Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
ทิพฺพจกฺขุญาณกถาวณฺณนา
Dibbacakkhuñāṇakathāvaṇṇanā
๑๓. ‘‘จุตูปปาตญาณายา’’ติ ผลูปจาเรน วุตฺตํฯ อิทญฺหิ ทิพฺพจกฺขุญาณํ รูปารมฺมณตฺตา ปริตฺตปจฺจุปฺปนฺนอชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณํ โหติฯ น จุติํ วา ปฎิสนฺธิํ วา อารมฺมณํ กโรติฯ ตสฺมา ‘‘ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานามี’’ติ (ปารา. ๑๓) วจนํ วิย ผลูปจาเรเนว วุตฺตมิทนฺติ เวทิตพฺพํฯ ทิพฺพวิหารสนฺนิสฺสิตตฺตา การโณปจาเรน ทิพฺพํฯ อิมินา ปน เกจิ อาจริยา ‘‘กุสลากุสลา จกฺขู ทิพฺพจกฺขุ กามาวจร’’นฺติ วทนฺติ, เต ปฎิเสธิตา โหนฺติฯ จตุตฺถชฺฌานปญฺญา หิ เอตฺถ อธิเปฺปตาฯ มหาชุติกตฺตา มหาคติกตฺตาติ เอเตสุ ‘‘สทฺทสตฺถานุสาเรนา’’ติ วุตฺตํฯ เอกาทสนฺนํ อุปกฺกิเลสานํ เอวํ อุปฺปตฺติกฺกโม อุปกฺกิเลสภาโว จ เวทิตโพฺพ, มหาสตฺตสฺส อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทิพฺพจกฺขุนา นานาวิธานิ รูปานิ ทิสฺวา ‘‘อิทํ นุ โข กิ’’นฺติ วิจิกิจฺฉา อุทปาทิ, โส อุปกฺกิเลโส อุปกฺกิเลสสุเตฺต (ม. นิ. ๓.๒๓๖ อาทโย) ‘‘วิจิกิจฺฉาธิกรณญฺจ ปน เม สมาธิมฺหิ จวิ, สมาธิมฺหิ จุเต โอภาโส อนฺตรธายติ ทสฺสนญฺจ รูปาน’’นฺติ วจนโตฯ ตโต ‘‘รูปานิ เม ปสฺสโต วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติ, อิทานิ น กิญฺจิ มนสิ กริสฺสามี’’ติ จินฺตยโต อมนสิกาโร, ตโต กิญฺจิ อมนสิกโรนฺตสฺส ถินมิทฺธํ อุทปาทิ, ตโต ตสฺส ปหานตฺถํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา รูปานิ ปสฺสโต หิมวนฺตาทีสุ ทานวรกฺขสาทโย ปสฺสนฺตสฺส ฉมฺภิตตฺตํ อุทปาทิ, ตโต ตสฺส ปหานตฺถํ ‘‘มยา ทิฎฺฐภยํ ปกติยา โอโลกิยมานํ นตฺถิ, อทิเฎฺฐ กิํ นาม ภย’’นฺติ จินฺตยโต อุปฺปิลาวิตตฺตํ อุทปาทิฯ คณฺฐิปเท ปน ‘‘อุปฺปิลํ ทิพฺพรูปทเสฺสเนนา’’ติ วุตฺตํ, ‘‘ตํ ทุวุตฺตํ ปรโต อภิชปฺปาวจเนน ตทตฺถสิทฺธิโต’’ติ อาจริโย วทติฯ ตโต ฉมฺภิตตฺตปฺปหานตฺถํ ‘‘มยา วีริยํ ทฬฺหํ ปคฺคหิตํ, เตน เม อิทํ อุปฺปิลํ อุปฺปนฺน’’นฺติ วีริยํ สิถิลํ กโรนฺตสฺส กายทุฎฺฐุลฺลํ กายทรโถ กายาลสิยํ อุทปาทิ, ตโต ตํ จชนฺตสฺส อจฺจารทฺธวีริยํ อุทปาทิ, ตตฺถ โทสํ ปสฺสโต อติลีนวีริยํ อุปทาทิ, ตโต ตํ ปหาย สมปฺปวเตฺตน วีริเยน ฉมฺภิตตฺตภยา หิมวนฺตาทิฎฺฐานํ ปหาย เทวโลกาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา เทวสงฺฆํ ปสฺสโต ตณฺหาสงฺขาตา อภิชปฺปา อุทปาทิ, ตโต ‘‘มยฺหํ เอกชาติกรูปํ มนสิ กโรนฺตสฺส อภิชปฺปา อุปฺปนฺนา, ตสฺมา ทานิ นานาวิธํ รูปํ มนสิ กริสฺสามี’’ติ กาเลน เทวโลกาภิมุขํ, กาเลน มนุสฺสโลกาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา นานาวิธานิ รูปานิ มนสิ กโรโต นานตฺตสญฺญา อุทปาทิ, ตโต ‘‘นานาวิธรูปานิ เม มนสิ กโรนฺตสฺส นานตฺตสญฺญา อุทปาทิ, ตสฺมา ทานิ อภิชปฺปาทิภยา อิฎฺฐาทินิมิตฺตคฺคาหํ ปหาย เอกชาติกเมว รูปํ มนสิ กริสฺสามี’’ติ ตถา กโรโต อภินิชฺฌายิตตฺตํ รูปานํ อุทปาทิ เอวํ ปหีนอุปกฺกิเลสสฺสาปิ อนธิฎฺฐิตตฺตาฯ โอภาสญฺหิ โข ชานามิ, น จ รูปานิ ปสฺสามีติอาทิ ชาตํฯ
13.‘‘Cutūpapātañāṇāyā’’ti phalūpacārena vuttaṃ. Idañhi dibbacakkhuñāṇaṃ rūpārammaṇattā parittapaccuppannaajjhattabahiddhārammaṇaṃ hoti. Na cutiṃ vā paṭisandhiṃ vā ārammaṇaṃ karoti. Tasmā ‘‘yathākammūpage satte pajānāmī’’ti (pārā. 13) vacanaṃ viya phalūpacāreneva vuttamidanti veditabbaṃ. Dibbavihārasannissitattā kāraṇopacārena dibbaṃ. Iminā pana keci ācariyā ‘‘kusalākusalā cakkhū dibbacakkhu kāmāvacara’’nti vadanti, te paṭisedhitā honti. Catutthajjhānapaññā hi ettha adhippetā. Mahājutikattā mahāgatikattāti etesu ‘‘saddasatthānusārenā’’ti vuttaṃ. Ekādasannaṃ upakkilesānaṃ evaṃ uppattikkamo upakkilesabhāvo ca veditabbo, mahāsattassa ālokaṃ vaḍḍhetvā dibbacakkhunā nānāvidhāni rūpāni disvā ‘‘idaṃ nu kho ki’’nti vicikicchā udapādi, so upakkileso upakkilesasutte (ma. ni. 3.236 ādayo) ‘‘vicikicchādhikaraṇañca pana me samādhimhi cavi, samādhimhi cute obhāso antaradhāyati dassanañca rūpāna’’nti vacanato. Tato ‘‘rūpāni me passato vicikicchā uppajjati, idāni na kiñci manasi karissāmī’’ti cintayato amanasikāro, tato kiñci amanasikarontassa thinamiddhaṃ udapādi, tato tassa pahānatthaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā rūpāni passato himavantādīsu dānavarakkhasādayo passantassa chambhitattaṃ udapādi, tato tassa pahānatthaṃ ‘‘mayā diṭṭhabhayaṃ pakatiyā olokiyamānaṃ natthi, adiṭṭhe kiṃ nāma bhaya’’nti cintayato uppilāvitattaṃ udapādi. Gaṇṭhipade pana ‘‘uppilaṃ dibbarūpadassenenā’’ti vuttaṃ, ‘‘taṃ duvuttaṃ parato abhijappāvacanena tadatthasiddhito’’ti ācariyo vadati. Tato chambhitattappahānatthaṃ ‘‘mayā vīriyaṃ daḷhaṃ paggahitaṃ, tena me idaṃ uppilaṃ uppanna’’nti vīriyaṃ sithilaṃ karontassa kāyaduṭṭhullaṃ kāyadaratho kāyālasiyaṃ udapādi, tato taṃ cajantassa accāraddhavīriyaṃ udapādi, tattha dosaṃ passato atilīnavīriyaṃ upadādi, tato taṃ pahāya samappavattena vīriyena chambhitattabhayā himavantādiṭṭhānaṃ pahāya devalokābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā devasaṅghaṃ passato taṇhāsaṅkhātā abhijappā udapādi, tato ‘‘mayhaṃ ekajātikarūpaṃ manasi karontassa abhijappā uppannā, tasmā dāni nānāvidhaṃ rūpaṃ manasi karissāmī’’ti kālena devalokābhimukhaṃ, kālena manussalokābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā nānāvidhāni rūpāni manasi karoto nānattasaññā udapādi, tato ‘‘nānāvidharūpāni me manasi karontassa nānattasaññā udapādi, tasmā dāni abhijappādibhayā iṭṭhādinimittaggāhaṃ pahāya ekajātikameva rūpaṃ manasi karissāmī’’ti tathā karoto abhinijjhāyitattaṃ rūpānaṃ udapādi evaṃ pahīnaupakkilesassāpi anadhiṭṭhitattā. Obhāsañhi kho jānāmi, na ca rūpāni passāmītiādi jātaṃ.
ตสฺสโตฺถ – ยทา ปริกโมฺมภาสเมว มนสิ กโรมิ, ตทา โอภาสํ สญฺชานามิ, ทิเพฺพน จกฺขุนา รูปานิ น จ ปสฺสามิ, รูปทสฺสนกาเล จ โอภาสํ น ชานามีติฯ กิมตฺถมิทํ วุตฺตํ, น หิ เอตํ อุปกฺกิเสสคตนฺติ? น เกวลํ อุปกฺกิเลสปฺปชหนเมเวตฺถ กตฺตพฺพํ, เยน อิทํ วิสุทฺธํ โหติ, อญฺญมฺปิ ตทุตฺตริ กตฺตพฺพํ อตฺถีติ ทสฺสนตฺถํฯ วิจิกิจฺฉา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโสติอาทีสุ ‘‘อิเม ธมฺมา อุปกฺกิเลสาติ อาทีนวทสฺสเนน ปชหิํ, น มยฺหํ ตทา อุปฺปนฺนตฺตา’’ติ เกจิ วทนฺติฯ มานุสกํ วาติ อิมินา สภาวาติกฺกมํ ทเสฺสติฯ มํสจกฺขุนา วิยาติ อิมินา ปริยตฺติคฺคหณํ, วณฺณมตฺตารมฺมณตญฺจ อุปเมติฯ วณฺณมเตฺต เหตฺถ สตฺต-สโทฺท, น ‘‘สเพฺพ สตฺตา อาหารฎฺฐิติกา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๒๗) เอตฺถ วิย สพฺพสงฺขเตสุ, หีนชาติอาทโย โมหสฺส นิสฺสโนฺท วิปาโกฯ กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา ปุเพฺพ อตีตภเว อเหสุํ, สมฺปติ นิรยํ อุปปนฺนาติ เอวํ ปาฐเสเสน สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ ‘‘ยถากมฺมูปคญาณญฺหิ เอกนฺตมตีตารมฺมณํ, ทิพฺพจกฺขุ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณ’’นฺติ อุภินฺนํ กิจฺจวเสน วุตฺตํฯ มหลฺลโกติ สมณานํ สารุปฺปมสารุปฺปํ, โลกาจารํ วา น ชานาตีติ อธิปฺปาเยน วุตฺตตฺตา คุณปริธํสเนน ครหตีติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘นิยโต สโมฺพธิปรายโน’’ติ (สํ. นิ. ๒.๔๑; ๕.๙๙๘, ๑๐๐๔) วุโตฺต อริยปุคฺคโล มคฺคาวรณํ กาตุํ สมตฺถํ ผรุสวจนํ ยทิ กเถยฺย, อปายคมนียมฺปิ กเรยฺย, เตน โส อปายุปโคปิ ภเวยฺย, ตสฺมา อุปปริกฺขิตพฺพนฺติ เอเกฯ ‘‘วายามํ มา อกาสีติ เถเรน วุตฺตตฺตา มคฺคาวรณํ กโรตี’’ติ วทนฺติฯ ปุเพฺพว โสตาปเนฺนน อปายทฺวาโร ปิหิโต, ตสฺมาสฺส สคฺคาวรณํ นตฺถิฯ ‘‘ปากติกนฺติ ปวตฺติวิปากํ อโหสี’’ติ วทนฺติฯ ‘‘วุทฺธิ เหสา, ภิกฺขเว, อริยสฺส วินเย, โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๗๐; ที. นิ. ๑.๒๕๑) วจนโต ปากติกํ อโหสีติ เอเกฯ สเจ โส น ขมตีติ โสตาปนฺนาทีนํ ขนฺติคุณสฺส มนฺทตาย วา อายติํ ตสฺส สุฎฺฐุ สํวรตฺถาย วา อกฺขมนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สุขานํ วา อายสฺส อารมฺมณาทิโน อภาวา กาลกญฺจิกา อสุรา โหนฺติฯ ‘‘อิโต โภ สุคติํ คจฺฉา’’ติ (อิติวุ. ๘๓) วจนโต มนุสฺสคติปิฯ ทิพฺพจกฺขุญาณวิชฺชาติ ทิพฺพจกฺขุเมว ทสฺสนเฎฺฐน ญาณํ, ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส วินฺทนเฎฺฐน วิชฺชาติ อโตฺถฯ
Tassattho – yadā parikammobhāsameva manasi karomi, tadā obhāsaṃ sañjānāmi, dibbena cakkhunā rūpāni na ca passāmi, rūpadassanakāle ca obhāsaṃ na jānāmīti. Kimatthamidaṃ vuttaṃ, na hi etaṃ upakkisesagatanti? Na kevalaṃ upakkilesappajahanamevettha kattabbaṃ, yena idaṃ visuddhaṃ hoti, aññampi taduttari kattabbaṃ atthīti dassanatthaṃ. Vicikicchā cittassa upakkilesotiādīsu ‘‘ime dhammā upakkilesāti ādīnavadassanena pajahiṃ, na mayhaṃ tadā uppannattā’’ti keci vadanti. Mānusakaṃ vāti iminā sabhāvātikkamaṃ dasseti. Maṃsacakkhunāviyāti iminā pariyattiggahaṇaṃ, vaṇṇamattārammaṇatañca upameti. Vaṇṇamatte hettha satta-saddo, na ‘‘sabbe sattā āhāraṭṭhitikā’’ti (a. ni. 10.27) ettha viya sabbasaṅkhatesu, hīnajātiādayo mohassa nissando vipāko. Kāyaduccaritena samannāgatā pubbe atītabhave ahesuṃ, sampati nirayaṃ upapannāti evaṃ pāṭhasesena sambandho veditabbo. ‘‘Yathākammūpagañāṇañhi ekantamatītārammaṇaṃ, dibbacakkhu paccuppannārammaṇa’’nti ubhinnaṃ kiccavasena vuttaṃ. Mahallakoti samaṇānaṃ sāruppamasāruppaṃ, lokācāraṃ vā na jānātīti adhippāyena vuttattā guṇaparidhaṃsanena garahatīti veditabbaṃ. ‘‘Niyato sambodhiparāyano’’ti (saṃ. ni. 2.41; 5.998, 1004) vutto ariyapuggalo maggāvaraṇaṃ kātuṃ samatthaṃ pharusavacanaṃ yadi katheyya, apāyagamanīyampi kareyya, tena so apāyupagopi bhaveyya, tasmā upaparikkhitabbanti eke. ‘‘Vāyāmaṃ mā akāsīti therena vuttattā maggāvaraṇaṃ karotī’’ti vadanti. Pubbeva sotāpannena apāyadvāro pihito, tasmāssa saggāvaraṇaṃ natthi. ‘‘Pākatikanti pavattivipākaṃ ahosī’’ti vadanti. ‘‘Vuddhi hesā, bhikkhave, ariyassa vinaye, yo accayaṃ accayato disvā yathādhammaṃ paṭikarotī’’ti (ma. ni. 3.370; dī. ni. 1.251) vacanato pākatikaṃ ahosīti eke. Sace so na khamatīti sotāpannādīnaṃ khantiguṇassa mandatāya vā āyatiṃ tassa suṭṭhu saṃvaratthāya vā akkhamanaṃ sandhāya vuttaṃ. Sukhānaṃ vā āyassa ārammaṇādino abhāvā kālakañcikā asurā honti. ‘‘Ito bho sugatiṃ gacchā’’ti (itivu. 83) vacanato manussagatipi. Dibbacakkhuñāṇavijjāti dibbacakkhumeva dassanaṭṭhena ñāṇaṃ, tassa tassa atthassa vindanaṭṭhena vijjāti attho.
ทิพฺพจกฺขุญาณกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dibbacakkhuñāṇakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ทิพฺพจกฺขุญาณกถา • Dibbacakkhuñāṇakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ทิพฺพจกฺขุญาณกถา • Dibbacakkhuñāṇakathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ทิพฺพจกฺขุญาณกถาวณฺณนา • Dibbacakkhuñāṇakathāvaṇṇanā