Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. ทีฆนขสุตฺตวณฺณนา

    4. Dīghanakhasuttavaṇṇanā

    ๒๐๑. เอวํ เม สุตนฺติ ทีฆนขสุตฺตํฯ ตตฺถ สูกรขตายนฺติ สูกรขตาติ เอวํนามเก เลเณฯ กสฺสปพุทฺธกาเล กิร ตํ เลณํ เอกสฺมิํ พุทฺธนฺตเร ปถวิยา วฑฺฒมานาย อโนฺตภูมิคตํ ชาตํฯ อเถกทิวสํ เอโก สูกโร ตสฺส ฉทนปริยนฺตสมีเป ปํสุํ ขณิฯ เทเว วุเฎฺฎ ปํสุโธโต ฉทนปริยโนฺต ปากโฎ อโหสิฯ เอโก วนจรโก ทิสฺวา – ‘‘ปุเพฺพ สีลวเนฺตหิ ปริภุตฺตเลเณน ภวิตพฺพํ, ปฎิชคฺคิสฺสามิ น’’นฺติ สมนฺตโต ปํสุํ อปเนตฺวา เลณํ โสเธตฺวา กุฎฺฎปริเกฺขปํ กตฺวา ทฺวารวาตปานํ โยเชตฺวา สุปรินิฎฺฐิต-สุธากมฺมจิตฺตกมฺมรชตปฎฺฎสทิสาย วาลุกาย สนฺถตปริเวณํ เลณํ กตฺวา มญฺจปีฐํ ปญฺญาเปตฺวา ภควโต วสนตฺถาย อทาสิฯ เลณํ คมฺภีรํ อโหสิ โอตริตฺวา อภิรุหิตพฺพํฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    201.Evaṃme sutanti dīghanakhasuttaṃ. Tattha sūkarakhatāyanti sūkarakhatāti evaṃnāmake leṇe. Kassapabuddhakāle kira taṃ leṇaṃ ekasmiṃ buddhantare pathaviyā vaḍḍhamānāya antobhūmigataṃ jātaṃ. Athekadivasaṃ eko sūkaro tassa chadanapariyantasamīpe paṃsuṃ khaṇi. Deve vuṭṭe paṃsudhoto chadanapariyanto pākaṭo ahosi. Eko vanacarako disvā – ‘‘pubbe sīlavantehi paribhuttaleṇena bhavitabbaṃ, paṭijaggissāmi na’’nti samantato paṃsuṃ apanetvā leṇaṃ sodhetvā kuṭṭaparikkhepaṃ katvā dvāravātapānaṃ yojetvā supariniṭṭhita-sudhākammacittakammarajatapaṭṭasadisāya vālukāya santhatapariveṇaṃ leṇaṃ katvā mañcapīṭhaṃ paññāpetvā bhagavato vasanatthāya adāsi. Leṇaṃ gambhīraṃ ahosi otaritvā abhiruhitabbaṃ. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.

    ทีฆนโขติ ตสฺส ปริพฺพาชกสฺส นามํฯ อุปสงฺกมีติ กสฺมา อุปสงฺกมิ? โส กิร เถเร อฑฺฒมาสปพฺพชิเต จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ มาตุโล อญฺญํ ปาสณฺฑํ คนฺตฺวา น จิรํ ติฎฺฐติ, อิทานิ ปนสฺส สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ คตสฺส อฑฺฒมาโส ชาโตฯ ปวตฺติมฺปิสฺส น สุณามิ, โอชวนฺตํ นุ โข สาสนํ, ชานิสฺสามิ น’’นฺติ คนฺตุกาโม ชาโตฯ ตสฺมา อุปสงฺกมิฯ เอกมนฺตํ ฐิโตติ ตสฺมิํ กิร สมเย เถโร ภควนฺตํ พีชยมาโน ฐิโต โหติ, ปริพฺพาชโก มาตุเล หิโรตฺตเปฺปน ฐิตโกว ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอกมนฺตํ ฐิโต’’ติฯ

    Dīghanakhoti tassa paribbājakassa nāmaṃ. Upasaṅkamīti kasmā upasaṅkami? So kira there aḍḍhamāsapabbajite cintesi – ‘‘mayhaṃ mātulo aññaṃ pāsaṇḍaṃ gantvā na ciraṃ tiṭṭhati, idāni panassa samaṇassa gotamassa santikaṃ gatassa aḍḍhamāso jāto. Pavattimpissa na suṇāmi, ojavantaṃ nu kho sāsanaṃ, jānissāmi na’’nti gantukāmo jāto. Tasmā upasaṅkami. Ekamantaṃ ṭhitoti tasmiṃ kira samaye thero bhagavantaṃ bījayamāno ṭhito hoti, paribbājako mātule hirottappena ṭhitakova pañhaṃ pucchi. Tena vuttaṃ ‘‘ekamantaṃ ṭhito’’ti.

    สพฺพํ เม นกฺขมตีติ สพฺพา เม อุปปตฺติโย นกฺขมนฺติ, ปฎิสนฺธิโย นกฺขมนฺตีติ อธิปฺปาเยน วทติฯ เอตฺตาวตาเนน ‘‘อุเจฺฉทวาโทหมสฺมี’’ติ ทีปิตํ โหติฯ ภควา ปนสฺส อธิปฺปายํ มุญฺจิตฺวา อกฺขเร ตาว โทสํ ทเสฺสโนฺต ยาปิ โข เตติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอสาปิ เต ทิฎฺฐิ นกฺขมตีติ เอสาปิ เต ปฐมํ รุจฺจิตฺวา ขมาเปตฺวา คหิตทิฎฺฐิ นกฺขมตีติฯ เอสา เจ เม, โภ โคตม, ทิฎฺฐิ ขเมยฺยาติ มยฺหญฺหิ สพฺพํ นกฺขมตีติ ทิฎฺฐิ, ตสฺส มยฺหํ ยา เอสา สพฺพํ เม นกฺขมตีติ ทิฎฺฐิ, เอสา เม ขเมยฺยฯ ยํ ตํ ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ วุตฺตํ, ตมฺปิสฺส ตาทิสเมวฯ ยถา สพฺพคหเณน คหิตาปิ อยํ ทิฎฺฐิ ขมติ, เอวเมวํ ตมฺปิ ขเมยฺย ฯ เอวํ อตฺตโน วาเท อาโรปิตํ โทสํ ญตฺวา ตํ ปริหรามีติ สญฺญาย วทติ, อตฺถโต ปนสฺส ‘‘เอสา ทิฎฺฐิ น เม ขมตี’’ติ อาปชฺชติฯ ยสฺส ปเนสา น ขมติ น รุจฺจติ, ตสฺสายํ ตาย ทิฎฺฐิยา สพฺพํ เม น ขมตีติ ทิฎฺฐิ รุจิตํฯ เตน หิ ทิฎฺฐิอกฺขเมน อรุจิเตน ภวิตพฺพนฺติ สพฺพํ ขมตีติ รุจฺจตีติ อาปชฺชติฯ น ปเนส ตํ สมฺปฎิจฺฉติ, เกวลํ ตสฺสาปิ อุเจฺฉททิฎฺฐิยา อุเจฺฉทเมว คณฺหาติฯ เตนาห ภควา อโต โข เต, อคฺคิเวสฺสน,…เป.… อญฺญญฺจ ทิฎฺฐิํ อุปาทิยนฺตีติฯ ตตฺถ อโตติ ปชหนเกสุ นิสฺสกฺกํ, เย ปชหนฺติ, เตหิ เย นปฺปชหนฺตีติ วุจฺจิยนฺติ, เตว พหุตราติ อโตฺถฯ พหู หิ พหุตราติ เอตฺถ หิกาโร นิปาตมตฺตํ, พหู พหุตราติ อโตฺถฯ ปรโต ตนู หิ ตนุตราติ ปเทปิ เอเสว นโยฯ เย เอวมาหํสูติ เย เอวํ วทนฺติฯ ตเญฺจว ทิฎฺฐิํ นปฺปชหนฺติ, อญฺญญฺจ ทิฎฺฐิํ อุปาทิยนฺตีติ มูลทสฺสนํ นปฺปชหนฺติ, อปรทสฺสนํ อุปาทิยนฺติฯ

    Sabbaṃ me nakkhamatīti sabbā me upapattiyo nakkhamanti, paṭisandhiyo nakkhamantīti adhippāyena vadati. Ettāvatānena ‘‘ucchedavādohamasmī’’ti dīpitaṃ hoti. Bhagavā panassa adhippāyaṃ muñcitvā akkhare tāva dosaṃ dassento yāpi kho tetiādimāha. Tattha esāpi te diṭṭhi nakkhamatīti esāpi te paṭhamaṃ ruccitvā khamāpetvā gahitadiṭṭhi nakkhamatīti. Esā ce me, bho gotama, diṭṭhi khameyyāti mayhañhi sabbaṃ nakkhamatīti diṭṭhi, tassa mayhaṃ yā esā sabbaṃ me nakkhamatīti diṭṭhi, esā me khameyya. Yaṃ taṃ ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti vuttaṃ, tampissa tādisameva. Yathā sabbagahaṇena gahitāpi ayaṃ diṭṭhi khamati, evamevaṃ tampi khameyya . Evaṃ attano vāde āropitaṃ dosaṃ ñatvā taṃ pariharāmīti saññāya vadati, atthato panassa ‘‘esā diṭṭhi na me khamatī’’ti āpajjati. Yassa panesā na khamati na ruccati, tassāyaṃ tāya diṭṭhiyā sabbaṃ me na khamatīti diṭṭhi rucitaṃ. Tena hi diṭṭhiakkhamena arucitena bhavitabbanti sabbaṃ khamatīti ruccatīti āpajjati. Na panesa taṃ sampaṭicchati, kevalaṃ tassāpi ucchedadiṭṭhiyā ucchedameva gaṇhāti. Tenāha bhagavā ato kho te, aggivessana,…pe… aññañca diṭṭhiṃ upādiyantīti. Tattha atoti pajahanakesu nissakkaṃ, ye pajahanti, tehi ye nappajahantīti vucciyanti, teva bahutarāti attho. Bahū hi bahutarāti ettha hikāro nipātamattaṃ, bahū bahutarāti attho. Parato tanū hi tanutarāti padepi eseva nayo. Ye evamāhaṃsūti ye evaṃ vadanti. Tañceva diṭṭhiṃ nappajahanti, aññañca diṭṭhiṃ upādiyantīti mūladassanaṃ nappajahanti, aparadassanaṃ upādiyanti.

    เอตฺถ จ สสฺสตํ คเหตฺวา ตมฺปิ อปฺปหาย อุเจฺฉทํ วา เอกจฺจสสฺสตํ วา คเหตุํ น สกฺกา, อุเจฺฉทมฺปิ คเหตฺวา ตํ อปฺปหาย สสฺสตํ วา เอกจฺจสสฺสตํ วา น สกฺกา คเหตุํ, เอกจฺจสสฺสตมฺปิ คเหตฺวา ตํ อปฺปหาย สสฺสตํ วา อุเจฺฉทํ วา น สกฺกา คเหตุํฯ มูลสสฺสตํ ปน อปฺปหาย อญฺญํ สสฺสตเมว สกฺกา คเหตุํฯ กถํ? เอกสฺมิญฺหิ สมเย ‘‘รูปํ สสฺสต’’นฺติ คเหตฺวา อปรสฺมิํ สมเย ‘‘น สุทฺธรูปเมว สสฺสตํ, เวทนาปิ สสฺสตา, วิญฺญาณมฺปิ สสฺสต’’นฺติ คณฺหาติฯ อุเจฺฉเทปิ เอกจฺจสสฺสเตปิ เอเสว นโยฯ ยถา จ ขเนฺธสุ, เอวํ อายตเนสุปิ โยเชตพฺพํฯ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ตเญฺจว ทิฎฺฐิํ นปฺปชหนฺติ, อญฺญญฺจ ทิฎฺฐิํ อุปาทิยนฺตี’’ติฯ

    Ettha ca sassataṃ gahetvā tampi appahāya ucchedaṃ vā ekaccasassataṃ vā gahetuṃ na sakkā, ucchedampi gahetvā taṃ appahāya sassataṃ vā ekaccasassataṃ vā na sakkā gahetuṃ, ekaccasassatampi gahetvā taṃ appahāya sassataṃ vā ucchedaṃ vā na sakkā gahetuṃ. Mūlasassataṃ pana appahāya aññaṃ sassatameva sakkā gahetuṃ. Kathaṃ? Ekasmiñhi samaye ‘‘rūpaṃ sassata’’nti gahetvā aparasmiṃ samaye ‘‘na suddharūpameva sassataṃ, vedanāpi sassatā, viññāṇampi sassata’’nti gaṇhāti. Ucchedepi ekaccasassatepi eseva nayo. Yathā ca khandhesu, evaṃ āyatanesupi yojetabbaṃ. Idaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘tañceva diṭṭhiṃ nappajahanti, aññañca diṭṭhiṃ upādiyantī’’ti.

    ทุติยวาเร อโตติ อปฺปชหนเกสุ นิสฺสกฺกํ, เย นปฺปชหนฺติ, เตหิ, เย ปชหนฺตีติ วุจฺจิยนฺติ, เตว ตนุตรา อปฺปตราติ อโตฺถฯ ตเญฺจว ทิฎฺฐิํ ปชหนฺติ, อญฺญญฺจ ทิฎฺฐิํ น อุปาทิยนฺตีติ ตญฺจ มูลทสฺสนํ ปชหนฺติ, อญฺญญฺจ ทสฺสนํ น คณฺหนฺติฯ กถํ? เอกสฺมิญฺหิ สมเย ‘‘รูปํ สสฺสต’’นฺติ คเหตฺวา อปรสฺมิํ สมเย ตตฺถ อาทีนวํ ทิสฺวา ‘‘โอฬาริกเมตํ มยฺหํ ทสฺสน’’นฺติ ปชหติ ‘‘น เกวลญฺจ รูปํ สสฺสตนฺติ ทสฺสนเมว โอฬาริกํ, เวทนาปิ สสฺสตา…เป.… วิญฺญาณมฺปิ สสฺสตนฺติ ทสฺสนํ โอฬาริกเมวา’’ติ วิสฺสเชฺชติ ฯ อุเจฺฉเทปิ เอกจฺจสสฺสเตปิ เอเสว นโยฯ ยถา จ ขเนฺธสุ, เอวํ อายตเนสุปิ โยเชตพฺพํฯ เอวํ ตญฺจ มูลทสฺสนํ ปชหนฺติ, อญฺญญฺจ ทสฺสนํ น คณฺหนฺติฯ

    Dutiyavāre atoti appajahanakesu nissakkaṃ, ye nappajahanti, tehi, ye pajahantīti vucciyanti, teva tanutarā appatarāti attho. Tañceva diṭṭhiṃ pajahanti, aññañca diṭṭhiṃ na upādiyantīti tañca mūladassanaṃ pajahanti, aññañca dassanaṃ na gaṇhanti. Kathaṃ? Ekasmiñhi samaye ‘‘rūpaṃ sassata’’nti gahetvā aparasmiṃ samaye tattha ādīnavaṃ disvā ‘‘oḷārikametaṃ mayhaṃ dassana’’nti pajahati ‘‘na kevalañca rūpaṃ sassatanti dassanameva oḷārikaṃ, vedanāpi sassatā…pe… viññāṇampi sassatanti dassanaṃ oḷārikamevā’’ti vissajjeti . Ucchedepi ekaccasassatepi eseva nayo. Yathā ca khandhesu, evaṃ āyatanesupi yojetabbaṃ. Evaṃ tañca mūladassanaṃ pajahanti, aññañca dassanaṃ na gaṇhanti.

    สนฺตคฺคิเวสฺสนาติ กสฺมา อารภิ? อยํ อุเจฺฉทลทฺธิโก อตฺตโน ลทฺธิํ นิคูหติ, ตสฺสา ปน ลทฺธิยา วเณฺณ วุจฺจมาเน อตฺตโน ลทฺธิํ ปาตุกริสฺสตีติ ติโสฺส ลทฺธิโย เอกโต ทเสฺสตฺวา วิภชิตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ

    Santaggivessanāti kasmā ārabhi? Ayaṃ ucchedaladdhiko attano laddhiṃ nigūhati, tassā pana laddhiyā vaṇṇe vuccamāne attano laddhiṃ pātukarissatīti tisso laddhiyo ekato dassetvā vibhajituṃ imaṃ desanaṃ ārabhi.

    สาราคาย สนฺติเกติอาทีสุ ราควเสน วเฎฺฎ รชฺชนสฺส อาสนฺนา ตณฺหาทิฎฺฐิสํโยชเนน วฎฺฎสํโยชนสฺส สนฺติเกฯ อภินนฺทนายาติ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสเนว คิลิตฺวา ปริยาทิยนสฺส คหณสฺส จ อาสนฺนาติ อโตฺถฯ อสาราคาย สนฺติเกติอาทีสุ วเฎฺฎ อรชฺชนสฺส อาสนฺนาติอาทินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Sārāgāya santiketiādīsu rāgavasena vaṭṭe rajjanassa āsannā taṇhādiṭṭhisaṃyojanena vaṭṭasaṃyojanassa santike. Abhinandanāyāti taṇhādiṭṭhivaseneva gilitvā pariyādiyanassa gahaṇassa ca āsannāti attho. Asārāgāya santiketiādīsu vaṭṭe arajjanassa āsannātiādinā nayena attho veditabbo.

    เอตฺถ จ สสฺสตทสฺสนํ อปฺปสาวชฺชํ ทนฺธวิราคํ, อุเจฺฉททสฺสนํ มหาสาวชฺชํ ขิปฺปวิราคํฯ กถํ? สสฺสตวาที หิ อิธโลกํ ปรโลกญฺจ อตฺถีติ ชานาติ, สุกตทุกฺกฎานํ ผลํ อตฺถีติ ชานาติ, กุสลํ กโรติ, อกุสลํ กโรโนฺต ภายติ, วฎฺฎํ อสฺสาเทติ, อภินนฺทติฯ พุทฺธานํ วา พุทฺธสาวกานํ วา สมฺมุขีภูโต สีฆํ ลทฺธิํ ชหิตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺมา ตํ สสฺสตทสฺสนํ อปฺปสาวชฺชํ ทนฺธวิราคนฺติ วุจฺจติฯ อุเจฺฉทวาที ปน อิธโลกปรโลกํ อตฺถีติ ชานาติ, สุกตทุกฺกฎานํ ผลํ อตฺถีติ ชานาติ, กุสลํ น กโรติ, อกุสลํ กโรโนฺต น ภายติ, วฎฺฎํ น อสฺสาเทติ, นาภินนฺทติ, พุทฺธานํ วา พุทฺธสาวกานํ วา สมฺมุขีภาเว สีฆํ ทสฺสนํ ปชหติฯ ปารมิโย ปูเรตุํ สโกฺกโนฺต พุโทฺธ หุตฺวา, อสโกฺกโนฺต อภินีหารํ กตฺวา สาวโก หุตฺวา ปรินิพฺพายติฯ ตสฺมา อุเจฺฉททสฺสนํ มหาสาวชฺชํ ขิปฺปวิราคนฺติ วุจฺจติฯ

    Ettha ca sassatadassanaṃ appasāvajjaṃ dandhavirāgaṃ, ucchedadassanaṃ mahāsāvajjaṃ khippavirāgaṃ. Kathaṃ? Sassatavādī hi idhalokaṃ paralokañca atthīti jānāti, sukatadukkaṭānaṃ phalaṃ atthīti jānāti, kusalaṃ karoti, akusalaṃ karonto bhāyati, vaṭṭaṃ assādeti, abhinandati. Buddhānaṃ vā buddhasāvakānaṃ vā sammukhībhūto sīghaṃ laddhiṃ jahituṃ na sakkoti. Tasmā taṃ sassatadassanaṃ appasāvajjaṃ dandhavirāganti vuccati. Ucchedavādī pana idhalokaparalokaṃ atthīti jānāti, sukatadukkaṭānaṃ phalaṃ atthīti jānāti, kusalaṃ na karoti, akusalaṃ karonto na bhāyati, vaṭṭaṃ na assādeti, nābhinandati, buddhānaṃ vā buddhasāvakānaṃ vā sammukhībhāve sīghaṃ dassanaṃ pajahati. Pāramiyo pūretuṃ sakkonto buddho hutvā, asakkonto abhinīhāraṃ katvā sāvako hutvā parinibbāyati. Tasmā ucchedadassanaṃ mahāsāvajjaṃ khippavirāganti vuccati.

    ๒๐๒. โส ปน ปริพฺพาชโก เอตมตฺถํ อสลฺลเกฺขตฺวา – ‘‘มยฺหํ ทสฺสนํ สํวเณฺณติ ปสํสติ, อทฺธา เม สุนฺทรํ ทสฺสน’’นฺติ สลฺลเกฺขตฺวา อุกฺกํเสติ เม ภวนฺติอาทิมาหฯ

    202. So pana paribbājako etamatthaṃ asallakkhetvā – ‘‘mayhaṃ dassanaṃ saṃvaṇṇeti pasaṃsati, addhā me sundaraṃ dassana’’nti sallakkhetvā ukkaṃseti me bhavantiādimāha.

    อิทานิ ยสฺมา อยํ ปริพฺพาชโก กญฺชิเยเนว ติตฺตกาลาพุ, อุเจฺฉททสฺสเนเนว ปูริโต, โส ยถา กญฺชิยํ อปฺปหาย น สกฺกา ลาพุมฺหิ เตลผาณิตาทีนิ ปกฺขิปิตุํ, ปกฺขิตฺตานิปิ น คณฺหาติ, เอวเมวํ ตํ ลทฺธิํ อปฺปหาย อภโพฺพ มคฺคผลานํ ลาภาย, ตสฺมา ลทฺธิํ ชหาปนตฺถํ ตตฺรคฺคิเวสฺสนาติอาทิ อารทฺธํฯ วิคฺคโหติ กลโหฯ เอวเมตาสํ ทิฎฺฐีนํ ปหานํ โหตีติ เอวํ วิคฺคหาทิอาทีนวํ ทิสฺวา ตาสํ ทิฎฺฐีนํ ปหานํ โหติฯ โส หิ ปริพฺพาชโก ‘‘กิํ เม อิมินา วิคฺคหาทินา’’ติ ตํ อุเจฺฉททสฺสนํ ปชหติฯ

    Idāni yasmā ayaṃ paribbājako kañjiyeneva tittakālābu, ucchedadassaneneva pūrito, so yathā kañjiyaṃ appahāya na sakkā lābumhi telaphāṇitādīni pakkhipituṃ, pakkhittānipi na gaṇhāti, evamevaṃ taṃ laddhiṃ appahāya abhabbo maggaphalānaṃ lābhāya, tasmā laddhiṃ jahāpanatthaṃ tatraggivessanātiādi āraddhaṃ. Viggahoti kalaho. Evametāsaṃ diṭṭhīnaṃ pahānaṃ hotīti evaṃ viggahādiādīnavaṃ disvā tāsaṃ diṭṭhīnaṃ pahānaṃ hoti. So hi paribbājako ‘‘kiṃ me iminā viggahādinā’’ti taṃ ucchedadassanaṃ pajahati.

    ๒๐๕. อถสฺส ภควา วมิตกญฺชิเย ลาพุมฺหิ สปฺปิผาณิตาทีนิ ปกฺขิปโนฺต วิย หทเย อมโตสธํ ปูเรสฺสามีติ วิปสฺสนํ อาจิกฺขโนฺต อยํ โข ปน, อคฺคิเวสฺสน, กาโยติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ วมฺมิกสุเตฺต วุโตฺตฯ อนิจฺจโตติอาทีนิปิ เหฎฺฐา วิตฺถาริตาเนวฯ โย กายสฺมิํ กายฉโนฺทติ ยา กายสฺมิํ ตณฺหาฯ เสฺนโหติ ตณฺหาเสฺนโหวฯ กายนฺวยตาติ กายานุคมนภาโว, กายํ อนุคจฺฉนกกิเลโสติ อโตฺถฯ

    205. Athassa bhagavā vamitakañjiye lābumhi sappiphāṇitādīni pakkhipanto viya hadaye amatosadhaṃ pūressāmīti vipassanaṃ ācikkhanto ayaṃ kho pana, aggivessana, kāyotiādimāha. Tassattho vammikasutte vutto. Aniccatotiādīnipi heṭṭhā vitthāritāneva. Yo kāyasmiṃ kāyachandoti yā kāyasmiṃ taṇhā. Snehoti taṇhāsnehova. Kāyanvayatāti kāyānugamanabhāvo, kāyaṃ anugacchanakakilesoti attho.

    เอวํ รูปกมฺมฎฺฐานํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อรูปกมฺมฎฺฐานํ ทเสฺสโนฺต ติโสฺส โขติอาทิมาหฯ ปุน ตาสํเยว เวทนานํ อสมฺมิสฺสภาวํ ทเสฺสโนฺต ยสฺมิํ, อคฺคิเวสฺสน, สมเยติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – ยสฺมิํ สมเย สุขาทีสุ เอกํ เวทนํ เวทยติ, ตสฺมิํ สมเย อญฺญา เวทนา อตฺตโน วารํ วา โอกาสํ วา โอโลกยมานา นิสินฺนา นาม นตฺถิ, อถ โข อนุปฺปนฺนาว โหนฺติ ภินฺนอุทกปุปฺผุฬา วิย จ อนฺตรหิตา วาฯ สุขาปิ โขติอาทิ ตาสํ เวทนานํ จุณฺณวิจุณฺณภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ

    Evaṃ rūpakammaṭṭhānaṃ dassetvā idāni arūpakammaṭṭhānaṃ dassento tisso khotiādimāha. Puna tāsaṃyeva vedanānaṃ asammissabhāvaṃ dassento yasmiṃ, aggivessana, samayetiādimāha. Tatrāyaṃ saṅkhepattho – yasmiṃ samaye sukhādīsu ekaṃ vedanaṃ vedayati, tasmiṃ samaye aññā vedanā attano vāraṃ vā okāsaṃ vā olokayamānā nisinnā nāma natthi, atha kho anuppannāva honti bhinnaudakapupphuḷā viya ca antarahitā vā. Sukhāpi khotiādi tāsaṃ vedanānaṃ cuṇṇavicuṇṇabhāvadassanatthaṃ vuttaṃ.

    น เกนจิ สํวทตีติ ตสฺสตํ คเหตฺวา ‘‘สสฺสตวาที อห’’นฺติ อุเจฺฉทวาทินาปิ สทฺธิํ น สํวทติ, ตเมว คเหตฺวา ‘‘สสฺสตวาที อห’’นฺติ เอกจฺจสสฺสตวาทินา สทฺธิํ น วิวทติฯ เอวํ ตโยปิ วาทา ปริวเตฺตตฺวา โยเชตพฺพาฯ ยญฺจ โลเก วุตฺตนฺติ ยํ โลเก กถิตํ โวหริตํ, เตน โวหรติ อปรามสโนฺต กิญฺจิ ธมฺมํ ปรามาสคฺคาเหน อคฺคณฺหโนฺตฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Na kenaci saṃvadatīti tassataṃ gahetvā ‘‘sassatavādī aha’’nti ucchedavādināpi saddhiṃ na saṃvadati, tameva gahetvā ‘‘sassatavādī aha’’nti ekaccasassatavādinā saddhiṃ na vivadati. Evaṃ tayopi vādā parivattetvā yojetabbā. Yañca loke vuttanti yaṃ loke kathitaṃ voharitaṃ, tena voharati aparāmasanto kiñci dhammaṃ parāmāsaggāhena aggaṇhanto. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘โย โหติ ภิกฺขุ อรหํ กตาวี,

    ‘‘Yo hoti bhikkhu arahaṃ katāvī,

    ขีณาสโว อนฺติมเทหธารี;

    Khīṇāsavo antimadehadhārī;

    อหํ วทามีติปิ โส วเทยฺย,

    Ahaṃ vadāmītipi so vadeyya,

    มมํ วทนฺตีติปิ โส วเทยฺย;

    Mamaṃ vadantītipi so vadeyya;

    โลเก สมญฺญํ กุสโล วิทิตฺวา,

    Loke samaññaṃ kusalo viditvā,

    โวหารมเตฺตน โส โวหเรยฺยา’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๕);

    Vohāramattena so vohareyyā’’ti. (saṃ. ni. 1.25);

    อปรมฺปิ วุตฺตํ – ‘‘อิมา โข จิตฺต โลกสมญฺญา โลกนิรุตฺติโย โลกโวหารา โลกปญฺญตฺติโย, ยาหิ ตถาคโต โวหรติ อปรามส’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๔๔๐)ฯ

    Aparampi vuttaṃ – ‘‘imā kho citta lokasamaññā lokaniruttiyo lokavohārā lokapaññattiyo, yāhi tathāgato voharati aparāmasa’’nti (dī. ni. 1.440).

    ๒๐๖. อภิญฺญาปหานมาหาติ สสฺสตาทีสุ เตสํ เตสํ ธมฺมานํ สสฺสตํ อภิญฺญาย ชานิตฺวา สสฺสตสฺส ปหานมาห, อุเจฺฉทํ, เอกจฺจสสฺสตํ อภิญฺญาย เอกจฺจสสฺสตสฺส ปหานํ วทติฯ รูปํ อภิญฺญาย รูปสฺส ปหานํ วทตีติอาทินา นเยเนตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    206.Abhiññāpahānamāhāti sassatādīsu tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ sassataṃ abhiññāya jānitvā sassatassa pahānamāha, ucchedaṃ, ekaccasassataṃ abhiññāya ekaccasassatassa pahānaṃ vadati. Rūpaṃ abhiññāya rūpassa pahānaṃ vadatītiādinā nayenettha attho veditabbo.

    ปฎิสญฺจิกฺขโตติ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสฯ อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจีติ อนุปฺปาทนิโรเธน นิรุเทฺธหิ อาสเวหิ อคฺคเหตฺวาว จิตฺตํ วิมุจฺจิฯ เอตฺตาวตา เจส ปรสฺส วฑฺฒิตํ ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ขุทํ วิโนเทโนฺต วิย ปรสฺส อารทฺธาย ธมฺมเทสนาย ญาณํ เปเสตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตเญฺจว ปโตฺต, สาวกปารมีญาณสฺส จ มตฺถกํ, โสฬส จ ปญฺญา ปฎิวิชฺฌิตฺวา ฐิโตฯ ทีฆนโข ปน โสตาปตฺติผลํ ปตฺวา สรเณสุ ปติฎฺฐิโตฯ

    Paṭisañcikkhatoti paccavekkhantassa. Anupādāya āsavehi cittaṃ vimuccīti anuppādanirodhena niruddhehi āsavehi aggahetvāva cittaṃ vimucci. Ettāvatā cesa parassa vaḍḍhitaṃ bhattaṃ bhuñjitvā khudaṃ vinodento viya parassa āraddhāya dhammadesanāya ñāṇaṃ pesetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattañceva patto, sāvakapāramīñāṇassa ca matthakaṃ, soḷasa ca paññā paṭivijjhitvā ṭhito. Dīghanakho pana sotāpattiphalaṃ patvā saraṇesu patiṭṭhito.

    ภควา ปน อิมํ เทสนํ สูริเย ธรมาเนเยว นิฎฺฐาเปตฺวา คิชฺฌกูฎา โอรุยฺห เวฬุวนํ คนฺตฺวา สาวกสนฺนิปาตมกาสิ, จตุรงฺคสมนฺนาคโต สนฺนิปาโต อโหสิฯ ตตฺริมานิ องฺคานิ – มาฆนกฺขเตฺตน ยุโตฺต ปุณฺณมอุโปสถทิวโส, เกนจิ อนามนฺติตานิ หุตฺวา อตฺตโนเยว ธมฺมตาย สนฺนิปติตานิ อฑฺฒเตลสานิ ภิกฺขุสตานิ, เตสุ เอโกปิ ปุถุชฺชโน วา โสตาปนฺน-สกทาคามิ-อนาคามิ-สุกฺขวิปสฺสก-อรหเนฺตสุ วา อญฺญตโร นตฺถิ, สเพฺพ ฉฬภิญฺญาว, เอโกปิ เจตฺถ สตฺถเกน เกเส ฉินฺทิตฺวา ปพฺพชิโต นาม นตฺถิ, สเพฺพ เอหิภิกฺขุโนเยวาติฯ

    Bhagavā pana imaṃ desanaṃ sūriye dharamāneyeva niṭṭhāpetvā gijjhakūṭā oruyha veḷuvanaṃ gantvā sāvakasannipātamakāsi, caturaṅgasamannāgato sannipāto ahosi. Tatrimāni aṅgāni – māghanakkhattena yutto puṇṇamauposathadivaso, kenaci anāmantitāni hutvā attanoyeva dhammatāya sannipatitāni aḍḍhatelasāni bhikkhusatāni, tesu ekopi puthujjano vā sotāpanna-sakadāgāmi-anāgāmi-sukkhavipassaka-arahantesu vā aññataro natthi, sabbe chaḷabhiññāva, ekopi cettha satthakena kese chinditvā pabbajito nāma natthi, sabbe ehibhikkhunoyevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    ทีฆนขสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dīghanakhasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๔. ทีฆนขสุตฺตํ • 4. Dīghanakhasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๔. ทีฆนขสุตฺตวณฺณนา • 4. Dīghanakhasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact