammaṃ upavicarati – iti cha somanassupavicārā, cha domanassupavicārā, cha upekkhupavicārā. ‘Aṭṭhārasamanopavicāro ayaṃ, bhikkhu, puriso’ti – iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vuttaṃ.
๓๔๗. ‘‘‘จตุราธิฎฺฐาโน อยํ, ภิกฺขุ, ปุริโส’ติ – อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? ปญฺญาธิฎฺฐาโน, สจฺจาธิฎฺฐาโน, จาคาธิฎฺฐาโน, อุปสมาธิฎฺฐาโนฯ ‘จตุราธิฎฺฐาโน อยํ, ภิกฺขุ, ปุริโส’ติ – อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ
347. ‘‘‘Caturādhiṭṭhāno ayaṃ, bhikkhu, puriso’ti – iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? Paññādhiṭṭhāno, saccādhiṭṭhāno, cāgādhiṭṭhāno, upasamādhiṭṭhāno. ‘Caturādhiṭṭhāno ayaṃ, bhikkhu, puriso’ti – iti yaṃ taṃ vuttaṃ idametaṃ paṭicca vuttaṃ.
๓๔๘. ‘‘‘ปญฺญํ นปฺปมเชฺชยฺย, สจฺจมนุรเกฺขยฺย, จาคมนุพฺรูเหยฺย, สนฺติเมว โส สิเกฺขยฺยา’ติ – อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? กถญฺจ, ภิกฺขุ, ปญฺญํ นปฺปมชฺชติ? ฉยิมา, ภิกฺขุ, ธาตุโย – ปถวีธาตุ, อาโปธาตุ, เตโชธาตุ, วาโยธาตุ, อากาสธาตุ, วิญฺญาณธาตุฯ
348. ‘‘‘Paññaṃ nappamajjeyya, saccamanurakkheyya, cāgamanubrūheyya, santimeva so sikkheyyā’ti – iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? Kathañca, bhikkhu, paññaṃ nappamajjati? Chayimā, bhikkhu, dhātuyo – pathavīdhātu, āpodhātu, tejodhātu, vāyodhātu, ākāsadhātu, viññāṇadhātu.
๓๔๙. ‘‘กตมา จ, ภิกฺขุ, ปถวีธาตุ? ปถวีธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา สิยา พาหิราฯ กตมา จ, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ กกฺขฬํ ขริคตํ อุปาทินฺนํ 19, เสยฺยถิทํ – เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ มํสํ นฺหารุ อฎฺฐิ อฎฺฐิมิญฺชํ 20 วกฺกํ หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปิหกํ ปปฺผาสํ อนฺตํ อนฺตคุณํ อุทริยํ กรีสํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ กกฺขฬํ ขริคตํ อุปาทินฺนํ – อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุฯ ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุ ยา จ พาหิรา ปถวีธาตุ ปถวีธาตุเรเวสา ฯ ‘ตํ เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตา’ติ – เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา ปถวีธาตุยา นิพฺพินฺทติ, ปถวีธาตุยา จิตฺตํ วิราเชติฯ
349. ‘‘Katamā ca, bhikkhu, pathavīdhātu? Pathavīdhātu siyā ajjhattikā siyā bāhirā. Katamā ca, bhikkhu, ajjhattikā pathavīdhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ kakkhaḷaṃ kharigataṃ upādinnaṃ 21, seyyathidaṃ – kesā lomā nakhā dantā taco maṃsaṃ nhāru aṭṭhi aṭṭhimiñjaṃ 22 vakkaṃ hadayaṃ yakanaṃ kilomakaṃ pihakaṃ papphāsaṃ antaṃ antaguṇaṃ udariyaṃ karīsaṃ, yaṃ vā panaññampi kiñci ajjhattaṃ paccattaṃ kakkhaḷaṃ kharigataṃ upādinnaṃ – ayaṃ vuccati, bhikkhu, ajjhattikā pathavīdhātu. Yā ceva kho pana ajjhattikā pathavīdhātu yā ca bāhirā pathavīdhātu pathavīdhāturevesā . ‘Taṃ netaṃ mama nesohamasmi na meso attā’ti – evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā pathavīdhātuyā nibbindati, pathavīdhātuyā cittaṃ virājeti.
๓๕๐. ‘‘กตมา จ, ภิกฺขุ, อาโปธาตุ? อาโปธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา สิยา พาหิราฯ กตมา จ, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺติกา อาโปธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ อาโป อาโปคตํ อุปาทินฺนํ เสยฺยถิทํ – ปิตฺตํ เสมฺหํ ปุโพฺพ โลหิตํ เสโท เมโท อสฺสุ วสา เขโฬ สิงฺฆาณิกา ลสิกา มุตฺตํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ อาโป อาโปคตํ อุปาทินฺนํ – อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺติกา อาโปธาตุฯ ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา อาโปธาตุ ยา จ พาหิรา อาโปธาตุ อาโปธาตุเรเวสาฯ ‘ตํ เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ – เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา อาโปธาตุยา นิพฺพินฺทติ, อาโปธาตุยา จิตฺตํ วิราเชติฯ
350. ‘‘Katamā ca, bhikkhu, āpodhātu? Āpodhātu siyā ajjhattikā siyā bāhirā. Katamā ca, bhikkhu, ajjhattikā āpodhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ āpo āpogataṃ upādinnaṃ seyyathidaṃ – pittaṃ semhaṃ pubbo lohitaṃ sedo medo assu vasā kheḷo siṅghāṇikā lasikā muttaṃ, yaṃ vā panaññampi kiñci ajjhattaṃ paccattaṃ āpo āpogataṃ upādinnaṃ – ayaṃ vuccati, bhikkhu, ajjhattikā āpodhātu. Yā ceva kho pana ajjhattikā āpodhātu yā ca bāhirā āpodhātu āpodhāturevesā. ‘Taṃ netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti – evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā āpodhātuyā nibbindati, āpodhātuyā cittaṃ virājeti.
๓๕๑. ‘‘กตมา จ, ภิกฺขุ, เตโชธาตุ? เตโชธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา สิยา พาหิราฯ กตมา จ, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺติกา เตโชธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ เตโช เตโชคตํ อุปาทินฺนํ, เสยฺยถิทํ – เยน จ สนฺตปฺปติ, เยน จ ชีรียติ, เยน จ ปริฑยฺหติ, เยน จ อสิตปีตขายิตสายิตํ สมฺมา ปริณามํ คจฺฉติ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ เตโช เตโชคตํ อุปาทินฺนํ – อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺติกา เตโชธาตุฯ ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา เตโชธาตุ ยา จ พาหิรา เตโชธาตุ เตโชธาตุเรเวสาฯ ‘ตํ เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ – เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา เตโชธาตุยา นิพฺพินฺทติ, เตโชธาตุยา จิตฺตํ วิราเชติฯ
351. ‘‘Katamā ca, bhikkhu, tejodhātu? Tejodhātu siyā ajjhattikā siyā bāhirā. Katamā ca, bhikkhu, ajjhattikā tejodhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ tejo tejogataṃ upādinnaṃ, seyyathidaṃ – yena ca santappati, yena ca jīrīyati, yena ca pariḍayhati, yena ca asitapītakhāyitasāyitaṃ sammā pariṇāmaṃ gacchati, yaṃ vā panaññampi kiñci ajjhattaṃ paccattaṃ tejo tejogataṃ upādinnaṃ – ayaṃ vuccati, bhikkhu, ajjhattikā tejodhātu. Yā ceva kho pana ajjhattikā tejodhātu yā ca bāhirā tejodhātu tejodhāturevesā. ‘Taṃ netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti – evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā tejodhātuyā nibbindati, tejodhātuyā cittaṃ virājeti.
๓๕๒. ‘‘กตมา จ, ภิกฺขุ, วาโยธาตุ? วาโยธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา สิยา พาหิราฯ กตมา จ, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺติกา วาโยธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ วาโย วาโยคตํ อุปาทินฺนํ, เสยฺยถิทํ – อุทฺธงฺคมา วาตา อโธคมา วาตา กุจฺฉิสยา วาตา โกฎฺฐาสยา 23 วาตา องฺคมงฺคานุสาริโน วาตา อสฺสาโส ปสฺสาโส อิติ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ วาโย วาโยคตํ อุปาทินฺนํ – อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺติกา วาโยธาตุฯ ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา วาโยธาตุ ยา จ พาหิรา วาโยธาตุ วาโยธาตุเรเวสาฯ ‘ตํ เนตํ มม , เนโสหมสฺมิ , น เมโส อตฺตา’ติ – เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา วาโยธาตุยา นิพฺพินฺทติ, วาโยธาตุยา จิตฺตํ วิราเชติฯ
352. ‘‘Katamā ca, bhikkhu, vāyodhātu? Vāyodhātu siyā ajjhattikā siyā bāhirā. Katamā ca, bhikkhu, ajjhattikā vāyodhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ vāyo vāyogataṃ upādinnaṃ, seyyathidaṃ – uddhaṅgamā vātā adhogamā vātā kucchisayā vātā koṭṭhāsayā 24 vātā aṅgamaṅgānusārino vātā assāso passāso iti, yaṃ vā panaññampi kiñci ajjhattaṃ paccattaṃ vāyo vāyogataṃ upādinnaṃ – ayaṃ vuccati, bhikkhu, ajjhattikā vāyodhātu. Yā ceva kho pana ajjhattikā vāyodhātu yā ca bāhirā vāyodhātu vāyodhāturevesā. ‘Taṃ netaṃ mama , nesohamasmi , na meso attā’ti – evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā vāyodhātuyā nibbindati, vāyodhātuyā cittaṃ virājeti.
๓๕๓. ‘‘กตมา จ, ภิกฺขุ, อากาสธาตุ? อากาสธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา สิยา พาหิราฯ กตมา จ, ภิกฺขุ, อชฺฌตฺติกา อากาสธาตุ ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ อากาสํ อากาสคตํ อุปาทินฺนํ, เสยฺยถิทํ – กณฺณจฺฉิทฺทํ นาสจฺฉิทฺทํ มุขทฺวารํ เยน จ อสิตปีตขายิตสายิตํ อโชฺฌหรติ, ยตฺถ จ อสิตปีตขายิตสายิตํ สนฺติฎฺฐติ, เยน จ อสิตปีตขายิตสายิตํ อโธภาคํ 25 นิกฺขมติ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ อากาสํ อากาสคตํ อฆํ อฆคตํ วิวรํ วิวรคตํ อสมฺผุฎฺฐํ มํสโลหิเตหิ อุปาทินฺนํ – อยํ วุจฺจติ ภิกฺขุ อชฺฌตฺติกา อากาสธาตุฯ ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา อากาสธาตุ ยา จ พาหิรา อากาสธาตุ อากาสธาตุเรเวสาฯ ‘ตํ เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ – เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา อากาสธาตุยา นิพฺพินฺทติ, อากาสธาตุยา จิตฺตํ วิราเชติฯ
353. ‘‘Katamā ca, bhikkhu, ākāsadhātu? Ākāsadhātu siyā ajjhattikā siyā bāhirā. Katamā ca, bhikkhu, ajjhattikā ākāsadhātu ? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ ākāsaṃ ākāsagataṃ upādinnaṃ, seyyathidaṃ – kaṇṇacchiddaṃ nāsacchiddaṃ mukhadvāraṃ yena ca asitapītakhāyitasāyitaṃ ajjhoharati, yattha ca asitapītakhāyitasāyitaṃ santiṭṭhati, yena ca asitapītakhāyitasāyitaṃ adhobhāgaṃ 26 nikkhamati, yaṃ vā panaññampi kiñci ajjhattaṃ paccattaṃ ākāsaṃ ākāsagataṃ aghaṃ aghagataṃ vivaraṃ vivaragataṃ asamphuṭṭhaṃ maṃsalohitehi upādinnaṃ – ayaṃ vuccati bhikkhu ajjhattikā ākāsadhātu. Yā ceva kho pana ajjhattikā ākāsadhātu yā ca bāhirā ākāsadhātu ākāsadhāturevesā. ‘Taṃ netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti – evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā ākāsadhātuyā nibbindati, ākāsadhātuyā cittaṃ virājeti.
๓๕๔. ‘‘อถาปรํ วิญฺญาณํเยว อวสิสฺสติ ปริสุทฺธํ ปริโยทาตํฯ เตน จ วิญฺญาเณน กิํ 27 วิชานาติ? ‘สุข’นฺติปิ วิชานาติ, ‘ทุกฺข’นฺติปิ วิชานาติ, ‘อทุกฺขมสุข’นฺติปิ วิชานาติฯ สุขเวทนิยํ, ภิกฺขุ, ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขา เวทนาฯ โส สุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘สุขํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติฯ ‘ตเสฺสว สุขเวทนิยสฺส ผสฺสสฺส นิโรธา ยํ ตชฺชํ เวทยิตํ สุขเวทนิยํ ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนา สุขา เวทนา สา นิรุชฺฌติ, สา วูปสมฺมตี’ติ ปชานาติฯ
354. ‘‘Athāparaṃ viññāṇaṃyeva avasissati parisuddhaṃ pariyodātaṃ. Tena ca viññāṇena kiṃ 28 vijānāti? ‘Sukha’ntipi vijānāti, ‘dukkha’ntipi vijānāti, ‘adukkhamasukha’ntipi vijānāti. Sukhavedaniyaṃ, bhikkhu, phassaṃ paṭicca uppajjati sukhā vedanā. So sukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘sukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti. ‘Tasseva sukhavedaniyassa phassassa nirodhā yaṃ tajjaṃ vedayitaṃ sukhavedaniyaṃ phassaṃ paṭicca uppannā sukhā vedanā sā nirujjhati, sā vūpasammatī’ti pajānāti.
๓๕๕. ‘‘ทุกฺขเวทนิยํ, ภิกฺขุ, ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ ทุกฺขา เวทนาฯ โส ทุกฺขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘ทุกฺขํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติฯ ‘ตเสฺสว ทุกฺขเวทนิยสฺส ผสฺสสฺส นิโรธา ยํ ตชฺชํ เวทยิตํ ทุกฺขเวทนิยํ ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนา ทุกฺขา เวทนา สา นิรุชฺฌติ, สา วูปสมฺมตี’ติ ปชานาติฯ
355. ‘‘Dukkhavedaniyaṃ, bhikkhu, phassaṃ paṭicca uppajjati dukkhā vedanā. So dukkhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘dukkhaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti. ‘Tasseva dukkhavedaniyassa phassassa nirodhā yaṃ tajjaṃ vedayitaṃ dukkhavedaniyaṃ phassaṃ paṭicca uppannā dukkhā vedanā sā nirujjhati, sā vūpasammatī’ti pajānāti.
๓๕๖. ‘‘อทุกฺขมสุขเวทนิยํ, ภิกฺขุ, ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ โส อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติฯ ‘ตเสฺสว อทุกฺขมสุขเวทนิยสฺส ผสฺสสฺส นิโรธา ยํ ตชฺชํ เวทยิตํ อทุกฺขมสุขเวทนิยํ ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนา อทุกฺขมสุขา เวทนา สา นิรุชฺฌติ, สา วูปสมฺมตี’ติ ปชานาติฯ
356. ‘‘Adukkhamasukhavedaniyaṃ, bhikkhu, phassaṃ paṭicca uppajjati adukkhamasukhā vedanā. So adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti. ‘Tasseva adukkhamasukhavedaniyassa phassassa nirodhā yaṃ tajjaṃ vedayitaṃ adukkhamasukhavedaniyaṃ phassaṃ paṭicca uppannā adukkhamasukhā vedanā sā nirujjhati, sā vūpasammatī’ti pajānāti.
๓๕๗. ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขุ, ทฺวินฺนํ กฎฺฐานํ สงฺฆฎฺฎา 29 สโมธานา อุสฺมา ชายติ, เตโช อภินิพฺพตฺตติ, เตสํเยว ทฺวินฺนํ กฎฺฐานํ นานาภาวา วิเกฺขปา ยา ตชฺชา อุสฺมา สา นิรุชฺฌติ, สา วูปสมฺมติ; เอวเมว โข, ภิกฺขุ, สุขเวทนิยํ ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขา เวทนาฯ โส สุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘สุขํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติฯ ‘ตเสฺสว สุขเวทนิยสฺส ผสฺสสฺส นิโรธา ยํ ตชฺชํ เวทยิตํ สุขเวทนิยํ ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนา สุขา เวทนา สา นิรุชฺฌติ, สา วูปสมฺมตี’ติ ปชานาติฯ
357. ‘‘Seyyathāpi, bhikkhu, dvinnaṃ kaṭṭhānaṃ saṅghaṭṭā 30 samodhānā usmā jāyati, tejo abhinibbattati, tesaṃyeva dvinnaṃ kaṭṭhānaṃ nānābhāvā vikkhepā yā tajjā usmā sā nirujjhati, sā vūpasammati; evameva kho, bhikkhu, sukhavedaniyaṃ phassaṃ paṭicca uppajjati sukhā vedanā. So sukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘sukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti. ‘Tasseva sukhavedaniyassa phassassa nirodhā yaṃ tajjaṃ vedayitaṃ sukhavedaniyaṃ phassaṃ paṭicca uppannā sukhā vedanā sā nirujjhati, sā vūpasammatī’ti pajānāti.
๓๕๘. ‘‘ทุกฺขเวทนิยํ, ภิกฺขุ, ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ ทุกฺขา เวทนาฯ โส ทุกฺขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘ทุกฺขํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติฯ ‘ตเสฺสว ทุกฺขเวทนิยสฺส ผสฺสสฺส นิโรธา ยํ ตชฺชํ เวทยิตํ ทุกฺขเวทนิยํ ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนา ทุกฺขา เวทนา สา นิรุชฺฌติ, สา วูปสมฺมตี’ติ ปชานาติฯ
358. ‘‘Dukkhavedaniyaṃ, bhikkhu, phassaṃ paṭicca uppajjati dukkhā vedanā. So dukkhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘dukkhaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti. ‘Tasseva dukkhavedaniyassa phassassa nirodhā yaṃ tajjaṃ vedayitaṃ dukkhavedaniyaṃ phassaṃ paṭicca uppannā dukkhā vedanā sā nirujjhati, sā vūpasammatī’ti pajānāti.
๓๕๙. ‘‘อทุกฺขมสุขเวทนิยํ , ภิกฺขุ, ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ โส อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติฯ ‘ตเสฺสว อทุกฺขมสุขเวทนิยสฺส ผสฺสสฺส นิโรธา ยํ ตชฺชํ เวทยิตํ อทุกฺขมสุขเวทนิยํ ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนา อทุกฺขมสุขา เวทนา สา นิรุชฺฌติ, สา วูปสมฺมตี’ติ ปชานาติฯ
359. ‘‘Adukkhamasukhavedaniyaṃ , bhikkhu, phassaṃ paṭicca uppajjati adukkhamasukhā vedanā. So adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti. ‘Tasseva adukkhamasukhavedaniyassa phassassa nirodhā yaṃ tajjaṃ vedayitaṃ adukkhamasukhavedaniyaṃ phassaṃ paṭicca uppannā adukkhamasukhā vedanā sā nirujjhati, sā vūpasammatī’ti pajānāti.
๓๖๐. ‘‘อถาปรํ อุเปกฺขาเยว อวสิสฺสติ ปริสุทฺธา ปริโยทาตา มุทุ จ กมฺมญฺญา จ ปภสฺสรา จฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขุ, ทโกฺข สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา อุกฺกํ พเนฺธยฺย, อุกฺกํ พนฺธิตฺวา อุกฺกามุขํ อาลิเมฺปยฺย, อุกฺกามุขํ อาลิเมฺปตฺวา สณฺฑาเสน ชาตรูปํ คเหตฺวา อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺย, ตเมนํ กาเลน กาลํ อภิธเมยฺย, กาเลน กาลํ อุทเกน ปริโปฺผเสยฺย, กาเลน กาลํ อชฺฌุเปเกฺขยฺย, ตํ โหติ ชาตรูปํ 31 สุธนฺตํ นิทฺธนฺตํ นีหฎํ 32 นินฺนีตกสาวํ 33 มุทุ จ กมฺมญฺญญฺจ ปภสฺสรญฺจ, ยสฺสา ยสฺสา จ ปิฬนฺธนวิกติยา อากงฺขติ – ยทิ ปฎฺฎิกาย 34 ยทิ กุณฺฑลาย ยทิ คีเวยฺยกาย ยทิ สุวณฺณมาลาย ตญฺจสฺส อตฺถํ อนุโภติ; เอวเมว โข, ภิกฺขุ, อถาปรํ อุเปกฺขาเยว อวสิสฺสติ ปริสุทฺธา ปริโยทาตา มุทุ จ กมฺมญฺญา จ ปภสฺสรา จฯ
360. ‘‘Athāparaṃ upekkhāyeva avasissati parisuddhā pariyodātā mudu ca kammaññā ca pabhassarā ca. Seyyathāpi, bhikkhu, dakkho suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā ukkaṃ bandheyya, ukkaṃ bandhitvā ukkāmukhaṃ ālimpeyya, ukkāmukhaṃ ālimpetvā saṇḍāsena jātarūpaṃ gahetvā ukkāmukhe pakkhipeyya, tamenaṃ kālena kālaṃ abhidhameyya, kālena kālaṃ udakena paripphoseyya, kālena kālaṃ ajjhupekkheyya, taṃ hoti jātarūpaṃ 35 sudhantaṃ niddhantaṃ nīhaṭaṃ 36 ninnītakasāvaṃ 37 mudu ca kammaññañca pabhassarañca, yassā yassā ca piḷandhanavikatiyā ākaṅkhati – yadi paṭṭikāya 38 yadi kuṇḍalāya yadi gīveyyakāya yadi suvaṇṇamālāya tañcassa atthaṃ anubhoti; evameva kho, bhikkhu, athāparaṃ upekkhāyeva avasissati parisuddhā pariyodātā mudu ca kammaññā ca pabhassarā ca.
๓๖๑. ‘‘โส เอวํ ปชานาติ – ‘อิมเญฺจ อหํ อุเปกฺขํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ อากาสานญฺจายตนํ อุปสํหเรยฺยํ, ตทนุธมฺมญฺจ จิตฺตํ ภาเวยฺยํฯ เอวํ เม อยํ อุเปกฺขา ตํนิสฺสิตา ตทุปาทานา จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติเฎฺฐยฺยฯ อิมเญฺจ อหํ อุเปกฺขํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสํหเรยฺยํ, ตทนุธมฺมญฺจ จิตฺตํ ภาเวยฺยํฯ เอวํ เม อยํ อุเปกฺขา ตํนิสฺสิตา ตทุปาทานา จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติเฎฺฐยฺยฯ อิมเญฺจ อหํ อุเปกฺขํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสํหเรยฺยํ, ตทนุธมฺมญฺจ จิตฺตํ ภาเวยฺยํฯ เอวํ เม อยํ อุเปกฺขา ตํนิสฺสิตา ตทุปาทานา จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติเฎฺฐยฺยฯ อิมเญฺจ อหํ อุเปกฺขํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสํหเรยฺยํ, ตทนุธมฺมญฺจ จิตฺตํ ภาเวยฺยํฯ เอวํ เม อยํ อุเปกฺขา ตํนิสฺสิตา ตทุปาทานา จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติเฎฺฐยฺยา’’’ติฯ
361. ‘‘So evaṃ pajānāti – ‘imañce ahaṃ upekkhaṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ ākāsānañcāyatanaṃ upasaṃhareyyaṃ, tadanudhammañca cittaṃ bhāveyyaṃ. Evaṃ me ayaṃ upekkhā taṃnissitā tadupādānā ciraṃ dīghamaddhānaṃ tiṭṭheyya. Imañce ahaṃ upekkhaṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ viññāṇañcāyatanaṃ upasaṃhareyyaṃ, tadanudhammañca cittaṃ bhāveyyaṃ. Evaṃ me ayaṃ upekkhā taṃnissitā tadupādānā ciraṃ dīghamaddhānaṃ tiṭṭheyya. Imañce ahaṃ upekkhaṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ ākiñcaññāyatanaṃ upasaṃhareyyaṃ, tadanudhammañca cittaṃ bhāveyyaṃ. Evaṃ me ayaṃ upekkhā taṃnissitā tadupādānā ciraṃ dīghamaddhānaṃ tiṭṭheyya. Imañce ahaṃ upekkhaṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasaṃhareyyaṃ, tadanudhammañca cittaṃ bhāveyyaṃ. Evaṃ me ayaṃ upekkhā taṃnissitā tadupādānā ciraṃ dīghamaddhānaṃ tiṭṭheyyā’’’ti.
๓๖๒. ‘‘โส เอวํ ปชานาติ – ‘อิมเญฺจ อหํ อุเปกฺขํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ อากาสานญฺจายตนํ อุปสํหเรยฺยํ, ตทนุธมฺมญฺจ จิตฺตํ ภาเวยฺยํ; สงฺขตเมตํฯ อิมเญฺจ อหํ อุเปกฺขํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสํหเรยฺยํ, ตทนุธมฺมญฺจ จิตฺตํ ภาเวยฺยํ; สงฺขตเมตํฯ อิมเญฺจ อหํ อุเปกฺขํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสํหเรยฺยํ, ตทนุธมฺมญฺจ จิตฺตํ ภาเวยฺยํ; สงฺขตเมตํฯ อิมเญฺจ อหํ อุเปกฺขํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสํหเรยฺยํ, ตทนุธมฺมญฺจ จิตฺตํ ภาเวยฺยํ; สงฺขตเมต’’’นฺติฯ
362. ‘‘So evaṃ pajānāti – ‘imañce ahaṃ upekkhaṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ ākāsānañcāyatanaṃ upasaṃhareyyaṃ, tadanudhammañca cittaṃ bhāveyyaṃ; saṅkhatametaṃ. Imañce ahaṃ upekkhaṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ viññāṇañcāyatanaṃ upasaṃhareyyaṃ, tadanudhammañca cittaṃ bhāveyyaṃ; saṅkhatametaṃ. Imañce ahaṃ upekkhaṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ ākiñcaññāyatanaṃ upasaṃhareyyaṃ, tadanudhammañca cittaṃ bhāveyyaṃ; saṅkhatametaṃ. Imañce ahaṃ upekkhaṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasaṃhareyyaṃ, tadanudhammañca cittaṃ bhāveyyaṃ; saṅkhatameta’’’nti.
‘‘โส เนว ตํ อภิสงฺขโรติ, น อภิสเญฺจตยติ ภวาย วา วิภวาย วาฯ โส อนภิสงฺขโรโนฺต อนภิสเญฺจตยโนฺต ภวาย วา วิภวาย วา น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ, อนุปาทิยํ น ปริตสฺสติ, อปริตสฺสํ ปจฺจตฺตํเยว ปรินิพฺพายติฯ ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาติฯ
‘‘So neva taṃ abhisaṅkharoti, na abhisañcetayati bhavāya vā vibhavāya vā. So anabhisaṅkharonto anabhisañcetayanto bhavāya vā vibhavāya vā na kiñci loke upādiyati, anupādiyaṃ na paritassati, aparitassaṃ paccattaṃyeva parinibbāyati. ‘Khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānāti.
๓๖๓. ‘‘โส สุขเญฺจ เวทนํ เวเทติ, ‘สา อนิจฺจา’ติ ปชานาติ, ‘อนโชฺฌสิตา’ติ ปชานาติ, ‘อนภินนฺทิตา’ติ ปชานาติฯ ทุกฺขเญฺจ เวทนํ เวเทติ , ‘สา อนิจฺจา’ติ ปชานาติ, ‘อนโชฺฌสิตา’ติ ปชานาติ, ‘อนภินนฺทิตา’ติ ปชานาติฯ อทุกฺขมสุขเญฺจ เวทนํ เวเทติ, ‘สา อนิจฺจา’ติ ปชานาติ, ‘อนโชฺฌสิตา’ติ ปชานาติ, ‘อนภินนฺทิตา’ติ ปชานาติฯ
363. ‘‘So sukhañce vedanaṃ vedeti, ‘sā aniccā’ti pajānāti, ‘anajjhositā’ti pajānāti, ‘anabhinanditā’ti pajānāti. Dukkhañce vedanaṃ vedeti , ‘sā aniccā’ti pajānāti, ‘anajjhositā’ti pajānāti, ‘anabhinanditā’ti pajānāti. Adukkhamasukhañce vedanaṃ vedeti, ‘sā aniccā’ti pajānāti, ‘anajjhositā’ti pajānāti, ‘anabhinanditā’ti pajānāti.
๓๖๔. ‘‘โส สุขเญฺจ เวทนํ เวเทติ, วิสํยุโตฺต นํ เวเทติ; ทุกฺขเญฺจ เวทนํ เวเทติ, วิสํยุโตฺต นํ เวเทติ; อทุกฺขมสุขเญฺจ เวทนํ เวเทติ, วิสํยุโตฺต นํ เวเทติฯ โส กายปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยมาโน ‘กายปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติ, ชีวิตปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยมาโน ‘ชีวิตปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติ, ‘กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา อิเธว สพฺพเวทยิตานิ อนภินนฺทิตานิ สีตีภวิสฺสนฺตี’ติ ปชานาติฯ
364. ‘‘So sukhañce vedanaṃ vedeti, visaṃyutto naṃ vedeti; dukkhañce vedanaṃ vedeti, visaṃyutto naṃ vedeti; adukkhamasukhañce vedanaṃ vedeti, visaṃyutto naṃ vedeti. So kāyapariyantikaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘kāyapariyantikaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti, jīvitapariyantikaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘jīvitapariyantikaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti, ‘kāyassa bhedā paraṃ maraṇā uddhaṃ jīvitapariyādānā idheva sabbavedayitāni anabhinanditāni sītībhavissantī’ti pajānāti.
๓๖๕. ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขุ, เตลญฺจ ปฎิจฺจ วฎฺฎิญฺจ ปฎิจฺจ เตลปฺปทีโป ฌายติ; ตเสฺสว เตลสฺส จ วฎฺฎิยา จ ปริยาทานา อญฺญสฺส จ อนุปหารา 39 อนาหาโร นิพฺพายติ; เอวเมว โข, ภิกฺขุ, กายปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยมาโน ‘กายปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติ, ชีวิตปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยมาโน ‘ชีวิตปริยนฺติกํ เวทนํ เวทยามี’ติ ปชานาติ, ‘กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา อิเธว สพฺพเวทยิตานิ อนภินนฺทิตานิ สีตีภวิสฺสนฺตี’ติ ปชานาติฯ ตสฺมา เอวํ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อิมินา ปรเมน ปญฺญาธิฎฺฐาเนน สมนฺนาคโต โหติฯ เอสา หิ, ภิกฺขุ, ปรมา อริยา ปญฺญา ยทิทํ – สพฺพทุกฺขกฺขเย ญาณํฯ
365. ‘‘Seyyathāpi, bhikkhu, telañca paṭicca vaṭṭiñca paṭicca telappadīpo jhāyati; tasseva telassa ca vaṭṭiyā ca pariyādānā aññassa ca anupahārā 40 anāhāro nibbāyati; evameva kho, bhikkhu, kāyapariyantikaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘kāyapariyantikaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti, jīvitapariyantikaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘jīvitapariyantikaṃ vedanaṃ vedayāmī’ti pajānāti, ‘kāyassa bhedā paraṃ maraṇā uddhaṃ jīvitapariyādānā idheva sabbavedayitāni anabhinanditāni sītībhavissantī’ti pajānāti. Tasmā evaṃ samannāgato bhikkhu iminā paramena paññādhiṭṭhānena samannāgato hoti. Esā hi, bhikkhu, paramā ariyā paññā yadidaṃ – sabbadukkhakkhaye ñāṇaṃ.
๓๖๖. ‘‘ตสฺส สา วิมุตฺติ สเจฺจ ฐิตา อกุปฺปา โหติฯ ตญฺหิ, ภิกฺขุ, มุสา ยํ โมสธมฺมํ, ตํ สจฺจํ ยํ อโมสธมฺมํ นิพฺพานํฯ ตสฺมา เอวํ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อิมินา ปรเมน สจฺจาธิฎฺฐาเนน สมนฺนาคโต โหติฯ เอตญฺหิ, ภิกฺขุ, ปรมํ อริยสจฺจํ ยทิทํ – อโมสธมฺมํ นิพฺพานํฯ
366. ‘‘Tassa sā vimutti sacce ṭhitā akuppā hoti. Tañhi, bhikkhu, musā yaṃ mosadhammaṃ, taṃ saccaṃ yaṃ amosadhammaṃ nibbānaṃ. Tasmā evaṃ samannāgato bhikkhu iminā paramena saccādhiṭṭhānena samannāgato hoti. Etañhi, bhikkhu, paramaṃ ariyasaccaṃ yadidaṃ – amosadhammaṃ nibbānaṃ.
๓๖๗. ‘‘ตเสฺสว โข ปน ปุเพฺพ อวิทฺทสุโน อุปธี โหนฺติ สมตฺตา สมาทินฺนาฯ ตฺยาสฺส ปหีนา โหนฺติ อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวํกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาฯ ตสฺมา เอวํ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อิมินา ปรเมน จาคาธิฎฺฐาเนน สมนฺนาคโต โหติฯ เอโส หิ, ภิกฺขุ, ปรโม อริโย จาโค ยทิทํ – สพฺพูปธิปฎินิสฺสโคฺคฯ
367. ‘‘Tasseva kho pana pubbe aviddasuno upadhī honti samattā samādinnā. Tyāssa pahīnā honti ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṃkatā āyatiṃ anuppādadhammā. Tasmā evaṃ samannāgato bhikkhu iminā paramena cāgādhiṭṭhānena samannāgato hoti. Eso hi, bhikkhu, paramo ariyo cāgo yadidaṃ – sabbūpadhipaṭinissaggo.
๓๖๘. ‘‘ตเสฺสว โข ปน ปุเพฺพ อวิทฺทสุโน อภิชฺฌา โหติ ฉโนฺท สาราโคฯ สฺวาสฺส ปหีโน โหติ อุจฺฉินฺนมูโล ตาลาวตฺถุกโต อนภาวํกโต อายติํ อนุปฺปาทธโมฺมฯ ตเสฺสว โข ปน ปุเพฺพ อวิทฺทสุโน อาฆาโต โหติ พฺยาปาโท สมฺปโทโสฯ สฺวาสฺส ปหีโน โหติ อุจฺฉินฺนมูโล ตาลาวตฺถุกโต อนภาวํกโต อายติํ อนุปฺปาทธโมฺมฯ ตเสฺสว โข ปน ปุเพฺพ อวิทฺทสุโน อวิชฺชา โหติ สโมฺมโหฯ สฺวาสฺส ปหีโน โหติ อุจฺฉินฺนมูโล ตาลาวตฺถุกโต อนภาวํกโต อายติํ อนุปฺปาทธโมฺมฯ ตสฺมา เอวํ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อิมินา ปรเมน อุปสมาธิฎฺฐาเนน สมนฺนาคโต โหติฯ เอโส หิ, ภิกฺขุ, ปรโม อริโย อุปสโม ยทิทํ – ราคโทสโมหานํ อุปสโมฯ ‘ปญฺญํ นปฺปมเชฺชยฺย, สจฺจมนุรเกฺขยฺย, จาคมนุพฺรูเหยฺย, สนฺติเมว โส สิเกฺขยฺยา’ติ – อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ
368. ‘‘Tasseva kho pana pubbe aviddasuno abhijjhā hoti chando sārāgo. Svāssa pahīno hoti ucchinnamūlo tālāvatthukato anabhāvaṃkato āyatiṃ anuppādadhammo. Tasseva kho pana pubbe aviddasuno āghāto hoti byāpādo sampadoso. Svāssa pahīno hoti ucchinnamūlo tālāvatthukato anabhāvaṃkato āyatiṃ anuppādadhammo. Tasseva kho pana pubbe aviddasuno avijjā hoti sammoho. Svāssa pahīno hoti ucchinnamūlo tālāvatthukato anabhāvaṃkato āyatiṃ anuppādadhammo. Tasmā evaṃ samannāgato bhikkhu iminā paramena upasamādhiṭṭhānena samannāgato hoti. Eso hi, bhikkhu, paramo ariyo upasamo yadidaṃ – rāgadosamohānaṃ upasamo. ‘Paññaṃ nappamajjeyya, saccamanurakkheyya, cāgamanubrūheyya, santimeva so sikkheyyā’ti – iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vuttaṃ.
๓๖๙. ‘‘‘ยตฺถ ฐิตํ มญฺญสฺสวา นปฺปวตฺตนฺติ, มญฺญสฺสเว โข ปน นปฺปวตฺตมาเน มุนิ สโนฺตติ วุจฺจตี’ติ – อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? ‘อสฺมี’ติ, ภิกฺขุ, มญฺญิตเมตํ, ‘อยมหมสฺมี’ติ มญฺญิตเมตํ, ‘ภวิสฺส’นฺติ มญฺญิตเมตํ, ‘น ภวิสฺส’นฺติ มญฺญิตเมตํ, ‘รูปี ภวิสฺส’นฺติ มญฺญิตเมตํ, ‘อรูปี ภวิสฺส’นฺติ มญฺญิตเมตํ, ‘สญฺญี ภวิสฺส’นฺติ มญฺญิตเมตํ, ‘อสญฺญี ภวิสฺส’นฺติ มญฺญิตเมตํ, ‘เนวสญฺญีนาสญฺญี ภวิสฺส’นฺติ มญฺญิตเมตํฯ มญฺญิตํ, ภิกฺขุ, โรโค มญฺญิตํ คโณฺฑ มญฺญิตํ สลฺลํฯ สพฺพมญฺญิตานํ เตฺวว, ภิกฺขุ, สมติกฺกมา มุนิ สโนฺตติ วุจฺจติฯ มุนิ โข ปน, ภิกฺขุ, สโนฺต น ชายติ, น ชียติ, น มียติ, น กุปฺปติ, น ปิเหติฯ ตญฺหิสฺส, ภิกฺขุ, นตฺถิ เยน ชาเยถ, อชายมาโน กิํ ชียิสฺสติ, อชียมาโน กิํ มียิสฺสติ, อมียมาโน กิํ กุปฺปิสฺสติ, อกุปฺปมาโน กิสฺส 41 ปิเหสฺสติ? ‘ยตฺถ ฐิตํ มญฺญสฺสวา นปฺปวตฺตนฺติ, มญฺญสฺสเว โข ปน นปฺปวตฺตมาเน มุนิ สโนฺตติ วุจฺจตี’ติ – อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ อิมํ โข เม ตฺวํ, ภิกฺขุ, สํขิเตฺตน ฉธาตุวิภงฺคํ ธาเรหี’’ติฯ
369. ‘‘‘Yattha ṭhitaṃ maññassavā nappavattanti, maññassave kho pana nappavattamāne muni santoti vuccatī’ti – iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? ‘Asmī’ti, bhikkhu, maññitametaṃ, ‘ayamahamasmī’ti maññitametaṃ, ‘bhavissa’nti maññitametaṃ, ‘na bhavissa’nti maññitametaṃ, ‘rūpī bhavissa’nti maññitametaṃ, ‘arūpī bhavissa’nti maññitametaṃ, ‘saññī bhavissa’nti maññitametaṃ, ‘asaññī bhavissa’nti maññitametaṃ, ‘nevasaññīnāsaññī bhavissa’nti maññitametaṃ. Maññitaṃ, bhikkhu, rogo maññitaṃ gaṇḍo maññitaṃ sallaṃ. Sabbamaññitānaṃ tveva, bhikkhu, samatikkamā muni santoti vuccati. Muni kho pana, bhikkhu, santo na jāyati, na jīyati, na mīyati, na kuppati, na piheti. Tañhissa, bhikkhu, natthi yena jāyetha, ajāyamāno kiṃ jīyissati, ajīyamāno kiṃ mīyissati, amīyamāno kiṃ kuppissati, akuppamāno kissa 42 pihessati? ‘Yattha ṭhitaṃ maññassavā nappavattanti, maññassave kho pana nappavattamāne muni santoti vuccatī’ti – iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vuttaṃ. Imaṃ kho me tvaṃ, bhikkhu, saṃkhittena chadhātuvibhaṅgaṃ dhārehī’’ti.
๓๗๐. อถ โข อายสฺมา ปุกฺกุสาติ – ‘‘สตฺถา กิร เม อนุปฺปโตฺต, สุคโต กิร เม อนุปฺปโตฺต สมฺมาสมฺพุโทฺธ กิร เม อนุปฺปโตฺต’’ติ อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา ภควโต ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อจฺจโย มํ, ภเนฺต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โยหํ ภควนฺตํ อาวุโสวาเทน สมุทาจริตพฺพํ อมญฺญิสฺสํฯ ตสฺส เม, ภเนฺต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฎิคฺคณฺหาตุ อายติํ สํวรายา’’ติฯ ‘‘ตคฺฆ ตฺวํ, ภิกฺขุ, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ , ยํ มํ ตฺวํ อาวุโสวาเทน สมุทาจริตพฺพํ อมญฺญิตฺถฯ ยโต จ โข ตฺวํ, ภิกฺขุ, อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรสิ, ตํ เต มยํ ปฎิคฺคณฺหามฯ วุทฺธิเหสา, ภิกฺขุ, อริยสฺส วินเย โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรติ, อายติํ สํวรํ อาปชฺชตี’’ติฯ ‘‘ลเภยฺยาหํ, ภเนฺต, ภควโต สนฺติเก อุปสมฺปท’’นฺติฯ ‘‘ปริปุณฺณํ ปน เต, ภิกฺขุ, ปตฺตจีวร’’นฺติ? ‘‘น โข เม, ภเนฺต, ปริปุณฺณํ ปตฺตจีวร’’นฺติฯ ‘‘น โข, ภิกฺขุ, ตถาคตา อปริปุณฺณปตฺตจีวรํ อุปสมฺปาเทนฺตี’’ติฯ
370. Atha kho āyasmā pukkusāti – ‘‘satthā kira me anuppatto, sugato kira me anuppatto sammāsambuddho kira me anuppatto’’ti uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ cīvaraṃ katvā bhagavato pādesu sirasā nipatitvā bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘accayo maṃ, bhante, accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ, yohaṃ bhagavantaṃ āvusovādena samudācaritabbaṃ amaññissaṃ. Tassa me, bhante, bhagavā accayaṃ accayato paṭiggaṇhātu āyatiṃ saṃvarāyā’’ti. ‘‘Taggha tvaṃ, bhikkhu, accayo accagamā yathābālaṃ yathāmūḷhaṃ yathāakusalaṃ , yaṃ maṃ tvaṃ āvusovādena samudācaritabbaṃ amaññittha. Yato ca kho tvaṃ, bhikkhu, accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikarosi, taṃ te mayaṃ paṭiggaṇhāma. Vuddhihesā, bhikkhu, ariyassa vinaye yo accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikaroti, āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjatī’’ti. ‘‘Labheyyāhaṃ, bhante, bhagavato santike upasampada’’nti. ‘‘Paripuṇṇaṃ pana te, bhikkhu, pattacīvara’’nti? ‘‘Na kho me, bhante, paripuṇṇaṃ pattacīvara’’nti. ‘‘Na kho, bhikkhu, tathāgatā aparipuṇṇapattacīvaraṃ upasampādentī’’ti.
อถ โข อายสฺมา ปุกฺกุสาติ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปตฺตจีวรปริเยสนํ ปกฺกามิฯ อถ โข อายสฺมนฺตํ ปุกฺกุสาติํ ปตฺตจีวรปริเยสนํ จรนฺตํ วิพฺภนฺตา คาวี 43 ชีวิตา โวโรเปสิฯ อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ – ‘‘โย โส, ภเนฺต, ปุกฺกุสาติ นาม กุลปุโตฺต ภควตา สํขิเตฺตน โอวาเทน โอวทิโต โส กาลงฺกโตฯ ตสฺส กา คติ, โก อภิสมฺปราโย’’ติ? ‘‘ปณฺฑิโต, ภิกฺขเว, ปุกฺกุสาติ กุลปุโตฺต ปจฺจปาทิ ธมฺมสฺสานุธมฺมํ, น จ มํ ธมฺมาธิกรณํ วิเหเสสิ 44ฯ ปุกฺกุสาติ, ภิกฺขเว, กุลปุโตฺต ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก ตตฺถ ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธโมฺม ตสฺมา โลกา’’ติฯ
Atha kho āyasmā pukkusāti bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pattacīvarapariyesanaṃ pakkāmi. Atha kho āyasmantaṃ pukkusātiṃ pattacīvarapariyesanaṃ carantaṃ vibbhantā gāvī 45 jīvitā voropesi. Atha kho sambahulā bhikkhū yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Ekamantaṃ nisinnā kho te bhikkhū bhagavantaṃ etadavocuṃ – ‘‘yo so, bhante, pukkusāti nāma kulaputto bhagavatā saṃkhittena ovādena ovadito so kālaṅkato. Tassa kā gati, ko abhisamparāyo’’ti? ‘‘Paṇḍito, bhikkhave, pukkusāti kulaputto paccapādi dhammassānudhammaṃ, na ca maṃ dhammādhikaraṇaṃ vihesesi 46. Pukkusāti, bhikkhave, kulaputto pañcannaṃ orambhāgiyānaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā opapātiko tattha parinibbāyī anāvattidhammo tasmā lokā’’ti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti.
ธาตุวิภงฺคสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทสมํฯ
Dhātuvibhaṅgasuttaṃ niṭṭhitaṃ dasamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. ธาตุวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา • 10. Dhātuvibhaṅgasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. ธาตุวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา • 10. Dhātuvibhaṅgasuttavaṇṇanā