Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā |
๑. ทิวาเสยฺยวินิจฺฉยกถา
1. Divāseyyavinicchayakathā
๑. ตตฺถ ทิวาเสยฺยาติ ทิวานิปชฺชนํฯ ตตฺรายํ วินิจฺฉโย – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ทิวา ปฎิสลฺลียเนฺตน ทฺวารํ สํวริตฺวา ปฎิสลฺลียิตุ’’นฺติ (ปารา. ๗๗) วจนโต ทิวา นิปชฺชเนฺตน ทฺวารํ สํวริตฺวา นิปชฺชิตพฺพํฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ ปาฬิยํ ‘‘อยํ นาม อาปตฺตี’’ติ น วุตฺตา, วิวริตฺวา นิปนฺนโทเสน ปน อุปฺปเนฺน วตฺถุสฺมิํ ทฺวารํ สํวริตฺวา นิปชฺชิตุํ อนุญฺญาตตฺตา อสํวริตฺวา นิปชฺชนฺตสฺส อฎฺฐกถายํ ทุกฺกฎํ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๗๗) วุตฺตํฯ ภควโต หิ อธิปฺปายํ ญตฺวา อุปาลิเตฺถราทีหิ อฎฺฐกถา ฐปิตาฯ ‘‘อตฺถาปตฺติ ทิวา อาปชฺชติ, โน รตฺติ’’นฺติ (ปริ. ๓๒๓) อิมินาปิ เจตํ สิทฺธํฯ
1. Tattha divāseyyāti divānipajjanaṃ. Tatrāyaṃ vinicchayo – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, divā paṭisallīyantena dvāraṃ saṃvaritvā paṭisallīyitu’’nti (pārā. 77) vacanato divā nipajjantena dvāraṃ saṃvaritvā nipajjitabbaṃ. Ettha ca kiñcāpi pāḷiyaṃ ‘‘ayaṃ nāma āpattī’’ti na vuttā, vivaritvā nipannadosena pana uppanne vatthusmiṃ dvāraṃ saṃvaritvā nipajjituṃ anuññātattā asaṃvaritvā nipajjantassa aṭṭhakathāyaṃ dukkaṭaṃ (pārā. aṭṭha. 1.77) vuttaṃ. Bhagavato hi adhippāyaṃ ñatvā upālittherādīhi aṭṭhakathā ṭhapitā. ‘‘Atthāpatti divā āpajjati, no ratti’’nti (pari. 323) imināpi cetaṃ siddhaṃ.
๒. กีทิสํ ปน ทฺวารํ สํวริตพฺพํ, กีทิสํ น สํวริตพฺพํ? รุกฺขปทรเวฬุปทรกิลญฺชปณฺณาทีนํ เยน เกนจิ กวาฎํ กตฺวา เหฎฺฐา อุทุกฺขเล อุปริ อุตฺตรปาสเก จ ปเวเสตฺวา กตํ ปริวตฺตกทฺวารเมว สํวริตพฺพํฯ อญฺญํ โครูปานํ วเชสุ วิย รุกฺขสูจิกณฺฎกทฺวารํ, คามถกนกํ จกฺกลกยุตฺตทฺวารํ, ผลเกสุ วา กิฎิกาสุ วา เทฺว ตีณิ จกฺกลกานิ โยเชตฺวา กตํ สํสรณกิฎิกทฺวารํ, อาปเณสุ วิย กตํ อุคฺฆาฎนกิฎิกทฺวารํ, ทฺวีสุ ตีสุ ฐาเนสุ เวฬุสลากา โคเปฺผตฺวา ปณฺณกุฎีสุ กตํ สลากหตฺถกทฺวารํ, ทุสฺสสาณิทฺวารนฺติ เอวรูปํ ทฺวารํ น สํวริตพฺพํฯ ปตฺตหตฺถสฺส กวาฎปฺปณามเน ปน เอกํ ทุสฺสสาณิทฺวารเมว อนาปตฺติกรํ, อวเสสานิ ปณาเมนฺตสฺส อาปตฺติฯ ทิวา ปฎิสลฺลียนฺตสฺส ปน ปริวตฺตกทฺวารเมว อาปตฺติกรํ, เสสานิ สํวริตฺวา วา อสํวริตฺวา วา นิปชฺชนฺตสฺส อาปตฺติ นตฺถิ, สํวริตฺวา ปน นิปชฺชิตพฺพํ, เอตํ วตฺตํฯ
2. Kīdisaṃ pana dvāraṃ saṃvaritabbaṃ, kīdisaṃ na saṃvaritabbaṃ? Rukkhapadaraveḷupadarakilañjapaṇṇādīnaṃ yena kenaci kavāṭaṃ katvā heṭṭhā udukkhale upari uttarapāsake ca pavesetvā kataṃ parivattakadvārameva saṃvaritabbaṃ. Aññaṃ gorūpānaṃ vajesu viya rukkhasūcikaṇṭakadvāraṃ, gāmathakanakaṃ cakkalakayuttadvāraṃ, phalakesu vā kiṭikāsu vā dve tīṇi cakkalakāni yojetvā kataṃ saṃsaraṇakiṭikadvāraṃ, āpaṇesu viya kataṃ ugghāṭanakiṭikadvāraṃ, dvīsu tīsu ṭhānesu veḷusalākā gopphetvā paṇṇakuṭīsu kataṃ salākahatthakadvāraṃ, dussasāṇidvāranti evarūpaṃ dvāraṃ na saṃvaritabbaṃ. Pattahatthassa kavāṭappaṇāmane pana ekaṃ dussasāṇidvārameva anāpattikaraṃ, avasesāni paṇāmentassa āpatti. Divā paṭisallīyantassa pana parivattakadvārameva āpattikaraṃ, sesāni saṃvaritvā vā asaṃvaritvā vā nipajjantassa āpatti natthi, saṃvaritvā pana nipajjitabbaṃ, etaṃ vattaṃ.
๓. ปริวตฺตกทฺวารํ กิตฺตเกน สํวุตํ โหติ? สูจิฆฎิกาสุ ทินฺนาสุ สํวุตเมว โหติฯ อปิจ โข สูจิมเตฺตปิ ทิเนฺน วฎฺฎติ, ฆฎิกามเตฺตปิ ทิเนฺน วฎฺฎติ, ทฺวารพาหํ ผุสิตฺวา ฐปิตมเตฺตปิ วฎฺฎติ, อีสกํ อผุสิเตปิ วฎฺฎติ, สพฺพนฺติเมน วิธินา ยาวตา สีสํ นปฺปวิสติ, ตาวตา อผุสิเตปิ วฎฺฎติฯ สเจ พหูนํ วฬญฺชนฎฺฐานํ โหติ, ภิกฺขุํ วา สามเณรํ วา ‘‘ทฺวารํ, อาวุโส, ชคฺคาหี’’ติ วตฺวาปิ นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ อถ ภิกฺขู จีวรกมฺมํ วา อญฺญํ วา กิญฺจิ กโรนฺตา นิสินฺนา โหนฺติ, ‘‘เอเต ทฺวารํ ชคฺคิสฺสนฺตี’’ติ อาโภคํ กตฺวาปิ นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อุปาสกมฺปิ อาปุจฺฉิตฺวา วา ‘เอส ชคฺคิสฺสตี’ติ อาโภคํ กตฺวา วา นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติ, เกวลํ ภิกฺขุนิํ วา มาตุคามํ วา อาปุจฺฉิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ ยุตฺตํฯ เอวํ สพฺพตฺถปิ โย โย เถรวาโท วา อฎฺฐกถาวาโท วา ปจฺฉา วุจฺจติ, โส โสว ปมาณนฺติ คเหตพฺพํฯ
3. Parivattakadvāraṃ kittakena saṃvutaṃ hoti? Sūcighaṭikāsu dinnāsu saṃvutameva hoti. Apica kho sūcimattepi dinne vaṭṭati, ghaṭikāmattepi dinne vaṭṭati, dvārabāhaṃ phusitvā ṭhapitamattepi vaṭṭati, īsakaṃ aphusitepi vaṭṭati, sabbantimena vidhinā yāvatā sīsaṃ nappavisati, tāvatā aphusitepi vaṭṭati. Sace bahūnaṃ vaḷañjanaṭṭhānaṃ hoti, bhikkhuṃ vā sāmaṇeraṃ vā ‘‘dvāraṃ, āvuso, jaggāhī’’ti vatvāpi nipajjituṃ vaṭṭati. Atha bhikkhū cīvarakammaṃ vā aññaṃ vā kiñci karontā nisinnā honti, ‘‘ete dvāraṃ jaggissantī’’ti ābhogaṃ katvāpi nipajjituṃ vaṭṭati. Kurundaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘upāsakampi āpucchitvā vā ‘esa jaggissatī’ti ābhogaṃ katvā vā nipajjituṃ vaṭṭati, kevalaṃ bhikkhuniṃ vā mātugāmaṃ vā āpucchituṃ na vaṭṭatī’’ti vuttaṃ, taṃ yuttaṃ. Evaṃ sabbatthapi yo yo theravādo vā aṭṭhakathāvādo vā pacchā vuccati, so sova pamāṇanti gahetabbaṃ.
๔. อถ ทฺวารสฺส อุทุกฺขลํ วา อุตฺตรปาสโก วา ภิโนฺน โหติ อฎฺฐปิโต วา, สํวริตุํ น สโกฺกติ, นวกมฺมตฺถํ วา ปน อิฎฺฐกปุโญฺช วา มตฺติกาทีนํ วา ราสิ อโนฺตทฺวาเร กโต โหติ, อฎฺฎํ วา พนฺธนฺติ, ยถา สํวริตุํ น สโกฺกติฯ เอวรูเป อนฺตราเย สติ อสํวริตฺวาปิ นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ ยทิ ปน กวาฎํ นตฺถิ, ลทฺธกปฺปเมวฯ อุปริ สยเนฺตน นิเสฺสณิํ อาโรเปตฺวา นิปชฺชิตพฺพํฯ สเจ นิเสฺสณิมตฺถเก ถกนกํ โหติ, ถเกตฺวาปิ นิปชฺชิตพฺพํฯ คเพฺภ นิปชฺชเนฺตน คพฺภทฺวารํ วา ปมุขทฺวารํ วา ยํ กิญฺจิ สํวริตฺวา นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติฯ สเจ เอกกุฎฺฎเก เคเห ทฺวีสุ ปเสฺสสุ ทฺวารานิ กตฺวา วฬญฺชนฺติ, เทฺวปิ ทฺวารานิ ชคฺคิตพฺพานิ, ติภูมเกปิ ปาสาเท ทฺวารํ ชคฺคิตพฺพเมวฯ สเจ ภิกฺขาจารา ปฎิกฺกมฺม โลหปาสาทสทิสํ ปาสาทํ พหู ภิกฺขู ทิวาวิหารตฺถํ ปวิสนฺติ, สงฺฆเตฺถเรน ทฺวารปาลสฺส ‘‘ทฺวารํ ชคฺคาหี’’ติ วตฺวา วา ‘‘ทฺวารชคฺคนํ นาม เอตสฺส ภาโร’’ติ อาโภคํ กตฺวา วา ปวิสิตฺวา นิปชฺชิตพฺพํฯ ยาว สงฺฆนวเกน เอวเมว กาตพฺพํฯ ปุเร ปวิสนฺตานํ ‘‘ทฺวารชคฺคนํ นาม ปจฺฉิมานํ ภาโร’’ติ เอวํ อาโภคํ กาตุมฺปิ วฎฺฎติฯ อนาปุจฺฉา วา อาโภคํ อกตฺวา วา อโนฺตคเพฺภ วา อสํวุตทฺวาเร พหิ วา นิปชฺชนฺตานํ อาปตฺติฯ คเพฺภ วา พหิ วา นิปชฺชนกาเลปิ ‘‘ทฺวารชคฺคนํ นาม มหาทฺวาเร ทฺวารปาลสฺส ภาโร’’ติ อาโภคํ กตฺวา นิปชฺชิตุํ วฎฺฎติเยวฯ เอวํ โลหปาสาทาทีสุ อากาสตเล นิปชฺชเนฺตนปิ ทฺวารํ สํวริตพฺพเมวฯ
4. Atha dvārassa udukkhalaṃ vā uttarapāsako vā bhinno hoti aṭṭhapito vā, saṃvarituṃ na sakkoti, navakammatthaṃ vā pana iṭṭhakapuñjo vā mattikādīnaṃ vā rāsi antodvāre kato hoti, aṭṭaṃ vā bandhanti, yathā saṃvarituṃ na sakkoti. Evarūpe antarāye sati asaṃvaritvāpi nipajjituṃ vaṭṭati. Yadi pana kavāṭaṃ natthi, laddhakappameva. Upari sayantena nisseṇiṃ āropetvā nipajjitabbaṃ. Sace nisseṇimatthake thakanakaṃ hoti, thaketvāpi nipajjitabbaṃ. Gabbhe nipajjantena gabbhadvāraṃ vā pamukhadvāraṃ vā yaṃ kiñci saṃvaritvā nipajjituṃ vaṭṭati. Sace ekakuṭṭake gehe dvīsu passesu dvārāni katvā vaḷañjanti, dvepi dvārāni jaggitabbāni, tibhūmakepi pāsāde dvāraṃ jaggitabbameva. Sace bhikkhācārā paṭikkamma lohapāsādasadisaṃ pāsādaṃ bahū bhikkhū divāvihāratthaṃ pavisanti, saṅghattherena dvārapālassa ‘‘dvāraṃ jaggāhī’’ti vatvā vā ‘‘dvārajagganaṃ nāma etassa bhāro’’ti ābhogaṃ katvā vā pavisitvā nipajjitabbaṃ. Yāva saṅghanavakena evameva kātabbaṃ. Pure pavisantānaṃ ‘‘dvārajagganaṃ nāma pacchimānaṃ bhāro’’ti evaṃ ābhogaṃ kātumpi vaṭṭati. Anāpucchā vā ābhogaṃ akatvā vā antogabbhe vā asaṃvutadvāre bahi vā nipajjantānaṃ āpatti. Gabbhe vā bahi vā nipajjanakālepi ‘‘dvārajagganaṃ nāma mahādvāre dvārapālassa bhāro’’ti ābhogaṃ katvā nipajjituṃ vaṭṭatiyeva. Evaṃ lohapāsādādīsu ākāsatale nipajjantenapi dvāraṃ saṃvaritabbameva.
อยเญฺหตฺถ สเงฺขโป – อิทํ ทิวาปฎิสลฺลียนํ เยน เกนจิ ปริกฺขิเตฺต สทฺวารพเนฺธ ฐาเน กถิตํ, ตสฺมา อโพฺภกาเส วา รุกฺขมูเล วา มณฺฑเป วา ยตฺถ กตฺถจิ สทฺวารพเนฺธ นิปชฺชเนฺตน ทฺวารํ สํวริตฺวาว นิปชฺชิตพฺพํฯ สเจ มหาปริเวณํ โหติ มหาโพธิยงฺคณโลหปาสาทงฺคณสทิสํ พหูนํ โอสรณฎฺฐานํ, ยตฺถ ทฺวารํ สํวุตมฺปิ สํวุตฎฺฐาเน น ติฎฺฐติ, ทฺวารํ อลภนฺตา ปาการํ อารุหิตฺวาปิ วิจรนฺติ, ตตฺถ สํวรณกิจฺจํ นตฺถิฯ รตฺติํ ทฺวารํ วิวริตฺวา นิปโนฺน อรุเณ อุคฺคเต วุฎฺฐาติ, อนาปตฺติฯ สเจ ปน ปพุชฺฌิตฺวา ปุน สุปติ, อาปตฺติฯ โย ปน ‘‘อรุเณ อุคฺคเต วุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวาว ทฺวารํ อสํวริตฺวา รตฺติํ นิปชฺชติ, ยถาปริเจฺฉทเมว วุฎฺฐาติ, ตสฺส อาปตฺติเยวฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘เอวํ นิปชฺชโนฺต อนาทริยทุกฺกฎาปิ น มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ
Ayañhettha saṅkhepo – idaṃ divāpaṭisallīyanaṃ yena kenaci parikkhitte sadvārabandhe ṭhāne kathitaṃ, tasmā abbhokāse vā rukkhamūle vā maṇḍape vā yattha katthaci sadvārabandhe nipajjantena dvāraṃ saṃvaritvāva nipajjitabbaṃ. Sace mahāpariveṇaṃ hoti mahābodhiyaṅgaṇalohapāsādaṅgaṇasadisaṃ bahūnaṃ osaraṇaṭṭhānaṃ, yattha dvāraṃ saṃvutampi saṃvutaṭṭhāne na tiṭṭhati, dvāraṃ alabhantā pākāraṃ āruhitvāpi vicaranti, tattha saṃvaraṇakiccaṃ natthi. Rattiṃ dvāraṃ vivaritvā nipanno aruṇe uggate vuṭṭhāti, anāpatti. Sace pana pabujjhitvā puna supati, āpatti. Yo pana ‘‘aruṇe uggate vuṭṭhahissāmī’’ti paricchinditvāva dvāraṃ asaṃvaritvā rattiṃ nipajjati, yathāparicchedameva vuṭṭhāti, tassa āpattiyeva. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘evaṃ nipajjanto anādariyadukkaṭāpi na muccatī’’ti vuttaṃ.
๕. โย ปน พหุเทว รตฺติํ ชคฺคิตฺวา อทฺธานํ วา คนฺตฺวา ทิวา กิลนฺตรูโป มเญฺจ นิสิโนฺน ปาเท ภูมิโต อโมเจตฺวาว นิทฺทาวเสน นิปชฺชติ, ตสฺส อนาปตฺติฯ สเจ โอกฺกนฺตนิโทฺท อชานโนฺตปิ ปาเท มญฺจกํ อาโรเปติ, อาปตฺติเยวฯ นิสีทิตฺวา อปสฺสาย สุปนฺตสฺส อนาปตฺติฯ โยปิ จ ‘‘นิทฺทํ วิโนเทสฺสามี’’ติ จงฺกมโนฺต ปติตฺวา สหสา วุฎฺฐาติ, ตสฺสปิ อนาปตฺติฯ โย ปน ปติตฺวา ตเตฺถว สยติ, น วุฎฺฐาติ, ตสฺส อาปตฺติฯ
5. Yo pana bahudeva rattiṃ jaggitvā addhānaṃ vā gantvā divā kilantarūpo mañce nisinno pāde bhūmito amocetvāva niddāvasena nipajjati, tassa anāpatti. Sace okkantaniddo ajānantopi pāde mañcakaṃ āropeti, āpattiyeva. Nisīditvā apassāya supantassa anāpatti. Yopi ca ‘‘niddaṃ vinodessāmī’’ti caṅkamanto patitvā sahasā vuṭṭhāti, tassapi anāpatti. Yo pana patitvā tattheva sayati, na vuṭṭhāti, tassa āpatti.
โก มุจฺจติ, โก น มุจฺจตีติ? มหาปจฺจริยํ ตาว ‘‘เอกภเงฺคน นิปนฺนโก เอว มุจฺจติฯ ปาเท ปน ภูมิโต โมเจตฺวา นิปโนฺนปิ ยกฺขคหิตโกปิ วิสญฺญีภูโตปิ น มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ กุรุนฺทฎฺฐกถายํ ปน ‘‘พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโตว มุจฺจตี’’ติ วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถายํ ปน ‘‘โย จงฺกมโนฺต มุจฺฉิตฺวา ปติโต ตเตฺถว สุปติ, ตสฺสปิ อวิสยตาย อาปตฺติ น ทิสฺสติฯ อาจริยา ปน เอวํ น กถยนฺติ, ตสฺมา อาปตฺติเยวาติ มหาปทุมเตฺถเรน วุตฺตํฯ เทฺว ปน ชนา อาปตฺติโต มุจฺจนฺติเยว, โย จ ยกฺขคหิตโก, โย จ พนฺธิตฺวา นิปชฺชาปิโต’’ติฯ
Ko muccati, ko na muccatīti? Mahāpaccariyaṃ tāva ‘‘ekabhaṅgena nipannako eva muccati. Pāde pana bhūmito mocetvā nipannopi yakkhagahitakopi visaññībhūtopi na muccatī’’ti vuttaṃ. Kurundaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘bandhitvā nipajjāpitova muccatī’’ti vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘yo caṅkamanto mucchitvā patito tattheva supati, tassapi avisayatāya āpatti na dissati. Ācariyā pana evaṃ na kathayanti, tasmā āpattiyevāti mahāpadumattherena vuttaṃ. Dve pana janā āpattito muccantiyeva, yo ca yakkhagahitako, yo ca bandhitvā nipajjāpito’’ti.
อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห
Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe
ทิวาเสยฺยวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ
Divāseyyavinicchayakathā samattā.