Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๑๐. ธาตุวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา

    10. Dhātuvibhaṅgasuttavaṇṇanā

    ๓๔๒. เอวํ เม สุตนฺติ ธาตุวิภงฺคสุตฺตํฯ ตตฺถ จาริกนฺติ ตุริตคมนจาริกํฯ สเจ เต ภคฺคว อครูติ สเจ ตุยฺหํ ภาริยํ อผาสุกํ กิญฺจิ นตฺถิฯ สเจ โส อนุชานาตีติ ภคฺควสฺส กิร เอตทโหสิ – ‘‘ปพฺพชิตา นาม นานาอชฺฌาสยา, เอโก คณาภิรโต โหติ, เอโก เอกาภิรโตฯ สเจ โส เอกาภิรโต ภวิสฺสติ, ‘อาวุโส, มา ปาวิสิ, มยา สาลา ลทฺธา’ติ วกฺขติฯ สเจ อยํ เอกาภิรโต ภวิสฺสติ, ‘อาวุโส, นิกฺขม, มยา สาลา ลทฺธา’ติ วกฺขติฯ เอวํ สเนฺต อหํ อุภินฺนํ วิวาทกาเรตา นาม ภวิสฺสามิ, ทินฺนํ นาม ทินฺนเมว วฎฺฎติ, กตํ กตเมวา’’ติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ

    342.Evaṃme sutanti dhātuvibhaṅgasuttaṃ. Tattha cārikanti turitagamanacārikaṃ. Sace te bhaggava agarūti sace tuyhaṃ bhāriyaṃ aphāsukaṃ kiñci natthi. Sace so anujānātīti bhaggavassa kira etadahosi – ‘‘pabbajitā nāma nānāajjhāsayā, eko gaṇābhirato hoti, eko ekābhirato. Sace so ekābhirato bhavissati, ‘āvuso, mā pāvisi, mayā sālā laddhā’ti vakkhati. Sace ayaṃ ekābhirato bhavissati, ‘āvuso, nikkhama, mayā sālā laddhā’ti vakkhati. Evaṃ sante ahaṃ ubhinnaṃ vivādakāretā nāma bhavissāmi, dinnaṃ nāma dinnameva vaṭṭati, kataṃ katamevā’’ti. Tasmā evamāha.

    กุลปุโตฺตติ ชาติกุลปุโตฺตปิ อาจารกุลปุโตฺตปิฯ วาสูปคโตติ วาสํ อุปคโตฯ กุโต อาคนฺตฺวาติ? ตกฺกสีลนครโตฯ

    Kulaputtoti jātikulaputtopi ācārakulaputtopi. Vāsūpagatoti vāsaṃ upagato. Kuto āgantvāti? Takkasīlanagarato.

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – มชฺฌิมปฺปเทเส กิร ราชคหนคเร พิมฺพิสาเร รชฺชํ กาเรเนฺต ปจฺจเนฺต ตกฺกสีลนคเร ปุกฺกุสาติ ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ อถ ตกฺกสีลโต ภณฺฑํ คเหตฺวา วาณิชา ราชคหํ อาคตา ปณฺณาการํ คเหตฺวา ราชานํ อทฺทสํสุฯ ราชา เต วนฺทิตฺวา ฐิเต ‘‘กตฺถวาสิโน ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ ตกฺกสีลวาสิโน เทวาติฯ อถ เน ราชา ชนปทสฺส เขมสุภิกฺขตาทีนิ นครสฺส จ ปวตฺติํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘โก นาม ตุมฺหากํ ราชา’’ติ ปุจฺฉิฯ ปุกฺกุสาติ นาม เทวาติฯ ธมฺมิโกติ? อาม เทว ธมฺมิโกฯ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ชนํ สงฺคณฺหาติ, โลกสฺส มาตาปิติฎฺฐาเน ฐิโต, อเงฺค นิปนฺนทารกํ วิย ชนํ โตเสตีติฯ กตรสฺมิํ วเย วตฺตตีติ? อถสฺส วยํ อาจิกฺขิํสุฯ วเยสุปิ พิมฺพิสาเรน สมวโย ชาโตฯ อถ เต ราชา อาห – ‘‘ตาตา ตุมฺหากํ ราชา ธมฺมิโก, วเยน จ เม สมาโน, สกฺกุเณยฺยาถ ตุมฺหากํ ราชานํ มม มิตฺตํ กาตุ’’นฺติฯ สโกฺกม เทวาติฯ ราชา เตสํ สุงฺกํ วิสฺสเชฺชตฺวา เคหญฺจ ทาเปตฺวา – ‘‘คจฺฉถ ภณฺฑํ วิกฺกิณิตฺวา คมนกาเล มํ ทิสฺวา คเจฺฉยฺยาถา’’ติ อาหฯ เต ตถา กตฺวา คมนกาเล ราชานํ อทฺทสํสุฯ ‘‘คจฺฉถ ตุมฺหากํ ราชานํ มม วจเนน ปุนปฺปุนํ อาโรคฺยํ ปุจฺฉิตฺวา ‘ราชา ตุเมฺหหิ สทฺธิํ มิตฺตภาวํ อิจฺฉตี’ติ วทถา’’ติ อาหฯ

    Tatrāyaṃ anupubbikathā – majjhimappadese kira rājagahanagare bimbisāre rajjaṃ kārente paccante takkasīlanagare pukkusāti rājā rajjaṃ kāresi. Atha takkasīlato bhaṇḍaṃ gahetvā vāṇijā rājagahaṃ āgatā paṇṇākāraṃ gahetvā rājānaṃ addasaṃsu. Rājā te vanditvā ṭhite ‘‘katthavāsino tumhe’’ti pucchi. Takkasīlavāsino devāti. Atha ne rājā janapadassa khemasubhikkhatādīni nagarassa ca pavattiṃ pucchitvā ‘‘ko nāma tumhākaṃ rājā’’ti pucchi. Pukkusāti nāma devāti. Dhammikoti? Āma deva dhammiko. Catūhi saṅgahavatthūhi janaṃ saṅgaṇhāti, lokassa mātāpitiṭṭhāne ṭhito, aṅge nipannadārakaṃ viya janaṃ tosetīti. Katarasmiṃ vaye vattatīti? Athassa vayaṃ ācikkhiṃsu. Vayesupi bimbisārena samavayo jāto. Atha te rājā āha – ‘‘tātā tumhākaṃ rājā dhammiko, vayena ca me samāno, sakkuṇeyyātha tumhākaṃ rājānaṃ mama mittaṃ kātu’’nti. Sakkoma devāti. Rājā tesaṃ suṅkaṃ vissajjetvā gehañca dāpetvā – ‘‘gacchatha bhaṇḍaṃ vikkiṇitvā gamanakāle maṃ disvā gaccheyyāthā’’ti āha. Te tathā katvā gamanakāle rājānaṃ addasaṃsu. ‘‘Gacchatha tumhākaṃ rājānaṃ mama vacanena punappunaṃ ārogyaṃ pucchitvā ‘rājā tumhehi saddhiṃ mittabhāvaṃ icchatī’ti vadathā’’ti āha.

    เต สาธูติ ปฎิสฺสุณิตฺวา คนฺตฺวา ภณฺฑํ ปฎิสาเมตฺวา ภุตฺตปาตราสา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิํสุฯ ราชา ‘‘กหํ ภเณ ตุเมฺห เอตฺตเก อิเม ทิวเส น ทิสฺสถา’’ติ ปุจฺฉิฯ เต สพฺพํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ ราชา – ‘‘สาธุ, ตาตา, ตุเมฺห นิสฺสาย มยา มชฺฌิมปฺปเทเส ราชา มิโตฺต ลโทฺธ’’ติ อตฺตมโน อโหสิฯ อปรภาเค ราชคหวาสิโนปิ วาณิชา ตกฺกสีลํ อคมํสุฯ เต ปณฺณาการํ คเหตฺวา อาคเต ปุกฺกุสาติ ราชา ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ราชคหโต’’ติ สุตฺวา ‘‘มยฺหํ สหายสฺส นครโต อาคตา ตุเมฺห’’ติฯ อาม เทวาติฯ อาโรคฺยํ เม สหายสฺสาติ อาโรคฺยํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อชฺช ปฎฺฐาย เย มยฺหํ สหายสฺส นครโต ชงฺฆสเตฺถน วา สกฎสเตฺถน วา วาณิชา อาคจฺฉนฺติ, สเพฺพสํ มม วิสยํ ปวิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย วสนเคหานิ, ราชโกฎฺฐาคารโต นิวาปญฺจ เทนฺตุ, สุงฺกํ วิสฺสเชฺชนฺตุ, กิญฺจิ อุปทฺทวํ มา กโรนฺตู’’ติ เภริํ จราเปสิฯ พิมฺพิสาโรปิ อตฺตโน นคเร ตเถว เภริํ จราเปสิฯ

    Te sādhūti paṭissuṇitvā gantvā bhaṇḍaṃ paṭisāmetvā bhuttapātarāsā rājānaṃ upasaṅkamitvā vandiṃsu. Rājā ‘‘kahaṃ bhaṇe tumhe ettake ime divase na dissathā’’ti pucchi. Te sabbaṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Rājā – ‘‘sādhu, tātā, tumhe nissāya mayā majjhimappadese rājā mitto laddho’’ti attamano ahosi. Aparabhāge rājagahavāsinopi vāṇijā takkasīlaṃ agamaṃsu. Te paṇṇākāraṃ gahetvā āgate pukkusāti rājā ‘‘kuto āgatatthā’’ti pucchitvā ‘‘rājagahato’’ti sutvā ‘‘mayhaṃ sahāyassa nagarato āgatā tumhe’’ti. Āma devāti. Ārogyaṃ me sahāyassāti ārogyaṃ pucchitvā ‘‘ajja paṭṭhāya ye mayhaṃ sahāyassa nagarato jaṅghasatthena vā sakaṭasatthena vā vāṇijā āgacchanti, sabbesaṃ mama visayaṃ paviṭṭhakālato paṭṭhāya vasanagehāni, rājakoṭṭhāgārato nivāpañca dentu, suṅkaṃ vissajjentu, kiñci upaddavaṃ mā karontū’’ti bheriṃ carāpesi. Bimbisāropi attano nagare tatheva bheriṃ carāpesi.

    อถ พิมฺพิสาโร ปุกฺกุสาติสฺส ปณฺณํ ปหิณิ – ‘‘ปจฺจนฺตเทเส นาม มณิมุตฺตาทีนิ รตนานิ อุปฺปชฺชนฺติ, ยํ มยฺหํ สหายสฺส รเชฺช ทสฺสนียํ วา สวนียํ วา รตนํ อุปฺปชฺชติ, ตตฺถ เม มา มจฺฉรายตู’’ติฯ ปุกฺกุสาติปิ – ‘‘มชฺฌิมเทโส นาม มหาชนปโท, ยํ ตตฺถ เอวรูปํ รตนํ อุปฺปชฺชติ, ตตฺถ เม สหาโย มา มจฺฉรายตู’’ติ ปฎิปณฺณํ ปหิณิฯ เอวํ เต คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล อญฺญมญฺญํ อทิสฺวาปิ ทฬฺหมิตฺตา อเหสุํฯ

    Atha bimbisāro pukkusātissa paṇṇaṃ pahiṇi – ‘‘paccantadese nāma maṇimuttādīni ratanāni uppajjanti, yaṃ mayhaṃ sahāyassa rajje dassanīyaṃ vā savanīyaṃ vā ratanaṃ uppajjati, tattha me mā maccharāyatū’’ti. Pukkusātipi – ‘‘majjhimadeso nāma mahājanapado, yaṃ tattha evarūpaṃ ratanaṃ uppajjati, tattha me sahāyo mā maccharāyatū’’ti paṭipaṇṇaṃ pahiṇi. Evaṃ te gacchante gacchante kāle aññamaññaṃ adisvāpi daḷhamittā ahesuṃ.

    เอวํ เตสํ กติกํ กตฺวา วสนฺตานํ ปฐมตรํ ปุกฺกุสาติสฺส ปณฺณากาโร อุปฺปชฺชิฯ ราชา กิร อฎฺฐ ปญฺจวเณฺณ อนคฺฆกมฺพเล ลภิฯ โส – ‘‘อติสุนฺทรา อิเม กมฺพลา, อหํ สหายสฺส เปสิสฺสามี’’ติ ลาขาคุฬมเตฺต อฎฺฐ สารกรณฺฑเก ลิขาเปตฺวา เตสุ เต กมฺพเล ปกฺขิปิตฺวา ลาขาย วฎฺฎาเปตฺวา เสตวเตฺถน เวเฐตฺวา สมุเคฺค ปกฺขิปิตฺวา วเตฺถน เวเฐตฺวา ราชมุทฺทิกาย ลเญฺฉตฺวา ‘‘มยฺหํ สหายสฺส เทถา’’ติ อมเจฺจ เปเสสิฯ สาสนญฺจ อทาสิ – ‘‘อยํ ปณฺณากาโร นครมเชฺฌ อมจฺจาทิปริวุเตน ทฎฺฐโพฺพ’’ติฯ เต คนฺตฺวา พิมฺพิสารสฺส อทํสุฯ

    Evaṃ tesaṃ katikaṃ katvā vasantānaṃ paṭhamataraṃ pukkusātissa paṇṇākāro uppajji. Rājā kira aṭṭha pañcavaṇṇe anagghakambale labhi. So – ‘‘atisundarā ime kambalā, ahaṃ sahāyassa pesissāmī’’ti lākhāguḷamatte aṭṭha sārakaraṇḍake likhāpetvā tesu te kambale pakkhipitvā lākhāya vaṭṭāpetvā setavatthena veṭhetvā samugge pakkhipitvā vatthena veṭhetvā rājamuddikāya lañchetvā ‘‘mayhaṃ sahāyassa dethā’’ti amacce pesesi. Sāsanañca adāsi – ‘‘ayaṃ paṇṇākāro nagaramajjhe amaccādiparivutena daṭṭhabbo’’ti. Te gantvā bimbisārassa adaṃsu.

    โส สาสนํ สุตฺวา อมจฺจาทโย สนฺนิปตนฺตูติ เภริํ จราเปตฺวา นครมเชฺฌ อมจฺจาทิปริวุโต เสตจฺฉเตฺตน ธาริยมาเนน ปลฺลงฺกวเร นิสิโนฺน ลญฺฉนํ ภินฺทิตฺวา วตฺถํ อปเนตฺวา สมุคฺคํ วิวริตฺวา อโนฺต ภณฺฑิกํ มุญฺจิตฺวา ลาขาคุเฬ ทิสฺวา ‘‘มยฺหํ สหาโย ปุกฺกุสาติ ‘ชุตวิตฺตโก เม สหาโย’ติ มญฺญมาโน มเญฺญ อิมํ ปณฺณาการํ ปหิณี’’ติ เอกํ คุฬํ คเหตฺวา หเตฺถน วเฎฺฎตฺวา ตุลยโนฺตว อโนฺต ทุสฺสภณฺฑิกํ อตฺถีติ อญฺญาสิฯ อถ นํ ปลฺลงฺกปาเท ปหริตฺวา ตาวเทว ลาขา ปริปติ, โส นเขน กรณฺฑกํ วิวริตฺวา อโนฺต กมฺพลรตนํ ทิสฺวา อิตเรปิ วิวราเปสิ, สเพฺพปิ กมฺพลา อเหสุํฯ อถ เน ปตฺถราเปสิ, เต วณฺณสมฺปนฺนา ผสฺสสมฺปนฺนา ทีฆโต โสฬสหตฺถา ติริยํ อฎฺฐหตฺถา อเหสุํฯ มหาชโน ทิสฺวา องฺคุลิโย โปเฐสิ, เจลุเกฺขปํ อกาสิ, – ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ อทิฎฺฐสหาโย ปุกฺกุสาติ อทิสฺวาว เอวรูปํ ปณฺณาการํ เปเสสิ, ยุตฺตํ เอวรูปํ มิตฺตํ กาตุ’’นฺติ อตฺตมโน อโหสิฯ ราชา เอกเมกํ กมฺพลํ อคฺฆาเปสิ, สเพฺพ อนคฺฆา อเหสุํฯ เตสุ จตฺตาโร สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เปเสสิ, จตฺตาโร อตฺตโน ฆเร อกาสิฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘ปจฺฉา เปเสเนฺตน ปฐมํ เปสิตปณฺณาการโต อติเรกํ เปเสตุํ วฎฺฎติ, สหาเยน จ เม อนโคฺฆ ปณฺณากาโร เปสิโต, กิํ นุ โข เปเสมี’’ติ?

    So sāsanaṃ sutvā amaccādayo sannipatantūti bheriṃ carāpetvā nagaramajjhe amaccādiparivuto setacchattena dhāriyamānena pallaṅkavare nisinno lañchanaṃ bhinditvā vatthaṃ apanetvā samuggaṃ vivaritvā anto bhaṇḍikaṃ muñcitvā lākhāguḷe disvā ‘‘mayhaṃ sahāyo pukkusāti ‘jutavittako me sahāyo’ti maññamāno maññe imaṃ paṇṇākāraṃ pahiṇī’’ti ekaṃ guḷaṃ gahetvā hatthena vaṭṭetvā tulayantova anto dussabhaṇḍikaṃ atthīti aññāsi. Atha naṃ pallaṅkapāde paharitvā tāvadeva lākhā paripati, so nakhena karaṇḍakaṃ vivaritvā anto kambalaratanaṃ disvā itarepi vivarāpesi, sabbepi kambalā ahesuṃ. Atha ne pattharāpesi, te vaṇṇasampannā phassasampannā dīghato soḷasahatthā tiriyaṃ aṭṭhahatthā ahesuṃ. Mahājano disvā aṅguliyo poṭhesi, celukkhepaṃ akāsi, – ‘‘amhākaṃ rañño adiṭṭhasahāyo pukkusāti adisvāva evarūpaṃ paṇṇākāraṃ pesesi, yuttaṃ evarūpaṃ mittaṃ kātu’’nti attamano ahosi. Rājā ekamekaṃ kambalaṃ agghāpesi, sabbe anagghā ahesuṃ. Tesu cattāro sammāsambuddhassa pesesi, cattāro attano ghare akāsi. Tato cintesi – ‘‘pacchā pesentena paṭhamaṃ pesitapaṇṇākārato atirekaṃ pesetuṃ vaṭṭati, sahāyena ca me anaggho paṇṇākāro pesito, kiṃ nu kho pesemī’’ti?

    กิํ ปน ราชคเห ตโต อธิกํ รตนํ นตฺถีติ? โน นตฺถิ, มหาปุโญฺญ ราชา, อปิจ โข ปนสฺส โสตาปนฺนกาลโต ปฎฺฐาย ฐเปตฺวา ตีณิ รตนานิ อญฺญํ รตนํ โสมนสฺสํ ชเนตุํ สมตฺถํ นาม นตฺถิ ฯ โส รตนํ วิจินิตุํ อารโทฺธ – รตนํ นาม สวิญฺญาณกํ อวิญฺญาณกนฺติ ทุวิธํฯ ตตฺถ อวิญฺญาณกํ สุวณฺณรชตาทิ, สวิญฺญาณกํ อินฺทฺริยพทฺธํฯ อวิญฺญาณกํ สวิญฺญาณกเสฺสว อลงฺการาทิวเสน ปริโภคํ โหติ, อิติ อิเมสุ ทฺวีสุ รตเนสุ สวิญฺญาณกํ เสฎฺฐํฯ สวิญฺญาณกมฺปิ ทุวิธํ ติรจฺฉานรตนํ มนุสฺสรตนนฺติฯ ตตฺถ ติรจฺฉานรตนํ หตฺถิอสฺสรตนํ, ตมฺปิ มนุสฺสานํ อุปโภคตฺถเมว นิพฺพตฺตติ , อิติ อิเมสุปิ ทฺวีสุ มนุสฺสรตนํ เสฎฺฐํฯ มนุสฺสรตนมฺปิ ทุวิธํ อิตฺถิรตนํ ปุริสรตนนฺติฯ ตตฺถ จกฺกวตฺติโน รโญฺญ อุปฺปนฺนํ อิตฺถิรตนมฺปิ ปุริสเสฺสว อุปโภคํฯ อิติ อิเมสุปิ ทฺวีสุ ปุริสรตนเมว เสฎฺฐํฯ

    Kiṃ pana rājagahe tato adhikaṃ ratanaṃ natthīti? No natthi, mahāpuñño rājā, apica kho panassa sotāpannakālato paṭṭhāya ṭhapetvā tīṇi ratanāni aññaṃ ratanaṃ somanassaṃ janetuṃ samatthaṃ nāma natthi . So ratanaṃ vicinituṃ āraddho – ratanaṃ nāma saviññāṇakaṃ aviññāṇakanti duvidhaṃ. Tattha aviññāṇakaṃ suvaṇṇarajatādi, saviññāṇakaṃ indriyabaddhaṃ. Aviññāṇakaṃ saviññāṇakasseva alaṅkārādivasena paribhogaṃ hoti, iti imesu dvīsu ratanesu saviññāṇakaṃ seṭṭhaṃ. Saviññāṇakampi duvidhaṃ tiracchānaratanaṃ manussaratananti. Tattha tiracchānaratanaṃ hatthiassaratanaṃ, tampi manussānaṃ upabhogatthameva nibbattati , iti imesupi dvīsu manussaratanaṃ seṭṭhaṃ. Manussaratanampi duvidhaṃ itthiratanaṃ purisaratananti. Tattha cakkavattino rañño uppannaṃ itthiratanampi purisasseva upabhogaṃ. Iti imesupi dvīsu purisaratanameva seṭṭhaṃ.

    ปุริสรตนมฺปิ ทุวิธํ อคาริยรตนํ อนคาริยรตนญฺจฯ ตตฺถ อคาริยรตเนสุปิ จกฺกวตฺติราชา อชฺช ปพฺพชิตสามเณรํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทติ, อิติ อิเมสุปิ ทฺวีสุ อนคาริยรตนเมว เสฎฺฐํฯ อนคาริยรตนมฺปิ ทุวิธํ เสกฺขรตนญฺจ อเสกฺขรตนญฺจฯ ตตฺถ สตสหสฺสมฺปิ เสกฺขานํ อเสกฺขสฺส ปเทสํ น ปาปุณาติ, อิติ อิเมสุปิ ทฺวีสุ อเสกฺขรตนเมว เสฎฺฐํฯ ตมฺปิ ทุวิธํ พุทฺธรตนํ สาวกรตนนฺติฯ ตตฺถ สตสหสฺสมฺปิ สาวกรตนานํ พุทฺธรตนสฺส ปเทสํ น ปาปุณาติ, อิติ อิเมสุปิ ทฺวีสู พุทฺธรตนเมว เสฎฺฐํฯ

    Purisaratanampi duvidhaṃ agāriyaratanaṃ anagāriyaratanañca. Tattha agāriyaratanesupi cakkavattirājā ajja pabbajitasāmaṇeraṃ pañcapatiṭṭhitena vandati, iti imesupi dvīsu anagāriyaratanameva seṭṭhaṃ. Anagāriyaratanampi duvidhaṃ sekkharatanañca asekkharatanañca. Tattha satasahassampi sekkhānaṃ asekkhassa padesaṃ na pāpuṇāti, iti imesupi dvīsu asekkharatanameva seṭṭhaṃ. Tampi duvidhaṃ buddharatanaṃ sāvakaratananti. Tattha satasahassampi sāvakaratanānaṃ buddharatanassa padesaṃ na pāpuṇāti, iti imesupi dvīsū buddharatanameva seṭṭhaṃ.

    พุทฺธรตนมฺปิ ทุวิธํ ปเจฺจกพุทฺธรตนํ สพฺพญฺญุพุทฺธรตนนฺติฯ ตตฺถ สตสหสฺสมฺปิ ปเจฺจกพุทฺธานํ สพฺพญฺญุพุทฺธสฺส ปเทสํ น ปาปุณาติ, อิติ อิเมสุปิ ทฺวีสุ สพฺพญฺญุพุทฺธรตนํเยว เสฎฺฐํฯ สเทวกสฺมิญฺหิ โลเก พุทฺธรตนสมํ รตนํ นาม นตฺถิฯ ตสฺมา อสทิสเมว รตนํ มยฺหํ สหายสฺส เปเสสฺสามีติ จิเนฺตตฺวา ตกฺกสีลวาสิโน ปุจฺฉิ – ‘‘ตาตา ตุมฺหากํ ชนปเท พุโทฺธ ธโมฺม สโงฺฆติ อิมานิ ตีณิ รตนานิ ทิสฺสนฺตี’’ติฯ โฆโสปิ โส มหาราช ตาว ตตฺถ นตฺถิ, ทสฺสนํ ปน กุโตติฯ

    Buddharatanampi duvidhaṃ paccekabuddharatanaṃ sabbaññubuddharatananti. Tattha satasahassampi paccekabuddhānaṃ sabbaññubuddhassa padesaṃ na pāpuṇāti, iti imesupi dvīsu sabbaññubuddharatanaṃyeva seṭṭhaṃ. Sadevakasmiñhi loke buddharatanasamaṃ ratanaṃ nāma natthi. Tasmā asadisameva ratanaṃ mayhaṃ sahāyassa pesessāmīti cintetvā takkasīlavāsino pucchi – ‘‘tātā tumhākaṃ janapade buddho dhammo saṅghoti imāni tīṇi ratanāni dissantī’’ti. Ghosopi so mahārāja tāva tattha natthi, dassanaṃ pana kutoti.

    ‘‘สุนฺทรํ ตาตา’’ติ ราชา ตุโฎฺฐ จิเนฺตสิ – ‘‘สกฺกา ภเวยฺย ชนสงฺคหตฺถาย มยฺหํ สหายสฺส วสนฎฺฐานํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ เปเสตุํ, พุทฺธา ปน ปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ น อรุณํ อุฎฺฐเปนฺติฯ ตสฺมา สตฺถารา คนฺตุํ น สกฺกาฯ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานาทโย มหาสาวเก เปเสตุํ สกฺกา ภเวยฺยฯ มยา ปน ‘เถรา ปจฺจเนฺต วสนฺตี’ติ สุตฺวาปิ มนุเสฺส เปเสตฺวา เต อตฺตโน สมีปํ อาณาเปตฺวา อุปฎฺฐาตุเมว ยุตฺตํฯ ตสฺมา น เถเรหิปิ สกฺกา คนฺตุํฯ เยน ปนากาเรน สาสเน เปสิเต สตฺถา จ มหาสาวกา จ คตา วิย โหนฺติ, เตนากาเรน สาสนํ ปหิณิสฺสามี’’ติฯ จิเนฺตตฺวา จตุรตนายามํ วิทตฺถิมตฺตปุถุลํ นาติตนุํ นาติพหลํ สุวณฺณปฎฺฎํ การาเปตฺวา ‘‘ตตฺถ อชฺช อกฺขรานิ ลิขิสฺสามี’’ติฯ ปาโตว สีสํ นฺหายิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย ภุตฺตปาตราโส อปนีตคนฺธมาลาภรโณ สุวณฺณสรเกน ชาติหิงฺคุลิกํ อาทาย เหฎฺฐโต ปฎฺฐาย ทฺวารานิ ปิทหโนฺต ปาสาทมารุยฺห ปุพฺพทิสามุขํ สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา อากาสตเล นิสีทิตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ อกฺขรานิ ลิขโนฺต – ‘‘อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปโนฺน อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา’’ติฯ พุทฺธคุเณ ตาว เอกเทเสน ลิขิฯ

    ‘‘Sundaraṃ tātā’’ti rājā tuṭṭho cintesi – ‘‘sakkā bhaveyya janasaṅgahatthāya mayhaṃ sahāyassa vasanaṭṭhānaṃ sammāsambuddhaṃ pesetuṃ, buddhā pana paccantimesu janapadesu na aruṇaṃ uṭṭhapenti. Tasmā satthārā gantuṃ na sakkā. Sāriputtamoggallānādayo mahāsāvake pesetuṃ sakkā bhaveyya. Mayā pana ‘therā paccante vasantī’ti sutvāpi manusse pesetvā te attano samīpaṃ āṇāpetvā upaṭṭhātumeva yuttaṃ. Tasmā na therehipi sakkā gantuṃ. Yena panākārena sāsane pesite satthā ca mahāsāvakā ca gatā viya honti, tenākārena sāsanaṃ pahiṇissāmī’’ti. Cintetvā caturatanāyāmaṃ vidatthimattaputhulaṃ nātitanuṃ nātibahalaṃ suvaṇṇapaṭṭaṃ kārāpetvā ‘‘tattha ajja akkharāni likhissāmī’’ti. Pātova sīsaṃ nhāyitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya bhuttapātarāso apanītagandhamālābharaṇo suvaṇṇasarakena jātihiṅgulikaṃ ādāya heṭṭhato paṭṭhāya dvārāni pidahanto pāsādamāruyha pubbadisāmukhaṃ sīhapañjaraṃ vivaritvā ākāsatale nisīditvā suvaṇṇapaṭṭe akkharāni likhanto – ‘‘idha tathāgato loke uppanno arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā’’ti. Buddhaguṇe tāva ekadesena likhi.

    ตโต ‘‘เอวํ ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา ตุสิตภวนโต จวิตฺวา มาตุกุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ , เอวํ โลกวิวรณํ อโหสิ, มาตุกุจฺฉิยํ วสมาเน อิทํ นาม อโหสิ, อคารมเชฺฌ วสมาเน อิทํ นาม อโหสิ, เอวํ มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต เอวํ มหาปธานํ ปทหิฯ เอวํ ทุกฺกรการิกํ กตฺวา มหาโพธิมณฺฑํ อารุยฺห อปราชิตปลฺลเงฺก นิสิโนฺน สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิ, สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌนฺตสฺส เอวํ โลกวิวรณํ อโหสิฯ สเทวเก โลเก อญฺญํ เอวรูปํ รตนํ นาม นตฺถีติฯ

    Tato ‘‘evaṃ dasa pāramiyo pūretvā tusitabhavanato cavitvā mātukucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi , evaṃ lokavivaraṇaṃ ahosi, mātukucchiyaṃ vasamāne idaṃ nāma ahosi, agāramajjhe vasamāne idaṃ nāma ahosi, evaṃ mahābhinikkhamanaṃ nikkhanto evaṃ mahāpadhānaṃ padahi. Evaṃ dukkarakārikaṃ katvā mahābodhimaṇḍaṃ āruyha aparājitapallaṅke nisinno sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhi, sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhantassa evaṃ lokavivaraṇaṃ ahosi. Sadevake loke aññaṃ evarūpaṃ ratanaṃ nāma natthīti.

    ยํกิญฺจิ วิตฺตํ อิธ วา หุรํ วา,

    Yaṃkiñci vittaṃ idha vā huraṃ vā,

    สเคฺคสุ วา ยํ รตนํ ปณีตํ;

    Saggesu vā yaṃ ratanaṃ paṇītaṃ;

    น โน สมํ อตฺถิ ตถาคเตน,

    Na no samaṃ atthi tathāgatena,

    อิทมฺปิ พุเทฺธ รตนํ ปณีตํ;

    Idampi buddhe ratanaṃ paṇītaṃ;

    เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตู’’ติฯ (ขุ. ปา. ๖.๓; สุ. นิ. ๒๒๖) –

    Etena saccena suvatthi hotū’’ti. (khu. pā. 6.3; su. ni. 226) –

    เอวํ เอกเทเสน พุทฺธคุเณปิ ลิขิตฺวา ทุติยํ ธมฺมรตนํ โถเมโนฺต – ‘‘สฺวากฺขาโต ภควตา ธโมฺม…เป.… ปจฺจตฺตํ เวทิตโพฺพ วิญฺญูหี’’ติฯ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา…เป.… อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’ติฯ ‘‘สตฺถารา เทสิตธโมฺม นาม เอวรูโป จ เอวรูโป จา’’ติ สตฺตติํส โพธิปกฺขิเย เอกเทเสน ลิขิตฺวา –

    Evaṃ ekadesena buddhaguṇepi likhitvā dutiyaṃ dhammaratanaṃ thomento – ‘‘svākkhāto bhagavatā dhammo…pe… paccattaṃ veditabbo viññūhī’’ti. ‘‘Cattāro satipaṭṭhānā…pe… ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’’ti. ‘‘Satthārā desitadhammo nāma evarūpo ca evarūpo cā’’ti sattatiṃsa bodhipakkhiye ekadesena likhitvā –

    ‘‘ยํ พุทฺธเสโฎฺฐ ปริวณฺณยี สุจิํ,

    ‘‘Yaṃ buddhaseṭṭho parivaṇṇayī suciṃ,

    สมาธิมานนฺตริกญฺญมาหุ;

    Samādhimānantarikaññamāhu;

    สมาธินา เตน สโม น วิชฺชติ,

    Samādhinā tena samo na vijjati,

    อิทมฺปิ ธเมฺม รตนํ ปณีตํ;

    Idampi dhamme ratanaṃ paṇītaṃ;

    เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตู’’ติฯ (ขุ. ปา. ๖.๕; สุ. นิ. ๒๒๘) –

    Etena saccena suvatthi hotū’’ti. (khu. pā. 6.5; su. ni. 228) –

    เอวํ เอกเทเสน ธมฺมคุเณ ลิขิตฺวา ตติยํ สงฺฆรตนํ โถเมโนฺต – ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน ภควโต สาวกสโงฺฆ…เป.… ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺสา’’ติฯ ‘‘กุลปุตฺตา นาม สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา เอวํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชนฺติ, เกจิ เสตจฺฉตฺตํ ปหาย ปพฺพชนฺติ, เกจิ อุปรชฺชํ, เกจิ เสนาปติฎฺฐานาทีนิ ปหาย ปพฺพชนฺติฯ ปพฺพชิตฺวา จ ปน อิมญฺจ ปฎิปตฺติํ ปูเรนฺตี’’ติ จูฬสีลมชฺฌิมสีลมหาสีลาทีนิ เอกเทเสน ลิขิตฺวา ฉทฺวารสํวรํ สติสมฺปชญฺญํ จตุปจฺจยสโนฺตสํ นววิธํ เสนาสนํ, นีวรณปฺปหานํ ปริกมฺมํ ฌานาภิญฺญา อฎฺฐติํส กมฺมฎฺฐานานิ ยาว อาสวกฺขยา เอกเทเสน ลิขิ, โสฬสวิธํ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ วิตฺถาเรเนว ลิขิตฺวา ‘‘สตฺถุ สาวกสโงฺฆ นาม เอวรูเปหิ จ คุเณหิ สมนฺนาคโตฯ

    Evaṃ ekadesena dhammaguṇe likhitvā tatiyaṃ saṅgharatanaṃ thomento – ‘‘suppaṭipanno bhagavato sāvakasaṅgho…pe… puññakkhettaṃ lokassā’’ti. ‘‘Kulaputtā nāma satthu dhammakathaṃ sutvā evaṃ nikkhamitvā pabbajanti, keci setacchattaṃ pahāya pabbajanti, keci uparajjaṃ, keci senāpatiṭṭhānādīni pahāya pabbajanti. Pabbajitvā ca pana imañca paṭipattiṃ pūrentī’’ti cūḷasīlamajjhimasīlamahāsīlādīni ekadesena likhitvā chadvārasaṃvaraṃ satisampajaññaṃ catupaccayasantosaṃ navavidhaṃ senāsanaṃ, nīvaraṇappahānaṃ parikammaṃ jhānābhiññā aṭṭhatiṃsa kammaṭṭhānāni yāva āsavakkhayā ekadesena likhi, soḷasavidhaṃ ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ vitthāreneva likhitvā ‘‘satthu sāvakasaṅgho nāma evarūpehi ca guṇehi samannāgato.

    เย ปุคฺคลา อฎฺฐสตํ ปสฎฺฐา,

    Ye puggalā aṭṭhasataṃ pasaṭṭhā,

    จตฺตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนฺติ;

    Cattāri etāni yugāni honti;

    เต ทกฺขิเณยฺยา สุคตสฺส สาวกา,

    Te dakkhiṇeyyā sugatassa sāvakā,

    เอเตสุ ทินฺนานิ มหปฺผลานิ;

    Etesu dinnāni mahapphalāni;

    อิทมฺปิ สเงฺฆ รตนํ ปณีตํ,

    Idampi saṅghe ratanaṃ paṇītaṃ,

    เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตู’’ติฯ (ขุ. ปา. ๖.๖; สุ. นิ. ๒๒๙) –

    Etena saccena suvatthi hotū’’ti. (khu. pā. 6.6; su. ni. 229) –

    เอวํ เอกเทเสน สงฺฆคุเณ ลิขิตฺวา – ‘‘ภควโต สาสนํ สฺวากฺขาตํ นิยฺยานิกํ, สเจ มยฺหํ สหาโย สโกฺกติ, นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชตู’’ติ ลิขิตฺวา สุวณฺณปฎฺฎํ สํหริตฺวา สุขุมกมฺพเลน เวเฐตฺวา สารสมุเคฺค ปกฺขิปิตฺวา ตํ สมุคฺคํ สุวณฺณมเย, สุวณฺณมยํ, รชตมเย รชตมยํ มณิมเย, มณิมยํ ปวาฬมเย, ปวาฬมยํ โลหิตงฺกมเย, โลหิตงฺกมยํ มสารคลฺลมเย, มสารคลฺลมยํ ผลิกมเย, ผลิกมยํ ทนฺตมเย, ทนฺตมยํ สพฺพรตนมเย, สพฺพรตนมยํ กิลญฺชมเย, กิลญฺชมยํ สมุคฺคํ สารกรณฺฑเก ฐเปสิฯ

    Evaṃ ekadesena saṅghaguṇe likhitvā – ‘‘bhagavato sāsanaṃ svākkhātaṃ niyyānikaṃ, sace mayhaṃ sahāyo sakkoti, nikkhamitvā pabbajatū’’ti likhitvā suvaṇṇapaṭṭaṃ saṃharitvā sukhumakambalena veṭhetvā sārasamugge pakkhipitvā taṃ samuggaṃ suvaṇṇamaye, suvaṇṇamayaṃ, rajatamaye rajatamayaṃ maṇimaye, maṇimayaṃ pavāḷamaye, pavāḷamayaṃ lohitaṅkamaye, lohitaṅkamayaṃ masāragallamaye, masāragallamayaṃ phalikamaye, phalikamayaṃ dantamaye, dantamayaṃ sabbaratanamaye, sabbaratanamayaṃ kilañjamaye, kilañjamayaṃ samuggaṃ sārakaraṇḍake ṭhapesi.

    ปุน สารกรณฺฑกํ สุวณฺณกรณฺฑเกติ ปุริมนเยเนว หริตฺวา สพฺพรตนมยํ กรณฺฑกํ กิลญฺชมเย กรณฺฑเก ฐเปสิฯ ตโต กิลญฺชมยํ กรณฺฑกํ สารมยเปฬายาติ ปุน วุตฺตนเยเนว หริตฺวา สพฺพรตนมยํ เปฬํ กิลญฺชมยเปฬาย ฐเปตฺวา พหิ วเตฺถน เวเฐตฺวา ราชมุทฺทิกาย ลเญฺฉตฺวา อมเจฺจ อาณาเปสิ – ‘‘มม อาณาปวตฺติฎฺฐาเน มคฺคํ อลงฺการาเปถ มโคฺค อฎฺฐุสภวิตฺถโต โหตุ, จตุอุสภฎฺฐานํ โสธิตมตฺตกเมว โหตุ, มเชฺฌ จตุอุสภํ ราชานุภาเวน ปฎิยาเทถา’’ติฯ ตโต มงฺคลหตฺถิํ อลงฺการาเปตฺวา ตสฺส อุปริ ปลฺลงฺกํ ปญฺญเปตฺวา เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา นครวีถิโย สิตฺตสมฺมฎฺฐา สมุสฺสิตทฺธชปฎากา กทลิปุณฺณฆฎคนฺธธูมปุปฺผาทีหิ สุปฺปฎิมณฺฑิตา กาเรตฺวา ‘‘อตฺตโน อตฺตโน วิสยปฺปเทเส เอวรูปํ ปูชํ กาเรนฺตู’’ติ อนฺตรโภคิกานํ ชวนทูเต เปเสตฺวา สยํ สพฺพาลงฺกาเรน อลงฺกริตฺวา – ‘‘สพฺพตาฬาวจรสมฺมิสฺสพลกายปริวุโต ปณฺณาการํ เปเสมี’’ติ อตฺตโน วิสยปริยนฺตํ คนฺตฺวา อมจฺจสฺส มุขสาสนํ อทาสิ – ‘‘ตาต มยฺหํ สหาโย ปุกฺกุสาติ อิมํ ปณฺณาการํ ปฎิจฺฉโนฺต โอโรธมเชฺฌ อปฎิจฺฉิตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห ปฎิจฺฉตู’’ติฯ เอวํ สาสนํ ทตฺวา ปจฺจนฺตเทสํ สตฺถา คจฺฉตีติ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา นิวตฺติฯ อนฺตรโภคิกา เตเนว นิยาเมน มคฺคํ ปฎิยาเทตฺวา ปณฺณาการํ นยิํสุฯ

    Puna sārakaraṇḍakaṃ suvaṇṇakaraṇḍaketi purimanayeneva haritvā sabbaratanamayaṃ karaṇḍakaṃ kilañjamaye karaṇḍake ṭhapesi. Tato kilañjamayaṃ karaṇḍakaṃ sāramayapeḷāyāti puna vuttanayeneva haritvā sabbaratanamayaṃ peḷaṃ kilañjamayapeḷāya ṭhapetvā bahi vatthena veṭhetvā rājamuddikāya lañchetvā amacce āṇāpesi – ‘‘mama āṇāpavattiṭṭhāne maggaṃ alaṅkārāpetha maggo aṭṭhusabhavitthato hotu, catuusabhaṭṭhānaṃ sodhitamattakameva hotu, majjhe catuusabhaṃ rājānubhāvena paṭiyādethā’’ti. Tato maṅgalahatthiṃ alaṅkārāpetvā tassa upari pallaṅkaṃ paññapetvā setacchattaṃ ussāpetvā nagaravīthiyo sittasammaṭṭhā samussitaddhajapaṭākā kadalipuṇṇaghaṭagandhadhūmapupphādīhi suppaṭimaṇḍitā kāretvā ‘‘attano attano visayappadese evarūpaṃ pūjaṃ kārentū’’ti antarabhogikānaṃ javanadūte pesetvā sayaṃ sabbālaṅkārena alaṅkaritvā – ‘‘sabbatāḷāvacarasammissabalakāyaparivuto paṇṇākāraṃ pesemī’’ti attano visayapariyantaṃ gantvā amaccassa mukhasāsanaṃ adāsi – ‘‘tāta mayhaṃ sahāyo pukkusāti imaṃ paṇṇākāraṃ paṭicchanto orodhamajjhe apaṭicchitvā pāsādaṃ āruyha paṭicchatū’’ti. Evaṃ sāsanaṃ datvā paccantadesaṃ satthā gacchatīti pañcapatiṭṭhitena vanditvā nivatti. Antarabhogikā teneva niyāmena maggaṃ paṭiyādetvā paṇṇākāraṃ nayiṃsu.

    ปุกฺกุสาติปิ อตฺตโน รชฺชสีมโต ปฎฺฐาย เตเนว นิยาเมน มคฺคํ ปฎิยาเทตฺวา นครํ อลงฺการาเปตฺวา ปณฺณาการสฺส ปจฺจุคฺคมนํ อกาสิฯ ปณฺณากาโร ตกฺกสีลํ ปาปุณโนฺต อุโปสถทิวเส ปาปุณิ, ปณฺณาการํ คเหตฺวา คตอมโจฺจปิ รโญฺญ วุตฺตสาสนํ อาโรเจสิฯ ราชา ตํ สุตฺวา ปณฺณากาเรน สทฺธิํ อาคตานํ กตฺตพฺพกิจฺจํ วิจาเรตฺวา ปณฺณาการํ อาทาย ปาสาทํ อารุยฺห ‘‘มา อิธ โกจิ ปวิสตู’’ติ ทฺวาเร อารกฺขํ กาเรตฺวา สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา ปณฺณาการํ อุจฺจาสเน ฐเปตฺวา สยํ นีจาสเน นิสิโนฺน ลญฺฉนํ ภินฺทิตฺวา นิวาสนํ อปเนตฺวา กิลญฺชเปฬโต ปฎฺฐาย อนุปุเพฺพน วิวรโนฺต สารมยํ สมุคฺคํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มหาปริหาโร นายํ อญฺญสฺส รตนสฺส ภวิสฺสติ, อทฺธา มชฺฌิมเทเส โสตพฺพยุตฺตกํ รตนํ อุปฺปนฺน’’นฺติฯ อถ ตํ สมุคฺคํ วิวริตฺวา ราชลญฺฉนํ ภินฺทิตฺวา สุขุมกมฺพลํ อุภโต วิยูหิตฺวา สุวณฺณปฎฺฎํ อทฺทสฯ

    Pukkusātipi attano rajjasīmato paṭṭhāya teneva niyāmena maggaṃ paṭiyādetvā nagaraṃ alaṅkārāpetvā paṇṇākārassa paccuggamanaṃ akāsi. Paṇṇākāro takkasīlaṃ pāpuṇanto uposathadivase pāpuṇi, paṇṇākāraṃ gahetvā gataamaccopi rañño vuttasāsanaṃ ārocesi. Rājā taṃ sutvā paṇṇākārena saddhiṃ āgatānaṃ kattabbakiccaṃ vicāretvā paṇṇākāraṃ ādāya pāsādaṃ āruyha ‘‘mā idha koci pavisatū’’ti dvāre ārakkhaṃ kāretvā sīhapañjaraṃ vivaritvā paṇṇākāraṃ uccāsane ṭhapetvā sayaṃ nīcāsane nisinno lañchanaṃ bhinditvā nivāsanaṃ apanetvā kilañjapeḷato paṭṭhāya anupubbena vivaranto sāramayaṃ samuggaṃ disvā cintesi – ‘‘mahāparihāro nāyaṃ aññassa ratanassa bhavissati, addhā majjhimadese sotabbayuttakaṃ ratanaṃ uppanna’’nti. Atha taṃ samuggaṃ vivaritvā rājalañchanaṃ bhinditvā sukhumakambalaṃ ubhato viyūhitvā suvaṇṇapaṭṭaṃ addasa.

    โส ตํ ปสาเรตฺวา – ‘‘มนาปานิ วต อกฺขรานิ สมสีสานิ สมปนฺตีนิ จตุรสฺสานี’’ติอาทิโต ปฎฺฐาย วาเจตุํ อารภิฯ ตสฺส – ‘‘อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปโนฺน’’ติ พุทฺธคุเณ วาเจนฺตสฺส พลวโสมนสฺสํ อุปฺปชฺชิ, นวนวุติโลมกูปสหสฺสานิ อุทฺธคฺคโลมานิ อเหสุํฯ อตฺตโน ฐิตภาวํ วา นิสินฺนภาวํ วา น ชานาติฯ อถสฺส – ‘‘กปฺปโกฎิสตสหเสฺสหิปิ เอตํ ทุลฺลภสาสนํ สหายํ นิสฺสาย โสตุํ ลภามี’’ติ ภิโยฺย พลวปีติ อุทปาทิฯ โส หิ อุปริ วาเจตุํ อสโกฺกโนฺต ยาว ปีติเวคปสฺสทฺธิยา นิสีทิตฺวา ปรโต – ‘‘สฺวากฺขาโต ภควตา ธโมฺม’’ติ ธมฺมคุเณ อารภิฯ ตตฺราปิสฺส ตเถว อโหสิฯ โส ปุน ยาว ปีติเวคปสฺสทฺธิยา นิสีทิตฺวา ปรโต ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน’’ติ สงฺฆคุเณ อารภิ ฯ ตตฺราปิสฺส ตเถว อโหสิฯ อถ สพฺพปริยเนฺต อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ วาเจตฺวา จตุกฺกปญฺจกชฺฌานานิ นิพฺพเตฺตสิ, โส ฌานสุเขเนว วีตินาเมสิฯ อโญฺญ โกจิ ทฎฺฐุํ น ลภติ, เอโกว จูฬุปฎฺฐาโก ปวิสติฯ เอวํ อทฺธมาสมตฺตํ วีตินาเมสิฯ

    So taṃ pasāretvā – ‘‘manāpāni vata akkharāni samasīsāni samapantīni caturassānī’’tiādito paṭṭhāya vācetuṃ ārabhi. Tassa – ‘‘idha tathāgato loke uppanno’’ti buddhaguṇe vācentassa balavasomanassaṃ uppajji, navanavutilomakūpasahassāni uddhaggalomāni ahesuṃ. Attano ṭhitabhāvaṃ vā nisinnabhāvaṃ vā na jānāti. Athassa – ‘‘kappakoṭisatasahassehipi etaṃ dullabhasāsanaṃ sahāyaṃ nissāya sotuṃ labhāmī’’ti bhiyyo balavapīti udapādi. So hi upari vācetuṃ asakkonto yāva pītivegapassaddhiyā nisīditvā parato – ‘‘svākkhāto bhagavatā dhammo’’ti dhammaguṇe ārabhi. Tatrāpissa tatheva ahosi. So puna yāva pītivegapassaddhiyā nisīditvā parato ‘‘suppaṭipanno’’ti saṅghaguṇe ārabhi . Tatrāpissa tatheva ahosi. Atha sabbapariyante ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ vācetvā catukkapañcakajjhānāni nibbattesi, so jhānasukheneva vītināmesi. Añño koci daṭṭhuṃ na labhati, ekova cūḷupaṭṭhāko pavisati. Evaṃ addhamāsamattaṃ vītināmesi.

    นาครา ราชงฺคเณ สนฺนิปติตฺวา อุกฺกุฎฺฐิํ อกํสุ ‘‘ปณฺณาการํ ปฎิจฺฉิตทิวสโต ปฎฺฐาย พลทสฺสนํ วา นาฎกทสฺสนํ วา นตฺถิ, วินิจฺฉยทานํ นตฺถิ, ราชา สหาเยน ปหิตํ ปณฺณาการํ ยสฺสิจฺฉติ ตสฺส ทเสฺสตุ, ราชาโน นาม เอกจฺจสฺส ปณฺณาการวเสนปิ วเญฺจตฺวา รชฺชํ อตฺตโน กาตุํ วายมนฺติฯ กิํ นาม อมฺหากํ ราชา กโรตี’’ติ? ราชา อุกฺกุฎฺฐิสทฺทํ สุตฺวา – ‘‘รชฺชํ นุ โข ธาเรมิ, อุทาหุ สตฺถาร’’นฺติ จิเนฺตสิฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘รชฺชการิตอตฺตภาโว นาม เนว คณเกน, น คณกมหามเตฺตน คเณตุํ สโกฺกฯ สตฺถุสาสนํ ธาเรสฺสามี’’ติ สยเน ฐปิตํ อสิํ คเหตฺวา เกเส ฉินฺทิตฺวา สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา – ‘‘เอตํ คเหตฺวา รชฺชํ กาเรถา’’ติ สทฺธิํ จูฬามณินา เกสกลาปํ ปริสมเชฺฌ ปาเตสิ, มหาชโน ตํ อุกฺขิปิตฺวา – ‘‘สหายกสนฺติกา ลทฺธปณฺณาการา นาม ราชาโน ตุมฺหาทิสา โหนฺติ เทวา’’ติ เอกปฺปหาเรเนว วิรวิฯ รโญฺญปิ ทฺวงฺคุลมตฺตํ เกสมสฺสุ อโหสิฯ โพธิสตฺตสฺส ปพฺพชฺชาสทิสเมว กิร ชาตํฯ

    Nāgarā rājaṅgaṇe sannipatitvā ukkuṭṭhiṃ akaṃsu ‘‘paṇṇākāraṃ paṭicchitadivasato paṭṭhāya baladassanaṃ vā nāṭakadassanaṃ vā natthi, vinicchayadānaṃ natthi, rājā sahāyena pahitaṃ paṇṇākāraṃ yassicchati tassa dassetu, rājāno nāma ekaccassa paṇṇākāravasenapi vañcetvā rajjaṃ attano kātuṃ vāyamanti. Kiṃ nāma amhākaṃ rājā karotī’’ti? Rājā ukkuṭṭhisaddaṃ sutvā – ‘‘rajjaṃ nu kho dhāremi, udāhu satthāra’’nti cintesi. Athassa etadahosi – ‘‘rajjakāritaattabhāvo nāma neva gaṇakena, na gaṇakamahāmattena gaṇetuṃ sakko. Satthusāsanaṃ dhāressāmī’’ti sayane ṭhapitaṃ asiṃ gahetvā kese chinditvā sīhapañjaraṃ vivaritvā – ‘‘etaṃ gahetvā rajjaṃ kārethā’’ti saddhiṃ cūḷāmaṇinā kesakalāpaṃ parisamajjhe pātesi, mahājano taṃ ukkhipitvā – ‘‘sahāyakasantikā laddhapaṇṇākārā nāma rājāno tumhādisā honti devā’’ti ekappahāreneva viravi. Raññopi dvaṅgulamattaṃ kesamassu ahosi. Bodhisattassa pabbajjāsadisameva kira jātaṃ.

    ตโต จูฬุปฎฺฐากํ เปเสตฺวา อนฺตราปณา เทฺว กาสายวตฺถานิ มตฺติกาปตฺตญฺจ อาหราเปตฺวา – ‘‘เย โลเก อรหโนฺต, เต อุทฺทิสฺส มยฺหํ ปพฺพชฺชา’’ติ สตฺถารํ อุทฺทิสฺส เอกํ กาสาวํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ วามอํสกูเฎ กตฺวา กตฺตรทณฺฑํ คเหตฺวา – ‘‘โสภติ นุ โข เม ปพฺพชฺชา โน วา’’ติ มหาตเล กติปยวาเร อปราปรํ จงฺกมิตฺวา – ‘‘โสภติ เม ปพฺพชฺชา’’ติ ทฺวารํ วิวริตฺวา ปาสาทา โอตริฯ โอตรนฺตํ ปน นํ ตีสุ ทฺวาเรสุ ฐิตนาฎกาทีนิ ทิสฺวาปิ น สญฺชานิํสุฯ ‘‘เอโก ปเจฺจกพุโทฺธ อมฺหากํ รโญฺญ ธมฺมกถํ กเถตุํ อาคโต’’ติ กิร จินฺตยิํสุฯ อุปริปาสาทํ ปน อารุยฺห รโญฺญ ฐิตนิสินฺนฎฺฐานานิ ทิสฺวา ราชา คโตติ ญตฺวา สมุทฺทมเชฺฌ โอสีทมานาย นาวาย ชโน วิย เอกปฺปหาเรเนว วิรวิํสุฯ กุลปุตฺตํ ภูมิตลํ โอติณฺณมตฺตํ อฎฺฐารสเสนิโย สเพฺพ นาครา พลกายา จ ปริวาเรตฺวา มหาวิรวํ วิรวิํสุฯ อมจฺจาปิ ตํ เอตทโวจุํ – ‘‘เทว มชฺฌิมเทสราชาโน นาม พหุมายา, สาสนํ เปเสตฺวา พุทฺธรตนํ นาม โลเก อุปฺปนฺนํ วา โน วาติ ญตฺวา คมิสฺสถ , นิวตฺตถ เทวา’’ติฯ สทฺทหามหํ มยฺหํ สหายกสฺส, ตสฺส มยา สทฺธิํ เทฺวชฺฌวจนํ นาม นตฺถิ, ติฎฺฐถ ตุเมฺหติฯ เต อนุคจฺฉนฺติเยวฯ

    Tato cūḷupaṭṭhākaṃ pesetvā antarāpaṇā dve kāsāyavatthāni mattikāpattañca āharāpetvā – ‘‘ye loke arahanto, te uddissa mayhaṃ pabbajjā’’ti satthāraṃ uddissa ekaṃ kāsāvaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā pattaṃ vāmaaṃsakūṭe katvā kattaradaṇḍaṃ gahetvā – ‘‘sobhati nu kho me pabbajjā no vā’’ti mahātale katipayavāre aparāparaṃ caṅkamitvā – ‘‘sobhati me pabbajjā’’ti dvāraṃ vivaritvā pāsādā otari. Otarantaṃ pana naṃ tīsu dvāresu ṭhitanāṭakādīni disvāpi na sañjāniṃsu. ‘‘Eko paccekabuddho amhākaṃ rañño dhammakathaṃ kathetuṃ āgato’’ti kira cintayiṃsu. Uparipāsādaṃ pana āruyha rañño ṭhitanisinnaṭṭhānāni disvā rājā gatoti ñatvā samuddamajjhe osīdamānāya nāvāya jano viya ekappahāreneva viraviṃsu. Kulaputtaṃ bhūmitalaṃ otiṇṇamattaṃ aṭṭhārasaseniyo sabbe nāgarā balakāyā ca parivāretvā mahāviravaṃ viraviṃsu. Amaccāpi taṃ etadavocuṃ – ‘‘deva majjhimadesarājāno nāma bahumāyā, sāsanaṃ pesetvā buddharatanaṃ nāma loke uppannaṃ vā no vāti ñatvā gamissatha , nivattatha devā’’ti. Saddahāmahaṃ mayhaṃ sahāyakassa, tassa mayā saddhiṃ dvejjhavacanaṃ nāma natthi, tiṭṭhatha tumheti. Te anugacchantiyeva.

    กุลปุโตฺต กตฺตรทเณฺฑน เลขํ กตฺวา – ‘‘อิทํ รชฺชํ กสฺสา’’ติ อาห? ตุมฺหากํ เทวาติฯ โย อิมํ เลขํ อนฺตรํ กโรติ, ราชาณาย กาเรตโพฺพติฯ มหาชนกชาตเก โพธิสเตฺตน กตเลขํ สีวลิเทวี อนฺตรํ กาตุํ อวิสหนฺตี วิวตฺตมานา อคมาสิฯ ตสฺสา คตมเคฺคน มหาชโน อคมาสิฯ ตํ ปน เลขํ มหาชโน อนฺตรํ กาตุํ น วิสหิ, เลขํ อุสฺสีสกํ กตฺวา วิวตฺตมานา วิรวิํสุฯ กุลปุโตฺต ‘‘อยํ เม คตฎฺฐาเน ทนฺตกฎฺฐํ วา มุโขทกํ วา ทสฺสตี’’ติ อนฺตมโส เอกเจฎกมฺปิ อคฺคเหตฺวา ปกฺกามิฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ ‘‘มม สตฺถา จ มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา เอกโกว ปพฺพชิโต’’ติ เอกโกว อคมาสิฯ ‘‘สตฺถุ ลชฺชามี’’ติ จ – ‘‘สตฺถา กิร เม ปพฺพชิตฺวา ยานํ นารุโฬฺห’’ติ จ อนฺตมโส เอกปฎลิกมฺปิ อุปาหนํ นารุหิ, ปณฺณจฺฉตฺตกมฺปิ น ธาเรสิฯ มหาชโน รุกฺขปาการฎฺฎาลกาทีนิ อารุยฺห เอส อมฺหากํ ราชา คจฺฉตีติ โอโลเกสิฯ กุลปุโตฺต – ‘‘ทูรํ คนฺตพฺพํ, น สกฺกา เอเกน มโคฺค นิตฺถริตุ’’นฺติ เอกํ สตฺถวาหํ อนุพนฺธิฯ สุขุมาลสฺส กุลปุตฺตสฺส กฐินตตฺตาย ปถวิยา คฉนฺตสฺส ปาทตเลสุ โผฎา อุฎฺฐหิตฺวา ภิชฺชนฺติ, ทุกฺขา เวทนา อุปฺปชฺชนฺติฯ สตฺถวาเห ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา นิสิเนฺน กุลปุโตฺต มคฺคา โอกฺกมฺม เอกสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทติฯ นิสินฺนฎฺฐาเน ปาทปริกมฺมํ วา ปิฎฺฐิปริกมฺมํ วา กตฺตา นาม นตฺถิ, กุลปุโตฺต อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา มคฺคทรถกิลมถปริฬาหํ วิกฺขเมฺภตฺวา ฌานรติยา วีตินาเมติฯ

    Kulaputto kattaradaṇḍena lekhaṃ katvā – ‘‘idaṃ rajjaṃ kassā’’ti āha? Tumhākaṃ devāti. Yo imaṃ lekhaṃ antaraṃ karoti, rājāṇāya kāretabboti. Mahājanakajātake bodhisattena katalekhaṃ sīvalidevī antaraṃ kātuṃ avisahantī vivattamānā agamāsi. Tassā gatamaggena mahājano agamāsi. Taṃ pana lekhaṃ mahājano antaraṃ kātuṃ na visahi, lekhaṃ ussīsakaṃ katvā vivattamānā viraviṃsu. Kulaputto ‘‘ayaṃ me gataṭṭhāne dantakaṭṭhaṃ vā mukhodakaṃ vā dassatī’’ti antamaso ekaceṭakampi aggahetvā pakkāmi. Evaṃ kirassa ahosi ‘‘mama satthā ca mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā ekakova pabbajito’’ti ekakova agamāsi. ‘‘Satthu lajjāmī’’ti ca – ‘‘satthā kira me pabbajitvā yānaṃ nāruḷho’’ti ca antamaso ekapaṭalikampi upāhanaṃ nāruhi, paṇṇacchattakampi na dhāresi. Mahājano rukkhapākāraṭṭālakādīni āruyha esa amhākaṃ rājā gacchatīti olokesi. Kulaputto – ‘‘dūraṃ gantabbaṃ, na sakkā ekena maggo nittharitu’’nti ekaṃ satthavāhaṃ anubandhi. Sukhumālassa kulaputtassa kaṭhinatattāya pathaviyā gachantassa pādatalesu phoṭā uṭṭhahitvā bhijjanti, dukkhā vedanā uppajjanti. Satthavāhe khandhāvāraṃ bandhitvā nisinne kulaputto maggā okkamma ekasmiṃ rukkhamūle nisīdati. Nisinnaṭṭhāne pādaparikammaṃ vā piṭṭhiparikammaṃ vā kattā nāma natthi, kulaputto ānāpānacatutthajjhānaṃ samāpajjitvā maggadarathakilamathapariḷāhaṃ vikkhambhetvā jhānaratiyā vītināmeti.

    ปุนทิวเส อุฎฺฐิเต อรุเณ สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา ปุน สตฺถวาหํ อนุพนฺธติฯ ปาตราสกาเล กุลปุตฺตสฺส ปตฺตํ คเหตฺวา ขาทนียํ โภชนียํ ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา เทนฺติฯ ตํ อุตฺตณฺฑุลมฺปิ โหติ กิลินฺนมฺปิ สมสกฺขรมฺปิ อโลณาติโลณมฺปิ, กุลปุโตฺต ปวิสนฎฺฐานํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อมตํ วิย ปริภุญฺชิตฺวา เอเตน นิยาเมน อฎฺฐหิ อูนกานิ เทฺว โยชนสตานิ คโตฯ เชตวนทฺวารโกฎฺฐกสฺส ปน สมีเปน คจฺฉโนฺตปิ – ‘‘กหํ สตฺถา วสตี’’ติ นาปุจฺฉิฯ กสฺมา? สตฺถุคารเวน เจว รโญฺญ เปสิตสาสนวเสน จฯ รโญฺญ หิ – ‘‘อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชตี’’ติ สตฺถารํ ราชคเห อุปฺปนฺนํ วิย กตฺวา สาสนํ เปสิตํ, ตสฺมา นํ อปุจฺฉิตฺวาว ปญฺจจตฺตาลีสโยชนมตฺตํ มคฺคํ อติกฺกโนฺตฯ โส สูริยตฺถงฺคมนเวลาย ราชคหํ ปตฺวา สตฺถา กหํ วสตีติ ปุจฺฉิฯ กุโต นุ, ภเนฺต, อาคโตติ? อิโต อุตฺตรโตติฯ สตฺถา ตุยฺหํ อาคตมเคฺค อิโต ปญฺจจตฺตาลีสโยชนมเตฺต สาวตฺถิ นาม อตฺถิ, ตตฺถ วสตีติฯ กุลปุโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อิทานิ อกาโล น สกฺกา คนฺตุํ, อชฺช อิเธว วสิตฺวา เสฺว สตฺถุ สนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติฯ ตโต – ‘‘วิกาเล สมฺปตฺตปพฺพชิตา กหํ วสนฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ อิมาย กุมฺภการสาลาย, ภเนฺตติฯ อถ โส ตํ กุมฺภการํ ยาจิตฺวา ตตฺถ วาสตฺถาย ปวิสิตฺวา นิสีทิฯ

    Punadivase uṭṭhite aruṇe sarīrapaṭijagganaṃ katvā puna satthavāhaṃ anubandhati. Pātarāsakāle kulaputtassa pattaṃ gahetvā khādanīyaṃ bhojanīyaṃ patte pakkhipitvā denti. Taṃ uttaṇḍulampi hoti kilinnampi samasakkharampi aloṇātiloṇampi, kulaputto pavisanaṭṭhānaṃ paccavekkhitvā amataṃ viya paribhuñjitvā etena niyāmena aṭṭhahi ūnakāni dve yojanasatāni gato. Jetavanadvārakoṭṭhakassa pana samīpena gacchantopi – ‘‘kahaṃ satthā vasatī’’ti nāpucchi. Kasmā? Satthugāravena ceva rañño pesitasāsanavasena ca. Rañño hi – ‘‘idha tathāgato loke uppajjatī’’ti satthāraṃ rājagahe uppannaṃ viya katvā sāsanaṃ pesitaṃ, tasmā naṃ apucchitvāva pañcacattālīsayojanamattaṃ maggaṃ atikkanto. So sūriyatthaṅgamanavelāya rājagahaṃ patvā satthā kahaṃ vasatīti pucchi. Kuto nu, bhante, āgatoti? Ito uttaratoti. Satthā tuyhaṃ āgatamagge ito pañcacattālīsayojanamatte sāvatthi nāma atthi, tattha vasatīti. Kulaputto cintesi – ‘‘idāni akālo na sakkā gantuṃ, ajja idheva vasitvā sve satthu santikaṃ gamissāmī’’ti. Tato – ‘‘vikāle sampattapabbajitā kahaṃ vasantī’’ti pucchi. Imāya kumbhakārasālāya, bhanteti. Atha so taṃ kumbhakāraṃ yācitvā tattha vāsatthāya pavisitvā nisīdi.

    ภควาปิ ตํทิวสํ ปจฺจูสกาเล โลกํ โวโลเกโนฺต ปุกฺกุสาติํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ กุลปุโตฺต สหาเยน เปสิตํ สาสนมตฺตกํ วาเจตฺวา อติเรกติโยชนสติกํ มหารชฺชํ ปหาย มํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิตฺวา อฎฺฐหิ อูนกานิ เทฺว โยชนสตานิ อติกฺกมฺม ราชคหํ ปาปุณิสฺสติ, มยิ อคจฺฉเนฺต ปน ตีณิ สามญฺญผลานิ อปฺปฎิวิชฺฌิตฺวา เอกรตฺติวาเสน อนาถกาลกิริยํ กริสฺสติ, มยิ ปน คเต ตีณิ สามญฺญผลานิ ปฎิวิชฺฌิสฺสติฯ ชนสงฺคหตฺถาเยว ปน มยา สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูริตา, กริสฺสามิ ตสฺส สงฺคห’’นฺติ ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฺปฎิกฺกโนฺต คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา มุหุตฺตํ อตฺตทรถกิลมถํ ปฎิปสฺสเมฺภตฺวา – ‘‘กุลปุโตฺต มยิ คารเวน ทุกฺกรํ อกาสิ, อติเรกโยชนสตํ รชฺชํ ปหาย อนฺตมโส มุขโธวนทายกมฺปิ เจฎกํ อคฺคเหตฺวา เอกโกว นิกฺขโนฺต’’ติ สาริปุตฺตมหาโมคฺคลฺลานาทีสุ กญฺจิ อนามเนฺตตฺวา สยเมว อตฺตโน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา เอกโกว นิกฺขโนฺตฯ คจฺฉโนฺต จ เนว อากาเส อุปฺปติ, น ปถวิํ สํขิปิ, – ‘‘กุลปุโตฺต มม ลชฺชมาโน หตฺถิอสฺสรถสุวณฺณสิวิกาทีสุ เอกยาเนปิ อนิสีทิตฺวา อนฺตมโส เอกปฎลิกํ อุปาหนมฺปิ อนารุยฺห ปณฺณจฺฉตฺตกมฺปิ อคฺคเหตฺวา นิกฺขโนฺต, มยาปิ ปทสาว คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ ปน จิเนฺตตฺวา ปทสาว อคมาสิฯ

    Bhagavāpi taṃdivasaṃ paccūsakāle lokaṃ volokento pukkusātiṃ disvā cintesi – ‘‘ayaṃ kulaputto sahāyena pesitaṃ sāsanamattakaṃ vācetvā atirekatiyojanasatikaṃ mahārajjaṃ pahāya maṃ uddissa pabbajitvā aṭṭhahi ūnakāni dve yojanasatāni atikkamma rājagahaṃ pāpuṇissati, mayi agacchante pana tīṇi sāmaññaphalāni appaṭivijjhitvā ekarattivāsena anāthakālakiriyaṃ karissati, mayi pana gate tīṇi sāmaññaphalāni paṭivijjhissati. Janasaṅgahatthāyeva pana mayā satasahassakappādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūritā, karissāmi tassa saṅgaha’’nti pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā bhikkhusaṅghaparivuto sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātappaṭikkanto gandhakuṭiṃ pavisitvā muhuttaṃ attadarathakilamathaṃ paṭipassambhetvā – ‘‘kulaputto mayi gāravena dukkaraṃ akāsi, atirekayojanasataṃ rajjaṃ pahāya antamaso mukhadhovanadāyakampi ceṭakaṃ aggahetvā ekakova nikkhanto’’ti sāriputtamahāmoggallānādīsu kañci anāmantetvā sayameva attano pattacīvaraṃ gahetvā ekakova nikkhanto. Gacchanto ca neva ākāse uppati, na pathaviṃ saṃkhipi, – ‘‘kulaputto mama lajjamāno hatthiassarathasuvaṇṇasivikādīsu ekayānepi anisīditvā antamaso ekapaṭalikaṃ upāhanampi anāruyha paṇṇacchattakampi aggahetvā nikkhanto, mayāpi padasāva gantuṃ vaṭṭatī’’ti pana cintetvā padasāva agamāsi.

    โส อสีติ อนุพฺยญฺชนานิ พฺยามปฺปภา พาตฺติํส มหาปุริสลกฺขณานีติ อิมํ พุทฺธสิริํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา วลาหกปฎิจฺฉโนฺน ปุณฺณจโนฺท วิย อญฺญตรภิกฺขุเวเสน คจฺฉโนฺต เอกปจฺฉาภเตฺตเนว ปญฺจจตฺตาลีส โยชนานิ อติกฺกมฺม สูริยตฺถงฺคมลีเวลาย กุลปุเตฺต ปวิฎฺฐมเตฺตเยว ตํ กุมฺภการสาลํ ปาปุณิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘เตน โข ปน สมเยน, ปุกฺกุสาติ, นาม กุลปุโตฺต ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส สทฺธาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, โส ตสฺมิํ กุมฺภการาเวสเน ปฐมํ วาสูปคโต โหตี’’ติฯ

    So asīti anubyañjanāni byāmappabhā bāttiṃsa mahāpurisalakkhaṇānīti imaṃ buddhasiriṃ paṭicchādetvā valāhakapaṭicchanno puṇṇacando viya aññatarabhikkhuvesena gacchanto ekapacchābhatteneva pañcacattālīsa yojanāni atikkamma sūriyatthaṅgamalīvelāya kulaputte paviṭṭhamatteyeva taṃ kumbhakārasālaṃ pāpuṇi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘tena kho pana samayena, pukkusāti, nāma kulaputto bhagavantaṃ uddissa saddhāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, so tasmiṃ kumbhakārāvesane paṭhamaṃ vāsūpagato hotī’’ti.

    เอวํ คนฺตฺวาปิ ปน ภควา – ‘‘อหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ ปสยฺห กุมฺภการสาลํ อปวิสิตฺวา ทฺวาเร ฐิโตว กุลปุตฺตํ โอกาสํ กาเรโนฺต สเจ เต ภิกฺขูติอาทิมาหฯ อุรุนฺทนฺติ วิวิตฺตํ อสมฺพาธํฯ วิหรตายสฺมา ยถาสุขนฺติ เยน เยน อิริยาปเถน ผาสุ โหติ, เตน เตน ยถาสุขํ อายสฺมา วิหรตูติ โอกาสํ อกาสิฯ อติเรกติโยชนสตญฺหิ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโต กุลปุโตฺต ปรสฺส ฉฑฺฑิตปติตํ กุมฺภการสาลํ กิํ อญฺญสฺส สพฺรหฺมจาริโน มจฺฉรายิสฺสติฯ เอกเจฺจ ปน โมฆปุริสา สาสเน ปพฺพชิตฺวา อาวาสมจฺฉริยาทีหิ อภิภูตา อตฺตโน วสนฎฺฐาเน มยฺหํ กุฎิ มยฺหํ ปริเวณนฺติ อเญฺญสํ อวาสาย ปรกฺกมนฺติฯ นิสีทีติ อจฺจนฺตสุขุมาโล โลกนาโถ เทววิมานสทิสํ คนฺธกุฎิํ ปหาย ตตฺถ ตตฺถ วิปฺปกิณฺณฉาริกาย ภินฺนภาชนติณปลาสกุกฺกุฎสูกรวจฺจาทิสํกิลิฎฺฐาย สงฺการฎฺฐานสทิสาย กุมฺภการสาลาย ติณสนฺถารํ สนฺถริตฺวา ปํสุกูลจีวรํ ปญฺญเปตฺวา เทววิมานสทิสํ ทิพฺพคนฺธสุคนฺธํ คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา นิสีทโนฺต วิย นิสีทิฯ

    Evaṃ gantvāpi pana bhagavā – ‘‘ahaṃ sammāsambuddho’’ti pasayha kumbhakārasālaṃ apavisitvā dvāre ṭhitova kulaputtaṃ okāsaṃ kārento sace te bhikkhūtiādimāha. Urundanti vivittaṃ asambādhaṃ. Viharatāyasmā yathāsukhanti yena yena iriyāpathena phāsu hoti, tena tena yathāsukhaṃ āyasmā viharatūti okāsaṃ akāsi. Atirekatiyojanasatañhi rajjaṃ pahāya pabbajito kulaputto parassa chaḍḍitapatitaṃ kumbhakārasālaṃ kiṃ aññassa sabrahmacārino maccharāyissati. Ekacce pana moghapurisā sāsane pabbajitvā āvāsamacchariyādīhi abhibhūtā attano vasanaṭṭhāne mayhaṃ kuṭi mayhaṃ pariveṇanti aññesaṃ avāsāya parakkamanti. Nisīdīti accantasukhumālo lokanātho devavimānasadisaṃ gandhakuṭiṃ pahāya tattha tattha vippakiṇṇachārikāya bhinnabhājanatiṇapalāsakukkuṭasūkaravaccādisaṃkiliṭṭhāya saṅkāraṭṭhānasadisāya kumbhakārasālāya tiṇasanthāraṃ santharitvā paṃsukūlacīvaraṃ paññapetvā devavimānasadisaṃ dibbagandhasugandhaṃ gandhakuṭiṃ pavisitvā nisīdanto viya nisīdi.

    อิติ ภควาปิ อสมฺภินฺนมหาสมฺมตวํเส อุปฺปโนฺน, กุลปุโตฺตปิ ขตฺติยคเพฺภ วฑฺฒิโตฯ ภควาปิ อภินีหารสมฺปโนฺน, กุลปุโตฺตปิ อภินีหารสมฺปโนฺนฯ ภควาปิ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโต, กุลปุโตฺตปิฯ ภควาปิ สุวณฺณวโณฺณ, กุลปุโตฺตปิฯ ภควาปิ สมาปตฺติลาภี, กุลปุโตฺตปิฯ อิติ เทฺวปิ ขตฺติยา เทฺวปิ อภินีหารสมฺปนฺนา เทฺวปิ ราชปพฺพชิตา เทฺวปิ สุวณฺณวณฺณา เทฺวปิ สมาปตฺติลาภิโน กุมฺภการสาลํ ปวิสิตฺวา นิสินฺนาติ เตหิ กุมฺภการสาลา อติวิย โสภติ, ทฺวีหิ สีหาทีหิ ปวิฎฺฐคุหาทีหิ อาหริตฺวา ทีเปตพฺพํฯ เตสุ ปน ทฺวีสุ ภควา – ‘‘สุขุมาโล อหํ ปรมสุขุมาโล เอกปจฺฉาภเตฺตน ปญฺจจตฺตาลีส โยชนานิ อาคโต, มุหุตฺตํ ตาว สีหเสยฺยํ กเปฺปตฺวา มคฺคทรถํ ปฎิปสฺสเมฺภมี’’ติ จิตฺตมฺปิ อนุปฺปาเทตฺวา นิสีทโนฺตว ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชิฯ กุลปุโตฺตปิ – ‘‘ทฺวานวุติโยชนสตํ อาคโตมฺหิ, มุหุตฺตํ ตาว นิปชฺชิตฺวา มคฺคทรถํ วิโนเทมี’’ติ จิตฺตํ อนุปฺปาเทตฺวา นิสีทมาโนว อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิฯ อิทํ สนฺธาย อถ โข ภควา พหุเทว รตฺตินฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Iti bhagavāpi asambhinnamahāsammatavaṃse uppanno, kulaputtopi khattiyagabbhe vaḍḍhito. Bhagavāpi abhinīhārasampanno, kulaputtopi abhinīhārasampanno. Bhagavāpi rajjaṃ pahāya pabbajito, kulaputtopi. Bhagavāpi suvaṇṇavaṇṇo, kulaputtopi. Bhagavāpi samāpattilābhī, kulaputtopi. Iti dvepi khattiyā dvepi abhinīhārasampannā dvepi rājapabbajitā dvepi suvaṇṇavaṇṇā dvepi samāpattilābhino kumbhakārasālaṃ pavisitvā nisinnāti tehi kumbhakārasālā ativiya sobhati, dvīhi sīhādīhi paviṭṭhaguhādīhi āharitvā dīpetabbaṃ. Tesu pana dvīsu bhagavā – ‘‘sukhumālo ahaṃ paramasukhumālo ekapacchābhattena pañcacattālīsa yojanāni āgato, muhuttaṃ tāva sīhaseyyaṃ kappetvā maggadarathaṃ paṭipassambhemī’’ti cittampi anuppādetvā nisīdantova phalasamāpattiṃ samāpajji. Kulaputtopi – ‘‘dvānavutiyojanasataṃ āgatomhi, muhuttaṃ tāva nipajjitvā maggadarathaṃ vinodemī’’ti cittaṃ anuppādetvā nisīdamānova ānāpānacatutthajjhānaṃ samāpajji. Idaṃ sandhāya atha kho bhagavā bahudeva rattintiādi vuttaṃ.

    นนุ จ ภควา กุลปุตฺตสฺส ธมฺมํ เทเสสฺสามีติ อาคโต, กสฺมา น เทเสสีติ? กุลปุตฺตสฺส มคฺคทรโถ อปฺปฎิปสฺสโทฺธ, น สกฺขิสฺสติ ธมฺมเทสนํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ, โส ตาวสฺส ปฎิปสฺสมฺภตูติ น เทเสสิฯ อปเร – ‘‘ราชคหํ นาม อากิณฺณมนุสฺสํ อวิวิตฺตํ ทสหิ สเทฺทหิ, โส สโทฺท ทิยฑฺฒยามมเตฺตน สนฺนิสีทติ, ตํ อาคเมโนฺต น เทเสสี’’ติ วทนฺติฯ ตํ อการณํ, พฺรหฺมโลกปฺปมาณมฺปิ หิ สทฺทํ ภควา อตฺตโน อานุภาเวน วูปสเมตุํ สโกฺกติ, มคฺคทรถวูปสมํ อาคเมโนฺตเยว ปน น เทเสสิฯ

    Nanu ca bhagavā kulaputtassa dhammaṃ desessāmīti āgato, kasmā na desesīti? Kulaputtassa maggadaratho appaṭipassaddho, na sakkhissati dhammadesanaṃ sampaṭicchituṃ, so tāvassa paṭipassambhatūti na desesi. Apare – ‘‘rājagahaṃ nāma ākiṇṇamanussaṃ avivittaṃ dasahi saddehi, so saddo diyaḍḍhayāmamattena sannisīdati, taṃ āgamento na desesī’’ti vadanti. Taṃ akāraṇaṃ, brahmalokappamāṇampi hi saddaṃ bhagavā attano ānubhāvena vūpasametuṃ sakkoti, maggadarathavūpasamaṃ āgamentoyeva pana na desesi.

    ตตฺถ พหุเทว รตฺตินฺติ ทิยฑฺฒยามมตฺตํฯ เอตทโหสีติ ภควา ผลสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย สุวณฺณวิมาเน มณิสีหปญฺชรํ วิวรโนฺต วิย ปญฺจปสาทปฺปฎิมณฺฑิตานิ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา โอโลเกสิ, อถสฺส หตฺถกุกฺกุจฺจปาทกุกฺกุจฺจสีสกมฺปนวิรหิตํ สุนิขาตอินฺทขีลํ วิย นิจฺจลํ อวิพฺภนฺตํ สุวณฺณปฎิมํ วิย นิสินฺนํ กุลปุตฺตํ ทิสฺวา เอตํ – ‘‘ปาสาทิกํ โข’’ติอาทิ อโหสิฯ ตตฺถ ปาสาทิกนฺติ ปสาทาวหํฯ ภาวนปุํสกํ ปเนตํ, ปาสาทิเกน อิริยาปเถน อิริยติฯ ยถา อิริยโต อิริยาปโถ ปาสาทิโก โหติ, เอวํ อิริยตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ จตูสุ หิ อิริยาปเถสุ ตโย อิริยาปถา น โสภนฺติฯ คจฺฉนฺตสฺส หิ ภิกฺขุโน หตฺถา จลนฺติ, ปาทา จลนฺติ, สีสํ จลติ, ฐิตสฺส กาโย ถโทฺธ โหติ, นิปนฺนสฺสาปิ อิริยาปโถ อมนาโป โหติ, ปจฺฉาภเตฺต ปน ทิวาฎฺฐานํ สมฺมชฺชิตฺวา จมฺมขณฺฑํ ปญฺญเปตฺวา สุโธตหตฺถปาทสฺส จตุสนฺธิกปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิปนฺนเสฺสว อิริยาปโถ โสภติฯ อยญฺจ กุลปุโตฺต ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ อเปฺปตฺวา นิสีทิฯ อิติสฺส อิริยาปเถเนว ปสโนฺน ภควา – ‘‘ปาสาทิกํ โข’’ติ ปริวิตเกฺกสิฯ

    Tattha bahudeva rattinti diyaḍḍhayāmamattaṃ. Etadahosīti bhagavā phalasamāpattito vuṭṭhāya suvaṇṇavimāne maṇisīhapañjaraṃ vivaranto viya pañcapasādappaṭimaṇḍitāni akkhīni ummīletvā olokesi, athassa hatthakukkuccapādakukkuccasīsakampanavirahitaṃ sunikhātaindakhīlaṃ viya niccalaṃ avibbhantaṃ suvaṇṇapaṭimaṃ viya nisinnaṃ kulaputtaṃ disvā etaṃ – ‘‘pāsādikaṃ kho’’tiādi ahosi. Tattha pāsādikanti pasādāvahaṃ. Bhāvanapuṃsakaṃ panetaṃ, pāsādikena iriyāpathena iriyati. Yathā iriyato iriyāpatho pāsādiko hoti, evaṃ iriyatīti ayamettha attho. Catūsu hi iriyāpathesu tayo iriyāpathā na sobhanti. Gacchantassa hi bhikkhuno hatthā calanti, pādā calanti, sīsaṃ calati, ṭhitassa kāyo thaddho hoti, nipannassāpi iriyāpatho amanāpo hoti, pacchābhatte pana divāṭṭhānaṃ sammajjitvā cammakhaṇḍaṃ paññapetvā sudhotahatthapādassa catusandhikapallaṅkaṃ ābhujitvā nipannasseva iriyāpatho sobhati. Ayañca kulaputto pallaṅkaṃ ābhujitvā ānāpānacatutthajjhānaṃ appetvā nisīdi. Itissa iriyāpatheneva pasanno bhagavā – ‘‘pāsādikaṃ kho’’ti parivitakkesi.

    ยํนูนาหํ ปุเจฺฉยฺยนฺติ กสฺมา ปุจฺฉติ? กิํ ภควา อตฺตานํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิตภาวํ น ชานาตีติ? โน น ชานาติ, อปุจฺฉิเต ปน กถา น ปติฎฺฐาติ, อปติฎฺฐิตาย กถาย กถา น สญฺชายตีติ กถาปติฎฺฐาปนตฺถํ ปุจฺฉิฯ

    Yaṃnūnāhaṃ puccheyyanti kasmā pucchati? Kiṃ bhagavā attānaṃ uddissa pabbajitabhāvaṃ na jānātīti? No na jānāti, apucchite pana kathā na patiṭṭhāti, apatiṭṭhitāya kathāya kathā na sañjāyatīti kathāpatiṭṭhāpanatthaṃ pucchi.

    ทิสฺวา จ ปน ชาเนยฺยาสีติ ตถาคตํ พุทฺธสิริยา วิโรจนฺตํ อยํ พุโทฺธติ สเพฺพ ชานนฺติฯ อนจฺฉริยเมตํ ชานนํ, พุทฺธสิริํ ปน ปฎิจฺฉาเทตฺวา อญฺญตรปิณฺฑปาติกเวเสน จรโนฺต ทุชฺชาโน โหติฯ อิจฺจายสฺมา, ปุกฺกุสาติ, ‘‘น ชาเนยฺย’’นฺติ สภาวเมว กเถติฯ ตถา หิ นํ เอกกุมฺภการสาลาย นิสินฺนมฺปิ น ชานาติฯ

    Disvāca pana jāneyyāsīti tathāgataṃ buddhasiriyā virocantaṃ ayaṃ buddhoti sabbe jānanti. Anacchariyametaṃ jānanaṃ, buddhasiriṃ pana paṭicchādetvā aññatarapiṇḍapātikavesena caranto dujjāno hoti. Iccāyasmā, pukkusāti, ‘‘na jāneyya’’nti sabhāvameva katheti. Tathā hi naṃ ekakumbhakārasālāya nisinnampi na jānāti.

    เอตทโหสีติ มคฺคทรถสฺส วูปสมภาวํ ญตฺวา อโหสิฯ เอวมาวุโสติ กุลปุโตฺต สหาเยน เปสิตํ สาสนมตฺตํ วาเจตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชมาโน – ‘‘ทสพลสฺส มธุรธมฺมเทสนํ โสตุํ ลภิสฺสามี’’ติฯ ปพฺพชิโต, ปพฺพชิตฺวา เอตฺตกํ อทฺธานํ อาคจฺฉโนฺต – ‘‘ธมฺมํ เต ภิกฺขุ เทเสสฺสามี’’ติ ปทมตฺตสฺส วตฺตารํ นาลตฺถ, โส ‘‘ธมฺมํ เต ภิกฺขุ เทเสสฺสามี’’ติ วุตฺตํ กิํ สกฺกจฺจํ น สุณิสฺสติฯ ปิปาสิตโสโณฺฑ วิย หิ ปิปาสิตหตฺถี วิย จายํ, ตสฺมา สกฺกจฺจํ สวนํ ปฎิชานโนฺต ‘‘เอวมาวุโส’’ติ อาหฯ

    Etadahosīti maggadarathassa vūpasamabhāvaṃ ñatvā ahosi. Evamāvusoti kulaputto sahāyena pesitaṃ sāsanamattaṃ vācetvā rajjaṃ pahāya pabbajamāno – ‘‘dasabalassa madhuradhammadesanaṃ sotuṃ labhissāmī’’ti. Pabbajito, pabbajitvā ettakaṃ addhānaṃ āgacchanto – ‘‘dhammaṃ te bhikkhu desessāmī’’ti padamattassa vattāraṃ nālattha, so ‘‘dhammaṃ te bhikkhu desessāmī’’ti vuttaṃ kiṃ sakkaccaṃ na suṇissati. Pipāsitasoṇḍo viya hi pipāsitahatthī viya cāyaṃ, tasmā sakkaccaṃ savanaṃ paṭijānanto ‘‘evamāvuso’’ti āha.

    ๓๔๓. ฉธาตุโร อยนฺติ ภควา กุลปุตฺตสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทํ อกเถตฺวา อาทิโตว อรหตฺตสฺส ปทฎฺฐานภูตํ อจฺจนฺตสุญฺญตํ วิปสฺสนาลกฺขณเมว อาจิกฺขิตุํ อารโทฺธฯ ยสฺส หิ ปุพฺพภาคปฎิปทา อปริสุทฺธา โหติ, ตสฺส ปฐมเมว สีลสํวรํ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตํ โภชเน มตฺตญฺญุตํ ชาคริยานุโยคํ สตฺต สทฺธเมฺม จตฺตาริ ฌานานีติ อิมํ ปุพฺพภาคปฎิปทํ อาจิกฺขติฯ ยสฺส ปเนสา ปริสุทฺธา, ตสฺส ตํ อกเถตฺวา อรหตฺตสฺส ปทฎฺฐานภูตํ วิปสฺสนเมว อาจิกฺขติฯ กุลปุตฺตสฺส จ ปุพฺพภาคปฎิปทา ปริสุทฺธาฯ ตถา หิ อเนน สาสนํ วาเจตฺวา ปาสาทวรคเตเนว อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพตฺติตํ, ยทสฺส ทฺวานวุติโยชนสภํ อาคจฺฉนฺตสฺส ยานกิจฺจํ สาเธสิ, สามเณรสีลมฺปิสฺส ปริปุณฺณํฯ ตสฺมา ปุพฺพภาคปฎิปทํ อกเถตฺวา อรหตฺตสฺส ปทฎฺฐานภูตํ อจฺจนฺตสุญฺญตํ วิปสฺสนาลกฺขณเมวสฺส อาจิกฺขิตุํ อารโทฺธฯ

    343.Chadhāturo ayanti bhagavā kulaputtassa pubbabhāgapaṭipadaṃ akathetvā āditova arahattassa padaṭṭhānabhūtaṃ accantasuññataṃ vipassanālakkhaṇameva ācikkhituṃ āraddho. Yassa hi pubbabhāgapaṭipadā aparisuddhā hoti, tassa paṭhamameva sīlasaṃvaraṃ indriyesu guttadvārataṃ bhojane mattaññutaṃ jāgariyānuyogaṃ satta saddhamme cattāri jhānānīti imaṃ pubbabhāgapaṭipadaṃ ācikkhati. Yassa panesā parisuddhā, tassa taṃ akathetvā arahattassa padaṭṭhānabhūtaṃ vipassanameva ācikkhati. Kulaputtassa ca pubbabhāgapaṭipadā parisuddhā. Tathā hi anena sāsanaṃ vācetvā pāsādavaragateneva ānāpānacatutthajjhānaṃ nibbattitaṃ, yadassa dvānavutiyojanasabhaṃ āgacchantassa yānakiccaṃ sādhesi, sāmaṇerasīlampissa paripuṇṇaṃ. Tasmā pubbabhāgapaṭipadaṃ akathetvā arahattassa padaṭṭhānabhūtaṃ accantasuññataṃ vipassanālakkhaṇamevassa ācikkhituṃ āraddho.

    ตตฺถ ฉธาตุโรติ ธาตุโย วิชฺชมานา, ปุริโส อวิชฺชมาโนฯ ภควา หิ กตฺถจิ วิชฺชมาเนน อวิชฺชมานํ ทเสฺสติ, กตฺถจิ อวิชฺชมาเนน วิชฺชมานํ, กตฺถจิ วิชฺชมาเนน วิชฺชมานํ, กตฺถจิ อวิชฺชมาเนน อวิชฺชมานนฺติ สพฺพาสเว วุตฺตนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ อิธ ปน วิชฺชมาเนน อวิชฺชมานํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ สเจ หิ ภควา ปุริโสติ ปณฺณตฺติํ วิสฺสเชฺชตฺวา ธาตุโย อิเจฺจว วตฺวา จิตฺตํ อุปฎฺฐาเปยฺย, กุลปุโตฺต สเนฺทหํ กเรยฺย, สโมฺมหํ อาปเชฺชยฺย, เทสนํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ ตสฺมา ตถาคโต อนุปุเพฺพน ปุริโสติ ปณฺณตฺติํ ปหาย ‘‘สโตฺตติ วา ปุริโสติ วา ปุคฺคโลติ วา ปณฺณตฺติมตฺตเมว, ปรมตฺถโต สโตฺต นาม นตฺถิ, ธาตุมเตฺตเยว จิตฺตํ ฐปาเปตฺวา ตีณิ ผลานิ ปฎิวิชฺฌาเปสฺสามี’’ติ อนงฺคณสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๕๗ อาทโย) วุตฺตภาสนฺตรกุสโล ตาย ตาย ภาสาย สิปฺปํ อุคฺคณฺหาเปโนฺต อาจริโย วิย เอวมาหฯ

    Tattha chadhāturoti dhātuyo vijjamānā, puriso avijjamāno. Bhagavā hi katthaci vijjamānena avijjamānaṃ dasseti, katthaci avijjamānena vijjamānaṃ, katthaci vijjamānena vijjamānaṃ, katthaci avijjamānena avijjamānanti sabbāsave vuttanayeneva vitthāretabbaṃ. Idha pana vijjamānena avijjamānaṃ dassento evamāha. Sace hi bhagavā purisoti paṇṇattiṃ vissajjetvā dhātuyo icceva vatvā cittaṃ upaṭṭhāpeyya, kulaputto sandehaṃ kareyya, sammohaṃ āpajjeyya, desanaṃ sampaṭicchituṃ na sakkuṇeyya. Tasmā tathāgato anupubbena purisoti paṇṇattiṃ pahāya ‘‘sattoti vā purisoti vā puggaloti vā paṇṇattimattameva, paramatthato satto nāma natthi, dhātumatteyeva cittaṃ ṭhapāpetvā tīṇi phalāni paṭivijjhāpessāmī’’ti anaṅgaṇasutte (ma. ni. 1.57 ādayo) vuttabhāsantarakusalo tāya tāya bhāsāya sippaṃ uggaṇhāpento ācariyo viya evamāha.

    ตตฺถ ฉ ธาตุโย อสฺสาติ ฉธาตุโรฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ ตฺวํ ปุริโสติ สญฺชานาสิ, โส ฉธาตุโก, น เจตฺถ ปรมตฺถโต ปุริโส อตฺถิ, ปุริโสติ ปน ปณฺณตฺติมตฺตเมวาติฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ จตุราธิฎฺฐาโนติ เอตฺถ อธิฎฺฐานํ วุจฺจติ ปติฎฺฐา, จตุปติฎฺฐาโนติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สฺวายํ ภิกฺขุ ปุริโส ฉธาตุโร ฉผสฺสายตโน อฎฺฐารสมโนปวิจาโร, โส เอโตฺตว วิวฎฺฎิตฺวา อุตฺตมสิทฺธิภูตํ อรหตฺตํ คณฺหมาโน อิเมสุ จตูสุ ฐาเนสุ ปติฎฺฐาย คณฺหาตีติ จตุราธิฎฺฐาโนติฯ ยตฺถ ฐิตนฺติ เยสุ อธิฎฺฐาเนสุ ปติฎฺฐิตํฯ มญฺญสฺส วา นปฺปวตฺตนฺตีติ มญฺญสฺส วา มานสฺส วา นปฺปวตฺตนฺติฯ มุนิ สโนฺตติ วุจฺจตีติ ขีณาสวมุนิ อุปสโนฺต นิพฺพุโตติ วุจฺจติฯ ปญฺญํ นปฺปมเชฺชยฺยาติ อรหตฺตผลปญฺญาย ปฎิวิชฺฌนตฺถํ อาทิโตว สมาธิวิปสฺสนาปญฺญํ นปฺปมเชฺชยฺยฯ สจฺจมนุรเกฺขยฺยาติ ปรมตฺถสจฺจสฺส นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยตฺถํ อาทิโตว วจีสจฺจํ รเกฺขยฺยฯ จาคมนุพฺรูเหยฺยาติ อรหตฺตมเคฺคน สพฺพกิเลสปริจฺจาคกรณตฺถํ อาทิโตว กิเลสปริจฺจาคํ พฺรูเหยฺยฯ สนฺติเมว โส สิเกฺขยฺยาติ อรหตฺตมเคฺคน สพฺพกิเลสวูปสมนตฺถํ อาทิโตว กิเลสวูปสมนํ สิเกฺขยฺยฯ อิติ ปญฺญาธิฎฺฐานาทีนํ อธิคมตฺถาย อิมานิ สมถวิปสฺสนาปญฺญาทีนิ ปุพฺพภาคาธิฎฺฐานานิ วุตฺตานิฯ

    Tattha cha dhātuyo assāti chadhāturo. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ tvaṃ purisoti sañjānāsi, so chadhātuko, na cettha paramatthato puriso atthi, purisoti pana paṇṇattimattamevāti. Sesapadesupi eseva nayo. Caturādhiṭṭhānoti ettha adhiṭṭhānaṃ vuccati patiṭṭhā, catupatiṭṭhānoti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – svāyaṃ bhikkhu puriso chadhāturo chaphassāyatano aṭṭhārasamanopavicāro, so ettova vivaṭṭitvā uttamasiddhibhūtaṃ arahattaṃ gaṇhamāno imesu catūsu ṭhānesu patiṭṭhāya gaṇhātīti caturādhiṭṭhānoti. Yattha ṭhitanti yesu adhiṭṭhānesu patiṭṭhitaṃ. Maññassa vā nappavattantīti maññassa vā mānassa vā nappavattanti. Muni santoti vuccatīti khīṇāsavamuni upasanto nibbutoti vuccati. Paññaṃ nappamajjeyyāti arahattaphalapaññāya paṭivijjhanatthaṃ āditova samādhivipassanāpaññaṃ nappamajjeyya. Saccamanurakkheyyāti paramatthasaccassa nibbānassa sacchikiriyatthaṃ āditova vacīsaccaṃ rakkheyya. Cāgamanubrūheyyāti arahattamaggena sabbakilesapariccāgakaraṇatthaṃ āditova kilesapariccāgaṃ brūheyya. Santimeva so sikkheyyāti arahattamaggena sabbakilesavūpasamanatthaṃ āditova kilesavūpasamanaṃ sikkheyya. Iti paññādhiṭṭhānādīnaṃ adhigamatthāya imāni samathavipassanāpaññādīni pubbabhāgādhiṭṭhānāni vuttāni.

    ๓๔๕. ผสฺสายตนนฺติ ผสฺสสฺส อายตนํ, อากโรติ อโตฺถฯ ปญฺญาธิฎฺฐานนฺติอาทีนิ ปุเพฺพ วุตฺตานํ อรหตฺตผลปญฺญาทีนํ วเสน เวทิตพฺพานิฯ

    345.Phassāyatananti phassassa āyatanaṃ, ākaroti attho. Paññādhiṭṭhānantiādīni pubbe vuttānaṃ arahattaphalapaññādīnaṃ vasena veditabbāni.

    ๓๔๘. อิทานิ นิกฺขิตฺตมาติกาวเสน ‘‘ยตฺถ ฐิตํ มญฺญสฺส วา นปฺปวตฺตนฺตี’’ติ วตฺตพฺพํ ภเวยฺย, อรหเตฺต ปน ปเตฺต ปุน ‘‘ปญฺญํ นปฺปมเชฺชยฺยา’’ติอาทีหิ กิจฺจํ นตฺถิฯ อิติ ภควา มาติกํ อุปฺปฎิปาฎิธาตุกํ ฐเปตฺวาปิ ยถาธมฺมวเสเนว วิภงฺคํ วิภชโนฺต ปญฺญํ นปฺปมเชฺชยฺยาติอาทิมาหฯ ตตฺถ โก ปญฺญํ ปมชฺชติ, โก นปฺปมชฺชติ? โย ตาว อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวา เวชฺชกมฺมาทิวเสน เอกวีสติวิธาย อเนสนาย ชีวิกํ กเปฺปโนฺต ปพฺพชฺชานุรูเปน จิตฺตุปฺปาทํ ฐเปตุํ น สโกฺกติ, อยํ ปญฺญํ ปมชฺชติ นามฯ โย ปน สาสเน ปพฺพชิตฺวา สีเล ปติฎฺฐาย พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา สปฺปายํ ธุตงฺคํ สมาทาย จิตฺตรุจิตํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิวิตฺตํ เสนาสนํ นิสฺสาย กสิณปริกมฺมํ กตฺวา สมาปตฺติํ ปตฺวา อเชฺชว อรหตฺตนฺติ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา วิจรติ, อยํ ปญฺญํ นปฺปมชฺชติ นามฯ อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต ธาตุกมฺมฎฺฐานวเสน เอส ปญฺญาย อปฺปมาโท วุโตฺตฯ ธาตุกมฺมฎฺฐาเน ปเนตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา หตฺถิปโทปมสุตฺตาทีสุ วุตฺตเมวฯ

    348. Idāni nikkhittamātikāvasena ‘‘yattha ṭhitaṃ maññassa vā nappavattantī’’ti vattabbaṃ bhaveyya, arahatte pana patte puna ‘‘paññaṃ nappamajjeyyā’’tiādīhi kiccaṃ natthi. Iti bhagavā mātikaṃ uppaṭipāṭidhātukaṃ ṭhapetvāpi yathādhammavaseneva vibhaṅgaṃ vibhajanto paññaṃ nappamajjeyyātiādimāha. Tattha ko paññaṃ pamajjati, ko nappamajjati? Yo tāva imasmiṃ sāsane pabbajitvā vejjakammādivasena ekavīsatividhāya anesanāya jīvikaṃ kappento pabbajjānurūpena cittuppādaṃ ṭhapetuṃ na sakkoti, ayaṃ paññaṃ pamajjati nāma. Yo pana sāsane pabbajitvā sīle patiṭṭhāya buddhavacanaṃ uggaṇhitvā sappāyaṃ dhutaṅgaṃ samādāya cittarucitaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvā vivittaṃ senāsanaṃ nissāya kasiṇaparikammaṃ katvā samāpattiṃ patvā ajjeva arahattanti vipassanaṃ vaḍḍhetvā vicarati, ayaṃ paññaṃ nappamajjati nāma. Imasmiṃ pana sutte dhātukammaṭṭhānavasena esa paññāya appamādo vutto. Dhātukammaṭṭhāne panettha yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā hatthipadopamasuttādīsu vuttameva.

    ๓๕๔. อถาปรํ วิญฺญาณํเยว อวสิสฺสตีติ อยเมฺปตฺถ ปาฎิเยโกฺก อนุสนฺธิฯ เหฎฺฐโต หิ รูปกมฺมฎฺฐานํ กถิตํ, อิทานิ อรูปกมฺมฎฺฐานํ เวทนาวเสน นิพฺพเตฺตตฺวา ทเสฺสตุํ อยํ เทสนา อารทฺธาฯ ยํ วา ปเนตํ อิมสฺส ภิกฺขุโน ปถวีธาตุอาทีสุ อาคมนิยวิปสฺสนาวเสน กมฺมการกวิญฺญาณํ, ตํ วิญฺญาณธาตุวเสน ภาเชตฺวา ทเสฺสโนฺตปิ อิมํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ อวสิสฺสตีติ กิมตฺถาย อวสิสฺสติ? สตฺถุ กถนตฺถาย กุลปุตฺตสฺส จ ปฎิวิชฺฌนตฺถาย อวสิสฺสติฯ ปริสุทฺธนฺติ นิรุปกฺกิเลสํฯ ปริโยทาตนฺติ ปภสฺสรํฯ สุขนฺติปิ วิชานาตีติ สุขเวทนํ เวทยมาโน สุขเวทนํ เวทยามีติ ปชานาติฯ เสสปททฺวเยสุปิ เอเสว นโยฯ สเจ ปนายํ เวทนากถา เหฎฺฐา น กถิตา ภเวยฺย, อิธ ฐตฺวา กเถตุํ วเฎฺฎยฺยฯ สติปฎฺฐาเน ปเนสา กถิตาวาติ ตตฺถ กถิตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ สุขเวทนิยนฺติ เอวมาทิ ปจฺจยวเสน อุทยตฺถงฺคมนทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตตฺถ สุขเวทนิยนฺติ สุขเวทนาย ปจฺจยภูตํฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ

    354.Athāparaṃviññāṇaṃyeva avasissatīti ayampettha pāṭiyekko anusandhi. Heṭṭhato hi rūpakammaṭṭhānaṃ kathitaṃ, idāni arūpakammaṭṭhānaṃ vedanāvasena nibbattetvā dassetuṃ ayaṃ desanā āraddhā. Yaṃ vā panetaṃ imassa bhikkhuno pathavīdhātuādīsu āgamaniyavipassanāvasena kammakārakaviññāṇaṃ, taṃ viññāṇadhātuvasena bhājetvā dassentopi imaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha avasissatīti kimatthāya avasissati? Satthu kathanatthāya kulaputtassa ca paṭivijjhanatthāya avasissati. Parisuddhanti nirupakkilesaṃ. Pariyodātanti pabhassaraṃ. Sukhantipi vijānātīti sukhavedanaṃ vedayamāno sukhavedanaṃ vedayāmīti pajānāti. Sesapadadvayesupi eseva nayo. Sace panāyaṃ vedanākathā heṭṭhā na kathitā bhaveyya, idha ṭhatvā kathetuṃ vaṭṭeyya. Satipaṭṭhāne panesā kathitāvāti tattha kathitanayeneva veditabbā. Sukhavedaniyanti evamādi paccayavasena udayatthaṅgamanadassanatthaṃ vuttaṃ. Tattha sukhavedaniyanti sukhavedanāya paccayabhūtaṃ. Sesapadesupi eseva nayo.

    ๓๖๐. อุเปกฺขาเยว อวสิสฺสตีติ เอตฺตาวตา หิ ยถา นาม เฉเกน มณิการาจริเยน วชิรสูจิยา วิชฺฌิตฺวา จมฺมขเณฺฑ ปาเตตฺวา ปาเตตฺวา ทินฺนมุตฺตํ อเนฺตวาสิโก คเหตฺวา คเหตฺวา สุตฺตคตํ กโรโนฺต มุโตฺตลมฺพกมุตฺตชาลาทีนิ กโรติ, เอวเมว ภควตา กเถตฺวา กเถตฺวา ทินฺนํ กมฺมฎฺฐานํ อยํ กุลปุโตฺต มนสิกโรโนฺต มนสิกโรโนฺต ปคุณํ อกาสีติ รูปกมฺมฎฺฐานมฺปิสฺส อรูปกมฺมฎฺฐานมฺปิ ปคุณํ ชาตํ, อถ ภควา ‘‘อถาปรํ อุเปกฺขาเยว อวสิสฺสตี’’ติ อาหฯ

    360.Upekkhāyeva avasissatīti ettāvatā hi yathā nāma chekena maṇikārācariyena vajirasūciyā vijjhitvā cammakhaṇḍe pātetvā pātetvā dinnamuttaṃ antevāsiko gahetvā gahetvā suttagataṃ karonto muttolambakamuttajālādīni karoti, evameva bhagavatā kathetvā kathetvā dinnaṃ kammaṭṭhānaṃ ayaṃ kulaputto manasikaronto manasikaronto paguṇaṃ akāsīti rūpakammaṭṭhānampissa arūpakammaṭṭhānampi paguṇaṃ jātaṃ, atha bhagavā ‘‘athāparaṃ upekkhāyeva avasissatī’’ti āha.

    กิมตฺถํ ปน อวสิสฺสตีติ? สตฺถุ กถนตฺถํฯ กุลปุตฺตสฺส ปฎิวิชฺฌนตฺถนฺติปิ วทนฺติ , ตํ น คเหตพฺพํฯ กุลปุเตฺตน หิ สหายสฺส สาสนํ วาเจตฺวา ปาสาทตเล ฐิเตเนว อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพตฺติตํ, ยทสฺส เอตฺตกํ มคฺคํ อาคจฺฉนฺตสฺส ยานกิจฺจํ สาเธติฯ สตฺถุ กถนตฺถํเยว อวสิสฺสติฯ อิมสฺมิญฺหิ ฐาเน สตฺถา กุลปุตฺตสฺส รูปาวจรชฺฌาเน วณฺณํ กเถสิฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ ‘‘ภิกฺขุ ปคุณํ ตว อิทํ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌาน’’นฺติฯ ปริสุทฺธาติอาทิ ตสฺสาเยว อุเปกฺขาย วณฺณภณนํฯ อุกฺกํ พเนฺธยฺยาติ องฺคารกปลฺลํ สเชฺชยฺยฯ อาลิเมฺปยฺยาติ ตตฺถ องฺคาเร ปกฺขิปิตฺวา อคฺคิํ ทตฺวา นาฬิกาย ธเมโนฺต อคฺคิํ ชาเลยฺยฯ อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺยาติ องฺคาเร วิยูหิตฺวา องฺคารมตฺถเก วา ฐเปยฺย, ตตฺตเก วา ปกฺขิเปยฺยฯ นีหฎนฺติ นีหฎโทสํฯ นินฺนีตกสาวนฺติ อปนีตกสาวํฯ เอวเมว โขติ ยถา ตํ สุวณฺณํ อิจฺฉิติจฺฉิตาย ปิฬนฺธนวิกติยา สํวตฺตติ, เอวเมว อยํ ตาว จตุตฺถชฺฌานุเปกฺขา วิปสฺสนา อภิญฺญา นิโรโธ ภโวกฺกนฺตีติ อิเมสุ ยํ อิจฺฉติ, ตสฺสตฺถาย โหตีติ วณฺณํ กเถสิฯ

    Kimatthaṃ pana avasissatīti? Satthu kathanatthaṃ. Kulaputtassa paṭivijjhanatthantipi vadanti , taṃ na gahetabbaṃ. Kulaputtena hi sahāyassa sāsanaṃ vācetvā pāsādatale ṭhiteneva ānāpānacatutthajjhānaṃ nibbattitaṃ, yadassa ettakaṃ maggaṃ āgacchantassa yānakiccaṃ sādheti. Satthu kathanatthaṃyeva avasissati. Imasmiñhi ṭhāne satthā kulaputtassa rūpāvacarajjhāne vaṇṇaṃ kathesi. Idañhi vuttaṃ hoti ‘‘bhikkhu paguṇaṃ tava idaṃ rūpāvacaracatutthajjhāna’’nti. Parisuddhātiādi tassāyeva upekkhāya vaṇṇabhaṇanaṃ. Ukkaṃ bandheyyāti aṅgārakapallaṃ sajjeyya. Ālimpeyyāti tattha aṅgāre pakkhipitvā aggiṃ datvā nāḷikāya dhamento aggiṃ jāleyya. Ukkāmukhe pakkhipeyyāti aṅgāre viyūhitvā aṅgāramatthake vā ṭhapeyya, tattake vā pakkhipeyya. Nīhaṭanti nīhaṭadosaṃ. Ninnītakasāvanti apanītakasāvaṃ. Evameva khoti yathā taṃ suvaṇṇaṃ icchiticchitāya piḷandhanavikatiyā saṃvattati, evameva ayaṃ tāva catutthajjhānupekkhā vipassanā abhiññā nirodho bhavokkantīti imesu yaṃ icchati, tassatthāya hotīti vaṇṇaṃ kathesi.

    กสฺมา ปน ภควา อิมสฺมิํ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌาเน นิกนฺติปริยาทานตฺถํ อวณฺณํ อกเถตฺวา วณฺณํ กเถสีติฯ กุลปุตฺตสฺส หิ จตุตฺถชฺฌาเน นิกนฺติปริยุฎฺฐานํ พลวํฯ สเจ อวณฺณํ กเถยฺย, – ‘‘มยฺหํ ปพฺพชิตฺวา ทฺวานวุติโยชนสตํ อาคจฺฉนฺตสฺส อิมํ จตุตฺถชฺฌานํ ยานกิจฺจํ สาเธสิ, อหํ เอตฺตกํ มคฺคํ อาคจฺฉโนฺต ฌานสุเขน ฌานรติยา อาคโต, เอวรูปสฺส นาม ปณีตธมฺมสฺส อวณฺณํ กเถติ, ชานํ นุ โข กเถติ อชาน’’นฺติ กุลปุโตฺต สํสยํ สโมฺมหํ อาปเชฺชยฺย, ตสฺมา ภควา วณฺณํ กเถสิฯ

    Kasmā pana bhagavā imasmiṃ rūpāvacaracatutthajjhāne nikantipariyādānatthaṃ avaṇṇaṃ akathetvā vaṇṇaṃ kathesīti. Kulaputtassa hi catutthajjhāne nikantipariyuṭṭhānaṃ balavaṃ. Sace avaṇṇaṃ katheyya, – ‘‘mayhaṃ pabbajitvā dvānavutiyojanasataṃ āgacchantassa imaṃ catutthajjhānaṃ yānakiccaṃ sādhesi, ahaṃ ettakaṃ maggaṃ āgacchanto jhānasukhena jhānaratiyā āgato, evarūpassa nāma paṇītadhammassa avaṇṇaṃ katheti, jānaṃ nu kho katheti ajāna’’nti kulaputto saṃsayaṃ sammohaṃ āpajjeyya, tasmā bhagavā vaṇṇaṃ kathesi.

    ๓๖๑. ตทนุธมฺมนฺติ เอตฺถ อรูปาวจรชฺฌานํ ธโมฺม นาม, ตํ อนุคตตฺตา รูปาวจรชฺฌานํ อนุธโมฺมติ วุตฺตํฯ วิปากชฺฌานํ วา ธโมฺม, กุสลชฺฌานํ อนุธโมฺมฯ ตทุปาทานาติ ตคฺคหณาฯ จิรํ ทีฆมทฺธานนฺติ วีสติกปฺปสหสฺสานิฯ วิปากวเสน เหตํ วุตฺตํฯ อิโต อุตฺตริมฺปิ เอเสว นโยฯ

    361.Tadanudhammanti ettha arūpāvacarajjhānaṃ dhammo nāma, taṃ anugatattā rūpāvacarajjhānaṃ anudhammoti vuttaṃ. Vipākajjhānaṃ vā dhammo, kusalajjhānaṃ anudhammo. Tadupādānāti taggahaṇā. Ciraṃ dīghamaddhānanti vīsatikappasahassāni. Vipākavasena hetaṃ vuttaṃ. Ito uttarimpi eseva nayo.

    ๓๖๒. เอวํ จตูหิ วาเรหิ อรูปาวจรชฺฌานสฺส วณฺณํ กเถตฺวา อิทานิ ตเสฺสว อาทีนวํ ทเสฺสโนฺต โส เอวํ ปชานาตีติอาทิมาหฯ ตตฺถ สงฺขตเมตนฺติ กิญฺจาปิ เอตฺถ วีสติกปฺปสหสฺสานิ อายุ อตฺถิ, เอตํ ปน สงฺขตํ ปกปฺปิตํ อายูหิตํ, กโรเนฺตน กรียติ, อนิจฺจํ อธุวํ อสสฺสตํ ตาวกาลิกํ, จวนปริเภทนวิทฺธํสนธมฺมํ, ชาติยา อนุคตํ, ชราย อนุสฎํ, มรเณน อพฺภาหตํ, ทุเกฺข ปติฎฺฐิตํ, อตาณํ อเลณํ อสรณํ อสรณีภูตนฺติฯ วิญฺญาณญฺจายตนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    362. Evaṃ catūhi vārehi arūpāvacarajjhānassa vaṇṇaṃ kathetvā idāni tasseva ādīnavaṃ dassento so evaṃ pajānātītiādimāha. Tattha saṅkhatametanti kiñcāpi ettha vīsatikappasahassāni āyu atthi, etaṃ pana saṅkhataṃ pakappitaṃ āyūhitaṃ, karontena karīyati, aniccaṃ adhuvaṃ asassataṃ tāvakālikaṃ, cavanaparibhedanaviddhaṃsanadhammaṃ, jātiyā anugataṃ, jarāya anusaṭaṃ, maraṇena abbhāhataṃ, dukkhe patiṭṭhitaṃ, atāṇaṃ aleṇaṃ asaraṇaṃ asaraṇībhūtanti. Viññāṇañcāyatanādīsupi eseva nayo.

    อิทานิ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ คณฺหโนฺต โส เนว ตํ อภิสงฺขโรตีติอาทิมาหฯ ยถา หิ เฉโก ภิสโกฺก วิสวิการํ ทิสฺวา วมนํ กาเรตฺวา วิสํ ฐานโต จาเวตฺวา อุปริ อาโรเปตฺวา ขนฺธํ วา สีสํ วา คเหตุํ อทตฺวา วิสํ โอตาเรตฺวา ปถวิยํ ปาเตยฺย, เอวเมว ภควา กุลปุตฺตสฺส อรูปาวจรชฺฌาเน วณฺณํ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา กุลปุโตฺต รูปาวจรชฺฌาเน นิกนฺติํ ปริยาทาย อรูปาวจรชฺฌาเน ปตฺถนํ ฐเปสิฯ

    Idāni arahattanikūṭena desanaṃ gaṇhanto so neva taṃ abhisaṅkharotītiādimāha. Yathā hi cheko bhisakko visavikāraṃ disvā vamanaṃ kāretvā visaṃ ṭhānato cāvetvā upari āropetvā khandhaṃ vā sīsaṃ vā gahetuṃ adatvā visaṃ otāretvā pathaviyaṃ pāteyya, evameva bhagavā kulaputtassa arūpāvacarajjhāne vaṇṇaṃ kathesi. Taṃ sutvā kulaputto rūpāvacarajjhāne nikantiṃ pariyādāya arūpāvacarajjhāne patthanaṃ ṭhapesi.

    ภควา ตํ ญตฺวา ตํ อสมฺปตฺตสฺส อปฺปฎิลทฺธเสฺสว ภิกฺขุโน ‘‘อเตฺถสา อากาสานญฺจายตนาทีสุ สมฺปตฺติ นามฯ เตสญฺหิ ปฐมพฺรหฺมโลเก วีสติกปฺปสหสฺสานิ อายุ, ทุติเย จตฺตาลีสํ, ตติเย สฎฺฐิ, จตุเตฺถ จตุราสีติ กปฺปสหสฺสานิ อายุฯ ตํ ปน อนิจฺจํ อธุวํ อสสฺสตํ ตาวกาลิกํ, จวนปริเภทนวิทฺธํสนธมฺมํ, ชาติยา อนุคตํ, ชราย อนุสฎํ, มรเณน อพฺภาหตํ, ทุเกฺข ปติฎฺฐิตํ, อตาณํ อเลณํ อสรณํ อสรณีภูตํ, เอตฺตกํ กาลํ ตตฺถ สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวาปิ ปุถุชฺชนกาลกิริยํ กตฺวา ปุน จตูสุ อปาเยสุ ปติตพฺพ’’นฺติ สพฺพเมตํ อาทีนวํ เอกปเทเนว ‘‘สงฺขตเมต’’นฺติ กเถสิฯ กุลปุโตฺต ตํ สุตฺวา อรูปาวจรชฺฌาเน นิกนฺติํ ปริยาทิยิ, ภควา ตสฺส รูปาวจรารูปาวจเรสุ นิกนฺติยา ปริยาทินฺนภาวํ ญตฺวา อรหตฺตนิกูฎํ คณฺหโนฺต ‘‘โส เนว ตํ อภิสงฺขโรตี’’ติอาทิมาหฯ

    Bhagavā taṃ ñatvā taṃ asampattassa appaṭiladdhasseva bhikkhuno ‘‘atthesā ākāsānañcāyatanādīsu sampatti nāma. Tesañhi paṭhamabrahmaloke vīsatikappasahassāni āyu, dutiye cattālīsaṃ, tatiye saṭṭhi, catutthe caturāsīti kappasahassāni āyu. Taṃ pana aniccaṃ adhuvaṃ asassataṃ tāvakālikaṃ, cavanaparibhedanaviddhaṃsanadhammaṃ, jātiyā anugataṃ, jarāya anusaṭaṃ, maraṇena abbhāhataṃ, dukkhe patiṭṭhitaṃ, atāṇaṃ aleṇaṃ asaraṇaṃ asaraṇībhūtaṃ, ettakaṃ kālaṃ tattha sampattiṃ anubhavitvāpi puthujjanakālakiriyaṃ katvā puna catūsu apāyesu patitabba’’nti sabbametaṃ ādīnavaṃ ekapadeneva ‘‘saṅkhatameta’’nti kathesi. Kulaputto taṃ sutvā arūpāvacarajjhāne nikantiṃ pariyādiyi, bhagavā tassa rūpāvacarārūpāvacaresu nikantiyā pariyādinnabhāvaṃ ñatvā arahattanikūṭaṃ gaṇhanto ‘‘so neva taṃ abhisaṅkharotī’’tiādimāha.

    ยถา วา ปเนโก มหาโยโธ เอกํ ราชานํ อาราเธตฺวา สตสหสฺสุฎฺฐานกํ คามวรํ ลเภยฺย, ปุน ราชา ตสฺสานุภาวํ สริตฺวา – ‘‘มหานุภาโว โยโธ, อปฺปกํ เตน ลทฺธ’’นฺติ – ‘‘นายํ ตาต คาโม ตุยฺหํ อนุจฺฉวิโก, อญฺญํ จตุสตสหสฺสุฎฺฐานกํ คณฺหาหี’’ติ ทเทยฺย โส สาธุ เทวาติ ตํ วิสฺสเชฺชตฺวา อิตรํ คามํ คเณฺหยฺยฯ ราชา อสมฺปตฺตเมว จ นํ ปโกฺกสาเปตฺวา – ‘‘กิํ เต เตน, อหิวาตโรโค เอตฺถ อุปฺปชฺชติ? อสุกสฺมิํ ปน ฐาเน มหนฺตํ นครํ อตฺถิ, ตตฺถ ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา รชฺชํ กาเรหี’’ติ ปหิเณยฺย, โส ตถา กเรยฺยฯ

    Yathā vā paneko mahāyodho ekaṃ rājānaṃ ārādhetvā satasahassuṭṭhānakaṃ gāmavaraṃ labheyya, puna rājā tassānubhāvaṃ saritvā – ‘‘mahānubhāvo yodho, appakaṃ tena laddha’’nti – ‘‘nāyaṃ tāta gāmo tuyhaṃ anucchaviko, aññaṃ catusatasahassuṭṭhānakaṃ gaṇhāhī’’ti dadeyya so sādhu devāti taṃ vissajjetvā itaraṃ gāmaṃ gaṇheyya. Rājā asampattameva ca naṃ pakkosāpetvā – ‘‘kiṃ te tena, ahivātarogo ettha uppajjati? Asukasmiṃ pana ṭhāne mahantaṃ nagaraṃ atthi, tattha chattaṃ ussāpetvā rajjaṃ kārehī’’ti pahiṇeyya, so tathā kareyya.

    ตตฺถ ราชา วิย สมฺมาสมฺพุโทฺธ ทฎฺฐโพฺพ, มหาโยโธ วิย ปุกฺกุสาติ กุลปุโตฺต, ปฐมลทฺธคาโม วิย อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ, ตํ วิสฺสเชฺชตฺวา อิตรํ คามํ คณฺหาหีติ วุตฺตกาโล วิย อานาปานจตุตฺถชฺฌาเน นิกนฺติปริยาทานํ กตฺวา อารุปฺปกถนํ, ตํ คามํ อสมฺปตฺตเมว ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กิํ เต เตน, อหิวาตโรโค เอตฺถ อุปฺปชฺชติ? อสุกสฺมิํ ฐาเน นครํ อตฺถิ, ตตฺถ ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา รชฺชํ กาเรหี’’ติ วุตฺตกาโล วิย อรูเป สงฺขตเมตนฺติ อาทีนวกถเนน อปฺปตฺตาสุเยว ตาสุ สมาปตฺตีสุ ปตฺถนํ นิวตฺถาเปตฺวา อุปริ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนาคหณํฯ

    Tattha rājā viya sammāsambuddho daṭṭhabbo, mahāyodho viya pukkusāti kulaputto, paṭhamaladdhagāmo viya ānāpānacatutthajjhānaṃ, taṃ vissajjetvā itaraṃ gāmaṃ gaṇhāhīti vuttakālo viya ānāpānacatutthajjhāne nikantipariyādānaṃ katvā āruppakathanaṃ, taṃ gāmaṃ asampattameva pakkosāpetvā ‘‘kiṃ te tena, ahivātarogo ettha uppajjati? Asukasmiṃ ṭhāne nagaraṃ atthi, tattha chattaṃ ussāpetvā rajjaṃ kārehī’’ti vuttakālo viya arūpe saṅkhatametanti ādīnavakathanena appattāsuyeva tāsu samāpattīsu patthanaṃ nivatthāpetvā upari arahattanikūṭena desanāgahaṇaṃ.

    ตตฺถ เนว อภิสงฺขโรตีติ นายูหติ น ราสิํ กโรติฯ น อภิสเญฺจตยตีติ น กเปฺปติฯ ภวาย วา วิภวาย วาติ วุทฺธิยา วา ปริหานิยา วา, สสฺสตุเจฺฉทวเสนปิ โยเชตพฺพํฯ น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยตีติ โลเก รูปาทีสุ กิญฺจิ เอกธมฺมมฺปิ ตณฺหาย น คณฺหาติ, น ปรามสติฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาตีติ ภควา อตฺตโน พุทฺธวิสเย ฐตฺวา เทสนาย อรหตฺตนิกูฎํ คณฺหิฯ กุลปุโตฺต ปน อตฺตโน ยโถปนิสฺสเยน ตีณิ สามญฺญผลานิ ปฎิวิชฺฌิฯ ยถา นาม ราชา สุวณฺณภาชเนน นานารสโภชนํ ภุญฺชโนฺต อตฺตโน ปมาเณน ปิณฺฑํ วเฎฺฎตฺวา อเงฺก นิสิเนฺนน ราชกุมาเรน ปิณฺฑมฺหิ อาลเย ทสฺสิเต ตํ ปิณฺฑํ อุปนาเมยฺย, กุมาโร อตฺตโน มุขปฺปมาเณเนว กพฬํ กเรยฺย, เสสํ ราชา สยํ วา ภุเญฺชยฺย, ปาติยํ วา ปกฺขิเปยฺย, เอวํ ธมฺมราชา ตถาคโต อตฺตโน ปมาเณน อรหตฺตนิกูฎํ คณฺหโนฺต เทสนํ เทเสสิ, กุลปุโตฺต อตฺตโน ยโถปนิสฺสเยน ตีณิ สามญฺญผลานิ ปฎิวิชฺฌิฯ

    Tattha neva abhisaṅkharotīti nāyūhati na rāsiṃ karoti. Na abhisañcetayatīti na kappeti. Bhavāya vā vibhavāya vāti vuddhiyā vā parihāniyā vā, sassatucchedavasenapi yojetabbaṃ. Na kiñci loke upādiyatīti loke rūpādīsu kiñci ekadhammampi taṇhāya na gaṇhāti, na parāmasati. Nāparaṃ itthattāyāti pajānātīti bhagavā attano buddhavisaye ṭhatvā desanāya arahattanikūṭaṃ gaṇhi. Kulaputto pana attano yathopanissayena tīṇi sāmaññaphalāni paṭivijjhi. Yathā nāma rājā suvaṇṇabhājanena nānārasabhojanaṃ bhuñjanto attano pamāṇena piṇḍaṃ vaṭṭetvā aṅke nisinnena rājakumārena piṇḍamhi ālaye dassite taṃ piṇḍaṃ upanāmeyya, kumāro attano mukhappamāṇeneva kabaḷaṃ kareyya, sesaṃ rājā sayaṃ vā bhuñjeyya, pātiyaṃ vā pakkhipeyya, evaṃ dhammarājā tathāgato attano pamāṇena arahattanikūṭaṃ gaṇhanto desanaṃ desesi, kulaputto attano yathopanissayena tīṇi sāmaññaphalāni paṭivijjhi.

    อิโต ปุเพฺพ ปนสฺส ขนฺธา ธาตุโย อายตนานีติ เอวรูปํ อจฺจนฺตสุญฺญตํ ติลกฺขณาหตํ กถํ กเถนฺตสฺส เนว กงฺขา, น วิมติ, นาปิ – ‘‘เอวํ กิร ตํ, เอวํ เม อาจริเยน วุตฺต’’นฺติ อิติ กิร น ทนฺธายิตตฺตํ น วิตฺถายิตตฺตํ อตฺถิ ฯ เอกเจฺจสุ จ กิร ฐาเนสุ พุทฺธา อญฺญาตกเวเสน วิจรนฺติ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ นุ โข เอโสติ อหุเทว สํสโย, อหุ วิมติฯ ยโต อเนน อนาคามิผลํ ปฎิวิทฺธํ, อถ อยํ เม สตฺถาติ นิฎฺฐํ คโตฯ ยทิ เอวํ กสฺมา อจฺจยํ น เทเสสีติฯ โอกาสาภาวโตฯ ภควา หิ ยถานิกฺขิตฺตาย มาติกาย อจฺฉินฺนธารํ กตฺวา อากาสคงฺคํ โอตาเรโนฺต วิย เทสนํ เทเสสิเยวฯ

    Ito pubbe panassa khandhā dhātuyo āyatanānīti evarūpaṃ accantasuññataṃ tilakkhaṇāhataṃ kathaṃ kathentassa neva kaṅkhā, na vimati, nāpi – ‘‘evaṃ kira taṃ, evaṃ me ācariyena vutta’’nti iti kira na dandhāyitattaṃ na vitthāyitattaṃ atthi . Ekaccesu ca kira ṭhānesu buddhā aññātakavesena vicaranti, sammāsambuddho nu kho esoti ahudeva saṃsayo, ahu vimati. Yato anena anāgāmiphalaṃ paṭividdhaṃ, atha ayaṃ me satthāti niṭṭhaṃ gato. Yadi evaṃ kasmā accayaṃ na desesīti. Okāsābhāvato. Bhagavā hi yathānikkhittāya mātikāya acchinnadhāraṃ katvā ākāsagaṅgaṃ otārento viya desanaṃ desesiyeva.

    ๓๖๓. โสติ อรหาฯ อนโชฺฌสิตาติ คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐาเปตฺวา คเหตุํ น ยุตฺถาติ ปชานาติฯ อนภินนฺทิตาติ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน อภินนฺทิตุํ น ยุตฺตาติ ปชานาติฯ

    363.Soti arahā. Anajjhositāti gilitvā pariniṭṭhāpetvā gahetuṃ na yutthāti pajānāti. Anabhinanditāti taṇhādiṭṭhivasena abhinandituṃ na yuttāti pajānāti.

    ๓๖๔. วิสํยุโตฺต นํ เวเทตีติ สเจ หิสฺส สุขเวทนํ อารพฺภ ราคานุสโย, ทุกฺขเวทนํ อารพฺภ ปฎิฆานุสโย, อิตรํ อารพฺภ อวิชฺชานุสโย อุปฺปเชฺชยฺย, สํยุโตฺต เวทิเยยฺย นามฯ อนุปฺปชฺชนโต ปน วิสํยุโตฺต นํ เวเทติ นิสฺสโฎ วิปฺปมุโตฺตฯ กายปริยนฺติกนฺติ กายโกฎิกํฯ ยาว กายปวตฺตา อุปฺปชฺชิตฺวา ตโต ปรํ อนุปฺปชฺชนเวทนนฺติ อโตฺถฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ อนภินนฺทิตานิ สีตีภวิสฺสนฺตีติ ทฺวาทสสุ อายตเนสุ กิเลสานํ วิเสวนสฺส นตฺถิตาย อนภินนฺทิตานิ หุตฺวา อิธ ทฺวาทสสุเยว อายตเนสุ นิรุชฺฌิสฺสนฺติฯ กิเลสา หิ นิพฺพานํ อาคมฺม นิรุทฺธาปิ ยตฺถ นตฺถิ, ตตฺถ นิรุทฺธาติ วุจฺจนฺติฯ สฺวายมโตฺถ – ‘‘เอเตฺถสา ตณฺหา นิรุชฺฌมานา นิรุชฺฌตี’’ติ สมุทยปเญฺหน ทีเปตโพฺพฯ ตสฺมา ภควา นิพฺพานํ อาคมฺม สีติภูตานิปิ อิเธว สีตีภวิสฺสนฺตีติ อาหฯ นนุ จ อิธ เวทยิตานิ วุตฺตานิ, น กิเลสาติฯ เวทยิตานิปิ กิเลสาภาเวเนว สีตีภวนฺติฯ อิตรถา เนสํ สีติภาโว นาม นตฺถีติ สุวุตฺตเมตํฯ

    364.Visaṃyutto naṃ vedetīti sace hissa sukhavedanaṃ ārabbha rāgānusayo, dukkhavedanaṃ ārabbha paṭighānusayo, itaraṃ ārabbha avijjānusayo uppajjeyya, saṃyutto vediyeyya nāma. Anuppajjanato pana visaṃyutto naṃ vedeti nissaṭo vippamutto. Kāyapariyantikanti kāyakoṭikaṃ. Yāva kāyapavattā uppajjitvā tato paraṃ anuppajjanavedananti attho. Dutiyapadepi eseva nayo. Anabhinanditāni sītībhavissantīti dvādasasu āyatanesu kilesānaṃ visevanassa natthitāya anabhinanditāni hutvā idha dvādasasuyeva āyatanesu nirujjhissanti. Kilesā hi nibbānaṃ āgamma niruddhāpi yattha natthi, tattha niruddhāti vuccanti. Svāyamattho – ‘‘etthesā taṇhā nirujjhamānā nirujjhatī’’ti samudayapañhena dīpetabbo. Tasmā bhagavā nibbānaṃ āgamma sītibhūtānipi idheva sītībhavissantīti āha. Nanu ca idha vedayitāni vuttāni, na kilesāti. Vedayitānipi kilesābhāveneva sītībhavanti. Itarathā nesaṃ sītibhāvo nāma natthīti suvuttametaṃ.

    ๓๖๕. เอวเมว โขติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – ยถา หิ เอโก ปุริโส เตลปทีปสฺส ฌายโต เตเล ขีเณ เตลํ อาสิญฺจติ, วฎฺฎิยา ขีณาย วฎฺฎิํ ปกฺขิปติ, เอวํ ทีปสิขาย อนุปเจฺฉโทว โหติ, เอวเมว ปุถุชฺชโน เอกสฺมิํ ภเว ฐิโต กุสลากุสลํ กโรติ, โส เตน สุคติยญฺจ อปาเยสุ จ นิพฺพตฺตติเยว, เอวํ เวทนานํ อนุปเจฺฉโทว โหติฯ ยถา ปเนโก ทีปสิขาย อุกฺกณฺฐิโต – ‘‘อิมํ ปุริสํ อาคมฺม ทีปสิขา น อุปจฺฉิชฺชตี’’ติ นิลีโน ตสฺส ปุริสสฺส สีสํ ฉิเนฺทยฺย, เอวํ วฎฺฎิยา จ เตลสฺส จ อนุปหารา ทีปสิขา อนาหารา นิพฺพายติ, เอวเมว วเฎฺฎ อุกฺกณฺฐิโต โยคาวจโร อรหตฺตมเคฺคน กุสลากุสลํ สมุจฺฉินฺทติ, ตสฺส สมุจฺฉินฺนตฺตา ขีณาสวสฺส ภิกฺขุโน กายสฺส เภทา ปุน เวทยิตานิ น อุปฺปชฺชนฺตีติฯ

    365.Evamevakhoti ettha idaṃ opammasaṃsandanaṃ – yathā hi eko puriso telapadīpassa jhāyato tele khīṇe telaṃ āsiñcati, vaṭṭiyā khīṇāya vaṭṭiṃ pakkhipati, evaṃ dīpasikhāya anupacchedova hoti, evameva puthujjano ekasmiṃ bhave ṭhito kusalākusalaṃ karoti, so tena sugatiyañca apāyesu ca nibbattatiyeva, evaṃ vedanānaṃ anupacchedova hoti. Yathā paneko dīpasikhāya ukkaṇṭhito – ‘‘imaṃ purisaṃ āgamma dīpasikhā na upacchijjatī’’ti nilīno tassa purisassa sīsaṃ chindeyya, evaṃ vaṭṭiyā ca telassa ca anupahārā dīpasikhā anāhārā nibbāyati, evameva vaṭṭe ukkaṇṭhito yogāvacaro arahattamaggena kusalākusalaṃ samucchindati, tassa samucchinnattā khīṇāsavassa bhikkhuno kāyassa bhedā puna vedayitāni na uppajjantīti.

    ตสฺมาติ ยสฺมา อาทิมฺหิ สมาธิวิปสฺสนาปญฺญาหิ อรหตฺตผลปญฺญา อุตฺตริตรา, ตสฺมาฯ เอวํ สมนฺนาคโตติ อิมินา อุตฺตเมน อรหตฺตผลปญฺญาธิฎฺฐาเนน สมนฺนาคโตฯ สพฺพทุกฺขกฺขเย ญาณํ นาม อรหตฺตมเคฺค ญาณํ, อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต อรหตฺตผเล ญาณํ อธิเปฺปตํฯ เตเนวาห ตสฺส สา วิมุตฺติ สเจฺจ ฐิตา อกุปฺปา โหตีติฯ

    Tasmāti yasmā ādimhi samādhivipassanāpaññāhi arahattaphalapaññā uttaritarā, tasmā. Evaṃ samannāgatoti iminā uttamena arahattaphalapaññādhiṭṭhānena samannāgato. Sabbadukkhakkhayeñāṇaṃ nāma arahattamagge ñāṇaṃ, imasmiṃ pana sutte arahattaphale ñāṇaṃ adhippetaṃ. Tenevāha tassa sā vimutti sacce ṭhitā akuppā hotīti.

    ๓๖๖. เอตฺถ หิ วิมุตฺตีติ อรหตฺตผลวิมุตฺติ, สจฺจนฺติ ปรมตฺถสจฺจํ นิพฺพานํฯ อิติ อกุปฺปารมฺมณกรเณน อกุปฺปาติ วุตฺตาฯ มุสาติ วิตถํฯ โมสธมฺมนฺติ นสฺสนสภาวํฯ ตํ สจฺจนฺติ ตํ อวิตถํ สภาโวฯ อโมสธมฺมนฺติ อนสฺสนสภาวํฯ

    366. Ettha hi vimuttīti arahattaphalavimutti, saccanti paramatthasaccaṃ nibbānaṃ. Iti akuppārammaṇakaraṇena akuppāti vuttā. Musāti vitathaṃ. Mosadhammanti nassanasabhāvaṃ. Taṃ saccanti taṃ avitathaṃ sabhāvo. Amosadhammanti anassanasabhāvaṃ.

    ตสฺมาติ ยสฺมา อาทิโต สมถวิปสฺสนาวเสน วจีสจฺจโต ทุกฺขสจฺจสมุทยสเจฺจหิ จ ปรมตฺถสจฺจํ นิพฺพานเมว อุตฺตริตรํ, ตสฺมาฯ เอวํ สมนฺนาคโตติ อิมินา อุตฺตเมน ปรมตฺถสจฺจาธิฎฺฐาเนน สมนฺนาคโตฯ

    Tasmāti yasmā ādito samathavipassanāvasena vacīsaccato dukkhasaccasamudayasaccehi ca paramatthasaccaṃ nibbānameva uttaritaraṃ, tasmā. Evaṃ samannāgatoti iminā uttamena paramatthasaccādhiṭṭhānena samannāgato.

    ๓๖๗. ปุเพฺพติ ปุถุชฺชนกาเลฯ อุปธี โหนฺตีติ ขนฺธูปธิ กิเลสูปธิ อภิสงฺขารูปธิ ปญฺจกามคุณูปธีติ อิเม อุปธโย โหนฺติฯ สมตฺตา สมาทินฺนาติ ปริปูรา คหิตา ปรมฎฺฐาฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อาทิโต สมถวิปสฺสนาวเสน กิเลสปริจฺจาคโต, โสตาปตฺติมคฺคาทีหิ จ กิเลสปริจฺจาคโต อรหตฺตมเคฺคเนว กิเลสปริจฺจาโค อุตฺตริตโร, ตสฺมาฯ เอวํ สมนฺนาคโตติ อิมินา อุตฺตเมน จาคาธิฎฺฐาเนน สมนฺนาคโตฯ

    367.Pubbeti puthujjanakāle. Upadhīhontīti khandhūpadhi kilesūpadhi abhisaṅkhārūpadhi pañcakāmaguṇūpadhīti ime upadhayo honti. Samattā samādinnāti paripūrā gahitā paramaṭṭhā. Tasmāti yasmā ādito samathavipassanāvasena kilesapariccāgato, sotāpattimaggādīhi ca kilesapariccāgato arahattamaggeneva kilesapariccāgo uttaritaro, tasmā. Evaṃ samannāgatoti iminā uttamena cāgādhiṭṭhānena samannāgato.

    ๓๖๘. อาฆาโตติอาทีสุ อาฆาตกรณวเสน อาฆาโต, พฺยาปชฺชนวเสน พฺยาปาโท, สมฺปทุสฺสนวเสน สมฺปโทโสติ ตีหิ ปเทหิ โทสากุสลมูลเมว วุตฺตํฯ ตสฺมาติ ยสฺมา อาทิโต สมถวิปสฺสนาวเสน กิเลสวูปสมโต, โสตาปตฺติมคฺคาทีหิ กิเลสวูปสมโต จ อรหตฺตมเคฺคเนว กิเลสวูปสโม อุตฺตริตโร, ตสฺมาฯ เอวํ สมนฺนาคโตติ อิมินา อุตฺตเมน อุปสมาธิฎฺฐาเนน สมนฺนาคโตฯ

    368.Āghātotiādīsu āghātakaraṇavasena āghāto, byāpajjanavasena byāpādo, sampadussanavasena sampadosoti tīhi padehi dosākusalamūlameva vuttaṃ. Tasmāti yasmā ādito samathavipassanāvasena kilesavūpasamato, sotāpattimaggādīhi kilesavūpasamato ca arahattamaggeneva kilesavūpasamo uttaritaro, tasmā. Evaṃ samannāgatoti iminā uttamena upasamādhiṭṭhānena samannāgato.

    ๓๖๙. มญฺญิตเมตนฺติ ตณฺหามญฺญิตํ มานมญฺญิตํ ทิฎฺฐิมญฺญิตนฺติ ติวิธมฺปิ วฎฺฎติฯ อยมหมสฺมีติ เอตฺถ ปน อยมหนฺติ เอกํ ตณฺหามญฺญิตเมว วฎฺฎติฯ โรโคติอาทีสุ อาพาธเฎฺฐน โรโค, อโนฺตโทสเฎฺฐน คโณฺฑ, อนุปวิฎฺฐเฎฺฐน สลฺลํฯ มุนิ สโนฺตติ วุจฺจตีติ ขีณาสวมุนิ สโนฺต นิพฺพุโตติ วุจฺจติฯ ยตฺถ ฐิตนฺติ ยสฺมิํ ฐาเน ฐิตํฯ สํขิเตฺตนาติ พุทฺธานํ กิร สพฺพาปิ ธมฺมเทสนา สํขิตฺตาว, วิตฺถารเทสนา นาม นตฺถิ, สมนฺตปฎฺฐานกถาปิ สํขิตฺตาเยวฯ อิติ ภควา เทสนํ ยถานุสนฺธิํ ปาเปสิฯ อุคฺฆาฎิตญฺญูติอาทีสุ ปน จตูสุ ปุคฺคเลสุ ปุกฺกุสาติ กุลปุโตฺต วิปญฺจิตญฺญู, อิติ วิปญฺจิตญฺญุวเสน ภควา อิมํ ธาตุวิภงฺคสุตฺตํ กเถสิฯ

    369.Maññitametanti taṇhāmaññitaṃ mānamaññitaṃ diṭṭhimaññitanti tividhampi vaṭṭati. Ayamahamasmīti ettha pana ayamahanti ekaṃ taṇhāmaññitameva vaṭṭati. Rogotiādīsu ābādhaṭṭhena rogo, antodosaṭṭhena gaṇḍo, anupaviṭṭhaṭṭhena sallaṃ. Muni santoti vuccatīti khīṇāsavamuni santo nibbutoti vuccati. Yattha ṭhitanti yasmiṃ ṭhāne ṭhitaṃ. Saṃkhittenāti buddhānaṃ kira sabbāpi dhammadesanā saṃkhittāva, vitthāradesanā nāma natthi, samantapaṭṭhānakathāpi saṃkhittāyeva. Iti bhagavā desanaṃ yathānusandhiṃ pāpesi. Ugghāṭitaññūtiādīsu pana catūsu puggalesu pukkusāti kulaputto vipañcitaññū, iti vipañcitaññuvasena bhagavā imaṃ dhātuvibhaṅgasuttaṃ kathesi.

    ๓๗๐. น โข เม, ภเนฺต, ปริปุณฺณํ ปตฺตจีวรนฺติ กสฺมา กุลปุตฺตสฺส อิทฺธิมยปตฺตจีวรํ น นิพฺพตฺตนฺติฯ ปุเพฺพ อฎฺฐนฺนํ ปริกฺขารานํ อทินฺนตฺตาฯ กุลปุโตฺต หิ ทินฺนทาโน กตาภินีหาโร, น ทินฺนตฺตาติ น วตฺตพฺพํฯ อิทฺธิมยปตฺตจีวรํ ปน ปจฺฉิมภวิกานํเยว นิพฺพตฺตติ, อยญฺจ ปุนปฎิสนฺธิโก, ตสฺมา น นิพฺพตฺตนฺติฯ อถ ภควา สยํ ปริเยสิตฺวา กสฺมา น อุปสมฺปาเทสีติฯ โอกาสาภาวโตฯ กุลปุตฺตสฺส อายุ ปริกฺขีณํ, สุทฺธาวาสิโก อนาคามี มหาพฺรหฺมา กุมฺภการสาลํ อาคนฺตฺวา นิสิโนฺน วิย อโหสิฯ ตสฺมา สยํ น ปริเยสิฯ

    370.Na kho me, bhante, paripuṇṇaṃ pattacīvaranti kasmā kulaputtassa iddhimayapattacīvaraṃ na nibbattanti. Pubbe aṭṭhannaṃ parikkhārānaṃ adinnattā. Kulaputto hi dinnadāno katābhinīhāro, na dinnattāti na vattabbaṃ. Iddhimayapattacīvaraṃ pana pacchimabhavikānaṃyeva nibbattati, ayañca punapaṭisandhiko, tasmā na nibbattanti. Atha bhagavā sayaṃ pariyesitvā kasmā na upasampādesīti. Okāsābhāvato. Kulaputtassa āyu parikkhīṇaṃ, suddhāvāsiko anāgāmī mahābrahmā kumbhakārasālaṃ āgantvā nisinno viya ahosi. Tasmā sayaṃ na pariyesi.

    ปตฺตจีวรปริเยสนํ ปกฺกามีติ กาย เวลาย ปกฺกามิ? อุฎฺฐิเต อรุเณฯ ภควโต กิร ธมฺมเทสนาปรินิฎฺฐานญฺจ อรุณุฎฺฐานญฺจ รสฺมิวิสฺสชฺชนญฺจ เอกกฺขเณ อโหสิฯ ภควา กิร เทสนํ นิฎฺฐเปตฺวาว ฉพฺพณฺณรสฺมิโย วิสฺสชฺชิ, สกลกุมฺภการนิเวสนํ เอกปโชฺชตํ อโหสิ, ฉพฺพณฺณรสฺมิโย ชาลชาลา ปุญฺชปุญฺชา หุตฺวา วิธาวนฺติโย สพฺพทิสาภาเค สุวณฺณปฎปริโยนเทฺธ วิย จ นานาวณฺณกุสุมรตนวิสรสมุชฺชเล วิย จ อกํสุฯ ภควา ‘‘นครวาสิโน มํ ปสฺสนฺตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ นครวาสิโน ภควนฺตํ ทิสฺวาว ‘‘สตฺถา กิร อาคโต, กุมฺภการสาลาย กิร นิสิโนฺน’’ติ อญฺญมญฺญสฺส อาโรเจตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ

    Pattacīvarapariyesanaṃ pakkāmīti kāya velāya pakkāmi? Uṭṭhite aruṇe. Bhagavato kira dhammadesanāpariniṭṭhānañca aruṇuṭṭhānañca rasmivissajjanañca ekakkhaṇe ahosi. Bhagavā kira desanaṃ niṭṭhapetvāva chabbaṇṇarasmiyo vissajji, sakalakumbhakāranivesanaṃ ekapajjotaṃ ahosi, chabbaṇṇarasmiyo jālajālā puñjapuñjā hutvā vidhāvantiyo sabbadisābhāge suvaṇṇapaṭapariyonaddhe viya ca nānāvaṇṇakusumaratanavisarasamujjale viya ca akaṃsu. Bhagavā ‘‘nagaravāsino maṃ passantū’’ti adhiṭṭhāsi. Nagaravāsino bhagavantaṃ disvāva ‘‘satthā kira āgato, kumbhakārasālāya kira nisinno’’ti aññamaññassa ārocetvā rañño ārocesuṃ.

    ราชา อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, กาย เวลาย อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ หิโยฺย สูริยตฺถงฺคมนเวลาย มหาราชาติฯ เกน กเมฺมน ภควาติ? ตุมฺหากํ สหาโย ปุกฺกุสาติ ราชา ตุเมฺหหิ ปหิตํ สาสนํ สุตฺวา นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิตฺวา มํ อุทฺทิสฺส อาคจฺฉโนฺต สาวตฺถิํ อติกฺกมฺม ปญฺจจตฺตาลีส โยชนานิ อาคนฺตฺวา อิมํ กุมฺภการสาลํ ปวิสิตฺวา นิสีทิ, อหํ ตสฺส สงฺคหตฺถํ อาคนฺตฺวา ธมฺมกถํ กเถสิํ, กุลปุโตฺต ตีณิ ผลานิ ปฎิวิชฺฌิ มหาราชาติฯ อิทานิ กหํ, ภเนฺตติ? อุปสมฺปทํ ยาจิตฺวา อปริปุณฺณปตฺตจีวรตาย ปตฺตจีวรปริเยสนตฺถํ คโต มหาราชาติฯ ราชา กุลปุตฺตสฺส คตทิสาภาเคน อคมาสิฯ ภควาปิ อากาเสนาคนฺตฺวา เชตวนคนฺธกุฎิมฺหิเยว ปาตุรโหสิฯ

    Rājā āgantvā satthāraṃ vanditvā, ‘‘bhante, kāya velāya āgatatthā’’ti pucchi. Hiyyo sūriyatthaṅgamanavelāya mahārājāti. Kena kammena bhagavāti? Tumhākaṃ sahāyo pukkusāti rājā tumhehi pahitaṃ sāsanaṃ sutvā nikkhamitvā pabbajitvā maṃ uddissa āgacchanto sāvatthiṃ atikkamma pañcacattālīsa yojanāni āgantvā imaṃ kumbhakārasālaṃ pavisitvā nisīdi, ahaṃ tassa saṅgahatthaṃ āgantvā dhammakathaṃ kathesiṃ, kulaputto tīṇi phalāni paṭivijjhi mahārājāti. Idāni kahaṃ, bhanteti? Upasampadaṃ yācitvā aparipuṇṇapattacīvaratāya pattacīvarapariyesanatthaṃ gato mahārājāti. Rājā kulaputtassa gatadisābhāgena agamāsi. Bhagavāpi ākāsenāgantvā jetavanagandhakuṭimhiyeva pāturahosi.

    กุลปุโตฺตปิ ปตฺตจีวรํ ปริเยสมาโน เนว พิมฺพิสารรโญฺญ น ตกฺกสีลกานํ ชงฺฆวาณิชานํ สนฺติกํ อคมาสิฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘น โข เม กุกฺกุฎสฺส วิย ตตฺถ ตตฺถ มนาปามนาปเมว วิจินิตฺวา ปตฺตจีวรํ ปริเยสิตุํ ยุตฺตํ, มหนฺตํ นครํ วชฺชิตฺวา อุทกติตฺถสุสานสงฺการฎฺฐานอนฺตรวีถีสุ ปริเยสิสฺสามี’’ติ อนฺตรวีถิยํ สงฺการกูเฎสุ ตาว ปิโลติกํ ปริเยสิตุํ อารโทฺธฯ

    Kulaputtopi pattacīvaraṃ pariyesamāno neva bimbisārarañño na takkasīlakānaṃ jaṅghavāṇijānaṃ santikaṃ agamāsi. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘na kho me kukkuṭassa viya tattha tattha manāpāmanāpameva vicinitvā pattacīvaraṃ pariyesituṃ yuttaṃ, mahantaṃ nagaraṃ vajjitvā udakatitthasusānasaṅkāraṭṭhānaantaravīthīsu pariyesissāmī’’ti antaravīthiyaṃ saṅkārakūṭesu tāva pilotikaṃ pariyesituṃ āraddho.

    ชีวิตา โวโรเปสีติ เอตสฺมิํ สงฺการกูเฎ ปิโลติกํ โอโลเกนฺตํ วิพฺภนฺตา ตรุณวจฺฉา คาวี อุปธาวิตฺวา สิเงฺคน วิชฺฌิตฺวา ฆาเตสิฯ ฉาตกชฺฌโตฺต กุลปุโตฺต อากาเสเยว อายุกฺขยํ ปตฺวา ปติโตฯ สงฺการฎฺฐาเน อโธมุขฎฺฐปิตา สุวณฺณปฎิมา วิย อโหสิ, กาลงฺกโต จ ปน อวิหาพฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติ, นิพฺพตฺตมโตฺตว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อวิหาพฺรหฺมโลเก กิร นิพฺพตฺตมตฺตาว สตฺต ชนา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Jīvitā voropesīti etasmiṃ saṅkārakūṭe pilotikaṃ olokentaṃ vibbhantā taruṇavacchā gāvī upadhāvitvā siṅgena vijjhitvā ghātesi. Chātakajjhatto kulaputto ākāseyeva āyukkhayaṃ patvā patito. Saṅkāraṭṭhāne adhomukhaṭṭhapitā suvaṇṇapaṭimā viya ahosi, kālaṅkato ca pana avihābrahmaloke nibbatti, nibbattamattova arahattaṃ pāpuṇi. Avihābrahmaloke kira nibbattamattāva satta janā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อวิหํ อุปปนฺนาเส, วิมุตฺตา สตฺต ภิกฺขโว;

    ‘‘Avihaṃ upapannāse, vimuttā satta bhikkhavo;

    ราคโทสปริกฺขีณา, ติณฺณา โลเก วิสตฺติกํฯ

    Rāgadosaparikkhīṇā, tiṇṇā loke visattikaṃ.

    เก จ เต อตรุํ ปงฺกํ, มจฺจุเธยฺยํ สุทุตฺตรํ;

    Ke ca te ataruṃ paṅkaṃ, maccudheyyaṃ suduttaraṃ;

    เก หิตฺวา มานุสํ เทหํ, ทิพฺพโยคํ อุปจฺจคุํฯ

    Ke hitvā mānusaṃ dehaṃ, dibbayogaṃ upaccaguṃ.

    อุปโก ปลคโณฺฑ จ, ปุกฺกุสาติ จ เต ตโย;

    Upako palagaṇḍo ca, pukkusāti ca te tayo;

    ภทฺทิโย ขณฺฑเทโว จ, พาหุรคฺคิ จ สิงฺคิโย;

    Bhaddiyo khaṇḍadevo ca, bāhuraggi ca siṅgiyo;

    เต หิตฺวา มานุสํ เทหํ, ทิพฺพโยคํ อุปจฺจคุ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๕๐, ๑๐๕);

    Te hitvā mānusaṃ dehaṃ, dibbayogaṃ upaccagu’’nti. (saṃ. ni. 1.50, 105);

    พิมฺพิสาโรปิ ‘‘มยฺหํ สหาโย มยา เปสิตสาสนมตฺตํ วาเจตฺวา หตฺถคตํ รชฺชํ ปหาย เอตฺตกํ อทฺธานํ อาคโต, ทุกฺกรํ กตํ กุลปุเตฺตน, ปพฺพชิตสกฺกาเรน ตํ สกฺกริสฺสามี’’ติ ‘‘ปริเยสถ เม สหายก’’นฺติ ตตฺถ ตตฺถ เปเสสิฯ เปสิตา ตํ อทฺทสํสุ สงฺการฎฺฐาเน ปติตํ, ทิสฺวา อาคมฺม รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา คนฺตฺวา กุลปุตฺตํ ทิสฺวา – ‘‘น วต, โภ, ลภิมฺหา สหายกสฺส สกฺการํ กาตุํ, อนาโถ เม ชาโต สหายโก’’ติฯ ปริเทวิตฺวา กุลปุตฺตํ มญฺจเกน คณฺหาเปตฺวา ยุโตฺตกาเส ฐเปตฺวา อนุปสมฺปนฺนสฺส สกฺการํ กาตุํ ชานนาภาเวน นฺหาปกกปฺปกาทโย ปโกฺกสาเปตฺวา กุลปุตฺตํ สีสํ นฺหาเปตฺวา สุทฺธวตฺถานิ นิวาสาเปตฺวา ราชเวเสน อลงฺการาเปตฺวา โสวณฺณสิวิกํ อาโรเปตฺวา สพฺพตาฬาวจรคนฺธมาลาทีหิ ปูชํ กโรโนฺต นครา นีหริตฺวา พหูหิ คนฺธกเฎฺฐหิ มหาจิตกํ กาเรตฺวา กุลปุตฺตสฺส สรีรกิจฺจํ กตฺวา ธาตุโย อาทาย เจติยํ ปติฎฺฐเปสิฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Bimbisāropi ‘‘mayhaṃ sahāyo mayā pesitasāsanamattaṃ vācetvā hatthagataṃ rajjaṃ pahāya ettakaṃ addhānaṃ āgato, dukkaraṃ kataṃ kulaputtena, pabbajitasakkārena taṃ sakkarissāmī’’ti ‘‘pariyesatha me sahāyaka’’nti tattha tattha pesesi. Pesitā taṃ addasaṃsu saṅkāraṭṭhāne patitaṃ, disvā āgamma rañño ārocesuṃ. Rājā gantvā kulaputtaṃ disvā – ‘‘na vata, bho, labhimhā sahāyakassa sakkāraṃ kātuṃ, anātho me jāto sahāyako’’ti. Paridevitvā kulaputtaṃ mañcakena gaṇhāpetvā yuttokāse ṭhapetvā anupasampannassa sakkāraṃ kātuṃ jānanābhāvena nhāpakakappakādayo pakkosāpetvā kulaputtaṃ sīsaṃ nhāpetvā suddhavatthāni nivāsāpetvā rājavesena alaṅkārāpetvā sovaṇṇasivikaṃ āropetvā sabbatāḷāvacaragandhamālādīhi pūjaṃ karonto nagarā nīharitvā bahūhi gandhakaṭṭhehi mahācitakaṃ kāretvā kulaputtassa sarīrakiccaṃ katvā dhātuyo ādāya cetiyaṃ patiṭṭhapesi. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    ธาตุวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dhātuvibhaṅgasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. ธาตุวิภงฺคสุตฺตํ • 10. Dhātuvibhaṅgasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. ธาตุวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา • 10. Dhātuvibhaṅgasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact