Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๔. ทีฆนขสุตฺตวณฺณนา

    4. Dīghanakhasuttavaṇṇanā

    ๒๐๑. ขนนํ ขตํ, สูกรสฺส ขตํ เอตฺถ อตฺถีติ สูกรขตา, สูกรสฺส วา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ปฐมํ ขตํ อุปาทาย สูกรขตา, ตายฯ เอวํนามเกติ เอวํ อิตฺถิลิงฺควเสน ลทฺธนามเกฯ ปํสุโธเตติ โธตปํสุเกฯ โอตริตฺวา อภิรุหิตพฺพนฺติ ปกติภูมิโต อเนเกหิ โสปานผลเกหิ โอตริตฺวา ปุน เลณทฺวารํ กติปเยหิ อภิรุหิตพฺพํฯ

    201. Khananaṃ khataṃ, sūkarassa khataṃ ettha atthīti sūkarakhatā, sūkarassa vā imasmiṃ buddhuppāde paṭhamaṃ khataṃ upādāya sūkarakhatā, tāya. Evaṃnāmaketi evaṃ itthiliṅgavasena laddhanāmake. Paṃsudhoteti dhotapaṃsuke. Otaritvā abhiruhitabbanti pakatibhūmito anekehi sopānaphalakehi otaritvā puna leṇadvāraṃ katipayehi abhiruhitabbaṃ.

    ฐิตโกวาติ มาตุลสฺส ฐิตตฺตา ตตฺถ สคารวสปติสฺสวเสน ฐิตโกวฯ กิญฺจาปิ สพฺพ-สโทฺท อวิเสสโต อนวเสสปริยาทายโก, วตฺถุอธิปฺปายานุโรธี ปน สทฺทปฺปโยโคติ ตมตฺถํ สนฺธาย ปริพฺพาชโก ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ อาหฯ ยา โลเก มนุสฺสอุปปตฺติโยติอาทิกา อุปปตฺติโย, ตา อนตฺถสมุทาคตา ตตฺถ ตเตฺถว สตฺตานํ อุจฺฉิชฺชนโต, ตสฺมา สมยวาทีหิ วุจฺจมานา สพฺพา อายติํ อุปฺปชฺชนอุปปตฺติ น โหติฯ ชลพุพฺพุฬกา วิย หิ อิเม สตฺตา ตตฺถ ตตฺถ สมเย อุปฺปชฺชิตฺวา ภิชฺชนฺติ, เตสํ ตตฺถ ปฎิสนฺธิ นตฺถีติ อสฺส อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘ปฎิสนฺธิโย’’ติอาทิฯ อสฺส อธิปฺปายํ มุญฺจิตฺวาติ เยนาธิปฺปาเยน ปริพฺพาชโก ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ อาห, ตํ ตสฺส อธิปฺปายํ ชานโนฺตปิ อชานโนฺต วิย หุตฺวา ตสฺส อกฺขเร ตาว โทสํ ทเสฺสโนฺตติ ปเทสสพฺพํ สนฺธาย เตน วุตฺตํ, สพฺพสพฺพวิสยํ กตฺวา ตตฺถ โทสํ คณฺหโนฺตฯ ยถา โลเก เกนจิ ‘‘สพฺพํ วุตฺตํ, ตํ มุสา’’ติ วุเตฺต ตสฺส วจนสฺส สพฺพโนฺตคธตฺตา มุสาภาโว อาปเชฺชยฺย, เอวํ อิมสฺสปิ ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ วทโต ตถา ปวตฺตา ทิฎฺฐิปิ นกฺขมตีติ อตฺถโต อาปนฺนเมว โหติฯ เตนาห ภควา – ‘‘เอสาปิ เต ทิฎฺฐิ นกฺขมตี’’ติฯ ยถา ปน เกนจิ ‘‘สพฺพํ วุตฺตํ มุสา’’ติ วุเตฺต อธิปฺปายานุโรธินี สทฺทปฺปวตฺติ, ตสฺส วจนํ มุญฺจิตฺวา ตทเญฺญสเมว มุสาภาโว ญายาคโต, เอวมิธาปิ ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ วจนโต ยสฺสา ทิฎฺฐิยา วเสน ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ เตน วุตฺตํ, ตํ ทิฎฺฐิํ มุญฺจิตฺวา ตทญฺญเมว ยถาธิเปฺปตํ สพฺพํ นกฺขมตีติ อยมโตฺถ ญายาคโต, ภควา ปน วาทีวโร สุขุมาย อาณิยา ถูลํ อาณิํ นีหรโนฺต วิย อุปาเยน ตสฺส ทิฎฺฐิคตํ นีหริตุํ ตสฺส อธิปฺปาเยน อวตฺวา สทฺทวเสน ตาว ลพฺภมานํ โทสํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยาปิ โข เต’’ติอาทิมาหฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อสฺส อธิปฺปายํ มุญฺจิตฺวา อกฺขเร ตาว โทสํ ทเสฺสโนฺต’’ติฯ

    Ṭhitakovāti mātulassa ṭhitattā tattha sagāravasapatissavasena ṭhitakova. Kiñcāpi sabba-saddo avisesato anavasesapariyādāyako, vatthuadhippāyānurodhī pana saddappayogoti tamatthaṃ sandhāya paribbājako ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti āha. Yā loke manussaupapattiyotiādikā upapattiyo, tā anatthasamudāgatā tattha tattheva sattānaṃ ucchijjanato, tasmā samayavādīhi vuccamānā sabbā āyatiṃ uppajjanaupapatti na hoti. Jalabubbuḷakā viya hi ime sattā tattha tattha samaye uppajjitvā bhijjanti, tesaṃ tattha paṭisandhi natthīti assa adhippāyo. Tenāha ‘‘paṭisandhiyo’’tiādi. Assa adhippāyaṃ muñcitvāti yenādhippāyena paribbājako ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti āha, taṃ tassa adhippāyaṃ jānantopi ajānanto viya hutvā tassa akkhare tāva dosaṃ dassentoti padesasabbaṃ sandhāya tena vuttaṃ, sabbasabbavisayaṃ katvā tattha dosaṃ gaṇhanto. Yathā loke kenaci ‘‘sabbaṃ vuttaṃ, taṃ musā’’ti vutte tassa vacanassa sabbantogadhattā musābhāvo āpajjeyya, evaṃ imassapi ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti vadato tathā pavattā diṭṭhipi nakkhamatīti atthato āpannameva hoti. Tenāha bhagavā – ‘‘esāpi te diṭṭhi nakkhamatī’’ti. Yathā pana kenaci ‘‘sabbaṃ vuttaṃ musā’’ti vutte adhippāyānurodhinī saddappavatti, tassa vacanaṃ muñcitvā tadaññesameva musābhāvo ñāyāgato, evamidhāpi ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti vacanato yassā diṭṭhiyā vasena ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti tena vuttaṃ, taṃ diṭṭhiṃ muñcitvā tadaññameva yathādhippetaṃ sabbaṃ nakkhamatīti ayamattho ñāyāgato, bhagavā pana vādīvaro sukhumāya āṇiyā thūlaṃ āṇiṃ nīharanto viya upāyena tassa diṭṭhigataṃ nīharituṃ tassa adhippāyena avatvā saddavasena tāva labbhamānaṃ dosaṃ dassento ‘‘yāpi kho te’’tiādimāha. Tena vuttaṃ – ‘‘assa adhippāyaṃ muñcitvā akkhare tāva dosaṃ dassento’’ti.

    ปริพฺพาชโก ปน ยํ สนฺธาย ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ มยา วุตฺตํ, ‘‘อยํ โส’’ติ ยถาวุตฺตโทสปริหรณตฺถํ ตสฺมิํ อเตฺถ วุจฺจมาเน เอส โทโส สโพฺพ น โหติ, เอวมฺปิ สมโณ โคตโม มม วาเท โทสเมว อาโรเปยฺยาติ อตฺตโน อชฺฌาสยํ นิคุหิตฺวา ยถาวุตฺตโทสํ ปริหริตุกาโม ‘‘เอสา เม’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตมฺปสฺส ตาทิสเมวาติ ยํ ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ คหิตํ วตฺถุ, ตมฺปิ ตาทิสเมว ภเวยฺยาติฯ อยญฺจ สพฺพโนฺตคธทิฎฺฐิ มยฺหมฺปิ ทิฎฺฐิวตฺถุ, ตํ เม ขเมยฺยวาติฯ ยสฺมา ปน ‘‘เอสาปิ ทิฎฺฐิ ตุยฺหํ นกฺขมตี’’ติ ยาปิ ทิฎฺฐิ วุตฺตา ภวตา โคตเมน, สาปิ มยฺหํ นกฺขมติ, ตสฺมา สพฺพํ เม นกฺขมเตวาติ ปริพฺพาชกสฺส อธิปฺปาโยฯ เตนาห – ‘‘ตํ ปริหรามีติ สญฺญาย วทตี’’ติฯ ตถา จ วกฺขติ ‘‘ตสฺมาปิ อุเจฺฉททิฎฺฐิ มยฺหํ นกฺขมตี’’ติฯ ‘‘เอสา เม ทิฎฺฐี’’ติ ยา ฐิติภูตา ทิฎฺฐิ, ตาย ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ ปเนตฺถ สพฺพคฺคหเณน คหิตตฺตา อาห – ‘‘อตฺถโต ปนสฺส เอสา ทิฎฺฐิ น เม ขมตีติ อาปชฺชตี’’ติฯ อยํ โทโสติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ยสฺส ปนา’’ติอาทิฯ เอสาติ ทิฎฺฐิฯ รุจิตนฺติ ทิฎฺฐิทสฺสเนน อภินิวิสิตฺวา โรเจตฺวา คหิตํฯ เตน หิ ทิฎฺฐิอกฺขเมน อรุจิเตน ภวิตพฺพนฺติ สติ ทิฎฺฐิยา อกฺขมภาเว ตโต ตาย คหิตาย ขเมยฺย รุเจฺจยฺย ยถา, เอวํ สพฺพสฺส อกฺขมภาเวติ อปรภาเค สพฺพํ ขมติ รุจฺจตีติ อาปชฺชติฯ น ปเนส ตํ สมฺปฎิจฺฉตีติ เอส ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ เอวํ วทโนฺต อุเจฺฉทวาที ตํ วุตฺตนเยน สพฺพสฺส ขมนํ รุจฺจนํ น สมฺปฎิจฺฉติฯ ญาเยน วุตฺตมตฺถํ กถํ น สมฺปฎิจฺฉตีติ อาห ‘‘เกวลํ ตสฺสาปิ อุเจฺฉททิฎฺฐิยา อุเจฺฉทเมว คณฺหาตี’’ติฯ สเพฺพสญฺหิ ธมฺมานํ อายติํ อุปฺปาทํ อรุจฺจิตฺวา ตํ สนฺธาย อยํ ‘‘สพฺพํ เม นกฺขมตี’’ติ วทติ, อุเจฺฉททิฎฺฐิเกสุ จ อุจฺฉิเนฺนสุ กุโต อุเจฺฉททิฎฺฐิสภาโวติฯ

    Paribbājako pana yaṃ sandhāya ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti mayā vuttaṃ, ‘‘ayaṃ so’’ti yathāvuttadosapariharaṇatthaṃ tasmiṃ atthe vuccamāne esa doso sabbo na hoti, evampi samaṇo gotamo mama vāde dosameva āropeyyāti attano ajjhāsayaṃ niguhitvā yathāvuttadosaṃ pariharitukāmo ‘‘esā me’’tiādimāha. Tattha tampassa tādisamevāti yaṃ ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti gahitaṃ vatthu, tampi tādisameva bhaveyyāti. Ayañca sabbantogadhadiṭṭhi mayhampi diṭṭhivatthu, taṃ me khameyyavāti. Yasmā pana ‘‘esāpi diṭṭhi tuyhaṃ nakkhamatī’’ti yāpi diṭṭhi vuttā bhavatā gotamena, sāpi mayhaṃ nakkhamati, tasmā sabbaṃ me nakkhamatevāti paribbājakassa adhippāyo. Tenāha – ‘‘taṃ pariharāmīti saññāya vadatī’’ti. Tathā ca vakkhati ‘‘tasmāpi ucchedadiṭṭhi mayhaṃ nakkhamatī’’ti. ‘‘Esā me diṭṭhī’’ti yā ṭhitibhūtā diṭṭhi, tāya ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti panettha sabbaggahaṇena gahitattā āha – ‘‘atthato panassa esā diṭṭhi na me khamatīti āpajjatī’’ti. Ayaṃ dosoti dassento āha ‘‘yassa panā’’tiādi. Esāti diṭṭhi. Rucitanti diṭṭhidassanena abhinivisitvā rocetvā gahitaṃ. Tena hi diṭṭhiakkhamena arucitena bhavitabbanti sati diṭṭhiyā akkhamabhāve tato tāya gahitāya khameyya rucceyya yathā, evaṃ sabbassa akkhamabhāveti aparabhāge sabbaṃ khamati ruccatīti āpajjati. Na panesa taṃ sampaṭicchatīti esa ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti evaṃ vadanto ucchedavādī taṃ vuttanayena sabbassa khamanaṃ ruccanaṃ na sampaṭicchati. Ñāyena vuttamatthaṃ kathaṃ na sampaṭicchatīti āha ‘‘kevalaṃ tassāpi ucchedadiṭṭhiyā ucchedameva gaṇhātī’’ti. Sabbesañhi dhammānaṃ āyatiṃ uppādaṃ aruccitvā taṃ sandhāya ayaṃ ‘‘sabbaṃ me nakkhamatī’’ti vadati, ucchedadiṭṭhikesu ca ucchinnesu kuto ucchedadiṭṭhisabhāvoti.

    เตนาติ เตน การเณน, ยสฺมา อิเธกเจฺจ สตฺตา อีทิสํ ทิฎฺฐิํ ปคฺคยฺห ติฎฺฐนฺติ, ตสฺมาติ วุตฺตํ โหติฯ ปชหนเกน วา จิเตฺตน เอกชฺฌํ คเหตฺวา ปชหนเกหิ อปฺปชหนเก นิทฺธาเรตุํ ภควา ‘‘อโต…เป.… พหุตรา’’ติ อโวจาติ อาห – ‘‘ปชหนเกสุ นิสฺสกฺก’’นฺติ ยถา ‘‘ปญฺจสีเลหิ ปภาวนา ปญฺญวนฺตตรา’’ติฯ ‘‘พหู’’ติ วตฺวา น เกวลํ พหู, อถ โข อติวิย พหูติ ทเสฺสโนฺต ‘‘พหุตรา’’ติ อาหฯ ‘‘พหู หี’’ติ นยิทํ นิสฺสกฺกวจนํ, อถ โข ปจฺจตฺตวจนํฯ กถํ หิ-สโทฺทติ อาห ‘‘หิ-กาโร นิปาตมตฺต’’นฺติฯ อนิสฺสกฺกวจนํ ตาว ตสฺส ปชหนกานํ พหุภาวโต เตปิ ปรโต ‘‘พหุตรา’’ติ วุจฺจียนฺติฯ มูลทสฺสนนฺติ เย ตาทิสํ ทสฺสนํ ปฐมํ อุปาทิยนฺติ, ตชฺชาติกเมว ปจฺฉา คหิตทสฺสนํฯ วิชาติยญฺหิ ปฐมํ คหิตทสฺสนํ อปฺปหาย วิชาติยสฺส คหณํ น สมฺภวติ วิรุทฺธสฺส อภินิเวสสฺส สห อนวฎฺฐานโต ฯ อวิรุทฺธํ ปน มูลทสฺสนํ อวิสฺสชฺชิตฺวา วิสยาทิเภทภินฺนํ อปรทสฺสนํ คเหตุํ ลพฺภติฯ เตนาห ‘‘เอตฺถ จา’’ติอาทิฯ

    Tenāti tena kāraṇena, yasmā idhekacce sattā īdisaṃ diṭṭhiṃ paggayha tiṭṭhanti, tasmāti vuttaṃ hoti. Pajahanakena vā cittena ekajjhaṃ gahetvā pajahanakehi appajahanake niddhāretuṃ bhagavā ‘‘ato…pe… bahutarā’’ti avocāti āha – ‘‘pajahanakesu nissakka’’nti yathā ‘‘pañcasīlehi pabhāvanā paññavantatarā’’ti. ‘‘Bahū’’ti vatvā na kevalaṃ bahū, atha kho ativiya bahūti dassento ‘‘bahutarā’’ti āha. ‘‘Bahū hī’’ti nayidaṃ nissakkavacanaṃ, atha kho paccattavacanaṃ. Kathaṃ hi-saddoti āha ‘‘hi-kāro nipātamatta’’nti. Anissakkavacanaṃ tāva tassa pajahanakānaṃ bahubhāvato tepi parato ‘‘bahutarā’’ti vuccīyanti. Mūladassananti ye tādisaṃ dassanaṃ paṭhamaṃ upādiyanti, tajjātikameva pacchā gahitadassanaṃ. Vijātiyañhi paṭhamaṃ gahitadassanaṃ appahāya vijātiyassa gahaṇaṃ na sambhavati viruddhassa abhinivesassa saha anavaṭṭhānato . Aviruddhaṃ pana mūladassanaṃ avissajjitvā visayādibhedabhinnaṃ aparadassanaṃ gahetuṃ labbhati. Tenāha ‘‘ettha cā’’tiādi.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ เอกจฺจสสฺสตวาโท สสฺสตุเจฺฉทาภินิเวสานํ วเสน ยถากฺกมํ สสฺสตุเจฺฉทคฺคาหนชาติโก, อุเจฺฉทคฺคาเหน ปน สสฺสตาภินิเวสสฺส ตํคาเหน จ อสสฺสตาภินิเวสสฺส วิรุชฺฌนโต อุภยตฺถปิ ‘‘เอกจฺจสสฺสตํ วา คเหตุํ น สกฺกา’’ติ วุตฺตํ, ตถา ‘‘สสฺสตํ วา อุเจฺฉทํ วา น สกฺกา คเหตุ’’นฺติ จฯ มูลสสฺสตญฺหิ ปฐมํ คหิตํฯ อายตเนสุปิ โยเชตพฺพนฺติ ปฐมํ จกฺขายตนํ สสฺสตนฺติ คเหตฺวา อปรภาเค น เกวลํ จกฺขายตนเมว สสฺสตํ, โสตายตนมฺปิ สสฺสตํ, ฆานายตนาทิปิ สสฺสตนฺติ คณฺหาตีติอาทินา โยเชตพฺพํฯ อายตเนสุปีติ ปิ-สเทฺทน ธาตูนํ อินฺทฺริยานมฺปิ คาโห ทฎฺฐโพฺพฯ อิทํ สนฺธายาติ ‘‘มูเล สสฺสต’’นฺติอาทินา วุตฺตปฐมคฺคาหสฺส สมานชาติยํ อปรคฺคาหํ สนฺธายฯ

    Tattha kiñcāpi ekaccasassatavādo sassatucchedābhinivesānaṃ vasena yathākkamaṃ sassatucchedaggāhanajātiko, ucchedaggāhena pana sassatābhinivesassa taṃgāhena ca asassatābhinivesassa virujjhanato ubhayatthapi ‘‘ekaccasassataṃ vā gahetuṃ na sakkā’’ti vuttaṃ, tathā ‘‘sassataṃ vā ucchedaṃ vā na sakkā gahetu’’nti ca. Mūlasassatañhi paṭhamaṃ gahitaṃ. Āyatanesupi yojetabbanti paṭhamaṃ cakkhāyatanaṃ sassatanti gahetvā aparabhāge na kevalaṃ cakkhāyatanameva sassataṃ, sotāyatanampi sassataṃ, ghānāyatanādipi sassatanti gaṇhātītiādinā yojetabbaṃ. Āyatanesupīti pi-saddena dhātūnaṃ indriyānampi gāho daṭṭhabbo. Idaṃ sandhāyāti ‘‘mūle sassata’’ntiādinā vuttapaṭhamaggāhassa samānajātiyaṃ aparaggāhaṃ sandhāya.

    ทุติยวาเร ปฐมวาเร วุตฺตสทิสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ อาทีนวํ ทิสฺวาติ ‘‘ยทิ รูปํ สสฺสตํ สิยา, นยิทํ อาพาธาย สํวเตฺตยฺยฯ ยสฺมา จ โข อิทํ รูปํ อสสฺสตํ, ตสฺมา อภิณฺหปฎิปีฬนเฎฺฐน อุทยวยวนฺตตาย รูปํ อนิจฺจํ สงฺขตํ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนํ, สสฺสตาภินิเวโส มิจฺฉา’’ติอาทินา ตตฺถ สสฺสตวาเท อาทีนวํ โทสํ ทิสฺวาฯ โอฬาริกนฺติ ตสฺมา ปฎิปีฬนเฎฺฐน อยาถาวคฺคาหตาย รูปํ น สณฺหํ โอฬาริกเมวฯ เวทนาทีนมฺปิ อนิจฺจาทิภาวทสฺสนํ รูปเวทนาอาทีนํ สมานโยคกฺขมตฺตาฯ วิสฺสเชฺชตีติ ปชหติฯ

    Dutiyavāre paṭhamavāre vuttasadisaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Tattha ādīnavaṃ disvāti ‘‘yadi rūpaṃ sassataṃ siyā, nayidaṃ ābādhāya saṃvatteyya. Yasmā ca kho idaṃ rūpaṃ asassataṃ, tasmā abhiṇhapaṭipīḷanaṭṭhena udayavayavantatāya rūpaṃ aniccaṃ saṅkhataṃ paṭiccasamuppannaṃ, sassatābhiniveso micchā’’tiādinā tattha sassatavāde ādīnavaṃ dosaṃ disvā. Oḷārikanti tasmā paṭipīḷanaṭṭhena ayāthāvaggāhatāya rūpaṃ na saṇhaṃ oḷārikameva. Vedanādīnampi aniccādibhāvadassanaṃ rūpavedanāādīnaṃ samānayogakkhamattā. Vissajjetīti pajahati.

    ติโสฺส ลทฺธิโยติ สสฺสตุเจฺฉทเอกจฺจสสฺสตทิฎฺฐิโยฯ ยสฺมา สสฺสตทิฎฺฐิกา วเฎฺฎ รชฺชนสฺส อาสนฺนาฯ ตถา หิ เต โอลียนฺตีติ วุจฺจนฺติ, ภวาภวทิฎฺฐีนํ วเสน อิเมสํ สตฺตานํ สํสารโต สีสุกฺขิปนํ นตฺถีติ เอตาว ติโสฺส วิเสสโต คเหตพฺพาฯ

    Tisso laddhiyoti sassatucchedaekaccasassatadiṭṭhiyo. Yasmā sassatadiṭṭhikā vaṭṭe rajjanassa āsannā. Tathā hi te olīyantīti vuccanti, bhavābhavadiṭṭhīnaṃ vasena imesaṃ sattānaṃ saṃsārato sīsukkhipanaṃ natthīti etāva tisso visesato gahetabbā.

    อิธโลกํ ปรโลกญฺจ อตฺถีติ ชานาตีติ เอตฺตาวตา สสฺสตทสฺสนสฺส อปฺปสาวชฺชตาการณมาห, วฎฺฎํ อสฺสาเทติ, อภินนฺทตีติ อิมินา ทนฺธวิราคตายฯ เตนาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ อิธโลกํ ปรโลกญฺจ อตฺถีติ ชานาตีติ อิมินา ตาสุ ตาสุ คตีสุ สตฺตานํ สํสรณํ ปฎิกฺขิปตีติ ทเสฺสติ, สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ อตฺถีติ ชานาตีติ อิมินา กมฺมผลํฯ กุสลํ น กโรตีติ อิมินา กมฺมํ, อกุสลํ กโรโนฺต น ภายตีติ อิมินา ปุญฺญาปุญฺญานิ สภาวโต ชายนฺตีติ ทเสฺสติฯ วฎฺฎํ อสฺสาเทติ อภินนฺทติ ตนฺนินฺนภาวโต ฯ สีฆํ ลทฺธิํ ชหิตุํ น สโกฺกติ วฎฺฎุปเจฺฉทสฺส อรุจฺจนโตฯ อุเจฺฉทวาที หิ ตสฺมิํ ภเว อุเจฺฉทํ มญฺญติฯ ตโต ปรํ อิธโลกํ ปรโลกญฺจ อตฺถีติ ชานาติ สุกตทุกฺกฎานํ ผลํ อตฺถีติ ชานาติ กมฺมผลวาทีภาวโตฯ เยภุเยฺยน หิ อุเจฺฉทวาที สภาวนิยติยทิจฺฉาภินิเวเสสุ อญฺญตฺราภินิเวโส โหติฯ สีฆํ ทสฺสนํ ปชหติ วฎฺฎาภิรติยา อภาวโตฯ ปารมิโย ปูเรตุํ สโกฺกโนฺต ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา, โลกโวหารมเตฺตเนว โส สมฺมาสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ปรินิพฺพายตีติ โยชนาฯ อสโกฺกโนฺตติ พุโทฺธ โหตุํ อสโกฺกโนฺตฯ อภินีหารํ กตฺวา อคฺคสาวกาทิภาวสฺส อภินีหารํ สมฺปาเทตฺวาฯ สาวโก หุตฺวาติ อคฺคสาวโก มหาสาวโก หุตฺวา, ตตฺถาปิ เตวิโชฺช ฉฬภิโญฺญ ปฎิสมฺภิทาปฺปโตฺต วา สุกฺขวิปสฺสโก เอว วา พุทฺธสาวโก หุตฺวา ปรินิพฺพายติฯ สพฺพมิทํ อุเจฺฉทวาทิโน กลฺยาณมิตฺตนิสฺสเยน สมฺมตฺตนิยาโมกฺกมเน ขิปฺปวิราคตาทสฺสนตฺถํ อาคตํฯ เตนาห ‘‘ตสฺมา’’ติอาทิฯ

    Idhalokaṃ paralokañca atthīti jānātīti ettāvatā sassatadassanassa appasāvajjatākāraṇamāha, vaṭṭaṃ assādeti, abhinandatīti iminā dandhavirāgatāya. Tenāha ‘‘tasmā’’tiādi. Idhalokaṃ paralokañca atthīti jānātīti iminā tāsu tāsu gatīsu sattānaṃ saṃsaraṇaṃ paṭikkhipatīti dasseti, sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ atthīti jānātīti iminā kammaphalaṃ. Kusalaṃ na karotīti iminā kammaṃ, akusalaṃ karonto na bhāyatīti iminā puññāpuññāni sabhāvato jāyantīti dasseti. Vaṭṭaṃ assādeti abhinandati tanninnabhāvato . Sīghaṃ laddhiṃ jahituṃ na sakkoti vaṭṭupacchedassa aruccanato. Ucchedavādī hi tasmiṃ bhave ucchedaṃ maññati. Tato paraṃ idhalokaṃ paralokañca atthīti jānāti sukatadukkaṭānaṃ phalaṃ atthīti jānāti kammaphalavādībhāvato. Yebhuyyena hi ucchedavādī sabhāvaniyatiyadicchābhinivesesu aññatrābhiniveso hoti. Sīghaṃ dassanaṃ pajahati vaṭṭābhiratiyā abhāvato. Pāramiyo pūretuṃ sakkonto paccekabuddho hutvā, lokavohāramatteneva so sammāsambuddho hutvā parinibbāyatīti yojanā. Asakkontoti buddho hotuṃ asakkonto. Abhinīhāraṃkatvā aggasāvakādibhāvassa abhinīhāraṃ sampādetvā. Sāvako hutvāti aggasāvako mahāsāvako hutvā, tatthāpi tevijjo chaḷabhiñño paṭisambhidāppatto vā sukkhavipassako eva vā buddhasāvako hutvā parinibbāyati. Sabbamidaṃ ucchedavādino kalyāṇamittanissayena sammattaniyāmokkamane khippavirāgatādassanatthaṃ āgataṃ. Tenāha ‘‘tasmā’’tiādi.

    ๒๐๒. กญฺชิเยเนวาติ อารนาเฬนฯ กญฺชิยสทิเสน อุเจฺฉททสฺสเนนฯ ปูริโตติ ปริปุณฺณชฺฌาสโยฯ โสติ ปริพฺพาชโกฯ อปฺปหายาติ อภินฺทิตฺวาฯ วิคฺคโหติ กลโห อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺติ อญฺญมญฺญํ วิรุทฺธคฺคาโหติ กตฺวาฯ วิวาทนฺติ วิรุทฺธวาทํฯ วิฆาตนฺติ วิโรธเหตุกํ จิตฺตวิฆาตํฯ วิเหสนฺติ วิคฺคหวิวาทนิมิตฺตํ กายิกํ เจตสิกญฺจ กิลมถํฯ อาทีนวํ ทิสฺวาติ เอตาสํ ทิฎฺฐีนํ เอวรูโป อาทีนโว, อนิยฺยานิกภาวตาย ปน สมฺปติ อายติญฺจ มหาทีนโวติ เอวํ อาทีนวํ ทิสฺวาฯ

    202.Kañjiyenevāti āranāḷena. Kañjiyasadisena ucchedadassanena. Pūritoti paripuṇṇajjhāsayo. Soti paribbājako. Appahāyāti abhinditvā. Viggahoti kalaho idameva saccaṃ, moghamaññanti aññamaññaṃ viruddhaggāhoti katvā. Vivādanti viruddhavādaṃ. Vighātanti virodhahetukaṃ cittavighātaṃ. Vihesanti viggahavivādanimittaṃ kāyikaṃ cetasikañca kilamathaṃ. Ādīnavaṃ disvāti etāsaṃ diṭṭhīnaṃ evarūpo ādīnavo, aniyyānikabhāvatāya pana sampati āyatiñca mahādīnavoti evaṃ ādīnavaṃ disvā.

    ๒๐๕. ‘‘เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๔๑; สํ. นิ. ๓.๘) กายํ อเนฺวตีติ กายนฺวโย, โสเยว, ตสฺส วา สมูโห กายนฺวยตา, กายปฎิพโทฺธ กิเลโสฯ เตนาห ‘‘กายํ…เป.… อโตฺถ’’ติฯ

    205. ‘‘Esohamasmi, eso me attā’’tiādinā (ma. ni. 1.241; saṃ. ni. 3.8) kāyaṃ anvetīti kāyanvayo, soyeva, tassa vā samūho kāyanvayatā, kāyapaṭibaddho kileso. Tenāha ‘‘kāyaṃ…pe… attho’’ti.

    อสมฺมิสฺสภาวนฺติ อสงฺกรโต ววตฺถิตภาวํฯ เตน ตาสํ ยถาสกํ ปจฺจยานํ อุปฺปชฺชิตฺวา วิคมํ ทเสฺสติฯ เอวญฺหิ ตาสํ กทาจิปิ สงฺกโร นตฺถิฯ เตนาห ‘‘ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ’’ติอาทิฯ สรูปํ อคฺคเหตฺวา ‘‘อญฺญา เวทนา’’ติ อนิยเมน วุตฺตตฺตา ตเมว วิคมํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อนุปฺปนฺนาว โหนฺติ อนฺตรหิตา วา’’ติ อาหฯ สรูปโต นิยเมตฺวา วุจฺจมาเน กาจิ อนุปฺปนฺนา วา โหติ, กาจิ อนฺตรหิตา วาติฯ จุณฺณวิจุณฺณภาวทสฺสนตฺถนฺติ ขเณ ขเณ ภิชฺชมานภาวทสฺสนตฺถํฯ

    Asammissabhāvanti asaṅkarato vavatthitabhāvaṃ. Tena tāsaṃ yathāsakaṃ paccayānaṃ uppajjitvā vigamaṃ dasseti. Evañhi tāsaṃ kadācipi saṅkaro natthi. Tenāha ‘‘tatrāyaṃ saṅkhepattho’’tiādi. Sarūpaṃ aggahetvā ‘‘aññā vedanā’’ti aniyamena vuttattā tameva vigamaṃ dassento ‘‘anuppannāva honti antarahitā vā’’ti āha. Sarūpato niyametvā vuccamāne kāci anuppannā vā hoti, kāci antarahitā vāti. Cuṇṇavicuṇṇabhāvadassanatthanti khaṇe khaṇe bhijjamānabhāvadassanatthaṃ.

    น เกนจิ สํวทตีติ เกนจิ ปุคฺคเลน สทฺธิํ ทิฎฺฐิราควเสน สํกิลิฎฺฐจิโตฺต น วทติฯ เตนาห ‘‘สสฺสตํ คเหตฺวา’’ติอาทิฯ น วิวทตีติ วิรุทฺธภาโว หุตฺวา น วิวทติฯ ปริวเตฺตตฺวาติ อุเจฺฉทํ คเหตฺวา เอกจฺจสสฺสตํ คเหตฺวา เอวํ วุตฺตนเยน ตโยปิ วาทา ปริวเตฺตตฺวา โยเชตพฺพา ฯ เตน โวหรตีติ เตน โลกโวหาเรน โลกสมญฺญํ อนติธาวโนฺต สโตฺต ปุริโส ปุคฺคโลติอาทินา โวหรติ, น ปน อิโต พาหิรกา วิย อภินิวิสติฯ เตนาห ‘‘อปรามสโนฺต’’ติฯ กญฺจิ ธมฺมนฺติ รูปาทีสุ เอกํ ธมฺมมฺปิฯ ปรามาสคฺคาเหน อคฺคณฺหโนฺตติ ‘‘นิจฺจ’’นฺติอาทินา, ‘‘เอตํ มมา’’ติอาทินา จ ธมฺมสภาวํ อติกฺกมิตฺวา ปรโต อามสิตฺวา คหเณน อคฺคณฺหโนฺตฯ

    Na kenacisaṃvadatīti kenaci puggalena saddhiṃ diṭṭhirāgavasena saṃkiliṭṭhacitto na vadati. Tenāha ‘‘sassataṃ gahetvā’’tiādi. Na vivadatīti viruddhabhāvo hutvā na vivadati. Parivattetvāti ucchedaṃ gahetvā ekaccasassataṃ gahetvā evaṃ vuttanayena tayopi vādā parivattetvā yojetabbā . Tena voharatīti tena lokavohārena lokasamaññaṃ anatidhāvanto satto puriso puggalotiādinā voharati, na pana ito bāhirakā viya abhinivisati. Tenāha ‘‘aparāmasanto’’ti. Kañci dhammanti rūpādīsu ekaṃ dhammampi. Parāmāsaggāhena aggaṇhantoti ‘‘nicca’’ntiādinā, ‘‘etaṃ mamā’’tiādinā ca dhammasabhāvaṃ atikkamitvā parato āmasitvā gahaṇena aggaṇhanto.

    กตาวีติ กตกิโจฺจฯ โส วเทยฺยาติ ขีณาสโว ภิกฺขุ อหงฺการมมงฺกาเรสุ สพฺพโส สมุจฺฉิเนฺนสุปิ อหํ วทามีติ วเทยฺยฯ ตตฺถ อหนฺติ นิยกชฺฌตฺตสนฺตาเนฯ มมนฺติ ตสฺส สนฺตกภูเต วตฺถุสฺมิํ โลกนิรุเฬฺหฯ สมญฺญนฺติ ตตฺถ สุกุสลตาย โลเก สมญฺญา กุสโล วิทิตฺวาฯ โวหารมเตฺตนาติ เกวลํ ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา มหาโพธิปารมิโย ปูเรตุํ อสโกฺกโนฺต สาวโก หุตฺวา เทสโวหารมเตฺตน น อปฺปหีนตโณฺห วิย อนฺธปุถุชฺชโน อภินิเวสนวเสนฯ

    Katāvīti katakicco. So vadeyyāti khīṇāsavo bhikkhu ahaṅkāramamaṅkāresu sabbaso samucchinnesupi ahaṃ vadāmīti vadeyya. Tattha ahanti niyakajjhattasantāne. Mamanti tassa santakabhūte vatthusmiṃ lokaniruḷhe. Samaññanti tattha sukusalatāya loke samaññā kusalo viditvā. Vohāramattenāti kevalaṃ paccekabuddho hutvā mahābodhipāramiyo pūretuṃ asakkonto sāvako hutvā desavohāramattena na appahīnataṇho viya andhaputhujjano abhinivesanavasena.

    ๒๐๖. สสฺสตาทีสูติ สสฺสตาภินิเวสาทีสุฯ เตสํ เตสํ ธมฺมานนฺติ นิทฺธารเณ สามิวจนํฯ สสฺสตํ อภิญฺญายาติ สสฺสตทิฎฺฐิํ สมุทยโต อตฺถงฺคมโต อสฺสาทโต นิสฺสรณโต อภิวิสิฎฺฐาย ปญฺญาย ปฎิวิชฺฌิตฺวาฯ ปหานนฺติ อจฺจนฺตปฺปหานํ สมุเจฺฉทํฯ รูปสฺส ปหานนฺติ รูปสฺส ตปฺปฎิพทฺธสโญฺญชนปฺปหาเนน ปหานํฯ อนุปฺปาทนิโรเธน นิรุเทฺธหิ อาสเวหิ อคฺคเหตฺวาว จิตฺตํ วิมุจฺจิฯ ‘‘อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจี’’ติ เอตฺถ กิญฺจิปิ อคฺคเหตฺวา อเสเสตฺวาฯ โสฬส ปญฺญาติ มหาปญฺญาทิกา โสฬส ปญฺญาฯ จตุรงฺคสมนฺนาคโตติ ปุณฺณอุโปสถทิวสตา, เกนจิ อนามนฺติตเมว อเนกสตานํเยว อเนกสหสฺสานํ วา ภิกฺขูนํ สนฺนิปติตตา, สเพฺพสํ เอหิภิกฺขุภาเวน อุปสมฺปนฺนตา, ฉฬภิญฺญตา จาติฯ เตนาห ‘‘ตตฺริมานิ องฺคานี’’ติอาทิฯ ยํ ปเนตฺถ อตฺถโต อวิภตฺตํ, ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    206.Sassatādīsūti sassatābhinivesādīsu. Tesaṃ tesaṃ dhammānanti niddhāraṇe sāmivacanaṃ. Sassataṃ abhiññāyāti sassatadiṭṭhiṃ samudayato atthaṅgamato assādato nissaraṇato abhivisiṭṭhāya paññāya paṭivijjhitvā. Pahānanti accantappahānaṃ samucchedaṃ. Rūpassa pahānanti rūpassa tappaṭibaddhasaññojanappahānena pahānaṃ. Anuppādanirodhena niruddhehi āsavehi aggahetvāva cittaṃ vimucci. ‘‘Āsavehi cittaṃ vimuccī’’ti ettha kiñcipi aggahetvā asesetvā. Soḷasa paññāti mahāpaññādikā soḷasa paññā. Caturaṅgasamannāgatoti puṇṇauposathadivasatā, kenaci anāmantitameva anekasatānaṃyeva anekasahassānaṃ vā bhikkhūnaṃ sannipatitatā, sabbesaṃ ehibhikkhubhāvena upasampannatā, chaḷabhiññatā cāti. Tenāha ‘‘tatrimāni aṅgānī’’tiādi. Yaṃ panettha atthato avibhattaṃ, taṃ suviññeyyameva.

    ทีฆนขสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Dīghanakhasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๔. ทีฆนขสุตฺตํ • 4. Dīghanakhasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๔. ทีฆนขสุตฺตวณฺณนา • 4. Dīghanakhasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact