Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / พุทฺธวํส-อฎฺฐกถา • Buddhavaṃsa-aṭṭhakathā

    ๓. ทีปงฺกรพุทฺธวํสวณฺณนา

    3. Dīpaṅkarabuddhavaṃsavaṇṇanā

    รมฺมนครวาสิโนปิ เต อุปาสกา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ปุน ภควนฺตํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ มาลาคนฺธาทีหิ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา ทานานุโมทนํ โสตุกามา อุปนิสีทิํสุฯ อถ สตฺถา เตสํ ปรมมธุรํ หทยงฺคมํ ทานานุโมทนมกาสิ –

    Rammanagaravāsinopi te upāsakā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā puna bhagavantaṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ mālāgandhādīhi pūjetvā vanditvā dānānumodanaṃ sotukāmā upanisīdiṃsu. Atha satthā tesaṃ paramamadhuraṃ hadayaṅgamaṃ dānānumodanamakāsi –

    ‘‘ทานํ นาม สุขาทีนํ, นิทานํ ปรมํ มตํ;

    ‘‘Dānaṃ nāma sukhādīnaṃ, nidānaṃ paramaṃ mataṃ;

    นิพฺพานํ ปน โสปานํ, ปติฎฺฐาติ ปวุจฺจติฯ

    Nibbānaṃ pana sopānaṃ, patiṭṭhāti pavuccati.

    ‘‘ทานํ ตาณํ มนุสฺสานํ, ทานํ พนฺธุ ปรายนํ;

    ‘‘Dānaṃ tāṇaṃ manussānaṃ, dānaṃ bandhu parāyanaṃ;

    ทานํ ทุกฺขาธิปนฺนานํ, สตฺตานํ ปรมา คติฯ

    Dānaṃ dukkhādhipannānaṃ, sattānaṃ paramā gati.

    ‘‘ทุกฺขนิตฺถรณเฎฺฐน , ทานํ นาวาติ ทีปิตํ;

    ‘‘Dukkhanittharaṇaṭṭhena , dānaṃ nāvāti dīpitaṃ;

    ภยรกฺขณโต ทานํ, นครนฺติ จ วณฺณิตํฯ

    Bhayarakkhaṇato dānaṃ, nagaranti ca vaṇṇitaṃ.

    ‘‘ทานํ ทุราสทเฎฺฐน, วุตฺตมาสิวิโสติ จ;

    ‘‘Dānaṃ durāsadaṭṭhena, vuttamāsivisoti ca;

    ทานํ โลภมลาทีหิ, ปทุมํ อนุปลิตฺตโตฯ

    Dānaṃ lobhamalādīhi, padumaṃ anupalittato.

    ‘‘นตฺถิ ทานสโม โลเก, ปุริสสฺส อวสฺสโย;

    ‘‘Natthi dānasamo loke, purisassa avassayo;

    ปฎิปชฺชถ ตสฺมา ตํ, กิริยาชฺฌาสเยน จฯ

    Paṭipajjatha tasmā taṃ, kiriyājjhāsayena ca.

    ‘‘สคฺคโลกนิทานานิ, ทานานิ มติมา อิธ;

    ‘‘Saggalokanidānāni, dānāni matimā idha;

    โก หิ นาม นโร โลเก, น ทเทยฺย หิเต รโตฯ

    Ko hi nāma naro loke, na dadeyya hite rato.

    ‘‘สุตฺวา เทเวสุ สมฺปตฺติํ, โก นโร ทานสมฺภวํ;

    ‘‘Sutvā devesu sampattiṃ, ko naro dānasambhavaṃ;

    น ทชฺชา สุขปฺปทํ ทานํ, ทานํ จิตฺตปฺปโมทนํฯ

    Na dajjā sukhappadaṃ dānaṃ, dānaṃ cittappamodanaṃ.

    ‘‘ทาเนน ปฎิปเนฺนน, อจฺฉราปริวาริโต;

    ‘‘Dānena paṭipannena, accharāparivārito;

    รมเต สุจิรํ กาลํ, นนฺทเน สุรนนฺทเนฯ

    Ramate suciraṃ kālaṃ, nandane suranandane.

    ‘‘ปีติมุฬารํ วินฺทติ ทาตา, คารวมสฺมิํ คจฺฉติ โลเก;

    ‘‘Pītimuḷāraṃ vindati dātā, gāravamasmiṃ gacchati loke;

    กิตฺติมนนฺตํ ยาติ จ ทาตา, วิสฺสสนีโย โหติ จ ทาตาฯ

    Kittimanantaṃ yāti ca dātā, vissasanīyo hoti ca dātā.

    ‘‘ทตฺวา ทานํ ยาติ นโร โส, โภคสมิทฺธิํ ทีฆญฺจายุ;

    ‘‘Datvā dānaṃ yāti naro so, bhogasamiddhiṃ dīghañcāyu;

    สุสฺสรตมฺปิ จ วินฺทติ รูปํ, สเคฺค สทฺธิํ กีฬติ เทเวหิ;

    Sussaratampi ca vindati rūpaṃ, sagge saddhiṃ kīḷati devehi;

    วิมาเนสุ ฐตฺวา นานา, มตฺตมยูราภิรุเตสุฯ

    Vimānesu ṭhatvā nānā, mattamayūrābhirutesu.

    ‘‘โจราริราโชทกปาวกานํ, ธนํ อสาธารณเมว ทานํ;

    ‘‘Corārirājodakapāvakānaṃ, dhanaṃ asādhāraṇameva dānaṃ;

    ททาติ ตํ สาวกญาณภูมิํ, ปเจฺจกภูมิํ ปน พุทฺธภูมิ’’นฺติฯ –

    Dadāti taṃ sāvakañāṇabhūmiṃ, paccekabhūmiṃ pana buddhabhūmi’’nti. –

    เอวมาทินา นเยน ทานานุโมทนํ กตฺวา ทานานิสํสํ ปกาเสตฺวา ตทนนฺตรํ สีลกถํ กเถสิฯ สีลํ นาเมตํ อิธโลกปรโลกสมฺปตฺตีนํ มูลํฯ

    Evamādinā nayena dānānumodanaṃ katvā dānānisaṃsaṃ pakāsetvā tadanantaraṃ sīlakathaṃ kathesi. Sīlaṃ nāmetaṃ idhalokaparalokasampattīnaṃ mūlaṃ.

    ‘‘สีลํ สุขานํ ปรมํ นิทานํ, สีเลน สีลี ติทิวํ ปยาติ;

    ‘‘Sīlaṃ sukhānaṃ paramaṃ nidānaṃ, sīlena sīlī tidivaṃ payāti;

    สีลญฺหิ สํสารมุปาคตสฺส, ตาณญฺจ เลณญฺจ ปรายนญฺจฯ

    Sīlañhi saṃsāramupāgatassa, tāṇañca leṇañca parāyanañca.

    ‘‘อวสฺสโย สีลสโม ชนานํ, กุโต ปนโญฺญ อิธ วา ปรตฺถ;

    ‘‘Avassayo sīlasamo janānaṃ, kuto panañño idha vā parattha;

    สีลํ คุณานํ ปรมา ปติฎฺฐา, ยถา ธรา ถาวรชงฺคมานํฯ

    Sīlaṃ guṇānaṃ paramā patiṭṭhā, yathā dharā thāvarajaṅgamānaṃ.

    ‘‘สีลํ กิเรว กลฺยาณํ, สีลํ โลเก อนุตฺตรํ;

    ‘‘Sīlaṃ kireva kalyāṇaṃ, sīlaṃ loke anuttaraṃ;

    อริยวุตฺติสมาจาโร, เยน วุจฺจติ สีลวา’’ฯ (ชา. ๑.๓.๑๑๘);

    Ariyavuttisamācāro, yena vuccati sīlavā’’. (jā. 1.3.118);

    สีลาลงฺการสโม อลงฺกาโร นตฺถิ, สีลคนฺธสโม คโนฺธ นตฺถิ, สีลสมํ กิเลสมลวิโสธนํ นตฺถิ, สีลสมํ ปริฬาหูปสมํ นตฺถิ, สีลสมํ กิตฺติชนนํ นตฺถิ, สีลสมํ สคฺคาโรหณโสปานํ นตฺถิ, นิพฺพานนครปฺปเวสเน จ สีลสมํ ทฺวารํ นตฺถิฯ ยถาห –

    Sīlālaṅkārasamo alaṅkāro natthi, sīlagandhasamo gandho natthi, sīlasamaṃ kilesamalavisodhanaṃ natthi, sīlasamaṃ pariḷāhūpasamaṃ natthi, sīlasamaṃ kittijananaṃ natthi, sīlasamaṃ saggārohaṇasopānaṃ natthi, nibbānanagarappavesane ca sīlasamaṃ dvāraṃ natthi. Yathāha –

    ‘‘โสภเนฺตวํ น ราชาโน, มุตฺตามณิวิภูสิตา;

    ‘‘Sobhantevaṃ na rājāno, muttāmaṇivibhūsitā;

    ยถา โสภนฺติ ยติโน, สีลภูสนภูสิตาฯ

    Yathā sobhanti yatino, sīlabhūsanabhūsitā.

    ‘‘สีลคนฺธสโม คโนฺธ, กุโต นาม ภวิสฺสติ;

    ‘‘Sīlagandhasamo gandho, kuto nāma bhavissati;

    โย สมํ อนุวาเต จ, ปฎิวาเต จ วายติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๙);

    Yo samaṃ anuvāte ca, paṭivāte ca vāyati. (visuddhi. 1.9);

    ‘‘น ปุปฺผคโนฺธ ปฎิวาตเมติ, น จนฺทนํ ตคฺครมลฺลิกา วา;

    ‘‘Na pupphagandho paṭivātameti, na candanaṃ taggaramallikā vā;

    สตญฺจ คโนฺธ ปฎิวาตเมติ, สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติฯ

    Satañca gandho paṭivātameti, sabbā disā sappuriso pavāyati.

    ‘‘จนฺทนํ ตครํ วาปิ, อุปฺปลํ อถ วสฺสิกี;

    ‘‘Candanaṃ tagaraṃ vāpi, uppalaṃ atha vassikī;

    เอเตสํ คนฺธชาตานํ, สีลคโนฺธ อนุตฺตโรฯ (ธ. ป. ๕๔-๕๕; มิ. ป. ๕.๔.๑);

    Etesaṃ gandhajātānaṃ, sīlagandho anuttaro. (dha. pa. 54-55; mi. pa. 5.4.1);

    ‘‘น คงฺคา ยมุนา จาปิ, สรภู วา สรสฺวตี;

    ‘‘Na gaṅgā yamunā cāpi, sarabhū vā sarasvatī;

    นินฺนคา วาจิรวตี, มหี วาปิ มหานทีฯ

    Ninnagā vāciravatī, mahī vāpi mahānadī.

    ‘‘สกฺกุณนฺติ วิโสเธตุํ, ตํ มลํ อิธ ปาณินํ;

    ‘‘Sakkuṇanti visodhetuṃ, taṃ malaṃ idha pāṇinaṃ;

    วิโสธยติ สตฺตานํ, ยํ เว สีลชลํ มลํฯ

    Visodhayati sattānaṃ, yaṃ ve sīlajalaṃ malaṃ.

    ‘‘น ตํ สชลทา วาตา, น จาปิ หริจนฺทนํ;

    ‘‘Na taṃ sajaladā vātā, na cāpi haricandanaṃ;

    เนว หารา น มณโย, น จนฺทกิรณงฺกุราฯ

    Neva hārā na maṇayo, na candakiraṇaṅkurā.

    ‘‘สมยนฺตีธ สตฺตานํ, ปริฬาหํ สุรกฺขิตํ;

    ‘‘Samayantīdha sattānaṃ, pariḷāhaṃ surakkhitaṃ;

    ยํ สเมติ อิทํ อริยํ, สีลํ อจฺจนฺตสีตลํฯ

    Yaṃ sameti idaṃ ariyaṃ, sīlaṃ accantasītalaṃ.

    ‘‘อตฺตานุวาทาทิภยํ, วิทฺธํสยติ สพฺพทา;

    ‘‘Attānuvādādibhayaṃ, viddhaṃsayati sabbadā;

    ชเนติ กิตฺติหาสญฺจ, สีลํ สีลวโต สทาฯ

    Janeti kittihāsañca, sīlaṃ sīlavato sadā.

    ‘‘สคฺคาโรหณโสปานํ, อญฺญํ สีลสมํ กุโต;

    ‘‘Saggārohaṇasopānaṃ, aññaṃ sīlasamaṃ kuto;

    ทฺวารํ วา ปน นิพฺพาน, นครสฺส ปเวสเนฯ

    Dvāraṃ vā pana nibbāna, nagarassa pavesane.

    ‘‘คุณานํ มูลภูตสฺส, โทสานํ พลฆาติโน;

    ‘‘Guṇānaṃ mūlabhūtassa, dosānaṃ balaghātino;

    อิติ สีลสฺส ชานาถ, อานิสํสมนุตฺตร’’นฺติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๙);

    Iti sīlassa jānātha, ānisaṃsamanuttara’’nti. (visuddhi. 1.9);

    เอวํ ภควา สีลานิสํสํ ทเสฺสตฺวา – ‘‘อิทํ ปน สีลํ นิสฺสาย อยํ สโคฺค ลภตี’’ติ ทสฺสนตฺถํ ตทนนฺตรํ สคฺคกถํ กเถสิฯ อยํ สโคฺค นาม อิโฎฺฐ กโนฺต มนาโป เอกนฺตสุโข นิจฺจเมตฺถ กีฬา นิจฺจํ สมฺปตฺติโย ลภนฺติฯ จาตุมหาราชิกา เทวา นวุติวสฺสสตสหสฺสานิ ทิพฺพสุขํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ ปฎิลภนฺติฯ ตาวติํสา ติโสฺส วสฺสโกฎิโย สฎฺฐิ จ วสฺสสตสหสฺสานีติ เอวมาทิสคฺคคุณปฎิสํยุตฺตกถํ กเถสิฯ เอวํ สคฺคกถาย ปโลเภตฺวา ปุน – ‘‘อยมฺปิ สโคฺค อนิโจฺจ อธุโว น ตตฺถ ฉนฺทราโค กาตโพฺพ’’ติ กามานํ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ เนกฺขเมฺม อานิสํสญฺจ ปกาเสตฺวา อมตปริโยสานํ ธมฺมกถํ กเถสิฯ เอวํ ตสฺส มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา เอกเจฺจ สรเณสุ จ เอกเจฺจ ปญฺจสีเลสุ จ เอกเจฺจ โสตาปตฺติผเล จ เอกเจฺจ สกทาคามิผเล เอกเจฺจ อนาคามิผเล เอกเจฺจ จตูสุปิ ผเลสุ เอกเจฺจ ตีสุ วิชฺชาสุ เอกเจฺจ ฉสุ อภิญฺญาสุ เอกเจฺจ อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา อุฎฺฐายาสนา รมฺมนครโต นิกฺขมิตฺวา สุทสฺสนมหาวิหารเมว ปาวิสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Evaṃ bhagavā sīlānisaṃsaṃ dassetvā – ‘‘idaṃ pana sīlaṃ nissāya ayaṃ saggo labhatī’’ti dassanatthaṃ tadanantaraṃ saggakathaṃ kathesi. Ayaṃ saggo nāma iṭṭho kanto manāpo ekantasukho niccamettha kīḷā niccaṃ sampattiyo labhanti. Cātumahārājikā devā navutivassasatasahassāni dibbasukhaṃ dibbasampattiṃ paṭilabhanti. Tāvatiṃsā tisso vassakoṭiyo saṭṭhi ca vassasatasahassānīti evamādisaggaguṇapaṭisaṃyuttakathaṃ kathesi. Evaṃ saggakathāya palobhetvā puna – ‘‘ayampi saggo anicco adhuvo na tattha chandarāgo kātabbo’’ti kāmānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ nekkhamme ānisaṃsañca pakāsetvā amatapariyosānaṃ dhammakathaṃ kathesi. Evaṃ tassa mahājanassa dhammaṃ desetvā ekacce saraṇesu ca ekacce pañcasīlesu ca ekacce sotāpattiphale ca ekacce sakadāgāmiphale ekacce anāgāmiphale ekacce catūsupi phalesu ekacce tīsu vijjāsu ekacce chasu abhiññāsu ekacce aṭṭhasu samāpattīsu patiṭṭhāpetvā uṭṭhāyāsanā rammanagarato nikkhamitvā sudassanamahāvihārameva pāvisi. Tena vuttaṃ –

    .

    1.

    ‘‘ตทา เต โภชยิตฺวาน, สสงฺฆํ โลกนายกํ;

    ‘‘Tadā te bhojayitvāna, sasaṅghaṃ lokanāyakaṃ;

    อุปคจฺฉุํ สรณํ ตสฺส, ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโนฯ

    Upagacchuṃ saraṇaṃ tassa, dīpaṅkarassa satthuno.

    .

    2.

    ‘‘สรณาคมเน กญฺจิ, นิเวเสติ ตถาคโต;

    ‘‘Saraṇāgamane kañci, niveseti tathāgato;

    กญฺจิ ปญฺจสุ สีเลสุ, สีเล ทสวิเธ ปรํฯ

    Kañci pañcasu sīlesu, sīle dasavidhe paraṃ.

    .

    3.

    ‘‘กสฺสจิ เทติ สามญฺญํ, จตุโร ผลมุตฺตเม;

    ‘‘Kassaci deti sāmaññaṃ, caturo phalamuttame;

    กสฺสจิ อสเม ธเมฺม, เทติ โส ปฎิสมฺภิทาฯ

    Kassaci asame dhamme, deti so paṭisambhidā.

    .

    4.

    ‘‘กสฺสจิ วรสมาปตฺติโย, อฎฺฐ เทติ นราสโภ;

    ‘‘Kassaci varasamāpattiyo, aṭṭha deti narāsabho;

    ติโสฺส กสฺสจิ วิชฺชาโย, ฉฬภิญฺญา ปเวจฺฉติฯ

    Tisso kassaci vijjāyo, chaḷabhiññā pavecchati.

    .

    5.

    ‘‘เตน โยเคน ชนกายํ, โอวทติ มหามุนิ;

    ‘‘Tena yogena janakāyaṃ, ovadati mahāmuni;

    เตน วิตฺถาริกํ อาสิ, โลกนาถสฺส สาสนํฯ

    Tena vitthārikaṃ āsi, lokanāthassa sāsanaṃ.

    .

    6.

    ‘‘มหาหนุสภกฺขโนฺธ , ทีปงฺกรสนามโก;

    ‘‘Mahāhanusabhakkhandho , dīpaṅkarasanāmako;

    พหู ชเน ตารยติ, ปริโมเจติ ทุคฺคติํฯ

    Bahū jane tārayati, parimoceti duggatiṃ.

    .

    7.

    ‘‘โพธเนยฺยํ ชนํ ทิสฺวา, สตสหเสฺสปิ โยชเน;

    ‘‘Bodhaneyyaṃ janaṃ disvā, satasahassepi yojane;

    ขเณน อุปคนฺตฺวาน, โพเธติ ตํ มหามุนี’’ติฯ

    Khaṇena upagantvāna, bodheti taṃ mahāmunī’’ti.

    ตตฺถ เตติ รมฺมนครวาสิโน อุปาสกาฯ สรณนฺติ เอตฺถ สรณํ สรณคมนํ สรณสฺส คนฺตา จ เวทิตพฺพาฯ สรติ หิํสติ วินาเสตีติ สรณํ, กิํ ตํ? รตนตฺตยํฯ ตํ ปน สรณคตานํ เตเนว สรณคมเนน ภยํ สนฺตาสํ ทุกฺขํ ทุคฺคติํ ปริกฺกิเลสํ หนติ หิํสติ วินาเสตีติ สรณนฺติ วุจฺจตีติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tattha teti rammanagaravāsino upāsakā. Saraṇanti ettha saraṇaṃ saraṇagamanaṃ saraṇassa gantā ca veditabbā. Sarati hiṃsati vināsetīti saraṇaṃ, kiṃ taṃ? Ratanattayaṃ. Taṃ pana saraṇagatānaṃ teneva saraṇagamanena bhayaṃ santāsaṃ dukkhaṃ duggatiṃ parikkilesaṃ hanati hiṃsati vināsetīti saraṇanti vuccatīti. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส, น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;

    ‘‘Ye keci buddhaṃ saraṇaṃ gatāse, na te gamissanti apāyabhūmiṃ;

    ปหาย มานุสํ เทหํ, เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);

    Pahāya mānusaṃ dehaṃ, devakāyaṃ paripūressanti. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);

    ‘‘เย เกจิ ธมฺมํ สรณํ คตาเส, น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;

    ‘‘Ye keci dhammaṃ saraṇaṃ gatāse, na te gamissanti apāyabhūmiṃ;

    ปหาย มานุสํ เทหํ, เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);

    Pahāya mānusaṃ dehaṃ, devakāyaṃ paripūressanti. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);

    ‘‘เย เกจิ สงฺฆํ สรณํ คตาเส, น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ;

    ‘‘Ye keci saṅghaṃ saraṇaṃ gatāse, na te gamissanti apāyabhūmiṃ;

    ปหาย มานุสํ เทหํ, เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺตี’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๓๒; สํ. นิ. ๑.๓๗);

    Pahāya mānusaṃ dehaṃ, devakāyaṃ paripūressantī’’ti. (dī. ni. 2.332; saṃ. ni. 1.37);

    สรณคมนํ นาม รตนตฺตยปรายนาการปฺปวโตฺต จิตฺตุปฺปาโทฯ สรณสฺส คนฺตา นาม ตํสมงฺคีปุคฺคโลฯ เอวํ ตาว สรณํ สรณคมนํ สรณสฺส คนฺตา จาติ อิทํ ตยํ เวทิตพฺพํฯ

    Saraṇagamanaṃ nāma ratanattayaparāyanākārappavatto cittuppādo. Saraṇassa gantā nāma taṃsamaṅgīpuggalo. Evaṃ tāva saraṇaṃ saraṇagamanaṃ saraṇassa gantā cāti idaṃ tayaṃ veditabbaṃ.

    ตสฺสาติ ตํ ทีปงฺกรํ, อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘อุปคจฺฉุํ สรณํ ตตฺถา’’ติปิ ปาโฐฯ สตฺถุโนติ สตฺถารํฯ สรณาคมเน กญฺจีติ กญฺจิ ปุคฺคลํ สรณคมเน นิเวเสตีติ อโตฺถฯ กิญฺจาปิ ปจฺจุปฺปนฺนวเสน วุตฺตํ, อตีตกาลวเสน ปน อโตฺถ คเหตโพฺพฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ‘‘กสฺสจิ สรณาคมเน’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺสปิ โสเยวโตฺถฯ กญฺจิ ปญฺจสุ สีเลสูติ กญฺจิ ปุคฺคลํ ปญฺจสุ วิรติสีเลสุ นิเวเสสีติ อโตฺถฯ ‘‘กสฺสจิ ปญฺจสุ สีเลสู’’ติปิ ปาโฐ, โสเยวโตฺถฯ สีเล ทสวิเธ ปรนฺติ อปรํ ปุคฺคลํ ทสวิเธ สีเล นิเวเสสีติ อโตฺถฯ ‘‘กสฺสจิ กุสเล ทสา’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺส กญฺจิ ปุคฺคลํ ทส กุสลธเมฺม สมาทเปสีติ อโตฺถฯ กสฺสจิ เทติ สามญฺญนฺติ เอตฺถ ปรมตฺถโต สามญฺญนฺติ มโคฺค วุจฺจติฯ ยถาห –

    Tassāti taṃ dīpaṅkaraṃ, upayogatthe sāmivacanaṃ daṭṭhabbaṃ. ‘‘Upagacchuṃ saraṇaṃ tatthā’’tipi pāṭho. Satthunoti satthāraṃ. Saraṇāgamane kañcīti kañci puggalaṃ saraṇagamane nivesetīti attho. Kiñcāpi paccuppannavasena vuttaṃ, atītakālavasena pana attho gahetabbo. Esa nayo sesesupi. ‘‘Kassaci saraṇāgamane’’tipi pāṭho, tassapi soyevattho. Kañci pañcasu sīlesūti kañci puggalaṃ pañcasu viratisīlesu nivesesīti attho. ‘‘Kassaci pañcasu sīlesū’’tipi pāṭho, soyevattho. Sīle dasavidhe paranti aparaṃ puggalaṃ dasavidhe sīle nivesesīti attho. ‘‘Kassaci kusale dasā’’tipi pāṭho, tassa kañci puggalaṃ dasa kusaladhamme samādapesīti attho. Kassaci deti sāmaññanti ettha paramatthato sāmaññanti maggo vuccati. Yathāha –

    ‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, สามญฺญํ? อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, เสยฺยถิทํ – สมฺมาทิฎฺฐิ…เป.… สมฺมาสมาธิฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, สามญฺญ’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๓๖)ฯ

    ‘‘Katamañca, bhikkhave, sāmaññaṃ? Ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, seyyathidaṃ – sammādiṭṭhi…pe… sammāsamādhi. Idaṃ vuccati, bhikkhave, sāmañña’’nti (saṃ. ni. 5.36).

    จตุโร ผลมุตฺตเมติ จตฺตาริ อุตฺตมานิ ผลานีติ อโตฺถฯ -กาโร ปทสนฺธิกโรฯ ลิงฺควิปริยาเสน วุตฺตํฯ ยโถปนิสฺสยํ จตฺตาโร มเคฺค จตฺตาริ จ สามญฺญผลานิ กสฺสจิ อทาสีติ อโตฺถฯ กสฺสจิ อสเม ธเมฺมติ กสฺสจิ อสทิเส จตฺตาโร ปฎิสมฺภิทาธเมฺม อทาสิฯ

    Caturo phalamuttameti cattāri uttamāni phalānīti attho. Ma-kāro padasandhikaro. Liṅgavipariyāsena vuttaṃ. Yathopanissayaṃ cattāro magge cattāri ca sāmaññaphalāni kassaci adāsīti attho. Kassaci asame dhammeti kassaci asadise cattāro paṭisambhidādhamme adāsi.

    กสฺสจิ วรสมาปตฺติโยติ กสฺสจิ ปน นีวรณวิคเมน ปธานภูตา อฎฺฐ สมาปตฺติโย อทาสิฯ ติโสฺส กสฺสจิ วิชฺชาโยติ กสฺสจิ ปุคฺคลสฺส อุปนิสฺสยวเสน ทิพฺพจกฺขุญาณปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณอาสวกฺขยญาณานํ วเสน ติโสฺส วิชฺชาโยฯ ฉฬภิญฺญา ปเวจฺฉตีติ ฉ อภิญฺญาโย กสฺสจิ อทาสิฯ

    Kassaci varasamāpattiyoti kassaci pana nīvaraṇavigamena padhānabhūtā aṭṭha samāpattiyo adāsi. Tisso kassaci vijjāyoti kassaci puggalassa upanissayavasena dibbacakkhuñāṇapubbenivāsānussatiñāṇaāsavakkhayañāṇānaṃ vasena tisso vijjāyo. Chaḷabhiññā pavecchatīti cha abhiññāyo kassaci adāsi.

    เตน โยเคนาติ เตน นเยน เตนานุกฺกเมน จฯ ชนกายนฺติ ชนสมูหํฯ โอวทตีติ โอวทิฯ กาลวิปริยาเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิโต อุปริปิ อีทิเสสุ วจเนสุ อตีตกาลวเสเนว อโตฺถ คเหตโพฺพ ฯ เตน วิตฺถาริกํ อาสีติ เตน ทีปงฺกรสฺส ภควโต โอวาเทน อนุสาสนิยา วิตฺถาริกํ วิตฺถตํ วิสาลีภูตํ สาสนํ อโหสิฯ

    Tena yogenāti tena nayena tenānukkamena ca. Janakāyanti janasamūhaṃ. Ovadatīti ovadi. Kālavipariyāsena vuttanti veditabbaṃ. Ito uparipi īdisesu vacanesu atītakālavaseneva attho gahetabbo . Tena vitthārikaṃ āsīti tena dīpaṅkarassa bhagavato ovādena anusāsaniyā vitthārikaṃ vitthataṃ visālībhūtaṃ sāsanaṃ ahosi.

    มหาหนูติ มหาปุริสานํ กิร เทฺวปิ หนูนิ ปริปุณฺณานิ ทฺวาทสิยา ปกฺขสฺส จนฺทสทิสาการานิ โหนฺตีติ มหนฺตานิ หนูนิ ยสฺส โส มหาหนุ, สีหหนูติ วุตฺตํ โหติฯ อุสภกฺขโนฺธติ อุสภเสฺสว ขโนฺธ ยสฺส ภวติ, โส อุสภกฺขโนฺธฯ สุวฎฺฎิตสุวณฺณาลิงฺคสทิสรุจิรกฺขโนฺธ สมวฎฺฎจารุกฺขโนฺธติ อโตฺถฯ ทีปงฺกรสนามโกติ ทีปงฺกรสนาโม ฯ พหู ชเน ตารยตีติ พหู พุทฺธเวเนเยฺย ชเน ตาเรสิฯ ปริโมเจตีติ ปริโมเจสิฯ ทุคฺคตินฺติ ทุคฺคติโตฯ นิสฺสกฺกเตฺถ อุปโยควจนํฯ

    Mahāhanūti mahāpurisānaṃ kira dvepi hanūni paripuṇṇāni dvādasiyā pakkhassa candasadisākārāni hontīti mahantāni hanūni yassa so mahāhanu, sīhahanūti vuttaṃ hoti. Usabhakkhandhoti usabhasseva khandho yassa bhavati, so usabhakkhandho. Suvaṭṭitasuvaṇṇāliṅgasadisarucirakkhandho samavaṭṭacārukkhandhoti attho. Dīpaṅkarasanāmakoti dīpaṅkarasanāmo . Bahū jane tārayatīti bahū buddhaveneyye jane tāresi. Parimocetīti parimocesi. Duggatinti duggatito. Nissakkatthe upayogavacanaṃ.

    อิทานิ ตารณปริโมจนกรณาการทสฺสนตฺถํ ‘‘โพธเนยฺยํ ชน’’นฺติ คาถา วุตฺตาฯ ตตฺถ โพธเนยฺยํ ชนนฺติ โพธเนยฺยํ ปชํ, อยเมว วา ปาโฐฯ ทิสฺวาติ พุทฺธจกฺขุนา วา สมนฺตจกฺขุนา วา ทิสฺวาฯ สตสหเสฺสปิ โยชเนติ อเนกสตสหเสฺสปิ โยชเน ฐิตํฯ อิทํ ปน ทสสหสฺสิยํเยว สนฺธาย วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Idāni tāraṇaparimocanakaraṇākāradassanatthaṃ ‘‘bodhaneyyaṃ jana’’nti gāthā vuttā. Tattha bodhaneyyaṃ jananti bodhaneyyaṃ pajaṃ, ayameva vā pāṭho. Disvāti buddhacakkhunā vā samantacakkhunā vā disvā. Satasahassepi yojaneti anekasatasahassepi yojane ṭhitaṃ. Idaṃ pana dasasahassiyaṃyeva sandhāya vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    ทีปงฺกโร กิร สตฺถา พุทฺธตฺตํ ปตฺวา โพธิมูเล สตฺตสตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา อฎฺฐเม สตฺตาเห มหาพฺรหฺมุโน ธมฺมเชฺฌสนํ ปฎิญฺญาย สุนนฺทาราเม ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา โกฎิสตํ เทวมนุสฺสานํ ธมฺมามตํ ปาเยสิฯ อยํ ปฐโม อภิสมโย อโหสิฯ

    Dīpaṅkaro kira satthā buddhattaṃ patvā bodhimūle sattasattāhaṃ vītināmetvā aṭṭhame sattāhe mahābrahmuno dhammajjhesanaṃ paṭiññāya sunandārāme dhammacakkaṃ pavattetvā koṭisataṃ devamanussānaṃ dhammāmataṃ pāyesi. Ayaṃ paṭhamo abhisamayo ahosi.

    อถ สตฺถา อตฺตโน ปุตฺตสฺส สมวฎฺฎกฺขนฺธสฺส อุสภกฺขนฺธสฺส นาม ญาณปริปากํ ญตฺวา ตํ อตฺรชํ ปมุขํ กตฺวา ราหุโลวาทสทิสํ ธมฺมํ เทเสตฺวา เทวมนุสฺสานํ นวุติโกฎิโย ธมฺมามตํ ปาเยสิฯ อยํ ทุติโย อภิสมโย อโหสิฯ

    Atha satthā attano puttassa samavaṭṭakkhandhassa usabhakkhandhassa nāma ñāṇaparipākaṃ ñatvā taṃ atrajaṃ pamukhaṃ katvā rāhulovādasadisaṃ dhammaṃ desetvā devamanussānaṃ navutikoṭiyo dhammāmataṃ pāyesi. Ayaṃ dutiyo abhisamayo ahosi.

    ปุน ภควา อมรวตีนครทฺวาเร มหาสิรีสรุกฺขมูเล ยมกปาฎิหาริยํ กตฺวา มหาชนสฺส พนฺธนาโมกฺขํ กตฺวา เทวคณปริวุโต ทิวสกราติเรกชุติวิสรภวเน ตาวติํสภวเน ปาริจฺฉตฺตกมูเล ปรมสีตเล ปณฺฑุกมฺพลสิลาตเล นิสีทิตฺวา สพฺพเทวคณปีติสญฺชนนิํ อตฺตโน ชนนิํ สุเมธาเทวิํ ปมุขํ กตฺวา สพฺพโลกวิทิตวิสุทฺธิเทโว เทวเทโว ทีปงฺกโร ภควา สพฺพสตฺตหิตกรํ ปรมาติเรกคมฺภีรสุขุมํ พุทฺธิวิสทกรํ สตฺตปฺปกรณํ อภิธมฺมปิฎกํ เทเสตฺวา นวุติเทวโกฎิสหสฺสานํ ธมฺมามตํ ปาเยสิฯ อยํ ตติโย อภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Puna bhagavā amaravatīnagaradvāre mahāsirīsarukkhamūle yamakapāṭihāriyaṃ katvā mahājanassa bandhanāmokkhaṃ katvā devagaṇaparivuto divasakarātirekajutivisarabhavane tāvatiṃsabhavane pāricchattakamūle paramasītale paṇḍukambalasilātale nisīditvā sabbadevagaṇapītisañjananiṃ attano jananiṃ sumedhādeviṃ pamukhaṃ katvā sabbalokaviditavisuddhidevo devadevo dīpaṅkaro bhagavā sabbasattahitakaraṃ paramātirekagambhīrasukhumaṃ buddhivisadakaraṃ sattappakaraṇaṃ abhidhammapiṭakaṃ desetvā navutidevakoṭisahassānaṃ dhammāmataṃ pāyesi. Ayaṃ tatiyo abhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    8.

    ‘‘ปฐมาภิสมเย พุโทฺธ, โกฎิสตมโพธยิ;

    ‘‘Paṭhamābhisamaye buddho, koṭisatamabodhayi;

    ทุติยาภิสมเย นาโถ, นวุติโกฎิมโพธยิฯ

    Dutiyābhisamaye nātho, navutikoṭimabodhayi.

    .

    9.

    ‘‘ยทา จ เทวภวนมฺหิ, พุโทฺธ ธมฺมมเทสยิ;

    ‘‘Yadā ca devabhavanamhi, buddho dhammamadesayi;

    นวุติโกฎิสหสฺสานํ, ตติยาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Navutikoṭisahassānaṃ, tatiyābhisamayo ahū’’ti.

    ทีปงฺกรสฺส ปน ภควโต ตโย สาวกสนฺนิปาตา อเหสุํฯ ตตฺถ สุนนฺทาราเม โกฎิสตสหสฺสานํ ปฐโม สนฺนิปาโต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Dīpaṅkarassa pana bhagavato tayo sāvakasannipātā ahesuṃ. Tattha sunandārāme koṭisatasahassānaṃ paṭhamo sannipāto ahosi. Tena vuttaṃ –

    ๑๐.

    10.

    ‘‘สนฺนิปาตา ตโย อาสุํ, ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโน;

    ‘‘Sannipātā tayo āsuṃ, dīpaṅkarassa satthuno;

    โกฎิสตสหสฺสานํ, ปฐโม อาสิ สมาคโม’’ติฯ

    Koṭisatasahassānaṃ, paṭhamo āsi samāgamo’’ti.

    อถาปเรน สมเยน ทสพโล จตูหิ ภิกฺขุสตสหเสฺสหิ ปริวุโต คามนิคมนครปฎิปาฎิยา มหาชนานุคฺคหํ กโรโนฺต จาริกํ จรมาโน อนุกฺกเมน เอกสฺมิํ ปเทเส มหาชนกตสกฺการํ สพฺพโลกวิสฺสุตํ อมนุสฺสปริคฺคหิตํ อติภยานกํ โอลมฺพามฺพุธรปริจุมฺพิตกูฎํ วิวิธสุรภิตรุกุสุมวาสิตกูฎํ นานามิคคณวิจริตกูฎํ นารทกูฎํ นาม ปรมรมณียํ ปพฺพตํ สมฺปาปุณิฯ โส กิร ปพฺพโต นารเทน นาม ยเกฺขน ปริคฺคหิโต อโหสิฯ ตตฺถ ปน ตสฺส ยกฺขสฺส อนุสํวจฺฉรํ มหาชโน มนุสฺสพลิํ อุปสํหรติฯ

    Athāparena samayena dasabalo catūhi bhikkhusatasahassehi parivuto gāmanigamanagarapaṭipāṭiyā mahājanānuggahaṃ karonto cārikaṃ caramāno anukkamena ekasmiṃ padese mahājanakatasakkāraṃ sabbalokavissutaṃ amanussapariggahitaṃ atibhayānakaṃ olambāmbudharaparicumbitakūṭaṃ vividhasurabhitarukusumavāsitakūṭaṃ nānāmigagaṇavicaritakūṭaṃ nāradakūṭaṃ nāma paramaramaṇīyaṃ pabbataṃ sampāpuṇi. So kira pabbato nāradena nāma yakkhena pariggahito ahosi. Tattha pana tassa yakkhassa anusaṃvaccharaṃ mahājano manussabaliṃ upasaṃharati.

    อถ ทีปงฺกโร กิร ภควา ตสฺส มหาชนสฺส อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ตโต ภิกฺขุสงฺฆํ จาตุทฺทิสํ เปเสตฺวา อทุติโย อสหาโย มหากรุณาพลวสงฺคตหทโย ตญฺจ ยกฺขํ วิเนตุํ ตํ นารทปพฺพตํ อภิรุหิฯ อถ โส มนุสฺสภโกฺข สกหิตนิรเปโกฺข ปรวธทโกฺข ยโกฺข มกฺขํ อสหมาโน โกธปเรตมานโส ทสพลํ ภิํสาเปตฺวา ปลาเปตุกาโม ตํ ปพฺพตํ จาเลสิฯ โส กิร ปพฺพโต เตน จาลิยมาโน ภควโต อานุภาเวน ตเสฺสว มตฺถเก ปตมาโน วิย อโหสิฯ

    Atha dīpaṅkaro kira bhagavā tassa mahājanassa upanissayasampattiṃ disvā tato bhikkhusaṅghaṃ cātuddisaṃ pesetvā adutiyo asahāyo mahākaruṇābalavasaṅgatahadayo tañca yakkhaṃ vinetuṃ taṃ nāradapabbataṃ abhiruhi. Atha so manussabhakkho sakahitanirapekkho paravadhadakkho yakkho makkhaṃ asahamāno kodhaparetamānaso dasabalaṃ bhiṃsāpetvā palāpetukāmo taṃ pabbataṃ cālesi. So kira pabbato tena cāliyamāno bhagavato ānubhāvena tasseva matthake patamāno viya ahosi.

    ตโต โส ภีโต – ‘‘หนฺท นํ อคฺคินา ฌาเปสฺสามี’’ติ มหนฺตํ อติภีมทสฺสนํ อคฺคิกฺขนฺธํ นิพฺพเตฺตสิฯ โส อคฺคิกฺขโนฺธ ปฎิวาเต ขิโตฺต วิย อตฺตโนว ทุกฺขํ ชเนสิ, น ปน ภควโต จีวเร อํสุมตฺตมฺปิ ทฑฺฒุํ สมโตฺถ อโหสิฯ ยโกฺข ปน ‘‘สมโณ ทโฑฺฒ, น ทโฑฺฒ’’ติ โอโลเกโนฺต ทสพลํ สรทสมยวิมลกรนิกรํ สพฺพชนรติกรํ รชนิกรมิว สีตลชลตลคตกมลกณฺณิกาย นิสินฺนํ วิย ภควนฺตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อโห อยํ สมโณ มหานุภาโว, ยํ ยํ อิมสฺสาหํ อนตฺถํ กโรมิ, โส โส มมูปริเยว ปตติ, อิมํ ปน สมณํ มุญฺจิตฺวา อญฺญํ เม ปฎิสรณํ ปรายนํ นตฺถิ, ปถวิยํ อุปกฺขลิตา ปถวิํเยว นิสฺสาย อุฎฺฐหนฺติ, หนฺทาหํ อิมํเยว สมณํ สรณํ คมิสฺสามี’’ติฯ

    Tato so bhīto – ‘‘handa naṃ agginā jhāpessāmī’’ti mahantaṃ atibhīmadassanaṃ aggikkhandhaṃ nibbattesi. So aggikkhandho paṭivāte khitto viya attanova dukkhaṃ janesi, na pana bhagavato cīvare aṃsumattampi daḍḍhuṃ samattho ahosi. Yakkho pana ‘‘samaṇo daḍḍho, na daḍḍho’’ti olokento dasabalaṃ saradasamayavimalakaranikaraṃ sabbajanaratikaraṃ rajanikaramiva sītalajalatalagatakamalakaṇṇikāya nisinnaṃ viya bhagavantaṃ disvā cintesi – ‘‘aho ayaṃ samaṇo mahānubhāvo, yaṃ yaṃ imassāhaṃ anatthaṃ karomi, so so mamūpariyeva patati, imaṃ pana samaṇaṃ muñcitvā aññaṃ me paṭisaraṇaṃ parāyanaṃ natthi, pathaviyaṃ upakkhalitā pathaviṃyeva nissāya uṭṭhahanti, handāhaṃ imaṃyeva samaṇaṃ saraṇaṃ gamissāmī’’ti.

    อเถวํ ปน โส จิเนฺตตฺวา ภควโต จกฺกาลงฺกตตเลสุ ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา – ‘‘อจฺจโย มํ, ภเนฺต, อจฺจคมา’’ติ วตฺวา ภควนฺตํ สรณมคมาสิฯ อถสฺส ภควา อนุปุพฺพิกถํ กเถสิฯ โส เทสนาปริโยสาเน ทสหิ ยกฺขสหเสฺสหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตสฺมิํ กิร ทิวเส สกลชมฺพุทีปตลวาสิโน มนุสฺสา ตสฺส พลิกมฺมตฺถํ เอเกกคามโต เอเกกํ ปุริสํ อาหริํสุฯ อญฺญญฺจ พหุติลตณฺฑุลกุลตฺถมุคฺคมาสาทิํ สปฺปินวนีตเตลมธุผาณิตาทิญฺจ อาหริํสุฯ อถ โส ยโกฺข ตํ ทิวสํ อาภตตณฺฑุลาทิกํ สพฺพํ เตสํเยว ทตฺวา เต พลิกมฺมตฺถาย อานีตมนุเสฺส ทสพลสฺส นิยฺยาเตสิฯ

    Athevaṃ pana so cintetvā bhagavato cakkālaṅkatatalesu pādesu sirasā nipatitvā – ‘‘accayo maṃ, bhante, accagamā’’ti vatvā bhagavantaṃ saraṇamagamāsi. Athassa bhagavā anupubbikathaṃ kathesi. So desanāpariyosāne dasahi yakkhasahassehi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tasmiṃ kira divase sakalajambudīpatalavāsino manussā tassa balikammatthaṃ ekekagāmato ekekaṃ purisaṃ āhariṃsu. Aññañca bahutilataṇḍulakulatthamuggamāsādiṃ sappinavanītatelamadhuphāṇitādiñca āhariṃsu. Atha so yakkho taṃ divasaṃ ābhatataṇḍulādikaṃ sabbaṃ tesaṃyeva datvā te balikammatthāya ānītamanusse dasabalassa niyyātesi.

    อถ สตฺถา เต มนุเสฺส เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพาเชตฺวา อโนฺตสตฺตาเหเยว สเพฺพ อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา มาฆปุณฺณมาย โกฎิสตภิกฺขุมชฺฌคโต จตุรงฺคสมนฺนาคเต สนฺนิปาเต ปาติโมกฺขมุทฺทิสิฯ จตุรงฺคานิ นาม สเพฺพว เอหิภิกฺขู โหนฺติ, สเพฺพ ฉฬภิญฺญา โหนฺติ, สเพฺพ อนามนฺติตาว อาคตา, ปนฺนรสูโปสถทิวโส จาติ อิมานิ จตฺตาริ องฺคานิ นามฯ อยํ ทุติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha satthā te manusse ehibhikkhupabbajjāya pabbājetvā antosattāheyeva sabbe arahatte patiṭṭhāpetvā māghapuṇṇamāya koṭisatabhikkhumajjhagato caturaṅgasamannāgate sannipāte pātimokkhamuddisi. Caturaṅgāni nāma sabbeva ehibhikkhū honti, sabbe chaḷabhiññā honti, sabbe anāmantitāva āgatā, pannarasūposathadivaso cāti imāni cattāri aṅgāni nāma. Ayaṃ dutiyo sannipāto ahosi. Tena vuttaṃ –

    ๑๑.

    11.

    ‘‘ปุน นารทกูฎมฺหิ, ปวิเวกคเต ชิเน;

    ‘‘Puna nāradakūṭamhi, pavivekagate jine;

    ขีณาสวา วีตมลา, สมิํสุ สตโกฎิโย’’ติฯ

    Khīṇāsavā vītamalā, samiṃsu satakoṭiyo’’ti.

    ตตฺถ ปวิเวกคเตติ คณํ ปหาย คเตฯ สมิํสูติ สนฺนิปติํสุฯ

    Tattha pavivekagateti gaṇaṃ pahāya gate. Samiṃsūti sannipatiṃsu.

    ยทา ปน ทีปงฺกโร โลกนายโก สุทสฺสนนามเก ปพฺพเต วสฺสาวาสมุปคญฺฉิ, ตทา กิร ชมฺพุทีปวาสิโน มนุสฺสา อนุสํวจฺฉรํ คิรคฺคสมชฺชํ กโรนฺติฯ ตสฺมิํ กิร สมเชฺช สนฺนิปติตา มนุสฺสา ทสพลํ ทิสฺวา ธมฺมกถํ สุตฺวา ตตฺร ปสีทิตฺวา ปพฺพชิํสุฯ มหาปวารณทิวเส สตฺถา เตสํ อชฺฌาสยานุกูลํ วิปสฺสนากถํ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา เต สเพฺพ สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา วิปสฺสนานุปุเพฺพน มคฺคานุปุเพฺพน จ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ อถ สตฺถา นวุติโกฎิสหเสฺสหิ สทฺธิํ ปวาเรสิฯ อยํ ตติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Yadā pana dīpaṅkaro lokanāyako sudassananāmake pabbate vassāvāsamupagañchi, tadā kira jambudīpavāsino manussā anusaṃvaccharaṃ giraggasamajjaṃ karonti. Tasmiṃ kira samajje sannipatitā manussā dasabalaṃ disvā dhammakathaṃ sutvā tatra pasīditvā pabbajiṃsu. Mahāpavāraṇadivase satthā tesaṃ ajjhāsayānukūlaṃ vipassanākathaṃ kathesi. Taṃ sutvā te sabbe saṅkhāre sammasitvā vipassanānupubbena maggānupubbena ca arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Atha satthā navutikoṭisahassehi saddhiṃ pavāresi. Ayaṃ tatiyo sannipāto ahosi. Tena vuttaṃ –

    ๑๒.

    12.

    ‘‘ยมฺหิ กาเล มหาวีโร, สุทสฺสนสิลุจฺจเย;

    ‘‘Yamhi kāle mahāvīro, sudassanasiluccaye;

    นวุติโกฎิสหเสฺสหิ, ปวาเรสิ มหามุนิฯ

    Navutikoṭisahassehi, pavāresi mahāmuni.

    ‘‘อหํ เตน สมเยน, ชฎิโล อุคฺคตาปโน;

    ‘‘Ahaṃ tena samayena, jaṭilo uggatāpano;

    อนฺตลิกฺขมฺหิ จรโณ, ปญฺจาภิญฺญาสุ ปารคู’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา);

    Antalikkhamhi caraṇo, pañcābhiññāsu pāragū’’ti. (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā);

    อยํ คาถา อฎฺฐสาลินิยา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถาย นิทานวณฺณนาย ทีปงฺกรพุทฺธวํเส ลิขิตาฯ อิมสฺมิํ ปน พุทฺธวํเส นตฺถิฯ นตฺถิภาโวเยว ปนสฺสา ยุตฺตตโรฯ กสฺมาติ เจ? เหฎฺฐา สุเมธกถาสุ กถิตตฺตาติฯ

    Ayaṃ gāthā aṭṭhasāliniyā dhammasaṅgahaṭṭhakathāya nidānavaṇṇanāya dīpaṅkarabuddhavaṃse likhitā. Imasmiṃ pana buddhavaṃse natthi. Natthibhāvoyeva panassā yuttataro. Kasmāti ce? Heṭṭhā sumedhakathāsu kathitattāti.

    ทีปงฺกเร กิร ภควติ ธมฺมํ เทเสเนฺต ทสสหสฺสานญฺจ วีสติสหสฺสานญฺจ ธมฺมาภิสมโย อโหสิเยวฯ เอกสฺส ปน ทฺวินฺนํ ติณฺณํ จตุนฺนนฺติ จ อาทิวเสน อภิสมยานํ อโนฺต นตฺถิฯ ตสฺมา ทีปงฺกรสฺส ภควโต สาสนํ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Dīpaṅkare kira bhagavati dhammaṃ desente dasasahassānañca vīsatisahassānañca dhammābhisamayo ahosiyeva. Ekassa pana dvinnaṃ tiṇṇaṃ catunnanti ca ādivasena abhisamayānaṃ anto natthi. Tasmā dīpaṅkarassa bhagavato sāsanaṃ vitthārikaṃ bāhujaññaṃ ahosi. Tena vuttaṃ –

    ๑๓.

    13.

    ‘‘ทสวีสสหสฺสานํ , ธมฺมาภิสมโย อหุ;

    ‘‘Dasavīsasahassānaṃ , dhammābhisamayo ahu;

    เอกทฺวินฺนํ อภิสมยา, คณนาโต อสงฺขิยา’’ติฯ

    Ekadvinnaṃ abhisamayā, gaṇanāto asaṅkhiyā’’ti.

    ตตฺถ ทสวีสสหสฺสานนฺติ ทสสหสฺสานํ วีสติสหสฺสานญฺจฯ ธมฺมาภิสมโยติ จตุสจฺจธมฺมปฺปฎิเวโธฯ เอกทฺวินฺนนฺติ เอกสฺส เจว ทฺวินฺนญฺจ , ติณฺณํ จตุนฺนํ…เป.… ทสนฺนนฺติอาทินา นเยน อสเงฺขฺยยฺยาติ อโตฺถฯ เอวํ อสเงฺขฺยยฺยาภิสมยตฺตา จ วิตฺถาริกํ มหนฺตปฺปตฺตํ พหูหิ ปณฺฑิเตหิ เทวมนุเสฺสหิ นิยฺยานิกนฺติ ชญฺญํ ชานิตพฺพํ อธิสีลสิกฺขาทีหิ อิทฺธญฺจ สมาธิอาทีหิ ผีตญฺจ อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha dasavīsasahassānanti dasasahassānaṃ vīsatisahassānañca. Dhammābhisamayoti catusaccadhammappaṭivedho. Ekadvinnanti ekassa ceva dvinnañca , tiṇṇaṃ catunnaṃ…pe… dasannantiādinā nayena asaṅkhyeyyāti attho. Evaṃ asaṅkhyeyyābhisamayattā ca vitthārikaṃ mahantappattaṃ bahūhi paṇḍitehi devamanussehi niyyānikanti jaññaṃ jānitabbaṃ adhisīlasikkhādīhi iddhañca samādhiādīhi phītañca ahosi. Tena vuttaṃ –

    ๑๔.

    14.

    ‘‘วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ, อิทฺธํ ผีตํ อหู ตทา;

    ‘‘Vitthārikaṃ bāhujaññaṃ, iddhaṃ phītaṃ ahū tadā;

    ทีปงฺกรสฺส ภควโต, สาสนํ สุวิโสธิต’’นฺติฯ

    Dīpaṅkarassa bhagavato, sāsanaṃ suvisodhita’’nti.

    ตตฺถ สุวิโสธิตนฺติ สุฎฺฐุ ภควตา โสธิตํ วิสุทฺธํ กตํฯ ทีปงฺกรํ กิร สตฺถารํ สพฺพกาลํ ฉฬภิญฺญานํ มหิทฺธิกานํ ภิกฺขูนํ จตฺตาริ สตสหสฺสานิ ปริวาเรนฺติฯ เตน จ สมเยน เย เสกฺขา กาลกิริยํ กโรนฺติ, เต ครหิตา ภวนฺติ, สเพฺพ ขีณาสวา หุตฺวาว ปรินิพฺพายนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ ตสฺมา หิ ตสฺส ภควโต สาสนํ สุปุปฺผิตํ สุสมิทฺธํ ขีณาสเวหิ ภิกฺขูหิ อติวิย โสภิตฺถฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha suvisodhitanti suṭṭhu bhagavatā sodhitaṃ visuddhaṃ kataṃ. Dīpaṅkaraṃ kira satthāraṃ sabbakālaṃ chaḷabhiññānaṃ mahiddhikānaṃ bhikkhūnaṃ cattāri satasahassāni parivārenti. Tena ca samayena ye sekkhā kālakiriyaṃ karonti, te garahitā bhavanti, sabbe khīṇāsavā hutvāva parinibbāyantīti adhippāyo. Tasmā hi tassa bhagavato sāsanaṃ supupphitaṃ susamiddhaṃ khīṇāsavehi bhikkhūhi ativiya sobhittha. Tena vuttaṃ –

    ๑๕.

    15.

    ‘‘จตฺตาริ สตสหสฺสานิ, ฉฬภิญฺญา มหิทฺธิกา;

    ‘‘Cattāri satasahassāni, chaḷabhiññā mahiddhikā;

    ทีปงฺกรํ โลกวิทุํ, ปริวาเรนฺติ สพฺพทาฯ

    Dīpaṅkaraṃ lokaviduṃ, parivārenti sabbadā.

    ๑๖.

    16.

    ‘‘เย เกจิ เตน สมเยน, ชหนฺติ มานุสํ ภวํ;

    ‘‘Ye keci tena samayena, jahanti mānusaṃ bhavaṃ;

    อปฺปตฺตมานสา เสขา, ครหิตา ภวนฺติ เตฯ

    Appattamānasā sekhā, garahitā bhavanti te.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘สุปุปฺผิตํ ปาวจนํ, อรหเนฺตหิ ตาทิหิ;

    ‘‘Supupphitaṃ pāvacanaṃ, arahantehi tādihi;

    ขีณาสเวหิ วิมเลหิ, อุปโสภติ สพฺพทา’’ติฯ

    Khīṇāsavehi vimalehi, upasobhati sabbadā’’ti.

    ตตฺถ จตฺตาริ สตสหสฺสานีติ คณนาย ทสฺสิตา เอวํ ทสฺสิตคณนา อิเม ภิกฺขูติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ฉฬภิญฺญา มหิทฺธิกา’’ติ วุตฺตนฺติ เอวมโตฺถ คเหตโพฺพฯ อถ วา ฉฬภิญฺญา มหิทฺธิกาติ ฉฬภิญฺญานํ มหิทฺธิกานนฺติ สามิอเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ปริวาเรนฺติ สพฺพทาติ นิจฺจกาลํ ทสพลํ ปริวาเรนฺติ, ภควนฺตํ มุญฺจิตฺวา กตฺถจิ น คจฺฉนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ เตน สมเยนาติ ตสฺมิํ สมเยฯ อยํ ปน สมย-สโทฺท สมวายาทีสุ นวสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ยถาห –

    Tattha cattāri satasahassānīti gaṇanāya dassitā evaṃ dassitagaṇanā ime bhikkhūti dassanatthaṃ ‘‘chaḷabhiññā mahiddhikā’’ti vuttanti evamattho gahetabbo. Atha vā chaḷabhiññā mahiddhikāti chaḷabhiññānaṃ mahiddhikānanti sāmiatthe paccattavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Parivārenti sabbadāti niccakālaṃ dasabalaṃ parivārenti, bhagavantaṃ muñcitvā katthaci na gacchantīti adhippāyo. Tena samayenāti tasmiṃ samaye. Ayaṃ pana samaya-saddo samavāyādīsu navasu atthesu dissati. Yathāha –

    ‘‘สมวาเย ขเณ กาเล, สมูเห เหตุทิฎฺฐิสุ;

    ‘‘Samavāye khaṇe kāle, samūhe hetudiṭṭhisu;

    ปฎิลาเภ ปหาเน จ, ปฎิเวเธ จ ทิสฺสตี’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.มูลปริยายสุตฺตวณฺณนา; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑; ธ. ส. อฎฺฐ. ๑ กามาวจรกุสลปทภาชนีย; ขุ. ปา. อฎฺฐ. มํคลสุตฺตวณฺณนา, เอวมิจฺจาทิปาฐวณฺณนา; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๘๔);

    Paṭilābhe pahāne ca, paṭivedhe ca dissatī’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.1; ma. ni. aṭṭha. 1.mūlapariyāyasuttavaṇṇanā; saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.1; a. ni. aṭṭha. 1.1.1; dha. sa. aṭṭha. 1 kāmāvacarakusalapadabhājanīya; khu. pā. aṭṭha. maṃgalasuttavaṇṇanā, evamiccādipāṭhavaṇṇanā; paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.184);

    อิธ โส กาเล ทฎฺฐโพฺพ; ตสฺมิํ กาเลติ อโตฺถฯ มานุสํ ภวนฺติ มนุสฺสภาวํฯ อปฺปตฺตมานสาติ อปฺปตฺตํ อนธิคตํ มานสํ เยหิ เต อปฺปตฺตมานสาฯ มานสนฺติ ราคสฺส จ จิตฺตสฺส จ อรหตฺตสฺส จ อธิวจนํฯ ‘‘อนฺตลิกฺขจโร ปาโส, ยฺวายํ จรติ มานโส’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๕๑; มหาว. ๓๓) หิ เอตฺถ ปน ราโค ‘‘มานโส’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘จิตฺตํ มโน มานสํ หทยํ ปณฺฑร’’นฺติ (ธ. ส. ๖; วิภ. ๑๘๔; มหานิ. ๑; จูฬนิ. ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๑๔) เอตฺถ จิตฺตํฯ ‘‘อปฺปตฺตมานโส เสโข, กาลํ กยิรา ชเนสุตา’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๕๙) เอตฺถ อรหตฺตํฯ อิธาปิ อรหตฺตเมว อธิเปฺปตํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๕ กามาวจรกุสลนิเทฺทสวารกถา; มหานิ. อฎฺฐ. ๑)ฯ ตสฺมา อปฺปตฺตอรหตฺตผลาติ อโตฺถฯ เสขาติ เกนเฎฺฐน เสขา? เสขธมฺมปฎิลาภเฎฺฐน เสขาฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺต, เสโข โหตีติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เสขาย สมฺมาทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต โหติ…เป.… เสเขน สมฺมาสมาธินา สมนฺนาคโต โหติฯ เอตฺตาวตา โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เสโข โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๓)ฯ อปิ จ สิกฺขนฺตีติ เสขาฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สิกฺขติ, สิกฺขตีติ โข, ภิกฺขุ, ตสฺมา เสโขติ วุจฺจติฯ กิญฺจ สิกฺขติ? อธิสีลมฺปิ สิกฺขติ อธิจิตฺตมฺปิ อธิปญฺญมฺปิ สิกฺขตีติ โข, ภิกฺขุ, ตสฺมา เสโขติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๘๖)ฯ

    Idha so kāle daṭṭhabbo; tasmiṃ kāleti attho. Mānusaṃ bhavanti manussabhāvaṃ. Appattamānasāti appattaṃ anadhigataṃ mānasaṃ yehi te appattamānasā. Mānasanti rāgassa ca cittassa ca arahattassa ca adhivacanaṃ. ‘‘Antalikkhacaro pāso, yvāyaṃ carati mānaso’’ti (saṃ. ni. 1.151; mahāva. 33) hi ettha pana rāgo ‘‘mānaso’’ti vutto. ‘‘Cittaṃ mano mānasaṃ hadayaṃ paṇḍara’’nti (dha. sa. 6; vibha. 184; mahāni. 1; cūḷani. pārāyanānugītigāthāniddesa 114) ettha cittaṃ. ‘‘Appattamānaso sekho, kālaṃ kayirā janesutā’’ti (saṃ. ni. 1.159) ettha arahattaṃ. Idhāpi arahattameva adhippetaṃ (dha. sa. aṭṭha. 5 kāmāvacarakusalaniddesavārakathā; mahāni. aṭṭha. 1). Tasmā appattaarahattaphalāti attho. Sekhāti kenaṭṭhena sekhā? Sekhadhammapaṭilābhaṭṭhena sekhā. Vuttañhetaṃ – ‘‘kittāvatā nu kho, bhante, sekho hotīti? Idha, bhikkhave, bhikkhu sekhāya sammādiṭṭhiyā samannāgato hoti…pe… sekhena sammāsamādhinā samannāgato hoti. Ettāvatā kho, bhikkhave, bhikkhu sekho hotī’’ti (saṃ. ni. 5.13). Api ca sikkhantīti sekhā. Vuttañhetaṃ – ‘‘sikkhati, sikkhatīti kho, bhikkhu, tasmā sekhoti vuccati. Kiñca sikkhati? Adhisīlampi sikkhati adhicittampi adhipaññampi sikkhatīti kho, bhikkhu, tasmā sekhoti vuccatī’’ti (a. ni. 3.86).

    สุปุปฺผิตนฺติ สุฎฺฐุ วิกสิตํฯ ปาวจนนฺติ ปสตฺถํ วจนํ, วุทฺธิปฺปตฺตํ วา วจนํ ปวจนํ, ปวจนเมว ปาวจนํ, สาสนนฺติ อโตฺถฯ อุปโสภตีติ อภิราชติ อติวิโรจติฯ สพฺพทาติ สพฺพกาลํฯ ‘‘อุปโสภติ สเทวเก’’ติปิ ปาโฐฯ

    Supupphitanti suṭṭhu vikasitaṃ. Pāvacananti pasatthaṃ vacanaṃ, vuddhippattaṃ vā vacanaṃ pavacanaṃ, pavacanameva pāvacanaṃ, sāsananti attho. Upasobhatīti abhirājati ativirocati. Sabbadāti sabbakālaṃ. ‘‘Upasobhati sadevake’’tipi pāṭho.

    ตสฺส ทีปงฺกรสฺส ภควโต รมฺมวตี นาม นครํ อโหสิ, สุเทโว นาม ขตฺติโย ปิตา, สุเมธา นาม เทวี มาตา, สุมงฺคโล จ ติโสฺส จาติ เทฺว อคฺคสาวกา, สาคโต นาม อุปฎฺฐาโก, นนฺทา จ สุนนฺทา จาติ เทฺว อคฺคสาวิกา, โพธิ ตสฺส ภควโต ปิปฺผลิรุโกฺข อโหสิ, อสีติหตฺถุเพฺพโธ, สตสหสฺสวสฺสานิ อายูติฯ กิํ ปนิเมสํ ชาตนคราทีนํ ทสฺสเน ปโยชนนฺติ เจ? วุจฺจเต – ยสฺส ยทิ เนว ชาตนครํ น ปิตา น มาตา ปญฺญาเยยฺย, อิมสฺส ปน เนว ชาตนครํ น ปิตา น มาตา ปญฺญายติ, เทโว วา สโกฺก วา ยโกฺข วา มาโร วา พฺรหฺมา วา เอส มเญฺญ, เทวานมฺปิ อีทิสํ ปาฎิหาริยํ อนจฺฉริยนฺติ มญฺญมานา น โสตพฺพํ น สทฺทหิตพฺพํ มเญฺญยฺยุํ, ตโต อภิสมโย น ภเวยฺย, อสติ อภิสมเย นิรตฺถโก พุทฺธุปฺปาโท ภเวยฺย, อนิยฺยานิกํ สาสนํฯ ตสฺมา สพฺพพุทฺธานํ ชาตนคราทิโก ปริเจฺฉโท ทเสฺสตโพฺพฯ เตน วุตฺตํ –

    Tassa dīpaṅkarassa bhagavato rammavatī nāma nagaraṃ ahosi, sudevo nāma khattiyo pitā, sumedhā nāma devī mātā, sumaṅgalo ca tisso cāti dve aggasāvakā, sāgato nāma upaṭṭhāko, nandā ca sunandā cāti dve aggasāvikā, bodhi tassa bhagavato pipphalirukkho ahosi, asītihatthubbedho, satasahassavassāni āyūti. Kiṃ panimesaṃ jātanagarādīnaṃ dassane payojananti ce? Vuccate – yassa yadi neva jātanagaraṃ na pitā na mātā paññāyeyya, imassa pana neva jātanagaraṃ na pitā na mātā paññāyati, devo vā sakko vā yakkho vā māro vā brahmā vā esa maññe, devānampi īdisaṃ pāṭihāriyaṃ anacchariyanti maññamānā na sotabbaṃ na saddahitabbaṃ maññeyyuṃ, tato abhisamayo na bhaveyya, asati abhisamaye niratthako buddhuppādo bhaveyya, aniyyānikaṃ sāsanaṃ. Tasmā sabbabuddhānaṃ jātanagarādiko paricchedo dassetabbo. Tena vuttaṃ –

    ๑๘.

    18.

    ‘‘นครํ รมฺมวตี นาม, สุเทโว นาม ขตฺติโย;

    ‘‘Nagaraṃ rammavatī nāma, sudevo nāma khattiyo;

    สุเมธา นาม ชนิกา, ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโนฯ

    Sumedhā nāma janikā, dīpaṅkarassa satthuno.

    ๒๔.

    24.

    ‘‘สุมงฺคโล จ ติโสฺส จ, อเหสุํ อคฺคสาวกา;

    ‘‘Sumaṅgalo ca tisso ca, ahesuṃ aggasāvakā;

    สาคโต นามุปฎฺฐาโก, ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโนฯ

    Sāgato nāmupaṭṭhāko, dīpaṅkarassa satthuno.

    ๒๕.

    25.

    ‘‘นนฺทา เจว สุนนฺทา จ, อเหสุํ อคฺคสาวิกา;

    ‘‘Nandā ceva sunandā ca, ahesuṃ aggasāvikā;

    โพธิ ตสฺส ภควโต, ปิปฺผลีติ ปวุจฺจติฯ

    Bodhi tassa bhagavato, pipphalīti pavuccati.

    ๒๗.

    27.

    ‘‘อสีติหตฺถมุเพฺพโธ, ทีปงฺกโร มหามุนิ;

    ‘‘Asītihatthamubbedho, dīpaṅkaro mahāmuni;

    โสภติ ทีปรุโกฺขว, สาลราชาว ผุลฺลิโตฯ

    Sobhati dīparukkhova, sālarājāva phullito.

    ๒๘.

    28.

    ‘‘สตสหสฺสวสฺสานิ, อายุ ตสฺส มเหสิโน;

    ‘‘Satasahassavassāni, āyu tassa mahesino;

    ตาวตา ติฎฺฐมาโน โส, ตาเรสิ ชนตํ พหุํฯ

    Tāvatā tiṭṭhamāno so, tāresi janataṃ bahuṃ.

    ๒๙.

    29.

    ‘‘โชตยิตฺวาน สทฺธมฺมํ, สนฺตาเรตฺวา มหาชนํ;

    ‘‘Jotayitvāna saddhammaṃ, santāretvā mahājanaṃ;

    ชลิตฺวา อคฺคิกฺขโนฺธว, นิพฺพุโต โส สสาวโกฯ

    Jalitvā aggikkhandhova, nibbuto so sasāvako.

    ๓๐.

    30.

    ‘‘สา จ อิทฺธิ โส จ ยโส, ตานิ จ ปาเทสุ จกฺกรตนานิ;

    ‘‘Sā ca iddhi so ca yaso, tāni ca pādesu cakkaratanāni;

    สพฺพํ ตมนฺตรหิตํ, นนุ ริตฺตา สพฺพสงฺขารา’’ติฯ

    Sabbaṃ tamantarahitaṃ, nanu rittā sabbasaṅkhārā’’ti.

    ตตฺถ สุเทโว นาม ขตฺติโยติ สุเทโว นามสฺส ขตฺติโย ปิตา อโหสีติ อโตฺถฯ ชนิกาติ ชเนตฺติฯ ปิปฺผลีติ ปิลกฺขกปีตนรุโกฺข โพธิฯ อสีติหตฺถมุเพฺพโธติ อสีติหตฺถํ อุจฺจคฺคโตฯ ทีปรุโกฺข วาติ สมฺปชฺชลิตทีปมาลากุโล ทีปรุโกฺข วิย อาโรหปริณาหสณฺฐานปาริปูริสมฺปโนฺน ทฺวตฺติํสวรลกฺขณานุพฺยญฺชนสมลงฺกตสรีโร วิปฺผุริตรํสิชาลาวิสรตาราคณสมุชฺชลมิว คคนตลํ ภควา ธรมานกาเล โสภตีติ โสภิตฺถฯ สาลราชาว ผุลฺลิโตติ ปุปฺผิโต สพฺพผาลิผุโลฺล สาลราชรุโกฺข วิย จ สพฺพผาลิผุโลฺล โยชนสตุเพฺพโธ ปาริจฺฉโตฺต วิย จ อสีติหตฺถุเพฺพโธ ภควา อติวิย โสภติฯ

    Tattha sudevo nāma khattiyoti sudevo nāmassa khattiyo pitā ahosīti attho. Janikāti janetti. Pipphalīti pilakkhakapītanarukkho bodhi. Asītihatthamubbedhoti asītihatthaṃ uccaggato. Dīparukkho vāti sampajjalitadīpamālākulo dīparukkho viya ārohapariṇāhasaṇṭhānapāripūrisampanno dvattiṃsavaralakkhaṇānubyañjanasamalaṅkatasarīro vipphuritaraṃsijālāvisaratārāgaṇasamujjalamiva gaganatalaṃ bhagavā dharamānakāle sobhatīti sobhittha. Sālarājāva phullitoti pupphito sabbaphāliphullo sālarājarukkho viya ca sabbaphāliphullo yojanasatubbedho pāricchatto viya ca asītihatthubbedho bhagavā ativiya sobhati.

    สตสหสฺสวสฺสานีติ วสฺสสตสหสฺสานิ ตสฺส อายูติ อโตฺถฯ ตาวตา ติฎฺฐมาโนติ ตาวตกํ กาลํ ติฎฺฐมาโนฯ ชนตนฺติ ชนสมูหํฯ สนฺตาเรตฺวา มหาชนนฺติ ตารยิตฺวา มหาชนํฯ ‘‘สนฺตาเรตฺวา สเทวก’’นฺติปิ ปาโฐ, ตสฺส สเทวกํ โลกนฺติ อโตฺถฯ สา จ อิทฺธีติ สา จ สมฺปตฺติ อานุภาโวฯ โส จ ยโสติ โส จ ปริวาโรฯ สพฺพํ ตมนฺตรหิตนฺติ ตํ สพฺพํ วุตฺตปฺปการํ สมฺปตฺติชาตํ อนฺตรหิตํ อปคตนฺติ อโตฺถฯ นนุ ริตฺตา สพฺพสงฺขาราติ สเพฺพ ปน สงฺขตธมฺมา นนุ ริตฺตา ตุจฺฉา, นิจฺจสาราทิรหิตาติ อโตฺถฯ

    Satasahassavassānīti vassasatasahassāni tassa āyūti attho. Tāvatā tiṭṭhamānoti tāvatakaṃ kālaṃ tiṭṭhamāno. Janatanti janasamūhaṃ. Santāretvā mahājananti tārayitvā mahājanaṃ. ‘‘Santāretvā sadevaka’’ntipi pāṭho, tassa sadevakaṃ lokanti attho. Sā ca iddhīti sā ca sampatti ānubhāvo. So ca yasoti so ca parivāro. Sabbaṃ tamantarahitanti taṃ sabbaṃ vuttappakāraṃ sampattijātaṃ antarahitaṃ apagatanti attho. Nanu rittā sabbasaṅkhārāti sabbe pana saṅkhatadhammā nanu rittā tucchā, niccasārādirahitāti attho.

    เอตฺถ ปน นคราทิปริเจฺฉโท ปาฬิยมาคโตวฯ สมฺพหุลวาโร ปน นาคโต, โส อาเนตฺวา ทีเปตโพฺพฯ เสยฺยถิทํ – ปุตฺตปริเจฺฉโท, ภริยาปริเจฺฉโท, ปาสาทปริเจฺฉโท, อคารวาสปริเจฺฉโท, นาฎกิตฺถิปริเจฺฉโท, อภินิกฺขมนปริเจฺฉโท, ปธานปริเจฺฉโท, วิหารปริเจฺฉโท, อุปฎฺฐากปริเจฺฉโทติฯ เอเตสมฺปิ ทีปเน การณํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ ตสฺส ปน ทีปงฺกรสฺส ภริยานํ ติสตสหสฺสํ อโหสิฯ ตสฺส อคฺคมเหสี ปทุมา นาม, ตสฺส ปน ปุโตฺต อุสภกฺขโนฺธ นามฯ เตน วุตฺตํ –

    Ettha pana nagarādiparicchedo pāḷiyamāgatova. Sambahulavāro pana nāgato, so ānetvā dīpetabbo. Seyyathidaṃ – puttaparicchedo, bhariyāparicchedo, pāsādaparicchedo, agāravāsaparicchedo, nāṭakitthiparicchedo, abhinikkhamanaparicchedo, padhānaparicchedo, vihāraparicchedo, upaṭṭhākaparicchedoti. Etesampi dīpane kāraṇaṃ heṭṭhā vuttameva. Tassa pana dīpaṅkarassa bhariyānaṃ tisatasahassaṃ ahosi. Tassa aggamahesī padumā nāma, tassa pana putto usabhakkhandho nāma. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ภริยา ปทุมา นาม, วิพุทฺธปทุมานนา;

    ‘‘Bhariyā padumā nāma, vibuddhapadumānanā;

    อตฺรโช อุสภกฺขโนฺธ, ทีปงฺกรสฺส สตฺถุโนฯ

    Atrajo usabhakkhandho, dīpaṅkarassa satthuno.

    ‘‘หํสา โกญฺจา มยูราขฺยา, ปาสาทาปิ ตโย มตา;

    ‘‘Haṃsā koñcā mayūrākhyā, pāsādāpi tayo matā;

    ทสวสฺสสหสฺสานิ, อคารํ อวสี กิรฯ

    Dasavassasahassāni, agāraṃ avasī kira.

    ‘‘หตฺถิยาเนน นิกฺขโนฺต, นนฺทาราเม ชิโน วสี;

    ‘‘Hatthiyānena nikkhanto, nandārāme jino vasī;

    นโนฺท นามสฺสุปฎฺฐาโก, โลกานนฺทกโร กิรา’’ติฯ

    Nando nāmassupaṭṭhāko, lokānandakaro kirā’’ti.

    สพฺพพุทฺธานํ ปน ปญฺจ เวมตฺตานิ โหนฺติ อายุเวมตฺตํ ปมาณเวมตฺตํ กุลเวมตฺตํ ปธานเวมตฺตํ รสฺมิเวมตฺตนฺติฯ ตตฺถ อายุเวมตฺตํ นาม เกจิ ทีฆายุกา โหนฺติ เกจิ อปฺปายุกาฯ ตถา หิ ทีปงฺกรสฺส ปน ภควโต วสฺสสตสหสฺสํ อายุปฺปมาณํ อโหสิ, อมฺหากํ ภควโต วสฺสสตํฯ

    Sabbabuddhānaṃ pana pañca vemattāni honti āyuvemattaṃ pamāṇavemattaṃ kulavemattaṃ padhānavemattaṃ rasmivemattanti. Tattha āyuvemattaṃ nāma keci dīghāyukā honti keci appāyukā. Tathā hi dīpaṅkarassa pana bhagavato vassasatasahassaṃ āyuppamāṇaṃ ahosi, amhākaṃ bhagavato vassasataṃ.

    ปมาณเวมตฺตํ นาม เกจิ ทีฆา โหนฺติ เกจิ รสฺสาฯ ตถา หิ ทีปงฺกโร อสีติหตฺถปฺปมาโณ อโหสิ, อมฺหากํ ปน ภควา อฎฺฐารสหตฺถปฺปมาโณฯ

    Pamāṇavemattaṃ nāma keci dīghā honti keci rassā. Tathā hi dīpaṅkaro asītihatthappamāṇo ahosi, amhākaṃ pana bhagavā aṭṭhārasahatthappamāṇo.

    กุลเวมตฺตํ นาม เกจิ ขตฺติยกุเล นิพฺพตฺตนฺติ เกจิ พฺราหฺมณกุเลฯ ตถา หิ ทีปงฺกราทโย ขตฺติยกุเล นิพฺพตฺติํสุ, กกุสนฺธโกณาคมนาทโย พฺราหฺมณกุเลฯ

    Kulavemattaṃ nāma keci khattiyakule nibbattanti keci brāhmaṇakule. Tathā hi dīpaṅkarādayo khattiyakule nibbattiṃsu, kakusandhakoṇāgamanādayo brāhmaṇakule.

    ปธานเวมตฺตํ นาม เกสญฺจิ ปธานํ อิตฺตรเมว โหติ ยถา กสฺสปสฺส ภควโต , เกสญฺจิ อทฺธนิยํ อมฺหากํ ภควโต วิยฯ

    Padhānavemattaṃ nāma kesañci padhānaṃ ittarameva hoti yathā kassapassa bhagavato , kesañci addhaniyaṃ amhākaṃ bhagavato viya.

    รสฺมิเวมตฺตํ นาม มงฺคลสฺส ภควโต สรีรสฺมิ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิ, อมฺหากํ ภควโต พฺยามมตฺตํฯ ตตฺร รสฺมิเวมตฺตํ อชฺฌาสยปฎิพทฺธํ โหติฯ โย ยตฺตกํ อิจฺฉสิ, ตสฺส ตตฺตกํ สรีรปฺปภา ผรติฯ มงฺคลสฺส ปน ‘‘ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผรตู’’ติ อชฺฌาสโย อโหสิฯ ปฎิวิทฺธคุเณสุ ปน กสฺสจิ เวมตฺตํ นาม นตฺถิ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๑๒ อาทโย)ฯ

    Rasmivemattaṃ nāma maṅgalassa bhagavato sarīrasmi dasasahassilokadhātuṃ pharitvā aṭṭhāsi, amhākaṃ bhagavato byāmamattaṃ. Tatra rasmivemattaṃ ajjhāsayapaṭibaddhaṃ hoti. Yo yattakaṃ icchasi, tassa tattakaṃ sarīrappabhā pharati. Maṅgalassa pana ‘‘dasasahassilokadhātuṃ pharatū’’ti ajjhāsayo ahosi. Paṭividdhaguṇesu pana kassaci vemattaṃ nāma natthi (dī. ni. aṭṭha. 2.12 ādayo).

    ตถา สพฺพพุทฺธานํ จตฺตาริ อวิชหิตฎฺฐานานิ นาม โหนฺติฯ โพธิปลฺลโงฺก อวิชหิโต เอกสฺมิํเยว ฐาเน โหติฯ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนฎฺฐานํ อิสิปตเน มิคทาเย อวิชหิตเมว โหติฯ เทโวโรหณกาเล สงฺกสฺสนครทฺวาเร ปฐมปาทกฺกโม อวิชหิโตว โหติฯ เชตวเน คนฺธกุฎิยา จตฺตาริ มญฺจปาทฎฺฐานานิ อวิชหิตาเนว โหนฺติฯ วิหาโรปิ อวิชหิโตวฯ โส ปน ขุทฺทโก วา มหโนฺต วา โหติฯ

    Tathā sabbabuddhānaṃ cattāri avijahitaṭṭhānāni nāma honti. Bodhipallaṅko avijahito ekasmiṃyeva ṭhāne hoti. Dhammacakkappavattanaṭṭhānaṃ isipatane migadāye avijahitameva hoti. Devorohaṇakāle saṅkassanagaradvāre paṭhamapādakkamo avijahitova hoti. Jetavane gandhakuṭiyā cattāri mañcapādaṭṭhānāni avijahitāneva honti. Vihāropi avijahitova. So pana khuddako vā mahanto vā hoti.

    อปรํ ปน อมฺหากํเยว ภควโต สหชาตปริเจฺฉทญฺจ นกฺขตฺตปริเจฺฉทญฺจ วิเสสํฯ อมฺหากํ สพฺพญฺญุโพธิสเตฺตน กิร สทฺธิํ ราหุลมาตา อานนฺทเตฺถโร ฉโนฺน กณฺฑโก อสฺสราชา นิธิกุมฺภา มหาโพธิรุโกฺข กาฬุทายีติ อิมานิ สต สหชาตานิฯ มหาปุริโส กิร อุตฺตราสาฬฺหนกฺขเตฺตเนว มาตุกุจฺฉิํ โอกฺกมิ, มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิ , ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตสิ, ยมกปาฎิหาริยํ อกาสิฯ วิสาขนกฺขเตฺตน ชาโต จ อภิสมฺพุโทฺธ จ ปรินิพฺพุโต จ, มาฆนกฺขเตฺตน ตสฺส สาวกสนฺนิปาโต เจว อายุสงฺขารโวสชฺชนญฺจ อโหสิ, อสฺสยุชนกฺขเตฺตน เทโวโรหณนฺติ เอตฺตกํ อาหริตฺวา ทีเปตพฺพํฯ อยํ สมฺพหุลวารปริเจฺฉโทฯ เสสคาถา สอุตฺตานา เอวาติฯ

    Aparaṃ pana amhākaṃyeva bhagavato sahajātaparicchedañca nakkhattaparicchedañca visesaṃ. Amhākaṃ sabbaññubodhisattena kira saddhiṃ rāhulamātā ānandatthero channo kaṇḍako assarājā nidhikumbhā mahābodhirukkho kāḷudāyīti imāni sata sahajātāni. Mahāpuriso kira uttarāsāḷhanakkhatteneva mātukucchiṃ okkami, mahābhinikkhamanaṃ nikkhami , dhammacakkaṃ pavattesi, yamakapāṭihāriyaṃ akāsi. Visākhanakkhattena jāto ca abhisambuddho ca parinibbuto ca, māghanakkhattena tassa sāvakasannipāto ceva āyusaṅkhāravosajjanañca ahosi, assayujanakkhattena devorohaṇanti ettakaṃ āharitvā dīpetabbaṃ. Ayaṃ sambahulavāraparicchedo. Sesagāthā sauttānā evāti.

    อิติ ภควา ทีปงฺกโร ยาวตายุกํ ฐตฺวา สพฺพพุทฺธกิจฺจํ กตฺวา อนุกฺกเมน อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ

    Iti bhagavā dīpaṅkaro yāvatāyukaṃ ṭhatvā sabbabuddhakiccaṃ katvā anukkamena anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi.

    ยสฺมิํ กิร กเปฺป ทีปงฺกรทสพโล อุทปาทิ, ตสฺมิํ อเญฺญปิ ตณฺหงฺกโร, เมธงฺกโร, สรณงฺกโรติ ตโย พุทฺธา อเหสุํฯ เตสํ สนฺติเก โพธิสตฺตสฺส พฺยากรณํ นตฺถิฯ ตสฺมา เต อิธ น ทสฺสิตาฯ อฎฺฐกถายํ ปน ตมฺหา กปฺปา อาทิโต ปฎฺฐายุปฺปนฺนุปฺปเนฺน สพฺพพุเทฺธ ทเสฺสตุํ อิทํ วุตฺตํ –

    Yasmiṃ kira kappe dīpaṅkaradasabalo udapādi, tasmiṃ aññepi taṇhaṅkaro, medhaṅkaro, saraṇaṅkaroti tayo buddhā ahesuṃ. Tesaṃ santike bodhisattassa byākaraṇaṃ natthi. Tasmā te idha na dassitā. Aṭṭhakathāyaṃ pana tamhā kappā ādito paṭṭhāyuppannuppanne sabbabuddhe dassetuṃ idaṃ vuttaṃ –

    ‘‘ตณฺหงฺกโร เมธงฺกโร, อโถปิ สรณงฺกโร;

    ‘‘Taṇhaṅkaro medhaṅkaro, athopi saraṇaṅkaro;

    ทีปงฺกโร จ สมฺพุโทฺธ, โกณฺฑโญฺญ ทฺวิปทุตฺตโมฯ

    Dīpaṅkaro ca sambuddho, koṇḍañño dvipaduttamo.

    ‘‘มงฺคโล จ สุมโน จ, เรวโต โสภิโต มุนิ;

    ‘‘Maṅgalo ca sumano ca, revato sobhito muni;

    อโนมทสฺสี ปทุโม, นารโท ปทุมุตฺตโรฯ

    Anomadassī padumo, nārado padumuttaro.

    ‘‘สุเมโธ จ สุชาโต จ, ปิยทสฺสี มหายโส;

    ‘‘Sumedho ca sujāto ca, piyadassī mahāyaso;

    อตฺถทสฺสี ธมฺมทสฺสี, สิทฺธโตฺถ โลกนายโกฯ

    Atthadassī dhammadassī, siddhattho lokanāyako.

    ‘‘ติโสฺส ผุโสฺส จ สมฺพุโทฺธ, วิปสฺสี สิขิ เวสฺสภู;

    ‘‘Tisso phusso ca sambuddho, vipassī sikhi vessabhū;

    กกุสโนฺธ โกณาคมโน, กสฺสโป จาปิ นายโกฯ

    Kakusandho koṇāgamano, kassapo cāpi nāyako.

    ‘‘เอเต อเหสุํ สมฺพุทฺธา, วีตราคา สมาหิตา;

    ‘‘Ete ahesuṃ sambuddhā, vītarāgā samāhitā;

    สตรํสีว อุปฺปนฺนา, มหาตมวิโนทนา;

    Sataraṃsīva uppannā, mahātamavinodanā;

    ชลิตฺวา อคฺคิกฺขนฺธาว, นิพฺพุตา เต สสาวกา’’ติฯ (อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; จริยา. อฎฺฐ. นิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา);

    Jalitvā aggikkhandhāva, nibbutā te sasāvakā’’ti. (apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; cariyā. aṭṭha. nidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā);

    เอตฺตาวตา นาติสเงฺขปวิตฺถารวเสน กตาย

    Ettāvatā nātisaṅkhepavitthāravasena katāya

    มธุรตฺถวิลาสินิยา พุทฺธวํส-อฎฺฐกถาย

    Madhuratthavilāsiniyā buddhavaṃsa-aṭṭhakathāya

    ทีปงฺกรพุทฺธวํสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dīpaṅkarabuddhavaṃsavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิโต ปฐโม พุทฺธวํโสฯ

    Niṭṭhito paṭhamo buddhavaṃso.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / พุทฺธวํสปาฬิ • Buddhavaṃsapāḷi / ๓. ทีปงฺกรพุทฺธวํโส • 3. Dīpaṅkarabuddhavaṃso


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact