Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā

    ๕๔. ทิพฺพจกฺขุญาณนิเทฺทสวณฺณนา

    54. Dibbacakkhuñāṇaniddesavaṇṇanā

    ๑๐๖. ทิพฺพจกฺขุญาณนิเทฺทเส อาโลกสญฺญํ มนสิ กโรตีติ ทิวา วา รตฺติํ วา สูริยโชติจนฺทมณิอาโลกํ อาโลโกติ มนสิ กโรติฯ เอวํ มนสิกโรโนฺต จ อาโลโกติ สญฺญํ มนสิ ปวตฺตนโต ‘‘อาโลกสญฺญํ มนสิ กโรตี’’ติ วุจฺจติฯ ทิวาสญฺญํ อธิฎฺฐาตีติ เอวํ อาโลกสญฺญํ มนสิกริตฺวา ทิวาติ สญฺญํ ฐเปติฯ ยถา ทิวา ตถา รตฺตินฺติ ยถา ทิวา อาโลโก ทิโฎฺฐ, ตเถว รตฺติมฺปิ มนสิ กโรติฯ ยถา รตฺติํ ตถา ทิวาติ ยถา รตฺติํ อาโลโก ทิโฎฺฐ, ตเถว ทิวาปิ มนสิ กโรติฯ อิติ วิวเฎน เจตสาติ เอวํ อปิหิเตน จิเตฺตนฯ อปริโยนเทฺธนาติ สมนฺตโต อนเทฺธนฯ สปฺปภาสํ จิตฺตํ ภาเวตีติ สโอภาสํ จิตฺตํ วเฑฺฒติฯ เอเตน ทิพฺพจกฺขุสฺส ปริกมฺมาโลการมฺมณํ จิตฺตํ กถิตํฯ อาโลกกสิณารมฺมณํ จตุตฺถชฺฌานเมว วา สนฺธาย วุตฺตํฯ ตเสฺสวํ ภาวยโต โอภาสชาตํ จิตฺตํ โหติ วิคตนฺธการาวรณํฯ เตน หิ ทิพฺพจกฺขุํ อุปฺปาเทตุกาเมน อาทิกมฺมิเกน กุลปุเตฺตน อิมิสฺสาเยว ปาฬิยา อนุสาเรน กสิณารมฺมณํ อภิญฺญาปาทกชฺฌานํ สพฺพากาเรน อภินีหารกฺขมํ กตฺวา ‘‘เตโชกสิณํ โอทาตกสิณํ อาโลกกสิณ’’นฺติ อิเมสุ ตีสุ กสิเณสุ อญฺญตรํ อาสนฺนํ กาตพฺพํ, อุปจารชฺฌานโคจรํ กตฺวา วเฑฺฒตฺวา ฐเปตพฺพํ, น ตตฺถ อปฺปนา อุปฺปาเทตพฺพาติ อธิปฺปาโยฯ สเจ หิ อุปฺปาเทติ, ปาทกชฺฌานนิสฺสยํ โหติ, น ปริกมฺมนิสฺสยํฯ อิเมสุ จ ปน ตีสุ อาโลกกสิณํเยว เสฎฺฐตรํ, ตทนุโลเมน ปน อิตรํ กสิณทฺวยมฺปิ วุตฺตํฯ ตสฺมา อาโลกกสิณํ อิตเรสํ วา อญฺญตรํ อารมฺมณํ กตฺวา จตฺตาริ ฌานานิ อุปฺปาเทตฺวา ปุน อุปจารภูมิยํเยว ฐตฺวา กสิณํ วเฑฺฒตพฺพํฯ วฑฺฒิตวฑฺฒิตฎฺฐานสฺส อโนฺตเยว รูปคตํ ปสฺสิตพฺพํฯ รูปคตํ ปสฺสโต ปนสฺส เตน พฺยาปาเรน ปริกมฺมจิเตฺตน อาโลกผรณํ อกุพฺพโต ปริกมฺมสฺส วาโร อติกฺกมติ, ตโต อาโลโก อนฺตรธายติ, ตสฺมิํ อนฺตรหิเต รูปคตมฺปิ น ทิสฺสติฯ อถาเนน ปุนปฺปุนํ ปาทกชฺฌานเมว ปวิสิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย อาโลโก ผริตโพฺพฯ เอวํ อนุกฺกเมน อาโลโก ถามคโต โหตีติฯ ‘‘เอตฺถ อาโลโก โหตู’’ติ ยตฺตกํ ฐานํ ปริจฺฉินฺทติ, ตตฺถ อาโลโก ติฎฺฐติเยวฯ ทิวสมฺปิ นิสีทิตฺวา ปสฺสโต รูปทสฺสนํ โหติฯ ตตฺถ ยทา ตสฺส ภิกฺขุโน มํสจกฺขุสฺส อนาปาถคตํ อโนฺตกุจฺฉิคตํ หทยวตฺถุนิสฺสิตํ เหฎฺฐาปถวีตลนิสฺสิตํ ติโรกุฎฺฎปพฺพตปาการคตํ ปรจกฺกวาฬคตนฺติ อิทํ รูปํ ญาณจกฺขุสฺส อาปาถํ อาคจฺฉติ, มํสจกฺขุนา ทิสฺสมานํ วิย โหติ, ตทา ทิพฺพจกฺขุ อุปฺปนฺนํ โหติฯ ตเทว เจตฺถ รูปทสฺสนสมตฺถํ, น ปุพฺพภาคจิตฺตานิฯ

    106. Dibbacakkhuñāṇaniddese ālokasaññaṃ manasi karotīti divā vā rattiṃ vā sūriyajoticandamaṇiālokaṃ ālokoti manasi karoti. Evaṃ manasikaronto ca ālokoti saññaṃ manasi pavattanato ‘‘ālokasaññaṃ manasi karotī’’ti vuccati. Divāsaññaṃ adhiṭṭhātīti evaṃ ālokasaññaṃ manasikaritvā divāti saññaṃ ṭhapeti. Yathādivā tathā rattinti yathā divā āloko diṭṭho, tatheva rattimpi manasi karoti. Yathā rattiṃ tathā divāti yathā rattiṃ āloko diṭṭho, tatheva divāpi manasi karoti. Iti vivaṭena cetasāti evaṃ apihitena cittena. Apariyonaddhenāti samantato anaddhena. Sappabhāsaṃ cittaṃ bhāvetīti saobhāsaṃ cittaṃ vaḍḍheti. Etena dibbacakkhussa parikammālokārammaṇaṃ cittaṃ kathitaṃ. Ālokakasiṇārammaṇaṃ catutthajjhānameva vā sandhāya vuttaṃ. Tassevaṃ bhāvayato obhāsajātaṃ cittaṃ hoti vigatandhakārāvaraṇaṃ. Tena hi dibbacakkhuṃ uppādetukāmena ādikammikena kulaputtena imissāyeva pāḷiyā anusārena kasiṇārammaṇaṃ abhiññāpādakajjhānaṃ sabbākārena abhinīhārakkhamaṃ katvā ‘‘tejokasiṇaṃ odātakasiṇaṃ ālokakasiṇa’’nti imesu tīsu kasiṇesu aññataraṃ āsannaṃ kātabbaṃ, upacārajjhānagocaraṃ katvā vaḍḍhetvā ṭhapetabbaṃ, na tattha appanā uppādetabbāti adhippāyo. Sace hi uppādeti, pādakajjhānanissayaṃ hoti, na parikammanissayaṃ. Imesu ca pana tīsu ālokakasiṇaṃyeva seṭṭhataraṃ, tadanulomena pana itaraṃ kasiṇadvayampi vuttaṃ. Tasmā ālokakasiṇaṃ itaresaṃ vā aññataraṃ ārammaṇaṃ katvā cattāri jhānāni uppādetvā puna upacārabhūmiyaṃyeva ṭhatvā kasiṇaṃ vaḍḍhetabbaṃ. Vaḍḍhitavaḍḍhitaṭṭhānassa antoyeva rūpagataṃ passitabbaṃ. Rūpagataṃ passato panassa tena byāpārena parikammacittena ālokapharaṇaṃ akubbato parikammassa vāro atikkamati, tato āloko antaradhāyati, tasmiṃ antarahite rūpagatampi na dissati. Athānena punappunaṃ pādakajjhānameva pavisitvā tato vuṭṭhāya āloko pharitabbo. Evaṃ anukkamena āloko thāmagato hotīti. ‘‘Ettha āloko hotū’’ti yattakaṃ ṭhānaṃ paricchindati, tattha āloko tiṭṭhatiyeva. Divasampi nisīditvā passato rūpadassanaṃ hoti. Tattha yadā tassa bhikkhuno maṃsacakkhussa anāpāthagataṃ antokucchigataṃ hadayavatthunissitaṃ heṭṭhāpathavītalanissitaṃ tirokuṭṭapabbatapākāragataṃ paracakkavāḷagatanti idaṃ rūpaṃ ñāṇacakkhussa āpāthaṃ āgacchati, maṃsacakkhunā dissamānaṃ viya hoti, tadā dibbacakkhu uppannaṃ hoti. Tadeva cettha rūpadassanasamatthaṃ, na pubbabhāgacittāni.

    ตตฺรายํ ทิพฺพจกฺขุโน อุปฺปตฺติกฺกโม – วุตฺตปฺปการเมตํ รูปมารมฺมณํ กตฺวา มโนทฺวาราวชฺชเน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธ ตเทว รูปมารมฺมณํ กตฺวา จตฺตาริ ปญฺจ วา ชวนานิ อุปฺปชฺชนฺตีติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อิทํ ปน ญาณํ ‘‘สตฺตานํ จุตูปปาเต ญาณ’’นฺติปิ ‘‘ทิพฺพจกฺขุญาณ’’นฺติปิ วุจฺจติฯ ตํ ปเนตํ ปุถุชฺชนสฺส ปริปโนฺถ โหติฯ โส หิ ‘‘ยตฺถ ยตฺถ อาโลโก โหตู’’ติ อธิฎฺฐาติ, ตํ ตํ ปถวีสมุทฺทปพฺพเต วินิวิชฺฌิตฺวาปิ เอกาโลกํ โหติฯ อถสฺส ตตฺถ ภยานกานิ ยกฺขรกฺขสาทิรูปานิ ปสฺสโต ภยํ อุปฺปชฺชติฯ เตน จิตฺตวิเกฺขปํ ปตฺวา ฌานวิพฺภนฺตโก โหติฯ ตสฺมา รูปทสฺสเน อปฺปมเตฺตน ภวิตพฺพํฯ

    Tatrāyaṃ dibbacakkhuno uppattikkamo – vuttappakārametaṃ rūpamārammaṇaṃ katvā manodvārāvajjane uppajjitvā niruddhe tadeva rūpamārammaṇaṃ katvā cattāri pañca vā javanāni uppajjantīti pubbe vuttanayeneva veditabbaṃ. Idaṃ pana ñāṇaṃ ‘‘sattānaṃ cutūpapāte ñāṇa’’ntipi ‘‘dibbacakkhuñāṇa’’ntipi vuccati. Taṃ panetaṃ puthujjanassa paripantho hoti. So hi ‘‘yattha yattha āloko hotū’’ti adhiṭṭhāti, taṃ taṃ pathavīsamuddapabbate vinivijjhitvāpi ekālokaṃ hoti. Athassa tattha bhayānakāni yakkharakkhasādirūpāni passato bhayaṃ uppajjati. Tena cittavikkhepaṃ patvā jhānavibbhantako hoti. Tasmā rūpadassane appamattena bhavitabbaṃ.

    สตฺตานํ จุตูปปาตญาณายาติ สตฺตานํ จุติยา จ อุปปาเต จ ญาณายฯ เยน ญาเณน สตฺตานํ จุติ จ อุปปาโต จ ญายติ, ตทตฺถํ ทิพฺพจกฺขุญาณตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ทิเพฺพน จกฺขุนาติ วุตฺตตฺถเมวฯ วิสุเทฺธนาติ จุตูปปาตทสฺสเนน ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุตฺตา วิสุทฺธํฯ โย หิ จุติมตฺตเมว ปสฺสติ, น อุปปาตํ, โส อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ โย อุปปาตเมว ปสฺสติ, น จุติํ, โส นวสตฺตปาตุภาวทิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ โย ปน ตทุภยํ ปสฺสติ, โส ยสฺมา ทุวิธมฺปิ ตํ ทิฎฺฐิคตมติวตฺตติ, ตสฺมาสฺส ตํ ทสฺสนํ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุ โหติฯ อุภยเญฺจตํ พุทฺธปุตฺตา ปสฺสนฺติ ฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘จุตูปปาตทสฺสเนน ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุตฺตา วิสุทฺธ’’นฺติฯ มนุสฺสูปจารํ อติกฺกมิตฺวา รูปทสฺสเนน อติกฺกนฺตมานุสกํ, มานุสกํ วา มํสจกฺขุํ อติกฺกนฺตตฺตา อติกฺกนฺตมานุสกํฯ เตน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกนฯ

    Sattānaṃ cutūpapātañāṇāyāti sattānaṃ cutiyā ca upapāte ca ñāṇāya. Yena ñāṇena sattānaṃ cuti ca upapāto ca ñāyati, tadatthaṃ dibbacakkhuñāṇatthanti vuttaṃ hoti. Dibbena cakkhunāti vuttatthameva. Visuddhenāti cutūpapātadassanena diṭṭhivisuddhihetuttā visuddhaṃ. Yo hi cutimattameva passati, na upapātaṃ, so ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Yo upapātameva passati, na cutiṃ, so navasattapātubhāvadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Yo pana tadubhayaṃ passati, so yasmā duvidhampi taṃ diṭṭhigatamativattati, tasmāssa taṃ dassanaṃ diṭṭhivisuddhihetu hoti. Ubhayañcetaṃ buddhaputtā passanti . Tena vuttaṃ – ‘‘cutūpapātadassanena diṭṭhivisuddhihetuttā visuddha’’nti. Manussūpacāraṃ atikkamitvā rūpadassanena atikkantamānusakaṃ, mānusakaṃ vā maṃsacakkhuṃ atikkantattā atikkantamānusakaṃ. Tena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena.

    สเตฺต ปสฺสตีติ มนุสฺสานํ มํสจกฺขุนา วิย สเตฺต โอโลเกติฯ จวมาเน อุปปชฺชมาเนติ เอตฺถ จุติกฺขเณ อุปปตฺติกฺขเณ วา ทิพฺพจกฺขุนา ทฎฺฐุํ น สกฺกา, เย ปน อาสนฺนจุติกา อิทานิ จวิสฺสนฺติฯ เต จวมานาฯ เย จ คหิตปฎิสนฺธิกา สมฺปตินิพฺพตฺตา วา, เต อุปปชฺชมานาติ อธิเปฺปตาฯ เต เอวรูเป จวมาเน จ อุปปชฺชมาเน จ ปสฺสตีติ ทเสฺสติฯ หีเนติ โมหนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา หีนานํ ชาติกุลโภคาทีนํ วเสน หีฬิเต โอหีฬิเต โอญฺญาเต อวญฺญาเตฯ ปณีเตติ อโมหนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา ตพฺพิปรีเตฯ สุวเณฺณติ อโทสนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา อิฎฺฐกนฺตมนาปวณฺณยุเตฺตฯ ทุพฺพเณฺณติ โทสนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา อนิฎฺฐากนฺตามนาปวณฺณยุเตฺต, อนภิรูเป วิรูเปติปิ อโตฺถฯ สุคเตติ สุคติคเต, อโลภนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา วา อเฑฺฒ มหทฺธเนฯ ทุคฺคเตติ ทุคฺคติคเต, โลภนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา วา ทลิเทฺท อปฺปนฺนปาเนฯ ยถากมฺมูปเคติ ยํ ยํ กมฺมํ อุปจิตํ, เตน เตน อุปคเตฯ ตตฺถ ปุริเมหิ ‘‘จวมาเน’’ติอาทีหิ ทิพฺพจกฺขุกิจฺจํ วุตฺตํ, อิมินา ปน ปเทน ยถากมฺมูปคญาณกิจฺจํฯ

    Satte passatīti manussānaṃ maṃsacakkhunā viya satte oloketi. Cavamāne upapajjamāneti ettha cutikkhaṇe upapattikkhaṇe vā dibbacakkhunā daṭṭhuṃ na sakkā, ye pana āsannacutikā idāni cavissanti. Te cavamānā. Ye ca gahitapaṭisandhikā sampatinibbattā vā, te upapajjamānāti adhippetā. Te evarūpe cavamāne ca upapajjamāne ca passatīti dasseti. Hīneti mohanissandayuttattā hīnānaṃ jātikulabhogādīnaṃ vasena hīḷite ohīḷite oññāte avaññāte. Paṇīteti amohanissandayuttattā tabbiparīte. Suvaṇṇeti adosanissandayuttattā iṭṭhakantamanāpavaṇṇayutte. Dubbaṇṇeti dosanissandayuttattā aniṭṭhākantāmanāpavaṇṇayutte, anabhirūpe virūpetipi attho. Sugateti sugatigate, alobhanissandayuttattā vā aḍḍhe mahaddhane. Duggateti duggatigate, lobhanissandayuttattā vā dalidde appannapāne. Yathākammūpageti yaṃ yaṃ kammaṃ upacitaṃ, tena tena upagate. Tattha purimehi ‘‘cavamāne’’tiādīhi dibbacakkhukiccaṃ vuttaṃ, iminā pana padena yathākammūpagañāṇakiccaṃ.

    ตสฺส จ ญาณสฺส อยมุปฺปตฺติกฺกโม – อิธ ภิกฺขุ เหฎฺฐานิรยาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา เนรยิเก สเตฺต ปสฺสติ มหาทุกฺขมนุภวมาเน, ตํ ทสฺสนํ ทิพฺพจกฺขุกิจฺจเมวฯ โส เอวํ มนสิ กโรติ ‘‘กิํ นุ โข กมฺมํ กตฺวา อิเม สตฺตา เอตํ ทุกฺขมนุภวนฺตี’’ติฯ อถสฺส ‘‘อิทํ นาม กตฺวา’’ติ ตํกมฺมารมฺมณํ ญาณมุปฺปชฺชติฯ ตถา อุปริเทวโลกาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา นนฺทนวนมิสฺสกวนผารุสกวนาทีสุ สเตฺต ปสฺสติ มหาสมฺปตฺติํ อนุภวมาเน, ตมฺปิ ทสฺสนํ ทิพฺพจกฺขุกิจฺจเมวฯ โส เอวํ มนสิ กโรติ ‘‘กิํ นุ โข กมฺมํ กตฺวา อิเม สตฺตา เอตํ สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตี’’ติฯ อถสฺส ‘‘อิทํ นาม กตฺวา’’ติ ตํกมฺมารมฺมณํ ญาณมุปฺปชฺชติฯ อิทํ ยถากมฺมูปคญาณํ นามฯ อิมสฺส วิสุํ ปริกมฺมํ นาม นตฺถิฯ ยถา จิมสฺส, เอวํ อนาคตํสญาณสฺสาปิฯ ทิพฺพจกฺขุปาทกาเนว หิ อิมานิ ทิพฺพจกฺขุนา สเหว อิชฺฌนฺติฯ

    Tassa ca ñāṇassa ayamuppattikkamo – idha bhikkhu heṭṭhānirayābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā nerayike satte passati mahādukkhamanubhavamāne, taṃ dassanaṃ dibbacakkhukiccameva. So evaṃ manasi karoti ‘‘kiṃ nu kho kammaṃ katvā ime sattā etaṃ dukkhamanubhavantī’’ti. Athassa ‘‘idaṃ nāma katvā’’ti taṃkammārammaṇaṃ ñāṇamuppajjati. Tathā uparidevalokābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā nandanavanamissakavanaphārusakavanādīsu satte passati mahāsampattiṃ anubhavamāne, tampi dassanaṃ dibbacakkhukiccameva. So evaṃ manasi karoti ‘‘kiṃ nu kho kammaṃ katvā ime sattā etaṃ sampattiṃ anubhavantī’’ti. Athassa ‘‘idaṃ nāma katvā’’ti taṃkammārammaṇaṃ ñāṇamuppajjati. Idaṃ yathākammūpagañāṇaṃ nāma. Imassa visuṃ parikammaṃ nāma natthi. Yathā cimassa, evaṃ anāgataṃsañāṇassāpi. Dibbacakkhupādakāneva hi imāni dibbacakkhunā saheva ijjhanti.

    อิเม วต โภโนฺตติอาทีสุ อิเมติ ทิพฺพจกฺขุนา ทิฎฺฐานํ นิทสฺสนวจนํฯ วตาติ อนุโลมวจนเตฺถ นิปาโตฯ โภโนฺตติ ภวโนฺตฯ ทุฎฺฐุ จริตํ, ทุฎฺฐํ วา จริตํ กิเลสปูติกตฺตาติ ทุจฺจริตํ, กาเยน ทุจฺจริตํ, กายโต วา อุปฺปนฺนํ ทุจฺจริตนฺติ กายทุจฺจริตํ ฯ อิตเรสุปิ เอเสว นโยฯ สมนฺนาคตาติ สมงฺคีภูตาฯ อริยานํ อุปวาทกาติ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกานํ อริยานํ อนฺตมโส คิหิโสตาปนฺนานมฺปิ อนตฺถกามา หุตฺวา อนฺติมวตฺถุนา วา คุณปริธํสเนน วา อุปวาทกา, อโกฺกสกา ครหกาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ ‘‘นตฺถิ อิเมสํ สมณธโมฺม, อสฺสมณา เอเต’’ติ วทโนฺต อนฺติมวตฺถุนา อุปวทติ, ‘‘นตฺถิ อิเมสํ ฌานํ วา วิโมโกฺข วา มโคฺค วา ผลํ วา’’ติอาทีนิ วทโนฺต คุณปริธํสเนน อุปวทตีติ เวทิตโพฺพฯ โส จ ชานํ วา อุปวเทยฺย อชานํ วา, อุภยถาปิ อริยูปวาโทว โหติฯ ภาริยํ กมฺมํ อานนฺตริยสทิสํ สคฺคาวรณํ มคฺคาวรณญฺจ, สเตกิจฺฉํ ปน โหติฯ ตสฺมา โย อริยํ อุปวทติ, เตน คนฺตฺวา สเจ อตฺตนา วุฑฺฒตโร โหติ, อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา ‘‘อหํ อายสฺมนฺตํ อิทญฺจิทญฺจ อวจํ, ตํ เม ขมาหี’’ติ ขมาเปตโพฺพฯ สเจ นวกตโร โหติ, วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ตุเมฺห อิทญฺจิทญฺจ อวจํ, ตํ เม ขมถา’’ติ ขมาเปตโพฺพฯ สเจ ทิสาปกฺกโนฺต โหติ, สยํ วา คนฺตฺวา สทฺธิวิหาริกาทิเก วา เปเสตฺวา ขมาเปตโพฺพฯ สเจ นาปิ คนฺตุํ น เปเสตุํ สกฺกา โหติ, เย ตสฺมิํ วิหาเร ภิกฺขู วสนฺติ, เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา สเจ นวกตรา โหนฺติ, อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา, สเจ วุฑฺฒตรา, วุเฑฺฒ วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, อสุกํ นาม อายสฺมนฺตํ อิทญฺจิทญฺจ อวจํ, ขมตุ เม โส อายสฺมา’’ติ วตฺวา ขมาเปตโพฺพฯ สมฺมุขา อกฺขมเนฺตปิ เอตเทว กาตพฺพํฯ สเจ เอกจาริกภิกฺขุ โหติ, เนว ตสฺส วสนฎฺฐานํ, น คตฎฺฐานํ ปญฺญายติ, เอกสฺส ปณฺฑิตสฺส ภิกฺขุโน สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, อสุกํ นาม อายสฺมนฺตํ อิทญฺจิทญฺจ อวจํ, ตํ เม อนุสฺสรโต วิปฺปฎิสาโร โหติ, กิํ กโรมี’’ติ วตฺตพฺพํฯ โส วกฺขติ ‘‘ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถ, เถโร ตุมฺหากํ ขมติ, จิตฺตํ วูปสเมถา’’ติฯ เตนาปิ อริยสฺส คตทิสาภิมุเขน อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ‘‘ขมถา’’ติ วตฺตพฺพํฯ ยทิ โส ปรินิพฺพุโต โหติ, ปรินิพฺพุตมญฺจฎฺฐานํ คนฺตฺวา ยาว สิวถิกํ คนฺตฺวาปิ ขมาเปตพฺพํฯ เอวํ กเต เนว สคฺคาวรณํ, น มคฺคาวรณํ โหติ, ปากติกเมว โหตีติฯ

    Ime vata bhontotiādīsu imeti dibbacakkhunā diṭṭhānaṃ nidassanavacanaṃ. Vatāti anulomavacanatthe nipāto. Bhontoti bhavanto. Duṭṭhu caritaṃ, duṭṭhaṃ vā caritaṃ kilesapūtikattāti duccaritaṃ, kāyena duccaritaṃ, kāyato vā uppannaṃ duccaritanti kāyaduccaritaṃ. Itaresupi eseva nayo. Samannāgatāti samaṅgībhūtā. Ariyānaṃ upavādakāti buddhapaccekabuddhasāvakānaṃ ariyānaṃ antamaso gihisotāpannānampi anatthakāmā hutvā antimavatthunā vā guṇaparidhaṃsanena vā upavādakā, akkosakā garahakāti vuttaṃ hoti. Tattha ‘‘natthi imesaṃ samaṇadhammo, assamaṇā ete’’ti vadanto antimavatthunā upavadati, ‘‘natthi imesaṃ jhānaṃ vā vimokkho vā maggo vā phalaṃ vā’’tiādīni vadanto guṇaparidhaṃsanena upavadatīti veditabbo. So ca jānaṃ vā upavadeyya ajānaṃ vā, ubhayathāpi ariyūpavādova hoti. Bhāriyaṃ kammaṃ ānantariyasadisaṃ saggāvaraṇaṃ maggāvaraṇañca, satekicchaṃ pana hoti. Tasmā yo ariyaṃ upavadati, tena gantvā sace attanā vuḍḍhataro hoti, ukkuṭikaṃ nisīditvā ‘‘ahaṃ āyasmantaṃ idañcidañca avacaṃ, taṃ me khamāhī’’ti khamāpetabbo. Sace navakataro hoti, vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā ‘‘ahaṃ, bhante, tumhe idañcidañca avacaṃ, taṃ me khamathā’’ti khamāpetabbo. Sace disāpakkanto hoti, sayaṃ vā gantvā saddhivihārikādike vā pesetvā khamāpetabbo. Sace nāpi gantuṃ na pesetuṃ sakkā hoti, ye tasmiṃ vihāre bhikkhū vasanti, tesaṃ santikaṃ gantvā sace navakatarā honti, ukkuṭikaṃ nisīditvā, sace vuḍḍhatarā, vuḍḍhe vuttanayeneva paṭipajjitvā ‘‘ahaṃ, bhante, asukaṃ nāma āyasmantaṃ idañcidañca avacaṃ, khamatu me so āyasmā’’ti vatvā khamāpetabbo. Sammukhā akkhamantepi etadeva kātabbaṃ. Sace ekacārikabhikkhu hoti, neva tassa vasanaṭṭhānaṃ, na gataṭṭhānaṃ paññāyati, ekassa paṇḍitassa bhikkhuno santikaṃ gantvā ‘‘ahaṃ, bhante, asukaṃ nāma āyasmantaṃ idañcidañca avacaṃ, taṃ me anussarato vippaṭisāro hoti, kiṃ karomī’’ti vattabbaṃ. So vakkhati ‘‘tumhe mā cintayittha, thero tumhākaṃ khamati, cittaṃ vūpasamethā’’ti. Tenāpi ariyassa gatadisābhimukhena añjaliṃ paggahetvā ‘‘khamathā’’ti vattabbaṃ. Yadi so parinibbuto hoti, parinibbutamañcaṭṭhānaṃ gantvā yāva sivathikaṃ gantvāpi khamāpetabbaṃ. Evaṃ kate neva saggāvaraṇaṃ, na maggāvaraṇaṃ hoti, pākatikameva hotīti.

    มิจฺฉาทิฎฺฐิกาติ วิปรีตทสฺสนาฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานาติ มิจฺฉาทิฎฺฐิวเสน สมาทินฺนนานาวิธกมฺมา, เย จ มิจฺฉาทิฎฺฐิมูลเกสุ กายกมฺมาทีสุ อเญฺญปิ สมาทเปนฺติฯ เอตฺถ จ วจีทุจฺจริตคฺคหเณเนว อริยูปวาเท, มโนทุจฺจริตคฺคหเณน จ มิจฺฉาทิฎฺฐิยา สงฺคหิตายปิ อิเมสํ ทฺวินฺนํ ปุน วจนํ มหาสาวชฺชภาวทสฺสนตฺถนฺติ เวทิตพฺพํฯ มหาสาวโชฺช หิ อริยูปวาโท อานนฺตริยสทิสตฺตาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํสมฺปทมิทํ สาริปุตฺต วทามิ ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต, เอวํ นิรเย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๔๙)ฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิโต จ มหาสาวชฺชตรํ นาม อญฺญํ นตฺถิฯ ยถาห – ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกธมฺมมฺปิ สมนุปสฺสามิ, ยํ เอวํ มหาสาวชฺชํ, ยถยิทํ, ภิกฺขเว, มิจฺฉาทิฎฺฐิ, มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมานิ, ภิกฺขเว, วชฺชานี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๑๐)ฯ

    Micchādiṭṭhikāti viparītadassanā. Micchādiṭṭhikammasamādānāti micchādiṭṭhivasena samādinnanānāvidhakammā, ye ca micchādiṭṭhimūlakesu kāyakammādīsu aññepi samādapenti. Ettha ca vacīduccaritaggahaṇeneva ariyūpavāde, manoduccaritaggahaṇena ca micchādiṭṭhiyā saṅgahitāyapi imesaṃ dvinnaṃ puna vacanaṃ mahāsāvajjabhāvadassanatthanti veditabbaṃ. Mahāsāvajjo hi ariyūpavādo ānantariyasadisattā. Vuttampi cetaṃ ‘‘seyyathāpi, sāriputta, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, evaṃsampadamidaṃ sāriputta vadāmi taṃ vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto, evaṃ niraye’’ti (ma. ni. 1.149). Micchādiṭṭhito ca mahāsāvajjataraṃ nāma aññaṃ natthi. Yathāha – ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekadhammampi samanupassāmi, yaṃ evaṃ mahāsāvajjaṃ, yathayidaṃ, bhikkhave, micchādiṭṭhi, micchādiṭṭhiparamāni, bhikkhave, vajjānī’’ti (a. ni. 1.310).

    กายสฺส เภทาติ อุปาทินฺนกฺขนฺธปริจฺจาคาฯ ปรํ มรณาติ ตทนนฺตรํ อภินิพฺพตฺติกฺขนฺธคฺคหเณฯ อถ วา กายสฺส เภทาติ ชีวิตินฺทฺริยสฺสุปเจฺฉทาฯ ปรํ มรณาติ จุติจิตฺตโต อุทฺธํฯ อปายนฺติ เอวมาทิ สพฺพํ นิรยเววจนเมวฯ นิรโย หิ สคฺคโมกฺขเหตุภูตา ปุญฺญสมฺมตา อยา อเปตตฺตา, สุขานํ วา อายสฺส อภาวา อปาโยฯ ทุกฺขสฺส คติ ปฎิสรณนฺติ ทุคฺคติ, โทสพหุลตาย วา ทุเฎฺฐน กมฺมุนา นิพฺพตฺตา คติ ทุคฺคติฯ วิวสา นิปตนฺติ ตตฺถ ทุกฺกฎการิโนติ วินิปาโต, วินสฺสนฺตา วา เอตฺถ ปตนฺติ สมฺภิชฺชมานงฺคปจฺจงฺคาติปิ วินิปาโตฯ นตฺถิ เอตฺถ อสฺสาทสญฺญิโต อโยติ นิรโย

    Kāyassabhedāti upādinnakkhandhapariccāgā. Paraṃ maraṇāti tadanantaraṃ abhinibbattikkhandhaggahaṇe. Atha vā kāyassa bhedāti jīvitindriyassupacchedā. Paraṃ maraṇāti cuticittato uddhaṃ. Apāyanti evamādi sabbaṃ nirayavevacanameva. Nirayo hi saggamokkhahetubhūtā puññasammatā ayā apetattā, sukhānaṃ vā āyassa abhāvā apāyo. Dukkhassa gati paṭisaraṇanti duggati, dosabahulatāya vā duṭṭhena kammunā nibbattā gati duggati. Vivasā nipatanti tattha dukkaṭakārinoti vinipāto, vinassantā vā ettha patanti sambhijjamānaṅgapaccaṅgātipi vinipāto. Natthi ettha assādasaññito ayoti nirayo.

    อถ วา อปายคฺคหเณน ติรจฺฉานโยนิํ ทีเปติฯ ติรจฺฉานโยนิ หิ อปาโย สุคติโต อเปตตฺตา, น ทุคฺคติ มเหสกฺขานํ นาคราชาทีนํ สมฺภวโตฯ ทุคฺคติคฺคหเณน เปตฺติวิสยํฯ โส หิ อปาโย เจว ทุคฺคติ จ สุคติโต อเปตตฺตา ทุกฺขสฺส จ คติภูตตฺตา, น ตุ วินิปาโต อสุรสทิสํ อวินิปติตตฺตาฯ วินิปาตคฺคหเณน อสุรกายํฯ โส หิ ยถาวุเตฺตน อเตฺถน อปาโย เจว ทุคฺคติ จ สพฺพสมุสฺสเยหิ จ วินิปติตตฺตา วินิปาโตติ วุจฺจติฯ นิรยคฺคหเณน อวีจิอาทิมเนกปฺปการํ นิรยเมวาติฯ อุปปนฺนาติ อุปคตา, ตตฺถ อภินิพฺพตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ วุตฺตวิปริยาเยน สุกฺกปโกฺข เวทิตโพฺพฯ

    Atha vā apāyaggahaṇena tiracchānayoniṃ dīpeti. Tiracchānayoni hi apāyo sugatito apetattā, na duggati mahesakkhānaṃ nāgarājādīnaṃ sambhavato. Duggatiggahaṇena pettivisayaṃ. So hi apāyo ceva duggati ca sugatito apetattā dukkhassa ca gatibhūtattā, na tu vinipāto asurasadisaṃ avinipatitattā. Vinipātaggahaṇena asurakāyaṃ. So hi yathāvuttena atthena apāyo ceva duggati ca sabbasamussayehi ca vinipatitattā vinipātoti vuccati. Nirayaggahaṇena avīciādimanekappakāraṃ nirayamevāti. Upapannāti upagatā, tattha abhinibbattāti adhippāyo. Vuttavipariyāyena sukkapakkho veditabbo.

    อยํ ปน วิเสโส – ตตฺถ สุคติคฺคหเณน มนุสฺสคติปิ สงฺคยฺหติ, สคฺคคฺคหเณน เทวคติเยวฯ ตตฺถ สุนฺทรา คตีติ สุคติฯ รูปาทีหิ วิสเยหิ สุฎฺฐุ อโคฺคติ สโคฺคฯ โส สโพฺพปิ ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน โลโกติ อยํ วจนโตฺถฯ อิติ ‘‘ทิเพฺพน จกฺขุนา’’ติอาทิ สพฺพํ นิคมนวจนํฯ เอวํ ทิเพฺพน จกฺขุนา ปสฺสตีติ อยเมตฺถ สเงฺขปโตฺถติฯ

    Ayaṃ pana viseso – tattha sugatiggahaṇena manussagatipi saṅgayhati, saggaggahaṇena devagatiyeva. Tattha sundarā gatīti sugati. Rūpādīhi visayehi suṭṭhu aggoti saggo. So sabbopi lujjanapalujjanaṭṭhena lokoti ayaṃ vacanattho. Iti ‘‘dibbena cakkhunā’’tiādi sabbaṃ nigamanavacanaṃ. Evaṃ dibbena cakkhunā passatīti ayamettha saṅkhepatthoti.

    ทิพฺพจกฺขุญาณนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dibbacakkhuñāṇaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปญฺจญาณปกิณฺณกํ

    Pañcañāṇapakiṇṇakaṃ

    อิเมสุ ปญฺจสุ ญาเณสุ อิทฺธิวิธญาณํ ปริตฺตมหคฺคตอตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนอชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณวเสน สตฺตสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺตติฯ โสตธาตุวิสุทฺธิญาณํ ปริตฺตปจฺจุปฺปนฺนอชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณวเสน จตูสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺตติฯ เจโตปริยญาณํ ปริตฺตมหคฺคตอปฺปมาณมคฺคอตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนพหิทฺธารมฺมณวเสน อฎฺฐสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺตติฯ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ

    Imesu pañcasu ñāṇesu iddhividhañāṇaṃ parittamahaggataatītānāgatapaccuppannaajjhattabahiddhārammaṇavasena sattasu ārammaṇesu pavattati. Sotadhātuvisuddhiñāṇaṃ parittapaccuppannaajjhattabahiddhārammaṇavasena catūsu ārammaṇesu pavattati. Cetopariyañāṇaṃ parittamahaggataappamāṇamaggaatītānāgatapaccuppannabahiddhārammaṇavasena aṭṭhasu ārammaṇesu pavattati. Pubbenivāsānussatiñāṇaṃ

    ปริตฺตมหคฺคตอปฺปมาณมคฺคอตีตอชฺฌตฺตพหิทฺธานวตฺตพฺพารมฺมณวเสน อฎฺฐสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺตติฯ ทิพฺพจกฺขุญาณํ ปริตฺตปจฺจุปฺปนฺนอชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณวเสน จตูสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺตติฯ ยถากมฺมูปคญาณํ ปริตฺตมหคฺคตอตีตอชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณวเสน ปญฺจสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺตติฯ อนาคตํสญาณํ ปริตฺตมหคฺคตอปฺปมาณมคฺคอนาคตอชฺฌตฺตพหิทฺธานวตฺตพฺพารมฺมณวเสน อฎฺฐสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺตตีติฯ

    Parittamahaggataappamāṇamaggaatītaajjhattabahiddhānavattabbārammaṇavasena aṭṭhasu ārammaṇesu pavattati. Dibbacakkhuñāṇaṃ parittapaccuppannaajjhattabahiddhārammaṇavasena catūsu ārammaṇesu pavattati. Yathākammūpagañāṇaṃ parittamahaggataatītaajjhattabahiddhārammaṇavasena pañcasu ārammaṇesu pavattati. Anāgataṃsañāṇaṃ parittamahaggataappamāṇamaggaanāgataajjhattabahiddhānavattabbārammaṇavasena aṭṭhasu ārammaṇesu pavattatīti.

    ปญฺจญาณปกิณฺณกํ นิฎฺฐิตํฯ

    Pañcañāṇapakiṇṇakaṃ niṭṭhitaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๕๔. ทิพฺพจกฺขุญาณนิเทฺทโส • 54. Dibbacakkhuñāṇaniddeso


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact