Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๐๕] ๕. ทุพฺพลกฎฺฐชาตกวณฺณนา
[105] 5. Dubbalakaṭṭhajātakavaṇṇanā
พหุเมฺปตํ วเน กฎฺฐนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุตฺตสิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร สาวตฺถิวาสี เอโก กุลปุโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปพฺพชิตฺวา มรณภีรุโก อโหสิ, รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐาเนสุ วาตสฺส วา วีชนฺตสฺส สุกฺขทณฺฑกสฺส วา ปตนฺตสฺส ปกฺขิจตุปฺปทานํ วา สทฺทํ สุตฺวา มรณภยตชฺชิโต มหารวํ รวโนฺต ปลายติฯ ตสฺส หิ ‘‘มริตพฺพํ มยา’’ติ สติมตฺตมฺปิ นตฺถิฯ สเจ หิ โส ‘‘อหํ มริสฺสามี’’ติ ชาเนยฺย, น มรณํ ภาเยยฺยฯ มรณสฺสติกมฺมฎฺฐานสฺส ปน ตสฺส อภาวิตตฺตาว ภายติ ฯ ตสฺส โส มรณภีรุกภาโว ภิกฺขุสเงฺฆ ปากโฎ ชาโตฯ
Bahumpetaṃvane kaṭṭhanti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ uttasitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. So kira sāvatthivāsī eko kulaputto satthu dhammadesanaṃ sutvā pabbajitvā maraṇabhīruko ahosi, rattiṭṭhānadivāṭṭhānesu vātassa vā vījantassa sukkhadaṇḍakassa vā patantassa pakkhicatuppadānaṃ vā saddaṃ sutvā maraṇabhayatajjito mahāravaṃ ravanto palāyati. Tassa hi ‘‘maritabbaṃ mayā’’ti satimattampi natthi. Sace hi so ‘‘ahaṃ marissāmī’’ti jāneyya, na maraṇaṃ bhāyeyya. Maraṇassatikammaṭṭhānassa pana tassa abhāvitattāva bhāyati . Tassa so maraṇabhīrukabhāvo bhikkhusaṅghe pākaṭo jāto.
อเถกทิวสํ ธมฺมสภายํ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, อสุโก นาม ภิกฺขุ มรณภีรุโก มรณํ ภายติ, ภิกฺขุนา นาม ‘อวสฺสํ มยา มริตพฺพ’นฺติ มรณสฺสติกมฺมฎฺฐานํ ภาเวตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ตํ ภิกฺขุํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ มรณภีรุโก’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขเว, มา เอตสฺส ภิกฺขุโน อนตฺตมนา โหถ, นายํ อิทาเนว มรณภีรุโก, ปุเพฺพปิ มรณภีรุโกเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Athekadivasaṃ dhammasabhāyaṃ bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, asuko nāma bhikkhu maraṇabhīruko maraṇaṃ bhāyati, bhikkhunā nāma ‘avassaṃ mayā maritabba’nti maraṇassatikammaṭṭhānaṃ bhāvetuṃ vaṭṭatī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte taṃ bhikkhuṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ maraṇabhīruko’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhave, mā etassa bhikkhuno anattamanā hotha, nāyaṃ idāneva maraṇabhīruko, pubbepi maraṇabhīrukoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต หิมวเนฺต รุกฺขเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺมิํ กาเล พาราณสิราชา อตฺตโน มงฺคลหตฺถิํ อาเนญฺชการณํ สิกฺขาเปตุํ หตฺถาจริยานํ อทาสิฯ ตํ อาฬาเน นิจฺจลํ พนฺธิตฺวา โตมรหตฺถา มนุสฺสา ปริวาเรตฺวา อาเนญฺชการณํ กาเรนฺติฯ โส ตํ การณํ การิยมาโน เวทนํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต อาฬานํ ภินฺทิตฺวา มนุเสฺส ปลาเปตฺวา หิมวนฺตํ ปาวิสิฯ มนุสฺสา ตํ คเหตุํ อสโกฺกนฺตา นิวตฺติํสุฯ โส ตตฺถ มรณภีรุโก อโหสิ, วาตสทฺทานิ สุตฺวา กมฺปมาโน มรณภยตชฺชิโต โสณฺฑํ วิธุนิตฺวา เวเคน ปลายติ, อาฬาเน พนฺธิตฺวา อาเนญฺชการณํ กรณกาโล วิยสฺส โหติ, กายสฺสาทํ วา จิตฺตสฺสาทํ วา อลภโนฺต กมฺปมาโน วิจรติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto himavante rukkhadevatā hutvā nibbatti. Tasmiṃ kāle bārāṇasirājā attano maṅgalahatthiṃ āneñjakāraṇaṃ sikkhāpetuṃ hatthācariyānaṃ adāsi. Taṃ āḷāne niccalaṃ bandhitvā tomarahatthā manussā parivāretvā āneñjakāraṇaṃ kārenti. So taṃ kāraṇaṃ kāriyamāno vedanaṃ adhivāsetuṃ asakkonto āḷānaṃ bhinditvā manusse palāpetvā himavantaṃ pāvisi. Manussā taṃ gahetuṃ asakkontā nivattiṃsu. So tattha maraṇabhīruko ahosi, vātasaddāni sutvā kampamāno maraṇabhayatajjito soṇḍaṃ vidhunitvā vegena palāyati, āḷāne bandhitvā āneñjakāraṇaṃ karaṇakālo viyassa hoti, kāyassādaṃ vā cittassādaṃ vā alabhanto kampamāno vicarati.
รุกฺขเทวตา ตํ ทิสฺวา ขนฺธวิฎเป ฐตฺวา อิมํ คาถมาห –
Rukkhadevatā taṃ disvā khandhaviṭape ṭhatvā imaṃ gāthamāha –
๑๐๕.
105.
‘‘พหุเมฺปตํ วเน กฎฺฐํ, วาโต ภญฺชติ ทุพฺพลํ;
‘‘Bahumpetaṃ vane kaṭṭhaṃ, vāto bhañjati dubbalaṃ;
ตสฺส เจ ภายสิ นาค, กิโส นูน ภวิสฺสสี’’ติฯ
Tassa ce bhāyasi nāga, kiso nūna bhavissasī’’ti.
ตตฺถายํ ปิณฺฑโตฺถ – ยํ เอตํ ทุพฺพลํ กฎฺฐํ ปุรตฺถิมาทิเภโท วาโต ภญฺชติ, ตํ อิมสฺมิํ วเน พหุํ สุลภํ, ตตฺถ ตตฺถ สํวิชฺชติฯ สเจ ตฺวํ ตสฺส ภายสิ, เอวํ สเนฺต นิจฺจํ ภีโต มํสโลหิตกฺขยํ ปตฺวา กิโส นูน ภวิสฺสสิ, อิมสฺมิํ ปน วเน ตว ภยํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา อิโต ปฎฺฐาย มา ภายีติฯ
Tatthāyaṃ piṇḍattho – yaṃ etaṃ dubbalaṃ kaṭṭhaṃ puratthimādibhedo vāto bhañjati, taṃ imasmiṃ vane bahuṃ sulabhaṃ, tattha tattha saṃvijjati. Sace tvaṃ tassa bhāyasi, evaṃ sante niccaṃ bhīto maṃsalohitakkhayaṃ patvā kiso nūna bhavissasi, imasmiṃ pana vane tava bhayaṃ nāma natthi, tasmā ito paṭṭhāya mā bhāyīti.
เอวํ เทวตา ตสฺส โอวาทํ อทาสิ, โสปิ ตโต ปฎฺฐาย นิพฺภโย อโหสิฯ
Evaṃ devatā tassa ovādaṃ adāsi, sopi tato paṭṭhāya nibbhayo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา นาโค อยํ ภิกฺขุ อโหสิ, รุกฺขเทวตา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne so bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. ‘‘Tadā nāgo ayaṃ bhikkhu ahosi, rukkhadevatā pana ahameva ahosi’’nti.
ทุพฺพลกฎฺฐชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ
Dubbalakaṭṭhajātakavaṇṇanā pañcamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๐๕. ทุพฺพลกฎฺฐชาตกํ • 105. Dubbalakaṭṭhajātakaṃ