Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā

    ทุพฺภิกฺขกถา

    Dubbhikkhakathā

    ๑๖. เตน โข ปน สมเยน เวรญฺชา ทุพฺภิกฺขา โหตีติ ยสฺมิํ สมเย เวรเญฺชน พฺราหฺมเณน ภควา เวรญฺชํ อุปนิสฺสาย วสฺสาวาสํ ยาจิโต , เตน สมเยน เวรญฺชา ทุพฺภิกฺขา โหติฯ ทุพฺภิกฺขาติ ทุลฺลภภิกฺขา; สา ปน ทุลฺลภภิกฺขตา ยตฺถ มนุสฺสา อสฺสทฺธา โหนฺติ อปฺปสนฺนา, ตตฺถ สุสสฺสกาเลปิ อติสมเคฺฆปิ ปุพฺพณฺณาปรเณฺณ โหติฯ เวรญฺชายํ ปน ยสฺมา น ตถา อโหสิ, อปิจ โข ทุสสฺสตาย ฉาตกโทเสน อโหสิ ตสฺมา ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ทฺวีหิติกาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทฺวีหิติกาติ ทฺวิธา ปวตฺตอีหิติกาฯ อีหิตํ นาม อิริยา ทฺวิธา ปวตฺตา – จิตฺตอิริยา, จิตฺตอีหาฯ ‘‘เอตฺถ ลจฺฉาม นุ โข กิญฺจิ ภิกฺขมานา น ลจฺฉามา’’ติ, ‘‘ชีวิตุํ วา สกฺขิสฺสาม นุ โข โน’’ติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ

    16.Tena kho pana samayena verañjā dubbhikkhā hotīti yasmiṃ samaye verañjena brāhmaṇena bhagavā verañjaṃ upanissāya vassāvāsaṃ yācito , tena samayena verañjā dubbhikkhā hoti. Dubbhikkhāti dullabhabhikkhā; sā pana dullabhabhikkhatā yattha manussā assaddhā honti appasannā, tattha susassakālepi atisamagghepi pubbaṇṇāparaṇṇe hoti. Verañjāyaṃ pana yasmā na tathā ahosi, apica kho dusassatāya chātakadosena ahosi tasmā tamatthaṃ dassento dvīhitikātiādimāha. Tattha dvīhitikāti dvidhā pavattaīhitikā. Īhitaṃ nāma iriyā dvidhā pavattā – cittairiyā, cittaīhā. ‘‘Ettha lacchāma nu kho kiñci bhikkhamānā na lacchāmā’’ti, ‘‘jīvituṃ vā sakkhissāma nu kho no’’ti ayamettha adhippāyo.

    อถ วา ทฺวีหิติกาติ ทุชฺชีวิกา, อีหิตํ อีหา อิริยนํ ปวตฺตนํ ชีวิตนฺติอาทีนิ ปทานิ เอกตฺถานิฯ ตสฺมา ทุเกฺขน อีหิตํ เอตฺถ ปวตฺตตีติ ทฺวีหิติกาติ อยเมตฺถ ปทโตฺถฯ เสตฎฺฐิกาติ เสตกานิ อฎฺฐีนิ เอตฺถาติ เสตฎฺฐิกาฯ ทิวสมฺปิ ยาจิตฺวา กิญฺจิ อลทฺธา มตานํ กปณมนุสฺสานํ อหิจฺฉตฺตกวเณฺณหิ อฎฺฐีหิ ตตฺร ตตฺร ปริกิณฺณาติ วุตฺตํ โหติฯ เสตฎฺฎิกาติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – เสตา อฎฺฎิ เอตฺถาติ เสตฎฺฎิกาฯ อฎฺฎีติ อาตุรตา พฺยาธิ โรโคฯ ตตฺถ จ สสฺสานํ คพฺภคฺคหณกาเล เสตกโรเคน อุปหตเมว ปจฺฉินฺนขีรํ อคฺคหิตตณฺฑุลํ ปณฺฑรปณฺฑรํ สาลิสีสํ วา ยวโคธูมสีสํ วา นิกฺขมติ, ตสฺมา ‘‘เสตฎฺฎิกา’’ติ วุจฺจติฯ

    Atha vā dvīhitikāti dujjīvikā, īhitaṃ īhā iriyanaṃ pavattanaṃ jīvitantiādīni padāni ekatthāni. Tasmā dukkhena īhitaṃ ettha pavattatīti dvīhitikāti ayamettha padattho. Setaṭṭhikāti setakāni aṭṭhīni etthāti setaṭṭhikā. Divasampi yācitvā kiñci aladdhā matānaṃ kapaṇamanussānaṃ ahicchattakavaṇṇehi aṭṭhīhi tatra tatra parikiṇṇāti vuttaṃ hoti. Setaṭṭikātipi pāṭho. Tassattho – setā aṭṭi etthāti setaṭṭikā. Aṭṭīti āturatā byādhi rogo. Tattha ca sassānaṃ gabbhaggahaṇakāle setakarogena upahatameva pacchinnakhīraṃ aggahitataṇḍulaṃ paṇḍarapaṇḍaraṃ sālisīsaṃ vā yavagodhūmasīsaṃ vā nikkhamati, tasmā ‘‘setaṭṭikā’’ti vuccati.

    วปฺปกาเล สุฎฺฐุ อภิสงฺขริตฺวาปิ วุตฺตสสฺสํ ตตฺถ สลากา เอว สมฺปชฺชตีติ สลากาวุตฺตา; สลากาย วา ตตฺถ ชีวิตํ ปวเตฺตนฺตีติ สลากาวุตฺตาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ตตฺถ กิร ธญฺญวิกฺกยกานํ สนฺติกํ กยเกสุ คเตสุ ทุพฺพลมนุเสฺส อภิภวิตฺวา พลวมนุสฺสาว ธญฺญํ กิณิตฺวา คจฺฉนฺติฯ ทุพฺพลมนุสฺสา อลภมานา มหาสทฺทํ กโรนฺติฯ ธญฺญวิกฺกยกา ‘‘สเพฺพสํ สงฺคหํ กริสฺสามา’’ติ ธญฺญกรณฎฺฐาเน ธญฺญมาปกํ นิสีทาเปตฺวา เอกปเสฺส วณฺณชฺฌกฺขํ นิสีทาเปสุํฯ ธญฺญตฺถิกา วณฺณชฺฌกฺขสฺส สนฺติกํ คจฺฉนฺติฯ โส อาคตปฎิปาฎิยา มูลํ คเหตฺวา ‘‘อิตฺถนฺนามสฺส เอตฺตกํ ทาตพฺพ’’นฺติ สลากํ ลิขิตฺวา เทติ, เต ตํ คเหตฺวา ธญฺญมาปกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ทินฺนปฎิปาฎิยา ธญฺญํ คณฺหนฺติฯ เอวํ สลากาย ตตฺถ ชีวิตํ ปวเตฺตนฺตีติ สลากาวุตฺตาฯ

    Vappakāle suṭṭhu abhisaṅkharitvāpi vuttasassaṃ tattha salākā eva sampajjatīti salākāvuttā; salākāya vā tattha jīvitaṃ pavattentīti salākāvuttā. Kiṃ vuttaṃ hoti? Tattha kira dhaññavikkayakānaṃ santikaṃ kayakesu gatesu dubbalamanusse abhibhavitvā balavamanussāva dhaññaṃ kiṇitvā gacchanti. Dubbalamanussā alabhamānā mahāsaddaṃ karonti. Dhaññavikkayakā ‘‘sabbesaṃ saṅgahaṃ karissāmā’’ti dhaññakaraṇaṭṭhāne dhaññamāpakaṃ nisīdāpetvā ekapasse vaṇṇajjhakkhaṃ nisīdāpesuṃ. Dhaññatthikā vaṇṇajjhakkhassa santikaṃ gacchanti. So āgatapaṭipāṭiyā mūlaṃ gahetvā ‘‘itthannāmassa ettakaṃ dātabba’’nti salākaṃ likhitvā deti, te taṃ gahetvā dhaññamāpakassa santikaṃ gantvā dinnapaṭipāṭiyā dhaññaṃ gaṇhanti. Evaṃ salākāya tattha jīvitaṃ pavattentīti salākāvuttā.

    สุกรา อุเญฺฉน ปคฺคเหน ยาเปตุนฺติ ปคฺคเหน โย อุโญฺฉ, เตน ยาเปตุํ น สุกราฯ ปตฺตํ คเหตฺวา ยํ อริยา อุญฺฉํ กโรนฺติ, ภิกฺขาจริยํ จรนฺติ, เตน อุเญฺฉน ยาเปตุํ น สุกราติ วุตฺตํ โหติฯ ตทา กิร ตตฺถ สตฺตฎฺฐคาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา เอกทิวสมฺปิ ยาปนมตฺตํ น ลภนฺติฯ

    Na sukarā uñchena paggahena yāpetunti paggahena yo uñcho, tena yāpetuṃ na sukarā. Pattaṃ gahetvā yaṃ ariyā uñchaṃ karonti, bhikkhācariyaṃ caranti, tena uñchena yāpetuṃ na sukarāti vuttaṃ hoti. Tadā kira tattha sattaṭṭhagāme piṇḍāya caritvā ekadivasampi yāpanamattaṃ na labhanti.

    เตน โข ปน สมเยน อุตฺตราปถกา อสฺสวาณิชา…เป.… อโสฺสสิ โข ภควา อุทุกฺขลสทฺทนฺติ – เตนาติ ยสฺมิํ สมเย ภควา เวรญฺชํ อุปนิสฺสาย วสฺสาวาสํ อุปคโต เตน สมเยนฯ อุตฺตราปถวาสิกา อุตฺตราปถโต วา อาคตตฺตา เอวํ ลทฺธโวหารา อสฺสวาณิชา อุตฺตราปเถ อสฺสานํ อุฎฺฐานฎฺฐาเน ปญฺจ อสฺสสตานิ คเหตฺวา ทิคุณํ ติคุณํ ลาภํ ปตฺถยมานา เทสนฺตรํ คจฺฉนฺตา เตหิ อตฺตโน วิกฺกายิกภณฺฑภูเตหิ ปญฺจมเตฺตหิ อสฺสสเตหิ เวรญฺชํ วสฺสาวาสํ อุปคตา โหนฺติฯ กสฺมา? น หิ สกฺกา ตสฺมิํ เทเส วสฺสิเก จตฺตาโร มาเส อทฺธานํ ปฎิปชฺชิตุํฯ อุปคจฺฉนฺตา จ พหินคเร อุทเกน อนโชฺฌตฺถรณีเย ฐาเน อตฺตโน จ วาสาคารานิ อสฺสานญฺจ มนฺทิรํ การาเปตฺวา วติยา ปริกฺขิปิํสุฯ ตานิ เตสํ วสนฎฺฐานานิ ‘‘อสฺสมณฺฑลิกาโย’’ติ ปญฺญายิํสุฯ เตนาห – ‘‘เตหิ อสฺสมณฺฑลิกาสุ ภิกฺขูนํ ปตฺถปตฺถปุลกํ ปญฺญตฺตํ โหตี’’ติฯ ปตฺถปตฺถปุลกนฺติ เอกเมกสฺส ภิกฺขุโน ปตฺถปตฺถปมาณํ ปุลกํฯ ปโตฺถ นาม นาฬิมตฺตํ โหติ, เอกสฺส ปุริสสฺส อลํ ยาปนายฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ – ‘‘ปโตฺถทโน นาลมยํ ทุวินฺน’’นฺติ (ชา. ๒.๒๑.๑๙๒)ฯ ปุลกํ นาม นิตฺถุสํ กตฺวา อุเสฺสเทตฺวา คหิตยวตณฺฑุลา วุจฺจนฺติฯ ยทิ หิ สถุสา โหนฺติ, ปาณกา วิชฺฌนฺติ, อทฺธานกฺขมา น โหนฺติฯ ตสฺมา เต วาณิชา อทฺธานกฺขมํ กตฺวา ยวตณฺฑุลมาทาย อทฺธานํ ปฎิปชฺชนฺติ ‘‘ยตฺถ อสฺสานํ ขาทนียํ ติณํ ทุลฺลภํ ภวิสฺสติ, ตเตฺถตํ อสฺสภตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Tena kho pana samayena uttarāpathakā assavāṇijā…pe… assosi kho bhagavā udukkhalasaddanti – tenāti yasmiṃ samaye bhagavā verañjaṃ upanissāya vassāvāsaṃ upagato tena samayena. Uttarāpathavāsikā uttarāpathato vā āgatattā evaṃ laddhavohārā assavāṇijā uttarāpathe assānaṃ uṭṭhānaṭṭhāne pañca assasatāni gahetvā diguṇaṃ tiguṇaṃ lābhaṃ patthayamānā desantaraṃ gacchantā tehi attano vikkāyikabhaṇḍabhūtehi pañcamattehi assasatehi verañjaṃ vassāvāsaṃ upagatā honti. Kasmā? Na hi sakkā tasmiṃ dese vassike cattāro māse addhānaṃ paṭipajjituṃ. Upagacchantā ca bahinagare udakena anajjhottharaṇīye ṭhāne attano ca vāsāgārāni assānañca mandiraṃ kārāpetvā vatiyā parikkhipiṃsu. Tāni tesaṃ vasanaṭṭhānāni ‘‘assamaṇḍalikāyo’’ti paññāyiṃsu. Tenāha – ‘‘tehi assamaṇḍalikāsu bhikkhūnaṃ patthapatthapulakaṃ paññattaṃ hotī’’ti. Patthapatthapulakanti ekamekassa bhikkhuno patthapatthapamāṇaṃ pulakaṃ. Pattho nāma nāḷimattaṃ hoti, ekassa purisassa alaṃ yāpanāya. Vuttampi hetaṃ – ‘‘patthodano nālamayaṃ duvinna’’nti (jā. 2.21.192). Pulakaṃ nāma nitthusaṃ katvā ussedetvā gahitayavataṇḍulā vuccanti. Yadi hi sathusā honti, pāṇakā vijjhanti, addhānakkhamā na honti. Tasmā te vāṇijā addhānakkhamaṃ katvā yavataṇḍulamādāya addhānaṃ paṭipajjanti ‘‘yattha assānaṃ khādanīyaṃ tiṇaṃ dullabhaṃ bhavissati, tatthetaṃ assabhattaṃ bhavissatī’’ti.

    กสฺมา ปน เตหิ ตํ ภิกฺขูนํ ปญฺญตฺตนฺติ? วุจฺจเต – ‘‘น หิ เต ทกฺขิณาปถมนุสฺสา วิย อสฺสทฺธา อปฺปสนฺนา, เต ปน สทฺธา ปสนฺนา พุทฺธมามกา, ธมฺมมามกา, สงฺฆมามกา; เต ปุพฺพณฺหสมยํ เกนจิเทว กรณีเยน นครํ ปวิสนฺตา เทฺว ตโย ทิวเส อทฺทสํสุ สตฺตฎฺฐ ภิกฺขู สุนิวเตฺถ สุปารุเต อิริยาปถสมฺปเนฺน สกลมฺปิ นครํ ปิณฺฑาย จริตฺวา กิญฺจิ อลภมาเนฯ ทิสฺวาน เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘อยฺยา อิมํ นครํ อุปนิสฺสาย วสฺสํ อุปคตา; ฉาตกญฺจ วตฺตติ, น จ กิญฺจิ ลภนฺติ, อติวิย กิลมนฺติฯ มยญฺจมฺห อาคนฺตุกา, น สโกฺกม เนสํ เทวสิกํ ยาคุญฺจ ภตฺตญฺจ ปฎิยาเทตุํฯ อมฺหากํ ปน อสฺสา สายญฺจ ปาโต จ ทฺวิกฺขตฺตุํ ภตฺตํ ลภนฺติฯ ยํนูน มยํ เอกเมกสฺส อสฺสสฺส ปาตราสภตฺตโต เอกเมกสฺส ภิกฺขุโน ปตฺถปตฺถปุลกํ ทเทยฺยามฯ เอวํ อยฺยา จ น กิลมิสฺสนฺติ , อสฺสา จ ยาเปสฺสนฺตี’’ติฯ เต ภิกฺขูนํ สนฺติกํ คนฺตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห ปตฺถปตฺถปุลกํ ปฎิคฺคเหตฺวา ยํ วา ตํ วา กตฺวา ปริภุญฺชถา’’ติ ยาจิตฺวา เทวสิกํ ปตฺถปตฺถปุลกํ ปญฺญเปสุํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เตหิ อสฺสมณฺฑลิกาสุ ภิกฺขูนํ ปตฺถปตฺถปุลกํ ปญฺญตฺตํ โหตี’’ติฯ

    Kasmā pana tehi taṃ bhikkhūnaṃ paññattanti? Vuccate – ‘‘na hi te dakkhiṇāpathamanussā viya assaddhā appasannā, te pana saddhā pasannā buddhamāmakā, dhammamāmakā, saṅghamāmakā; te pubbaṇhasamayaṃ kenacideva karaṇīyena nagaraṃ pavisantā dve tayo divase addasaṃsu sattaṭṭha bhikkhū sunivatthe supārute iriyāpathasampanne sakalampi nagaraṃ piṇḍāya caritvā kiñci alabhamāne. Disvāna nesaṃ etadahosi – ‘‘ayyā imaṃ nagaraṃ upanissāya vassaṃ upagatā; chātakañca vattati, na ca kiñci labhanti, ativiya kilamanti. Mayañcamha āgantukā, na sakkoma nesaṃ devasikaṃ yāguñca bhattañca paṭiyādetuṃ. Amhākaṃ pana assā sāyañca pāto ca dvikkhattuṃ bhattaṃ labhanti. Yaṃnūna mayaṃ ekamekassa assassa pātarāsabhattato ekamekassa bhikkhuno patthapatthapulakaṃ dadeyyāma. Evaṃ ayyā ca na kilamissanti , assā ca yāpessantī’’ti. Te bhikkhūnaṃ santikaṃ gantvā etamatthaṃ ārocetvā ‘‘bhante, tumhe patthapatthapulakaṃ paṭiggahetvā yaṃ vā taṃ vā katvā paribhuñjathā’’ti yācitvā devasikaṃ patthapatthapulakaṃ paññapesuṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘tehi assamaṇḍalikāsu bhikkhūnaṃ patthapatthapulakaṃ paññattaṃ hotī’’ti.

    ปญฺญตฺตนฺติ นิจฺจภตฺตสเงฺขเปน ฐปิตํฯ อิทานิ ภิกฺขู ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวาติอาทีสุ ปุพฺพณฺหสมยนฺติ ทิวสสฺส ปุพฺพภาคสมยํ, ปุพฺพณฺหสมเยติ อโตฺถฯ ปุพฺพเณฺห วา สมยํ ปุพฺพณฺหสมยํ, ปุพฺพเณฺห เอกํ ขณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํ ลพฺภติฯ นิวาเสตฺวาติ ปริทหิตฺวา, วิหารนิวาสนปริวตฺตนวเสเนตํ เวทิตพฺพํฯ น หิ เต ตโต ปุเพฺพ อนิวตฺถา อเหสุํฯ ปตฺตจีวรมาทายาติ ปตฺตํ หเตฺถหิ จีวรํ กาเยน อาทิยิตฺวา สมฺปฎิจฺฉาเทตฺวา, ธาเรตฺวาติ อโตฺถฯ เยน วา เตน วา หิ ปกาเรน คณฺหนฺตา อาทายอิเจฺจว วุจฺจนฺติ, ยถา ‘‘สมาทาเยว ปกฺกมตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๑)ฯ ปิณฺฑํ อลภมานาติ สกลมฺปิ เวรญฺชํ จริตฺวา ติฎฺฐตุ ปิโณฺฑ, อนฺตมโส ‘‘อติจฺฉถา’’ติ วาจมฺปิ อลภมานาฯ

    Paññattanti niccabhattasaṅkhepena ṭhapitaṃ. Idāni bhikkhū pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvātiādīsu pubbaṇhasamayanti divasassa pubbabhāgasamayaṃ, pubbaṇhasamayeti attho. Pubbaṇhe vā samayaṃ pubbaṇhasamayaṃ, pubbaṇhe ekaṃ khaṇanti vuttaṃ hoti. Evaṃ accantasaṃyoge upayogavacanaṃ labbhati. Nivāsetvāti paridahitvā, vihāranivāsanaparivattanavasenetaṃ veditabbaṃ. Na hi te tato pubbe anivatthā ahesuṃ. Pattacīvaramādāyāti pattaṃ hatthehi cīvaraṃ kāyena ādiyitvā sampaṭicchādetvā, dhāretvāti attho. Yena vā tena vā hi pakārena gaṇhantā ādāyaicceva vuccanti, yathā ‘‘samādāyeva pakkamatī’’ti (dī. ni. 1.21). Piṇḍaṃ alabhamānāti sakalampi verañjaṃ caritvā tiṭṭhatu piṇḍo, antamaso ‘‘aticchathā’’ti vācampi alabhamānā.

    ปตฺถปตฺถปุลกํ อารามํ อาหริตฺวาติ คตคตฎฺฐาเน ลทฺธํ เอกเมกํ ปตฺถปตฺถปุลกํ คเหตฺวา อารามํ เนตฺวาฯ อุทุกฺขเล โกเฎฺฎตฺวา โกเฎฺฎตฺวา ปริภุญฺชนฺตีติ เถรานํ โกจิ กปฺปิยการโก นตฺถิ, โย เนสํ ตํ คเหตฺวา ยาคุํ วา ภตฺตํ วา ปเจยฺยฯ สามมฺปิ ปจนํ สมณสารุปฺปํ น โหติ น จ วฎฺฎติฯ เต เอวํ โน สลฺลหุกวุตฺติตา จ ภวิสฺสติ, สามปากปริโมจนญฺจาติ อฎฺฐ อฎฺฐ ชนา วา ทส ทส ชนา วา เอกโต หุตฺวา อุทุกฺขเล โกเฎฺฎตฺวา โกเฎฺฎตฺวา สกํ สกํ ปฎิวีสํ อุทเกน เตเมตฺวา ปริภุญฺชนฺติฯ เอวํ ปริภุญฺชิตฺวา อโปฺปสฺสุกฺกา สมณธมฺมํ กโรนฺติ ฯ ภควโต ปน เต อสฺสวาณิชา ปตฺถปุลกญฺจ เทนฺติ, ตทุปิยญฺจ สปฺปิมธุสกฺกรํฯ ตํ อายสฺมา อานโนฺท อาหริตฺวา สิลายํ ปิสติฯ ปุญฺญวตา ปณฺฑิตปุริเสน กตํ มนาปเมว โหติฯ อถ นํ ปิสิตฺวา สปฺปิอาทีหิ สมฺมา โยเชตฺวา ภควโต อุปนาเมสิฯ อเถตฺถ เทวตา ทิโพฺพชํ ปกฺขิปนฺติฯ ตํ ภควา ปริภุญฺชติฯ ปริภุญฺชิตฺวา ผลสมาปตฺติยา กาลํ อตินาเมติฯ น ตโต ปฎฺฐาย ปิณฺฑาย จรติฯ

    Patthapatthapulakaṃ ārāmaṃ āharitvāti gatagataṭṭhāne laddhaṃ ekamekaṃ patthapatthapulakaṃ gahetvā ārāmaṃ netvā. Udukkhale koṭṭetvā koṭṭetvā paribhuñjantīti therānaṃ koci kappiyakārako natthi, yo nesaṃ taṃ gahetvā yāguṃ vā bhattaṃ vā paceyya. Sāmampi pacanaṃ samaṇasāruppaṃ na hoti na ca vaṭṭati. Te evaṃ no sallahukavuttitā ca bhavissati, sāmapākaparimocanañcāti aṭṭha aṭṭha janā vā dasa dasa janā vā ekato hutvā udukkhale koṭṭetvā koṭṭetvā sakaṃ sakaṃ paṭivīsaṃ udakena temetvā paribhuñjanti. Evaṃ paribhuñjitvā appossukkā samaṇadhammaṃ karonti . Bhagavato pana te assavāṇijā patthapulakañca denti, tadupiyañca sappimadhusakkaraṃ. Taṃ āyasmā ānando āharitvā silāyaṃ pisati. Puññavatā paṇḍitapurisena kataṃ manāpameva hoti. Atha naṃ pisitvā sappiādīhi sammā yojetvā bhagavato upanāmesi. Athettha devatā dibbojaṃ pakkhipanti. Taṃ bhagavā paribhuñjati. Paribhuñjitvā phalasamāpattiyā kālaṃ atināmeti. Na tato paṭṭhāya piṇḍāya carati.

    กิํ ปนานนฺทเตฺถโร ตทา ภควโต อุปฎฺฐาโก โหตีติ? โหติ, โน จ โข อุปฎฺฐากฎฺฐานํ ลทฺธาฯ ภควโต หิ ปฐมโพธิยํ วีสติวสฺสนฺตเร นิพทฺธุปฎฺฐาโก นาม นตฺถิฯ กทาจิ นาคสมาลเตฺถโร ภควนฺตํ อุปฎฺฐาสิ, กทาจิ นาคิตเตฺถโร, กทาจิ เมฆิยเตฺถโร, กทาจิ อุปวาณเตฺถโร, กทาจิ สาคตเตฺถโร, กทาจิ สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺตฯ เต อตฺตโน รุจิยา อุปฎฺฐหิตฺวา ยทา อิจฺฉนฺติ ตทา ปกฺกมนฺติฯ อานนฺทเตฺถโร เตสุ เตสุ อุปฎฺฐหเนฺตสุ อโปฺปสฺสุโกฺก โหติ, ปกฺกเนฺตสุ สยเมว วตฺตปฎิปตฺติํ กโรติฯ ภควาปิ กิญฺจาปิ เม ญาติเสโฎฺฐ อุปฎฺฐากฎฺฐานํ น ตาว ลภติ, อถ โข เอวรูเปสุ ฐาเนสุ อยเมว ปติรูโปติ อธิวาเสสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อายสฺมา ปนานโนฺท ปตฺถปุลกํ สิลายํ ปิสิตฺวา ภควโต อุปนาเมสิ, ตํ ภควา ปริภุญฺชตี’’ติฯ

    Kiṃ panānandatthero tadā bhagavato upaṭṭhāko hotīti? Hoti, no ca kho upaṭṭhākaṭṭhānaṃ laddhā. Bhagavato hi paṭhamabodhiyaṃ vīsativassantare nibaddhupaṭṭhāko nāma natthi. Kadāci nāgasamālatthero bhagavantaṃ upaṭṭhāsi, kadāci nāgitatthero, kadāci meghiyatthero, kadāci upavāṇatthero, kadāci sāgatatthero, kadāci sunakkhatto licchaviputto. Te attano ruciyā upaṭṭhahitvā yadā icchanti tadā pakkamanti. Ānandatthero tesu tesu upaṭṭhahantesu appossukko hoti, pakkantesu sayameva vattapaṭipattiṃ karoti. Bhagavāpi kiñcāpi me ñātiseṭṭho upaṭṭhākaṭṭhānaṃ na tāva labhati, atha kho evarūpesu ṭhānesu ayameva patirūpoti adhivāsesi. Tena vuttaṃ – ‘‘āyasmā panānando patthapulakaṃ silāyaṃ pisitvā bhagavato upanāmesi, taṃ bhagavā paribhuñjatī’’ti.

    นนุ จ มนุสฺสา ทุพฺภิกฺขกาเล อติวิย อุสฺสาหชาตา ปุญฺญานิ กโรนฺติ, อตฺตนา อภุญฺชิตฺวาปิ ภิกฺขูนํ ทาตพฺพํ มญฺญนฺติฯ เต ตทา กสฺมา กฎจฺฉุภิกฺขมฺปิ น อทํสุ? อยญฺจ เวรโญฺช พฺราหฺมโณ มหตา อุสฺสาเหน ภควนฺตํ วสฺสาวาสํ ยาจิ, โส กสฺมา ภควโต อตฺถิภาวมฺปิ น ชานาตีติ? วุจฺจเต – มาราวฎฺฎนายฯ เวรญฺชญฺหิ พฺราหฺมณํ ภควโต สนฺติกา ปกฺกนฺตมตฺตเมว สกลญฺจ นครํ สมนฺตา จ โยชนมตฺตํ ยตฺถ สกฺกา ปุเรภตฺตํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺจาคนฺตุํ, ตํ สพฺพํ มาโร อาวเฎฺฎตฺวา โมเหตฺวา สเพฺพสํ อสลฺลกฺขณภาวํ กตฺวา ปกฺกามิฯ ตสฺมา น โกจิ อนฺตมโส สามีจิกมฺมมฺปิ กตฺตพฺพํ มญฺญิตฺถฯ

    Nanu ca manussā dubbhikkhakāle ativiya ussāhajātā puññāni karonti, attanā abhuñjitvāpi bhikkhūnaṃ dātabbaṃ maññanti. Te tadā kasmā kaṭacchubhikkhampi na adaṃsu? Ayañca verañjo brāhmaṇo mahatā ussāhena bhagavantaṃ vassāvāsaṃ yāci, so kasmā bhagavato atthibhāvampi na jānātīti? Vuccate – mārāvaṭṭanāya. Verañjañhi brāhmaṇaṃ bhagavato santikā pakkantamattameva sakalañca nagaraṃ samantā ca yojanamattaṃ yattha sakkā purebhattaṃ piṇḍāya caritvā paccāgantuṃ, taṃ sabbaṃ māro āvaṭṭetvā mohetvā sabbesaṃ asallakkhaṇabhāvaṃ katvā pakkāmi. Tasmā na koci antamaso sāmīcikammampi kattabbaṃ maññittha.

    กิํ ปน ภควาปิ มาราวฎฺฎนํ อชานิตฺวาว ตตฺถ วสฺสํ อุปคโตติ? โน อชานิตฺวาฯ อถ กสฺมา จมฺปา-สาวตฺถิ-ราชคหาทีนํ อญฺญตรสฺมิํ น อุปคโตติ? ติฎฺฐนฺตุ จมฺปา-สาวตฺถิ-ราชคหาทีนิ, สเจปิ ภควา ตสฺมิํ สํวจฺฉเร อุตฺตรกุรุํ วา ติทสปุรํ วา คนฺตฺวา วสฺสํ อุปคเจฺฉยฺย, ตมฺปิ มาโร อาวเฎฺฎยฺยฯ โส กิร ตํ สํวจฺฉรํ อติวิย อาฆาเตน ปริยุฎฺฐิตจิโตฺต อโหสิฯ อิธ ปน ภควา อิมํ อติเรกการณํ อทฺทส – ‘‘อสฺสวาณิชา ภิกฺขูนํ สงฺคหํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ ตสฺมา เวรญฺชายเมว วสฺสํ อุปคจฺฉิฯ

    Kiṃ pana bhagavāpi mārāvaṭṭanaṃ ajānitvāva tattha vassaṃ upagatoti? No ajānitvā. Atha kasmā campā-sāvatthi-rājagahādīnaṃ aññatarasmiṃ na upagatoti? Tiṭṭhantu campā-sāvatthi-rājagahādīni, sacepi bhagavā tasmiṃ saṃvacchare uttarakuruṃ vā tidasapuraṃ vā gantvā vassaṃ upagaccheyya, tampi māro āvaṭṭeyya. So kira taṃ saṃvaccharaṃ ativiya āghātena pariyuṭṭhitacitto ahosi. Idha pana bhagavā imaṃ atirekakāraṇaṃ addasa – ‘‘assavāṇijā bhikkhūnaṃ saṅgahaṃ karissantī’’ti. Tasmā verañjāyameva vassaṃ upagacchi.

    กิํ ปน มาโร วาณิชเก อาวเฎฺฎตุํ น สโกฺกตีติ? โน น สโกฺกติ, เต ปน อาวฎฺฎิตปริโยสาเน อาคมิํสุฯ ปฎินิวตฺติตฺวา กสฺมา น อาวเฎฺฎตีติ? อวิสหตายฯ น หิ โส ตถาคตสฺส อภิหฎภิกฺขาย นิพทฺธทานสฺส อปฺปิตวตฺตสฺส อนฺตรายํ กาตุํ วิสหติฯ จตุนฺนญฺหิ น สกฺกา อนฺตราโย กาตุํฯ กตเมสํ จตุนฺนํ? ตถาคตสฺส อภิหฎภิกฺขาสเงฺขเปน วา นิพทฺธทานสฺส อปฺปิตวตฺตสเงฺขเปน วา ปริจฺจตฺตานํ จตุนฺนํ ปจฺจยานํ น สกฺกา เกนจิ อนฺตราโย กาตุํฯ พุทฺธานํ ชีวิตสฺส น สกฺกา เกนจิ อนฺตราโย กาตุํฯ อสีติยา อนุพฺยญฺชนานํ พฺยามปฺปภาย วา น สกฺกา เกนจิ อนฺตราโย กาตุํฯ จนฺทิมสูริยเทวพฺรหฺมานมฺปิ หิ ปภา ตถาคตสฺส อนุพฺยญฺชนพฺยามปฺปภาปฺปเทสํ ปตฺวา วิหตานุภาวา โหนฺติฯ พุทฺธานํ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส น สกฺกา เกนจิ อนฺตราโย กาตุนฺติ อิเมสํ จตุนฺนํ น สกฺกา เกนจิ อนฺตราโย กาตุํฯ ตสฺมา มาเรน อกตนฺตรายํ ภิกฺขํ ภควา สสาวกสโงฺฆ ตทา ปริภุญฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Kiṃ pana māro vāṇijake āvaṭṭetuṃ na sakkotīti? No na sakkoti, te pana āvaṭṭitapariyosāne āgamiṃsu. Paṭinivattitvā kasmā na āvaṭṭetīti? Avisahatāya. Na hi so tathāgatassa abhihaṭabhikkhāya nibaddhadānassa appitavattassa antarāyaṃ kātuṃ visahati. Catunnañhi na sakkā antarāyo kātuṃ. Katamesaṃ catunnaṃ? Tathāgatassa abhihaṭabhikkhāsaṅkhepena vā nibaddhadānassa appitavattasaṅkhepena vā pariccattānaṃ catunnaṃ paccayānaṃ na sakkā kenaci antarāyo kātuṃ. Buddhānaṃ jīvitassa na sakkā kenaci antarāyo kātuṃ. Asītiyā anubyañjanānaṃ byāmappabhāya vā na sakkā kenaci antarāyo kātuṃ. Candimasūriyadevabrahmānampi hi pabhā tathāgatassa anubyañjanabyāmappabhāppadesaṃ patvā vihatānubhāvā honti. Buddhānaṃ sabbaññutaññāṇassa na sakkā kenaci antarāyo kātunti imesaṃ catunnaṃ na sakkā kenaci antarāyo kātuṃ. Tasmā mārena akatantarāyaṃ bhikkhaṃ bhagavā sasāvakasaṅgho tadā paribhuñjatīti veditabbo.

    เอวํ ปริภุญฺชโนฺต จ เอกทิวสํ อโสฺสสิ โข ภควา อุทุกฺขลสทฺทนฺติ ภควา ปตฺถปตฺถปุลกํ โกเฎฺฎนฺตานํ ภิกฺขูนํ มุสลสงฺฆฎฺฎชนิตํ อุทุกฺขลสทฺทํ สุณิฯ ตโต ปรํ ชานนฺตาปิ ตถาคตาติ เอวมาทิ ยํ ปรโต ‘‘กินฺนุ โข โส, อานนฺท, อุทุกฺขลสโทฺท’’ติ ปุจฺฉิ, ตสฺส ปริหารทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตตฺรายํ สเงฺขปวณฺณนา – ตถาคตา นาม ชานนฺตาปิ สเจ ตาทิสํ ปุจฺฉาการณํ โหติ, ปุจฺฉนฺติฯ สเจ ปน ตาทิสํ ปุจฺฉาการณํ นตฺถิ, ชานนฺตาปิ น ปุจฺฉนฺติฯ ยสฺมา ปน พุทฺธานํ อชานนํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา อชานนฺตาปีติ น วุตฺตํฯ กาลํ วิทิตฺวา ปุจฺฉนฺตีติ สเจ ตสฺสา ปุจฺฉาย โส กาโล โหติ, เอวํ ตํ กาลํ วิทิตฺวา ปุจฺฉนฺติ; สเจ น โหติ , เอวมฺปิ กาลํ วิทิตฺวาว น ปุจฺฉนฺติฯ เอวํ ปุจฺฉนฺตาปิ จ อตฺถสํหิตํ ตถาคตา ปุจฺฉนฺติ, ยํ อตฺถนิสฺสิตํ การณนิสฺสิตํ, ตเทว ปุจฺฉนฺติ, โน อนตฺถสํหิตํฯ กสฺมา? ยสฺมา อนตฺถสํหิเต เสตุฆาโต ตถาคตานํฯ เสตุ วุจฺจติ มโคฺค, มเคฺคเนว ตาทิสสฺส วจนสฺส ฆาโต, สมุเจฺฉโทติ วุตฺตํ โหติฯ

    Evaṃ paribhuñjanto ca ekadivasaṃ assosi kho bhagavā udukkhalasaddanti bhagavā patthapatthapulakaṃ koṭṭentānaṃ bhikkhūnaṃ musalasaṅghaṭṭajanitaṃ udukkhalasaddaṃ suṇi. Tato paraṃ jānantāpi tathāgatāti evamādi yaṃ parato ‘‘kinnu kho so, ānanda, udukkhalasaddo’’ti pucchi, tassa parihāradassanatthaṃ vuttaṃ. Tatrāyaṃ saṅkhepavaṇṇanā – tathāgatā nāma jānantāpi sace tādisaṃ pucchākāraṇaṃ hoti, pucchanti. Sace pana tādisaṃ pucchākāraṇaṃ natthi, jānantāpi na pucchanti. Yasmā pana buddhānaṃ ajānanaṃ nāma natthi, tasmā ajānantāpīti na vuttaṃ. Kālaṃ viditvā pucchantīti sace tassā pucchāya so kālo hoti, evaṃ taṃ kālaṃ viditvā pucchanti; sace na hoti , evampi kālaṃ viditvāva na pucchanti. Evaṃ pucchantāpi ca atthasaṃhitaṃ tathāgatā pucchanti, yaṃ atthanissitaṃ kāraṇanissitaṃ, tadeva pucchanti, no anatthasaṃhitaṃ. Kasmā? Yasmā anatthasaṃhite setughāto tathāgatānaṃ. Setu vuccati maggo, maggeneva tādisassa vacanassa ghāto, samucchedoti vuttaṃ hoti.

    อิทานิ อตฺถสํหิตนฺติ เอตฺถ ยํ อตฺถสนฺนิสฺสิตํ วจนํ ตถาคตา ปุจฺฉนฺติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทฺวีหากาเรหี’’ติ อาทิมาหฯ ตตฺถ อากาเรหีติ การเณหิฯ ธมฺมํ วา เทเสสฺสามาติ อฎฺฐุปฺปตฺติยุตฺตํ สุตฺตํ วา ปุพฺพจริตการณยุตฺตํ ชาตกํ วา กถยิสฺสามฯ สาวกานํ วา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสามาติ สาวกานํ วา ตาย ปุจฺฉาย วีติกฺกมํ ปากฎํ กตฺวา ครุกํ วา ลหุกํ วา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสาม อาณํ ฐเปสฺสามาติฯ

    Idāni atthasaṃhitanti ettha yaṃ atthasannissitaṃ vacanaṃ tathāgatā pucchanti, taṃ dassento ‘‘dvīhākārehī’’ti ādimāha. Tattha ākārehīti kāraṇehi. Dhammaṃ vā desessāmāti aṭṭhuppattiyuttaṃ suttaṃ vā pubbacaritakāraṇayuttaṃ jātakaṃ vā kathayissāma. Sāvakānaṃ vā sikkhāpadaṃpaññapessāmāti sāvakānaṃ vā tāya pucchāya vītikkamaṃ pākaṭaṃ katvā garukaṃ vā lahukaṃ vā sikkhāpadaṃ paññapessāma āṇaṃ ṭhapessāmāti.

    อถ โข ภควา…เป.… เอตมตฺถํ อาโรเจสีติ เอตฺถ นตฺถิ กิญฺจิ วตฺตพฺพํฯ ปุเพฺพ วุตฺตเมว หิ ภิกฺขูนํ ปตฺถปตฺถปุลกปฎิลาภํ สลฺลหุกวุตฺติตํ สามปากปริโมจนญฺจ อาโรเจโนฺต เอตมตฺถํ อาโรเจสีติ วุจฺจติฯ ‘‘สาธุ สาธุ, อานนฺทา’’ติ อิทํ ปน ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ สมฺปหํเสโนฺต อาหฯ สาธุการํ ปน ทตฺวา ทฺวีสุ อากาเรสุ เอกํ คเหตฺวา ธมฺมํ เทเสโนฺต อาห – ‘‘ตุเมฺหหิ, อานนฺท, สปฺปุริเสหิ วิชิตํ, ปจฺฉิมา ชนตา สาลิมํโสทนํ อติมญฺญิสฺสตี’’ติฯ ตตฺรายมธิปฺปาโย – ตุเมฺหหิ, อานนฺท, สปฺปุริเสหิ เอวํ ทุพฺภิเกฺข ทุลฺลภปิเณฺฑ อิมาย สลฺลหุกวุตฺติตาย อิมินา จ สเลฺลเขน วิชิตํฯ กิํ วิชิตนฺติ? ทุพฺภิกฺขํ วิชิตํ, โลโภ วิชิโต, อิจฺฉาจาโร วิชิโตฯ กถํ? ‘‘อยํ เวรญฺชา ทุพฺภิกฺขา, สมนฺตโต ปน อนนฺตรา คามนิคมา ผลภารนมิตสสฺสา สุภิกฺขา สุลภปิณฺฑาฯ เอวํ สเนฺตปิ ภควา อิเธว อเมฺห นิคฺคณฺหิตฺวา วสตี’’ติ เอกภิกฺขุสฺสปิ จินฺตา วา วิฆาโต วา นตฺถิฯ เอวํ ตาว ทุพฺภิกฺขํ วิชิตํ อภิภูตํ อตฺตโน วเส วตฺติตํฯ

    Atha kho bhagavā…pe… etamatthaṃ ārocesīti ettha natthi kiñci vattabbaṃ. Pubbe vuttameva hi bhikkhūnaṃ patthapatthapulakapaṭilābhaṃ sallahukavuttitaṃ sāmapākaparimocanañca ārocento etamatthaṃ ārocesīti vuccati. ‘‘Sādhusādhu, ānandā’’ti idaṃ pana bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ sampahaṃsento āha. Sādhukāraṃ pana datvā dvīsu ākāresu ekaṃ gahetvā dhammaṃ desento āha – ‘‘tumhehi, ānanda, sappurisehi vijitaṃ, pacchimā janatā sālimaṃsodanaṃ atimaññissatī’’ti. Tatrāyamadhippāyo – tumhehi, ānanda, sappurisehi evaṃ dubbhikkhe dullabhapiṇḍe imāya sallahukavuttitāya iminā ca sallekhena vijitaṃ. Kiṃ vijitanti? Dubbhikkhaṃ vijitaṃ, lobho vijito, icchācāro vijito. Kathaṃ? ‘‘Ayaṃ verañjā dubbhikkhā, samantato pana anantarā gāmanigamā phalabhāranamitasassā subhikkhā sulabhapiṇḍā. Evaṃ santepi bhagavā idheva amhe niggaṇhitvā vasatī’’ti ekabhikkhussapi cintā vā vighāto vā natthi. Evaṃ tāva dubbhikkhaṃ vijitaṃ abhibhūtaṃ attano vase vattitaṃ.

    กถํ โลโภ วิชิโต? ‘‘อยํ เวรญฺชา ทุพฺภิกฺขา, สมนฺตโต ปน อนนฺตรา คามนิคมา ผลภารนมิตสสฺสา สุภิกฺขา สุลภปิณฺฑา ฯ หนฺท มยํ ตตฺถ คนฺตฺวา ปริภุญฺชิสฺสามา’’ติ โลภวเสน เอกภิกฺขุนาปิ รตฺติเจฺฉโท วา ‘‘ปจฺฉิมิกาย ตตฺถ วสฺสํ อุปคจฺฉามา’’ติ วสฺสเจฺฉโท วา น กโตฯ เอวํ โลโภ วิชิโตฯ

    Kathaṃ lobho vijito? ‘‘Ayaṃ verañjā dubbhikkhā, samantato pana anantarā gāmanigamā phalabhāranamitasassā subhikkhā sulabhapiṇḍā . Handa mayaṃ tattha gantvā paribhuñjissāmā’’ti lobhavasena ekabhikkhunāpi ratticchedo vā ‘‘pacchimikāya tattha vassaṃ upagacchāmā’’ti vassacchedo vā na kato. Evaṃ lobho vijito.

    กถํ อิจฺฉาจาโร วิชิโต? อยํ เวรญฺชา ทุพฺภิกฺขา, อิเม จ มนุสฺสา อเมฺห เทฺว ตโย มาเส วสเนฺตปิ น กิสฺมิญฺจิ มญฺญนฺติฯ ยํนูน มยํ คุณวาณิชฺชํ กตฺวา ‘‘อสุโก ภิกฺขุ ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภี…เป.… อสุโก ฉฬภิโญฺญติ เอวํ มนุสฺสานํ อญฺญมญฺญํ ปกาเสตฺวา กุจฺฉิํ ปฎิชคฺคิตฺวา ปจฺฉา สีลํ อธิฎฺฐเหยฺยามา’’ติ เอกภิกฺขุนาปิ เอวรูปา อิจฺฉา น อุปฺปาทิตาฯ เอวํ อิจฺฉาจาโร วิชิโต อภิภูโต อตฺตโน วเส วตฺติโตติฯ

    Kathaṃ icchācāro vijito? Ayaṃ verañjā dubbhikkhā, ime ca manussā amhe dve tayo māse vasantepi na kismiñci maññanti. Yaṃnūna mayaṃ guṇavāṇijjaṃ katvā ‘‘asuko bhikkhu paṭhamassa jhānassa lābhī…pe… asuko chaḷabhiññoti evaṃ manussānaṃ aññamaññaṃ pakāsetvā kucchiṃ paṭijaggitvā pacchā sīlaṃ adhiṭṭhaheyyāmā’’ti ekabhikkhunāpi evarūpā icchā na uppāditā. Evaṃ icchācāro vijito abhibhūto attano vase vattitoti.

    อนาคเต ปน ปจฺฉิมา ชนตา วิหาเร นิสินฺนา อปฺปกสิเรเนว ลภิตฺวาปิ ‘‘กิํ อิทํ อุตฺตณฺฑุลํ อติกิลินฺนํ อโลณํ อติโลณํ อนมฺพิลํ อจฺจมฺพิลํ, โก อิมินา อโตฺถ’’ติ อาทินา นเยน สาลิมํโสทนํ อติมญฺญิสฺสติ, โอญฺญาตํ อวญฺญาตํ กริสฺสติฯ อถ วา ชนปโท นาม น สพฺพกาลํ ทุพฺภิโกฺข โหติฯ เอกทา ทุพฺภิโกฺข โหติ, เอกทา สุภิโกฺข โหติฯ สฺวายํ ยทา สุภิโกฺข ภวิสฺสติ, ตทา ตุมฺหากํ สปฺปุริสานํ อิมาย ปฎิปตฺติยา ปสนฺนา มนุสฺสา ภิกฺขูนํ ยาคุขชฺชกาทิปฺปเภเทน อเนกปฺปการํ สาลิวิกติํ มํโสทนญฺจ ทาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติฯ ตํ ตุเมฺห นิสฺสาย อุปฺปนฺนํ สกฺการํ ตุมฺหากํ สพฺรหฺมจารีสงฺขาตา ปจฺฉิมา ชนตา ตุมฺหากํ อนฺตเร นิสีทิตฺวา อนุภวมานาว อติมญฺญิสฺสติ, ตปฺปจฺจยํ มานญฺจ โอมานญฺจ กริสฺสติฯ กถํ? กสฺมา เอตฺตกํ ปกฺกํ, กิํ ตุมฺหากํ ภาชนานิ นตฺถิ, ยตฺถ อตฺตโน สนฺตกํ ปกฺขิปิตฺวา ฐเปยฺยาถาติฯ

    Anāgate pana pacchimā janatā vihāre nisinnā appakasireneva labhitvāpi ‘‘kiṃ idaṃ uttaṇḍulaṃ atikilinnaṃ aloṇaṃ atiloṇaṃ anambilaṃ accambilaṃ, ko iminā attho’’ti ādinā nayena sālimaṃsodanaṃ atimaññissati, oññātaṃ avaññātaṃ karissati. Atha vā janapado nāma na sabbakālaṃ dubbhikkho hoti. Ekadā dubbhikkho hoti, ekadā subhikkho hoti. Svāyaṃ yadā subhikkho bhavissati, tadā tumhākaṃ sappurisānaṃ imāya paṭipattiyā pasannā manussā bhikkhūnaṃ yāgukhajjakādippabhedena anekappakāraṃ sālivikatiṃ maṃsodanañca dātabbaṃ maññissanti. Taṃ tumhe nissāya uppannaṃ sakkāraṃ tumhākaṃ sabrahmacārīsaṅkhātā pacchimā janatā tumhākaṃ antare nisīditvā anubhavamānāva atimaññissati, tappaccayaṃ mānañca omānañca karissati. Kathaṃ? Kasmā ettakaṃ pakkaṃ, kiṃ tumhākaṃ bhājanāni natthi, yattha attano santakaṃ pakkhipitvā ṭhapeyyāthāti.

    ทุพฺภิกฺขกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Dubbhikkhakathā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / เวรญฺชกณฺฑํ • Verañjakaṇḍaṃ

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / อุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา • Upāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / อุปาสกตฺตปฎิเวทนากถาวณฺณนา • Upāsakattapaṭivedanākathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact