Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๑๐. ธาตุวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา
10. Dhātuvibhaṅgasuttavaṇṇanā
๓๔๒. อปริกฺขีณายุกํ ปุกฺกุสาติกุลปุตฺตํ อุทฺทิสฺส คมนนฺติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ตุริตคมนจาริก’’นฺติฯ มม วาสุปคมเนน ตว จิตฺตสฺส อผาสุกํ อนิฎฺฐํ สเจ นตฺถิฯ โสติ ปุพฺพุปคโตฯ ทินฺนํ ทินฺนเมว วฎฺฎตีติ เอกวารํ ทินฺนํ ทินฺนเมว ยุตฺตํ, น ปุน ทาตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ กตํ กตเมวาติ สงฺคหตฺถํ กตํ อนุจฺฉวิกกมฺมํ กตเมว, น ตํ ปุน วิปริวเตฺตตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ
342. Aparikkhīṇāyukaṃ pukkusātikulaputtaṃ uddissa gamananti katvā vuttaṃ ‘‘turitagamanacārika’’nti. Mama vāsupagamanena tava cittassa aphāsukaṃ aniṭṭhaṃ sace natthi. Soti pubbupagato. Dinnaṃ dinnameva vaṭṭatīti ekavāraṃ dinnaṃ dinnameva yuttaṃ, na puna dātabbanti adhippāyo. Kataṃ katamevāti saṅgahatthaṃ kataṃ anucchavikakammaṃ katameva, na taṃ puna viparivattetabbanti adhippāyo.
ปุกฺกุสาติมฺหิ อุภยถาปิ กุลปุตฺตภาโว ปริปุโณฺณ เอวาติ อาห – ‘‘ชาติกุลปุโตฺตปิ อาจารกุลปุโตฺตปี’’ติฯ ตตฺราติ ตสฺมิํ ตกฺกสีลโต อาคมเนฯ อเงฺก นิปนฺนทารกํ วิย ชนํ โตเสติ ตุฎฺฐิํ ปาเปติฯ รตนานิ อุปฺปชฺชนฺติ ปพฺพตสมุทฺทาทิสนฺนิสฺสิตตฺตา ปจฺจนฺตเทสสฺสฯ ทสฺสนียนฺติ ทสฺสเนเนว สุขาวหํฯ เอวรูปนฺติ ทสฺสนียํ สวนียญฺจฯ
Pukkusātimhi ubhayathāpi kulaputtabhāvo paripuṇṇo evāti āha – ‘‘jātikulaputtopi ācārakulaputtopī’’ti. Tatrāti tasmiṃ takkasīlato āgamane. Aṅke nipannadārakaṃ viya janaṃ toseti tuṭṭhiṃ pāpeti. Ratanāni uppajjanti pabbatasamuddādisannissitattā paccantadesassa. Dassanīyanti dassaneneva sukhāvahaṃ. Evarūpanti dassanīyaṃ savanīyañca.
อนคฺฆกมฺพเล มหคฺฆกมฺพเลฯ สารกรณฺฑเกติ จนฺทนสาราทิสารมยกรณฺฑเกฯ ลิขาเปตฺวา อุกฺกิราเปตฺวาฯ ลาขาย วฎฺฎาเปตฺวาติ มุขํ ปิทหิตฺวา ลาขาปริกมฺมํ กาเรตฺวาฯ
Anagghakambale mahagghakambale. Sārakaraṇḍaketi candanasārādisāramayakaraṇḍake. Likhāpetvā ukkirāpetvā. Lākhāya vaṭṭāpetvāti mukhaṃ pidahitvā lākhāparikammaṃ kāretvā.
อโนฺต ทุสฺสภณฺฑิกํ อตฺถีติ อญฺญาสิ นาติครุกภาวโตฯ อนคฺฆา อเหสุนฺติ วณฺณสมฺปตฺติผสฺสสมฺปตฺติปมาณมหตฺตทุนฺนิมฺมาปิยตาหิ มหคฺฆา อเหสุํ, มหาปุโญฺญ ราชา ตสฺส อเตฺถวาติ อธิปฺปาโยฯ
Anto dussabhaṇḍikaṃ atthīti aññāsi nātigarukabhāvato. Anagghā ahesunti vaṇṇasampattiphassasampattipamāṇamahattadunnimmāpiyatāhi mahagghā ahesuṃ, mahāpuñño rājā tassa atthevāti adhippāyo.
ยทิ เอวํ, ‘‘กินฺนุ โข เปเสมี’’ติ กสฺมา วีมํสํ อาปชฺชีติ อาห – ‘‘อปิจ โข ปนา’’ติอาทิฯ โสติ พิมฺพิสาโร ราชาฯ วิจินิตุํ อารโทฺธ รตนสฺส อเนกวิธตฺตา อุตฺตรุตฺตริญฺจ ปณีตตราทิภาวโตฯ สุวณฺณรชตาทีติ สุวณฺณรชตปวาฬมณิมุตฺตาเวฬุริยาทิฯ อินฺทฺริยพทฺธนฺติ จกฺขาทิอินฺทฺริยปฎิพทฺธํฯ ปเทสนฺติ คุณวเสน เอกเทสํ น ปาปุณาติฯ
Yadi evaṃ, ‘‘kinnu kho pesemī’’ti kasmā vīmaṃsaṃ āpajjīti āha – ‘‘apica kho panā’’tiādi. Soti bimbisāro rājā. Vicinituṃ āraddho ratanassa anekavidhattā uttaruttariñca paṇītatarādibhāvato. Suvaṇṇarajatādīti suvaṇṇarajatapavāḷamaṇimuttāveḷuriyādi. Indriyabaddhanti cakkhādiindriyapaṭibaddhaṃ. Padesanti guṇavasena ekadesaṃ na pāpuṇāti.
สามํ สจฺจานํ อภิสมฺพุทฺธตาสามเญฺญน, ‘‘พุทฺธรตนมฺปิ ทุวิธ’’นฺติ วุตฺตํฯ พุทฺธรตนสมํ รตนํ นาม นตฺถิ, ยสฺมา ปน อิมสฺมิํ โลเก ปรสฺมิํ วา ปน พุเทฺธน สทิโส น วิชฺชตีติฯ ปฐมโพธิยํเยว ปวตฺตตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘โฆโสปี’’ติอาทิฯ
Sāmaṃ saccānaṃ abhisambuddhatāsāmaññena, ‘‘buddharatanampi duvidha’’nti vuttaṃ. Buddharatanasamaṃ ratanaṃ nāma natthi, yasmā pana imasmiṃ loke parasmiṃ vā pana buddhena sadiso na vijjatīti. Paṭhamabodhiyaṃyeva pavattatīti katvā vuttaṃ ‘‘ghosopī’’tiādi.
ราชา ตุโฎฺฐ จิเนฺตสิ, ‘‘ตตฺถ อวิชฺชมานํเยว เปเสตุํ ลทฺธ’’นฺติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ปริปุณฺณํ เอกทิวสมฺปิ ตสฺมิํ ปเทเส พุทฺธานํ อาวาสปริคฺคโห นตฺถิ, ตสฺมาฯ ปุพฺพทิสามุขนฺติ ปุพฺพทิสาภิมุขํ สีหปญฺชรํฯ เตนสฺส สุวิภูตาโลกตํ ทเสฺสติฯ
Rājātuṭṭho cintesi, ‘‘tattha avijjamānaṃyeva pesetuṃ laddha’’nti. Tasmāti yasmā paripuṇṇaṃ ekadivasampi tasmiṃ padese buddhānaṃ āvāsapariggaho natthi, tasmā. Pubbadisāmukhanti pubbadisābhimukhaṃ sīhapañjaraṃ. Tenassa suvibhūtālokataṃ dasseti.
เอวํ อนญฺญสาธารณสฺส ภควโต อีทิโส สมุทาคโมติ ทเสฺสตุํ, ‘‘เอวํ ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอวํ สมฺปนฺนสมุทาคมสฺส ตทนุรูปา อยํ ผลสมฺปทาติ ทเสฺสตุํ, ‘‘ตุสิตภวนโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Evaṃ anaññasādhāraṇassa bhagavato īdiso samudāgamoti dassetuṃ, ‘‘evaṃ dasa pāramiyo pūretvā’’tiādi vuttaṃ. Evaṃ sampannasamudāgamassa tadanurūpā ayaṃ phalasampadāti dassetuṃ, ‘‘tusitabhavanato’’tiādi vuttaṃ.
อริยธโมฺม นาม อริยมคฺคปฺปธาโน, อริยมโคฺค จ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยสงฺคโห, เต จ อุเทฺทสมเตฺตเนว คหิตาติ อาห – ‘‘สตฺตติํสโพธิปกฺขิเย เอกเทเสน ลิขิตฺวา’’ติฯ จูฬสีลาทีนิ พฺรหฺมชาเล (ที. นิ. ๑.๘-๙) อาคตนเยน เวทิตพฺพานิฯ ฉทฺวารสํวรํ สติสมฺปชญฺญนฺติ มนจฺฉฎฺฐานํ ทฺวารานํ สํวรณวเสน สตฺตฎฺฐานิกํ สติสมฺปชญฺญํฯ ทฺวาทสปฺปเภทํ จีวราทิจตุปฺปจฺจยสโนฺตสํฯ อรญฺญรุกฺขมูลาทีนญฺจ วิภงฺคํ ภาวนานุกูลํ เสนาสนํฯ ‘‘อภิชฺฌํ โลเก ปหายา’’ติอาทินา วุตฺตํ นีวรณปฺปหานํฯ ปริกมฺมนฺติ กสิณาทิปริกมฺมํฯ ปาฬิยํ อาคตนเยน อฎฺฐติํส กมฺมฎฺฐานานิฯ วิสุทฺธิปฎิปาฎิยา ยาว อาสวกฺขยา อิมํ ปฎิปตฺติํ เอกเทเสน ลิขิฯ โสฬสวิธนฺติ โสฬสวิธภาวนาย ปโยคํฯ
Ariyadhammo nāma ariyamaggappadhāno, ariyamaggo ca sattatiṃsabodhipakkhiyasaṅgaho, te ca uddesamatteneva gahitāti āha – ‘‘sattatiṃsabodhipakkhiye ekadesena likhitvā’’ti. Cūḷasīlādīni brahmajāle (dī. ni. 1.8-9) āgatanayena veditabbāni. Chadvārasaṃvaraṃ satisampajaññanti manacchaṭṭhānaṃ dvārānaṃ saṃvaraṇavasena sattaṭṭhānikaṃ satisampajaññaṃ. Dvādasappabhedaṃ cīvarādicatuppaccayasantosaṃ. Araññarukkhamūlādīnañca vibhaṅgaṃ bhāvanānukūlaṃ senāsanaṃ. ‘‘Abhijjhaṃ loke pahāyā’’tiādinā vuttaṃ nīvaraṇappahānaṃ. Parikammanti kasiṇādiparikammaṃ. Pāḷiyaṃ āgatanayena aṭṭhatiṃsa kammaṭṭhānāni. Visuddhipaṭipāṭiyā yāva āsavakkhayā imaṃ paṭipattiṃ ekadesena likhi. Soḷasavidhanti soḷasavidhabhāvanāya payogaṃ.
กิลญฺชมเยติ นานาวิธภิตฺติวิภเตฺต สณฺหสุขุมรตนปริสิพฺพิเต กิลญฺชมยสมุเคฺคฯ พหิ วเตฺถน เวเฐตฺวาติ ปฐมํ สุขุมกมฺพเลน เวเฐตฺวา ปฎิปาฎิยา เตตฺติํสาย สมุเคฺคสุ ปกฺขิปิตฺวา ตโต พหิ สุขุมวเตฺถน เวเฐตฺวา ฉาเทตฺวาฯ ติณคจฺฉปหานสมฺมชฺชนาทินา โสธิตมตฺตกเมว โหตุ, กทลิปุณฺณฆฎฐปนธชปฎากุสฺสาปนาทิอลงฺกรเณน มา นิฎฺฐาเปถาติ อโตฺถฯ ราชานุภาเวน ปฎิยาเทถาติ มม ราชานุรูปํ สเชฺชถ, อลงฺกโรถาติ อโตฺถฯ อนฺตรโภคิกานนฺติ อนุยุตฺตราชมหามตฺตานํฯ ชวนทูเตติ ขิปฺปํ คจฺฉนฺตกทูตปุริเสฯ ตาเฬหิ สห อวจรนฺตีติ ตาฬาวจราฯ
Kilañjamayeti nānāvidhabhittivibhatte saṇhasukhumaratanaparisibbite kilañjamayasamugge. Bahi vatthena veṭhetvāti paṭhamaṃ sukhumakambalena veṭhetvā paṭipāṭiyā tettiṃsāya samuggesu pakkhipitvā tato bahi sukhumavatthena veṭhetvā chādetvā. Tiṇagacchapahānasammajjanādinā sodhitamattakameva hotu, kadalipuṇṇaghaṭaṭhapanadhajapaṭākussāpanādialaṅkaraṇena mā niṭṭhāpethāti attho. Rājānubhāvena paṭiyādethāti mama rājānurūpaṃ sajjetha, alaṅkarothāti attho. Antarabhogikānanti anuyuttarājamahāmattānaṃ. Javanadūteti khippaṃ gacchantakadūtapurise. Tāḷehi saha avacarantīti tāḷāvacarā.
รญฺญา ปณฺณาการํ อุทฺทิสฺส กตปูชาสกฺการสฺส อมจฺจโต สุตตฺตา ปณฺณาการํ อุจฺจฎฺฐาเน ฐเปตฺวา สยํ นีจาสเน นิสิโนฺนฯ นายํ อญฺญสฺส รตนสฺส ภวิสฺสตีติ อยํ ปริหาโร อญฺญสฺส มณิมุตฺตาทิเภทสฺส รตนสฺส น ภวิสฺสติ มณิมุตฺตาทีหิ อภิสงฺขตตฺตาฯ พลวโสมนสฺสํ อุปฺปชฺชิ จิรตนกาลํ พุทฺธสาสเน ภาวิตภาวนตาย วาสิตวาสนตาย ฆเฎ ทีโป วิย อพฺภนฺตเร เอว สมุชฺชลมานปริปกฺกติเหตุกภาวโตฯ
Raññā paṇṇākāraṃ uddissa katapūjāsakkārassa amaccato sutattā paṇṇākāraṃ uccaṭṭhāne ṭhapetvā sayaṃ nīcāsane nisinno. Nāyaṃ aññassa ratanassa bhavissatīti ayaṃ parihāro aññassa maṇimuttādibhedassa ratanassa na bhavissati maṇimuttādīhi abhisaṅkhatattā. Balavasomanassaṃuppajji ciratanakālaṃ buddhasāsane bhāvitabhāvanatāya vāsitavāsanatāya ghaṭe dīpo viya abbhantare eva samujjalamānaparipakkatihetukabhāvato.
ธาเรมีติ อิจฺฉามิ, คณฺหามีติ อโตฺถฯ เทฺวชฺฌวจนนฺติ เทฺวฬฺหกภาโวฯ อนฺตรํ กโรตีติ ทฺวินฺนํ ปาทานํ อนฺตรํ ตํ เลขํ กโรติ, เอเกน ปาเทน อติกฺกมีติ อโตฺถฯ ตสฺสา คตมเคฺคนาติ ตาย เทวิยา วิวฎฺฎมานาย นาสิตาย คตมเคฺคนฯ ตํ ปน เลขนฺติ ปุกฺกุสาตินา กตเลขํฯ ปณฺณจฺฉตฺตกนฺติ ตาลปตฺตมุฎฺฐิํฯ
Dhāremīti icchāmi, gaṇhāmīti attho. Dvejjhavacananti dveḷhakabhāvo. Antaraṃ karotīti dvinnaṃ pādānaṃ antaraṃ taṃ lekhaṃ karoti, ekena pādena atikkamīti attho. Tassā gatamaggenāti tāya deviyā vivaṭṭamānāya nāsitāya gatamaggena. Taṃ pana lekhanti pukkusātinā katalekhaṃ. Paṇṇacchattakanti tālapattamuṭṭhiṃ.
สตฺถุคารเวนาติ สตฺถริ อุปฺปนฺนปสาทเปมพหุมานสมฺภเวนฯ ตทา สตฺถารํเยว มนสิ กตฺวา ตนฺนินฺนภาเวน คจฺฉโนฺต, ‘‘ปุจฺฉิสฺสามี’’ติปิ จิตฺตํ น อุปฺปาเทสิ, ‘‘เอตฺถ นุ โข สตฺถา วสตี’’ติ ปริวิตกฺกเสฺสว อภาวโต; ราชคหํ ปน ปตฺวา รโญฺญ เปสิตสาสนวเสน ตตฺถ จ วิหารสฺส พหุภาวโต สตฺถา กหํ วสตีติ ปุจฺฉิฯ สตฺถุ เอกกเสฺสว นิกฺขมนํ ปญฺจจตฺตาลีส โยชนานิ ปทสา คมนญฺจ ธมฺมปูชาวเสน กตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ธมฺมปูชาย จ พุทฺธานํ อาจิณฺณภาโว เหฎฺฐา วิตฺถาริโตเยวฯ พุทฺธโสภํ ปน ปฎิจฺฉาเทตฺวา อญฺญาตกเวเสน ตตฺถ คมนํ ตสฺส กุลปุตฺตสฺส วิสฺสตฺถวเสน มคฺคทรถปฎิปสฺสมฺภนตฺถํฯ อปฺปฎิปสฺสทฺธมคฺคทรโถ หิ ธมฺมเทสนาย ภาชนํ น โหตีติฯ ตถาหิ วกฺขติ, ‘‘นนุ จ ภควา’’ติอาทิฯ
Satthugāravenāti satthari uppannapasādapemabahumānasambhavena. Tadā satthāraṃyeva manasi katvā tanninnabhāvena gacchanto, ‘‘pucchissāmī’’tipi cittaṃ na uppādesi, ‘‘ettha nu kho satthā vasatī’’ti parivitakkasseva abhāvato; rājagahaṃ pana patvā rañño pesitasāsanavasena tattha ca vihārassa bahubhāvato satthā kahaṃ vasatīti pucchi. Satthu ekakasseva nikkhamanaṃ pañcacattālīsa yojanāni padasā gamanañca dhammapūjāvasena katanti daṭṭhabbaṃ. Dhammapūjāya ca buddhānaṃ āciṇṇabhāvo heṭṭhā vitthāritoyeva. Buddhasobhaṃ pana paṭicchādetvā aññātakavesena tattha gamanaṃ tassa kulaputtassa vissatthavasena maggadarathapaṭipassambhanatthaṃ. Appaṭipassaddhamaggadaratho hi dhammadesanāya bhājanaṃ na hotīti. Tathāhi vakkhati, ‘‘nanu ca bhagavā’’tiādi.
อุรุทฺธนฺติ วิสาลนฺติ เกจิฯ อติเรกติโยชนสตนฺติอาทินา อนฺวยโต พฺยติเรกโต จ มเจฺฉรวินยเน สพฺรหฺมจารีนํ โอวาททานํฯ อจฺจนฺตสุขุมาโลติอาทินา สตฺถุ ธมฺมคารเวน สทฺธิํ กุลปุตฺตสฺสปิ ธมฺมคารวํ สํสนฺทติ สเมตีติ ทเสฺสติฯ เตน ภควโต กตสฺส ปจฺจุคฺคมนสฺส ฐานคตภาวํ วิภาเวโนฺต อเญฺญสมฺปิ ภพฺพรูปานํ กุลปุตฺตานํ ยถารหํ สงฺคโห กาตโพฺพติ ทเสฺสติฯ
Uruddhanti visālanti keci. Atirekatiyojanasatantiādinā anvayato byatirekato ca maccheravinayane sabrahmacārīnaṃ ovādadānaṃ. Accantasukhumālotiādinā satthu dhammagāravena saddhiṃ kulaputtassapi dhammagāravaṃ saṃsandati sametīti dasseti. Tena bhagavato katassa paccuggamanassa ṭhānagatabhāvaṃ vibhāvento aññesampi bhabbarūpānaṃ kulaputtānaṃ yathārahaṃ saṅgaho kātabboti dasseti.
พฺรหฺมโลกปฺปมาณนฺติ อุจฺจภาเวนฯ อานุภาเวนาติ อิทฺธานุภาเวน ยถา โส โสตปถํ น อุปคจฺฉติ, เอวํ วูปสเมตุํ สโกฺกติฯ อวิพฺภนฺตนฺติ วิพฺภมรหิตํ นิโลฺลลุปฺปํฯ ‘‘ภาวนปุํสกํ ปเนต’’นฺติ วตฺวา ตสฺส วิวรณตฺถํ, ‘‘ปาสาทิเกน อิริยาปเถนา’’ติ วุตฺตํฯ อิตฺถมฺภูตลกฺขเณ เอตํ กรณวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ เตนาห ‘‘ยถา อิริยโต’’ติอาทิฯ อมนาโป โหติ ปสฺสนฺตานํฯ สีหเสยฺยาย นิปนฺนสฺสปิ หิ เอกเจฺจ สรีราวยวา อโธขิตฺตวิกฺขิตฺตา วิย ทิสฺสนฺติฯ กฎิยํ ทฺวินฺนํ อูรุสนฺธีนํ ทฺวินฺนญฺจ ชาณุสนฺธีนํ วเสน จตุสนฺธิกปลฺลงฺกํฯ น ปติฎฺฐาตีติ นปฺปวตฺตติ, ‘‘กํสิ ตฺว’’นฺติอาทินา อปุจฺฉิเต กถาปวตฺติ เอว น โหติฯ อปฺปติฎฺฐิตาย กถาย น สญฺชายตีติ ตถา ปน ปุจฺฉาวเสน กถาย อปฺปวตฺติตาย อุปริ ธมฺมกถา น สญฺชายติ น อุปฺปชฺชติฯ อิตีติ ตสฺมาฯ กถาปติฎฺฐาปนตฺถํ กถาปวตฺตนตฺถํ กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ วา ปุจฺฉิฯ
Brahmalokappamāṇanti uccabhāvena. Ānubhāvenāti iddhānubhāvena yathā so sotapathaṃ na upagacchati, evaṃ vūpasametuṃ sakkoti. Avibbhantanti vibbhamarahitaṃ nilloluppaṃ. ‘‘Bhāvanapuṃsakaṃ paneta’’nti vatvā tassa vivaraṇatthaṃ, ‘‘pāsādikena iriyāpathenā’’ti vuttaṃ. Itthambhūtalakkhaṇe etaṃ karaṇavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Tenāha ‘‘yathā iriyato’’tiādi. Amanāpohoti passantānaṃ. Sīhaseyyāya nipannassapi hi ekacce sarīrāvayavā adhokhittavikkhittā viya dissanti. Kaṭiyaṃ dvinnaṃ ūrusandhīnaṃ dvinnañca jāṇusandhīnaṃ vasena catusandhikapallaṅkaṃ. Na patiṭṭhātīti nappavattati, ‘‘kaṃsi tva’’ntiādinā apucchite kathāpavatti eva na hoti. Appatiṭṭhitāya kathāya na sañjāyatīti tathā pana pucchāvasena kathāya appavattitāya upari dhammakathā na sañjāyati na uppajjati. Itīti tasmā. Kathāpatiṭṭhāpanatthaṃ kathāpavattanatthaṃ kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ vā pucchi.
สภาวเมว กเถตีติ อตฺตโน ภควโต อทิฎฺฐปุพฺพตฺตา ‘‘อทิฎฺฐปุพฺพกํ กถมหํ ชาเนยฺย’’นฺติ สภาวเมว เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสยเมว กเถติ; น ปน สเทวกสฺส โลกสฺส สุปากฎํ สภาวสิทฺธํ พุทฺธรูปกายสภาวํฯ อถ วา สภาวเมว กเถตีติ ‘‘อิทเมว’’นฺติ ชานโนฺตปิ ตทา ภควโต รุจิยา ตถาปวตฺตมานํ รูปกายสภาวเมว กเถติ อปฺปวิกฺขมฺภนฺติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห – ‘‘ตถา หิ น’’นฺติอาทิ, วิปสฺสนาลกฺขณเมว ปฎิปทนฺติ อธิปฺปาโยฯ
Sabhāvamevakathetīti attano bhagavato adiṭṭhapubbattā ‘‘adiṭṭhapubbakaṃ kathamahaṃ jāneyya’’nti sabhāvameva kevalaṃ attano ajjhāsayameva katheti; na pana sadevakassa lokassa supākaṭaṃ sabhāvasiddhaṃ buddharūpakāyasabhāvaṃ. Atha vā sabhāvameva kathetīti ‘‘idameva’’nti jānantopi tadā bhagavato ruciyā tathāpavattamānaṃ rūpakāyasabhāvameva katheti appavikkhambhanti adhippāyo. Tenāha – ‘‘tathā hi na’’ntiādi, vipassanālakkhaṇameva paṭipadanti adhippāyo.
๓๔๓. ‘‘ปุพฺพภาคปฎิปทํ อกเถตฺวา’’ติ วตฺวา ปุพฺพภาคปฎิปทาย อกถเน การณํ ปุพฺพภาคปฎิปทญฺจ สรูปโต ทเสฺสตุํ, ‘‘ยสฺส หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อปริสุทฺธายปิ ปุพฺพภาคปฎิปทาย วิปสฺสนา ตถา น กิจฺจการี, ปเคว อวิชฺชมานายาติ, ‘‘ยสฺส หิ…เป.… อปริสุทฺธา โหติ’’เจฺจว วุตฺตํฯ ปุพฺพภาคปฎิปทา จ นาม สเงฺขปโต ปนฺนรส จรณธมฺมาติ อาห – ‘‘สีลสํวรํ…เป.… อิมํ ปุพฺพภาคปฎิปทํ อาจิกฺขตี’’ติฯ ยานกิจฺจํ สาเธติ มคฺคคมเนน อกิลนฺตภาวสาธนตฺตาฯ จิรกาลํ ปริภาวิตาย ปริปกฺกคตาย เหตุสมฺปทาย อุปฎฺฐาปิตํ สามเณรสีลมฺปิ ปริปุณฺณํ อขณฺฑาทิภาวปฺปตฺติยา, ยํ ปุพฺพเหตุตฺตา ‘‘สีล’’นฺติ วุจฺจติฯ
343.‘‘Pubbabhāgapaṭipadaṃ akathetvā’’ti vatvā pubbabhāgapaṭipadāya akathane kāraṇaṃ pubbabhāgapaṭipadañca sarūpato dassetuṃ, ‘‘yassa hī’’tiādi vuttaṃ. Aparisuddhāyapi pubbabhāgapaṭipadāya vipassanā tathā na kiccakārī, pageva avijjamānāyāti, ‘‘yassa hi…pe… aparisuddhā hoti’’cceva vuttaṃ. Pubbabhāgapaṭipadā ca nāma saṅkhepato pannarasa caraṇadhammāti āha – ‘‘sīlasaṃvaraṃ…pe… imaṃ pubbabhāgapaṭipadaṃ ācikkhatī’’ti. Yānakiccaṃ sādheti maggagamanena akilantabhāvasādhanattā. Cirakālaṃ paribhāvitāya paripakkagatāya hetusampadāya upaṭṭhāpitaṃ sāmaṇerasīlampi paripuṇṇaṃ akhaṇḍādibhāvappattiyā, yaṃ pubbahetuttā ‘‘sīla’’nti vuccati.
ธาตุโย ปรมตฺถโต วิชฺชมานา, ปญฺญตฺติมโตฺถ ปุริโส อวิชฺชมาโนฯ อถ กสฺมา ภควา อรหตฺตสฺส ปทฎฺฐานภูตํ วิปสฺสนํ กเถโนฺต ‘‘ฉธาตุโร’’ติ อวิชฺชมานปฺปธานํ เทสนํ อารภีติ อาห – ‘‘ภควา หี’’ติอาทิฯ กตฺถจิ ‘‘เตวิโชฺช ฉฬภิโญฺญ’’ติอาทีสุ วิชฺชมาเนน อวิชฺชมานํ ทเสฺสติฯ กตฺถจิ – ‘‘อิตฺถิรูปํ, ภิกฺขเว, ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๑.๑) อวิชฺชมาเนน วิชฺชมานํ ทเสฺสติฯ กตฺถจิ ‘‘จกฺขุวิญฺญาณํ โสตวิญฺญาณ’’นฺติอาทีสุ (วิภ. ๑๒๑) วิชฺชมาเนน วิชฺชมานํ ทเสฺสติฯ กตฺถจิ – ‘‘ขตฺติยกุมาโร พฺราหฺมณกญฺญาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๗๕) อวิชฺชมาเนน อวิชฺชมานํ ทเสฺสติฯ อิธ ปน วิชฺชมาเนน อวิชฺชมานํ ทเสฺสติฯ ‘‘ฉธาตุโร’’ติ หิ สมาสโตฺถ อวิชฺชมาโน ปุคฺคลวิสยตฺตา, ตสฺส ปทสฺส อวยวโตฺถ ปน อปฺปธานโตฺถ วิชฺชมาโน, โส สทฺทกฺกเมน อปฺปธาโนปิ อตฺถกฺกเมน ปธาโนติ อาห – ‘‘วิชฺชมาเนน อวิชฺชมานํ ทเสฺสโนฺต’’ติฯ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาเยตฺถ เทสนาย การณํ ทเสฺสตุํ, ‘‘สเจ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อุปฎฺฐาเปยฺยาติ – ‘‘ธาตุโย’’อิเจฺจว กุลปุตฺตสฺส จิตฺตํ นิเวเสยฺย ตถา สญฺชาเนยฺย, เอวํ ธมฺมํ เทเสยฺยาติ อโตฺถฯ สเนฺทหํ กเรยฺยาติ อสติ ปุริเส โก กโรติ? โก ปฎิสํเวเทติ, ธาตุโย เอวาติ กิํ นุ โข อิทํ, กถํ นุ โข อิทนฺติ สํสยํ อุปฺปาเทยฺย? สโมฺมหํ อาปเชฺชยฺยาติ จตุรงฺคสมนฺนาคเต อนฺธกาเร วตฺตมานํ วิย เทสิยมาเน อเตฺถ สโมฺมหํ อาปเชฺชยฺย ฯ ตถาภูโต จ เทสนาย อภาชนภูตตฺตา เทสนํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ เอวมาหาติ เอวํ ‘‘ฉธาตุโร’’ติ อาหฯ
Dhātuyo paramatthato vijjamānā, paññattimattho puriso avijjamāno. Atha kasmā bhagavā arahattassa padaṭṭhānabhūtaṃ vipassanaṃ kathento ‘‘chadhāturo’’ti avijjamānappadhānaṃ desanaṃ ārabhīti āha – ‘‘bhagavā hī’’tiādi. Katthaci ‘‘tevijjo chaḷabhiñño’’tiādīsu vijjamānena avijjamānaṃ dasseti. Katthaci – ‘‘itthirūpaṃ, bhikkhave, purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatī’’tiādīsu (a. ni. 1.1) avijjamānena vijjamānaṃ dasseti. Katthaci ‘‘cakkhuviññāṇaṃ sotaviññāṇa’’ntiādīsu (vibha. 121) vijjamānena vijjamānaṃ dasseti. Katthaci – ‘‘khattiyakumāro brāhmaṇakaññāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappetī’’tiādīsu (dī. ni. 1.275) avijjamānena avijjamānaṃ dasseti. Idha pana vijjamānena avijjamānaṃ dasseti. ‘‘Chadhāturo’’ti hi samāsattho avijjamāno puggalavisayattā, tassa padassa avayavattho pana appadhānattho vijjamāno, so saddakkamena appadhānopi atthakkamena padhānoti āha – ‘‘vijjamānena avijjamānaṃ dassento’’ti. Puggalādhiṭṭhānāyettha desanāya kāraṇaṃ dassetuṃ, ‘‘sace hī’’tiādi vuttaṃ. Upaṭṭhāpeyyāti – ‘‘dhātuyo’’icceva kulaputtassa cittaṃ niveseyya tathā sañjāneyya, evaṃ dhammaṃ deseyyāti attho. Sandehaṃ kareyyāti asati purise ko karoti? Ko paṭisaṃvedeti, dhātuyo evāti kiṃ nu kho idaṃ, kathaṃ nu kho idanti saṃsayaṃ uppādeyya? Sammohaṃ āpajjeyyāti caturaṅgasamannāgate andhakāre vattamānaṃ viya desiyamāne atthe sammohaṃ āpajjeyya . Tathābhūto ca desanāya abhājanabhūtattā desanaṃ sampaṭicchituṃ na sakkuṇeyya. Evamāhāti evaṃ ‘‘chadhāturo’’ti āha.
ยํ ตฺวํ ปุริโสติ สญฺชานาสีติ ยํ รูปารูปธมฺมสมูหํ ปพนฺธวเสน ปวตฺตมานํ อธิฎฺฐานวิเสสวิสิฎฺฐํ – ‘‘ปุริโส สโตฺต อิตฺถี’’ติอาทินา ตฺวํ สญฺชานาสิ, โส ฉธาตุโรฯ สเนฺตสุปิ ฉธาตุวินิมุเตฺตสุ ธาตฺวนฺตเรสุ สุขาวคฺคหณตฺถํ ตถา วุตฺตํ ตคฺคหเณเนว จ เตสํ คเหตพฺพโต, สฺวายมโตฺถ เหฎฺฐา ทสฺสิโต เอวฯ เสสปเทสูติ ‘‘ฉผสฺสายตโน’’ติอาทิปเทสุปิฯ จตฺตาริ อธิฎฺฐานานิ จตโสฺส ปติฎฺฐา เอตสฺสาติ จตุราธิฎฺฐาโน, อธิติฎฺฐติ ปติฎฺฐหติ เอเตนาติ อธิฎฺฐานํ, เยสุ ปติฎฺฐาย อุตฺตมตฺถํ อรหตฺตํ อธิคจฺฉติ, เตสํ ปญฺญาทีนํ เอตํ อธิวจนํฯ เตนาห ‘‘สฺวายํ ภิกฺขู’’ติอาทิฯ เอโตฺตติ วฎฺฎโตฯ วิวฎฺฎิตฺวาติ วินิวฎฺฎิตฺวา อปสกฺกิตฺวาฯ เอโตฺตติ วา เอเตหิ ฉธาตุอาทีหิฯ เอตฺถ หิ นิวิฎฺฐสฺส อายตฺตสฺส อุตฺตมาย สิทฺธิยา อสมฺภโวติฯ ปติฎฺฐิตนฺติ อริยมคฺคาธิคมวเสน สุปฺปติฎฺฐิตํฯ เอวญฺหิ สพฺพโส ปฎิปกฺขสมุจฺฉินฺทเนน ตตฺถ ปติฎฺฐิโต โหติฯ มญฺญสฺสวา นปฺปวตฺตนฺตีติ ฉหิปิ ทฺวาเรหิ ปวตฺตมานโสตาย มเคฺคน วิโสสิตาย สพฺพโส วิคตาย สพฺพโส วิเจฺฉทปฺปตฺติยา น สนฺทนฺติฯ เตนาห ‘‘นปฺปวตฺตนฺตี’’ติฯ ยสฺมา มาเน สพฺพโส สมุจฺฉิเนฺน อสมุจฺฉิโนฺน อนุปสโนฺต กิเลโส นาม นตฺถิ, ตสฺมา อาห – ‘‘มุนิ สโนฺตติ วุจฺจตี’’ติ ราคคฺคิอาทีนํ นิพฺพาเนน นิพฺพุโตฯ
Yaṃ tvaṃ purisoti sañjānāsīti yaṃ rūpārūpadhammasamūhaṃ pabandhavasena pavattamānaṃ adhiṭṭhānavisesavisiṭṭhaṃ – ‘‘puriso satto itthī’’tiādinā tvaṃ sañjānāsi, so chadhāturo. Santesupi chadhātuvinimuttesu dhātvantaresu sukhāvaggahaṇatthaṃ tathā vuttaṃ taggahaṇeneva ca tesaṃ gahetabbato, svāyamattho heṭṭhā dassito eva. Sesapadesūti ‘‘chaphassāyatano’’tiādipadesupi. Cattāri adhiṭṭhānāni catasso patiṭṭhā etassāti caturādhiṭṭhāno, adhitiṭṭhati patiṭṭhahati etenāti adhiṭṭhānaṃ, yesu patiṭṭhāya uttamatthaṃ arahattaṃ adhigacchati, tesaṃ paññādīnaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Tenāha ‘‘svāyaṃ bhikkhū’’tiādi. Ettoti vaṭṭato. Vivaṭṭitvāti vinivaṭṭitvā apasakkitvā. Ettoti vā etehi chadhātuādīhi. Ettha hi niviṭṭhassa āyattassa uttamāya siddhiyā asambhavoti. Patiṭṭhitanti ariyamaggādhigamavasena suppatiṭṭhitaṃ. Evañhi sabbaso paṭipakkhasamucchindanena tattha patiṭṭhito hoti. Maññassavā nappavattantīti chahipi dvārehi pavattamānasotāya maggena visositāya sabbaso vigatāya sabbaso vicchedappattiyā na sandanti. Tenāha ‘‘nappavattantī’’ti. Yasmā māne sabbaso samucchinne asamucchinno anupasanto kileso nāma natthi, tasmā āha – ‘‘muni santoti vuccatī’’ti rāgaggiādīnaṃ nibbānena nibbuto.
ปญฺญํ นปฺปมเชฺชยฺยาติ, ‘‘ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธตี’’ติอาทินยปฺปวตฺตาย (ม. นิ. ๑.๔๒๓; ๒.๒๔; ๓.๗๕; สํ. นิ. ๔.๑๒๐; อ. นิ. ๓.๑๕; วิภ. ๕๑๙; มหานิ. ๑๖๑) อปฺปมาทปฺปฎิปตฺติยา สมาธิวิปสฺสนาปญฺญํ นปฺปมเชฺชยฺยฯ เอเตน ปุพฺพภาคิยํ สมถวิปสฺสนาภาวนมาหฯ สจฺจมนุรเกฺขยฺยาติ สจฺจานุรกฺขนาปเทเสน สีลวิโสธนมาห; สเจฺจ ฐิโต สมาทินฺนสีลํ อวิโกเปตฺวา ปริปูเรโนฺต สมาธิสํวตฺตนิยตํ กโรติฯ เตนาห ‘‘วจีสจฺจํ รเกฺขยฺยา’’ติฯ กิเลสปริจฺจาคํ พฺรูเหยฺยาติ ตทงฺคาทิวเสน กิเลสานํ ปริจฺจชนวิธิํ วเฑฺฒยฺยฯ กิเลสวูปสมนํ สิเกฺขยฺยาติ ยถา เต กิเลสา ตทงฺคาทิวเสน ปริจฺจตฺตา ยถาสมุทาจารปฺปวตฺติยา สนฺตาเน ปริฬาหํ น ชเนนฺติ; เอวํ กิเลสานํ วูปสมนวิธิํ สิเกฺขยฺย ปญฺญาธิฎฺฐานาทีนนฺติ โลกุตฺตรานํ ปญฺญาธิฎฺฐานาทีนํฯ อธิคมตฺถายาติ ปฎิลาภตฺถายฯ
Paññaṃ nappamajjeyyāti, ‘‘divasaṃ caṅkamena nisajjāya āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhetī’’tiādinayappavattāya (ma. ni. 1.423; 2.24; 3.75; saṃ. ni. 4.120; a. ni. 3.15; vibha. 519; mahāni. 161) appamādappaṭipattiyā samādhivipassanāpaññaṃ nappamajjeyya. Etena pubbabhāgiyaṃ samathavipassanābhāvanamāha. Saccamanurakkheyyāti saccānurakkhanāpadesena sīlavisodhanamāha; sacce ṭhito samādinnasīlaṃ avikopetvā paripūrento samādhisaṃvattaniyataṃ karoti. Tenāha ‘‘vacīsaccaṃ rakkheyyā’’ti. Kilesapariccāgaṃ brūheyyāti tadaṅgādivasena kilesānaṃ pariccajanavidhiṃ vaḍḍheyya. Kilesavūpasamanaṃ sikkheyyāti yathā te kilesā tadaṅgādivasena pariccattā yathāsamudācārappavattiyā santāne pariḷāhaṃ na janenti; evaṃ kilesānaṃ vūpasamanavidhiṃ sikkheyya paññādhiṭṭhānādīnanti lokuttarānaṃ paññādhiṭṭhānādīnaṃ. Adhigamatthāyāti paṭilābhatthāya.
๓๔๗. ปุเพฺพ วุตฺตานนฺติ, ‘‘จตุราธิฎฺฐาโน, ยตฺถ ฐิตํ มญฺญสฺสวา นปฺปวตฺตนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๔๓) เอวํ ปุเพฺพ วุตฺตานํฯ
347.Pubbevuttānanti, ‘‘caturādhiṭṭhāno, yattha ṭhitaṃ maññassavā nappavattantī’’ti (ma. ni. 3.343) evaṃ pubbe vuttānaṃ.
๓๔๘. วตฺตพฺพํ ภเวยฺยาติ นิเทฺทสวเสน วตฺตพฺพํ ภเวยฺยฯ อาทีหีติ เอวมาทีหิฯ กิจฺจํ นตฺถิ กิจฺจาภาวโตฯ อุปฺปฎิปาฎิธาตุกนฺติ อยถานุปุพฺพิกํฯ ยถาธมฺมวเสเนวาติ เทเสตพฺพธมฺมานํ ยถาสภาเวเนวฯ สปฺปายํ ธุตงฺคนฺติ อตฺตโน กิเลสนิคฺคณฺหนโยคฺคํ ธุตงฺคํฯ จิตฺตรุจิตนฺติ อตฺตโน จิตฺตปกติยา อาจริเยหิ วิโรเจตพฺพํ, จริยานุกูลนฺติ อโตฺถฯ หตฺถิปโทปมสุตฺตาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน วิสุทฺธิมคฺคธาตุวิภงฺคาทิํ สงฺคณฺหาติฯ
348.Vattabbaṃ bhaveyyāti niddesavasena vattabbaṃ bhaveyya. Ādīhīti evamādīhi. Kiccaṃ natthi kiccābhāvato. Uppaṭipāṭidhātukanti ayathānupubbikaṃ. Yathādhammavasenevāti desetabbadhammānaṃ yathāsabhāveneva. Sappāyaṃ dhutaṅganti attano kilesaniggaṇhanayoggaṃ dhutaṅgaṃ. Cittarucitanti attano cittapakatiyā ācariyehi virocetabbaṃ, cariyānukūlanti attho. Hatthipadopamasuttādīsūti ādi-saddena visuddhimaggadhātuvibhaṅgādiṃ saṅgaṇhāti.
๓๕๔. อยเมฺปตฺถาติ ปิ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถฯ เตน ‘‘อถาปรํ อุเปกฺขาเยว อวสิสฺสตี’’ติ อุปริเทสนํ สมฺปิเณฺฑติฯ โสปิ หิ ปาฎิเยโกฺก อนุสนฺธีติฯ นนุ จายํ ยถาอุทฺทิฎฺฐาย วิญฺญาณธาตุยา นิเทฺทโสปิ ภวิสฺสตีติ ยถานุสนฺธินโย วิชฺชตีติ? น, วิญฺญาณธาตุนิเทฺทสนเยน เทสนาย อปฺปวตฺตตฺตา เตนาห ‘‘เหฎฺฐโต’’ติอาทิฯ ยํ วา ปนาติอาทินา ปน เทสนาย สานุสนฺธิตํ วิภาเวติฯ น หิ พุทฺธา ภควโนฺต อนนุสนฺธิกํ เทสนํ เทเสนฺติฯ อาคมนียวิปสฺสนาวเสนาติ ยสฺสา ปุเพฺพ ปวตฺตตฺตา อาคมนียฎฺฐาเน ฐิตา วิปสฺสนา, ตสฺสา วเสนฯ กมฺมการกวิญฺญาณนฺติ ‘‘เนตํ มม เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’’ติ เอวํ วิปสฺสนากิจฺจการกํ วิปสฺสนาสหิตํ วิญฺญาณํฯ วิญฺญาณธาตุวเสนาติ ยถาอุทฺทิฎฺฐาย วิญฺญาณธาตุยา ภาชนวเสนฯ สตฺถุ กถนตฺถายาติ สตฺถารา อุเทฺทสเมว กตฺวา ฐปิตตฺตา นิเทฺทสวเสน กถนตฺถายฯ อกถิตภาโว เอว หิสฺส อวสิฎฺฐตา กถนตฺถาย ปฎิวิชฺฌนตฺถาย จฯ ปฎิปกฺขวิคเมน ตสฺส จิตฺตสฺส ปริสุทฺธตาติ อาห ‘‘นิรุปกฺกิเลส’’นฺติฯ อุปกฺกิเลสานํ ปน ปหีนภาวโต ปริโยทาตํฯ สมุทยวเสน อุทยทสฺสนตฺถเญฺจว ปจฺจยนิโรธวเสน อตฺถงฺคมทสฺสนตฺถญฺจฯ การณภาเวน สุขาย เวทนาย หิตนฺติ สุขเวทนิยํฯ เตนาห ‘‘สุขเวทนาย ปจฺจยภูต’’นฺติฯ
354.Ayampetthāti pi-saddo sampiṇḍanattho. Tena ‘‘athāparaṃ upekkhāyeva avasissatī’’ti uparidesanaṃ sampiṇḍeti. Sopi hi pāṭiyekko anusandhīti. Nanu cāyaṃ yathāuddiṭṭhāya viññāṇadhātuyā niddesopi bhavissatīti yathānusandhinayo vijjatīti? Na, viññāṇadhātuniddesanayena desanāya appavattattā tenāha ‘‘heṭṭhato’’tiādi. Yaṃ vā panātiādinā pana desanāya sānusandhitaṃ vibhāveti. Na hi buddhā bhagavanto ananusandhikaṃ desanaṃ desenti. Āgamanīyavipassanāvasenāti yassā pubbe pavattattā āgamanīyaṭṭhāne ṭhitā vipassanā, tassā vasena. Kammakārakaviññāṇanti ‘‘netaṃ mama nesohamasmi, na meso attā’’ti evaṃ vipassanākiccakārakaṃ vipassanāsahitaṃ viññāṇaṃ. Viññāṇadhātuvasenāti yathāuddiṭṭhāya viññāṇadhātuyā bhājanavasena. Satthu kathanatthāyāti satthārā uddesameva katvā ṭhapitattā niddesavasena kathanatthāya. Akathitabhāvo eva hissa avasiṭṭhatā kathanatthāya paṭivijjhanatthāya ca. Paṭipakkhavigamena tassa cittassa parisuddhatāti āha ‘‘nirupakkilesa’’nti. Upakkilesānaṃ pana pahīnabhāvato pariyodātaṃ. Samudayavasena udayadassanatthañceva paccayanirodhavasena atthaṅgamadassanatthañca. Kāraṇabhāvena sukhāya vedanāya hitanti sukhavedaniyaṃ. Tenāha ‘‘sukhavedanāya paccayabhūta’’nti.
๓๖๐. รูปกมฺมฎฺฐานมฺปิ จตุธาตุววตฺถานวเสน, อรูปกมฺมฎฺฐานมฺปิ สุขทุกฺขเวทนามุเขน ปคุณํ ชาตํฯ
360.Rūpakammaṭṭhānampi catudhātuvavatthānavasena, arūpakammaṭṭhānampi sukhadukkhavedanāmukhena paguṇaṃ jātaṃ.
สตฺถุ กถนตฺถํเยว อวสิสฺสตีติ, ‘‘กุลปุตฺตสฺส ปฎิวิชฺฌนตฺถ’’นฺติ วุตฺตเมวตฺถํ นิเสเธติ, ตสฺมา วุตฺตเมวตฺถํ สมเตฺถตุํ, ‘‘อิมสฺมิํ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กุลปุตฺตสฺส รูปาวจรชฺฌาเนติ กุลปุเตฺตน อธิคตรูปาวจรชฺฌาเนฯ เตนาห – ‘‘ภิกฺขุ ปคุณํ ตว อิทํ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌาน’’นฺติฯ ยํ กิญฺจิ สุวณฺณตาปนโยคฺยํ องฺคารภาชนํ อิธ ‘‘อุกฺกา’’ติ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘องฺคารกปลฺล’’นฺติฯ สเชฺชยฺยาติ ยถา ตตฺถ ปกฺขิตฺตสุวณฺณญฺจ ตปฺปติ, เอวํ ปฎิยาทิเยยฺยฯ นีหฎโทสนฺติ วิคตีภูตกาฬกํฯ อปนีตกสาวนฺติ อปคตสุขุมกาฬกํฯ
Satthu kathanatthaṃyeva avasissatīti, ‘‘kulaputtassa paṭivijjhanattha’’nti vuttamevatthaṃ nisedheti, tasmā vuttamevatthaṃ samatthetuṃ, ‘‘imasmiṃ hī’’tiādi vuttaṃ. Kulaputtassa rūpāvacarajjhāneti kulaputtena adhigatarūpāvacarajjhāne. Tenāha – ‘‘bhikkhu paguṇaṃ tava idaṃ rūpāvacaracatutthajjhāna’’nti. Yaṃ kiñci suvaṇṇatāpanayogyaṃ aṅgārabhājanaṃ idha ‘‘ukkā’’ti adhippetanti āha ‘‘aṅgārakapalla’’nti. Sajjeyyāti yathā tattha pakkhittasuvaṇṇañca tappati, evaṃ paṭiyādiyeyya. Nīhaṭadosanti vigatībhūtakāḷakaṃ. Apanītakasāvanti apagatasukhumakāḷakaṃ.
อริยมเคฺค ปติฎฺฐาเปตุกาเมน นาม สพฺพสฺมิมฺปิ โลกิยธเมฺม วิรชฺชนตฺถาย ธโมฺม กเถตโพฺพติ อธิปฺปาเยน, ‘‘กสฺมา ปนา’’ติอาทินา โจทนา กตาฯ วิเนยฺยทมนกุสเลน ภควตา เวเนยฺยชฺฌาสยวเสน ตาว จตุตฺถชฺฌานุเปกฺขาย วโณฺณ กถิโตติ ตสฺส ปริหารํ วทโนฺต, ‘‘กุลปุตฺตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ
Ariyamagge patiṭṭhāpetukāmena nāma sabbasmimpi lokiyadhamme virajjanatthāya dhammo kathetabboti adhippāyena, ‘‘kasmā panā’’tiādinā codanā katā. Vineyyadamanakusalena bhagavatā veneyyajjhāsayavasena tāva catutthajjhānupekkhāya vaṇṇo kathitoti tassa parihāraṃ vadanto, ‘‘kulaputtassā’’tiādimāha.
๓๖๑. ตทนุธมฺมนฺติ ตสฺส อรูปาวจรสฺส กุสลสฺส อนุรูปธมฺมํ, ยาย ปฎิปทาย ตสฺส อธิคโม โหติ, ตสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘รูปาวจรชฺฌาน’’นฺติฯ ตคฺคหณาติ ตสฺส คหเณน ตสฺสา ปฎิปตฺติยา ปฎิปชฺชมาเนนฯ อิโต อุตฺตรินฺติ ‘‘วิญฺญาณญฺจายตน’’นฺติอาทีสุฯ
361.Tadanudhammanti tassa arūpāvacarassa kusalassa anurūpadhammaṃ, yāya paṭipadāya tassa adhigamo hoti, tassa pubbabhāgapaṭipadanti attho. Tenāha ‘‘rūpāvacarajjhāna’’nti. Taggahaṇāti tassa gahaṇena tassā paṭipattiyā paṭipajjamānena. Ito uttarinti ‘‘viññāṇañcāyatana’’ntiādīsu.
๓๖๒. ตเสฺสวาติ อรูปาวจรชฺฌานสฺสฯ เอตํ ปน สวิปากํ อรูปาวจรชฺฌานํ สเมจฺจ สมฺภุยฺย ปจฺจเยหิ กตตฺตา สงฺขตํฯ ปกปฺปิตนฺติ ปจฺจยวเสน สวิหิตํฯ อายูหิตนฺติ สมฺปิณฺฑิตํฯ กโรเนฺตน กรียตีติ ปฎิปชฺชนเกน ปฎิปชฺชียติ สงฺขรียติฯ นิพฺพานํ วิย น นิจฺจํ น สสฺสตํฯ อถ โข ขเณ ขเณ ภิชฺชนสภาวตาย ตาวกาลิกํฯ ตโต เอว จวนาทิสภาวนฺติ สพฺพเมตํ รูปาวจรธเมฺมสุ อาทีนววิภาวนํฯ ทุเกฺข ปติฎฺฐิตนฺติ สงฺขารทุเกฺข ปติฎฺฐิตํฯ อตาณนฺติ จวนสภาวาทิตาย ตาณรหิตํฯ อเลณนฺติ ตโต อรกฺขตฺตา ลียนฎฺฐานรหิตํฯ อสรณนฺติ อปฺปฎิสรณํฯ อสรณีภูตนฺติ สพฺพกาลมฺปิ อปฺปฎิสรณํฯ
362.Tassevāti arūpāvacarajjhānassa. Etaṃ pana savipākaṃ arūpāvacarajjhānaṃ samecca sambhuyya paccayehi katattā saṅkhataṃ. Pakappitanti paccayavasena savihitaṃ. Āyūhitanti sampiṇḍitaṃ. Karontena karīyatīti paṭipajjanakena paṭipajjīyati saṅkharīyati. Nibbānaṃ viya na niccaṃ na sassataṃ. Atha kho khaṇe khaṇe bhijjanasabhāvatāya tāvakālikaṃ. Tato eva cavanādisabhāvanti sabbametaṃ rūpāvacaradhammesu ādīnavavibhāvanaṃ. Dukkhe patiṭṭhitanti saṅkhāradukkhe patiṭṭhitaṃ. Atāṇanti cavanasabhāvāditāya tāṇarahitaṃ. Aleṇanti tato arakkhattā līyanaṭṭhānarahitaṃ. Asaraṇanti appaṭisaraṇaṃ. Asaraṇībhūtanti sabbakālampi appaṭisaraṇaṃ.
สมตฺตปตฺตวิเส ขนฺธาทีสุ คหิเต ทุตฺติกิจฺฉา สิยาติ, ‘‘ขนฺธํ วา สีสํ วา คเหตุํ อทตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ เอวเมวาติ เอตฺถายํ อุปมาสํสนฺทนา – เฉโก ภิสโกฺก วิย สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ วิสวิกาโร วิย กิเลสทุกฺขานุพโนฺธ, ภิสกฺกสฺส วิสํ ฐานโต จาเวตฺวา อุปริ อาโรปนํ วิย ภควโต เทสนานุภาเวน กุลปุตฺตสฺส กามภเว นิกนฺติํ ปริยาทาย อรูปชฺฌาเน ภวนํฯ ภิสกฺกสฺส วิสํ โอตาเรตฺวา ปถวิยํ ปาตนํ วิย กุลปุตฺตสฺส โอรมฺภาคิยกิเลสทุกฺขาปนยนํฯ
Samattapattavise khandhādīsu gahite duttikicchā siyāti, ‘‘khandhaṃ vā sīsaṃ vā gahetuṃ adatvā’’ti vuttaṃ. Evamevāti etthāyaṃ upamāsaṃsandanā – cheko bhisakko viya sammāsambuddho. Visavikāro viya kilesadukkhānubandho, bhisakkassa visaṃ ṭhānato cāvetvā upari āropanaṃ viya bhagavato desanānubhāvena kulaputtassa kāmabhave nikantiṃ pariyādāya arūpajjhāne bhavanaṃ. Bhisakkassa visaṃ otāretvā pathaviyaṃ pātanaṃ viya kulaputtassa orambhāgiyakilesadukkhāpanayanaṃ.
อสมฺปตฺตสฺสาติ อรูปาวจรชฺฌานํ อนธิคตสฺสฯ อปฺปฎิลทฺธเสฺสวาติ ตสฺส เววจนํฯ สพฺพเมตนฺติ ‘‘อนิจฺจํ อธุว’’นฺติอาทินา วิตฺถารโต วุตฺตํ สพฺพเมตํ อาทีนวํฯ เอกปเทเนว ‘‘สงฺขตเมต’’นฺติ กเถสิ สงฺขตปเทเนว ตสฺส อตฺถสฺส อนวเสสโต ปริยาทินฺนตฺตาฯ
Asampattassāti arūpāvacarajjhānaṃ anadhigatassa. Appaṭiladdhassevāti tassa vevacanaṃ. Sabbametanti ‘‘aniccaṃ adhuva’’ntiādinā vitthārato vuttaṃ sabbametaṃ ādīnavaṃ. Ekapadeneva ‘‘saṅkhatameta’’nti kathesi saṅkhatapadeneva tassa atthassa anavasesato pariyādinnattā.
นายูหตีติ ภวการณเจตนาวเสน พฺยาปารํ น สมูเหติ น สมฺปิเณฺฑติฯ เตนาห – ‘‘น ราสิํ กโรตี’’ติฯ อภิสงฺขรณํ นาม เจตนาพฺยาปาโรติ อาห – ‘‘น อภิสเญฺจตยตี’’ติฯ ตํ ปน ผลุปฺปาทนสมตฺถตาย ผเลน กปฺปนนฺติ อาห ‘‘น กเปฺปตี’’ติฯ สเจ อภิสงฺขารเจตนา อุฬารา, ผลมหตฺตสงฺขาตาย วุฑฺฒิยา โหติ, อนุฬารา จ อวุฑฺฒิยาติ อาห – ‘‘วุฑฺฒิยา วา ปริหานิยา วา’’ติฯ พุทฺธวิสเย ฐตฺวาติ ภควา อตฺตโน พุทฺธสุพุทฺธตาย สีหสมานวุตฺติตาย จ เทสนํ อุกฺกํสโต สาวเกหิ ปตฺตพฺพํ วิเสสํ อนวเสเสโนฺต ตถา วทติ, น สาวกวิสยํ อติกฺกมิตฺวา อตฺตโน พุทฺธวิสยเมว เทเสโนฺตฯ เตนาห – ‘‘อรหตฺตนิกูฎํ คณฺหี’’ติฯ ยทิ กุลปุโตฺต อตฺตโน…เป.… ปฎิวิชฺฌิ, อถ กสฺมา ภควา เทสนาย อรหตฺตนิกูฎํ คณฺหีติ อาห ‘‘ยถา นามา’’ติอาทิฯ
Nāyūhatīti bhavakāraṇacetanāvasena byāpāraṃ na samūheti na sampiṇḍeti. Tenāha – ‘‘na rāsiṃ karotī’’ti. Abhisaṅkharaṇaṃ nāma cetanābyāpāroti āha – ‘‘na abhisañcetayatī’’ti. Taṃ pana phaluppādanasamatthatāya phalena kappananti āha ‘‘na kappetī’’ti. Sace abhisaṅkhāracetanā uḷārā, phalamahattasaṅkhātāya vuḍḍhiyā hoti, anuḷārā ca avuḍḍhiyāti āha – ‘‘vuḍḍhiyā vā parihāniyā vā’’ti. Buddhavisaye ṭhatvāti bhagavā attano buddhasubuddhatāya sīhasamānavuttitāya ca desanaṃ ukkaṃsato sāvakehi pattabbaṃ visesaṃ anavasesento tathā vadati, na sāvakavisayaṃ atikkamitvā attano buddhavisayameva desento. Tenāha – ‘‘arahattanikūṭaṃ gaṇhī’’ti. Yadi kulaputto attano…pe… paṭivijjhi, atha kasmā bhagavā desanāya arahattanikūṭaṃ gaṇhīti āha ‘‘yathā nāmā’’tiādi.
อิโต ปุเพฺพติ อิโต อนาคามิผลาธิคมโต อุตฺตริ อุปริฯ อสฺสาติ กุลปุตฺตสฺสฯ กเถนฺตสฺส ภควโต ธเมฺม เนว กงฺขา น วิมติ ปฐมมเคฺคเนว กงฺขาย สมุจฺฉินฺนตฺตาฯ เอกเจฺจสุ ฐาเนสูติ ตถา วิเนยฺยฐาเนสุฯ ตถา หิ อยมฺปิ กุลปุโตฺต อนาคามิผลํ ปตฺวา ภควนฺตํ สญฺชานิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยโต อเนนา’’ติอาทิฯ
Ito pubbeti ito anāgāmiphalādhigamato uttari upari. Assāti kulaputtassa. Kathentassa bhagavato dhamme neva kaṅkhā na vimati paṭhamamaggeneva kaṅkhāya samucchinnattā. Ekaccesu ṭhānesūti tathā vineyyaṭhānesu. Tathā hi ayampi kulaputto anāgāmiphalaṃ patvā bhagavantaṃ sañjāni. Tena vuttaṃ ‘‘yato anenā’’tiādi.
๓๖๓. อนโชฺฌสิตาติ อนโชฺฌสนียาติ อยมโตฺถติ อาห – ‘‘คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐาเปตฺวา คเหตุํ น ยุตฺตา’’ติฯ
363.Anajjhositāti anajjhosanīyāti ayamatthoti āha – ‘‘gilitvā pariniṭṭhāpetvā gahetuṃ na yuttā’’ti.
๓๖๔. ราโคว อนุสโย ราคานุสโย, โส จ ปจฺจยสมวาเย อุปฺปชฺชนารโหติ วตฺตพฺพตํ ลภตีติ วุตฺตํ – ‘‘สุขเวทนํ อารพฺภ ราคานุสโย อุปฺปเชฺชยฺยา’’ติฯ น ปน ตสฺส อุปฺปาทนํ อตฺถิ ขณตฺตยสมาโยคาสมฺภวโตฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ อิตรนฺติ อทุกฺขมสุขเวทนํฯ วิสํยุโตฺตติ เกนจิ สโญฺญชเนน อสํยุตฺตตาย เอว นิยตวิปฺปยุโตฺตฯ กายสฺส โกฎิ ปรโม อโนฺต เอตสฺสาติ กายโกฎิกํฯ ทุติยปเทติ ‘‘ชีวิตปริยนฺติก’’นฺติ อิมสฺมิํ ปเทฯ วิเสวนสฺสาติ อุปาทานสฺสฯ สีตีภวิสฺสนฺตีติ ปทสฺส ‘‘นิรุชฺฌิสฺสนฺตี’’ติ อโตฺถ วุโตฺต, กถํ ปน เวทยิตานํ ทฺวาทสสุ อายตเนสุ นิรุชฺฌนํ สีติภาวปฺปตฺตีติ โจทนํ สนฺธายาห – ‘‘กิเลสา หี’’ติอาทิฯ สมุทยปเญฺหนาติ มหาสติปฎฺฐาเน (ที. นิ. ๒.๔๐๐; ม. นิ. ๑.๑๓๓) สมุทยสจฺจนิโรธปเญฺหนฯ นนุ สพฺพโส กิเลสปริฬาหวิคเม สีติภาโว นาม เวทนานิโรธมเตฺตน อธิเปฺปโต; เตน อิธ เวทยิตานิ วุตฺตานิ, น กิเลสาติ เวทยิตานํ อจฺจนฺตนิโรธสงฺขาโต สีติภาโวปิ กิเลสสมุเจฺฉเทเนวาติ อาห ‘‘เวทยิตานิปี’’ติอาทิฯ
364. Rāgova anusayo rāgānusayo, so ca paccayasamavāye uppajjanārahoti vattabbataṃ labhatīti vuttaṃ – ‘‘sukhavedanaṃ ārabbha rāgānusayo uppajjeyyā’’ti. Na pana tassa uppādanaṃ atthi khaṇattayasamāyogāsambhavato. Esa nayo sesesupi. Itaranti adukkhamasukhavedanaṃ. Visaṃyuttoti kenaci saññojanena asaṃyuttatāya eva niyatavippayutto. Kāyassa koṭi paramo anto etassāti kāyakoṭikaṃ. Dutiyapadeti ‘‘jīvitapariyantika’’nti imasmiṃ pade. Visevanassāti upādānassa. Sītībhavissantīti padassa ‘‘nirujjhissantī’’ti attho vutto, kathaṃ pana vedayitānaṃ dvādasasu āyatanesu nirujjhanaṃ sītibhāvappattīti codanaṃ sandhāyāha – ‘‘kilesā hī’’tiādi. Samudayapañhenāti mahāsatipaṭṭhāne (dī. ni. 2.400; ma. ni. 1.133) samudayasaccanirodhapañhena. Nanu sabbaso kilesapariḷāhavigame sītibhāvo nāma vedanānirodhamattena adhippeto; tena idha vedayitāni vuttāni, na kilesāti vedayitānaṃ accantanirodhasaṅkhāto sītibhāvopi kilesasamucchedenevāti āha ‘‘vedayitānipī’’tiādi.
๓๖๕. อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนนฺติ เอตฺถ สโญฺญชนา ทีปสิขา วิย, อธิฎฺฐานกปลฺลิกา วิย เวทนาย นิสฺสยภูตา จตฺตาโร ขนฺธา, เตลํ วิย กิเลสา, วฎฺฎิ วิย กมฺมวฎฺฎํ, อุปหรณกปุริโส วิย วฎฺฎคามี ปุถุชฺชโน, ตสฺส สีสเจฺฉทกปุริโส วิย อรหตฺตมโคฺค สนฺตานสฺส สมุเจฺฉทกรณโต, อนาหาราย ทีปสิขาย นิพฺพายนํ วิย กมฺมกิเลสานํ อนนฺตรปจฺจยโต อนาหาราย เวทนาย อนุปาทิเสสวเสน นิพฺพายนํฯ
365.Idaṃopammasaṃsandananti ettha saññojanā dīpasikhā viya, adhiṭṭhānakapallikā viya vedanāya nissayabhūtā cattāro khandhā, telaṃ viya kilesā, vaṭṭi viya kammavaṭṭaṃ, upaharaṇakapuriso viya vaṭṭagāmī puthujjano, tassa sīsacchedakapuriso viya arahattamaggo santānassa samucchedakaraṇato, anāhārāya dīpasikhāya nibbāyanaṃ viya kammakilesānaṃ anantarapaccayato anāhārāya vedanāya anupādisesavasena nibbāyanaṃ.
อาทิมฺหิ สมาธิวิปสฺสนาปญฺญาหีติ ปุพฺพภาคปฎิปทาภูตา ตยา ปคุณสมาธิโต อรหตฺตสฺส ปทฎฺฐานภูตวิปสฺสนาปญฺญาโต จฯ อุตฺตริตราติ วิสิฎฺฐตราฯ เอวํ สมนฺนาคโตติ เอตฺถ เอวํ-สโทฺท อิทํสทฺทตฺถวจโนติ อาห – ‘‘อิมินา อุตฺตเมน อรหตฺตผลปญฺญาธิฎฺฐาเนนา’’ติฯ สพฺพํ วฎฺฎทุกฺขํ เขเปตีติ สพฺพทุกฺขกฺขโย, อคฺคมโคฺค, ตํปริยาปนฺนตาย ตตฺถ ญาณนฺติ อาห – ‘‘สพฺพทุกฺขกฺขเย ญาณํ นาม อรหตฺตมเคฺค ญาณ’’นฺติฯ อรหตฺตผเล ญาณํ อธิเปฺปตํ วุตฺตนเยน สพฺพทุกฺขกฺขเย สเนฺต ตนฺนิมิตฺตํ วา อุปฺปนฺนญาณนฺติ กตฺวาฯ ตสฺสาติ, ‘‘เอวํ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อิมินา ปรเมน ปญฺญาธิฎฺฐาเนน สมนฺนาคโต โหตี’’ติ วุตฺตภิกฺขุโนฯ
Ādimhi samādhivipassanāpaññāhīti pubbabhāgapaṭipadābhūtā tayā paguṇasamādhito arahattassa padaṭṭhānabhūtavipassanāpaññāto ca. Uttaritarāti visiṭṭhatarā. Evaṃ samannāgatoti ettha evaṃ-saddo idaṃsaddatthavacanoti āha – ‘‘iminā uttamena arahattaphalapaññādhiṭṭhānenā’’ti. Sabbaṃ vaṭṭadukkhaṃ khepetīti sabbadukkhakkhayo, aggamaggo, taṃpariyāpannatāya tattha ñāṇanti āha – ‘‘sabbadukkhakkhaye ñāṇaṃ nāma arahattamagge ñāṇa’’nti. Arahattaphale ñāṇaṃ adhippetaṃ vuttanayena sabbadukkhakkhaye sante tannimittaṃ vā uppannañāṇanti katvā. Tassāti, ‘‘evaṃ samannāgato bhikkhu iminā paramena paññādhiṭṭhānena samannāgato hotī’’ti vuttabhikkhuno.
๓๖๖. หีติ ยสฺมาฯ วิมุตฺตีติ อรหตฺตผลวิมุตฺติ, ตสฺมา สพฺพทุกฺขกฺขเย ญาณนฺติ อรหตฺตผลญาณํ อธิเปฺปตํฯ สจฺจนฺติ ปรมตฺถสจฺจํ นิพฺพานํ, น มคฺคสจฺจํฯ กามํ อรหตฺตผลวิมุตฺติ ปฎิปเกฺขหิ อโกปนียตาย อกุปฺปา, ‘‘สเจฺจ ฐิตา’’ติ ปน วจนโต, ‘‘อกุปฺปารมฺมณกรเณน อกุปฺปาติ วุตฺตา’’ติ อาหฯ วิตถนฺติ นฎฺฐํ, ชราย มรเณน จ วิปริณาเมตพฺพตาย ยาทิสํ อุปฺปาทาวตฺถาย ชาตํ, ตโต อญฺญาทิสนฺติ อโตฺถฯ ตถา หิ ตํ ชรามรเณหิ ปริมุสิตพฺพรูปตาย ‘‘มุสา’’ติ วุตฺตํฯ เตนาห – ‘‘โมสธมฺมนฺติ นสฺสนสภาว’’นฺติฯ ตํ อวิตถนฺติ ตํ วุตฺตนเยน อวิตถํ นาม, ตํ สภาโว สพฺพกาลํ เตเนว ลพฺภนโตฯ สมถวิปสฺสนาวเสน วจีสจฺจโตติ สมถวิปสฺสนาวเสน ยํ วิสุทฺธิมตฺตํ วจีสจฺจํ, ตโตฯ ทุกฺขสจฺจสมุทยสเจฺจหิ ตจฺฉวิปลฺลาสภูตสภาเวหิฯ อิติ เนสํ ยถาสกํ สภาเวน อวิตถภาเว อโมสธมฺมตาย เตหิปิ อวิตถภาวา ปรมตฺถสจฺจํ นิพฺพานเมว อุตฺตริตรํฯ ตสฺมาติ นิพฺพานเสฺสว อุตฺตริตรภาวโตฯ
366.Hīti yasmā. Vimuttīti arahattaphalavimutti, tasmā sabbadukkhakkhaye ñāṇanti arahattaphalañāṇaṃ adhippetaṃ. Saccanti paramatthasaccaṃ nibbānaṃ, na maggasaccaṃ. Kāmaṃ arahattaphalavimutti paṭipakkhehi akopanīyatāya akuppā, ‘‘sacce ṭhitā’’ti pana vacanato, ‘‘akuppārammaṇakaraṇena akuppāti vuttā’’ti āha. Vitathanti naṭṭhaṃ, jarāya maraṇena ca vipariṇāmetabbatāya yādisaṃ uppādāvatthāya jātaṃ, tato aññādisanti attho. Tathā hi taṃ jarāmaraṇehi parimusitabbarūpatāya ‘‘musā’’ti vuttaṃ. Tenāha – ‘‘mosadhammanti nassanasabhāva’’nti. Taṃ avitathanti taṃ vuttanayena avitathaṃ nāma, taṃ sabhāvo sabbakālaṃ teneva labbhanato. Samathavipassanāvasena vacīsaccatoti samathavipassanāvasena yaṃ visuddhimattaṃ vacīsaccaṃ, tato. Dukkhasaccasamudayasaccehi tacchavipallāsabhūtasabhāvehi. Iti nesaṃ yathāsakaṃ sabhāvena avitathabhāve amosadhammatāya tehipi avitathabhāvā paramatthasaccaṃ nibbānameva uttaritaraṃ. Tasmāti nibbānasseva uttaritarabhāvato.
๓๖๗. อุปธียติ เอตฺถ ทุกฺขนฺติ อุปธี, ขนฺธา กามคุณา จฯ อุปทหนฺติ ทุกฺขนฺติ อุปธี, กิเลสาภิสงฺขาราฯ ปริปูรา คหิตา ปรามฎฺฐาติ ปริยตฺตภาเวน ตณฺหาย คหิตา ทิฎฺฐิยา ปรามฎฺฐาฯ สมถวิปสฺสนาวเสน กิเลสปริจฺจาคโตติ วิกฺขมฺภนวเสน ตทงฺคปฺปหานวเสน จ กิเลสานํ ปริจฺจชนโตฯ อุตฺตริตโร วิสิฎฺฐตรสฺส ปหานปฺปการสฺส อภาวโตฯ
367. Upadhīyati ettha dukkhanti upadhī, khandhā kāmaguṇā ca. Upadahanti dukkhanti upadhī, kilesābhisaṅkhārā. Paripūrā gahitā parāmaṭṭhāti pariyattabhāvena taṇhāya gahitā diṭṭhiyā parāmaṭṭhā. Samathavipassanāvasena kilesapariccāgatoti vikkhambhanavasena tadaṅgappahānavasena ca kilesānaṃ pariccajanato. Uttaritaro visiṭṭhatarassa pahānappakārassa abhāvato.
๓๖๘. อาฆาตกรณวเสนาติ เจตสิกาฆาตสฺส อุปฺปชฺชนวเสนฯ พฺยาปชฺชนวเสนาติ จิตฺตสฺส วิปตฺติภาววเสนฯ สมฺปทุสฺสนวเสนาติ สพฺพโส ทุสฺสนวเสนฯ ตีหิ ปเทหิ ยทิ อรหตฺตมเคฺคน กิเลสานํ ปริจฺจาโค จาคาธิฎฺฐานํ, อรหตฺตมเคฺคเนว เนสํ วูปสโม อุปสมาธิฎฺฐานํ โหตีติ ทเสฺสติฯ เอตฺถ วิเสเสน ปริจฺจาโค สมฺปชหนํ อนุปฺปตฺติธมฺมตาปาทนํ จาโค, ตถา ปน ปริจฺจาเคน โย โส เนสํ ตทา วูปสนฺตตาย อภาโว, อยํ อุปสโมติ อยเมเตสํ วิเสโสฯ
368.Āghātakaraṇavasenāti cetasikāghātassa uppajjanavasena. Byāpajjanavasenāti cittassa vipattibhāvavasena. Sampadussanavasenāti sabbaso dussanavasena. Tīhi padehi yadi arahattamaggena kilesānaṃ pariccāgo cāgādhiṭṭhānaṃ, arahattamaggeneva nesaṃ vūpasamo upasamādhiṭṭhānaṃ hotīti dasseti. Ettha visesena pariccāgo sampajahanaṃ anuppattidhammatāpādanaṃ cāgo, tathā pana pariccāgena yo so nesaṃ tadā vūpasantatāya abhāvo, ayaṃ upasamoti ayametesaṃ viseso.
๓๖๙. มญฺญิตนฺติ มญฺญนา, ‘‘เอตํ มมา’’ติอาทินา กปฺปนาติ อโตฺถฯ อวิชฺชาวิพนฺธนตณฺหาคาหาทีนํ สาธารณภาวโต อยมหนฺติ เอตฺถ อหนฺติ ทิฎฺฐิมญฺญนาทสฺสนํ, สา ปน ทิฎฺฐิ มานมญฺญนาย อตฺตนิยคาหวเสน โหตีติ เสฺวว ‘‘อย’’นฺติ อิมินา คหิโตติ อาห – ‘‘อยมหนฺติ เอกํ ตณฺหามญฺญิตเมว วฎฺฎตี’’ติฯ อาพาธเฎฺฐนาติ ปฎิปีฬนเฎฺฐนฯ มญฺญนาวเสน หิ สตฺตานํ ตถา โหติฯ อโนฺตโทสเฎฺฐนาติ อพฺภนฺตรทุฎฺฐภาเวนฯ มญฺญนาทูสิตตฺตา หิ สตฺตานํ อตฺตภาโว ทุกฺขตามูลายโตฺต, กิเลสาสุจิปคฺฆรณโต อุปฺปาทนิโรธภเงฺคหิ อุทฺธมุทฺธํ ปกฺกปภิโนฺน โหตีติ ผลูปจาเรน ‘‘มญฺญิตํ คโณฺฑ’’ติ วุโตฺตฯ อนุปวิฎฺฐเฎฺฐนาติ อนุปวิสิตฺวา หทยมาหจฺจ อธิฎฺฐาเนนฯ มญฺญิตญฺหิ ปีฬาชนนโต อโนฺตตุทนโต ทุรุทฺธรณโต สลฺลํฯ ขีณาสวมุนิ สพฺพโส กิเลสานํ สนฺตตฺตา, ตโต เอว ปริฬาหานํ ปรินิพฺพุตตฺตา วูปสนฺตตฺตา สโนฺต อุปสโนฺต นิพฺพุโตติ วุจฺจติฯ ยตฺถ ฐิตนฺติ ยสฺมิํ อเสกฺขภูมิยํ ฐิตํฯ ยทิ ภควา อตฺตโน เทสนาญาณานุรูปํ เทสนํ ปวตฺตาเปยฺย, มหาปถวิํ ปตฺถรนฺตสฺส วิย, อากาสํ ปสาเรนฺตสฺส วิย, อนนฺตาปริเมยฺยโลกธาตุโย ปฎิจฺจ เตสํ ฐิตาการํ อนุปฺปูรํ วิจินนฺตสฺส วิย เทสนา ปริโยสานํ น คเจฺฉยฺยฯ ยสฺมา ปนสฺส วิเนยฺยชฺฌาสยานุรูปเมว เทสนา ปวตฺติ, น ตโต ปรํ อณุมตฺตมฺปิ วฑฺฒติฯ ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘สพฺพาปิ ธมฺมเทสนา สํขิตฺตาว, วิตฺถารเทสนา นาม นตฺถี’’ติฯ นนุ สตฺตปกรณเทสนา วิตฺถารกถาติ? น สาปิ วิตฺถารกถาติ อาห – ‘‘สมนฺตปฎฺฐานกถาปิ สํขิตฺตาเยวา’’ติฯ สนฺนิปติตเทวปริสาย อชฺฌาสยานุรูปเมว หิ ตสฺสาปิ ปวตฺติ, น สตฺถุเทสนาญาณานุรูปนฺติฯ ยถานุสนฺธิํ ปาเปสิ ยถาอุทฺทิเฎฺฐ อนุปุเพฺพน อนวเสสโต วิภชนวเสน เทสนาย นิฎฺฐาปิตตฺตาฯ วิปญฺจิตญฺญู…เป.… กเถสิ นาติสเงฺขปวิตฺถารวเสน เทสิตตฺตาฯ
369.Maññitanti maññanā, ‘‘etaṃ mamā’’tiādinā kappanāti attho. Avijjāvibandhanataṇhāgāhādīnaṃ sādhāraṇabhāvato ayamahanti ettha ahanti diṭṭhimaññanādassanaṃ, sā pana diṭṭhi mānamaññanāya attaniyagāhavasena hotīti sveva ‘‘aya’’nti iminā gahitoti āha – ‘‘ayamahanti ekaṃ taṇhāmaññitameva vaṭṭatī’’ti. Ābādhaṭṭhenāti paṭipīḷanaṭṭhena. Maññanāvasena hi sattānaṃ tathā hoti. Antodosaṭṭhenāti abbhantaraduṭṭhabhāvena. Maññanādūsitattā hi sattānaṃ attabhāvo dukkhatāmūlāyatto, kilesāsucipaggharaṇato uppādanirodhabhaṅgehi uddhamuddhaṃ pakkapabhinno hotīti phalūpacārena ‘‘maññitaṃ gaṇḍo’’ti vutto. Anupaviṭṭhaṭṭhenāti anupavisitvā hadayamāhacca adhiṭṭhānena. Maññitañhi pīḷājananato antotudanato duruddharaṇato sallaṃ. Khīṇāsavamuni sabbaso kilesānaṃ santattā, tato eva pariḷāhānaṃ parinibbutattā vūpasantattā santo upasanto nibbutoti vuccati. Yattha ṭhitanti yasmiṃ asekkhabhūmiyaṃ ṭhitaṃ. Yadi bhagavā attano desanāñāṇānurūpaṃ desanaṃ pavattāpeyya, mahāpathaviṃ pattharantassa viya, ākāsaṃ pasārentassa viya, anantāparimeyyalokadhātuyo paṭicca tesaṃ ṭhitākāraṃ anuppūraṃ vicinantassa viya desanā pariyosānaṃ na gaccheyya. Yasmā panassa vineyyajjhāsayānurūpameva desanā pavatti, na tato paraṃ aṇumattampi vaḍḍhati. Tasmā vuttaṃ – ‘‘sabbāpi dhammadesanā saṃkhittāva, vitthāradesanā nāma natthī’’ti. Nanu sattapakaraṇadesanā vitthārakathāti? Na sāpi vitthārakathāti āha – ‘‘samantapaṭṭhānakathāpi saṃkhittāyevā’’ti. Sannipatitadevaparisāya ajjhāsayānurūpameva hi tassāpi pavatti, na satthudesanāñāṇānurūpanti. Yathānusandhiṃpāpesi yathāuddiṭṭhe anupubbena anavasesato vibhajanavasena desanāya niṭṭhāpitattā. Vipañcitaññū…pe… kathesi nātisaṅkhepavitthāravasena desitattā.
๓๗๐. อฎฺฐนฺนํ ปริกฺขารานนฺติ นยิทมนวเสสปริยาทานํ, ลกฺขณวจนํ ปเนตํ, อญฺญตรสฺสาติ วจนเสโสฯ ตถา หิ, ‘‘มยฺหํ อิทฺธิมยปริกฺขารลาภาย ปจฺจโย โหตู’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปตฺวา ปตฺตจีวรํ, ปตฺตํ, จีวรเมว วา ทิเนฺน จริมภเว อิทฺธิมยปริกฺขาโร นิพฺพตฺตตีติ วทนฺติฯ อทินฺนตฺตาติ เกจิวาโท, เตนาห ‘‘กุลปุโตฺต’’ติอาทิฯ โอกาสาภาวโตติ อุปสมฺปทาลกฺขณสฺส อสมฺภวโตฯ เตนาห – ‘‘กุลปุตฺตสฺส อายุปริกฺขีณ’’นฺติฯ อุทกติตฺถ…เป.… อารโทฺธ ปรมปฺปิจฺฉภาวโตฯ
370.Aṭṭhannaṃ parikkhārānanti nayidamanavasesapariyādānaṃ, lakkhaṇavacanaṃ panetaṃ, aññatarassāti vacanaseso. Tathā hi, ‘‘mayhaṃ iddhimayaparikkhāralābhāya paccayo hotū’’ti patthanaṃ paṭṭhapetvā pattacīvaraṃ, pattaṃ, cīvarameva vā dinne carimabhave iddhimayaparikkhāro nibbattatīti vadanti. Adinnattāti kecivādo, tenāha ‘‘kulaputto’’tiādi. Okāsābhāvatoti upasampadālakkhaṇassa asambhavato. Tenāha – ‘‘kulaputtassa āyuparikkhīṇa’’nti. Udakatittha…pe… āraddho paramappicchabhāvato.
วิพฺภนฺตาติ ภนฺตจิตฺตาฯ สิเงฺคน วิชฺฌิตฺวา ฆาเตสิ ปุริมชาติพทฺธาฆาตตายาติ วทนฺติฯ
Vibbhantāti bhantacittā. Siṅgena vijjhitvā ghātesi purimajātibaddhāghātatāyāti vadanti.
มานุสํ โยคนฺติ มนุสฺสตฺตภาวํฯ อตฺตภาโว หิ ยุชฺชติ กมฺมกิเลเสหีติ ‘‘โยโค’’ติ วุจฺจติฯ อุปจฺจคุนฺติ อุปคจฺฉิํสุฯ อุปโกติอาทิ เตสํ นามานิฯ
Mānusaṃ yoganti manussattabhāvaṃ. Attabhāvo hi yujjati kammakilesehīti ‘‘yogo’’ti vuccati. Upaccagunti upagacchiṃsu. Upakotiādi tesaṃ nāmāni.
คนฺธกเฎฺฐหีติ จนฺทนาครุสฬลเทวทารุอาทีหิ คนฺธทารูหิฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Gandhakaṭṭhehīti candanāgarusaḷaladevadāruādīhi gandhadārūhi. Sesaṃ suviññeyyameva.
ธาตุวิภงฺคสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Dhātuvibhaṅgasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. ธาตุวิภงฺคสุตฺตํ • 10. Dhātuvibhaṅgasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. ธาตุวิภงฺคสุตฺตวณฺณนา • 10. Dhātuvibhaṅgasuttavaṇṇanā