Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
ทิพฺพจกฺขุญาณกถา
Dibbacakkhuñāṇakathā
๑๓. จุติยาติ จวเนฯ อุปปาเตติ อุปปชฺชเนฯ สมีปเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํ, จุติกฺขณสามนฺตา อุปปตฺติกฺขณสามนฺตา จาติ วุตฺตํ โหติฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘เย ปน อาสนฺนจุติกา’’ติอาทิฯ เยน ญาเณนาติ เยน ทิพฺพจกฺขุญาเณนฯ ทิพฺพจกฺขุญาเณเนว หิ สตฺตานํ จุติ จ อุปปตฺติ จ ญายติฯ ปริกมฺมํ วตฺตพฺพํ สิยาติ ‘‘ทิพฺพจกฺขุญาณํ อุปฺปาเทตุกาเมน อาทิกมฺมิเกน กุลปุเตฺตน กสิณารมฺมณํ อภิญฺญาปาทกชฺฌานํ สพฺพากาเรน อภินีหารกฺขมํ กตฺวา เตโชกสิณํ โอทาตกสิณํ อาโลกกสิณนฺติ อิเมสุ ตีสุ กสิเณสุ อญฺญตรํ อาสนฺนํ กาตพฺพํ, อุปจารชฺฌานโคจรํ กตฺวา วเฑฺฒตฺวา ฐเปตพฺพ’’นฺติอาทินา ทิพฺพจกฺขุญาณสฺส ปริกมฺมํ วตฺตพฺพํ ภเวยฺยฯ
13.Cutiyāti cavane. Upapāteti upapajjane. Samīpatthe cetaṃ bhummavacanaṃ, cutikkhaṇasāmantā upapattikkhaṇasāmantā cāti vuttaṃ hoti. Tathā hi vakkhati ‘‘ye pana āsannacutikā’’tiādi. Yena ñāṇenāti yena dibbacakkhuñāṇena. Dibbacakkhuñāṇeneva hi sattānaṃ cuti ca upapatti ca ñāyati. Parikammaṃ vattabbaṃ siyāti ‘‘dibbacakkhuñāṇaṃ uppādetukāmena ādikammikena kulaputtena kasiṇārammaṇaṃ abhiññāpādakajjhānaṃ sabbākārena abhinīhārakkhamaṃ katvā tejokasiṇaṃ odātakasiṇaṃ ālokakasiṇanti imesu tīsu kasiṇesu aññataraṃ āsannaṃ kātabbaṃ, upacārajjhānagocaraṃ katvā vaḍḍhetvā ṭhapetabba’’ntiādinā dibbacakkhuñāṇassa parikammaṃ vattabbaṃ bhaveyya.
โส อหนฺติ โส กตจิตฺตาภินีหาโร อหํฯ ทิพฺพสทิสตฺตาติ ทิวิ ภวนฺติ ทิพฺพํ, เทวานํ ปสาทจกฺขุ, เตน ทิเพฺพน จกฺขุนา สทิสตฺตาติ อโตฺถฯ ทิพฺพสทิสตฺตาติ จ หีนูปมาทสฺสนํ เทวตานํ ทิพฺพจกฺขุโตปิ อิมสฺส มหานุภาวตฺตาฯ อิทานิ ตํ ทิพฺพสทิสตฺตํ วิภาเวตุํ ‘‘เทวตานญฺหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สุจริตกมฺมนิพฺพตฺตนฺติ สทฺธาพหุลตาวิสุทฺธทิฎฺฐิตาอานิสํสทสฺสาวิตาทิสมฺปตฺติยา สุฎฺฐุ จริตตฺตา สุจริเตน เทวูปปตฺติชนเกน ปุญฺญกเมฺมน นิพฺพตฺตํฯ ปิตฺตเสมฺหรุหิราทีหีติ อาทิ-สเทฺทน วาตโรคาทีนํ สงฺคโหฯ อปลิพุทฺธนฺติ อนุปทฺทุตํฯ ปิตฺตาทีหิ อนุปทฺทุตตฺตา กมฺมสฺส จ อุฬารตาย อุปกฺกิเลสวิมุตฺติ เวทิตพฺพาฯ อุปกฺกิเลสโทสรหิตญฺหิ กมฺมํ ติณาทิโทสรหิตํ วิย สสฺสํ อุฬารผลํ อนุปกฺกิลิฎฺฐํ โหติฯ การณูปจาเรน จสฺส ผลํ ตถา โวหรียติ ยถา ‘‘สุกฺกํ สุกฺกวิปาก’’นฺติฯ ทูเรปีติ ปิ-สเทฺทน สุขุมสฺสปิ อารมฺมณสฺส สมฺปฎิจฺฉนสมตฺถตํ สงฺคณฺหาติฯ ปสาทจกฺขูติ จตุนฺนํ มหาภูตานํ ปสาทลกฺขณํ จกฺขุฯ วีริยภาวนาพลนิพฺพตฺตนฺติ วีริยารมฺภวเสเนว อิชฺฌนโต สพฺพาปิ กุสลภาวนา วีริยภาวนา, ปธานสงฺขารสมนฺนาคตา วา อิทฺธิปาทภาวนา วิเสสโต วีริยภาวนา, ตสฺสา อานุภาเวน นิพฺพตฺตํ วีริยภาวนาพลนิพฺพตฺตํฯ ญาณมยํ จกฺขุ ญาณจกฺขุฯ ตาทิสเมวาติ อุปกฺกิเลสวิมุตฺตตาย ทูเรปิ สุขุมสฺสปิ อารมฺมณสฺส สมฺปฎิจฺฉนสมตฺถตาย จ ตํสทิสเมวฯ
So ahanti so katacittābhinīhāro ahaṃ. Dibbasadisattāti divi bhavanti dibbaṃ, devānaṃ pasādacakkhu, tena dibbena cakkhunā sadisattāti attho. Dibbasadisattāti ca hīnūpamādassanaṃ devatānaṃ dibbacakkhutopi imassa mahānubhāvattā. Idāni taṃ dibbasadisattaṃ vibhāvetuṃ ‘‘devatānañhī’’tiādi vuttaṃ. Tattha sucaritakammanibbattanti saddhābahulatāvisuddhadiṭṭhitāānisaṃsadassāvitādisampattiyā suṭṭhu caritattā sucaritena devūpapattijanakena puññakammena nibbattaṃ. Pittasemharuhirādīhīti ādi-saddena vātarogādīnaṃ saṅgaho. Apalibuddhanti anupaddutaṃ. Pittādīhi anupaddutattā kammassa ca uḷāratāya upakkilesavimutti veditabbā. Upakkilesadosarahitañhi kammaṃ tiṇādidosarahitaṃ viya sassaṃ uḷāraphalaṃ anupakkiliṭṭhaṃ hoti. Kāraṇūpacārena cassa phalaṃ tathā voharīyati yathā ‘‘sukkaṃ sukkavipāka’’nti. Dūrepīti pi-saddena sukhumassapi ārammaṇassa sampaṭicchanasamatthataṃ saṅgaṇhāti. Pasādacakkhūti catunnaṃ mahābhūtānaṃ pasādalakkhaṇaṃ cakkhu. Vīriyabhāvanābalanibbattanti vīriyārambhavaseneva ijjhanato sabbāpi kusalabhāvanā vīriyabhāvanā, padhānasaṅkhārasamannāgatā vā iddhipādabhāvanā visesato vīriyabhāvanā, tassā ānubhāvena nibbattaṃ vīriyabhāvanābalanibbattaṃ. Ñāṇamayaṃ cakkhu ñāṇacakkhu. Tādisamevāti upakkilesavimuttatāya dūrepi sukhumassapi ārammaṇassa sampaṭicchanasamatthatāya ca taṃsadisameva.
ทิพฺพวิหารวเสน ปฎิลทฺธตฺตาติ ทิพฺพวิหารสงฺขาตานํ จตุนฺนํ ฌานานํ วเสน ปฎิลทฺธตฺตาฯ อิมินา การณวเสนสฺส ทิพฺพภาวมาหฯ ทิพฺพวิหารสนฺนิสฺสิตตฺตาติ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคเมน อุกฺกํสคตํ ปาทกชฺฌานสงฺขาตํ ทิพฺพวิหารํ สนฺนิสฺสาย ปวตฺตตฺตา, ทิพฺพวิหารปริยาปนฺนํ วา อตฺตนา สมฺปยุตฺตํ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานํ นิสฺสาย ปจฺจยภูตํ สนฺนิสฺสิตตฺตาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อาโลกปริคฺคเหน มหาชุติกตฺตาปิ ทิพฺพนฺติ กสิณาโลกานุคฺคเหน ปตฺตพฺพตฺตา สยํ ญาณาโลกผรณภาเวน จ มหาชุติกภาวโตปิ ทิพฺพนฺติ อโตฺถฯ มหาชุติกมฺปิ หิ ทิพฺพนฺติ วุจฺจติ ‘‘ทิพฺพมิทํ พฺยมฺห’’นฺติอาทีสุฯ มหาคติกตฺตาติ มหนียคมนตฺตา, วิมฺหยนียปฺปวตฺติกตฺตาติ อโตฺถฯ วิมฺหยนียา หิสฺส ปวตฺติ ติโรกุฎฺฎาทิคตรูปทสฺสนโตฯ ตํ สพฺพนฺติ ‘‘เหฎฺฐา วุตฺตํ อตฺถปญฺจกมเปกฺขิตฺวา วุตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ เกจิ ปน ‘‘ชุติคติอเตฺถสุปิ สทฺทวิทู ทิวุสทฺทํ อิจฺฉนฺตีติ มหาชุติกตฺตา มหาคติกตฺตาติ อิทเมว ทฺวยํ สนฺธาย วุตฺตํ, ตสฺมา ‘สทฺทสตฺถานุสาเรน เวทิตพฺพ’นฺติ อิทํ ทิพฺพติ โชตยตีติ ทิพฺพํ, ทิพฺพติ คจฺฉติ อสชฺชมานํ ปวตฺตตีติ ทิพฺพนฺติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ วุตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ อาจริยธมฺมปาลเตฺถโร ปน –
Dibbavihāravasena paṭiladdhattāti dibbavihārasaṅkhātānaṃ catunnaṃ jhānānaṃ vasena paṭiladdhattā. Iminā kāraṇavasenassa dibbabhāvamāha. Dibbavihārasannissitattāti aṭṭhaṅgasamannāgamena ukkaṃsagataṃ pādakajjhānasaṅkhātaṃ dibbavihāraṃ sannissāya pavattattā, dibbavihārapariyāpannaṃ vā attanā sampayuttaṃ rūpāvacaracatutthajjhānaṃ nissāya paccayabhūtaṃ sannissitattāti evamettha attho daṭṭhabbo. Ālokapariggahena mahājutikattāpi dibbanti kasiṇālokānuggahena pattabbattā sayaṃ ñāṇālokapharaṇabhāvena ca mahājutikabhāvatopi dibbanti attho. Mahājutikampi hi dibbanti vuccati ‘‘dibbamidaṃ byamha’’ntiādīsu. Mahāgatikattāti mahanīyagamanattā, vimhayanīyappavattikattāti attho. Vimhayanīyā hissa pavatti tirokuṭṭādigatarūpadassanato. Taṃ sabbanti ‘‘heṭṭhā vuttaṃ atthapañcakamapekkhitvā vutta’’nti vadanti. Keci pana ‘‘jutigatiatthesupi saddavidū divusaddaṃ icchantīti mahājutikattā mahāgatikattāti idameva dvayaṃ sandhāya vuttaṃ, tasmā ‘saddasatthānusārena veditabba’nti idaṃ dibbati jotayatīti dibbaṃ, dibbati gacchati asajjamānaṃ pavattatīti dibbanti imamatthaṃ dassetuṃ vutta’’nti vadanti. Ācariyadhammapālatthero pana –
‘‘ทิพฺพจกฺขุลาภาย โยคิโน ปริกมฺมกรณํ ตปฺปฎิปกฺขาภิภวสฺส อตฺถโต ตสฺส วิชยิจฺฉา นาม โหติ, ทิพฺพจกฺขุลาภี จ อิทฺธิมา เทวตานํ วจนคหณกฺขมนธมฺมทานวเสน มหาโมคฺคลฺลานเตฺถราทโย วิย ทานคฺคหณลกฺขเณ โวหาเร จ ปวเตฺตยฺยาติ เอวํ วิหารวิชยิจฺฉาโวหารชุติคติสงฺขาตานํ อตฺถานํ วเสน อิมสฺส อภิญฺญาญาณสฺส ทิพฺพจกฺขุภาวสิทฺธิโต สทฺทวิทู จ เตสุ เอว อเตฺถสุ ทิวุสทฺทํ อิจฺฉนฺตีติ ‘ตํ สพฺพํ สทฺทสตฺถานุสาเรน เวทิตพฺพ’นฺติ วุตฺต’’นฺติ –
‘‘Dibbacakkhulābhāya yogino parikammakaraṇaṃ tappaṭipakkhābhibhavassa atthato tassa vijayicchā nāma hoti, dibbacakkhulābhī ca iddhimā devatānaṃ vacanagahaṇakkhamanadhammadānavasena mahāmoggallānattherādayo viya dānaggahaṇalakkhaṇe vohāre ca pavatteyyāti evaṃ vihāravijayicchāvohārajutigatisaṅkhātānaṃ atthānaṃ vasena imassa abhiññāñāṇassa dibbacakkhubhāvasiddhito saddavidū ca tesu eva atthesu divusaddaṃ icchantīti ‘taṃ sabbaṃ saddasatthānusārena veditabba’nti vutta’’nti –
อาหฯ
Āha.
ทสฺสนเฎฺฐนาติ รูปทสฺสนภาเวนฯ จกฺขุนา หิ สตฺตา รูปํ ปสฺสนฺติฯ ยถา มํสจกฺขุ วิญฺญาณาธิฎฺฐิตํ สมวิสมํ อาจิกฺขนฺตํ วิย ปวตฺตติ, น ตถา อิทํฯ อิทํ ปน สยเมว ตโต สาติสยํ จกฺขุกิจฺจการีติ อาห ‘‘จกฺขุกิจฺจกรเณน จกฺขุมิวาติปิ จกฺขู’’ติฯ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุตฺตาติ สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิวริตุํ ‘‘โย หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหาตีติ ปรโต อุปฺปตฺติยา อทสฺสนโต ‘‘เอเตฺถ วายํ สโตฺต อุจฺฉิโนฺน, เอวมิตเรปี’’ติ อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ นวสตฺตปาตุภาวทิฎฺฐิํ คณฺหาตีติ ฌานลาภี อธิจฺจสมุปฺปนฺนิโก วิย คณฺหาติฯ ยถา หิ โส อสญฺญสตฺตา จวิตฺวา อิธูปปโนฺน ปพฺพชิโต สมาโน อภิญฺญาลาภี หุตฺวา ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรโนฺต อิธูปปตฺติเมว ทิสฺวา ตโต ปรํ อสญฺญภเว อุปฺปตฺติํ อนุสฺสริตุมสโกฺกโนฺต ‘‘อหํ อธิจฺจสมุปฺปโนฺน ปุเพฺพ นาโหสิํ, โสมฺหิ เอตรหิ อหุตฺวา สตฺตตาย ปริณโต, เสสาปิ สตฺตา ตาทิสาเยวา’’ติ อภินวสตฺตปาตุภาวทิฎฺฐิํ คณฺหาติ, เอวมยมฺปิ อุปปาตมตฺตเมว ทิสฺวา จุติํ อปสฺสโนฺต นวสตฺตปาตุภาวทิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ
Dassanaṭṭhenāti rūpadassanabhāvena. Cakkhunā hi sattā rūpaṃ passanti. Yathā maṃsacakkhu viññāṇādhiṭṭhitaṃ samavisamaṃ ācikkhantaṃ viya pavattati, na tathā idaṃ. Idaṃ pana sayameva tato sātisayaṃ cakkhukiccakārīti āha ‘‘cakkhukiccakaraṇena cakkhumivātipi cakkhū’’ti. Diṭṭhivisuddhihetuttāti saṅkhepato vuttamatthaṃ vivarituṃ ‘‘yo hī’’tiādi vuttaṃ. Ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhātīti parato uppattiyā adassanato ‘‘etthe vāyaṃ satto ucchinno, evamitarepī’’ti ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Navasattapātubhāvadiṭṭhiṃ gaṇhātīti jhānalābhī adhiccasamuppanniko viya gaṇhāti. Yathā hi so asaññasattā cavitvā idhūpapanno pabbajito samāno abhiññālābhī hutvā pubbenivāsaṃ anussaranto idhūpapattimeva disvā tato paraṃ asaññabhave uppattiṃ anussaritumasakkonto ‘‘ahaṃ adhiccasamuppanno pubbe nāhosiṃ, somhi etarahi ahutvā sattatāya pariṇato, sesāpi sattā tādisāyevā’’ti abhinavasattapātubhāvadiṭṭhiṃ gaṇhāti, evamayampi upapātamattameva disvā cutiṃ apassanto navasattapātubhāvadiṭṭhiṃ gaṇhāti.
อิทานิ อญฺญถาปิ วิสุทฺธิการณํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอกาทสอุปกฺกิเลสวิรหโต วา’’ติอาทิฯ ยถาหาติ อุปกฺกิเลสสุเตฺต อาคตปาฬิํ นิทเสฺสติฯ ตตฺถ หิ อนุรุโทฺธ นนฺทิโย กิมิโลติ อิเม ตโย กุลปุเตฺต อามเนฺตตฺวา ธมฺมํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘อนุรุทฺธา ตุเมฺห กิํ อิเมหิ น อาลุฬิสฺสนฺติ, อหมฺปิ อิเมหิ อุปาทาย เอกาทสหิ อุปกฺกิเลเสหิ อาลุฬิตปุโพฺพ’’ติ ทเสฺสตุํ –
Idāni aññathāpi visuddhikāraṇaṃ dassento āha ‘‘ekādasaupakkilesavirahato vā’’tiādi. Yathāhāti upakkilesasutte āgatapāḷiṃ nidasseti. Tattha hi anuruddho nandiyo kimiloti ime tayo kulaputte āmantetvā dhammaṃ dassentena ‘‘anuruddhā tumhe kiṃ imehi na āluḷissanti, ahampi imehi upādāya ekādasahi upakkilesehi āluḷitapubbo’’ti dassetuṃ –
‘‘อหมฺปิ สุทํ อนุรุทฺธา ปุเพฺพว สโมฺพธา อนภิสมฺพุโทฺธ โพธิสโตฺตว สมาโน โอภาสเญฺจว สญฺชานามิ ทสฺสนญฺจ รูปานํ, โส โข ปน เม โอภาโส น จิรเสฺสว อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ ตสฺส มยฺหํ อนุรุทฺธา เอตทโหสิ ‘โก นุ โข เหตุ, โก ปจฺจโย, เยน เม โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปาน’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ อนุรุทฺธา เอตทโหสิ ‘วิจิกิจฺฉา โข เม อุทปาทิ, วิจิกิจฺฉาธิกรณญฺจ เม สมาธิ จวิ, สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํ, โสหํ ตถา กริสฺสามิ, ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสตี’ติฯ
‘‘Ahampi sudaṃ anuruddhā pubbeva sambodhā anabhisambuddho bodhisattova samāno obhāsañceva sañjānāmi dassanañca rūpānaṃ, so kho pana me obhāso na cirasseva antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Tassa mayhaṃ anuruddhā etadahosi ‘ko nu kho hetu, ko paccayo, yena me obhāso antaradhāyati dassanañca rūpāna’nti. Tassa mayhaṃ anuruddhā etadahosi ‘vicikicchā kho me udapādi, vicikicchādhikaraṇañca me samādhi cavi, samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ, sohaṃ tathā karissāmi, yathā me puna na vicikicchā uppajjissatī’ti.
‘‘โส โข อหํ อนุรุทฺธา อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหรโนฺต โอภาสเญฺจว สญฺชานามิ ทสฺสนญฺจ รูปานํ, โส โข ปน เม โอภาโส น จิรเสฺสว อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํฯ ตสฺส มยฺหํ อนุรุทฺธา เอตทโหสิ ‘โก นุ โข เหตุ, โก ปจฺจโย, เยน เม โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปาน’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ อนุรุทฺธา เอตทโหสิ ‘อมนสิกาโร โข เม อุทปาทิ, อมนสิการาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิ จวิ, สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปานํ, โสหํ ตถา กริสฺสามิ, ยถา เม ปุน น วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชิสฺสติ น อมนสิกาโร’’’ติ –
‘‘So kho ahaṃ anuruddhā appamatto ātāpī pahitatto viharanto obhāsañceva sañjānāmi dassanañca rūpānaṃ, so kho pana me obhāso na cirasseva antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ. Tassa mayhaṃ anuruddhā etadahosi ‘ko nu kho hetu, ko paccayo, yena me obhāso antaradhāyati dassanañca rūpāna’nti. Tassa mayhaṃ anuruddhā etadahosi ‘amanasikāro kho me udapādi, amanasikārādhikaraṇañca pana me samādhi cavi, samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpānaṃ, sohaṃ tathā karissāmi, yathā me puna na vicikicchā uppajjissati na amanasikāro’’’ti –
อาทินา (ม. นิ. ๓.๒๔๑) เทสนํ อารภิตฺวา อิทํ วุตฺตํ ‘‘โส โข อหํ อนุรุทฺธา วิจิกิจฺฉา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโสติ อิติ วิทิตฺวา’’ติอาทิฯ
Ādinā (ma. ni. 3.241) desanaṃ ārabhitvā idaṃ vuttaṃ ‘‘so kho ahaṃ anuruddhā vicikicchā cittassa upakkilesoti iti viditvā’’tiādi.
ตตฺถ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๒๔๑) วิจิกิจฺฉาติ มหาสตฺตสฺส อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทิพฺพจกฺขุนา นานาวิธานิ รูปานิ ปสฺสนฺตสฺส ‘‘อิทํ นุ โข กิ’’นฺติ อุปฺปนฺนา วิจิกิจฺฉาฯ มนสิการวเสน ปน เม รูปานิ อุปฎฺฐหิํสุ, รูปานิ ปสฺสโต วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา อิทานิ กิญฺจิ น มนสิ กริสฺสามีติ ตุณฺหี ภวติ, ตํ ตุณฺหีภาวปฺปตฺติํ สนฺธายาห ‘‘อมนสิกาโร’’ติฯ ถินมิทฺธนฺติ กิญฺจิ อมนสิกโรนฺตสฺส อุปฺปนฺนํ ถินมิทฺธํฯ ตถาภูตสฺส หิ สวิปฺผาริกมนสิการสฺส อภาวโต ถินมิทฺธํ อุปฺปชฺชติฯ ฉมฺภิตตฺตนฺติ ถินมิทฺธํ วิโนเทตฺวา ยถารทฺธมนสิการวเสน หิมวนฺตาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทานวรกฺขสอชคราทโย ปสฺสนฺตสฺส อุปฺปนฺนํ ฉมฺภิตตฺตํฯ อุปฺปิลนฺติ ‘‘มยา ทิฎฺฐภยํ ปกติยา จกฺขุวิญฺญาเณน โอโลกิยมานํ น ปสฺสติ, อทิเฎฺฐ ปริกปฺปิตสทิเส กิํนาม ภย’’นฺติ ภยสฺส วิโนทนวเสน จิเนฺตนฺตสฺส อตฺตโน ปจฺจเวกฺขณาโกสลฺลํ นิสฺสาย อุปฺปนฺนํ อุปฺปิลาวิตตฺตํฯ ทุฎฺฐุลฺลนฺติ กายาลสิยํฯ ‘‘มยา ถินมิทฺธํ ฉมฺภิตตฺตานํ วูปสมนตฺถํ คาฬฺหํ วีริยํ ปคฺคหิตํ, เตน เม อุปฺปิลสงฺขาตา จิตฺตสมาธิทูสิตา เคหสฺสิตา พลวปีติ อุปฺปนฺนา’’ติ วีริยํ สิถิลํ กโรนฺตสฺส หิ กายทุฎฺฐุลฺลํ กายทรโถ กายาลสิยํ อุทปาทิฯ
Tattha (ma. ni. aṭṭha. 3.241) vicikicchāti mahāsattassa ālokaṃ vaḍḍhetvā dibbacakkhunā nānāvidhāni rūpāni passantassa ‘‘idaṃ nu kho ki’’nti uppannā vicikicchā. Manasikāravasena pana me rūpāni upaṭṭhahiṃsu, rūpāni passato vicikicchā uppajjati, tasmā idāni kiñci na manasi karissāmīti tuṇhī bhavati, taṃ tuṇhībhāvappattiṃ sandhāyāha ‘‘amanasikāro’’ti. Thinamiddhanti kiñci amanasikarontassa uppannaṃ thinamiddhaṃ. Tathābhūtassa hi savipphārikamanasikārassa abhāvato thinamiddhaṃ uppajjati. Chambhitattanti thinamiddhaṃ vinodetvā yathāraddhamanasikāravasena himavantābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā dānavarakkhasaajagarādayo passantassa uppannaṃ chambhitattaṃ. Uppilanti ‘‘mayā diṭṭhabhayaṃ pakatiyā cakkhuviññāṇena olokiyamānaṃ na passati, adiṭṭhe parikappitasadise kiṃnāma bhaya’’nti bhayassa vinodanavasena cintentassa attano paccavekkhaṇākosallaṃ nissāya uppannaṃ uppilāvitattaṃ. Duṭṭhullanti kāyālasiyaṃ. ‘‘Mayā thinamiddhaṃ chambhitattānaṃ vūpasamanatthaṃ gāḷhaṃ vīriyaṃ paggahitaṃ, tena me uppilasaṅkhātā cittasamādhidūsitā gehassitā balavapīti uppannā’’ti vīriyaṃ sithilaṃ karontassa hi kāyaduṭṭhullaṃ kāyadaratho kāyālasiyaṃ udapādi.
อจฺจารทฺธวีริยนฺติ ‘‘มม วีริยํ สิถิลํ กโรโต ทุฎฺฐุลฺลํ อุปฺปนฺน’’นฺติ ปุน วีริยํ ปคฺคณฺหโต อุปฺปนฺนํ อจฺจารทฺธวีริยํฯ อติลีนวีริยนฺติ ‘‘มม วีริยํ ปคฺคณฺหโต เอวํ ชาต’’นฺติ ปุน วีริยํ สิถิลยโต อุปฺปนฺนํ อติลีนวีริยํฯ อภิชปฺปาติ เทวโลกาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา เทวสงฺฆํ ปสฺสโต อุปฺปนฺนา ตณฺหาฯ ‘‘เอวํ เม โหตู’’ติ หิ อภินิวิสนวเสน ชปฺปตีติ อภิชปฺปา, ตณฺหาฯ นานตฺตสญฺญาติ ‘‘มยฺหํ เอกชาติกํ รูปํ มนสิกโรนฺตสฺส อภิชปฺปา อุปฺปนฺนา, นานาวิธํ รูปํ มนสิการํ กริสฺสามี’’ติ กาเลน เทวโลกาภิมุขํ กาเลน มนุสฺสโลกาภิมุขํ วเฑฺฒตฺวา นานาวิธานิ รูปานิ มนสิกโรโต อุปฺปนฺนา นานตฺตสญฺญา, นานเตฺต นานาสภาเว สญฺญาติ นานตฺตสญฺญาฯ อตินิชฺฌายิตตฺตนฺติ ‘‘มยฺหํ นานาวิธานิ รูปานิ มนสิกโรนฺตสฺส นานตฺตสญฺญา อุทปาทิ, อิฎฺฐํ วา อนิฎฺฐํ วา เอกชาติกเมว รูปํ มนสิ กริสฺสามี’’ติ ตถา มนสิกโรโต อุปฺปนฺนํ รูปานํ อตินิชฺฌายิตตฺตํ, อติวิย อุตฺตริ กตฺวา นิชฺฌานํ เปกฺขนํ อตินิชฺฌายิตตฺตํฯ โอภาสนฺติ ปริกมฺมสมุฎฺฐิตํ โอภาสํฯ น จ รูปานิ ปสฺสามีติ ปริกโมฺมภาสมนสิการปฺปสุตตาย ทิพฺพจกฺขุนา รูปานิ น ปสฺสามิฯ รูปานิ หิ โข ปสฺสามีติ เตน ปริกโมฺมภาเสน ผริตฺวา ฐิตฎฺฐาเน ทิพฺพจกฺขุโน วิสยภูตานิ รูปคตานิ ปสฺสามิฯ
Accāraddhavīriyanti ‘‘mama vīriyaṃ sithilaṃ karoto duṭṭhullaṃ uppanna’’nti puna vīriyaṃ paggaṇhato uppannaṃ accāraddhavīriyaṃ. Atilīnavīriyanti ‘‘mama vīriyaṃ paggaṇhato evaṃ jāta’’nti puna vīriyaṃ sithilayato uppannaṃ atilīnavīriyaṃ. Abhijappāti devalokābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā devasaṅghaṃ passato uppannā taṇhā. ‘‘Evaṃ me hotū’’ti hi abhinivisanavasena jappatīti abhijappā, taṇhā. Nānattasaññāti ‘‘mayhaṃ ekajātikaṃ rūpaṃ manasikarontassa abhijappā uppannā, nānāvidhaṃ rūpaṃ manasikāraṃ karissāmī’’ti kālena devalokābhimukhaṃ kālena manussalokābhimukhaṃ vaḍḍhetvā nānāvidhāni rūpāni manasikaroto uppannā nānattasaññā, nānatte nānāsabhāve saññāti nānattasaññā. Atinijjhāyitattanti ‘‘mayhaṃ nānāvidhāni rūpāni manasikarontassa nānattasaññā udapādi, iṭṭhaṃ vā aniṭṭhaṃ vā ekajātikameva rūpaṃ manasi karissāmī’’ti tathā manasikaroto uppannaṃ rūpānaṃ atinijjhāyitattaṃ, ativiya uttari katvā nijjhānaṃ pekkhanaṃ atinijjhāyitattaṃ. Obhāsanti parikammasamuṭṭhitaṃ obhāsaṃ. Na ca rūpāni passāmīti parikammobhāsamanasikārappasutatāya dibbacakkhunā rūpāni na passāmi. Rūpāni hi kho passāmīti tena parikammobhāsena pharitvā ṭhitaṭṭhāne dibbacakkhuno visayabhūtāni rūpagatāni passāmi.
เอวมาทีติ อาทิ-สเทฺทน –
Evamādīti ādi-saddena –
‘‘เกวลมฺปิ รตฺติํ เกวลมฺปิ ทิวํ เกวลมฺปิ รตฺตินฺทิวํ ตสฺส มยฺหํ อนุรุทฺธา เอตทโหสิ ‘โก นุ โข เหตุ, โก ปจฺจโย, ยฺวาหํ โอภาสญฺหิ โข สญฺชานามิ, น จ รูปานิ ปสฺสามิ, รูปานิ โข ปสฺสามิ, น จ โอภาสํ สญฺชานามิ เกวลมฺปิ รตฺติํ เกวลมฺปิ ทิวํ เกวลมฺปิ รตฺตินฺทิว’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ อนุรุทฺธา เอตทโหสิ ‘ยสฺมิญฺหิ โข อหํ สมเย รูปนิมิตฺตํ อมนสิกริตฺวา โอภาสนิมิตฺตํ มนสิ กโรมิฯ โอภาสญฺหิ โข ตสฺมิํ สมเย สญฺชานามิ, น จ รูปานิ ปสฺสามิฯ ยสฺมิํ ปนาหํ สมเย โอภาสนิมิตฺตํ อมนสิกริตฺวา รูปนิมิตฺตํ มนสิ กโรมิฯ รูปานิ หิ โข ตสฺมิํ สมเย ปสฺสามิ, น จ โอภาสํ สญฺชานามิ เกวลมฺปิ รตฺติํ เกวลมฺปิ ทิวํ เกวลมฺปิ รตฺตินฺทิว’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๒๔๓) –
‘‘Kevalampi rattiṃ kevalampi divaṃ kevalampi rattindivaṃ tassa mayhaṃ anuruddhā etadahosi ‘ko nu kho hetu, ko paccayo, yvāhaṃ obhāsañhi kho sañjānāmi, na ca rūpāni passāmi, rūpāni kho passāmi, na ca obhāsaṃ sañjānāmi kevalampi rattiṃ kevalampi divaṃ kevalampi rattindiva’nti. Tassa mayhaṃ anuruddhā etadahosi ‘yasmiñhi kho ahaṃ samaye rūpanimittaṃ amanasikaritvā obhāsanimittaṃ manasi karomi. Obhāsañhi kho tasmiṃ samaye sañjānāmi, na ca rūpāni passāmi. Yasmiṃ panāhaṃ samaye obhāsanimittaṃ amanasikaritvā rūpanimittaṃ manasi karomi. Rūpāni hi kho tasmiṃ samaye passāmi, na ca obhāsaṃ sañjānāmi kevalampi rattiṃ kevalampi divaṃ kevalampi rattindiva’’nti (ma. ni. 3.243) –
เอวมาทิปาฬิํ สงฺคณฺหาติฯ
Evamādipāḷiṃ saṅgaṇhāti.
มนุสฺสานํ อิทนฺติ มานุสกํ, มนุสฺสานํ โคจรภูตํ รูปารมฺมณํฯ ตทญฺญสฺส ปน ทิพฺพติโรกุฎฺฎสุขุมาทิเภทสฺส รูปสฺส ทสฺสนโต อติกฺกนฺตมานุสกํฯ เอวรูปํ ตญฺจ มนุสฺสูปจารํ อติกฺกนฺตํ นาม โหตีติ อาห ‘‘มนุสฺสูปจารํ อติกฺกมิตฺวา รูปทสฺสเนนา’’ติฯ ตตฺถ มนุสฺสูปจารนฺติ มนุเสฺสหิ อุปจริตพฺพฎฺฐานํ, ปกติยา จกฺขุทฺวาเรน คเหตพฺพํ วิสยนฺติ อธิปฺปาโยฯ เอวํ วิสยมุเขน ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิสยิมุเขน ทเสฺสตุํ ‘‘มานุสกํ วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถาปิ มํสจกฺขาติกฺกโม ตสฺส กิจฺจาติกฺกเมเนว ทฎฺฐโพฺพฯ ทิเพฺพน จกฺขุนาติ ทิพฺพจกฺขุญาเณนปิ ทฎฺฐุํ น สกฺกา ขณสฺส อติอิตฺตรตาย อติสุขุมตาย เกสญฺจิ รูปสฺส, อปิจ ทิพฺพจกฺขุสฺส ปจฺจุปฺปนฺนํ รูปารมฺมณํ, ตญฺจ ปุเรชาตปจฺจยภูตํ, น จ อาวชฺชนปริกเมฺมหิ วินา มหคฺคตสฺส ปวตฺติ อตฺถิ, นาปิ อุปฺปชฺชมานเมว รูปํ อารมฺมณปจฺจโย ภวิตุํ สโกฺกติ, ภิชฺชมานํ วา, ตสฺมา จุตูปปาตกฺขเณ รูปํ ทิพฺพจกฺขุนา ทฎฺฐุํ น สกฺกาติ สุวุตฺตเมตํฯ
Manussānaṃ idanti mānusakaṃ, manussānaṃ gocarabhūtaṃ rūpārammaṇaṃ. Tadaññassa pana dibbatirokuṭṭasukhumādibhedassa rūpassa dassanato atikkantamānusakaṃ. Evarūpaṃ tañca manussūpacāraṃ atikkantaṃ nāma hotīti āha ‘‘manussūpacāraṃ atikkamitvā rūpadassanenā’’ti. Tattha manussūpacāranti manussehi upacaritabbaṭṭhānaṃ, pakatiyā cakkhudvārena gahetabbaṃ visayanti adhippāyo. Evaṃ visayamukhena dassetvā idāni visayimukhena dassetuṃ ‘‘mānusakaṃ vā’’tiādi vuttaṃ. Tatthāpi maṃsacakkhātikkamo tassa kiccātikkameneva daṭṭhabbo. Dibbena cakkhunāti dibbacakkhuñāṇenapi daṭṭhuṃ na sakkā khaṇassa atiittaratāya atisukhumatāya kesañci rūpassa, apica dibbacakkhussa paccuppannaṃ rūpārammaṇaṃ, tañca purejātapaccayabhūtaṃ, na ca āvajjanaparikammehi vinā mahaggatassa pavatti atthi, nāpi uppajjamānameva rūpaṃ ārammaṇapaccayo bhavituṃ sakkoti, bhijjamānaṃ vā, tasmā cutūpapātakkhaṇe rūpaṃ dibbacakkhunā daṭṭhuṃ na sakkāti suvuttametaṃ.
ยทิ ทิพฺพจกฺขุญาณํ รูปารมฺมณเมว, อถ กสฺมา ‘‘สเตฺต ปสฺสามี’’ติ วุตฺตนฺติ? เยภุเยฺยน สตฺตสนฺตานคตรูปทสฺสนโต เอวํ วุตฺตํฯ สตฺตคหณสฺส วา การณภาวโต โวหารวเสน วุตฺตนฺติปิ วทนฺติฯ เต จวมานาติ อธิเปฺปตาติ สมฺพโนฺธฯ เอวรูเปติ น จุตูปปาตกฺขณสมงฺคิโนติ อธิปฺปาโยฯ โมหูปนิสฺสยํ นาม กมฺมํ นิหีนํ นิหีนผลํ โหตีติ อาห ‘‘โมหนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา’’ติฯ โมหูปนิสฺสยตา จ กุสลกมฺมสฺส ปุพฺพภาเค โมหปฺปวตฺติพหุลตาย เวทิตพฺพาฯ ตาย ปน โมหปฺปวตฺติยา สํกิลิฎฺฐํ กุสลกมฺมํ นิหีนเมว ชาติอาทิํ นิปฺผาเทตีติ นิหีนชาติอาทโย โมหสฺส นิสฺสนฺทผลานีติ อาห ‘‘หีนานํ ชาติกุลโภคาทีน’’นฺติอาทิฯ หีฬิเตติ ครหิเตฯ โอหีฬิเตติ วิเสสโต ครหิเตฯ อุญฺญาเตติ ลามกภาเวน ญาเตฯ อวญฺญาเตติ วิเสสโต ลามกภาเวน วิทิเตฯ อโมหนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตาติ เอตฺถ อโมโห สมฺปยุตฺตวเสน ปุพฺพภาควเสน จ ปวโตฺต กถิโต, เตน จ ติเหตุกปฎิสนฺธิเก ทเสฺสติฯ ตพฺพิปรีเตติ ตสฺส หีฬิตาทิภาวสฺส วิปรีเต, อหีฬิเต อโนหีฬิเต อนุญฺญาเต อนวญฺญาเต จิตฺตีกเตติ อโตฺถฯ
Yadi dibbacakkhuñāṇaṃ rūpārammaṇameva, atha kasmā ‘‘satte passāmī’’ti vuttanti? Yebhuyyena sattasantānagatarūpadassanato evaṃ vuttaṃ. Sattagahaṇassa vā kāraṇabhāvato vohāravasena vuttantipi vadanti. Te cavamānāti adhippetāti sambandho. Evarūpeti na cutūpapātakkhaṇasamaṅginoti adhippāyo. Mohūpanissayaṃ nāma kammaṃ nihīnaṃ nihīnaphalaṃ hotīti āha ‘‘mohanissandayuttattā’’ti. Mohūpanissayatā ca kusalakammassa pubbabhāge mohappavattibahulatāya veditabbā. Tāya pana mohappavattiyā saṃkiliṭṭhaṃ kusalakammaṃ nihīnameva jātiādiṃ nipphādetīti nihīnajātiādayo mohassa nissandaphalānīti āha ‘‘hīnānaṃ jātikulabhogādīna’’ntiādi. Hīḷiteti garahite. Ohīḷiteti visesato garahite. Uññāteti lāmakabhāvena ñāte. Avaññāteti visesato lāmakabhāvena vidite. Amohanissandayuttattāti ettha amoho sampayuttavasena pubbabhāgavasena ca pavatto kathito, tena ca tihetukapaṭisandhike dasseti. Tabbiparīteti tassa hīḷitādibhāvassa viparīte, ahīḷite anohīḷite anuññāte anavaññāte cittīkateti attho.
สุวเณฺณติ สุนฺทรวเณฺณฯ ทุพฺพเณฺณติ อสุนฺทรวเณฺณฯ สา ปนายํ สุวณฺณทุพฺพณฺณตา ยถากฺกมํ กมฺมสฺส อโทสโทสูปนิสฺสยตาย โหตีติ อาห ‘‘อโทสนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา’’ติอาทิฯ อโทสูปนิสฺสยตา จ กมฺมสฺส เมตฺตาทีหิ ปริภาวิตสนฺตานปฺปวตฺติยา เวทิตพฺพาฯ อภิรูเป วิรูเปติ อิทํ สณฺฐานวเสน วุตฺตํฯ สณฺฐานวจโนปิ หิ วณฺณสโทฺท โหติ ‘‘มหนฺตํ หตฺถิวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๓๘) วิยฯ ปฐมํ วุโตฺต ปน อโตฺถ วณฺณวเสเนว วุโตฺตฯ สุนฺทรํ คติํ คตา สุคตาติ อาห ‘‘สุคติคเต’’ติ, สุคติํ อุปปเนฺนติ อโตฺถฯ อโลภชฺฌาสยา สตฺตา วทญฺญู วิคตมเจฺฉรา อโลภูปนิสฺสเยน กมฺมุนา สุคตา สมิทฺธา โหนฺตีติ อาห ‘‘อโลภนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา วา อเฑฺฒ มหทฺธเน’’ติฯ ทุกฺขํ คติํ คตา ทุคฺคตาติ อาห ‘‘ทุคฺคติคเต’’ติฯ โลภชฺฌาสยา สตฺตา ลุทฺธา มจฺฉริโน โลภูปนิสฺสเยน กมฺมุนา ทุคฺคตา ทุรูปา โหนฺตีติ อาห ‘‘โลภนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา วา ทลิเทฺท อปฺปนฺนปาเน’’ติฯ อุปจิตนฺติ ผลาวหภาเวน กตํฯ ยถา กตญฺหิ กมฺมํ ผลทานสมตฺถํ โหติ, ตถา กตํ อุปจิตํฯ จวมาเนติอาทีหิ ทิพฺพจกฺขุกิจฺจํ วุตฺตนฺติ วิสยมุเขน วิสยิพฺยาปารมาหฯ ปุริเมหีติ ‘‘ทิเพฺพน จกฺขุนา’’ติอาทีนิ ปทานิ สนฺธาย วุตฺตํฯ อาทีหีติ เอตฺถ จ-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐ, ตสฺมา ‘‘ทิเพฺพน…เป.… ปสฺสามี’’ติ อิเมหิ ‘‘จวมาเน’’ติอาทีหิ จ ทิพฺพจกฺขุกิจฺจํ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ อิมินา ปน ปเทนาติ ‘‘ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานามี’’ติ อิมินา วาเกฺยนฯ ปชฺชติ ญายติ อโตฺถ อิมินาติ หิ ปทํ วากฺยํฯ
Suvaṇṇeti sundaravaṇṇe. Dubbaṇṇeti asundaravaṇṇe. Sā panāyaṃ suvaṇṇadubbaṇṇatā yathākkamaṃ kammassa adosadosūpanissayatāya hotīti āha ‘‘adosanissandayuttattā’’tiādi. Adosūpanissayatā ca kammassa mettādīhi paribhāvitasantānappavattiyā veditabbā. Abhirūpe virūpeti idaṃ saṇṭhānavasena vuttaṃ. Saṇṭhānavacanopi hi vaṇṇasaddo hoti ‘‘mahantaṃ hatthivaṇṇaṃ abhinimminitvā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.138) viya. Paṭhamaṃ vutto pana attho vaṇṇavaseneva vutto. Sundaraṃ gatiṃ gatā sugatāti āha ‘‘sugatigate’’ti, sugatiṃ upapanneti attho. Alobhajjhāsayā sattā vadaññū vigatamaccherā alobhūpanissayena kammunā sugatā samiddhā hontīti āha ‘‘alobhanissandayuttattā vā aḍḍhe mahaddhane’’ti. Dukkhaṃ gatiṃ gatā duggatāti āha ‘‘duggatigate’’ti. Lobhajjhāsayā sattā luddhā maccharino lobhūpanissayena kammunā duggatā durūpā hontīti āha ‘‘lobhanissandayuttattā vā dalidde appannapāne’’ti. Upacitanti phalāvahabhāvena kataṃ. Yathā katañhi kammaṃ phaladānasamatthaṃ hoti, tathā kataṃ upacitaṃ. Cavamānetiādīhi dibbacakkhukiccaṃ vuttanti visayamukhena visayibyāpāramāha. Purimehīti ‘‘dibbena cakkhunā’’tiādīni padāni sandhāya vuttaṃ. Ādīhīti ettha ca-saddo luttaniddiṭṭho, tasmā ‘‘dibbena…pe… passāmī’’ti imehi ‘‘cavamāne’’tiādīhi ca dibbacakkhukiccaṃ vuttanti attho. Imināpana padenāti ‘‘yathākammūpage satte pajānāmī’’ti iminā vākyena. Pajjati ñāyati attho imināti hi padaṃ vākyaṃ.
มหนฺตํ ทุกฺขมนุภวมาเนติ เอตฺถ ทิพฺพจกฺขุญาเณน รูปํ ทิสฺวา เตสํ ทุกฺขานุภวนํ กามาวจรจิเตฺตเนว ชานาตีติ เวทิตพฺพํฯ โสติ เนรยิกสเตฺต ปจฺจกฺขโต ทิสฺวา ฐิโต ทิพฺพจกฺขุญาณลาภีฯ เอวํ มนสิ กโรตีติ เตสํ เนรยิกานํ นิรยสํวตฺตนิกสฺส กมฺมสฺส ญาตุกามตาวเสน ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ปริกมฺมวเสน มนสิ กโรติฯ กิํ นุ โขติอาทิ มนสิการวิธิทสฺสนํฯ เอวํ ปน ปริกมฺมํ กตฺวา ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐิตสฺส ตํ กมฺมํ อารมฺมณํ กตฺวา อาวชฺชนํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมิํ นิรุเทฺธ จตฺตาริ ปญฺจ วา ชวนานิ ชวนฺติฯ เยสํ ปุริมานิ ตีณิ จตฺตาริ วา ปริกมฺมอุปจารานุโลมโคตฺรภุนามกานิ กามาวจรานิ, จตุตฺถํ ปญฺจมํ วา อปฺปนาจิตฺตํ รูปาวจรํ จตุตฺถชฺฌานิกํ, ตตฺถ ยํ เตน อปฺปนาจิเตฺตน สทฺธิํ อุปฺปนฺนํ ญาณํ, ตํ ยถากมฺมูปคญาณนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘วิสุํ ปริกมฺมํ นตฺถี’’ติ อิทํ ปน ทิพฺพจกฺขุญาเณน วินา ยถากมฺมูปคญาณสฺส วิสุํ ปริกมฺมํ นตฺถีติ อธิปฺปาเยน วุตฺตํฯ เอวเญฺจตํ อิจฺฉิตพฺพํ, อญฺญถา ยถากมฺมูปคญาณสฺส มหคฺคตภาโว เอว น สิยาฯ เทวานํ ทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ เนรยิกเทวคฺคหณเญฺจตฺถ นิทสฺสนมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ อากงฺขมาโน หิ ทิพฺพจกฺขุลาภี อญฺญคติเกสุปิ เอวํ ปฎิปชฺชติเยวฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘อปายคฺคหเณน ติรจฺฉานโยนิํ ทีเปตี’’ติอาทิ, ‘‘สุคติคฺคหเณน มนุสฺสคติปิ สงฺคยฺหตี’’ติ จฯ ตํ นิรยสํวตฺตนิยกมฺมํ อารมฺมณเมตสฺสาติ ตํกมฺมารมฺมณํฯ ผารุสกวนาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน จิตฺตลตาวนาทีนํ สงฺคโหฯ
Mahantaṃ dukkhamanubhavamāneti ettha dibbacakkhuñāṇena rūpaṃ disvā tesaṃ dukkhānubhavanaṃ kāmāvacaracitteneva jānātīti veditabbaṃ. Soti nerayikasatte paccakkhato disvā ṭhito dibbacakkhuñāṇalābhī. Evaṃ manasi karotīti tesaṃ nerayikānaṃ nirayasaṃvattanikassa kammassa ñātukāmatāvasena pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya parikammavasena manasi karoti. Kiṃ nu khotiādi manasikāravidhidassanaṃ. Evaṃ pana parikammaṃ katvā pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhitassa taṃ kammaṃ ārammaṇaṃ katvā āvajjanaṃ uppajjati, tasmiṃ niruddhe cattāri pañca vā javanāni javanti. Yesaṃ purimāni tīṇi cattāri vā parikammaupacārānulomagotrabhunāmakāni kāmāvacarāni, catutthaṃ pañcamaṃ vā appanācittaṃ rūpāvacaraṃ catutthajjhānikaṃ, tattha yaṃ tena appanācittena saddhiṃ uppannaṃ ñāṇaṃ, taṃ yathākammūpagañāṇanti veditabbaṃ. ‘‘Visuṃ parikammaṃ natthī’’ti idaṃ pana dibbacakkhuñāṇena vinā yathākammūpagañāṇassa visuṃ parikammaṃ natthīti adhippāyena vuttaṃ. Evañcetaṃ icchitabbaṃ, aññathā yathākammūpagañāṇassa mahaggatabhāvo eva na siyā. Devānaṃ dassanepi eseva nayo. Nerayikadevaggahaṇañcettha nidassanamattaṃ daṭṭhabbaṃ. Ākaṅkhamāno hi dibbacakkhulābhī aññagatikesupi evaṃ paṭipajjatiyeva. Tathā hi vakkhati ‘‘apāyaggahaṇena tiracchānayoniṃ dīpetī’’tiādi, ‘‘sugatiggahaṇena manussagatipi saṅgayhatī’’ti ca. Taṃ nirayasaṃvattaniyakammaṃ ārammaṇametassāti taṃkammārammaṇaṃ. Phārusakavanādīsūti ādi-saddena cittalatāvanādīnaṃ saṅgaho.
ยถา จิมสฺสาติ ยถา จ อิมสฺส ยถากมฺมูปคญาณสฺส วิสุํ ปริกมฺมํ นตฺถิ, เอวํ อนาคตํสญาณสฺสปีติ วิสุํ ปริกมฺมาภาวญฺจ นิทเสฺสติฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘ทิพฺพจกฺขุปาทกาเนว หิ อิมานี’’ติฯ ตตฺรายมธิปฺปาโย – ยถา ทิพฺพจกฺขุลาภี นิรยาทิอภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา เนรยิกาทิเก สเตฺต ทิสฺวา เตหิ ปุเพฺพ อายูหิตํ นิรยสํวตฺตนิยาทิกํ กมฺมํ ตาทิเสน สมาทาเนน ตเชฺชน จ มนสิกาเรน ปริกฺขเต จิเตฺต ยาถาวโต ชานาติ, เอวํ ยสฺส ยสฺส สตฺตสฺส สมนนฺตรํ อนาคตํ อตฺตภาวํ ญาตุกาโม, ตํ ตํ โอทิสฺส อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา เตน เตน อตีเต เอตรหิ วา อายูหิตํ ตสฺส นิพฺพตฺตกํ กมฺมํ ยถากมฺมูปคญาเณน ทิสฺวา เตน เตน นิพฺพเตฺตตพฺพํ อนาคตํ อตฺตภาวํ ญาตุกาโม ตาทิเสน สมาทาเนน ตเชฺชน จ มนสิกาเรน ปริกฺขเต จิเตฺต ยาถาวโต ชานาติฯ เอส นโย ตโต ปเรสุปิ อตฺตภาเวสุฯ เอตํ อนาคตํสญาณํ นามฯ ยสฺมา เอตํ ทฺวยํ ทิพฺพจกฺขุญาเณ สติ เอว สิชฺฌติ, นาสติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิมานิ ทิพฺพจกฺขุนา สเหว อิชฺฌนฺตี’’ติฯ
Yathācimassāti yathā ca imassa yathākammūpagañāṇassa visuṃ parikammaṃ natthi, evaṃ anāgataṃsañāṇassapīti visuṃ parikammābhāvañca nidasseti. Tattha kāraṇamāha ‘‘dibbacakkhupādakāneva hi imānī’’ti. Tatrāyamadhippāyo – yathā dibbacakkhulābhī nirayādiabhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā nerayikādike satte disvā tehi pubbe āyūhitaṃ nirayasaṃvattaniyādikaṃ kammaṃ tādisena samādānena tajjena ca manasikārena parikkhate citte yāthāvato jānāti, evaṃ yassa yassa sattassa samanantaraṃ anāgataṃ attabhāvaṃ ñātukāmo, taṃ taṃ odissa ālokaṃ vaḍḍhetvā tena tena atīte etarahi vā āyūhitaṃ tassa nibbattakaṃ kammaṃ yathākammūpagañāṇena disvā tena tena nibbattetabbaṃ anāgataṃ attabhāvaṃ ñātukāmo tādisena samādānena tajjena ca manasikārena parikkhate citte yāthāvato jānāti. Esa nayo tato paresupi attabhāvesu. Etaṃ anāgataṃsañāṇaṃ nāma. Yasmā etaṃ dvayaṃ dibbacakkhuñāṇe sati eva sijjhati, nāsati. Tena vuttaṃ ‘‘imāni dibbacakkhunā saheva ijjhantī’’ti.
กาเยน ทุจฺจริตํ, กายโต วา อุปฺปนฺนํ ทุจฺจริตนฺติ กาเยน ทุฎฺฐุ จริตํ, กายโต วา อุปฺปนฺนํ กิเลสปูติกตฺตา ทุฎฺฐุ จริตํ กายทุจฺจริตนฺติ เอวํ ยถากฺกมํ โยเชตพฺพํฯ กาโยติ เจตฺถ โจปนกาโย อธิเปฺปโตฯ กายวิญฺญตฺติวเสน ปวตฺตํ อกุสลํ กายกมฺมํ กายทุจฺจริตํฯ ยสฺมิํ สนฺตาเน กมฺมํ กตุปจิตํ, อสติ อาหารุปเจฺฉเท วิปาการหสภาวสฺส อวิคจฺฉนโต โส เตน สหิโตเยวาติ วตฺตโพฺพติ อาห ‘‘สมนฺนาคตาติ สมงฺคีภูตา’’ติฯ อนตฺถกามา หุตฺวาติ เอเตน มาตาปิตโร วิย ปุตฺตานํ, อาจริยุปชฺฌายา วิย จ นิสฺสิตกานํ อตฺถกามา หุตฺวา ครหกา อุปวาทกา น โหนฺตีติ ทเสฺสติฯ คุณปริธํสเนนาติ วิชฺชมานานํ คุณานํ วิทฺธํสเนน, วินาสเนนาติ อโตฺถฯ นนุ จ อนฺติมวตฺถุนาปิ อุปวาโท คุณปริธํสนเมวาติ? สจฺจเมตํ, คุณาติ ปเนตฺถ ฌานาทิวิเสสา อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อธิเปฺปตาติ สีลปริธํสนํ วิสุํ คหิตํฯ เตนาห ‘‘นตฺถิ อิเมสํ สมณธโมฺม’’ติอาทิฯ สมณธโมฺมติ จ สีลสํยมํ สนฺธาย วทติฯ ชานํ วาติ ยํ อุปวทติ, ตสฺส อริยภาวํ ชานโนฺต วาฯ อชานํ วาติ อชานโนฺต วาฯ ชานนาชานนเญฺจตฺถ อปฺปมาณํ, อริยภาโว เอว ปมาณํฯ เตนาห ‘‘อุภยถาปิ อริยูปวาโทว โหตี’’ติฯ ‘‘อริโยติ ปน อชานโต อทุฎฺฐจิตฺตเสฺสว ตตฺถ อริยคุณภาวํ ปเวเทนฺตสฺส คุณปริธํสนํ น โหตีติ ตสฺส อริยูปวาโท นตฺถี’’ติ วทนฺติฯ ภาริยํ กมฺมนฺติ อานนฺตริยสทิสตฺตา ภาริยํ กมฺมํ, สเตกิจฺฉํ ปน โหติ ขมาปเนน, น อานนฺตริยํ วิย อเตกิจฺฉํฯ
Kāyena duccaritaṃ, kāyato vā uppannaṃ duccaritanti kāyena duṭṭhu caritaṃ, kāyato vā uppannaṃ kilesapūtikattā duṭṭhu caritaṃ kāyaduccaritanti evaṃ yathākkamaṃ yojetabbaṃ. Kāyoti cettha copanakāyo adhippeto. Kāyaviññattivasena pavattaṃ akusalaṃ kāyakammaṃ kāyaduccaritaṃ. Yasmiṃ santāne kammaṃ katupacitaṃ, asati āhārupacchede vipākārahasabhāvassa avigacchanato so tena sahitoyevāti vattabboti āha ‘‘samannāgatāti samaṅgībhūtā’’ti. Anatthakāmā hutvāti etena mātāpitaro viya puttānaṃ, ācariyupajjhāyā viya ca nissitakānaṃ atthakāmā hutvā garahakā upavādakā na hontīti dasseti. Guṇaparidhaṃsanenāti vijjamānānaṃ guṇānaṃ viddhaṃsanena, vināsanenāti attho. Nanu ca antimavatthunāpi upavādo guṇaparidhaṃsanamevāti? Saccametaṃ, guṇāti panettha jhānādivisesā uttarimanussadhammā adhippetāti sīlaparidhaṃsanaṃ visuṃ gahitaṃ. Tenāha ‘‘natthi imesaṃ samaṇadhammo’’tiādi. Samaṇadhammoti ca sīlasaṃyamaṃ sandhāya vadati. Jānaṃ vāti yaṃ upavadati, tassa ariyabhāvaṃ jānanto vā. Ajānaṃ vāti ajānanto vā. Jānanājānanañcettha appamāṇaṃ, ariyabhāvo eva pamāṇaṃ. Tenāha ‘‘ubhayathāpi ariyūpavādova hotī’’ti. ‘‘Ariyoti pana ajānato aduṭṭhacittasseva tattha ariyaguṇabhāvaṃ pavedentassa guṇaparidhaṃsanaṃ na hotīti tassa ariyūpavādo natthī’’ti vadanti. Bhāriyaṃ kammanti ānantariyasadisattā bhāriyaṃ kammaṃ, satekicchaṃ pana hoti khamāpanena, na ānantariyaṃ viya atekicchaṃ.
ตสฺส จ อาวิภาวตฺถนฺติ ภาริยาทิสภาวสฺส ปกาสนตฺถํฯ ตํ ชิคุจฺฉีติ ตํ เถรํ, ตํ วา กิริยํ ชิคุจฺฉิฯ อติจฺฉาโตติ อติวิย ขุทาภิภูโตฯ มหลฺลโกติ สมณานํ สารุปฺปมสารุปฺปํ, โลกสมุทาจารมตฺตํ วา น ชานาตีติ อธิปฺปาเยน วุตฺตตฺตา คุณปริธํสเนน ครหตีติ เวทิตพฺพํฯ อมฺหากํ ลชฺชิตพฺพกํ อกาสีติ ‘‘สมเณน นาม เอวํ กต’’นฺติ วุเตฺต มยํ สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สโกฺกมาติ อธิปฺปาโยฯ ชานโนฺต เอว เถโร ‘‘อตฺถิ เต อาวุโส อิมสฺมิํ สาสเน ปติฎฺฐา’’ติ ปุจฺฉิฯ อิตโรปิ สจฺจาภิสมโย สาสเน ปติฎฺฐาติ อาห ‘‘โสตาปโนฺน อห’’นฺติฯ เถโร ตํ กรุณายมาโน ‘‘ขีณาสโว ตยา อุปวทิโต’’ติ อตฺตานํ อาวิ อกาสิฯ เตนสฺส ตํ ปากติกํ อโหสีติ เตน อสฺส ตํ กมฺมํ มคฺคาวรณํ นาโหสีติ อธิปฺปาโยฯ ปุเพฺพว ปน โสตาปนฺนตฺตา อปายคามีนํ สุปฺปหีนภาวโต สคฺคาวรณมสฺส กาตุมสมตฺถเมว ตํ กมฺมํฯ อตฺตนา วุฑฺฒตโร โหตีติ เอตฺถ ‘‘อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา ขมาเปตโพฺพ’’ติ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตํฯ โสตาปนฺนสกทาคามิโน โทเสนปิ นกฺขมนฺติ, เสสอริยา วา ตสฺส อตฺถกามา หุตฺวา อายติํ สํวรณตฺถาย น ขมาเปยฺยุนฺติ อาห ‘‘สเจ โส นกฺขมตี’’ติฯ อตฺตนา วุฑฺฒตโร โหติ, ฐิตเกเนวาติ เอตฺถาปิ ‘‘อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา’’ติ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๔๑๑) วุตฺตํฯ เอวญฺหิ ตตฺถ วุตฺตํ –
Tassaca āvibhāvatthanti bhāriyādisabhāvassa pakāsanatthaṃ. Taṃ jigucchīti taṃ theraṃ, taṃ vā kiriyaṃ jigucchi. Aticchātoti ativiya khudābhibhūto. Mahallakoti samaṇānaṃ sāruppamasāruppaṃ, lokasamudācāramattaṃ vā na jānātīti adhippāyena vuttattā guṇaparidhaṃsanena garahatīti veditabbaṃ. Amhākaṃ lajjitabbakaṃ akāsīti ‘‘samaṇena nāma evaṃ kata’’nti vutte mayaṃ sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkomāti adhippāyo. Jānanto eva thero ‘‘atthi te āvuso imasmiṃ sāsane patiṭṭhā’’ti pucchi. Itaropi saccābhisamayo sāsane patiṭṭhāti āha ‘‘sotāpanno aha’’nti. Thero taṃ karuṇāyamāno ‘‘khīṇāsavo tayā upavadito’’ti attānaṃ āvi akāsi. Tenassa taṃ pākatikaṃ ahosīti tena assa taṃ kammaṃ maggāvaraṇaṃ nāhosīti adhippāyo. Pubbeva pana sotāpannattā apāyagāmīnaṃ suppahīnabhāvato saggāvaraṇamassa kātumasamatthameva taṃ kammaṃ. Attanā vuḍḍhataro hotīti ettha ‘‘ukkuṭikaṃ nisīditvā khamāpetabbo’’ti visuddhimagge vuttaṃ. Sotāpannasakadāgāmino dosenapi nakkhamanti, sesaariyā vā tassa atthakāmā hutvā āyatiṃ saṃvaraṇatthāya na khamāpeyyunti āha ‘‘sace so nakkhamatī’’ti. Attanā vuḍḍhataro hoti, ṭhitakenevāti etthāpi ‘‘ukkuṭikaṃ nisīditvā’’ti visuddhimagge (visuddhi. 2.411) vuttaṃ. Evañhi tattha vuttaṃ –
‘‘สเจ ทิสาปกฺกโนฺต โหติ, สยํ วา คนฺตฺวา สทฺธิวิหาริเก วา เปเสตฺวา ขมาเปตโพฺพฯ สเจ นาปิ คนฺตุํ, น เปเสตุํ สกฺกา โหติ, เย ตสฺมิํ วิหาเร ภิกฺขู วสนฺติ, เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา สเจ นวกตรา โหนฺติ, อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา, สเจ วุฑฺฒตรา, วุเฑฺฒสุ วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตฺวา ‘อหํ, ภเนฺต, อสุกํ นาม อายสฺมนฺตํ อิทญฺจิทญฺจ อวจํ, ขมตุ เม โส อายสฺมา’ติ วตฺวา ขมาเปตพฺพํฯ สมฺมุขา อขมเนฺตปิ เอตเทว กาตพฺพ’’นฺติฯ
‘‘Sace disāpakkanto hoti, sayaṃ vā gantvā saddhivihārike vā pesetvā khamāpetabbo. Sace nāpi gantuṃ, na pesetuṃ sakkā hoti, ye tasmiṃ vihāre bhikkhū vasanti, tesaṃ santikaṃ gantvā sace navakatarā honti, ukkuṭikaṃ nisīditvā, sace vuḍḍhatarā, vuḍḍhesu vuttanayeneva paṭipajjitvā ‘ahaṃ, bhante, asukaṃ nāma āyasmantaṃ idañcidañca avacaṃ, khamatu me so āyasmā’ti vatvā khamāpetabbaṃ. Sammukhā akhamantepi etadeva kātabba’’nti.
อิทํ ปน ปรมฺปิ ตตฺถ (วิสุทฺธิ. ๒.๔๑๑) วุตฺตํ –
Idaṃ pana parampi tattha (visuddhi. 2.411) vuttaṃ –
‘‘สเจ เอกจาริกภิกฺขุ โหติ, เนวสฺส วสนฎฺฐานํ, น คตฎฺฐานํ ปญฺญายติ, เอกสฺส ปณฺฑิตสฺส ภิกฺขุโน สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘อหํ, ภเนฺต, อสุกํ นาม อายสฺมนฺตํ อิทญฺจิทญฺจ อวจํ, ตํ เม อนุสฺสรโต อนุสฺสรโต วิปฺปฎิสาโร โหติ, กิํ กโรมี’ติ วตฺตพฺพํฯ โส วกฺขติ ‘ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถ, เถโร ตุมฺหากํ ขมติ, จิตฺตํ วูปสเมถา’ติฯ เตนปิ อริยสฺส คตทิสาภิมุเขน อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘ขมตู’ติ วตฺตพฺพ’’นฺติฯ
‘‘Sace ekacārikabhikkhu hoti, nevassa vasanaṭṭhānaṃ, na gataṭṭhānaṃ paññāyati, ekassa paṇḍitassa bhikkhuno santikaṃ gantvā ‘ahaṃ, bhante, asukaṃ nāma āyasmantaṃ idañcidañca avacaṃ, taṃ me anussarato anussarato vippaṭisāro hoti, kiṃ karomī’ti vattabbaṃ. So vakkhati ‘tumhe mā cintayittha, thero tumhākaṃ khamati, cittaṃ vūpasamethā’ti. Tenapi ariyassa gatadisābhimukhena añjaliṃ paggahetvā ‘khamatū’ti vattabba’’nti.
ปรินิพฺพุตมญฺจฎฺฐานนฺติ ปูชากรณฎฺฐานํ สนฺธายาหฯ ปากติกเมว โหตีติ เอวํ กเต อตฺตโน จิตฺตํ ปสีทตีติ ตํ กมฺมํ สคฺคาวรณํ มคฺคาวรณญฺจ น โหตีติ อธิปฺปาโยติ เกจิ วทนฺติฯ จริยาปิฎเก มาตงฺคจริตสํวณฺณนายํ (จริยา. อฎฺฐ. ๒.๖๔) –
Parinibbutamañcaṭṭhānanti pūjākaraṇaṭṭhānaṃ sandhāyāha. Pākatikameva hotīti evaṃ kate attano cittaṃ pasīdatīti taṃ kammaṃ saggāvaraṇaṃ maggāvaraṇañca na hotīti adhippāyoti keci vadanti. Cariyāpiṭake mātaṅgacaritasaṃvaṇṇanāyaṃ (cariyā. aṭṭha. 2.64) –
‘‘ปารมิตาปริภาวนสมิทฺธาหิ นานาสมาปตฺติวิหารปริปูริตาหิ สีลทิฎฺฐิสมฺปทาหิ สุสงฺขตสนฺตาเน มหากรุณาธิวาเส มหาสเตฺต อริยูปวาทกมฺมอภิสปสงฺขาตํ ผรุสวจนํ สํยุตฺตํ มหาสตฺตสฺส เขตฺตวิเสสภาวโต ตสฺส จ อชฺฌาสยผรุสตาย ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ หุตฺวา สเจ โส มหาสตฺตํ น ขมาเปติ, สตฺตเม ทิวเส วิปจฺจนสภาวํ ชาตํฯ ขมาปิเต ปน มหาสเตฺต ปโยคสมฺปตฺติยา วิปากสฺส ปฎิพาหิตตฺตา อวิปากธมฺมตํ อาปชฺชิ อโหสิกมฺมภาวโตฯ อยญฺหิ อริยูปวาทปาปสฺส ทิฎฺฐธมฺมเวทนียสฺส จ ธมฺมตา’’ติ –
‘‘Pāramitāparibhāvanasamiddhāhi nānāsamāpattivihāraparipūritāhi sīladiṭṭhisampadāhi susaṅkhatasantāne mahākaruṇādhivāse mahāsatte ariyūpavādakammaabhisapasaṅkhātaṃ pharusavacanaṃ saṃyuttaṃ mahāsattassa khettavisesabhāvato tassa ca ajjhāsayapharusatāya diṭṭhadhammavedanīyaṃ hutvā sace so mahāsattaṃ na khamāpeti, sattame divase vipaccanasabhāvaṃ jātaṃ. Khamāpite pana mahāsatte payogasampattiyā vipākassa paṭibāhitattā avipākadhammataṃ āpajji ahosikammabhāvato. Ayañhi ariyūpavādapāpassa diṭṭhadhammavedanīyassa ca dhammatā’’ti –
อาจริยธมฺมปาลเตฺถเรน วุตฺตตฺตา เอวํ ขมาปิเต ตํ กมฺมํ ปโยคสมฺปตฺติยา วิปากสฺส ปฎิพาหิตตฺตา อโหสิกมฺมภาเวน อวิปากธมฺมตํ อาปนฺนนฺติ เนว สคฺคาวรณํ น โมกฺขาวรณญฺจ โหตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ
Ācariyadhammapālattherena vuttattā evaṃ khamāpite taṃ kammaṃ payogasampattiyā vipākassa paṭibāhitattā ahosikammabhāvena avipākadhammataṃ āpannanti neva saggāvaraṇaṃ na mokkhāvaraṇañca hotīti evamettha attho gahetabbo.
วิปรีตํ ทสฺสนเมเตสนฺติ วิปรีตทสฺสนาฯ สมาทาตพฺพเฎฺฐน สมาทานานิ, กมฺมานิ สมาทานานิ เยสํ เต กมฺมสมาทานา, มิจฺฉาทิฎฺฐิวเสน กมฺมสมาทานา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เหตุอตฺถํ วา อโนฺตคธํ กตฺวา มิจฺฉาทิฎฺฐิวเสน ปเร กเมฺมสุ สมาทาปกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานาฯ ตยิมํ อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิวเสนา’’ติอาทิมาหฯ เย จ…เป.… สมาทเปนฺติ, เตปิ มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานาติ โยเชตพฺพํฯ สีลสมฺปโนฺนติอาทิ ปริปกฺกินฺทฺริยสฺส มคฺคสมงฺคิโน วเสน วุตฺตํ, อคฺคมคฺคเฎฺฐ ปน วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ อถ วา อคฺคมคฺคปริยาปนฺนา เอว สีลาทโย เวทิตพฺพาฯ อคฺคมคฺคฎฺฐสฺส หิ ทิเฎฺฐว ธเมฺม เอกํสิกา อญฺญาราธนา, อิตเรสํ อเนกํสิกาฯ อญฺญนฺติ อรหตฺตํฯ เอวํสมฺปทมิทนฺติ เอตฺถ สมฺปชฺชนํ สมฺปทา, นิปฺผตฺติ, เอวํ อวิรชฺฌนกนิปฺผตฺติกนฺติ อโตฺถ, ยถา ตํ อวสฺสมฺภาวี, เอวมิทมฺปีติ วุตฺตํ โหติ ฯ ยถา หิ มคฺคานนฺตรํ อวิรชฺฌิตฺวาว ผลํ นิพฺพตฺตํ, เอวเมตํ อิมสฺสปิ ปุคฺคลสฺส จุติอนนฺตรํ อวิรชฺฌิตฺวาว นิรเย ปฎิสนฺธิ โหตีติ ทเสฺสติฯ สกลสฺมิญฺหิ พุทฺธวจเน น อิมาย อุปมาย คาฬฺหตรํ กตฺวา วุตฺตอุปมา อตฺถิฯ ตํ วาจํ อปฺปหายาติอาทีสุ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔๙) อริยูปวาทํ สนฺธาย ‘‘ปุน เอวรูปิํ วาจํ น วกฺขามี’’ติ วทโนฺต วาจํ ปชหติ นาม, ‘‘ปุน เอวรูปํ จิตฺตํ น อุปฺปาเทสฺสามี’’ติ จิเนฺตโนฺต จิตฺตํ ปชหติ นาม, ‘‘ปุน เอวรูปิํ ทิฎฺฐิํ น คณฺหิสฺสามี’’ติ ปชหโนฺต ทิฎฺฐิํ ปชหติ นามฯ ตถา อกโรโนฺต เนว ปชหติ น ปฎินิสฺสชฺชติฯ ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยติ ยถา นิรยปาเลหิ อาหริตฺวา นิรเย ฐปิโต, เอวํ นิรเย ฐปิโตเยว, นาสฺส นิรยูปปตฺติยา โกจิ วิพโนฺธฯ ตตฺรายํ ยุตฺติ – นิรยูปโค อริยูปวาที ตทาทายกสฺส อวิชหนโต เสยฺยถาปิ มิจฺฉาทิฎฺฐีติฯ เอตฺถ จ ‘‘ตํ วาจํ อปฺปหายา’’ติ เอวมาทิวจเนน ตทาทายกสฺส อปฺปหาเนเนว อริยูปวาโท อนฺตรายิโก อนตฺถาวโหว, ปหาเนน ปน อจฺจยํ เทเสตฺวา ขมาปเนน น อนฺตรายิโก อนตฺถาวโห ยถา ตํ วุฎฺฐิตา เทสิตา จ อาปตฺตีติ ทเสฺสติฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิวเสน อกตฺตพฺพํ นาม ปาปํ นตฺถิ, ยโต สํสารขาณุภาโวปิ นาม โหตีติ อาห ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมานิ, ภิกฺขเว, วชฺชานี’’ติฯ
Viparītaṃ dassanametesanti viparītadassanā. Samādātabbaṭṭhena samādānāni, kammāni samādānāni yesaṃ te kammasamādānā, micchādiṭṭhivasena kammasamādānā micchādiṭṭhikammasamādānā, hetuatthaṃ vā antogadhaṃ katvā micchādiṭṭhivasena pare kammesu samādāpakā micchādiṭṭhikammasamādānā. Tayimaṃ atthaṃ dassento ‘‘micchādiṭṭhivasenā’’tiādimāha. Ye ca…pe… samādapenti, tepi micchādiṭṭhikammasamādānāti yojetabbaṃ. Sīlasampannotiādi paripakkindriyassa maggasamaṅgino vasena vuttaṃ, aggamaggaṭṭhe pana vattabbameva natthi. Atha vā aggamaggapariyāpannā eva sīlādayo veditabbā. Aggamaggaṭṭhassa hi diṭṭheva dhamme ekaṃsikā aññārādhanā, itaresaṃ anekaṃsikā. Aññanti arahattaṃ. Evaṃsampadamidanti ettha sampajjanaṃ sampadā, nipphatti, evaṃ avirajjhanakanipphattikanti attho, yathā taṃ avassambhāvī, evamidampīti vuttaṃ hoti . Yathā hi maggānantaraṃ avirajjhitvāva phalaṃ nibbattaṃ, evametaṃ imassapi puggalassa cutianantaraṃ avirajjhitvāva niraye paṭisandhi hotīti dasseti. Sakalasmiñhi buddhavacane na imāya upamāya gāḷhataraṃ katvā vuttaupamā atthi. Taṃ vācaṃ appahāyātiādīsu (ma. ni. aṭṭha. 1.149) ariyūpavādaṃ sandhāya ‘‘puna evarūpiṃ vācaṃ na vakkhāmī’’ti vadanto vācaṃ pajahati nāma, ‘‘puna evarūpaṃ cittaṃ na uppādessāmī’’ti cintento cittaṃ pajahati nāma, ‘‘puna evarūpiṃ diṭṭhiṃ na gaṇhissāmī’’ti pajahanto diṭṭhiṃ pajahati nāma. Tathā akaronto neva pajahati na paṭinissajjati. Yathābhataṃ nikkhitto evaṃ nirayeti yathā nirayapālehi āharitvā niraye ṭhapito, evaṃ niraye ṭhapitoyeva, nāssa nirayūpapattiyā koci vibandho. Tatrāyaṃ yutti – nirayūpago ariyūpavādī tadādāyakassa avijahanato seyyathāpi micchādiṭṭhīti. Ettha ca ‘‘taṃ vācaṃ appahāyā’’ti evamādivacanena tadādāyakassa appahāneneva ariyūpavādo antarāyiko anatthāvahova, pahānena pana accayaṃ desetvā khamāpanena na antarāyiko anatthāvaho yathā taṃ vuṭṭhitā desitā ca āpattīti dasseti. Micchādiṭṭhivasena akattabbaṃ nāma pāpaṃ natthi, yato saṃsārakhāṇubhāvopi nāma hotīti āha ‘‘micchādiṭṭhiparamāni, bhikkhave, vajjānī’’ti.
‘‘อุจฺฉินฺนภวเนตฺติโก, ภิกฺขเว, ตถาคตสฺส กาโย ติฎฺฐติ (ที. นิ. ๑. ๑๔๗), อยเญฺจว กาโย พหิทฺธา จ นามรูป’’นฺติ จ เอวมาทีสุ วิย อิธ กาย-สโทฺท ขนฺธปญฺจกวิสโยติ อาห ‘‘กายสฺส เภทาติ อุปาทินฺนกฺขนฺธปริจฺจาคา’’ติฯ อวีตราคสฺส มรณโต ปรํ นาม ภวนฺตรูปาทานเมวาติ อาห ‘‘ปรํ มรณาติ ตทนนฺตรํ อภินิพฺพตฺตกฺขนฺธคฺคหเณ’’ติฯ เยน ติฎฺฐติ, ตสฺส อุปเจฺฉเทเนว กาโย ภิชฺชตีติ อาห ‘‘กายสฺส เภทาติ ชีวิตินฺทฺริยสฺส อุปเจฺฉทา’’ติฯ เอติ อิมสฺมา สุขนฺติ อโย, ปุญฺญนฺติ อาห ‘‘ปุญฺญสมฺมตา อยา’’ติฯ อายนฺติ เอตสฺมา สุขานีติ อาโย, ปุญฺญกมฺมาทีนํ สุขสาธนํฯ เตนาห ‘‘สุขานํ วา อายสฺส อภาวา’’ติฯ วิวสาติ กมฺมสฺส วเส วตฺตนโต อตฺตโน วเส วตฺติตุํ น สโกฺกนฺตีติ วิคโต วโส เอเตสนฺติ วิวสา, อวสวตฺติโนติ อโตฺถฯ อิยติ อสฺสาทียตีติ อโย, อสฺสาโทติ อาห ‘‘อสฺสาทสญฺญิโต อโย’’ติฯ
‘‘Ucchinnabhavanettiko, bhikkhave, tathāgatassa kāyo tiṭṭhati (dī. ni. 1. 147), ayañceva kāyo bahiddhā ca nāmarūpa’’nti ca evamādīsu viya idha kāya-saddo khandhapañcakavisayoti āha ‘‘kāyassa bhedāti upādinnakkhandhapariccāgā’’ti. Avītarāgassa maraṇato paraṃ nāma bhavantarūpādānamevāti āha ‘‘paraṃ maraṇāti tadanantaraṃ abhinibbattakkhandhaggahaṇe’’ti. Yena tiṭṭhati, tassa upacchedeneva kāyo bhijjatīti āha ‘‘kāyassa bhedāti jīvitindriyassa upacchedā’’ti. Eti imasmā sukhanti ayo, puññanti āha ‘‘puññasammatā ayā’’ti. Āyanti etasmā sukhānīti āyo, puññakammādīnaṃ sukhasādhanaṃ. Tenāha ‘‘sukhānaṃ vā āyassa abhāvā’’ti. Vivasāti kammassa vase vattanato attano vase vattituṃ na sakkontīti vigato vaso etesanti vivasā, avasavattinoti attho. Iyati assādīyatīti ayo, assādoti āha ‘‘assādasaññito ayo’’ti.
นาคราชาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน สุปณฺณาทีนํ สงฺคโหฯ อสุรสทิสนฺติ เปตาสุรสทิสํฯ โส หีติ โส อสุรกาโยฯ สพฺพสมุสฺสเยหีติ สเพฺพหิ สมฺปตฺติสมุสฺสเยหิ, สพฺพสมฺปตฺติราสิโตติ วุตฺตํ โหติฯ วุตฺตวิปริยาเยนาติ ‘‘สุฎฺฐุ จริตํ, โสภนํ วา จริตํ อนวชฺชตฺตาติ สุจริต’’นฺติอาทินา กายทุจฺจริเตนาติอาทีนํ ปทานํ วุตฺตสฺส อตฺถสฺส วิปริยาเยนฯ ‘‘อิโต โภ สุคติํ คจฺฉา’’ติ (อิติวุ. ๘๓) วจนโต มนุสฺสคติปิ สุคติเยวาติ อาห ‘‘สุคติคฺคหเณน มนุสฺสคติปิ สงฺคยฺหตี’’ติฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานตฺถโต จ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Nāgarājādīnanti ādi-saddena supaṇṇādīnaṃ saṅgaho. Asurasadisanti petāsurasadisaṃ. So hīti so asurakāyo. Sabbasamussayehīti sabbehi sampattisamussayehi, sabbasampattirāsitoti vuttaṃ hoti. Vuttavipariyāyenāti ‘‘suṭṭhu caritaṃ, sobhanaṃ vā caritaṃ anavajjattāti sucarita’’ntiādinā kāyaduccaritenātiādīnaṃ padānaṃ vuttassa atthassa vipariyāyena. ‘‘Ito bho sugatiṃ gacchā’’ti (itivu. 83) vacanato manussagatipi sugatiyevāti āha ‘‘sugatiggahaṇena manussagatipi saṅgayhatī’’ti. Sesamettha vuttanayattā uttānatthato ca suviññeyyameva.
ทิพฺพจกฺขุญาณกถา นิฎฺฐิตาฯ
Dibbacakkhuñāṇakathā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ทิพฺพจกฺขุญาณกถา • Dibbacakkhuñāṇakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ทิพฺพจกฺขุญาณกถาวณฺณนา • Dibbacakkhuñāṇakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ทิพฺพจกฺขุญาณกถาวณฺณนา • Dibbacakkhuñāṇakathāvaṇṇanā