Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๒. โทณพฺราหฺมณสุตฺตวณฺณนา
2. Doṇabrāhmaṇasuttavaṇṇanā
๑๙๒. ทุติเย ตฺวมฺปิ โนติ ตฺวมฺปิ นุฯ ปวตฺตาโรติ ปวตฺตยิตาโรฯ เยสนฺติ เยสํ สนฺตกํฯ มนฺตปทนฺติ เวทสงฺขาตํ มนฺตเมวฯ คีตนฺติ อฎฺฐกาทีหิ ทสหิ โปราณกพฺราหฺมเณหิ สรสมฺปตฺติวเสน สชฺฌายิตํฯ ปวุตฺตนฺติ อเญฺญสํ วุตฺตํ, วาจิตนฺติ อโตฺถฯ สมีหิตนฺติ สมุปพฺยูฬฺหํ ราสิกตํ, ปิณฺฑํ กตฺวา ฐปิตนฺติ อโตฺถฯ ตทนุคายนฺตีติ เอตรหิ พฺราหฺมณา ตํ เตหิ ปุเพฺพหิ คีตํ อนุคายนฺติ อนุสชฺฌายนฺติฯ ตทนุภาสนฺตีติ ตํ อนุภาสนฺติฯ อิทํ ปุริมเสฺสว เววจนํฯ ภาสิตมนุภาสนฺตีติ เตหิ ภาสิตํ อนุภาสนฺติฯ สชฺฌายิตมนุสชฺฌายนฺตีติ เตหิ สชฺฌายิตํ อนุสชฺฌายนฺติฯ วาจิตมนุวาเจนฺตีติ เตหิ อเญฺญสํ วาจิตํ อนุวาเจนฺติฯ เสยฺยถิทนฺติ เต กตเมติ อโตฺถฯ อฎฺฐโกติอาทีนิ เตสํ นามานิฯ เต กิร ทิเพฺพน จกฺขุนา โอโลเกตฺวา ปรูปฆาตํ อกตฺวา กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ภควโต ปาวจเนน สห สํสเนฺทตฺวา มเนฺต คเนฺถสุํฯ อปราปเร ปน พฺราหฺมณา ปาณาติปาตาทีนิ ปกฺขิปิตฺวา ตโย เวเท ภินฺทิตฺวา พุทฺธวจเนน สทฺธิํ วิรุเทฺธ อกํสุฯ ตฺยาสฺสุ’เมติ เอตฺถ อสฺสูติ นิปาตมตฺตํ, เต พฺราหฺมณา อิเม ปญฺจ พฺราหฺมเณ ปญฺญาเปนฺตีติ อโตฺถฯ
192. Dutiye tvampi noti tvampi nu. Pavattāroti pavattayitāro. Yesanti yesaṃ santakaṃ. Mantapadanti vedasaṅkhātaṃ mantameva. Gītanti aṭṭhakādīhi dasahi porāṇakabrāhmaṇehi sarasampattivasena sajjhāyitaṃ. Pavuttanti aññesaṃ vuttaṃ, vācitanti attho. Samīhitanti samupabyūḷhaṃ rāsikataṃ, piṇḍaṃ katvā ṭhapitanti attho. Tadanugāyantīti etarahi brāhmaṇā taṃ tehi pubbehi gītaṃ anugāyanti anusajjhāyanti. Tadanubhāsantīti taṃ anubhāsanti. Idaṃ purimasseva vevacanaṃ. Bhāsitamanubhāsantīti tehi bhāsitaṃ anubhāsanti. Sajjhāyitamanusajjhāyantīti tehi sajjhāyitaṃ anusajjhāyanti. Vācitamanuvācentīti tehi aññesaṃ vācitaṃ anuvācenti. Seyyathidanti te katameti attho. Aṭṭhakotiādīni tesaṃ nāmāni. Te kira dibbena cakkhunā oloketvā parūpaghātaṃ akatvā kassapasammāsambuddhassa bhagavato pāvacanena saha saṃsandetvā mante ganthesuṃ. Aparāpare pana brāhmaṇā pāṇātipātādīni pakkhipitvā tayo vede bhinditvā buddhavacanena saddhiṃ viruddhe akaṃsu. Tyāssu’meti ettha assūti nipātamattaṃ, te brāhmaṇā ime pañca brāhmaṇe paññāpentīti attho.
มเนฺต อธียมาโนติ เวเท สชฺฌายโนฺต คณฺหโนฺตฯ อาจริยธนนฺติ อาจริยทกฺขิณํ อาจริยภาคํฯ น อิสฺสเตฺถนาติ น โยธาชีวกเมฺมน อุปฺปาเทติฯ น ราชโปริเสนาติ น ราชุปฎฺฐากภาเวนฯ เกวลํ ภิกฺขาจริยายาติ สุทฺธาย ภิกฺขาจริยาย เอวฯ กปาลํ อนติมญฺญมาโนติ ตํ ภิกฺขาภาชนํ อนติมญฺญมาโนฯ โส หิ ปุณฺณปตฺตํ อาทาย สีสํ นฺหาโต กุลทฺวาเรสุ ฐตฺวา ‘‘อหํ อฎฺฐจตฺตาลีส วสฺสานิ โกมารพฺรหฺมจริยํ จริํ, มนฺตาปิ เม คหิตา, อาจริยสฺส อาจริยธนํ ทสฺสามิ, ธนํ เม เทถา’’ติ ยาจติฯ ตํ สุตฺวา มนุสฺสา ยถาสตฺติ ยถาพลํ อฎฺฐปิ โสฬสปิ สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ เทนฺติฯ เอวํ สกลคามํ จริตฺวา ลทฺธธนํ อาจริยสฺส นิยฺยาเทติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ เอวํ โข โทณ พฺราหฺมโณ พฺรหฺมสโม โหตีติ เอวํ พฺรหฺมวิหาเรหิ สมนฺนาคตตฺตา พฺราหฺมโณ พฺรหฺมสโม นาม โหติฯ
Mante adhīyamānoti vede sajjhāyanto gaṇhanto. Ācariyadhananti ācariyadakkhiṇaṃ ācariyabhāgaṃ. Na issatthenāti na yodhājīvakammena uppādeti. Na rājaporisenāti na rājupaṭṭhākabhāvena. Kevalaṃ bhikkhācariyāyāti suddhāya bhikkhācariyāya eva. Kapālaṃanatimaññamānoti taṃ bhikkhābhājanaṃ anatimaññamāno. So hi puṇṇapattaṃ ādāya sīsaṃ nhāto kuladvāresu ṭhatvā ‘‘ahaṃ aṭṭhacattālīsa vassāni komārabrahmacariyaṃ cariṃ, mantāpi me gahitā, ācariyassa ācariyadhanaṃ dassāmi, dhanaṃ me dethā’’ti yācati. Taṃ sutvā manussā yathāsatti yathābalaṃ aṭṭhapi soḷasapi satampi sahassampi denti. Evaṃ sakalagāmaṃ caritvā laddhadhanaṃ ācariyassa niyyādeti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Evaṃ kho doṇa brāhmaṇo brahmasamo hotīti evaṃ brahmavihārehi samannāgatattā brāhmaṇo brahmasamo nāma hoti.
เนว กเยน น วิกฺกเยนาติ เนว อตฺตนา กยํ กตฺวา คณฺหาติ, น ปเรน วิกฺกยํ กตฺวา ทินฺนํฯ อุทกูปสฺสฎฺฐนฺติ อุทเกน อุปสฺสฎฺฐํ ปริจฺจตฺตํฯ โส หิ ยสฺมิํ กุเล วยปฺปตฺตา ทาริกา อตฺถิ, คนฺตฺวา ตสฺส ทฺวาเร ติฎฺฐติฯ ‘‘กสฺมา ฐิโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘อหํ อฎฺฐจตฺตาลีส วสฺสานิ โกมารพฺรหฺมจริยํ จริํ, ตํ สพฺพํ ตุมฺหากํ เทมิ, ตุเมฺห มยฺหํ ทาริกํ เทถา’’ติ วทติฯ เต ทาริกํ อาเนตฺวา ตสฺส หเตฺถ อุทกํ ปาเตตฺวา เทนฺติฯ โส ตํ อุทกูปสฺสฎฺฐํ ภริยํ คณฺหิตฺวา คจฺฉติฯ อติมีฬฺหโชติ อติมีเฬฺห มหาคูถราสิมฺหิ ชาโตฯ ตสฺส สาติ ตสฺส เอสาฯ น ทวตฺถาติ น กีฬนตฺถาฯ น รตตฺถาติ น กามรติอตฺถาฯ เมถุนํ อุปฺปาเทตฺวาติ ธีตรํ วา ปุตฺตํ วา อุปฺปาเทตฺวา ‘‘อิทานิ ปเวณิ ฆฎียิสฺสตี’’ติ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชติฯ สุคติํ สคฺคํ โลกนฺติ พฺรหฺมโลกเมว สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ เทวสโม โหตีติ ทิพฺพวิหาเรหิ สมนฺนาคตตฺตา เทวสโม นาม โหติฯ
Nevakayena na vikkayenāti neva attanā kayaṃ katvā gaṇhāti, na parena vikkayaṃ katvā dinnaṃ. Udakūpassaṭṭhanti udakena upassaṭṭhaṃ pariccattaṃ. So hi yasmiṃ kule vayappattā dārikā atthi, gantvā tassa dvāre tiṭṭhati. ‘‘Kasmā ṭhitosī’’ti vutte ‘‘ahaṃ aṭṭhacattālīsa vassāni komārabrahmacariyaṃ cariṃ, taṃ sabbaṃ tumhākaṃ demi, tumhe mayhaṃ dārikaṃ dethā’’ti vadati. Te dārikaṃ ānetvā tassa hatthe udakaṃ pātetvā denti. So taṃ udakūpassaṭṭhaṃ bhariyaṃ gaṇhitvā gacchati. Atimīḷhajoti atimīḷhe mahāgūtharāsimhi jāto. Tassa sāti tassa esā. Na davatthāti na kīḷanatthā. Na ratatthāti na kāmaratiatthā. Methunaṃuppādetvāti dhītaraṃ vā puttaṃ vā uppādetvā ‘‘idāni paveṇi ghaṭīyissatī’’ti nikkhamitvā pabbajati. Sugatiṃ saggaṃ lokanti brahmalokameva sandhāyetaṃ vuttaṃ. Devasamo hotīti dibbavihārehi samannāgatattā devasamo nāma hoti.
ตเมว ปุตฺตสฺสาทํ นิกามยมาโนติ ยฺวาสฺส ธีตรํ วา ปุตฺตํ วา ชาตํ ทิสฺวา ปุตฺตเปมํ ปุตฺตสฺสาโท อุปฺปชฺชติ, ตํ ปตฺถยมาโน อิจฺฉมาโนฯ กุฎุมฺพํ อชฺฌาวสตีติ กุฎุมฺพํ สณฺฐเปตฺวา กุฎุมฺพมเชฺฌ วสติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Tameva puttassādaṃ nikāmayamānoti yvāssa dhītaraṃ vā puttaṃ vā jātaṃ disvā puttapemaṃ puttassādo uppajjati, taṃ patthayamāno icchamāno. Kuṭumbaṃ ajjhāvasatīti kuṭumbaṃ saṇṭhapetvā kuṭumbamajjhe vasati. Sesamettha uttānamevāti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๒. โทณพฺราหฺมณสุตฺตํ • 2. Doṇabrāhmaṇasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๒. โทณพฺราหฺมณสุตฺตวณฺณนา • 2. Doṇabrāhmaṇasuttavaṇṇanā