Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๒๒] ๒. ทุทฺทุภชาตกวณฺณนา
[322] 2. Duddubhajātakavaṇṇanā
ทุทฺทุภายติ ภทฺทเนฺตติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญติตฺถิเย อารพฺภ กเถสิฯ ติตฺถิยา กิร เชตวนสฺส สมีเป ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน กณฺฎกาปสฺสเย เสยฺยํ กเปฺปนฺติ, ปญฺจาตปํ ตเปนฺติ, นานปฺปการํ มิจฺฉาตปํ จรนฺติฯ อถ สมฺพหุลา ภิกฺขู สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา เชตวนํ อาคจฺฉนฺตา อนฺตรามเคฺค เต ทิสฺวา คนฺตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข, ภเนฺต, อญฺญติตฺถิยานํ วตสมาทาเน สาโร’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, เตสํ วตสมาทาเน สาโร วา วิเสโส วา อตฺถิ, ตญฺหิ นิฆํสิยมานํ อุปปริกฺขิยมานํ อุกฺการภูมิมคฺคสทิสํ สสกสฺส ทุทฺทุภสทิสํ โหตี’’ติ วตฺวา ‘‘ทุทฺทุภสทิสภาวมสฺส มยํ น ชานาม, กเถถ โน, ภเนฺต’’ติ เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Duddubhāyati bhaddanteti idaṃ satthā jetavane viharanto aññatitthiye ārabbha kathesi. Titthiyā kira jetavanassa samīpe tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne kaṇṭakāpassaye seyyaṃ kappenti, pañcātapaṃ tapenti, nānappakāraṃ micchātapaṃ caranti. Atha sambahulā bhikkhū sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā jetavanaṃ āgacchantā antarāmagge te disvā gantvā satthāraṃ upasaṅkamitvā ‘‘atthi nu kho, bhante, aññatitthiyānaṃ vatasamādāne sāro’’ti pucchiṃsu. Satthā ‘‘na, bhikkhave, tesaṃ vatasamādāne sāro vā viseso vā atthi, tañhi nighaṃsiyamānaṃ upaparikkhiyamānaṃ ukkārabhūmimaggasadisaṃ sasakassa duddubhasadisaṃ hotī’’ti vatvā ‘‘duddubhasadisabhāvamassa mayaṃ na jānāma, kathetha no, bhante’’ti tehi yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สีหโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต อรเญฺญ ปฎิวสติฯ ตทา ปน ปจฺฉิมสมุทฺทสมีเป เพลุวมิสฺสกตาลวนํ โหติฯ ตเตฺรโก สสโก เพลุวรุกฺขมูเล เอกสฺส ตาลคจฺฉสฺส เหฎฺฐา วสติฯ โส เอกทิวสํ โคจรํ อาทาย อาคนฺตฺวา ตาลปณฺณสฺส เหฎฺฐา นิปโนฺน จิเนฺตสิ ‘‘สเจ อยํ ปถวี สํวเฎฺฎยฺย, กหํ นุ โข คมิสฺสามี’’ติฯ ตสฺมิํ ขเณ เอกํ เพลุวปกฺกํ ตาลปณฺณสฺส อุปริ ปติฯ โส ตสฺส สเทฺทน ‘‘อทฺธา ปถวี สํวฎฺฎตี’’ติ อุปฺปติตฺวา ปจฺฉโต อโนโลเกโนฺตว ปลายิฯ ตํ มรณภยภีตํ เวเคน ปลายนฺตํ อโญฺญ สสโก ทิสฺวา ปุจฺฉิ ‘‘กิํ โภ, อติวิย ภีโต ปลายสี’’ติฯ ‘‘มา ปุจฺฉิ, โภ’’ติฯ โส ‘‘กิํ โภ, กิํ โภ’’ติ ปจฺฉโต ธาวเตวฯ อิตโร นิวตฺติตฺวา อโนโลเกโนฺตว ‘‘เอตฺถ ปถวี สํวฎฺฎตี’’ติ อาหฯ โสปิ ตสฺส ปจฺฉโต ปลายิฯ เอวํ ตมโญฺญ อทฺทส, ตมโญฺญติ เอวํ สสกสหสฺสํ เอกโต หุตฺวา ปลายิฯ เต เอโกปิ มิโค ทิสฺวา เอกโต หุตฺวา ปลายิฯ เอโก สูกโร, เอโก โคกโณฺณ, เอโก มหิํโส, เอโก ควโย, เอโก ขโคฺค, เอโก พฺยโคฺฆ, เอโก สีโห, เอโก หตฺถี ทิสฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เอตฺถ ปถวี สํวฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต ปลายิฯ เอวํ อนุกฺกเมน โยชนมตฺตํ ติรจฺฉานพลํ อโหสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto sīhayoniyaṃ nibbattitvā vayappatto araññe paṭivasati. Tadā pana pacchimasamuddasamīpe beluvamissakatālavanaṃ hoti. Tatreko sasako beluvarukkhamūle ekassa tālagacchassa heṭṭhā vasati. So ekadivasaṃ gocaraṃ ādāya āgantvā tālapaṇṇassa heṭṭhā nipanno cintesi ‘‘sace ayaṃ pathavī saṃvaṭṭeyya, kahaṃ nu kho gamissāmī’’ti. Tasmiṃ khaṇe ekaṃ beluvapakkaṃ tālapaṇṇassa upari pati. So tassa saddena ‘‘addhā pathavī saṃvaṭṭatī’’ti uppatitvā pacchato anolokentova palāyi. Taṃ maraṇabhayabhītaṃ vegena palāyantaṃ añño sasako disvā pucchi ‘‘kiṃ bho, ativiya bhīto palāyasī’’ti. ‘‘Mā pucchi, bho’’ti. So ‘‘kiṃ bho, kiṃ bho’’ti pacchato dhāvateva. Itaro nivattitvā anolokentova ‘‘ettha pathavī saṃvaṭṭatī’’ti āha. Sopi tassa pacchato palāyi. Evaṃ tamañño addasa, tamaññoti evaṃ sasakasahassaṃ ekato hutvā palāyi. Te ekopi migo disvā ekato hutvā palāyi. Eko sūkaro, eko gokaṇṇo, eko mahiṃso, eko gavayo, eko khaggo, eko byaggho, eko sīho, eko hatthī disvā ‘‘kimeta’’nti pucchitvā ‘‘ettha pathavī saṃvaṭṭatī’’ti vutte palāyi. Evaṃ anukkamena yojanamattaṃ tiracchānabalaṃ ahosi.
ตทา โพธิสโตฺต ตํ พลํ ปลายนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เอตฺถ ปถวี สํวฎฺฎตี’’ติ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘ปถวีสํวฎฺฎนํ นาม น กทาจิ อตฺถิ, อทฺธา เอเตสํ กิญฺจิ ทุสฺสุตํ ภวิสฺสติ, มยิ โข ปน อุสฺสุกฺกํ อนาปชฺชเนฺต สเพฺพ นสฺสิสฺสนฺติ, ชีวิตํ เนสํ ทสฺสามี’’ติ สีหเวเคน ปุรโต ปพฺพตปาทํ คนฺตฺวา ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิฯ เต สีหภยตชฺชิตา นิวตฺติตฺวา ปิณฺฑิตา อฎฺฐํสุฯ สีโห เตสํ อนฺตรํ ปวิสิตฺวา ‘‘กิมตฺถํ ปลายถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปถวี สํวฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘เกน สํวฎฺฎมานา ทิฎฺฐา’’ติ? ‘‘หตฺถี ชานนฺตี’’ติฯ หตฺถี ปุจฺฉิฯ เต ‘‘มยํ น ชานาม, สีหา ชานนฺตี’’ติ วทิํสุ, สีหาปิ ‘‘มยํ น ชานาม, พฺยคฺฆา ชานนฺตี’’ติ, พฺยคฺฆาปิ ‘‘มยํ น ชานาม, ขคฺคา ชานนฺตี’’ติ, ขคฺคาปิ ‘‘ควยา ชานนฺตี’’ติ, ควยาปิ ‘‘มหิํสา ชานนฺตี’’ติ, มหิํสาปิ ‘‘โคกณฺณา ชานนฺตี’’ติ, โคกณฺณาปิ ‘‘สูกรา ชานนฺตี’’ติ, สูกราปิ ‘‘มิคา ชานนฺตี’’ติ, มิคาปิ ‘‘มยํ น ชานาม, สสกา ชานนฺตี’’ติ, สสเกสุ ปุจฺฉิยมาเนสุ ‘‘อยํ กเถตี’’ติ ตํ สสกํ ทเสฺสสุํฯ อถ นํ ‘‘เอวํ กิร, สมฺม, ปสฺสสิ ปถวี สํวฎฺฎตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, สามิ มยา ทิฎฺฐา’’ติฯ ‘‘กตฺถ วสโนฺต ปสฺสสี’’ติ? ‘‘ปจฺฉิมสมุทฺทสมีเป เพลุวมิสฺสกตาลวเน วสามิฯ อหญฺหิ ตตฺถ เพลุวรุกฺขมูเล ตาลคเจฺฉ ตาลปณฺณสฺส เหฎฺฐา นิปโนฺน จิเนฺตสิํ ‘‘สเจ ปถวี สํวฎฺฎติ, กหํ คมิสฺสามี’’ติ, อถ ตงฺขณเญฺญว ปถวิยา สํวฎฺฎนสทฺทํ สุตฺวา ปลาโตมฺหี’’ติฯ
Tadā bodhisatto taṃ balaṃ palāyantaṃ disvā ‘‘kimeta’’nti pucchitvā ‘‘ettha pathavī saṃvaṭṭatī’’ti sutvā cintesi ‘‘pathavīsaṃvaṭṭanaṃ nāma na kadāci atthi, addhā etesaṃ kiñci dussutaṃ bhavissati, mayi kho pana ussukkaṃ anāpajjante sabbe nassissanti, jīvitaṃ nesaṃ dassāmī’’ti sīhavegena purato pabbatapādaṃ gantvā tikkhattuṃ sīhanādaṃ nadi. Te sīhabhayatajjitā nivattitvā piṇḍitā aṭṭhaṃsu. Sīho tesaṃ antaraṃ pavisitvā ‘‘kimatthaṃ palāyathā’’ti pucchi. ‘‘Pathavī saṃvaṭṭatī’’ti. ‘‘Kena saṃvaṭṭamānā diṭṭhā’’ti? ‘‘Hatthī jānantī’’ti. Hatthī pucchi. Te ‘‘mayaṃ na jānāma, sīhā jānantī’’ti vadiṃsu, sīhāpi ‘‘mayaṃ na jānāma, byagghā jānantī’’ti, byagghāpi ‘‘mayaṃ na jānāma, khaggā jānantī’’ti, khaggāpi ‘‘gavayā jānantī’’ti, gavayāpi ‘‘mahiṃsā jānantī’’ti, mahiṃsāpi ‘‘gokaṇṇā jānantī’’ti, gokaṇṇāpi ‘‘sūkarā jānantī’’ti, sūkarāpi ‘‘migā jānantī’’ti, migāpi ‘‘mayaṃ na jānāma, sasakā jānantī’’ti, sasakesu pucchiyamānesu ‘‘ayaṃ kathetī’’ti taṃ sasakaṃ dassesuṃ. Atha naṃ ‘‘evaṃ kira, samma, passasi pathavī saṃvaṭṭatī’’ti pucchi. ‘‘Āma, sāmi mayā diṭṭhā’’ti. ‘‘Kattha vasanto passasī’’ti? ‘‘Pacchimasamuddasamīpe beluvamissakatālavane vasāmi. Ahañhi tattha beluvarukkhamūle tālagacche tālapaṇṇassa heṭṭhā nipanno cintesiṃ ‘‘sace pathavī saṃvaṭṭati, kahaṃ gamissāmī’’ti, atha taṅkhaṇaññeva pathaviyā saṃvaṭṭanasaddaṃ sutvā palātomhī’’ti.
สีโห จิเนฺตสิ ‘‘อทฺธา ตสฺส ตาลปณฺณสฺส อุปริ เพลุวปกฺกํ ปติตฺวา ทุทฺทุภายนสทฺทมกาสิ, สฺวายํ ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘ปถวี สํวฎฺฎตี’ติ สญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา ปลายิ, ตถโต ชานิสฺสามี’’ติฯ โส ตํ สสกํ คเหตฺวา มหาชนํ อสฺสาเสตฺวา ‘‘อหํ อิมินา ทิฎฺฐฎฺฐาเน ปถวิยา สํวฎฺฎนภาวํ วา อสํวฎฺฎนภาวํ วา ตถโต ชานิตฺวา อาคมิสฺสามิ, ยาว มมาคมนา ตุเมฺห เอเตฺถว โหถา’’ติ สสกํ ปิฎฺฐิยํ อาโรเปตฺวา สีหเวเคน ปกฺขนฺทิตฺวา ตาลวเน สสกํ โอตาเรตฺวา ‘‘เอหิ ตยา ทิฎฺฐฎฺฐานํ ทเสฺสหี’’ติ อาหฯ ‘‘น วิสหามิ สามี’’ติฯ ‘‘เอหิ มา ภายี’’ติฯ โส เพลุวรุกฺขํ อุปสงฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺต อวิทูเร ฐตฺวา ‘‘อิทํ สามิ ทุทฺทุภายนฎฺฐาน’’นฺติ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Sīho cintesi ‘‘addhā tassa tālapaṇṇassa upari beluvapakkaṃ patitvā duddubhāyanasaddamakāsi, svāyaṃ taṃ saddaṃ sutvā ‘pathavī saṃvaṭṭatī’ti saññaṃ uppādetvā palāyi, tathato jānissāmī’’ti. So taṃ sasakaṃ gahetvā mahājanaṃ assāsetvā ‘‘ahaṃ iminā diṭṭhaṭṭhāne pathaviyā saṃvaṭṭanabhāvaṃ vā asaṃvaṭṭanabhāvaṃ vā tathato jānitvā āgamissāmi, yāva mamāgamanā tumhe ettheva hothā’’ti sasakaṃ piṭṭhiyaṃ āropetvā sīhavegena pakkhanditvā tālavane sasakaṃ otāretvā ‘‘ehi tayā diṭṭhaṭṭhānaṃ dassehī’’ti āha. ‘‘Na visahāmi sāmī’’ti. ‘‘Ehi mā bhāyī’’ti. So beluvarukkhaṃ upasaṅkamituṃ asakkonto avidūre ṭhatvā ‘‘idaṃ sāmi duddubhāyanaṭṭhāna’’nti vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๘๕.
85.
‘‘ทุทฺทุภายติ ภทฺทเนฺต, ยสฺมิํ เทเส วสามหํ;
‘‘Duddubhāyati bhaddante, yasmiṃ dese vasāmahaṃ;
อหเมฺปตํ น ชานามิ, กิเมตํ ทุทฺทุภายตี’’ติฯ
Ahampetaṃ na jānāmi, kimetaṃ duddubhāyatī’’ti.
ตตฺถ ทุทฺทุภายตีติ ทุทฺทุภสทฺทํ กโรติฯ ภทฺทเนฺตติ ภทฺทํ ตว อตฺถุฯ กิเมตนฺติ ยสฺมิํ ปเทเส อหํ วสามิ, ตตฺถ ทุทฺทุภายติ, อหมฺปิ น ชานามิ ‘‘กิํ วา เอตํ ทุทฺทุภายติ, เกน วา การเณน ทุทฺทุภายติ, เกวลํ ทุทฺทุภายนสทฺทํ อโสฺสสิ’’นฺติฯ
Tattha duddubhāyatīti duddubhasaddaṃ karoti. Bhaddanteti bhaddaṃ tava atthu. Kimetanti yasmiṃ padese ahaṃ vasāmi, tattha duddubhāyati, ahampi na jānāmi ‘‘kiṃ vā etaṃ duddubhāyati, kena vā kāraṇena duddubhāyati, kevalaṃ duddubhāyanasaddaṃ assosi’’nti.
เอวํ วุเตฺต สีโห เพลุวรุกฺขมูลํ คนฺตฺวา ตาลปณฺณสฺส เหฎฺฐา สสเกน นิปนฺนฎฺฐานเญฺจว ตาลปณฺณมตฺถเก ปติตํ เพลุวปกฺกญฺจ ทิสฺวา ปถวิยา อสํวฎฺฎนภาวํ ตถโต ชานิตฺวา สสกํ ปิฎฺฐิยํ อาโรเปตฺวา สีหเวเคน ขิปฺปํ มิคสงฺฆานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา สพฺพํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘ตุเมฺห มา ภายถา’’ติ มิคคณํ อสฺสาเสตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ สเจ หิ ตทา โพธิสโตฺต น ภเวยฺย, สเพฺพ สมุทฺทํ ปวิสิตฺวา นเสฺสยฺยุํฯ โพธิสตฺตํ ปน นิสฺสาย สเพฺพ ชีวิตํ ลภิํสูติฯ
Evaṃ vutte sīho beluvarukkhamūlaṃ gantvā tālapaṇṇassa heṭṭhā sasakena nipannaṭṭhānañceva tālapaṇṇamatthake patitaṃ beluvapakkañca disvā pathaviyā asaṃvaṭṭanabhāvaṃ tathato jānitvā sasakaṃ piṭṭhiyaṃ āropetvā sīhavegena khippaṃ migasaṅghānaṃ santikaṃ gantvā sabbaṃ pavattiṃ ārocetvā ‘‘tumhe mā bhāyathā’’ti migagaṇaṃ assāsetvā vissajjesi. Sace hi tadā bodhisatto na bhaveyya, sabbe samuddaṃ pavisitvā nasseyyuṃ. Bodhisattaṃ pana nissāya sabbe jīvitaṃ labhiṃsūti.
๘๖.
86.
‘‘เพลุวํ ปติตํ สุตฺวา, ทุทฺทุภนฺติ สโส ชวิ;
‘‘Beluvaṃ patitaṃ sutvā, duddubhanti saso javi;
สสสฺส วจนํ สุตฺวา, สนฺตตฺตา มิควาหินีฯ
Sasassa vacanaṃ sutvā, santattā migavāhinī.
๘๗.
87.
‘‘อปฺปตฺวา ปทวิญฺญาณํ, ปรโฆสานุสาริโน;
‘‘Appatvā padaviññāṇaṃ, paraghosānusārino;
ปนาทปรมา พาลา, เต โหนฺติ ปรปตฺติยาฯ
Panādaparamā bālā, te honti parapattiyā.
๘๘.
88.
‘‘เย จ สีเลน สมฺปนฺนา, ปญฺญายูปสเม รตา;
‘‘Ye ca sīlena sampannā, paññāyūpasame ratā;
อารกา วิรตา ธีรา, น โหนฺติ ปรปตฺติยา’’ติฯ –
Ārakā viratā dhīrā, na honti parapattiyā’’ti. –
อิมา ติโสฺส อภิสมฺพุทฺธคาถาฯ
Imā tisso abhisambuddhagāthā.
ตตฺถ เพลุวนฺติ เพลุวปกฺกํฯ ทุทฺทุภนฺตีติ เอวํ สทฺทํ กุรุมานํฯ สนฺตตฺตาติ อุตฺรสฺตาฯ มิควาหินีติ อเนกสหสฺสสงฺขา มิคเสนาฯ ปทวิญฺญาณนฺติ วิญฺญาณปทํ , โสตวิญฺญาณโกฎฺฐาสํ อปาปุณิตฺวาติ อโตฺถฯ เต โหนฺติ ปรปตฺติยาติ เต ปรโฆสานุสาริโน ตเมว ปรโฆสสงฺขาตํ ปนาทํ ‘‘ปรม’’นฺติ มญฺญมานา พาลา อนฺธปุถุชฺชนา วิญฺญาณปทสฺส อปฺปตฺตตาย ปรปตฺติยาว โหนฺติ, ปเรสํ วจนํ สทฺทหิตฺวา ยํ วา ตํ วา กโรนฺติฯ
Tattha beluvanti beluvapakkaṃ. Duddubhantīti evaṃ saddaṃ kurumānaṃ. Santattāti utrastā. Migavāhinīti anekasahassasaṅkhā migasenā. Padaviññāṇanti viññāṇapadaṃ , sotaviññāṇakoṭṭhāsaṃ apāpuṇitvāti attho. Te honti parapattiyāti te paraghosānusārino tameva paraghosasaṅkhātaṃ panādaṃ ‘‘parama’’nti maññamānā bālā andhaputhujjanā viññāṇapadassa appattatāya parapattiyāva honti, paresaṃ vacanaṃ saddahitvā yaṃ vā taṃ vā karonti.
สีเลนาติ อริยมเคฺคน อาคตสีเลน สมนฺนาคตาฯ ปญฺญายูปสเม รตาติ มเคฺคเนว อาคตปญฺญาย กิเลสูปสเม รตา, ยถา วา สีเลน, เอวํ ปญฺญายปิ สมฺปนฺนา, กิเลสูปสเม รตาติปิ อโตฺถฯ อารกา วิรตา ธีราติ ปาปกิริยโต อารกา วิรตา ปณฺฑิตาฯ น โหนฺตีติ เต เอวรูปา โสตาปนฺนา ปาปโต โอรตภาเวน กิเลสูปสเม อภิรตภาเวน จ เอกวารํ มคฺคญาเณน ปฎิวิทฺธธมฺมา อเญฺญสํ กเถนฺตานมฺปิ น สทฺทหนฺติ น คณฺหนฺติฯ กสฺมา? อตฺตโน ปจฺจกฺขตฺตาติฯ เตน วุตฺตํ –
Sīlenāti ariyamaggena āgatasīlena samannāgatā. Paññāyūpasame ratāti maggeneva āgatapaññāya kilesūpasame ratā, yathā vā sīlena, evaṃ paññāyapi sampannā, kilesūpasame ratātipi attho. Ārakā viratā dhīrāti pāpakiriyato ārakā viratā paṇḍitā. Na hontīti te evarūpā sotāpannā pāpato oratabhāvena kilesūpasame abhiratabhāvena ca ekavāraṃ maggañāṇena paṭividdhadhammā aññesaṃ kathentānampi na saddahanti na gaṇhanti. Kasmā? Attano paccakkhattāti. Tena vuttaṃ –
‘‘อสฺสโทฺธ อกตญฺญู จ, สนฺธิเจฺฉโท จ โย นโร;
‘‘Assaddho akataññū ca, sandhicchedo ca yo naro;
หตาวกาโส วนฺตาโส, ส เว อุตฺตมโปริโส’’ติฯ (ธ. ป. ๙๗);
Hatāvakāso vantāso, sa ve uttamaporiso’’ti. (dha. pa. 97);
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สีโห อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā sīho ahameva ahosi’’nti.
ทุทฺทุภชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Duddubhajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๒๒. ทุทฺทุภชาตกํ • 322. Duddubhajātakaṃ