Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā

    ๓. ธาตุวิภโงฺค

    3. Dhātuvibhaṅgo

    ๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา

    1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā

    ๑๗๒. อภิธเมฺม จ อาคตาติ อิมสฺมิํ ธาตุวิภเงฺค อภิธมฺมภาชนียปญฺหปุจฺฉเกสุ, นิเกฺขปกณฺฑธมฺมหทยวิภงฺคาทีสุ จ เทสนารุฬฺหาฯ ยถา ปน สุตฺตเนฺต อภิธเมฺม จ อาคตา ขนฺธาทโย สุตฺตเนฺต เทสิตนิยาเมน ขนฺธวิภงฺคาทีสุ สุตฺตนฺตภาชนียวเสน วิภตฺตา, เอวมิธาปิ จกฺขุธาตาทโย สุตฺตนฺตภาชนียวเสน วิภชิตพฺพา สิยุํฯ ตตฺถ ขนฺธาทีนํ สพฺพสงฺคาหโก อภิธมฺมเทสนาวิสิโฎฺฐ สุตฺตเนฺต อาคโต อโญฺญ เทเสตพฺพากาโร นตฺถีติ เต รูปกฺขนฺธาทิวเสเนว สุตฺตนฺตภาชนีเย เทสิตา, ธาตูนํ ปน โส อตฺถีติ เต ติณฺณํ ธาตุฉกฺกานํ วเสน อิธ เทสิตาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘สุตฺตเนฺตเสฺวว…เป.… วิภตฺตนฺติ เวทิตพฺพ’’นฺติฯ เตนาห อฎฺฐกถายํ ‘‘สพฺพา ธาตุโย ฉหิ ฉหิ ธาตูหิ สงฺขิปิตฺวา’’ติฯ

    172. Abhidhammeca āgatāti imasmiṃ dhātuvibhaṅge abhidhammabhājanīyapañhapucchakesu, nikkhepakaṇḍadhammahadayavibhaṅgādīsu ca desanāruḷhā. Yathā pana suttante abhidhamme ca āgatā khandhādayo suttante desitaniyāmena khandhavibhaṅgādīsu suttantabhājanīyavasena vibhattā, evamidhāpi cakkhudhātādayo suttantabhājanīyavasena vibhajitabbā siyuṃ. Tattha khandhādīnaṃ sabbasaṅgāhako abhidhammadesanāvisiṭṭho suttante āgato añño desetabbākāro natthīti te rūpakkhandhādivaseneva suttantabhājanīye desitā, dhātūnaṃ pana so atthīti te tiṇṇaṃ dhātuchakkānaṃ vasena idha desitāti dassento āha ‘‘suttantesveva…pe… vibhattanti veditabba’’nti. Tenāha aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sabbā dhātuyo chahi chahi dhātūhi saṅkhipitvā’’ti.

    กถํ ปน ฉสุ ฉสุ ธาตูสุ อฎฺฐารสนฺนํ ธาตูนํ สมวโรโธติ? สภาวนิสฺสยทฺวารารมฺมณสมฺปโยคสามญฺญโตฯ ตตฺถ ปฐมฉเกฺก ตาว ปถวีเตโชวาโยธาตุโย สภาวโต โผฎฺฐพฺพธาตุฯ อาโปธาตุอากาสธาตุโย ธมฺมธาตุเอกเทโสฯ วิญฺญาณธาตุ สตฺตวิญฺญาณธาตุโยฯ จตุธาตุคฺคหเณน เจตฺถ ตทายตฺตวุตฺติกา นิสฺสยาปเทเสน, วิญฺญาณธาตุยา ทฺวารารมฺมณภาเวน วา อวสิฎฺฐา รูปธาตุโย สมวรุทฺธา, วิญฺญาณธาตุคฺคหเณน ตํสมฺปโยคโต ธมฺมธาตุเอกเทโสติ เอวํ สพฺพธาตุสมวโรโธ ทฎฺฐโพฺพฯ ทุติเย ฉปิ ธาตุโย สภาวโต, ธมฺมายตเนกเทโส, ตํสมฺปโยคโต สตฺตวิญฺญาณธาตุโย, ยถารหํ เตสํ นิสฺสยทฺวารารมฺมณภาวโต อวสิฎฺฐธาตุโย สมวรุทฺธาฯ ตติยฉเกฺกปิ เอเสว นโยฯ เอวเมตฺถ ฉสุ ฉสุ ธาตูสุ อฎฺฐารสนฺนํ ธาตูนํ สมวโรโธ ทฎฺฐโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สพฺพา ธาตุโย ฉหิ ฉหิ ธาตูหิ สงฺขิปิตฺวา’’ติฯ

    Kathaṃ pana chasu chasu dhātūsu aṭṭhārasannaṃ dhātūnaṃ samavarodhoti? Sabhāvanissayadvārārammaṇasampayogasāmaññato. Tattha paṭhamachakke tāva pathavītejovāyodhātuyo sabhāvato phoṭṭhabbadhātu. Āpodhātuākāsadhātuyo dhammadhātuekadeso. Viññāṇadhātu sattaviññāṇadhātuyo. Catudhātuggahaṇena cettha tadāyattavuttikā nissayāpadesena, viññāṇadhātuyā dvārārammaṇabhāvena vā avasiṭṭhā rūpadhātuyo samavaruddhā, viññāṇadhātuggahaṇena taṃsampayogato dhammadhātuekadesoti evaṃ sabbadhātusamavarodho daṭṭhabbo. Dutiye chapi dhātuyo sabhāvato, dhammāyatanekadeso, taṃsampayogato sattaviññāṇadhātuyo, yathārahaṃ tesaṃ nissayadvārārammaṇabhāvato avasiṭṭhadhātuyo samavaruddhā. Tatiyachakkepi eseva nayo. Evamettha chasu chasu dhātūsu aṭṭhārasannaṃ dhātūnaṃ samavarodho daṭṭhabbo. Tena vuttaṃ ‘‘sabbā dhātuyo chahi chahi dhātūhi saṅkhipitvā’’ti.

    สุโญฺญติ อตฺตสุโญฺญ, เตน สสภาวตาย จ อิธ ธาตุโวหาโรติ อาห ‘‘สุเญฺญ สภาวมเตฺต นิรุโฬฺห ธาตุสโทฺท’’ติฯ ตํตํภูตวิวิตฺตตา รูปปริยโนฺตว อากาโสติ เยหิ วิวิโตฺต, เยสญฺจ ปริเจฺฉโท, เตหิ อสมฺผุฎฺฐตา เตสํ พฺยาปกภาเว สติ น โหตีติ อาห ‘‘จตูหิ มหาภูเตหิ อพฺยาปิตภาโว’’ติฯ ปริจฺฉินฺนวุตฺตีนิ หิ ภูตานีติฯ

    Suññoti attasuñño, tena sasabhāvatāya ca idha dhātuvohāroti āha ‘‘suññe sabhāvamatte niruḷho dhātusaddo’’ti. Taṃtaṃbhūtavivittatā rūpapariyantova ākāsoti yehi vivitto, yesañca paricchedo, tehi asamphuṭṭhatā tesaṃ byāpakabhāve sati na hotīti āha ‘‘catūhi mahābhūtehi abyāpitabhāvo’’ti. Paricchinnavuttīni hi bhūtānīti.

    ๑๗๓. อวยววินิมุโตฺต สมุทาโย นาม โกจิ นตฺถีติ ปุริมตฺถํ อสมฺภาเวโนฺต ‘‘เทฺว เอว วา’’ติอาทินา สมุทาเยน วินา ทุติยตฺถมาหฯ ปจฺจตฺตํ อตฺตนิ ชาตตนฺติ ปาฎิปุคฺคลิกตํฯ

    173. Avayavavinimutto samudāyo nāma koci natthīti purimatthaṃ asambhāvento ‘‘dve eva vā’’tiādinā samudāyena vinā dutiyatthamāha. Paccattaṃ attani jātatanti pāṭipuggalikataṃ.

    ปาฎิเยโกฺก โกฎฺฐาโสติ วา โลมาทิอิตรโกฎฺฐาเสหิ อสมฺมิโสฺส วิสุํ เอโก ปถวีโกฎฺฐาโสติ อโตฺถฯ

    Pāṭiyekko koṭṭhāsoti vā lomādiitarakoṭṭhāsehi asammisso visuṃ eko pathavīkoṭṭhāsoti attho.

    ปโยคนฺติ ภาวนาปโยคํฯ วีริยนฺติ ภาวนานิปฺผาทกํ อุสฺสาหํฯ อายูหนนฺติ ตาทิสํ เจตนํฯ

    Payoganti bhāvanāpayogaṃ. Vīriyanti bhāvanānipphādakaṃ ussāhaṃ. Āyūhananti tādisaṃ cetanaṃ.

    ธาตุปฎิกฺกูลวณฺณมนสิการานนฺติ ธาตุมนสิการปฎิกฺกูลมนสิการวณฺณมนสิการานํฯ อพฺยาปารตายาติ ‘‘อหเมตํ นิปฺผาเทมิ, มม เอสา นิปฺผาทนา’’ติ เจตนารหิตตายฯ กโรนฺตีติ อาโภคปจฺจเวกฺขณานิ อุปฺปาเทนฺติฯ

    Dhātupaṭikkūlavaṇṇamanasikārānanti dhātumanasikārapaṭikkūlamanasikāravaṇṇamanasikārānaṃ. Abyāpāratāyāti ‘‘ahametaṃ nipphādemi, mama esā nipphādanā’’ti cetanārahitatāya. Karontīti ābhogapaccavekkhaṇāni uppādenti.

    ลกฺขณวเสนาติ สภาววเสนฯ โส ปน ยสฺมา ปถวีธาตุยา กกฺขฬขรตา โหตีติ อาห ‘‘กกฺขฬํ ขริคตนฺติอาทิวจนํ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติฯ

    Lakkhaṇavasenāti sabhāvavasena. So pana yasmā pathavīdhātuyā kakkhaḷakharatā hotīti āha ‘‘kakkhaḷaṃ kharigatantiādivacanaṃ sandhāya vutta’’nti.

    เวกนฺตกํ นาม สพฺพโลหเจฺฉทนสมตฺถํ โลหํฯ ตถา หิ ตํ วิกนฺตติ ฉินฺทตีติ วิกนฺตํ, วิกนฺตเมว เวกนฺตกนฺติ วุจฺจติฯ โลหสทิสนฺติ โลหาการํ โลหมลํ วิย ฆนสหิตํ หุตฺวา ติฎฺฐติฯ ตาเปตฺวา ตาฬิตํ ปน ฉินฺนํ ฉินฺนํ หุตฺวา วิสรติ, มุทุ มฎฺฐํ กมฺมนิยํ วา น โหติ, เตน ‘‘โลหวิชาตี’’ติ วุจฺจตีติฯ ติปุตมฺพาทีหีติ ติปุตเมฺพ มิเสฺสตฺวา กตํ กํสโลหํ, สีสตเมฺพ มิเสฺสตฺวา กตํ วฎฺฎโลหํ, ชสทตเมฺพ มิเสฺสตฺวา กตํ อารกูฎํ ฯ ยํ ปน เกวลํ ชสทธาตุวินิคฺคตํ, ยํ ‘‘ปิตฺตล’’นฺติปิ วทนฺติ, ตํ อิธ นาธิเปฺปตํ, ยถาวุตฺตมิสฺสกเมว ปน คเหตฺวา ‘‘กิตฺติม’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Vekantakaṃ nāma sabbalohacchedanasamatthaṃ lohaṃ. Tathā hi taṃ vikantati chindatīti vikantaṃ, vikantameva vekantakanti vuccati. Lohasadisanti lohākāraṃ lohamalaṃ viya ghanasahitaṃ hutvā tiṭṭhati. Tāpetvā tāḷitaṃ pana chinnaṃ chinnaṃ hutvā visarati, mudu maṭṭhaṃ kammaniyaṃ vā na hoti, tena ‘‘lohavijātī’’ti vuccatīti. Tiputambādīhīti tiputambe missetvā kataṃ kaṃsalohaṃ, sīsatambe missetvā kataṃ vaṭṭalohaṃ, jasadatambe missetvā kataṃ ārakūṭaṃ. Yaṃ pana kevalaṃ jasadadhātuviniggataṃ, yaṃ ‘‘pittala’’ntipi vadanti, taṃ idha nādhippetaṃ, yathāvuttamissakameva pana gahetvā ‘‘kittima’’nti vuttaṃ.

    นิทสฺสนมตฺตนฺติ มุตฺตานํ ชาติโต อเนกเภทตฺตา วุตฺตํฯ ตถา หิ หตฺถิกุมฺภํ วราหทาฐํ ภุชงฺคสีสํ วลาหกูฎํ เวณุปพฺพํ มจฺฉสิโร สโงฺข สิปฺปีติ อฎฺฐ มุตฺตาโยนิโยฯ ตตฺถ หตฺถิกุมฺภชา ปีตวณฺณา ปภาหีนาฯ วราหทาฐชา วราหทาฐวณฺณาวฯ ภุชงฺคสีสชา นีลาทิวณฺณา สุวิสุทฺธา, วฎฺฎลา จฯ วลาหกชา ภาสุรา ทุพฺพิภาครูปา รตฺติภาเค อนฺธการํ วิธมนฺตา ติฎฺฐนฺติ, เทวูปโภคา เอว โหนฺติฯ เวณุปพฺพชา การผลสมานวณฺณา, น ภาสุรา, เต จ เวฬโว อมนุสฺสโคจเร เอว ปเทเส ชายนฺติฯ มจฺฉสีสชา ปาฐีนปิฎฺฐิสมานวณฺณา, วฎฺฎลา, ลฆโว จ โหนฺติ ปภาวิหีนา, เต จ มจฺฉา สมุทฺทมเชฺฌเยว ชายนฺติฯ สงฺขชา สโงฺขรจฺฉวิวณฺณา, โกลปฺปมาณาปิ โหนฺติ ปภาวิหีนาวฯ สิปฺปิชา ปน ปภาวิเสสยุตฺตาว โหนฺติ นานาสณฺฐานาฯ เอวํ ชาติโต อฎฺฐวิธาสุ มุตฺตาสุ ยา มจฺฉสงฺขสิปฺปิชา, ตา สามุทฺทิกาฯ ภุชงฺคชาปิ กาจิ สามุทฺทิกาติ วทนฺติ, อิตรา อสามุทฺทิกาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สามุทฺทิกมุตฺตาติ นิทสฺสนมตฺตเมตํ, สพฺพาปิ ปน มุตฺตา มุตฺตา เอวา’’ติฯ พหุลโต วา อฎฺฐกถายํ เอตํ วุตฺตํ ‘‘มุตฺตาติ สามุทฺทิกมุตฺตา’’ติฯ พหุลญฺหิ โลเก สามุทฺทิกาว มุตฺตา ทิสฺสนฺติฯ ตตฺถาปิ สิปฺปิชาว, อิตรา กทาจิ กาจีติฯ

    Nidassanamattanti muttānaṃ jātito anekabhedattā vuttaṃ. Tathā hi hatthikumbhaṃ varāhadāṭhaṃ bhujaṅgasīsaṃ valāhakūṭaṃ veṇupabbaṃ macchasiro saṅkho sippīti aṭṭha muttāyoniyo. Tattha hatthikumbhajā pītavaṇṇā pabhāhīnā. Varāhadāṭhajā varāhadāṭhavaṇṇāva. Bhujaṅgasīsajā nīlādivaṇṇā suvisuddhā, vaṭṭalā ca. Valāhakajā bhāsurā dubbibhāgarūpā rattibhāge andhakāraṃ vidhamantā tiṭṭhanti, devūpabhogā eva honti. Veṇupabbajā kāraphalasamānavaṇṇā, na bhāsurā, te ca veḷavo amanussagocare eva padese jāyanti. Macchasīsajā pāṭhīnapiṭṭhisamānavaṇṇā, vaṭṭalā, laghavo ca honti pabhāvihīnā, te ca macchā samuddamajjheyeva jāyanti. Saṅkhajā saṅkhoracchavivaṇṇā, kolappamāṇāpi honti pabhāvihīnāva. Sippijā pana pabhāvisesayuttāva honti nānāsaṇṭhānā. Evaṃ jātito aṭṭhavidhāsu muttāsu yā macchasaṅkhasippijā, tā sāmuddikā. Bhujaṅgajāpi kāci sāmuddikāti vadanti, itarā asāmuddikā. Tena vuttaṃ ‘‘sāmuddikamuttāti nidassanamattametaṃ, sabbāpi pana muttā muttā evā’’ti. Bahulato vā aṭṭhakathāyaṃ etaṃ vuttaṃ ‘‘muttāti sāmuddikamuttā’’ti. Bahulañhi loke sāmuddikāva muttā dissanti. Tatthāpi sippijāva, itarā kadāci kācīti.

    ๑๗๔. อิธ นตฺถิ นิยโม เกวลํ ทฺรวภาวเสฺสว อธิเปฺปตตฺตาฯ

    174. Idha natthi niyamo kevalaṃ dravabhāvasseva adhippetattā.

    ๑๗๕. นิสิตภาเวนาติ สนฺตาปนาทิวสปฺปวเตฺตน ติขิณภาเวนฯ อุสฺมาการญฺหิ นิสานํ อิธ นิสิตภาโวฯ ปากติโกติ สาภาวิโก กายุสฺมาติ อธิเปฺปโตฯ สทาติ สพฺพกาลํ ยาว ชีวิตินฺทฺริยํ ปวตฺตติฯ เปตคฺคิ นิชฺฌามตณฺหิกเปตคฺคิฯ อิธาติ พาหิรเตโชธาตุกถายํฯ

    175. Nisitabhāvenāti santāpanādivasappavattena tikhiṇabhāvena. Usmākārañhi nisānaṃ idha nisitabhāvo. Pākatikoti sābhāviko kāyusmāti adhippeto. Sadāti sabbakālaṃ yāva jīvitindriyaṃ pavattati. Petaggi nijjhāmataṇhikapetaggi. Idhāti bāhiratejodhātukathāyaṃ.

    ๑๗๖. วายนํ พีชนํ, ตํ ปน ถามสา ปวตฺตีติ อาห ‘‘สเวคคมนวเสนา’’ติฯ สมุทีรณํ อลฺลปริโสสนํ, ภูตสงฺฆาตสฺส เทสนฺตรุปฺปตฺติเหตุภาโว วาฯ

    176. Vāyanaṃ bījanaṃ, taṃ pana thāmasā pavattīti āha ‘‘savegagamanavasenā’’ti. Samudīraṇaṃ allaparisosanaṃ, bhūtasaṅghātassa desantaruppattihetubhāvo vā.

    ๑๗๗. ภิตฺติจฺฉิทฺทาทิวเสน ลพฺภมานํ อชฎากาสํ นิสฺสาเยว ปริเจฺฉทากาสสฺส ปริกมฺมกรณนฺติ อาห ‘‘อชฎากาสสฺส จ กถิตต’’นฺติฯ

    177. Bhitticchiddādivasena labbhamānaṃ ajaṭākāsaṃ nissāyeva paricchedākāsassa parikammakaraṇanti āha ‘‘ajaṭākāsassa ca kathitata’’nti.

    ๑๗๙. สุขทุกฺขโผฎฺฐพฺพสมุฎฺฐาปนปจฺจยภาเวนาติ อิฎฺฐานิฎฺฐโผฎฺฐพฺพานํ นิพฺพตฺตกภูเตน ปจฺจยภาเวนฯ กสฺส ปน โส ปจฺจยภาโวติ อาห ‘‘สรีรฎฺฐกอุตุสฺสา’’ติ ฯ ปจฺจยภาเวนาติ จ เหตุมฺหิ กรณวจนํฯ เตน หิ การณภูเตน สุขทุกฺขโผฎฺฐพฺพานํ ยถาวุตฺตสมตฺถตา โหตีติฯ ‘‘ตเถวา’’ติ อิมินา ‘‘ยถาพลํ สรีเรกเทสสกลสรีร’’นฺติ อิทํ อนุกฑฺฒติฯ เอวนฺติ อตฺตโน ผลูปจารสิเทฺธน ผรณปฺปกาเรนฯ เอเตสนฺติ สุขาทีนํฯ ‘‘โอฬาริกปฺปวตฺติ เอว วา ผรณ’’นฺติ อิมินา นิรุปจารํ เอเตสํ ผรณฎฺฐํ ทเสฺสติฯ อุภยวโตติ สุขทุกฺขวโต, โสมนสฺสโทมนสฺสวโต จ, ผรณาผรณฎฺฐานวโต วาฯ

    179. Sukhadukkhaphoṭṭhabbasamuṭṭhāpanapaccayabhāvenāti iṭṭhāniṭṭhaphoṭṭhabbānaṃ nibbattakabhūtena paccayabhāvena. Kassa pana so paccayabhāvoti āha ‘‘sarīraṭṭhakautussā’’ti . Paccayabhāvenāti ca hetumhi karaṇavacanaṃ. Tena hi kāraṇabhūtena sukhadukkhaphoṭṭhabbānaṃ yathāvuttasamatthatā hotīti. ‘‘Tathevā’’ti iminā ‘‘yathābalaṃ sarīrekadesasakalasarīra’’nti idaṃ anukaḍḍhati. Evanti attano phalūpacārasiddhena pharaṇappakārena. Etesanti sukhādīnaṃ. ‘‘Oḷārikappavatti eva vā pharaṇa’’nti iminā nirupacāraṃ etesaṃ pharaṇaṭṭhaṃ dasseti. Ubhayavatoti sukhadukkhavato, somanassadomanassavato ca, pharaṇāpharaṇaṭṭhānavato vā.

    ๑๘๑. เอตฺถ วุตฺตํ สงฺกปฺปนฺติ เอตสฺมิํ ‘‘สงฺกโปฺป กาโม’’ติอาทิเก (มหานิ. ๑; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘) นิเทฺทสปเทเส วุตฺตํ สงฺกปฺปํฯ ตตฺถ หิ กิเลสกาโมว ‘‘สงฺกปฺปราโค ปุริสสฺส กาโม’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๖.๖๓; กถา. ๕๑๓) วิยฯ วตฺถุกามสฺส ตถา ตถา สงฺกปฺปนโต ปริกปฺปนโต ‘‘สงฺกโปฺป’’ติ วุโตฺต, น วิตโกฺกติ อยเมตฺถ อโตฺถ วุโตฺตฯ ฎีกายํ ปน วิตกฺกวเสน อตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘โสปิ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺราปิ ปุริโม เอวโตฺถ อธิเปฺปโตติ เจ, สมฺปิณฺฑนโตฺถ ปิ-สโทฺท นิรตฺถโก สิยา, ‘‘กิเลสสนฺถวสมฺภวโต’’ติ จ น วตฺตพฺพํ สิยา, ปรโต จ ‘‘พฺยาปาทวจเนน พฺยาปาทวิตกฺกํ ทเสฺสตี’’ติ วกฺขติฯ กิเลสกาโม วิภโตฺต กิเลสสมฺปยุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ กามปฎิพทฺธาติ เอตฺถ กาม-สเทฺทน วตฺถุกามาปิ สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    181. Ettha vuttaṃ saṅkappanti etasmiṃ ‘‘saṅkappo kāmo’’tiādike (mahāni. 1; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 8) niddesapadese vuttaṃ saṅkappaṃ. Tattha hi kilesakāmova ‘‘saṅkapparāgo purisassa kāmo’’tiādīsu (a. ni. 6.63; kathā. 513) viya. Vatthukāmassa tathā tathā saṅkappanato parikappanato ‘‘saṅkappo’’ti vutto, na vitakkoti ayamettha attho vutto. Ṭīkāyaṃ pana vitakkavasena atthaṃ dassetuṃ ‘‘sopi hī’’tiādi vuttaṃ. Tatrāpi purimo evattho adhippetoti ce, sampiṇḍanattho pi-saddo niratthako siyā, ‘‘kilesasanthavasambhavato’’ti ca na vattabbaṃ siyā, parato ca ‘‘byāpādavacanena byāpādavitakkaṃ dassetī’’ti vakkhati. Kilesakāmo vibhatto kilesasampayuttattāti adhippāyo. Kāmapaṭibaddhāti ettha kāma-saddena vatthukāmāpi saṅgahitāti daṭṭhabbā.

    ๑๘๒. อุภยตฺถ อุปฺปโนฺนติ สเตฺตสุ, สงฺขาเรสูติ อุภยตฺถ อุปฺปโนฺน, สตฺตากาโร, สงฺขารากาโรติ วา อารมฺมณสฺส อุภยาการคฺคหณวเสน อุปฺปโนฺนฯ กมฺมปถวิเสโส, กมฺมปถวินาสโก จ กมฺมปถเภโทติ ทเสฺสตุํ ‘‘อภิชฺฌาสํโยเคนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตถา วิหิํสาย วิหิํสาวิตกฺกํ ทเสฺสตีติ โยชนาฯ วิหิํสายาติ จ วิหิํสาวจเนนาติ อโตฺถฯ ยถาสมฺภวํ ปาณาติปาตาทิวเสนาติ อาทิ-สเทฺทน อทินฺนาทานมุสาวาทเปสุญฺญผรุสวาจาสมฺผปฺปลาเป สงฺคณฺหาติฯ สพฺพ…เป.… สงฺคาหเกหิ กามเนกฺขมฺมธาตูหิฯ เทฺว เทฺวติ พฺยาปาทวิหิํสาธาตุโย, อพฺยาปาทอวิหิํสาธาตุโย จฯ ‘‘เอตฺถาติ ปนา’’ติอาทินา สํกิเลสโวทานานํ สงฺกรภาวสฺส อนิฎฺฐาปชฺชนสฺส จ ทสฺสเนน ปุริมํเยว อตฺถํ พฺยติเรกมุเขน สมฺปาเทติฯ

    182. Ubhayattha uppannoti sattesu, saṅkhāresūti ubhayattha uppanno, sattākāro, saṅkhārākāroti vā ārammaṇassa ubhayākāraggahaṇavasena uppanno. Kammapathaviseso, kammapathavināsako ca kammapathabhedoti dassetuṃ ‘‘abhijjhāsaṃyogenā’’tiādi vuttaṃ. Tathā vihiṃsāya vihiṃsāvitakkaṃ dassetīti yojanā. Vihiṃsāyāti ca vihiṃsāvacanenāti attho. Yathāsambhavaṃ pāṇātipātādivasenāti ādi-saddena adinnādānamusāvādapesuññapharusavācāsamphappalāpe saṅgaṇhāti. Sabba…pe… saṅgāhakehi kāmanekkhammadhātūhi. Dve dveti byāpādavihiṃsādhātuyo, abyāpādaavihiṃsādhātuyo ca. ‘‘Etthāti panā’’tiādinā saṃkilesavodānānaṃ saṅkarabhāvassa aniṭṭhāpajjanassa ca dassanena purimaṃyeva atthaṃ byatirekamukhena sampādeti.

    สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttantabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา

    2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā

    ๑๘๓. อาเวณิกโตฺถ อติสยโตฺถ จ วิเสสสโทฺท โหตีติ ตทุภยํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปุคฺคลนฺตราสาธารณํ, นีลาทิสพฺพรูปสาธารณญฺจา’’ติ วุตฺตํฯ อสาธารณการเณนาปิ หิ นิเทฺทโส โหติ ยถา ‘‘เภริสโทฺท, ยวงฺกุโร’’ติฯ อติสยการเณนปิ ยถา ‘‘อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ กมฺมสมาทานานํ ฐานโส เหตุโส วิปากํ ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติ (กถา. ๓๕๕; ปฎิ. ม. ๒.๔๔)ฯ ธาตุอโตฺถ เอวาติ ‘‘ธาตุ’’อิติ อิมสฺส ธาตุสทฺทเสฺสว อโตฺถฯ ธาตุวจนีโย หิ อโตฺถ อุปสเคฺคน โชตียติฯ

    183. Āveṇikattho atisayattho ca visesasaddo hotīti tadubhayaṃ dassetuṃ ‘‘puggalantarāsādhāraṇaṃ, nīlādisabbarūpasādhāraṇañcā’’ti vuttaṃ. Asādhāraṇakāraṇenāpi hi niddeso hoti yathā ‘‘bherisaddo, yavaṅkuro’’ti. Atisayakāraṇenapi yathā ‘‘atītānāgatapaccuppannānaṃ kammasamādānānaṃ ṭhānaso hetuso vipākaṃ yathābhūtaṃ pajānātī’’ti (kathā. 355; paṭi. ma. 2.44). Dhātuattho evāti ‘‘dhātu’’iti imassa dhātusaddasseva attho. Dhātuvacanīyo hi attho upasaggena jotīyati.

    ปุริเมน อสทิโส วิธานธารณตฺถานํ ปากโฎ เภโทติฯ วิสภาคลกฺขณา วิสทิสสภาวา อวยวา ภาคา, เตสุฯ

    Purimena asadiso vidhānadhāraṇatthānaṃ pākaṭo bhedoti. Visabhāgalakkhaṇā visadisasabhāvā avayavā bhāgā, tesu.

    ยถาสมฺภวนฺติ กิริยามโนธาตุ อุปนิสฺสยโกฎิยา, วิปากมโนธาตุ วิปากมโนวิญฺญาณสฺส อนนฺตราทินาปิ, อิตรสฺส สพฺพาปิ อุปนิสฺสยโกฎิยาวฯ ธมฺมธาตุ ปน เวทนาทิกา สหชาตา สหชาตาทินา, อสหชาตา อนนฺตราทินา, อุปนิสฺสเยน อารมฺมณาทินา จ มโนวิญฺญาณสฺส ปจฺจโยติ เอวํ มโนธาตุธมฺมธาตูนํ มโนวิญฺญาณสฺส เหตุภาโว ยถาสมฺภวํ โยเชตโพฺพฯ ทฺวารภูตมโนปิ สุเตฺต ‘‘มโนธาตู’’ติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘ทฺวารภูตมโนวเสน วา’’ติฯ ตสฺสา มโนธาตุยา มโนวิญฺญาณสฺส เหตุภาโว ยถาสมฺภวํ โยเชตโพฺพติ สมฺพโนฺธฯ

    Yathāsambhavanti kiriyāmanodhātu upanissayakoṭiyā, vipākamanodhātu vipākamanoviññāṇassa anantarādināpi, itarassa sabbāpi upanissayakoṭiyāva. Dhammadhātu pana vedanādikā sahajātā sahajātādinā, asahajātā anantarādinā, upanissayena ārammaṇādinā ca manoviññāṇassa paccayoti evaṃ manodhātudhammadhātūnaṃ manoviññāṇassa hetubhāvo yathāsambhavaṃ yojetabbo. Dvārabhūtamanopi sutte ‘‘manodhātū’’ti vuccatīti āha ‘‘dvārabhūtamanovasena vā’’ti. Tassā manodhātuyā manoviññāṇassa hetubhāvo yathāsambhavaṃ yojetabboti sambandho.

    ปุริมนเยนาติ วิเสสนํ ทุติยนยสฺส หีนตฺติกวเสเนว วิภตฺตตฺตาฯ นานาธาตูนญฺจ จกฺขุธาตุอาทีนนฺติ สมฺพโนฺธฯ

    Purimanayenāti visesanaṃ dutiyanayassa hīnattikavaseneva vibhattattā. Nānādhātūnañca cakkhudhātuādīnanti sambandho.

    น หิ เทฺว มโนวิญฺญาณธาตุโย สนฺติ อฎฺฐารสธาตุวิภาคทสฺสเนติ อธิปฺปาโยฯ ขนฺธายตนธาตินฺทฺริยานํเยว วเสน สเงฺขปาทิวิภาคทสฺสนํ เตสํ พหุลํ ปริเญฺญยฺยธมฺมสงฺคณฺหนโตฯ สจฺจเทสนา ปน อติสํขิตฺตภาวโตเยเวตฺถ พหิกตาฯ

    Na hi dve manoviññāṇadhātuyo santi aṭṭhārasadhātuvibhāgadassaneti adhippāyo. Khandhāyatanadhātindriyānaṃyeva vasena saṅkhepādivibhāgadassanaṃ tesaṃ bahulaṃ pariññeyyadhammasaṅgaṇhanato. Saccadesanā pana atisaṃkhittabhāvatoyevettha bahikatā.

    นิชฺชีวสฺสาติอาทิ วิเสสโต สตฺตสุญฺญตาทีปนตฺถา ธาตุเทสนาติ กตฺวา วุตฺตํฯ ปุริมนโย อเญฺญสมฺปิ กมวุตฺตีนํ ธาตูนํ สมฺภวตีติ อธิปฺปาเยน วุโตฺตติ ‘‘มโนธาตุเยว วา’’ติอาทินา ทุติยนโย วุโตฺตฯ ตตฺถ อวิชฺชมาเนปิ ปุเรจรานุจรภาเวติ ปุเรจรานุจราภิสนฺธิยา อภาเวปิ เกวลํ อนนฺตรปุพฺพกาลอนนฺตราปรกาลตาย มโนธาตุ ปุเรจรานุจรา วิย ทฎฺฐพฺพาติ วุตฺตาฯ

    Nijjīvassātiādi visesato sattasuññatādīpanatthā dhātudesanāti katvā vuttaṃ. Purimanayo aññesampi kamavuttīnaṃ dhātūnaṃ sambhavatīti adhippāyena vuttoti ‘‘manodhātuyeva vā’’tiādinā dutiyanayo vutto. Tattha avijjamānepi purecarānucarabhāveti purecarānucarābhisandhiyā abhāvepi kevalaṃ anantarapubbakālaanantarāparakālatāya manodhātu purecarānucarā viya daṭṭhabbāti vuttā.

    ‘‘อญฺญํ อคฺคเหตฺวา ปวตฺติตุํ อสมตฺถตายา’’ติ เอเตน วิญฺญาณสฺส เอกนฺตสารมฺมณตาทสฺสเนน ‘‘อารมฺมเณน วินา สยเมว นีลาทิอาภาสํ จิตฺตํ ปวตฺตตี’’ติ เอวํ ปวตฺติตํ วิญฺญาณวาทํ ปฎิเสเธติฯ

    ‘‘Aññaṃ aggahetvā pavattituṃ asamatthatāyā’’ti etena viññāṇassa ekantasārammaṇatādassanena ‘‘ārammaṇena vinā sayameva nīlādiābhāsaṃ cittaṃ pavattatī’’ti evaṃ pavattitaṃ viññāṇavādaṃ paṭisedheti.

    ๑๘๔. เอกนานาสนฺตานคตานนฺติ เอกสนฺตานคตานํ อภินฺนสนฺตานคตานํ ทฺวารานํ, นานาสนฺตานคตานํ ภินฺนสนฺตานคตานํ อารมฺมณานนฺติ โยชนาฯ เอกนานาชาติกตฺตาติ จกฺขาทิเอเกกชาติกตฺตา ทฺวารานํ, นีลาทิอเนกชาติกตฺตา อารมฺมณานํฯ

    184. Ekanānāsantānagatānanti ekasantānagatānaṃ abhinnasantānagatānaṃ dvārānaṃ, nānāsantānagatānaṃ bhinnasantānagatānaṃ ārammaṇānanti yojanā. Ekanānājātikattāti cakkhādiekekajātikattā dvārānaṃ, nīlādianekajātikattā ārammaṇānaṃ.

    จกฺขาทิ เอกมฺปิ วิญฺญาณสฺส ปจฺจโย โหติ, รูปาทิ ปน อเนกเมว สํหตนฺติ อิมสฺส วา อตฺถวิเสสสฺส ทสฺสนตฺถํ จกฺขุรูปาทีสุ วจนเภโท กโตฯ กิํ ปน การณํ จกฺขาทิ เอกมฺปิ วิญฺญาณสฺส ปจฺจโย โหติ, รูปาทิ ปน อเนกเมวาติ? ปจฺจยภาววิเสสโตฯ จกฺขุ หิ จกฺขุวิญฺญาณสฺส นิสฺสยปุเรชาตอินฺทฺริยวิปฺปยุตฺตปจฺจเยหิ ปจฺจโย โหนฺตํ อตฺถิภาเวเนว โหติ ตสฺมิํ สติ ตสฺส ภาวโต, อสติ อภาวโต, ยโต ตํ อตฺถิอวิคตปจฺจเยหิสฺส ปจฺจโย โหตีติ วุจฺจตีติฯ ตํนิสฺสยตา จสฺส น เอกเทเสน อลฺลียนวเสน อิจฺฉิตพฺพา อรูปภาวโต, อถ โข ครุราชาทีสุ สิสฺสราชปุริสาทีนํ วิย ตปฺปฎิพทฺธวุตฺติตายฯ อิตเร จ ปจฺจยา เตน เตน วิเสเสน เวทิตพฺพาฯ สฺวายํ ปจฺจยภาโว น เอกสฺมิํ น สมฺภวตีติ เอกมฺปิ จกฺขุ จกฺขุวิญฺญาณสฺส ปจฺจโย โหตีติ ทเสฺสตุํ ปาฬิยํ ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจา’’ติ เอกวจนนิเทฺทโส กโตฯ

    Cakkhādi ekampi viññāṇassa paccayo hoti, rūpādi pana anekameva saṃhatanti imassa vā atthavisesassa dassanatthaṃ cakkhurūpādīsu vacanabhedo kato. Kiṃ pana kāraṇaṃ cakkhādi ekampi viññāṇassa paccayo hoti, rūpādi pana anekamevāti? Paccayabhāvavisesato. Cakkhu hi cakkhuviññāṇassa nissayapurejātaindriyavippayuttapaccayehi paccayo hontaṃ atthibhāveneva hoti tasmiṃ sati tassa bhāvato, asati abhāvato, yato taṃ atthiavigatapaccayehissa paccayo hotīti vuccatīti. Taṃnissayatā cassa na ekadesena allīyanavasena icchitabbā arūpabhāvato, atha kho garurājādīsu sissarājapurisādīnaṃ viya tappaṭibaddhavuttitāya. Itare ca paccayā tena tena visesena veditabbā. Svāyaṃ paccayabhāvo na ekasmiṃ na sambhavatīti ekampi cakkhu cakkhuviññāṇassa paccayo hotīti dassetuṃ pāḷiyaṃ ‘‘cakkhuñca paṭiccā’’ti ekavacananiddeso kato.

    รูปํ ปน ยทิปิ จกฺขุ วิย ปุเรชาตอตฺถิอวิคตปจฺจเยหิ ปจฺจโย โหติ ปุเรตรํ อุปฺปนฺนํ หุตฺวา วิชฺชมานกฺขเณเยว อุปการกตฺตา, ตถาปิ อเนกเมว สํหตํ หุตฺวา ปจฺจโย โหติ อารมฺมณภาวโตฯ ยญฺหิ ปจฺจยธมฺมํ สภาวภูตํ, ปริกปฺปิตาการมตฺตํ วา วิญฺญาณํ วิภาเวนฺตํ ปวตฺตติ, ตทเญฺญสญฺจ สติปิ ปจฺจยภาเว โส ตสฺส สารมฺมณสภาวโต ยํ กิญฺจิ อนาลมฺพิตฺวา ปวตฺติตุํ อสมตฺถสฺส โอลุพฺภ ปวตฺติการณตาย อาลมฺพนียโต อารมฺมณํ นามฯ ตสฺส ยสฺมา ยถา ยถา สภาวูปลทฺธิ วิญฺญาณสฺส อารมฺมณปจฺจยลาโภ, ตสฺมา จกฺขุวิญฺญาณํ รูปํ อารพฺภ ปวตฺตมานํ ตสฺส สภาวํ วิภาเวนฺตเมว ปวตฺตติฯ สา จสฺส อินฺทฺริยาธีนวุตฺติกสฺส อารมฺมณสภาวูปลทฺธิ น เอกทฺวิกลาปคตวณฺณวเสเนว โหติ, นาปิ กติปยกลาปวณฺณวเสน, อถ โข อาโภคานุรูปํ อาปาถคตวณฺณวเสนาติ อเนกเมว รูปํ สํหจฺจการิตาย วิญฺญาณสฺส ปจฺจโย โหตีติ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘รูเป จา’’ติ พหุวจเนน นิทฺทิสิฯ

    Rūpaṃ pana yadipi cakkhu viya purejātaatthiavigatapaccayehi paccayo hoti puretaraṃ uppannaṃ hutvā vijjamānakkhaṇeyeva upakārakattā, tathāpi anekameva saṃhataṃ hutvā paccayo hoti ārammaṇabhāvato. Yañhi paccayadhammaṃ sabhāvabhūtaṃ, parikappitākāramattaṃ vā viññāṇaṃ vibhāventaṃ pavattati, tadaññesañca satipi paccayabhāve so tassa sārammaṇasabhāvato yaṃ kiñci anālambitvā pavattituṃ asamatthassa olubbha pavattikāraṇatāya ālambanīyato ārammaṇaṃ nāma. Tassa yasmā yathā yathā sabhāvūpaladdhi viññāṇassa ārammaṇapaccayalābho, tasmā cakkhuviññāṇaṃ rūpaṃ ārabbha pavattamānaṃ tassa sabhāvaṃ vibhāventameva pavattati. Sā cassa indriyādhīnavuttikassa ārammaṇasabhāvūpaladdhi na ekadvikalāpagatavaṇṇavaseneva hoti, nāpi katipayakalāpavaṇṇavasena, atha kho ābhogānurūpaṃ āpāthagatavaṇṇavasenāti anekameva rūpaṃ saṃhaccakāritāya viññāṇassa paccayo hotīti dassento bhagavā ‘‘rūpe cā’’ti bahuvacanena niddisi.

    ยํ ปน ‘‘รูปายตนํ จกฺขุวิญฺญาณธาตุยา, ตํสมฺปยุตฺตกานญฺจ ธมฺมานํ อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๑) วุตฺตํ, ตํ กถนฺติ? ตมฺปิ ยาทิสํ รูปายตนํ จกฺขุวิญฺญาณสฺส อารมฺมณปจฺจโย, ตาทิสเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ กีทิสํ ปน ตนฺติ? สมุทิตนฺติ ปากโฎยมโตฺถฯ เอวญฺจ กตฺวา ยเทเก วทนฺติ ‘‘อายตนสลฺลกฺขณวเสน จกฺขุวิญฺญาณาทโย สลฺลกฺขณารมฺมณา, น ทพฺยสลฺลกฺขณวเสนา’’ติ, ตํ ยุตฺตเมว โหติฯ น เจตฺถ สมุทายารมฺมณตา อาสงฺกิตพฺพา สมุทายาโภคเสฺสว อภาวโต, สมุทิตา ปน วณฺณธมฺมา อารมฺมณปจฺจยา โหนฺติฯ กถํ ปน ปเจฺจกํ อสมตฺถา สมุทิตา อารมฺมณา โหนฺติ, น หิ ปเจฺจกํ ทฎฺฐุํ อสโกฺกนฺตา อนฺธา สมุทิตา ปสฺสนฺตีติ? นยิทเมกนฺติกํ วิสุํ อสมตฺถานํ สิวิกาวหนาทีสุ สมตฺถตาย ทสฺสนโตฯ เกสาทีนญฺจ ยสฺมิํ ฐาเน ฐิตานํ ปเจฺจกํ วณฺณํ คเหตุํ น สกฺกา, ตสฺมิํเยว ฐาเน สมุทิตานํ ตํ คเหตุํ สกฺกาติ ภิโยฺยปิ เตสํ สํหจฺจการิตา ปริพฺยตฺตาฯ เอเตน กิํ จกฺขุวิญฺญาณสฺส ปรมาณุรูปํ อารมฺมณํ, อุทาหุ ตํสมุทาโยติอาทิกา โจทนา ปฎิกฺขิตฺตา เวทิตพฺพาฯ ‘‘โสตญฺจ ปฎิจฺจ สเทฺท จา’’ติอาทีสุปิ อยเมว นโยฯ

    Yaṃ pana ‘‘rūpāyatanaṃ cakkhuviññāṇadhātuyā, taṃsampayuttakānañca dhammānaṃ ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.1.1) vuttaṃ, taṃ kathanti? Tampi yādisaṃ rūpāyatanaṃ cakkhuviññāṇassa ārammaṇapaccayo, tādisameva sandhāya vuttaṃ. Kīdisaṃ pana tanti? Samuditanti pākaṭoyamattho. Evañca katvā yadeke vadanti ‘‘āyatanasallakkhaṇavasena cakkhuviññāṇādayo sallakkhaṇārammaṇā, na dabyasallakkhaṇavasenā’’ti, taṃ yuttameva hoti. Na cettha samudāyārammaṇatā āsaṅkitabbā samudāyābhogasseva abhāvato, samuditā pana vaṇṇadhammā ārammaṇapaccayā honti. Kathaṃ pana paccekaṃ asamatthā samuditā ārammaṇā honti, na hi paccekaṃ daṭṭhuṃ asakkontā andhā samuditā passantīti? Nayidamekantikaṃ visuṃ asamatthānaṃ sivikāvahanādīsu samatthatāya dassanato. Kesādīnañca yasmiṃ ṭhāne ṭhitānaṃ paccekaṃ vaṇṇaṃ gahetuṃ na sakkā, tasmiṃyeva ṭhāne samuditānaṃ taṃ gahetuṃ sakkāti bhiyyopi tesaṃ saṃhaccakāritā paribyattā. Etena kiṃ cakkhuviññāṇassa paramāṇurūpaṃ ārammaṇaṃ, udāhu taṃsamudāyotiādikā codanā paṭikkhittā veditabbā. ‘‘Sotañca paṭicca sadde cā’’tiādīsupi ayameva nayo.

    เอวมฺปิ อโตฺถ ลพฺภตีติ ‘‘มโนธาตุยาปี’’ติ ปิ-สเทฺทน น เกวลํ ชวนปริโยสานา มโนวิญฺญาณธาตุเยว สมฺปิณฺฑียติ, อถ โข ตทารมฺมณภวงฺคสงฺขาตาปิ สมฺปิณฺฑียตีติ เอวมฺปิ อโตฺถ ลพฺภติ, สมฺภวตีติ อโตฺถฯ เอวํ สตีติ เอวํ อญฺญมโนธาตุปฺปวตฺติยา โอรํ ปวตฺตจิตฺตานํ มโนวิญฺญาณธาตุตาทสฺสเน สติฯ สติปิ มนโส สมฺภูตภาเว มโนธาตุยา มโนวิญฺญาณธาตุภาวปฺปสโงฺค น โหติเยว ตํสภาวเสฺสว มโนวิญฺญาณธาตุภาเวน นิทฺทิฎฺฐตฺตาฯ อิทานิ ตเมวตฺถํ ‘‘ปญฺจวิญฺญาณธาตุมโนธาตู’’ติอาทินา ปากฎตรํ กโรติฯ ตพฺพิธุรสภาเวนาติ ปญฺจวิญฺญาณธาตูหิ วิสทิสสภาเวนฯ อุปฺปตฺติฎฺฐาเนน จาติ มโนธาตุกิริยมโนวิญฺญาณธาตุอาทีหิ ปริจฺฉิเนฺนน อุปฺปชฺชนฎฺฐาเนน จฯ อิทานิ เอกตฺตคฺคหณํ วินาปิ ยถาวุตฺตสฺส อตฺถสฺส สมฺภวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุปนีเตปี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สามญฺญวเสนาติ สทิสตาวเสนฯ ตสฺสาติ ภวงฺคานนฺตรํ อุปฺปนฺนจิตฺตสฺสฯ อมโนวิญฺญาณธาตุภาวาสิทฺธิโตติ มโนธาตุภาวาสิทฺธิโตฯ น หิ ‘‘มโนวิญฺญาณธาตุยาปิ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธสมนนฺตรํ อุปฺปชฺชติ จิตฺตํ…เป.… ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตู’’ติ อิทํ วจนํ ภวงฺคานนฺตรํ อุปฺปนฺนจิตฺตสฺส มโนธาตุภาวํ สาเธติฯ สิเทฺธ หิ มโนธาตุภาเว ตํ ตสฺส นิวตฺตกํ สิยาติ อธิปฺปาโยฯ มโนวิญฺญาณธาตุยา ปน อุปฺปนฺนสฺส จิตฺตสฺส มโนวิญฺญาณธาตุภาวทีปกํ วจนํ ตาทิสาย มโนธาตุยาปิ มโนวิญฺญาณธาตุภาวเมว ทีเปยฺยาติ กถํ ตสฺสา นิวตฺตกํ สิยาติ อาห ‘‘น หิ ยํ โจทียติ, ตเทว ปริหาราย โหตี’’ติฯ

    Evampiattho labbhatīti ‘‘manodhātuyāpī’’ti pi-saddena na kevalaṃ javanapariyosānā manoviññāṇadhātuyeva sampiṇḍīyati, atha kho tadārammaṇabhavaṅgasaṅkhātāpi sampiṇḍīyatīti evampi attho labbhati, sambhavatīti attho. Evaṃ satīti evaṃ aññamanodhātuppavattiyā oraṃ pavattacittānaṃ manoviññāṇadhātutādassane sati. Satipi manaso sambhūtabhāve manodhātuyā manoviññāṇadhātubhāvappasaṅgo na hotiyeva taṃsabhāvasseva manoviññāṇadhātubhāvena niddiṭṭhattā. Idāni tamevatthaṃ ‘‘pañcaviññāṇadhātumanodhātū’’tiādinā pākaṭataraṃ karoti. Tabbidhurasabhāvenāti pañcaviññāṇadhātūhi visadisasabhāvena. Uppattiṭṭhānena cāti manodhātukiriyamanoviññāṇadhātuādīhi paricchinnena uppajjanaṭṭhānena ca. Idāni ekattaggahaṇaṃ vināpi yathāvuttassa atthassa sambhavaṃ dassetuṃ ‘‘anupanītepī’’tiādi vuttaṃ. Tattha sāmaññavasenāti sadisatāvasena. Tassāti bhavaṅgānantaraṃ uppannacittassa. Amanoviññāṇadhātubhāvāsiddhitoti manodhātubhāvāsiddhito. Na hi ‘‘manoviññāṇadhātuyāpi uppajjitvā niruddhasamanantaraṃ uppajjati cittaṃ…pe… tajjā manoviññāṇadhātū’’ti idaṃ vacanaṃ bhavaṅgānantaraṃ uppannacittassa manodhātubhāvaṃ sādheti. Siddhe hi manodhātubhāve taṃ tassa nivattakaṃ siyāti adhippāyo. Manoviññāṇadhātuyā pana uppannassa cittassa manoviññāṇadhātubhāvadīpakaṃ vacanaṃ tādisāya manodhātuyāpi manoviññāṇadhātubhāvameva dīpeyyāti kathaṃ tassā nivattakaṃ siyāti āha ‘‘na hi yaṃ codīyati, tadeva parihārāya hotī’’ti.

    ยทิ เอวํ ปญฺจทฺวาราวชฺชนสฺส มโนวิญฺญาณธาตุภาวาปตฺติ เอวาติ โจทนํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘มโนธาตุยาปี’’ติอาทิฯ ปญฺจวิญฺญาเณหิ มโนธาตูหิ จ วิสิโฎฺฐ สภาโว ปญฺจวิญฺญาณ…เป.… สภาโว, ตสฺส วเสนฯ จุติปฎิสนฺธิภวงฺคานนฺติ ตทารมฺมณมฺปิ ภวงฺคโนฺตคธํ กตฺวา วุตฺตํฯ ชวนาวสานานีติ วา ชวนารมฺมณตฺตา ตทารมฺมณมฺปิ คหิตํ ทฎฺฐพฺพํฯ เตเนวาห ‘‘ฉทฺวาริกจิเตฺตหิ วา’’ติอาทิฯ

    Yadi evaṃ pañcadvārāvajjanassa manoviññāṇadhātubhāvāpatti evāti codanaṃ manasi katvā āha ‘‘manodhātuyāpī’’tiādi. Pañcaviññāṇehi manodhātūhi ca visiṭṭho sabhāvo pañcaviññāṇa…pe… sabhāvo, tassa vasena. Cutipaṭisandhibhavaṅgānanti tadārammaṇampi bhavaṅgantogadhaṃ katvā vuttaṃ. Javanāvasānānīti vā javanārammaṇattā tadārammaṇampi gahitaṃ daṭṭhabbaṃ. Tenevāha ‘‘chadvārikacittehi vā’’tiādi.

    วิสุํ กาตุํ ยุตฺตนฺติ อาวชฺชนมฺปิ ยทิปิ รูปาทิวิสยํ โหติ, ชวนํ วิย อารมฺมณรสานุภวนํ ปน น โหตีติ เอทิเส ฐาเน วิสุํ กาตพฺพเมวฯ มโน จาติ -สโทฺท ‘‘มนญฺจ ปฎิจฺจา’’ติอาทีสุ วิย น สมฺปิณฺฑนโตฺถ, อถ โข พฺยติเรกโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Visuṃ kātuṃ yuttanti āvajjanampi yadipi rūpādivisayaṃ hoti, javanaṃ viya ārammaṇarasānubhavanaṃ pana na hotīti edise ṭhāne visuṃ kātabbameva. Manoti ca-saddo ‘‘manañca paṭiccā’’tiādīsu viya na sampiṇḍanattho, atha kho byatirekattho daṭṭhabbo.

    อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๓. ปญฺหปุจฺฉกวณฺณนา

    3. Pañhapucchakavaṇṇanā

    เหฎฺฐา วุตฺตนยตฺตาติ ธมฺมธาตุมโนวิญฺญาณธาตูนํ ‘‘ปญฺจปณฺณาส กามาวจรธเมฺม อารพฺภ รชฺชนฺตสฺสา’’ติอาทินา (วิภ. อฎฺฐ. ๑๕๐; ๑๖๘) ปริตฺตารมฺมณาทิภาเว ทสฺสิยมาเน ‘‘จิตฺตุปฺปาทรูปวเสน ตํ ตํ สมุทายํ เอเกกํ ธมฺมํ กตฺวา’’ติอาทินา (วิภ. มูลฎี. ๑๕๐) ตทตฺถสฺส ขนฺธวิภงฺควณฺณนาทีสุ วุตฺตนยตฺตาฯ

    Heṭṭhāvuttanayattāti dhammadhātumanoviññāṇadhātūnaṃ ‘‘pañcapaṇṇāsa kāmāvacaradhamme ārabbha rajjantassā’’tiādinā (vibha. aṭṭha. 150; 168) parittārammaṇādibhāve dassiyamāne ‘‘cittuppādarūpavasena taṃ taṃ samudāyaṃ ekekaṃ dhammaṃ katvā’’tiādinā (vibha. mūlaṭī. 150) tadatthassa khandhavibhaṅgavaṇṇanādīsu vuttanayattā.

    ปญฺหปุจฺฉกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pañhapucchakavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ธาตุวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dhātuvibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๓. ธาตุวิภโงฺค • 3. Dhātuvibhaṅgo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā
    ๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา • 1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā
    ๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา • 2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๓. ธาตุวิภโงฺค • 3. Dhātuvibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact