Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā

    ๑๓. ฒุพฺพริเปตวตฺถุวณฺณนา

    13. Ḍhubbaripetavatthuvaṇṇanā

    อหุ ราชา พฺรหฺมทโตฺตติ อิทํ อุพฺพริเปตวตฺถุํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ อุปาสิกํ อารพฺภ กเถสิ ฯ สาวตฺถิยํ กิร อญฺญตราย อุปาสิกาย สามิโก กาลมกาสิฯ สา ปติวิโยคทุกฺขาตุรา โสจนฺตี อาฬาหนํ คนฺตฺวา โรทติฯ ภควา ตสฺสา โสตาปตฺติผลสฺส อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ ทิสฺวา กรุณาย สโญฺจทิตมานโส หุตฺวา ตสฺสา เคหํ คนฺตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อุปาสิกา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘กิํ, อุปาสิเก, โสจสี’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, ภควา, ปิยวิปฺปโยเคน โสจามี’’ติ วุเตฺต ตสฺสา โสกํ อปเนตุกาโม อตีตํ อาหริฯ

    Ahu rājā brahmadattoti idaṃ ubbaripetavatthuṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ upāsikaṃ ārabbha kathesi . Sāvatthiyaṃ kira aññatarāya upāsikāya sāmiko kālamakāsi. Sā pativiyogadukkhāturā socantī āḷāhanaṃ gantvā rodati. Bhagavā tassā sotāpattiphalassa upanissayasampattiṃ disvā karuṇāya sañcoditamānaso hutvā tassā gehaṃ gantvā paññatte āsane nisīdi. Upāsikā satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Atha naṃ satthā ‘‘kiṃ, upāsike, socasī’’ti vatvā ‘‘āma, bhagavā, piyavippayogena socāmī’’ti vutte tassā sokaṃ apanetukāmo atītaṃ āhari.

    อตีเต ปญฺจาลรเฎฺฐ กปิลนคเร จูฬนีพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา อโหสิฯ โส อคติคมนํ ปหาย อตฺตโน วิชิเต ปชาย หิตกรณนิรโต ทส ราชธเมฺม อโกเปตฺวา รชฺชํ อนุสาสมาโน กทาจิ ‘‘อตฺตโน รเชฺช กิํ วทนฺตี’’ติ โสตุกาโม ตุนฺนวายเวสํ คเหตฺวา เอโก อทุติโย นครโต นิกฺขมิตฺวา คามโต คามํ ชนปทโต ชนปทํ วิจริตฺวา สพฺพรชฺชํ อกณฺฎกํ อนุปปีฬํ มนุเสฺส สโมฺมทมาเน อปารุตฆเร มเญฺญ วิหรเนฺต ทิสฺวา โสมนสฺสชาโต นิวตฺติตฺวา นคราภิมุโข อาคจฺฉโนฺต อญฺญตรสฺมิํ คาเม เอกิสฺสา วิธวาย ทุคฺคติตฺถิยา เคหํ ปาวิสิฯ สา ตํ ทิสฺวา อาห – ‘‘โก นุ ตฺวํ, อโยฺย, กุโต วา อาคโตสี’’ติ? ‘‘อหํ ตุนฺนวาโย, ภเทฺท, ภติยา ตุนฺนวายกมฺมํ กโรโนฺต วิจรามิฯ ยทิ ตุมฺหากํ ตุนฺนวายกมฺมํ อตฺถิ, ภตฺตญฺจ เวตนญฺจ เทถ, ตุมฺหากมฺปิ กมฺมํ กโรมี’’ติฯ ‘‘นตฺถมฺหากํ กมฺมํ ภตฺตเวตนํ วา, อเญฺญสํ กโรหิ, อยฺยา’’ติฯ โส ตตฺถ กติปาหํ วสโนฺต ธญฺญปุญฺญลกฺขณสมฺปนฺนํ ตสฺสา ธีตรํ ทิสฺวา มาตรํ อาห – ‘‘อยํ ทาริกา กิํ เกนจิ กตปริคฺคหา, อุทาหุ อกตปริคฺคหาฯ สเจ ปน เกนจิ อกตปริคฺคหา, อิมํ มยฺหํ เทถ, อหํ ตุมฺหากํ สุเขน ชีวนูปายํ กาตุํ สมโตฺถ’’ติฯ ‘‘สาธุ, อยฺยา’’ติ สา ตสฺส ตํ อทาสิฯ

    Atīte pañcālaraṭṭhe kapilanagare cūḷanībrahmadatto nāma rājā ahosi. So agatigamanaṃ pahāya attano vijite pajāya hitakaraṇanirato dasa rājadhamme akopetvā rajjaṃ anusāsamāno kadāci ‘‘attano rajje kiṃ vadantī’’ti sotukāmo tunnavāyavesaṃ gahetvā eko adutiyo nagarato nikkhamitvā gāmato gāmaṃ janapadato janapadaṃ vicaritvā sabbarajjaṃ akaṇṭakaṃ anupapīḷaṃ manusse sammodamāne apārutaghare maññe viharante disvā somanassajāto nivattitvā nagarābhimukho āgacchanto aññatarasmiṃ gāme ekissā vidhavāya duggatitthiyā gehaṃ pāvisi. Sā taṃ disvā āha – ‘‘ko nu tvaṃ, ayyo, kuto vā āgatosī’’ti? ‘‘Ahaṃ tunnavāyo, bhadde, bhatiyā tunnavāyakammaṃ karonto vicarāmi. Yadi tumhākaṃ tunnavāyakammaṃ atthi, bhattañca vetanañca detha, tumhākampi kammaṃ karomī’’ti. ‘‘Natthamhākaṃ kammaṃ bhattavetanaṃ vā, aññesaṃ karohi, ayyā’’ti. So tattha katipāhaṃ vasanto dhaññapuññalakkhaṇasampannaṃ tassā dhītaraṃ disvā mātaraṃ āha – ‘‘ayaṃ dārikā kiṃ kenaci katapariggahā, udāhu akatapariggahā. Sace pana kenaci akatapariggahā, imaṃ mayhaṃ detha, ahaṃ tumhākaṃ sukhena jīvanūpāyaṃ kātuṃ samattho’’ti. ‘‘Sādhu, ayyā’’ti sā tassa taṃ adāsi.

    โส ตาย สทฺธิํ กติปาหํ วสิตฺวา ตสฺสา กหาปณสหสฺสํ ทตฺวา ‘‘อหํ กติปาเหเนว นิวตฺติสฺสามิฯ ภเทฺท , ตฺวํ มา อุกฺกณฺฐสี’’ติ วตฺวา อตฺตโน นครํ คนฺตฺวา, นครสฺส จ ตสฺส คามสฺส จ อนฺตเร มคฺคํ สมํ การาเปตฺวา อลงฺการาเปตฺวา มหตา ราชานุภาเวน ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ ทาริกํ กหาปณราสิมฺหิ ฐเปตฺวา สุวณฺณรชตกลเสหิ นฺหาเปตฺวา ‘‘อุพฺพรี’’ติ นามํ การาเปตฺวา อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ตญฺจ คามํ ตสฺสา ญาตีนํ ทตฺวา มหตา ราชานุภาเวน ตํ นครํ อาเนตฺวา ตาย สทฺธิํ อภิรมมาโน ยาวชีวํ รชฺชสุขํ อนุภวิตฺวา อายุปริโยสาเน กาลมกาสิฯ กาลกเต จ ตสฺมิํ, กเต จ สรีรกิเจฺจ อุพฺพรี ปติวิโยเคน โสกสลฺลสมปฺปิตหทยา อาฬาหนํ คนฺตฺวา พหู ทิวเส คนฺธปุปฺผาทีหิ ปูเชตฺวา รโญฺญ คุเณ กิเตฺตตฺวา อุมฺมาทปฺปตฺตา วิย กนฺทนฺตี ปริเทวนฺตี อาฬาหนํ ปทกฺขิณํ กโรติฯ

    So tāya saddhiṃ katipāhaṃ vasitvā tassā kahāpaṇasahassaṃ datvā ‘‘ahaṃ katipāheneva nivattissāmi. Bhadde , tvaṃ mā ukkaṇṭhasī’’ti vatvā attano nagaraṃ gantvā, nagarassa ca tassa gāmassa ca antare maggaṃ samaṃ kārāpetvā alaṅkārāpetvā mahatā rājānubhāvena tattha gantvā taṃ dārikaṃ kahāpaṇarāsimhi ṭhapetvā suvaṇṇarajatakalasehi nhāpetvā ‘‘ubbarī’’ti nāmaṃ kārāpetvā aggamahesiṭṭhāne ṭhapetvā tañca gāmaṃ tassā ñātīnaṃ datvā mahatā rājānubhāvena taṃ nagaraṃ ānetvā tāya saddhiṃ abhiramamāno yāvajīvaṃ rajjasukhaṃ anubhavitvā āyupariyosāne kālamakāsi. Kālakate ca tasmiṃ, kate ca sarīrakicce ubbarī pativiyogena sokasallasamappitahadayā āḷāhanaṃ gantvā bahū divase gandhapupphādīhi pūjetvā rañño guṇe kittetvā ummādappattā viya kandantī paridevantī āḷāhanaṃ padakkhiṇaṃ karoti.

    เตน จ สมเยน อมฺหากํ ภควา โพธิสตฺตภูโต อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อธิคตชฺฌานาภิโญฺญ หิมวนฺตสฺส สามนฺตา อญฺญตรสฺมิํ อรญฺญายตเน วิหรโนฺต โสกสลฺลสมปฺปิตํ อุพฺพริํ ทิเพฺพน จกฺขุนา ทิสฺวา อากาเสน อาคนฺตฺวา ทิสฺสมานรูโป อากาเส ฐตฺวา ตตฺถ ฐิเต มนุเสฺส ปุจฺฉิ – ‘‘กสฺสิทํ อาฬาหนํ, กสฺสตฺถาย จายํ อิตฺถี ‘พฺรหฺมทตฺต, พฺรหฺมทตฺตา’ติ กนฺทนฺตี ปริเทวตี’’ติฯ ตํ สุตฺวา มนุสฺสา ‘‘พฺรหฺมทโตฺต นาม ปญฺจาลานํ ราชา, โส อายุปริโยสาเน กาลมกาสิ, ตสฺสิทํ อาฬาหนํ, ตสฺส อยํ อคฺคมเหสี อุพฺพรี นาม ‘พฺรหฺมทตฺต, พฺรหฺมทตฺตา’ติ ตสฺส นามํ คเหตฺวา กนฺทนฺตี ปริเทวตี’’ติ อาหํสุฯ ตมตฺถํ ทีเปนฺตา สงฺคีติการา –

    Tena ca samayena amhākaṃ bhagavā bodhisattabhūto isipabbajjaṃ pabbajitvā adhigatajjhānābhiñño himavantassa sāmantā aññatarasmiṃ araññāyatane viharanto sokasallasamappitaṃ ubbariṃ dibbena cakkhunā disvā ākāsena āgantvā dissamānarūpo ākāse ṭhatvā tattha ṭhite manusse pucchi – ‘‘kassidaṃ āḷāhanaṃ, kassatthāya cāyaṃ itthī ‘brahmadatta, brahmadattā’ti kandantī paridevatī’’ti. Taṃ sutvā manussā ‘‘brahmadatto nāma pañcālānaṃ rājā, so āyupariyosāne kālamakāsi, tassidaṃ āḷāhanaṃ, tassa ayaṃ aggamahesī ubbarī nāma ‘brahmadatta, brahmadattā’ti tassa nāmaṃ gahetvā kandantī paridevatī’’ti āhaṃsu. Tamatthaṃ dīpentā saṅgītikārā –

    ๓๖๘.

    368.

    ‘‘อหุ ราชา พฺรหฺมทโตฺต, ปญฺจาลานํ รเถสโภ;

    ‘‘Ahu rājā brahmadatto, pañcālānaṃ rathesabho;

    อโหรตฺตานมจฺจยา, ราชา กาลมกฺรุพฺพถฯ

    Ahorattānamaccayā, rājā kālamakrubbatha.

    ๓๖๙.

    369.

    ‘‘ตสฺส อาฬาหนํ คนฺตฺวา, ภริยา กนฺทติ อุพฺพริ;

    ‘‘Tassa āḷāhanaṃ gantvā, bhariyā kandati ubbari;

    พฺรหฺมทตฺตํ อปสฺสนฺตี, พฺรหฺมทตฺตาติ กนฺทติฯ

    Brahmadattaṃ apassantī, brahmadattāti kandati.

    ๓๗๐.

    370.

    ‘‘อิสิ จ ตตฺถ อาคจฺฉิ, สมฺปนฺนจรโณ มุนิ;

    ‘‘Isi ca tattha āgacchi, sampannacaraṇo muni;

    โส จ ตตฺถ อปุจฺฉิตฺถ, เย ตตฺถ สุ สมาคตาฯ

    So ca tattha apucchittha, ye tattha su samāgatā.

    ๓๗๑.

    371.

    ‘‘‘กสฺส อิทํ อาฬาหนํ, นานาคนฺธสเมริตํ;

    ‘‘‘Kassa idaṃ āḷāhanaṃ, nānāgandhasameritaṃ;

    กสฺสายํ กนฺทติ ภริยา, อิโต ทูรคตํ ปติํ;

    Kassāyaṃ kandati bhariyā, ito dūragataṃ patiṃ;

    พฺรหฺมทตฺตํ อปสฺสนฺตี, พฺรหฺมทตฺตาติ กนฺทติ’ฯ

    Brahmadattaṃ apassantī, brahmadattāti kandati’.

    ๓๗๒.

    372.

    ‘‘เต จ ตตฺถ วิยากํสุ, เย ตตฺถ สุ สมาคตา;

    ‘‘Te ca tattha viyākaṃsu, ye tattha su samāgatā;

    พฺรหฺมทตฺตสฺส ภทฺทเนฺต, พฺรหฺมทตฺตสฺส มาริสฯ

    Brahmadattassa bhaddante, brahmadattassa mārisa.

    ๓๗๓.

    373.

    ‘‘ตสฺส อิทํ อาฬาหนํ, นานาคนฺธสเมริตํ;

    ‘‘Tassa idaṃ āḷāhanaṃ, nānāgandhasameritaṃ;

    ตสฺสายํ กนฺทติ ภริยา, อิโต ทูรคตํ ปติํ;

    Tassāyaṃ kandati bhariyā, ito dūragataṃ patiṃ;

    พฺรหฺมทตฺตํ อปสฺสนฺตี, พฺรหฺมทตฺตาติ กนฺทตี’’ติฯ – ฉ คาถา ฐเปสุํ;

    Brahmadattaṃ apassantī, brahmadattāti kandatī’’ti. – cha gāthā ṭhapesuṃ;

    ๓๖๘-๙. ตตฺถ อหูติ อโหสิฯ ปญฺจาลานนฺติ ปญฺจาลรฎฺฐวาสีนํ, ปญฺจาลรฎฺฐเสฺสว วาฯ เอโกปิ หิ ชนปโท ชนปทิกานํ ราชกุมารานํ วเสน รุฬฺหิยา ‘‘ปญฺจาลาน’’นฺติ พหุวจเนน นิทฺทิสียติฯ รเถสโภติ รเถสุ อุสภสทิโส, มหารโถติ อโตฺถฯ ตสฺส อาฬาหนนฺติ ตสฺส รโญฺญ สรีรสฺส ทฑฺฒฎฺฐานํฯ

    368-9. Tattha ahūti ahosi. Pañcālānanti pañcālaraṭṭhavāsīnaṃ, pañcālaraṭṭhasseva vā. Ekopi hi janapado janapadikānaṃ rājakumārānaṃ vasena ruḷhiyā ‘‘pañcālāna’’nti bahuvacanena niddisīyati. Rathesabhoti rathesu usabhasadiso, mahārathoti attho. Tassa āḷāhananti tassa rañño sarīrassa daḍḍhaṭṭhānaṃ.

    ๓๗๐. อิสีติ ฌานาทีนํ คุณานํ เอสนเฎฺฐน อิสิฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ อุพฺพริยา ฐิตฎฺฐาเน, สุสาเนติ อโตฺถฯ อาคจฺฉีติ อคมาสิฯ สมฺปนฺนจรโณติ สีลสมฺปทา, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา, โภชเน มตฺตญฺญุตา, ชาคริยานุโยโค, สทฺธาทโย สตฺต สทฺธมฺมา, จตฺตาริ รูปาวจรฌานานีติ อิเมหิ ปนฺนรสหิ จรณสงฺขาเตหิ คุเณหิ สมฺปโนฺน สมนฺนาคโต, จรณสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ มุนีติ อตฺตหิตญฺจ ปรหิตญฺจ มุนาติ ชานาตีติ มุนิฯ โส จ ตตฺถ อปุจฺฉิตฺถาติ โส ตสฺมิํ ฐาเน ฐิเต ชเน ปฎิปุจฺฉิฯ เย ตตฺถ สุ สมาคตาติ เย มนุสฺสา ตตฺถ สุสาเน สมาคตาฯ สูติ นิปาตมตฺตํฯ ‘‘เย ตตฺถาสุํ สมาคตา’’ติ วา ปาโฐฯ อาสุนฺติ อเหสุนฺติ อโตฺถฯ

    370.Isīti jhānādīnaṃ guṇānaṃ esanaṭṭhena isi. Tatthāti tasmiṃ ubbariyā ṭhitaṭṭhāne, susāneti attho. Āgacchīti agamāsi. Sampannacaraṇoti sīlasampadā, indriyesu guttadvāratā, bhojane mattaññutā, jāgariyānuyogo, saddhādayo satta saddhammā, cattāri rūpāvacarajhānānīti imehi pannarasahi caraṇasaṅkhātehi guṇehi sampanno samannāgato, caraṇasampannoti attho. Munīti attahitañca parahitañca munāti jānātīti muni. So ca tattha apucchitthāti so tasmiṃ ṭhāne ṭhite jane paṭipucchi. Ye tattha su samāgatāti ye manussā tattha susāne samāgatā. ti nipātamattaṃ. ‘‘Ye tatthāsuṃ samāgatā’’ti vā pāṭho. Āsunti ahesunti attho.

    ๓๗๑. นานาคนฺธสเมริตนฺติ นานาวิเธหิ คเนฺธหิ สมนฺตโต เอริตํ อุปวาสิตํฯ อิโตติ มนุสฺสโลกโตฯ ทูรคตนฺติ ปรโลกํ คตตฺตา วทติฯ พฺรหฺมทตฺตาติ กนฺทตีติ พฺรหฺมทตฺตาติ เอวํ นามสํกิตฺตนํ กตฺวา ปริเทวนวเสน อวฺหายติฯ

    371.Nānāgandhasameritanti nānāvidhehi gandhehi samantato eritaṃ upavāsitaṃ. Itoti manussalokato. Dūragatanti paralokaṃ gatattā vadati. Brahmadattāti kandatīti brahmadattāti evaṃ nāmasaṃkittanaṃ katvā paridevanavasena avhāyati.

    ๓๗๒-๓. พฺรหฺมทตฺตสฺส ภทฺทเนฺต, พฺรหฺมทตฺตสฺส มาริสาติ มาริส, นิรามยกายจิตฺต มหามุนิ พฺรหฺมทตฺตสฺส รโญฺญ อิทํ อาฬาหนํ, ตเสฺสว พฺรหฺมทตฺตสฺส รโญฺญ อยํ ภริยา, ภทฺทํ เต ตสฺส จ พฺรหฺมทตฺตสฺส ภทฺทํ โหตุ, ตาทิสานํ มเหสีนํ หิตานุจินฺตเนน ปรโลเก ฐิตานมฺปิ หิตสุขํ โหติเยวาติ อธิปฺปาโยฯ

    372-3.Brahmadattassa bhaddante, brahmadattassa mārisāti mārisa, nirāmayakāyacitta mahāmuni brahmadattassa rañño idaṃ āḷāhanaṃ, tasseva brahmadattassa rañño ayaṃ bhariyā, bhaddaṃ te tassa ca brahmadattassa bhaddaṃ hotu, tādisānaṃ mahesīnaṃ hitānucintanena paraloke ṭhitānampi hitasukhaṃ hotiyevāti adhippāyo.

    อถ โส ตาปโส เตสํ วจนํ สุตฺวา อนุกมฺปํ อุปาทาย อุพฺพริยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ตสฺสา โสกวิโนทนตฺถํ –

    Atha so tāpaso tesaṃ vacanaṃ sutvā anukampaṃ upādāya ubbariyā santikaṃ gantvā tassā sokavinodanatthaṃ –

    ๓๗๔.

    374.

    ‘‘ฉฬาสีติสหสฺสานิ, พฺรหฺมทตฺตสฺสนามกา;

    ‘‘Chaḷāsītisahassāni, brahmadattassanāmakā;

    อิมสฺมิํ อาฬาหเน ทฑฺฒา, เตสํ กมนุโสจสี’’ติฯ –

    Imasmiṃ āḷāhane daḍḍhā, tesaṃ kamanusocasī’’ti. –

    คาถมาห ฯ ตตฺถ ฉฬาสีติสหสฺสานีติ ฉสหสฺสาธิกอสีติสหสฺสสงฺขาฯ พฺรหฺมทตฺตสฺสนามกาติ พฺรหฺมทโตฺตติ เอวํนามกาฯ เตสํ กมนุโสจสีติ เตสํ ฉฬาสีติสหสฺสสงฺขาตานํ พฺรหฺมทตฺตานํ กตมํ พฺรหฺมทตฺตํ ตฺวํ อนุโสจสิ, กตมํ ปฎิจฺจ เต โสโก อุปฺปโนฺนติ ปุจฺฉิฯ

    Gāthamāha . Tattha chaḷāsītisahassānīti chasahassādhikaasītisahassasaṅkhā. Brahmadattassanāmakāti brahmadattoti evaṃnāmakā. Tesaṃ kamanusocasīti tesaṃ chaḷāsītisahassasaṅkhātānaṃ brahmadattānaṃ katamaṃ brahmadattaṃ tvaṃ anusocasi, katamaṃ paṭicca te soko uppannoti pucchi.

    เอวํ ปน เตน อิสินา ปุจฺฉิตา อุพฺพรี อตฺตนา อธิเปฺปตํ พฺรหฺมทตฺตํ อาจิกฺขนฺตี –

    Evaṃ pana tena isinā pucchitā ubbarī attanā adhippetaṃ brahmadattaṃ ācikkhantī –

    ๓๗๕.

    375.

    ‘‘โย ราชา จูฬนีปุโตฺต, ปญฺจาลานํ รเถสโภ;

    ‘‘Yo rājā cūḷanīputto, pañcālānaṃ rathesabho;

    ตํ ภเนฺต อนุโสจามิ, ภตฺตารํ สพฺพกามท’’นฺติฯ –

    Taṃ bhante anusocāmi, bhattāraṃ sabbakāmada’’nti. –

    คาถมาหฯ ตตฺถ จูฬนีปุโตฺตติ เอวํนามสฺส รโญฺญ ปุโตฺตฯ สพฺพกามทนฺติ มยฺหํ สพฺพสฺส อิจฺฉิติจฺฉิตสฺส ทาตารํ, สเพฺพสํ วา สตฺตานํ อิจฺฉิตทายกํฯ

    Gāthamāha. Tattha cūḷanīputtoti evaṃnāmassa rañño putto. Sabbakāmadanti mayhaṃ sabbassa icchiticchitassa dātāraṃ, sabbesaṃ vā sattānaṃ icchitadāyakaṃ.

    เอวํ อุพฺพริยา วุเตฺต ปุน ตาปโส –

    Evaṃ ubbariyā vutte puna tāpaso –

    ๓๗๖.

    376.

    ‘‘สเพฺพวาเหสุํ ราชาโน, พฺรหฺมทตฺตสฺสนามกา;

    ‘‘Sabbevāhesuṃ rājāno, brahmadattassanāmakā;

    สเพฺพว จูฬนีปุตฺตา, ปญฺจาลานํ รเถสภาฯ

    Sabbeva cūḷanīputtā, pañcālānaṃ rathesabhā.

    ๓๗๗.

    377.

    ‘‘สเพฺพสํ อนุปุเพฺพน, มเหสิตฺตมการยิ;

    ‘‘Sabbesaṃ anupubbena, mahesittamakārayi;

    กสฺมา ปุริมเก หิตฺวา, ปจฺฉิมํ อนุโสจสี’’ติฯ – คาถาทฺวยมาห;

    Kasmā purimake hitvā, pacchimaṃ anusocasī’’ti. – gāthādvayamāha;

    ๓๗๖. ตตฺถ สเพฺพวาเหสุนฺติ สเพฺพว เต ฉฬาสีติสหสฺสสงฺขา ราชาโน พฺรหฺมทตฺตสฺส นามกา จูฬนีปุตฺตา ปญฺจาลานํ รเถสภาว อเหสุํฯ อิเม ราชภาวาทโย วิเสสา เตสุ เอกสฺสาปิ นาเหสุํฯ

    376. Tattha sabbevāhesunti sabbeva te chaḷāsītisahassasaṅkhā rājāno brahmadattassa nāmakā cūḷanīputtā pañcālānaṃ rathesabhāva ahesuṃ. Ime rājabhāvādayo visesā tesu ekassāpi nāhesuṃ.

    ๓๗๗. มเหสิตฺตมการยีติ ตฺวญฺจ เตสํ สเพฺพสมฺปิ อนุปุเพฺพน อคฺคมเหสิภาวํ อกาสิ, อนุปฺปตฺตาติ อโตฺถฯ กสฺมาติ คุณโต จ สามิกภาวโต จ อวิสิเฎฺฐสุ เอตฺตเกสุ ชเนสุ ปุริมเก ราชาโน ปหาย ปจฺฉิมํ เอกํเมว กสฺมา เกน การเณน อนุโสจสีติ ปุจฺฉิฯ

    377.Mahesittamakārayīti tvañca tesaṃ sabbesampi anupubbena aggamahesibhāvaṃ akāsi, anuppattāti attho. Kasmāti guṇato ca sāmikabhāvato ca avisiṭṭhesu ettakesu janesu purimake rājāno pahāya pacchimaṃ ekaṃmeva kasmā kena kāraṇena anusocasīti pucchi.

    ตํ สุตฺวา อุพฺพรี สํเวคชาตา ปุน ตาปสํ –

    Taṃ sutvā ubbarī saṃvegajātā puna tāpasaṃ –

    ๓๗๘.

    378.

    ‘‘อาตุเม อิตฺถิภูตาย, ทีฆรตฺตาย มาริส;

    ‘‘Ātume itthibhūtāya, dīgharattāya mārisa;

    ยสฺสา เม อิตฺถิภูตาย, สํสาเร พหุภาสสี’’ติฯ –

    Yassā me itthibhūtāya, saṃsāre bahubhāsasī’’ti. –

    คาถมาหฯ ตตฺถ อาตุเมติ อตฺตนิฯ อิตฺถิภูตายาติ อิตฺถิภาวํ อุปคตายฯ ทีฆรตฺตายาติ ทีฆรตฺตํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – อิตฺถิภูตาย อตฺตนิ สพฺพกาลํ อิตฺถีเยว โหติ, อุทาหุ ปุริสภาวมฺปิ อุปคจฺฉตีติฯ ยสฺสา เม อิตฺถิภูตายาติ ยสฺสา มยฺหํ อิตฺถิภูตาย เอวํ ตาว พหุสํสาเร มเหสิภาวํ มหามุนิ ตฺวํ ภาสสิ กเถสีติ อโตฺถฯ ‘‘อาหุ เม อิตฺถิภูตายา’’ติ วา ปาโฐฯ ตตฺถ อาติ อนุสฺสรณเตฺถ นิปาโตฯ อาหุ เมติ สยํ อนุสฺสริตํ อญฺญาตมิทํ มยา, อิตฺถิภูตาย อิตฺถิภาวํ อุปคตาย เอวํ มยฺหํ เอตฺตกํ กาลํ อปราปรุปฺปตฺติ อโหสิฯ กสฺมา? ยสฺมา ยสฺสา เม อิตฺถิภูตาย สเพฺพสํ อนุปุเพฺพน มเหสิตฺตมการยิ, กิํ ตฺวํ, มหามุนิ, สํสาเร พหุํ ภาสสีติ โยชนาฯ

    Gāthamāha. Tattha ātumeti attani. Itthibhūtāyāti itthibhāvaṃ upagatāya. Dīgharattāyāti dīgharattaṃ. Ayañhettha adhippāyo – itthibhūtāya attani sabbakālaṃ itthīyeva hoti, udāhu purisabhāvampi upagacchatīti. Yassā me itthibhūtāyāti yassā mayhaṃ itthibhūtāya evaṃ tāva bahusaṃsāre mahesibhāvaṃ mahāmuni tvaṃ bhāsasi kathesīti attho. ‘‘Āhu me itthibhūtāyā’’ti vā pāṭho. Tattha āti anussaraṇatthe nipāto. Āhu meti sayaṃ anussaritaṃ aññātamidaṃ mayā, itthibhūtāya itthibhāvaṃ upagatāya evaṃ mayhaṃ ettakaṃ kālaṃ aparāparuppatti ahosi. Kasmā? Yasmā yassā me itthibhūtāya sabbesaṃ anupubbena mahesittamakārayi, kiṃ tvaṃ, mahāmuni, saṃsāre bahuṃ bhāsasīti yojanā.

    ตํ สุตฺวา ตาปโส อยํ นิยโม สํสาเร นตฺถิ ‘‘อิตฺถี อิตฺถีเยว โหติ, ปุริโส ปุริโส เอวา’’ติ ทเสฺสโนฺต –

    Taṃ sutvā tāpaso ayaṃ niyamo saṃsāre natthi ‘‘itthī itthīyeva hoti, puriso puriso evā’’ti dassento –

    ๓๗๙.

    379.

    ‘‘อหุ อิตฺถี อหุ ปุริโส, ปสุโยนิมฺปิ อาคมา;

    ‘‘Ahu itthī ahu puriso, pasuyonimpi āgamā;

    เอวเมตํ อตีตานํ, ปริยโนฺต น ทิสฺสตี’’ติฯ –

    Evametaṃ atītānaṃ, pariyanto na dissatī’’ti. –

    คาถมาหฯ ตตฺถ อหุ อิตฺถี อหุ ปุริโสติ ตฺวํ กทาจิ อิตฺถีปิ อโหสิ, กทาจิ ปุริโสปิ อโหสิฯ น เกวลํ อิตฺถิปุริสภาวเมว, อถ โข ปสุ โยนิมฺปิ อคมาสิ, กทาจิ ปสุภาวมฺปิ อคมาสิ, ติรจฺฉานโยนิมฺปิ อุปคตา อโหสิฯ เอวเมตํ อตีตานํ, ปริยโนฺต น ทิสฺสตีติ เอวํ ยถาวุตฺตํ เอตํ อิตฺถิภาวํ ปุริสภาวํ ติรจฺฉานาทิภาวญฺจ อุปคตานํ อตีตานํ อตฺตภาวานํ ปริยโนฺต ญาณจกฺขุนา มหตา อุสฺสาเหน ปสฺสนฺตานมฺปิ น ทิสฺสติฯ น เกวลํ ตเวว, อถ โข สเพฺพสมฺปิ สํสาเร ปริพฺภมนฺตานํ สตฺตานํ อตฺตภาวสฺส ปริยโนฺต น ทิสฺสเตว น ปญฺญายเตวฯ เตนาห ภควา –

    Gāthamāha. Tattha ahu itthī ahu purisoti tvaṃ kadāci itthīpi ahosi, kadāci purisopi ahosi. Na kevalaṃ itthipurisabhāvameva, atha kho pasu yonimpi agamāsi, kadāci pasubhāvampi agamāsi, tiracchānayonimpi upagatā ahosi. Evametaṃ atītānaṃ, pariyanto na dissatīti evaṃ yathāvuttaṃ etaṃ itthibhāvaṃ purisabhāvaṃ tiracchānādibhāvañca upagatānaṃ atītānaṃ attabhāvānaṃ pariyanto ñāṇacakkhunā mahatā ussāhena passantānampi na dissati. Na kevalaṃ taveva, atha kho sabbesampi saṃsāre paribbhamantānaṃ sattānaṃ attabhāvassa pariyanto na dissateva na paññāyateva. Tenāha bhagavā –

    ‘‘อนมตโคฺคยํ, ภิกฺขเว, สํสาโร, ปุพฺพา โกฎิ น ปญฺญายติ อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ตณฺหาสํโยชนานํ สนฺธาวตํ สํสรต’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๒๔)ฯ

    ‘‘Anamataggoyaṃ, bhikkhave, saṃsāro, pubbā koṭi na paññāyati avijjānīvaraṇānaṃ sattānaṃ taṇhāsaṃyojanānaṃ sandhāvataṃ saṃsarata’’nti (saṃ. ni. 2.124).

    เอวํ เตน ตาปเสน สํสารสฺส อปริยนฺตตํ กมฺมสฺสกตญฺจ วิภาเวเนฺตน เทสิตํ ธมฺมํ สุตฺวา สํสาเร สํวิคฺคหทยา ธเมฺม จ ปสนฺนมานสา วิคตโสกสลฺลา หุตฺวา อตฺตโน ปสาทํ โสกวิคมนญฺจ ปกาเสนฺตี –

    Evaṃ tena tāpasena saṃsārassa apariyantataṃ kammassakatañca vibhāventena desitaṃ dhammaṃ sutvā saṃsāre saṃviggahadayā dhamme ca pasannamānasā vigatasokasallā hutvā attano pasādaṃ sokavigamanañca pakāsentī –

    ๓๘๐.

    380.

    ‘‘อาทิตฺตํ วต มํ สนฺตํ, ฆตสิตฺตํว ปาวกํ;

    ‘‘Ādittaṃ vata maṃ santaṃ, ghatasittaṃva pāvakaṃ;

    วารินา วิย โอสิญฺจํ, สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํฯ

    Vārinā viya osiñcaṃ, sabbaṃ nibbāpaye daraṃ.

    ๓๘๑.

    381.

    ‘‘อพฺพหี วต เม สลฺลํ, โสกํ หทยนิสฺสิตํ;

    ‘‘Abbahī vata me sallaṃ, sokaṃ hadayanissitaṃ;

    โย เม โสกปเรตาย, ปติโสกํ อปานุทิฯ

    Yo me sokaparetāya, patisokaṃ apānudi.

    ๓๘๒.

    382.

    ‘‘สาหํ อพฺพูฬฺหสลฺลาสฺมิ, สีติภูตาสฺมิ นิพฺพุตา;

    ‘‘Sāhaṃ abbūḷhasallāsmi, sītibhūtāsmi nibbutā;

    น โสจามิ น โรทามิ, ตว สุตฺวา มหามุนี’’ติฯ –

    Na socāmi na rodāmi, tava sutvā mahāmunī’’ti. –

    ติโสฺส คาถา อภาสิฯ ตาสํ อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ

    Tisso gāthā abhāsi. Tāsaṃ attho heṭṭhā vuttoyeva.

    อิทานิ สํวิคฺคหทยาย อุพฺพริยา ปฎิปตฺติํ ทเสฺสโนฺต สตฺถา –

    Idāni saṃviggahadayāya ubbariyā paṭipattiṃ dassento satthā –

    ๓๘๓.

    383.

    ‘‘ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา, สมณสฺส สุภาสิตํ;

    ‘‘Tassa taṃ vacanaṃ sutvā, samaṇassa subhāsitaṃ;

    ปตฺตจีวรมาทาย, ปพฺพชิ อนคาริยํฯ

    Pattacīvaramādāya, pabbaji anagāriyaṃ.

    ๓๘๔.

    384.

    ‘‘สา จ ปพฺพชิตา สนฺตา, อคารสฺมา อนคาริยํ;

    ‘‘Sā ca pabbajitā santā, agārasmā anagāriyaṃ;

    เมตฺตจิตฺตํ อาภาเวสิ, พฺรหฺมโลกูปปตฺติยาฯ

    Mettacittaṃ ābhāvesi, brahmalokūpapattiyā.

    ๓๘๕.

    385.

    ‘‘คามา คามํ วิจรนฺตี, นิคเม ราชธานิโย;

    ‘‘Gāmā gāmaṃ vicarantī, nigame rājadhāniyo;

    อุรุเวฬา นาม โส คาโม, ยตฺถ กาลมกฺรุพฺพถฯ

    Uruveḷā nāma so gāmo, yattha kālamakrubbatha.

    ๓๘๖.

    386.

    ‘‘เมตฺตจิตฺตํ อาภาเวตฺวา, พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา;

    ‘‘Mettacittaṃ ābhāvetvā, brahmalokūpapattiyā;

    อิตฺถิจิตฺตํ วิราเชตฺวา, พฺรหฺมโลกูปคา อหู’’ติฯ – จตโสฺส คาถา อภาสิ;

    Itthicittaṃ virājetvā, brahmalokūpagā ahū’’ti. – catasso gāthā abhāsi;

    ๓๘๓-๔. ตตฺถ ตสฺสาติ ตสฺส ตาปสสฺสฯ สุภาสิตนฺติ สุฎฺฐุ ภาสิตํ, ธมฺมนฺติ อโตฺถฯ ปพฺพชิตา สนฺตาติ ปพฺพชฺชํ อุปคตา สมานา, ปพฺพชิตฺวา วา หุตฺวา สนฺตกายวาจาฯ เมตฺตจิตฺตนฺติ เมตฺตาสหคตํ จิตฺตํฯ จิตฺตสีเสน เมตฺตชฺฌานํ วทติฯ พฺรหฺมโลกูปปตฺติยาติ ตญฺจ สา เมตฺตจิตฺตํ ภาเวนฺตี พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา อภาเวสิ, น วิปสฺสนาปาทกาทิอตฺถํฯ อนุปฺปเนฺน หิ พุเทฺธ พฺรหฺมวิหาราทิเก ภาเวนฺตา ตาปสปริพฺพาชกา ยาวเทว ภวสมฺปตฺติอตฺถเมว ภาเวสุํฯ

    383-4. Tattha tassāti tassa tāpasassa. Subhāsitanti suṭṭhu bhāsitaṃ, dhammanti attho. Pabbajitā santāti pabbajjaṃ upagatā samānā, pabbajitvā vā hutvā santakāyavācā. Mettacittanti mettāsahagataṃ cittaṃ. Cittasīsena mettajjhānaṃ vadati. Brahmalokūpapattiyāti tañca sā mettacittaṃ bhāventī brahmalokūpapattiyā abhāvesi, na vipassanāpādakādiatthaṃ. Anuppanne hi buddhe brahmavihārādike bhāventā tāpasaparibbājakā yāvadeva bhavasampattiatthameva bhāvesuṃ.

    ๓๘๕-๖. คามา คามนฺติ คามโต อญฺญํ คามํฯ อาภาเวตฺวาติ วเฑฺฒตฺวา พฺรูเหตฺวาฯ ‘‘อภาเวตฺวา’’ติ เกจิ ปฐนฺติ, เตสํ อ-กาโร นิปาตมตฺตํฯ อิตฺถิจิตฺตํ วิราเชตฺวาติ อิตฺถิภาเว จิตฺตํ อชฺฌาสยํ อภิรุจิํ วิราเชตฺวา อิตฺถิภาเว วิรตฺตจิตฺตา หุตฺวาฯ พฺรหฺมโลกูปคาติ ปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน พฺรหฺมโลกํ อุปคมนกา อโหสิฯ เสสํ เหฎฺฐา วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานเมวฯ

    385-6.Gāmāgāmanti gāmato aññaṃ gāmaṃ. Ābhāvetvāti vaḍḍhetvā brūhetvā. ‘‘Abhāvetvā’’ti keci paṭhanti, tesaṃ a-kāro nipātamattaṃ. Itthicittaṃ virājetvāti itthibhāve cittaṃ ajjhāsayaṃ abhiruciṃ virājetvā itthibhāve virattacittā hutvā. Brahmalokūpagāti paṭisandhiggahaṇavasena brahmalokaṃ upagamanakā ahosi. Sesaṃ heṭṭhā vuttanayattā uttānameva.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ตสฺสา อุปาสิกาย โสกํ วิโนเทตฺวา อุปริ จตุสจฺจเทสนํ อกาสิฯ สจฺจปริโยสาเน สา อุปาสิกา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ สมฺปตฺตปริสาย จ เทสนา สาตฺถิกา อโหสีติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā tassā upāsikāya sokaṃ vinodetvā upari catusaccadesanaṃ akāsi. Saccapariyosāne sā upāsikā sotāpattiphale patiṭṭhahi. Sampattaparisāya ca desanā sātthikā ahosīti.

    อุพฺพริเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ubbaripetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.

    อิติ ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย เปตวตฺถุสฺมิํ

    Iti khuddaka-aṭṭhakathāya petavatthusmiṃ

    เตรสวตฺถุปฎิมณฺฑิตสฺส

    Terasavatthupaṭimaṇḍitassa

    ทุติยสฺส อุพฺพริวคฺคสฺส อตฺถสํวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyassa ubbarivaggassa atthasaṃvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๑๓. อุพฺพริเปตวตฺถุ • 13. Ubbaripetavatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact